ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ทับทิม PT8

เริ่มโดย darkfrl, มีนาคม 29, 2017, 12:46:31 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

darkfrl

ก่อนอื่นเดี๋ยวจะเข้าใจผิด  ออกตัวก่อนนะครับว่าผม (ผู้เขียน) เป็นเอทีส  แต่ได้ศึกษาจักรวาลวิทยาแบบพุทธมาบ้าง  และในการเขียนนี้ผมเองก็ได้หาข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการเขียนด้วยครับ
ขอให้มีความสุขครับ



Part8 : ปฐมกาล

...ดังได้สดับมา...
   ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย  แต่ก่อนกาลที่ท่านแลข้าพเจ้าได้ถือกำเนิดแลใช้ชีวิตท่ามกลางความสะดวกสบายซึ่งอำนวยโดยศาสตร์แห่งความรู้และวิทยาการที่มนุษยชาติรังสรรค์ขึ้นนั้นดังเช่นปัจจุบันกาลนี้  ยังมีปราชญ์ผู้รู้ มีพระมหากษัตริยาธิราชแลราชครูปูโรหิตเป็นต้น  ล้วนแล้วแต่เจริญด้วยฌานอภิญญาวิสัปสนาสมาธิ  อาจหยั่งรู้สรรพสิ่งทั้งในโลกแลเหนือหรือต่ำไปจากโลกอันเป็นนิวาสถานแห่งมนุษย์นี้  เธอย่อมร่วมกันเขียนอรรถาธิบายเพื่อเป็นการบำรุงสติปัญญาแห่งผู้ซึ่งเห็นโทษแห่งกามคุณได้ศึกษาเพื่อแสวงหาหนทางหลุดพ้นจากบ่วงทุกข์  ได้เห็นถึงอาณาบริเวณแห่งจักรวาลซึ่งประกอบด้วยกาม ซึ่งเป็นอำนาจอันครอบงำสรรพสัตว์ให้วนเวียนอยู่ในจักรวาลนี้  บรรดาอรรถาธิบายทั้งหลายนั้นอาจให้ชื่อได้ว่า "ไตรภูมิกถา"  อันจักได้กล่าวไว้พอสังเขปสืบไป
   อันจักรวาลที่เป็นที่วนเวียนแห่งสรรพสัตว์นี้มีจำนวนจักรวาลอันไม่อาจนับได้ แต่ละจักรวาลมีอาณาบริเวณเป็นวงกลมเรียงชิดติดกัน  จักรวาลหนึ่งมีแกนกลางเป็นเขานามว่าสิเนรุ  ที่ไหล่เขาคือแผ่นดินอันเป็นทวีปทั้งสี่ลอยอยู่เหนืออากาศ  ที่ขอบของแผ่นดินทั้งสี่คือมหาสมุทรกว้างใหญ่นามว่าสีทันดร
   แผ่นดินแห่งทวีปทั้งสี่นี้เรียกว่ามนุษย์ภูมิ  เป็นที่อยู่ของมนุษย์แลสัตว์โลกซึ่งแวดล้อมมนุษย์  มนุษย์ภูมิเป็นภพภูมิที่เหล่าสัตว์ต่างย่อมขวนขวายประกอบกรรมชั่วเพื่อเป็นคติสู่อบายภูมิอันต่ำกว่า  หรือไปยังเทวภูมิอันมีสุขเป็นนิจ  หรือพรหมภูมิอันเป็นความสุขยิ่งขึ้นไป  หรือแม้แต่จะเป็นหนทางสู่การหลุดพ้นจากกามจักรวาลอันไม่มีที่สิ้นสุดนี้ก็ย่อมทำได้  มนุษย์ภูมิยังมีความแตกต่างหลากหลายของสัตว์ซึ่งขึ้นอยู่กับเศษเสี้ยวกรรมดีและชั่วอันหลงเหลืออยู่จากการเสวยสุขหรือรับโทษทัณฑ์ในภพภูมิอื่นมาแล้ว  เกิดเป็นมนุษย์อันมีความยาก ดี มี จน มีรูปลักษณ์หน้าตาแลโชคลาภที่แตกต่างกันไปตามเศษเสี้ยวกรรมในอดีต
   เบื้องต่ำลงไปจากแผ่นดินแห่งมนุษย์ภูมิ  เป็นที่ตั้งของอบายภูมิ คือมหานรกนรกทั้งแปดชั้น เป็นที่อยู่แห่งสัตว์ผู้ประกอบกรรมชั่วมารับโทษทัณฑ์ต่างๆกันไปตามการกระทำของตนจวบจนสิ้นกรรมจึงจุติไปยังภพภูมิอื่นสืบไป
   ส่วนสัตว์ที่ประกอบอานันตริยกรรมนั้นเล่าจะต้องไปอยู่ยังขอบจักรวาล ณ ช่องว่างแห่งสามจักรวาลบรรจบกัน  ชื่อว่า โลกันตมหานรก ภพซึ่งมืดมนไร้แสงสว่าง  สัตว์ย่อมกัดกินเนื้อตนเองแลเพื่อนสัตว์นรกด้วยกันเป็นภักษาหารตลอดชั่วหนึ่งพุทธันดร
   ข้างฝ่ายด้านบนเหนือมนุษย์ภูมิกอปรไปด้วยสวรรค์ทั้งหกชั้นคือสุคติภูมิ เรียกว่า ฉกามาพจร  คือสถานที่ซึ่งยังคงวนเวียนอยู่ด้วยกามคุณ  แม้สัตว์ที่อยู่ในภพภูมินี้จะล้วนแล้วด้วยกรรมดีไล่เรียงกันไปจากชั้นที่ต่ำขึ้นไปสู่ชั้นที่สูง  และเสวยมหากามสุขในลักษณาการต่างๆกันตามชั้นแห่งสวรรค์ที่ตนดำรงอยู่  แต่สัตว์ย่อมยินดีในกาม  มีความปรารถนา มัวหมองไปด้วยกิเลสไม่ต่างจากสัตว์ในภพภูมิที่ต่ำกว่าอยู่เช่นนั้นเอง
   เหนือขึ้นไปจากกามาพจรคือภพภูมิของของผู้ที่สิ้นแล้วซึ่งความปรารถนาความสุขในกาม  สัตว์เหล่านี้ย่อมมีความสุขเพียงความสุขจากฌาณบารมี อันเป็นความสุขที่พึงปรารถนาขั้นละเอียดอ่อน  เรียกว่า รูปพรหม  เหล่านี้มีรูปร่างซึ่งอาจมองเห็นได้เฉพาะทิพยเนตรเท่านั้น
   แลภูมิสุดท้ายเรียกว่าอรูปพรหม  ผู้มีความสุขจากฌานและเห็นโทษแห่งการมีรูปกาย  โดยเห็นว่าการมีรูปกายคือความทุกข์อย่างยิ่ง  สัตว์จึงละรูปกายเหลือเพียงจิตซึ่งไม่อาจมองเห็นได้  อันเป็นภาวะสุขสูงสุดเท่าที่จะดำรงอยู่ในจักรวาลนั้น
   แล้วหากสุขยิ่งกว่านั้นเล่า...  คือความสุขที่ไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ ไม่ต้องดิ้นรนเลี้ยงชีพทุกข์ทนจากความร้อนหนาว  ไม่ปรารถนาความสุขในกามคุณ  ไม่มีรูปกาย  ไม่พึงปรารถนาความสุขในฌาณ  แลถึงที่สุดแล้ว ไม่พึงปรารถนามีจิตเป็นภาวะ  เขาย่อมปล่อยวางทุกสิ่ง ละทิ้งทุกอย่าง  เมื่อนั้นจิตจึงจะดับสูญกลายเป็นความว่างเปล่า  ไม่กลับมาวนเวียนแหวกว่ายในทะเลแห่งวัฏฏะ สูญหาย จากไปอย่างสิ้นเชิง
   ภาวะซึ่งสรรพสัตว์ต่างปรารถนาจะไปให้ถึง  เพื่อพ้นไปจากการเวียนว่ายในทะเลแห่งวัฏฏะ แต่จะทำได้อย่างไร...
   ในเมื่อผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดแห่งภพภูมิที่ยังวนเวียนไปด้วยกาม ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจบันดาลแลควบคุมกามาแห่งทุกสรรพสัตว์ที่อยู่ต่ำลงไป  เกิดหวั่นเกรงว่าหากสัตว์โลกต่างละทิ้งกิเลส และสูญสลาย จากไปจากจักรวาลมากเข้าแล้ว  จะทำให้จักรวาลเกิดเสียสมดุล อันไปสู่การล่มสลายของจักรวาลได้
   เขาย่อมทำทุกวิถีทาง  เพื่อป้องกันมิให้เกิดภาวะเช่นนั้น  ป้องกันไม่ให้สัตว์ใดหลุดพ้นออกไปจากบ่วงแห่งวฏฺฏสํสารฺ ได้แม้แต่ชีวิตเดียว

   ดูกรท่านผู้เจริญ  เรื่องทั้งหลายเริ่มต้น ณ ที่แห่งนี้

   .........................................


   ห้าร้อยห้าสิบปีหลังการอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธศาสนา
   ณ ชั้นที่ห้าแห่งสุคติภูมิ  เรียกว่า นิมมานรตี  สถานที่ของดวงวิญญาณหญิงชายผู้ประกอบกรรมดีเมื่อครั้งอยู่ในมนุษยภูมิต่างอาศัยอยู่ร่วมกัน  ที่ซึ่งเหล่าเทวดาและนางฟ้าได้รับการตอบแทนกรรมดีนั้นด้วยการเสวยทิพยสุขจากทรัพยากรอันถูกเนรมิตขึ้นมาโดยมหาเทพสุนิมมิต  โลกแห่งนิมมานรตีประกอบด้วยชุมชนชาวสวรรค์ซึ่งมีพื้นที่อาณาเขตกว้างใหญ่รายรอบปราสาทของมหาเทพผู้เป็นใหญ่  ปราสาทก่ออิฐถือปูนประดับด้วยอัญมณีหลากสีแพรวพราว  หลังคาทรงยอดแหลมเหลืออร่ามไปด้วยทองคำแท้ ที่เคลือบตั้งแต่ช่อฟ้า กระเบื้อง หน้าบัน  ส่วนต่างๆ ของปราสาทใหญ่ประดับดาไปด้วยลายจำหลักทองเป็นลวดลายวิจิตรเกินกว่ามือมนุษย์จะรังสรรค์  ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลาง  บ้านเรือนหลังใหญ่โตก่ออิฐถือปูนมุงกระเบื้องดินเผา สองชั้นบ้าง สามชั้นบ้าง ใหญ่โตโอ่โถง ประดับประดาไปด้วยอัญมณีและทองคำเรืองรองอยู่ทั่วไป บ้านตั้งอยู่ห่างๆกันกระจายโดยรอบมหาปราสาท  ระหว่างบ้านแต่ละหลังคั่นด้วยสวนสวรรค์ร่มรื่นไปด้วยพันธุ์ไม้ใหญ่น้อยและสระที่บรรจุน้ำใสและบัวที่ออกดอกบาน 
   ไกลออกไปจากเขตชุมชนชาวฟ้าคือทุ่งหญ้าราบเรียบกว้างใหญ่ฝั่งหนึ่ง  อีกฝั่งหนึ่งคือป่าไม้นานาพันธุ์หนาแน่น ไกลออกไปคือขุนเขาสลับซับซ้อน  แม่น้ำใสเย็นคดเคี้ยวทอดยาวตั้งแต่ป่าไม้หนาไปจนถึงทุ่งหญ้าเขียว  เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ทั้งผู้ล่าและผู้ถูกล่าอาศัยปรากฎให้เห็นโดยทั่วไป  ทั้งหมดอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขโดยไม่มีการทำร้ายกัน
   เบื้องบนเหนือทุ่งหญ้า ผืนป่า และบ้านเมืองนั้นคือฟ้าสีฟ้าใส  เมฆขาวบางๆ กระจายอยู่ทั่วไป แต่ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีกลางวัน ไม่มีกลางคืน  นิมานรตีสว่างไสวไปด้วยแสงขาวที่ดูเหมือนจะเรืองรองออกมาจากท้องฟ้าและสิ่งของทุกสิ่ง ไม่มีสถานที่ใดตกอยู่ในความมืด  เว้นแต่ชาวฟ้าผู้ใดปรารถนาในความมืด ความมืดก็จะปรากฏแก่เฉพาะตาของเขาเท่านั้น  และหากชาวฟ้าปรารถนาความสว่าง  ความสว่างมากน้อยก็จะปรากฏขึ้นตามความปรารถนาของเขานั่นเอง
   ไกลออกไปจากเขตชุมชน  ที่ติดต่อระหว่างป่าไม้กับทุ่งหญ้า  บ้านชั้นเดียวก่ออิฐมุงหลังคากระเบื้องตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางสวนดอกไม้ที่ออกดอกผลิบานสีสันต่างๆ กัน  หลังบ้านเป็นสนามหญ้าสั้นนุ่มสะอาด ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่  ไม่ไกลนักเสียงน้ำไหลรินๆ จากแก่งเล็กแก่งน้อยในลำธารแว่วดังมาเบาๆ
   ร่างในชุดผ้าถุงยาวเดินกรุยกรายออกจากตัวบ้านไปทางสนามหญ้าหลังบ้าน  เป็นร่างสตรีค่อนข้างสูง ผิวกายขาวสว่าง  รัดอกท่อนบนถ้วยผ้าแถบสีแดง คลุมไหล่และแขนไว้ด้วยผ้าโปร่งใสบางเบาสีเดียวกัน  ผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ถูกคล้องเฉียงบ่า  ปล่อยเปลือยหน้าท้องนวลเนียนขาวผ่อง  ใบหน้าขาวใสสว่างประดับด้วยจมูกเป็นสันนั้นฝาดไปด้วยเส้นเลือดกระจายทั่วไป  ดวงตาแม้จะดูคมดุแต่ก็เจือไปด้วยแววยิ้มอย่างมีสุข
   อะไรสักอย่างที่มีขนาดใหญ่ใหญ่โตดำมืดตกลงมาตรงหน้านาง  ร่างของสิ่งมีชีวิตนั้นคุกเข่าอยู่ด้วยแรงกระแทกจากที่สูง  จากนั้นมันเหยียดยืนตรงขึ้นสูงเต็มสัดส่วน  เป็นร่างกายของชายหนุ่มกำยำใหญ่โต  แผงอกหนากว้าง  ท่อนแขนอัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ  ช่วงท้องที่เล็กกว่าช่วงอกเกือบครึ่งเบียดเสียดไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นก้อนเรียงเป็นระเบียบ  ยืนค้ำศีรษะของสตรีสาวที่สูงเพียงแค่ไหล่ของร่างนั้น  ผิวกายของมันเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ  หลังค้อมงอเล็กน้อย เท้าและมือขนาดใหญ่ราวกับจะบดขยี้กะโหลกมนุษย์ได้ด้วยมือข้างเดียวมีกรงเล็บยาวโค้งงอแหลมคมอยู่ที่ปลายนิ้ว  กายเปลือยเปล่าไม่มีอาภรณ์ใดๆ ปกคลุมร่างกาย  ที่กลางลำตัวต่ำลงไปอวัยวะแสดงความเป็นเพศชายอ่อนตัวห้อยกวัดแกว่งอยู่เหนือพวงถุงเนื้อเหี่ยวย่น  แม้จะอ่อนปวกเปียกนุ่มนิ่มแต่ก็มีขนาดใหญ่เกือบจะเท่าข้อมือของนาง  แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่รูปร่างและลักษณะการปรากฏกายของมันยังไม่ชวนให้ตกตะลึงได้เท่ากับเมื่อมองขึ้นไปยังท่อนบน  แทนที่จะพบใบหน้าของบุรุษ  กลับกลายเป็นใบหน้าของสัตว์ดุร้ายมีขนสีดำปกคลุม  ดวงตากลมดุร้ายสีเหลืองมีนัยน์ตาขีดเป็นเส้นตรงทั้งสองข้าง  รอบคอและใบหน้ามีขนยาวสีดำปกคลุมหนาเป็นแผงล้อมกรอบหน้านั้นไว้เหมือนจะแยกส่วนที่เป็นสัตว์ออกจากส่วนที่เป็นมนุษย์  หูกลมสีน้ำตาลเข้มสองข้างแทรกอยู่ในแผงคอ  ปากยื่นออกมาจากใบหน้าสั้นๆ นั้นประดับด้วยจมูกสีดำตรงปลาย  มันอ้าปากแยกเขี้ยวยาวขนาดเท่านิ้วมือเข้าใส่หญิงสาวพร้อมกับเสียงคำรามก้องต่ำลึกจนนางรู้สึกว่าพื้นดินสะเทือนไปด้วยอำนาจของแก้วเสียงนั้น
   "รัตตวดี"  มันกล่าวขึ้นด้วยเสียงต่ำลึกจนเกือบจะไม่เหมือนภาษาของมนุษย์
   "นรสิงห์"  รัตตวดีตอบกลับยิ้มๆ
   "ท่านปรารถนาจะให้ข้าพเจ้ารับใช้สิ่งใด"  นรสิงห์ถามขึ้น
   "ข้าปรารถนา... ตัวเจ้า"  รัตตวดียื่นมือไปสัมผัสหน้าอกแข็งหนานั้น  นางตระหนักดีว่าไม่มีความสั่นสะเทือนของหัวใจที่เต้นอยู่ในกายของนรสิงห์  แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่นางข้องใจ  นางใช้ฝ่ามือลูบแผงอกกว้างใหญ่หนาแน่น  ไล่ลงไปยังหน้าท้องที่แน่นไปด้วยมัดกล้าม  นางลูบไล้มันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเลื่อนลงเกาะกุมท่อนเนื้ออ่อนนิ่ม  รัตตวดีบีบคลึงท่อนอ่อนนั้นเบาๆ  จนมันเริ่มแข็งขืนขึ้นทีละน้อย  นางชักเข้าออกแรงขึ้นจนท่อนที่เคยอ่อนแข็งเกร็งและขยายขนาดใหญ่โตขนาดใหญ่กว่าข้อมือของนาง  ตั้งตรงขนานกับพื้น
   "มอบความสุขสมแก่ข้า นรสิงห์ ด้วยกำลังกายและสัญชาติญาณของเจ้า จงทำกับข้าราวกับข้าเป็นสัตว์ที่ไม่รู้เจ็บปวด จงทำจนกว่าข้าจะเสร็จสม จนกว่าข้าจะพอใจ"
   นรสิงห์กรรโชกคำรามขึ้นมาคำหนึ่ง มันใช้อุ้งมืออันแหลมคมไปด้วยเล็บสัตว์ร้ายนั้นผลักอกอวบหยุ่นอ่อนนุ่มที่รัดผ้าแถบเบาๆ แต่แรงพอที่จะทำให้รัตตวดีทรุดเอนตัวล้มลงกับพื้นหญ้าอย่างนุ่มนวล  มันกระโจนขึ้นคร่อมร่างของนางฟ้าเอาไว้  เสียงหายใจของมันกลายเป็นเสียงคำรามเบาๆ กลิ่นลมหายใจมีกลิ่นสาบสางบางๆ ราดรดใบหน้าของรัตตวดี  มันก้มจมูกลงสูดกลิ่นนางฟ้าที่ซอกคอของนาง  ใช้เล็บแหลมคมกรีดผ้าแถบสีแดงรัดทรวงอกฉีกออกจากกัน  ปลดปล่อยเต้านมอวบตั้งเปลือยออกเป็นอิสระ  แล้วเคล้นขยำเต้านมทั้งคู่อย่างรุนแรง  มันนวดเฟ้นเต้านมทั้งสองแล้วเลื่อนมือต่ำลงยังช่วงเอวคอดเล็ก  หมุนวนมือลูบไล้สัมผัสหน้าท้องแล้วลดมือต่ำลงยังชายพกผ้านุ่ง  มันคว้าหัวเข็มขัดทองกระชากเบาๆ ก็ขาดออก  แล้วล้วงมอเข้าไปในผ้าถุงผืนงาม
   รัตตวดีร้องครางยาวออกมาเมื่อนิ้วมือใหญ่แข็งและสากลงไปเกาะกุมที่กลีบเสียว  นรสิงห์หุบกรงเล็บเข้าจนสุดแล้วใช้ปลายนิ้วชอนไชเช้าระหว่างกลีบเนื้อชุ่มฉ่ำ  สัมผัสติ่งเนื้อเล็กๆ เหนือซอกหลืบที่กำลังขับน้ำเมือกลื่นออกมาอย่างเนืองนอง
   นางฟ้าหลับตาพริ้มเชิดหน้าขึ้นสูดปากรับความเสียวซ่าน  นิ้วมือใหญ่โตหยาบกระด้างราวกับชิ้นไม้ให้ความรู้สึกสัมผัสแก่จุดนั้นได้ดีอย่างที่ไม่มีสิ่งใดเหมือน  นรสิงห์ชันตัวขึ้นนั่ง  มืออีกข้างฉีกผ้านุ่งที่เกะกะขวางอยู่ออกขาดเป็นริ้วยาว  เผยช่วงสะโพกนวลกว้างและท่อนขาขาวสว่างกลมกลึงอวบใหญ่แล้วลาดเล็กลง  มันคว้าท่อนข้าของนางแล้วจับแยกออก  สอดนิ้วใหญ่หยาบนั้นเข้าไป  รัตตวดีสะดุ้งเฮือก อ้าปากเกร็งร่างรับการรุกล้ำขนาดเท่าลำลึงค์อันย่อมๆ  แต่แข็งกระด้าง  ร่องรูตอดรัดนิ้วของนรสิงห์เป็นจังหวะ  นางเริ่มขยับสะโพกร่อนรับ  ปากเริ่มมีเสียงครวญคราง
   นรสิงห์ขยับนิ้วคว้านช่องหลืบภายในที่ชุ่มฉ่ำ  ปาดเอาน้ำเสียวลื่นที่เจิ่งนองออกมาละเลงที่ปากช่อง  แล้วขยับตัวเข้าประชิดระหว่างขาของนางฟ้า  จับท่อนลำลึงค์ขนาดใหญ่ของมันปาดไปมาที่ร่องเสียว  กดหัวหยักแข็งเกร็งขยี้เข้ากับเม็ดทับทิมของรัตตวดี
   "เอาเลย ไม่ไหวแล้ว"  รัตตวดีร้องขอ
   เจ้าครึ่งสัตว์กดท่อนเนื้อมหึมาของมันเข้าไปในร่องรู  พรวดเดียวเข้าไปครึ่งท่อนลำ  รัตตวดีกรีดร้องออกมาคำหนึ่งด้วยความเจ็บปวดระคนความเสียวซ่าน  ร่องรูของนางเต้นระริกร้อนผ่าวราวกับถูกไฟเผา  ทันทีที่ครึ่งแรกของลำลึงค์ของนรสิงห์มุดเข้าไปในช่องสังวาวของนางฟ้า  มันก็ดึงออกเล็กน้อยแล้วกดสวนเข้าใส่อีกครั้งจนมิดตลอดความยาว นางฟ้ากรีดร้องยาว พร้อมกับที่นรสิงห์คำรามลั่น  มือทั้งสองของนางป่ายเปะปะ  นรสิงห์กระหน่ำเอวซอยท่อนเนื้อเข้าใส่รัตตวดีหนักหน่วงถี่ยิบ  ท่อนลึงค์แข็งปูดโปนเสียดสีผนังช่องสังวาสอ่อนนุ่มรัดรึงชุ่มชื้น  สร้างความรู้สึกเสียวกระสันในสัมผัสให้แก่นางฟ้าสาวอย่างรุนแรง  ความใหญ่โตแข็งแกร่งของท่อนเนื้อชำแรกผ่านร่องรูที่รัดจนแทบจะปริแยกออก  รัตตวดีรู้สึกถึงความคับแน่นในทุกการเคลื่อนไหวเข้าออกจนแสบร้อนตลอดทั้งช่องเสียว  แต่ความเจ็บแสบคับตึงนั้นเองเมื่อประกอบกับอารมณ์กระสันเต็มที่ทำให้นางฟ้าสาวรู้สึกสะใจในรสชาตที่ได้รับ
   รัตตวดีร้องครวญครางตามจังหวะการกระแทกของนรสิงห์ซึ่งดูจะหนักหน่วงรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ  เสียงของนางขาดเป็นห้วงๆ ตามแรงกระแทกของท่อนเอ็นที่กระแทกเข้าใส่มดลูก  นรสิงห์เด้งเด้าเอวใส่รัตตวดีต่อเนื่องในท่านอนเพียงเท่าเดียวอย่างไร้สุนทรียะแห่งเพศรส  มีเพียงสัญชาติญาณสัตว์  สันชาติญาณแห่งการสืบพันธุ์ที่ถูกปลุกขึ้นมาอย่างเต็มที่แม้เพศเมียที่มันสมสู่จะไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน  แต่ก็มีความสมบูรณ์แห่งเรือนร่างและแรงดึงดูดทางเพศอย่างร้ายกาจ  สัญชาติญาณเร่งเร้าให้มันรีบฉีดน้ำเชื้อเข้าใส่มดลูกของเพศเมียนั้นเพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์ตามธรรมชาติ  มันกระแทกกระทั้นนางฟ้าสาวจนร่างของนางเกลือกกลิ้งไปกับพื้นหญ้านุ่ม  รัตตวดีแม้จะพึงพอใจกับความเสียวซ่านมันเมาที่ได้รับแต่ความเจ็บปวดที่มากมายเช่นกันก็ทำให้นางต้องกระถดตัวถอยหนีบ้าง  เด้งสู้รับความเสียวบ้าง
นรสิงห์คำรามลั่นยาวราวกับกำลังจะถึงจุดสุดยอด  มันกระหน่ำท่อนเอ็นใสรูเสียวถี่ยิบ  รัตตวดีกรีดร้องด้วยความเสียวกระสันระคนเจ็บปวด  นางกำลังจะถึงสวรรค์ขณะที่อยู่บนสวรรค์อยู่แล้ว  นางฟ้ากรีดร้องลั่น  จินตนาการว่าการกระทำชำเราป่าเถื่อนของนรสิงห์นั้นเป็นการถูกเจ้าสัตว์ร้ายข่มขืนโดยไม่เต็มใน
"ไม่ไหวแล้ว  ข้าทนไม่ไหวแล้วนรสิงห์"
นรสิงห์คำรามลั่นมือเค้นขยำหน้าอกนางฟ้าแทบจะแหลกเหลว  กระทุ้งอัดท่อนเนื้อเข้าใส่ถี่ยิบอีก  รัตตวดีหลับตาจินตนาการว่าเจ้าสัตว์ร้ายข่มขืนกระทำชำเรานางอย่างป่าเถื่อน  รัตตวดีร้องครวญครางไปตามจินตนาการ
"ไม่ นรสิงห์  อย่าทำข้า อย่าทำข้า ข้าทนไม่ไหวแล้ว พอแล้ว เสียวจนจะขาดใจอยู่แล้ว"  นางฟ้ากรีดร้องเสียงแหลม
คนครึ่งสัตว์ที่มีลักษณะร่างกายและความคิดค่อนไปทางสัตว์นั้นหยุดการกระทำของมัน ชะงักกึก  ถอนท่อนเอ็นแข็งเกร็งขนาดใหญ่ยักษ์ของมันออกจากรูเสียวของรัตตวดี  ปล่อยให้รูเสียวว่างเปล่าเป็นรูกลวง  น้ำรักเป็นเมือกลื่นไหลย้อยตามออกมาเนืองนองย้อยไปตามร่องก้น  รัตตวดีหยุดคราง อ้าปากค้างชันคอมองดูนรสิงห์อย่างพิศวง
มันถอยกรูดออกไปนั่งคุกเข้าอยู่ด้านข้าง  ก้มศีรษะ  ท่อนเอ็นแข็งเกร็งเปรอะไปด้วยคราบฟองสีขาวชี้ชันเฉียงลงกับพื้น
"ข้าพเจ้าขออภัย รัตตวดีผู้บันดาลข้า  ข้าหยุดการกระทำตามที่ท่านสั่งแล้ว"  เสียงต่ำๆ ของมันจับใจความได้อย่างนั้น
รัตตวดีจ้องมองมันอย่างเหลือเชื่อ  พลันตระหนักได้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านางหาใช่สิ่งมีชีวิตอันมีเลือดเนื้อชีวิตจิตใจและอารมณ์ดังเช่นนรสิงห์อื่นๆ ทั่วไป  แต่เป็นร่างที่นางบันดาลขึ้นด้วยอำนาจพลังแห่งเทพี  ซึ่งพร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่งทุกคำสั่งของนางโดยไม่มีข้อแม้  ร่างซึ่งนางสร้างขึ้นเช่นเดียวกับบ้าน เครื่องนุ่งห่ม สวนดอกไม้ ต้นไม้ สนามหญ้าในบริเวณบ้านของนางนั่นเอง
รัตตวดีทิ้งร่างลงนอนกับพื้น สีหน้าเหนื่อยหน่าย  อารมณ์กระสันทางเพศที่พุ่งขึ้นเมื่อครู่หดหายไปจนหมดสิ้น  เหลือแต่ความผิดหวัง  นางผงกหัวขึ้นมองร่างเปลือยเปล่าซึ่งยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม
"ไปซะ นรสิงห์ ข้าไม่ต้องการเจ้าแล้ว"  รัตตวดีพึมพำ  ร่างนั้นค่อยๆ สลายกลายเป็นฝุ่นผงสีขาวละเอียด เล็กลง จนในที่สุดก็ปลิวหายไปในสายลม

รัตตวดีชันตัวลุกขึ้น  เธอโบกมือเบาๆอย่างเบื่อหน่าย  เศษผ้าขาดเป็นริ้วที่เกลื่อนกลาดพื้นนั้นกลายเป็นฝุ่นผงไปเช่นเดียวกับนรสิงห์  ร่างเปลือยเปล่าขาวโพลนจนมองเห็นริ้วเส้นเลือดสีแดงบางๆ ใต้ผิวนั้นเดินช้าๆ ไปยังลำธารใต้ต้นไม้ร่มรื่น  นางหย่อนกายลงให้น้ำใสเย็นช่วยดับไฟราคะที่ยังคุกรุ่นบางๆ อยู่ในใจ  นางฟ้าหลับตาทอดกายในสายน้ำที่ไหลรินเบาๆ  ปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไป
นิมมานรตีเป็นยอดปรารถนาของทุกชีวิตทุกวิญญาณที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวังวนแห่งกาม  สวรรค์ชั้นที่ชาวฟ้าทุกคนจะได้ในทุกสิ่งที่ต้องการ  ทรัพย์สิน บ้านเรือน เครื่องประดับ อาหาร ทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวสวรรค์ชั้นนี้ต้องการย่อมมาปรากฏตรงหน้าแค่เพียงอธิษฐาน ไม่มีข้อจำกัด ไม่มีขอบเขต ไม่ว่าจะต้องการวัตถุสิ่งของชิ้นใดแบบไหน  แม้แต่การตอบสนองความรู้สึกทางเพศ  ชาวฟ้าเพียงอธิษฐาน แล้วคน หรือแม้แต่สัตว์ ปีศาจ หรืออสุรกายที่ต้องการก็จะปรากฏตรงหน้า  ตอบรับทุกความต้องการ ทุกคำสั่งของชาวฟ้าผู้นั้นอย่างถึงที่สุด  ไม่มีข้อแม้ ไม่มีข้อสงสัย ไม่มีการขัดคำสั่งโดยเด็ดขาด
รัตตวดีก็เหมือนๆ กับชาวฟ้าอื่นๆ ที่อยู่ในสวรรค์ชั้นนี้  นางมีทุกสิ่ง และได้ทุกอย่างที่นางปรารถนา  รวมถึงสิ่งที่นางปรารถนาที่สุด ปรารถนาโดยไม่เต็มอิ่ม ปรารถนาอยู่ตลอดเวลา  แต่ที่ผิดแปลกจากชาวนิมมานรตีอื่นๆ คือสิ่งที่นางปรารถนามากกว่าชาวฟ้าใดๆ  นั่นคือการเสพสุขทางเพศรส  รัตตวดีหมกมุ่นกับการเสพสุขทางเพศรสโดยไม่สนใจและไม่ต้องการความสุขอื่นใด  นางเนรมิตรูปของมนุษย์ทั้งชาย หญิง ทั้งหนึ่งและหลายคนเพื่อปรนเปรอความสุขทางเพศอยู่ตลอดเวลา  เมื่อตอบสนองนางจนเสร็จสมแล้ว  รูปเนรมิตนั้นก็หายไป  เพียงเพื่อให้นางได้พักกาย และเนรมิตรูปใหม่ขึ้นมาสมสู่ด้วยอีกครั้ง  เป็นเช่นนี้มาตลอดเกือบหนึ่งพันปีสวรรค์ที่นางเสวยสุขอยู่ที่นี่
นานวันเข้ารูปมนุษย์ธรรมดาสามัญก็ไม่อาจตอบสนองอารมณ์ของนางได้อย่างเพียงพอ  นางต้องการสิ่งที่แปลกใหม่ และน่าตื่นเต้นมากกว่าปกติ  นางเริ่มเนรมิตรูปสัตว์ต่างๆ ทั้งที่มีอยู่ในโลกมนุษย์  ในป่าหิมพานต์ และในนรกภูมิ  เพื่อสนองความสุขของนาง  นางเนรมิตแม้กระทั่ง "จักรกลสังวาส" (Fucking Machine – ผู้เขียน)  เพื่อสร้างความรู้สึกตื่นเต้นแปลกใหม่กว่าเดิม
แต่ที่สุดแล้วสิ่งเดียวที่อำนาจพลังของนางไม่อาจบันดาลให้ได้ คือชีวิต จิตใจ และอารมณ์ของรูปเนรมิตของนาง  รูปเนรมิตอาจตอบสนองนาง ปรนเปรอความสุขให้นางทุกสิ่งที่ต้องการ  แต่มันไร้ซึ่งชีวิต  ไร้ซึ่งวิญญาณ  ไร้ซึ่งอารมณ์ที่ขับเคลื่อนให้มันทำตามธรรมชาติ  มันไม่โต้แย้งนาง  ไม่สรรค์สร้างชักนำประสบการณ์ที่แปลกใหม่ให้แก่นาง  ไม่ขัดใจ ไม่ขืนใจนางในยามที่นางต้องการ  และที่เหนือสิ่งอื่นใดมันไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับนางได้นอกเหนือไปจากการมอบความสุขให้แล้วสูญสลายจากไป
สิ่งที่รัตตวดีต้องการก็เพียงก็คือผู้ที่จะสามารถปลดเปลื้องความต้องการทางเพศของนางได้อย่างมีชีวิตชีวาจริงๆ เท่านั้น  ซึ่งเป็นสิ่งที่นิมมานรตียอดปรารถนาของทุกสรรพสัตว์ให้ไม่ได้เลย
รัตตวดีวักน้ำขึ้นราดรดใบหน้า  ความชุ่มเย็นของหยดน้ำสัมผัสได้ที่ใบหน้า  ชาวฟ้าน้อยคนที่จะมีรสนิยมชอบเล่นน้ำเหมือนอย่างนาง  เพราะในสถานที่แห่งนี้ทุกคนอาจปรับความรู้สึกร้อนเย็นได้ตามความต้องการ  แม้รัตตวดีจะทำได้เช่นกัน  แต่สัมผัสของน้ำก็ทำให้นางรู้สึกดี  แม้จะเนิ่นนานมาแล้วแต่นางก็ยังจำได้  ว่าเมื่อครั้งนางเป็นมนุษย์สัมผัสของน้ำใสเย็นช่างคลายร้อนและให้ความรู้สึกที่ดี  และมีชีวิตขนาดไหน
นางคิดถึงโลกมนุษย์ขึ้นมาทันทีอีกครั้ง  จำได้แม่นยำเหมือนได้กลิ่นดอกปาริชาติ  จำได้ถึงบ้านที่นางเคยอยู่สมัยเด็ก  ชายวัยเท่าพ่อของนางยัดเยียดความเป็นสามีให้กับนาง  และทำให้นางกลายเป็นคนที่หลงใหลในรสชาตของสังวาส และเสพติดมันจนถึงวันสุดท้ายบนโลกของนางอีกหลายสิบปีต่อมา  นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ในมนุษย์ภูมิ  ความรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า เป็นเพียงฝุ่นผงที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย  ถูกบังคับ ถูกขู่เข็ญ ถูกข่มขืน  เมื่อครั้งที่นางยังอาจมีความรู้สึกรัก และถูกรัก
   เร็วเท่าความคิด  รัตตวดีอธิษฐานจิตอีกครั้ง

   ตะวันล่วงถึงเย็นสาดส่องลอดแสงใบไม้ลงมายังพื้นดินโล่งที่ตัดผ่านป่าพงรกชัฏเป็นช่องทาง เบื้องบนสูงลิบไม้ใหญ่และเถาวัลย์นานาชนิดโค้งเข้าหากันหนาแน่นราวเพดานของเทวาลัย  พื้นดินแน่นหนาไปด้วยรอยเท้าสัตว์จตุบาทน้อยใหญ่ที่ย่ำกันสับสน  ด่านสัตว์ขนาดใหญ่นั้นทอดยาวไปยังแอ่งน้ำซึมอันเป็นแหล่งน้ำและแหล่งอาหารสำคัญของสรรพสัตว์ที่ใช้ร่วมกัน
   ชายวัยกลางคนร่างสูงนุ่งผ้าหยักรั้งสีมอๆ  ศีรษะคาดด้วยผ้าสีเดียวกันเดินดุ่มอยู่กลางด่านสัตว์  บ่าสะพายหน้าไม้ขนาดใหญ่ที่แบกมาทั้งวันโดยที่ไม่มีร่องรอยของสัตว์ใดที่เขาจะใช้มันได้เลย  พรานป่าเริ่มตระหนักถึงความไม่มั่นคงในสวัสดิภาพของปากท้องตัวเองเมื่อคิดถึงจำนวนเนื้อแห้งที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยที่บ้าน
   ด่านสัตว์แห่งนี้และบริเวณใกล้เคียงไม่มีร่องรอยของสัตว์ที่สัญจรในระยะสองสามวันมานี้  วันก่อนเขาได้เพียงไก่ป่าสองตัวที่ยิงได้โดยบังเอิญ  ซึ่งจะต้องกินเนื้อมันอย่างจำกัดที่สุด  เขาสงสัยว่าจะเป็นเพราะการย้ายถิ่นของเสือโคร่งใหญ่ที่ขับไล่สัตว์อื่นๆ ออกไปจากบริเวณเสียหมด
   แล้วเสียงหนึ่งก็ทำให้เขาชะงัก  เสียงกรีดร้องของหญิงสาวแว่วมาเมื่อลมพัดมาด้านหนึ่งแล้วหายไป  นายพรานขมวดคิ้ว เขาหยุดฟัง ครู่หนึ่งเสียงก็ลอยตามลมมาอีก ดูเหมือนจะมีเสียงคำรามขอสัตว์ร้ายอยู่ด้วย  โดยไม่ต้องคิด  นายพรานตรงตัดป่าพงหนาแน่นตรงไปยังต้นเสียงทันที
   เสียงกรีดร้องดังขึ้นเป็นระยะเมื่อนายพรานเดินเข้าไปใกล้ต้นเสียง  เสียงคำรามโฮกฮากทำให้เขาต้องปลดหน้าไม้ออกจากบ่า ขึ้นสายแล้วค่อยย่องเบาไปตามเสียงที่ได้ยินใกล้เข้ามา
   นายพรานเคลื่อนคืบตัวเข้าไปใกล้จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าเดินแกรกกรากเหยียบใบไม้แห้ง  เขาคืบคลานต่ำ มือกุมหน้าไม้มั่นพร้อมยิง  สายตาสอดส่ายลอดช่องใบไม้จนกระทั่งเขาเห็นที่มาของเสียง
   เสือดาวขนาดไม่ใหญ่นักตัวหนึ่งเดินวนเวียนรอบต้นไม้ขนาดย่อม ต้นหนึ่งซึ่งมีรอยเล็บใหม่ๆ ตะกุยตะกายถลอกปอกเปิก  มันเดินวนไปมา  สายตาจับจ้องไปยังหญิงสาวในผ้าถุงสีแดง รัดอกด้วยผ้าอีกผืน ซึ่งปีนขึ้นไปบนต้นไม้ต้นเล็กๆ นั้นได้สูงอย่างไม่น่าเชื่อ  ผ้าคลุมไหล่บางๆ สีแดงผืนหนึ่งตกอยู่ที่พื้น  เจ้าเสือดาววนไปมาสักครู่มันจึงย่อขาหลังลง  สายตาจับจ้องไปบนต้นไม้  หางยาวๆ สีเหลือสลับดำของมันกวาดช้าๆ อยู่กับพื้น เตรียมกระโจนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อจับเหยื่อ
   นายพรานยกหน้าไม้ขึ้นเล็งในระดับสายตา  หัวและหางลูกดอกจับตรงกันเข้าที่คอด้านหลังของเจ้าเสือดาว  ก่อนที่มันจะกระโจนขึ้นไปนั้นเอง  เขาก็เหนี่ยวนิ้ว
   เสียงหน้าไม้สะบัดพรึบ ลูกดอกสั้นๆติดขนนกก็ปลิวเข้าปักเข้าที่ต้นคอเสือดาว  มันดิ้นสุดตัวล้มลงกับพื้น  ขาทั้งสี่ตะกุยพื้น  หางสะบัดกวาดไปมา  อ้าปากกว้างกัดอากาศ  นายพรานรีบขึ้นสายหน้าไม้อีกครั้งก่อนที่เสือดาวจะลุกขึ้นได้  เขาเล็งไปที่เสือดาวแต่ไม่จำเป็นเสียแล้ว เจ้าเสือเคราะห์รายนอนนิ่งอยู่กับพื้น  เหลือเพียงหายาวๆ โบกกวาดพื้นช้าๆ และช้าลงตามลำดับ
   เสียงกรีดร้องจากบนต้นไม้เงียบไปแล้วตอนที่เขาเดินออกจากที่ซ่อน  นายพรานมองขึ้นไปมองหญิงสาวที่กึ่งหอบกึ่งร้องไห้อยู่บนต้นไม้
   "ลงมาได้แล้วนาง มันตายแล้ว" เขาร้องบอก
   ร่างนั้นค่อยๆพาตัวเองลงจากต้นไม้  ไถลพลาดเล็กน้อยแต่ก็สามารถเหนี่ยวกิ่งไม้ไว้ได้ทัน  ในที่สุดหญิงสาวก็โหนกิ่งไม้ลงมาถึงพื้นได้อย่างปลอดภัย  นางมองดูซากเสือดาวอย่างหวาดๆ  นายพรานใช้เท้าเขี่ยหัวของมันพลิกไปมา
   "มันตายแล้วแน่นะ"  นางถามเสียงสั่น
   "ตายแน่นอน"  พรานเลิกสนใจซากเสือดาว  หันมามองที่หญิงสาวผู้ลงมาจากต้นไม้  "นางเป็นใคร ทำไมมาอยู่ในป่าคนเดียว"
   "ข้าเป็นชาวเวสาลี"  นางตอบโดยที่เสียงยังไม่หายสั่น  "นามว่ารัตตัง สามีข้าเป็นเศรษฐีชาวเวสาลี  สามีข้าร่วมกับพ่อค้าอื่นๆ คุมกองเกวียนไปค้าขายยังปัตนะ มีพวกเพชรพลอย ผ้า เครื่องหอม น้ำมัน  คราวนี้ข้าขอไปด้วยเพื่อชมเมืองปัตนะ  แต่มาเจอพวกโจรดักปล้นกลางทาง..."
   เสียงของนางเหมือนพยายามข่มใจไม่ให้ร้องไห้ออกมาอีก
   "เรามีนักดาบรับจ้าง แต่พวกโจรมีมากกว่า  มันสังหารคนอื่นๆ หมด รวมทั้งสามีข้า  อาศัยเหตุชุลมุนข้าหลบหนีออกมาได้  รอนแรมอยู่ในป่าหลายคืน หาขุดเผือกมันผลไม้กิน  ไปโดยไม่มีจุดหมาย เมื่อครู่เสือดาวนี่ก็โจนใส่ข้าแต่ข้าหลบทัน แล้วหนีขึ้นบนต้นไม้  จนท่านมาพบนี่แหละ"
   "ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีโจรป่าในละแวกนี้  ข้าชื่อจโกระ บ้านข้าอยู่ไม่ไกลจากนี่ แต่ช่างก่อนเถอะ  ข้าหิว นางก็หิว และเราก็มีอาหารแล้ว  แต่เราอยู่ที่นี่นานไม่ได้  เราต้องไปที่บ้าน"
   นายพรานเริ่มลงมือแล่เสือดาวและก่อไฟย่างเนื้อ  นางรัตตังนั่งดูจโกระทำงานอย่างคล่องแคล่ว  แม้จะดูท่าทางไม่ค่อยจะสนิทใจกับเนื้อเสือดาวนัก  แต่เมื่อได้ลองกัดกินคำแรก  นางก็กินส่วนที่เหลืออย่างรวดเร็ว  เพียงชั่วเวลาไม่นานนักทั้งสองก็อิ่ม  จโกระแล่เนื้อเสือดาวส่วนที่เหลือห่อแล้วสะพายไหล่ออกเดินทางต่อ
   ตะวันคล้อยเย็นแล้วเมื่อทั้งสองเดินทางมาถึงชายป่า รัตตังเป็นสตรีที่มีความอดทนในการเดินป่าอย่างยากลำบากมากกว่าที่จโกระคิด  นางไม่ปริปากบ่นแต่อย่างใด  ตรงกันข้าม สีหน้าของนางดูแช่มชื่นขึ้นเมื่อทั้งคู่ออกมายังป่าที่โปร่งมากขึ้นตามลำดับ  และเริ่มเห็นร่องรอยของมีดฟันกิ่งไม้ เรื่อยไปจนถึงร่องรอยของการขุดหาเผือกมันของมนุษย์
   "ท่านอยู่คนเดียวรึ"  รัตตังถามขึ้น
   "ข้าอยู่กับภรรยา  ชื่อพิธุ  นางเป็นผู้จัดการงานในบ้านในเวลาที่ข้าออกล่าสัตว์"
   "ภรรยาของท่านโชคดีที่ได้สามีที่ดี  ข้าปรารถนาจะมีสามีเช่นท่าน"
   "เจ้าก็มีสามีแล้วมิใช่รึ"  จโกระหันมาถามรัตตัง
   "มีแล้ว และตอนนี้ก็ตายไปแล้ว"  รัตตังมองประสานตากับจโกระ
   จโกระมองหน้ารัตตัง  เขาเพิ่งจะได้เห็นใบหน้านางชัดๆก็คราวนี้  ผิวของนางขาวสว่างอย่างชาวอารยัน  ดวงตาคมเข้มแม้จะไม่เท่า  ที่สำคัญคือใบหน้านั้นขาวผิวใสจนเห็นเส้นเลือดฝอยบางๆ อยู่ทั่วไป  ทรวงอกที่รัดแน่นด้วยผ้าแถบดูเหมือนจะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยความอวบอัดแห่งสาวสะพรั่ง  ผ้าคลุมไหล่บางใสนั้นเล่าก็ไม่อาจปกปิดผิวขาวใสอวบอิ่มมีเลือดฝาดนั้นได้   ในชีวิตของเขาไม่บ่อยนักที่จะเจอกับสตรีที่พูดจาเช่นนี้  คำพูดของนางรัตตังทำให้เขารู้สึกเหมือนมีอะไรหมุนวนอยู่ในช่องท้อง
   นายพรานพยายามข่มใจที่จะพูดอะไรต่อไป  เดินนำรัตตังต่อไปยังบ้านที่อยู่อาศัย

   จนตะวันใกล้จะตกดินแล้ว  ทั้งสองจึงมาถึง  บ้านของจโกระเป็นบ้านดินหนาแข็งแรงขนาดไม่ใหญ่นัก  หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผาหยาบๆ  ตั้งอยู่สุดหมู่บ้านค่อนมาทางชายป่า  รอบๆ บ้านไม่กว้างใหญ่นักมีรั้วไม้สร้างง่ายๆ สุมหนาแน่นไปด้วยกิ่งไม้มีหนามขนาดใหญ่สูงระดับศีรษะเพื่อป้องกันสัตว์ร้าย ภายในบ้านมีร้านรมควันเนื้อ ร้านตากเนื้อแห้ง และร้านตากหนังสัตว์  เครื่องมือดักและจับสัตว์นานาชนิดแขวนและพิงอยู่กับผนังบ้าน  โดยรอบบ้านปลูกพืชผักไม้ผลประปราย  ไกลออกไปเป็นทุ่งข้าวสาลีกว้างก่อนจะเข้าเขตแนวป่าทึบดำทะมึนอยู่ในแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า  สตรีนางหนึ่งกำลังเก็บเนื้อตากแห้งใส่กระด้งสาน
   "ภริยาข้าทำอะไรอยู่รึ"  จโกระร้องถามก่อนที่จะเข้าเขตรั้วบ้าน
   สตรีนางนั้นหันกลับมา  มองดูสามี ยิ้มให้  นางเป็นหญิงร่างผอม อายุล่วงวัยกลางคนแล้ว  ผิวพรรณเข้มกร้านแดดเล็กน้อย  แต่ยังมีเค้าลางของความงามในวัยสาว
   "จโกระ" นางร้องเรียกชื่อ  พลันเห็นหญิงอีกนางที่เดินตามมาด้วย  จึงมองหน้าสามีเป็นเชิงถาม
   "นางคือรัตตัง ชาวเวสาลี"  จโกระบอกนาง  แล้วหันไปทางรัตตัง
"นี้คือภริยาข้า ชื่อพัตตา"
รัตตังยิ้มหวานให้พัตตา
"พวกของนางถูกโจรป่าปล้นเหลือตัวคนเดียว ข้าไปพบนางเข้าในป่าเมื่อตะวันบ่ายนี้เอง  เจ้าจงจัดอาหารแลที่พักนอนให้แก่นาง  วันรุ่งจะได้พานางเข้าเมืองปัตนะ นางจะอาศัยกองพ่อค้าติดตามกลับบ้าน"
   แม้จะไม่เข้าใจอะไรนัก  แต่โดยธรรมเนียมแล้วเมื่อมีอาคันตุกะมาถึงบ้านเรือนย่อมต้องต้อนรับเป็นอย่างดีจึงจะเป็นมงคล  นางพัตตาจัดแจงเตรียมอาหารอันประกอบไปด้วยเนื้อเสือดาว เนื้อแห้ง พืชผักเครื่องเทศ และข้าวสาลี  เพียงชั่วล่วงระยะเวลาที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปได้ไม่นาน  อาหารก็พร้อมอยู่ภายใต้แสงตะเกียงน้ำมัน  เนื้อเสือดาวโดยทั่วไปแล้วไม่ใช่อาหารที่จัดว่ารสเลิศนัก  แต่ในเขตคามตำบลทุรกันดารเช่นนี้การมีอาหารตกถึงท้องก็นับว่าเป็นสิ่งที่พึงจะพอใจได้แล้ว  โดยเฉพาะเมื่อมีสุราหมักจากข้าวสาลีเป็นเครื่องเคียงรสเลิศด้วยเช่นนี้
   นางรัตตังสนทนาปราศรัยกับสองสามีภริยาได้อย่างสนุกสนาน  จนจโกระเกือบจะลืมไปว่านางเป็นหญิงหม้ายที่เพิ่งจะสูญเสียสามีไปไม่นาน  นายพรานรู้สึกว่ารัตตังดูกลมกลืนไม่ถือตัวว่าตัวเป็นภริยาเศรษฐีที่ต้องมาสมาคมกับครอบครัวพรานป่าเช่นเขา  จึงจโกระให้รู้สึกชมชอบในอัธยาศัยของนางรัตตังอยู่
   ข้างฝ่ายนางพัตตานั้น  แม้จะโอภาปราศรัยกับอาคันตุกะและสามีเป็นอย่างดี  แต่ประการที่สะกิดใจนางอยู่มากและทำให้นางไม่ใคร่สบายใจนัก  คือแววตาของนางรัตตังที่ดูเหมือนจะส่งไมตรีอันแพรวพราวมายังสามีของนางเป็นพิเศษ  นางพัตตาพยายามจะบอกกับตัวเองว่านางคิดมากไปเอง  แต่โดยวิสัยของสตรีแล้วย่อมมีความหึงหวงเป็นอารมณ์อยู่เนืองๆ  เป็นปกติวิสัย  ตลอดเวลาอาหารนางจึงรู้สึกไม่ปลอดโปร่งใจนัก
   หลังรับประทานอาหารและสนทนากันเล็กน้อย  คนทั้งสามจึงดับตะเกียงน้ำมันแล้วแยกย้ายเข้านอน  จโกระแลนางพัตตาเข้ายังที่หลับนอนของตน  ส่วนนางรัตตังเข้านอนยังที่นอนอันนางพัตตาจัดให้นอนในที่อันเหมาะสม
   เวลาล่วงเลยผ่านไปในความมืด  พรานป่าผู้หลับลงไปอย่างรวดเร็วด้วยฤทธิ์สุราตื่นขึ้นมา  เขารู้สึกว่าต้องการระบายน้ำออกจากร่างกายเสียบ้าง  จโกระลุกขึ้นคลานออกมาจากที่นอนซึ่งนางพัตตาหลับสนิทอยู่  เขาเดินท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงรางๆ สลัวจากแสงจันทร์สาดส่องมาทางหน้าต่าง  นายพรานเดินออกไปยังลานบ้าน  ตรงรอยต่อระหว่างท้องฟ้ากับพื้นดิน  เงาตะคุ่มดำของต้นไม้สูงต่ำแลดูเหมือนปีศาจร้ายที่กำลังจะคุกคาม  เสียงอึกทึกลั่นแห่งความสงัดดังไปทั่วบริเวณ  นานๆ จะมีเสียงนกแลสัตว์ร้องแว่วมาจากชายป่า
   ร่างสตรีหนึ่งยืนอยู่กลางแสงจันทร์  แหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์  ผ้าคลุมไหล่บางๆ เลื่อนหลุดจากไหล่ลงมาคล้องที่ศอกทั้งสองข้าง  เผยให้เห็นไหล่เปลือยเปล่าขาวสว่างโพลนในแสงจันทร์  ตรงกลางคือแผ่นหลังซึ่งผมดำสนิทตรงยาวห้อยลงมาปิดไว้
   ฝีเท้าพรานของจโกระยังไม่เบาพอที่นางจะไม่ได้ยิน  รัตตังหันมาเมื่อเขาจรดฝีเท้าเข้าไปใกล้
   "จโกระ ท่านเองรึ ข้าเกือบไม่รู้ตัว"
   "เครื่องนอนแลบ้านข้าคงไม่สะดวกเท่าที่บ้านเจ้าที่เวสาลีกระมังรัตตัง จึงทำให้เจ้าต้องลุกออกมายามดึกเช่นนี้"
   "มิได้ นายพราน  บ้านของท่านเป็นดังทิพย์วิมานเมื่อเทียบกับที่ข้าต้องนอนในป่าหลายวันที่ผ่านมา  ที่ข้าออกมาเดินข้างนอกเช่นนี้นั้น..."  คำพูดของนางทิ้งช่วงไว้เพียงเท่านั้น
   "กระไรรึนาง"
   "ข้าไม่รู้จะกล่าวกับท่านเช่นไร  ก็ทุกวันนี้กว่าข้าจะนอนหลับลงได้ในแต่ละคืน ข้าเอาแต่คิดถึงสามีของข้า"
   จโกระพยักหน้าเล็กน้อย
   "ข้าเข้าใจว่าท่านรู้สึกเช่นไร  ความรู้สึกเช่นนี้เมื่อเจ้าขาดไร้ซึ่งคู่ชีวิต  คนที่อยู่เคียงข้างเจ้ามาตลอด  และความคิดต่อไปว่าจากนี้ไปเจ้าจะอยู่อย่างไรโดยไม่มีเขา"
   รัตตังส่ายหน้าเบาๆ มองตาจโกระ
   "มิได้  ข้ามิได้คิดถึงเขาในลักษณาการนั้น  ไม่ได้คิดว่าข้าเสียคนรักหรือคนที่จะอยู่กับข้า  แต่ข้าคิดถึง...  ข้าคิดถึงความปรารถนา... ที่จะอยู่กับเขายามนี้..."  นางมีสีหน้าเอียงอายหลบสายตาจโกระ  "...ข้าคิดถึงรสสัมผัสของเขา  ความสุขจากการสัมผัส...  การเสพสังวาส"  นางพูดไปก็แทบจะหันหลังให้พรานป่า
   จโกระร้องอ้อ  แม้จะเข้าใจความหมายของนางรัตตังแต่ก็ออกจะพิศวงอยู่มาก ที่สตรีหม้ายสาวจะกล่าวคำพูดเช่นนี้กับชายในที่ลับหูลับตาคน  แต่นั่นก็ทำให้เลือดลมของเขาไหลเวียนขึ้นมาทันที
   "ท่านคงไม่คิดว่าข้าเป็นหญิงบาป คิดว่าข้าเป็นคนไม่ดีนะจโกระ"  รัตตังหันหน้ามาทางจโกระ  มองตาด้วยสายตาขอความเห็นใจ
   "เอ่อ ไม่เลย  ข้าเข้าใจว่าคนเราก็อาจมีความรู้สึกเช่นนั้นได้"  เขาพูดอย่างไม่แน่ใจ
   "ถ้าเช่นนั้น  ท่านคงไม่รังเกียจหากข้าจะขอให้ท่าน  ทำหน้าที่เป็นสามีข้าสักครั้งหนึ่ง"  นางรัตตังพูดขึ้นด้วยแววตาหยดย้อย  มือลูบไล้ไหล่หนากร้านของพรานป่า  "ได้โปรดปลดเปลื้องความปรารถนาของข้า  ให้ข้าได้นอนหลับให้สนิทเถิด"  มือของนางลูบต่ำลงมาถึงช่วงเอวของเขา
   จโกระคว้าข้อมือบางนั้นไว้  เหมือนจะขืนให้หยุด  แต่เขากลับไม่ขืน ปล่อยให้มือนุ่มนวลนั้นลูบไล้ต่อไป
   "แต่ข้าเป็นชายมีภริยาแล้ว  และภริยาของข้านอนหลับอยู่ในบ้าน  เราไม่ควร..."
   "ก็ภริยาท่านหลับอยู่มิใช่หรือ"  นางพูดแทรก  "คนที่หลับไม่อาจรู้เห็นสิ่งใดได้  มาเถิดจโกระ  ท่านช่วยชีวิตข้า ท่านสมควรได้สิ่งตอบแทนชีวิตของข้า"
   นางรัตตังจับมือข้างหนึ่งของจโกระมาทาบกับอกตัวเอง  อีกมือก็เกาะกุมอวัยวะแห่งความเป็นชายของพรานป่าซึ่งแข็งขืนขึ้นมารออยู่แล้ว  เพียงสัมผัสเนินอกนอกผ้าแถบรัด ความรู้สึกนึกคิดผิดชอบของจโกระก็หลุดลอย  เขาเค้นคลึงเนินอก  ปลดผ้ารัดอกออกปล่อยเต้านมขาวสว่างโพลนในแสงจันทร์  เต้านมที่กลมเป็นทรงอย่างสมบูรณ์สวยงามผิดจากภริยาของเขา  พรานป่าก้มลงดูดดื่มหัวนมแดงระเรื่อที่อยู่ตรงยอดราวกับตายอดตายอยากมือเค้นคลึงเต้านมข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งปลดเข็มขัดที่ชายพกผ้าถุงออก รัตตังใช้มือช่วยเขาปลดหัวเข็มขัด  เมื่อเข็มขัดหลุดออก ผ้านุ่งสีแดงก็เลื่อนหลุดลงไปกองกับพื้น  ปล่อยเรือนล่างท่อนล่างเปลือยเปล่าใต้แสงจันทร์  นายพรานบีบนวดเค้นลูบไล้สะโพกกลมกลึงด้านหลัง แล้วกดให้สะโพกด้านหน้าซึ่งผายใหญ่ประดับด้วยเนินขนบางๆ นั้นแนบชิดบดเบียดเข้ากับท่อนความเป็นชายโดยมีผ้านุ่งของตนขวางกั้นอยู่
   จโกระฟอนเฟ้นดูดดื่มเต้านมคู่งามอยู่ไม่นาน  เขาก็จับร่างรัตตังหมุนหันหลังให้  กดไหล่นางก้มลง ขยับจะปลดผ้านุ่งของตัวออก
   "เดี๋ยว  ทำอย่างนั้นมันจะไปดีอะไร"  รัตตังขืนตัวไว้ หันกลับมาประจันหน้านายพราน  เต้านมอวบอิ่มแกว่งไกว  "เดี๋ยวข้าทำให้เจ้าก่อน"
   รัตตังปลดผ้านุ่งของจโกระ  ท่อนเอ็นแข็งตั้งขนาดไม่เล็กซึ่งดุนดันผ้านุ่งอยู่ก็ปรากฏสู่ภายนอก  นางเคลื่อนเข้าแนบชิด ลูบไล้กายพรานป่าแล้วใช้ร่างกายของตนเสียดสีไปกับร่างของนายพราน  ผิวขาวผ่องนวลเนียนไร้รอยไฝฝ้าต่อผิวเข้มคล้ำกร้านแดดที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นจากเขี้ยวเล็บสัตว์และรอยสักนานาชนิด 
   นางใช้ทรวงอกที่ประดับไปด้วยยอดแดงเรื่อไล้ไปกับเรือนอกและหน้าท้องของจโกระ  ซอกระหว่างขาที่ประดับด้วยเส้นขนบางเบาก็ถูไถไปกับท่อนขาแข็งแรง  จโกระยืนเกร็งตัวรับสัมผัสที่แปลกใหม่จากหญิงสาวแปลกหน้า  รัตตังเลื่อนลงจนนั่งคุกเข่ากับพื้น  ใช้ทรวงอกทั้งคู่ไล้ลูบเสียดสีท่อนเนื้อแข็งเกร็ง  แล้วใช้มือกดบีบเต้านมทั้งสองข้างของตนเข้าหากัน บีบรัดท่อนเนื้อแข็งเกร็งไว้ระหว่างกลาง  นางโยกตัวดันทรวงอกเข้าออกเป็นจังหวะเสียดสีให้ความสุขแก่จโกระ  ท่อนเอ็นเนื้อแข็งผลุบเข้าโผล่ออกระหว่างเต้านม  นายพรานก้มลงมองภาพอันเขาไม่คิดว่าจะได้เห็นในชีวิตนั้นก็แทบจะทะลักความสุขออกมา  น้ำใสๆ ซึมออกมาตรงหัวท่อนเอ็นเนื้อ  ชโลมส่วนหัวจนเป็นมันลื่น
   "ที่เวสาลีเขาทำกันเช่นนี้หรือ"  เขาถามออกมาระหว่างที่เสพรับความเสียวซ่านนั้น
   "ที่ที่ข้ามา ทำกันยิ่งกว่านี้อีก..."  รัตตังเงยหน้าขึ้นมามองโดยไม่หยุดโยกตัวเข้าออก "...เช่นแบบนี้เป็นต้น"
   ว่าแล้วนางก็ละทรวงอกออกจากท่อนเอ็น  ใช้มือกุมท่อนเนื้อไว้  ชักเข้าออกเบาๆ ครู่หนึ่งก็ก้มศีรษะลง  ใช้ปากครอบอมลำลึงเอาไว้  แรงรัดรึงจากริมฝีปากและความนุ่มกระชับที่ได้รับจากลิ้นอันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิตทำให้จโกระแทบกลั้นความสุขเอาไว้ไม่ให้ระเบิดออกมาเสียไม่ได้  พรานป่าพ่นลมออกมาทางปากเพื่อระบายความเสียว  ที่เบื้องล่างรัตตังใช้นิ้งสัมผัสเขี่ยเม็ดทับทิมของตัวเองที่อยู่ในร่องหลืบเนื้อ  สัมผัสต่อเนื่องเรียกน้ำเสียวให้ชุ่มฉ่ำร่องรู  และเรียกเสียงอืออาออกมาจากปากที่อัดแน่นไปด้วยท่อนเอ็น  ตวัดลิ้นไปโดยรอบส่วนหัวที่อยู่ในปาก  ใช้ปลายลิ้นซอกซอนไปตามหัวหยัก  รูดปากเข้าไปจนลึก  จนปลายหัวหยักสัมผัสเข้ากับส่วนที่ลึกที่สุดของปาก  ริมฝีปากสวยแดงเรือรัดอยู่ที่สุดโคนท่อนเนื้อ  รัตตังใช้ลำคอดูดท่อนลำครู่หนึ่งท่ามกลางเสียงครางของพรานป่า  จโกระกำลังจะระเบิดความสุขออกมาอยู่อีกไม่นานนี้แล้ว
   แล้วที่สุดนางก็ถอนปากออก  ริมฝีปากและลิ้นรัดรูดแน่นตึงในจังหวะถอนดึงให้จโกระแอ่นสะโพกตามออกมา
   "เป็นเช่นไร  กับภริยาท่านท่านเคยได้รับสิ่งนี้หรือไม่"
   "ไม่เคย"  จโกระตอบระคนเสียงหอบเบาๆ
   "แล้วท่านชอบหรือไม่"
   "ชอบมาก ข้าไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน"
   "ถ้าชอบก็จงประพฤติตนเป็นสามีข้าได้เดี๋ยวนี้แล้ว"
   รัตตังขยับหันหลังให้จโกระ  ก้มตัวลงยึดเกาะต้นไม้ใหญ่  หันบั้นท้ายขาวอวบกลมกลึงผายใหญ่ให้นายพราน แยกขาออกเล็กน้อย  ในท่ามกลางแสงจันทร์พูเนื้อสองพูอัดอยู่ระหว่างขาอ่อนอวบขาวนวลเนียนปลิ้นออกด้านหลังปรากฏแก่สายตาจโกระ  เส้นขนบางๆ ชุ่มชื้น  ระหว่างพูเนื้อ  หยาดน้ำเสียวเมือกลื่นหยดเป็นสายยืดยาวลงมาถึงช่วงเข่า แกว่งไปมาตามจังหวะการเคลื่อนไหวแล้วขาดออกหยดลงสู่พื้น
   "ทำข้าเหมือนที่ท่านทำกับภริยาท่าน"
   จโกระจับท่อนเอ็นที่แข็งจัดเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายจรดจ่อเข้าร่องรูระหว่างพูเนื้อ  เขากดท่อนเนื้อลงพรวดเดียวมันเข้าไปได้โดยง่ายจนสุดความยาว  นายพรานสาวเอวออกเกือบสุดแล้วอัดกระแทกเข้าไปอีกครั้ง  รัตตังออกเสียงครางแผ่วๆ ระคนลมหายใจหนักๆ  เสียงเช่นนั้นยิ่งปลุกอารมณ์พรานป่าให้กระสันอยากมากขึ้น  เขาอัดรัวท่อนเนื้อเข้าใส่บั้นท้ายของรัตตังอย่างหนักหน่วงรวดเร็ว
   รัตตังซวนเซตามแรงกระแทก  พยายามยึดเกาะต้นไม้ไว้  แต่แรงกระแทกที่ไม่ยั้งนั้นทำให้นางเซเข้าใส่ต้นไม้ รัตตังใช้บ่ายันต้นไม้เพื่อเป็นหลักยึด  เสียงครางแผ่วๆ เริ่มดังขึ้น  จโกระใช้มือคว้าสะโพกผายใหญ่แล้วดึงเข้าหาตัวสวนกับท่อนเนื้อของตัวเองที่กระแทกสวนเข้าใส่อีกทาง  ครู่หนึ่งจโกระก็โน้มตัวลงทาบกับแผ่นหลังของรัตตัง  เอื้อมมือคว้าเต้านมทั้งสองข้าง  บีบเค้นพร้อมกับเด้งเด้าสะโพกเข้าใส่รัตตังที่มีต้นไม้ใหญ่เป็นหลักยึด
   "จโกระ ท่านเสพสมภริยาของท่านเช่นนี้หรือไม่"  รัตตังร้องถาม เสียงขาดเป็นช่วงๆ ตามแรงกระแทกจากด้านหลัง
   "ใช่ ข้าทำเช่นนี้"
   "ภริยาของท่านอยู่ที่ไหนจโกระ"  นางถามอย่างกระตุ้นอารมณ์มืดดำ
   นายพรานรู้สึกเสียวกระสันราวกับจะถึงจุดสุดยอดเอาเสียให้ได้เมื่อนึกขึ้นได้ถึงเรื่องนั้น
   "นอนหลับอยู่ในบ้านข้านี้เอง"  เขากัดฟันข่มอารมณ์เสียว
   "เช่นนั้นย่อมหมายความว่าเรากระทำชู้กันเช่นนั้นหรือ"
   "ใช่ เป็นเช่นนั้น"
   หม้ายสาวพยายามชันยกยืนตัวตรงขึ้น  แต่ยังคงแอ่นสะโพกให้นายพรานสอดใส่กระทุ้งเสยจากด้านหลัง  จโกระมือหนึ่งบีบเค้นสลับสองเต้าพร้อมทั้งบีบบี้หัวนมแดงระเรื่อ  อีกมือหนึ่งเกาะกุมอยู่ที่เนินเนื้อที่มีขนบางๆ ปกคลุม  นายพรานไม่ได้เชี่ยวชาญเฉพาะแต่สรีระของสัตว์ป่าเท่านั้น  เขาให้นิ้วมือแหวกกลีบเนื้อที่ชุ่มฉ่ำซึ่งท่อนเอ็นของเขาเสยกระทุ้งจากด้านหลัง นิ้วบดเบียดขยี้เม็ดเสียวจากทางด้านหน้า  เสียงร้องครางของรัตตังเริ่มดังถี่กระชั้นขึ้น
   "ระหว่างภริยาท่านกับข้า ท่านพอใจเสพสมใครมากกว่ากัน"  รัตตังถามระคนเสียงครวญครางและเสียงหอบหายใจ หลืบรูเบื้องล่างตอดรัดท่อนเนื้อผู้ล่วงล้ำเป็นระยะ
   จโกระกำลังเสียวซ่านเมามันด้วยอารมณ์กำหนัด  ทั้งความสาว ความสวย ลีลาในการปรนเปรอ และการตอบสนองที่ถึงใจ เมื่อเทียบกับภริยาวัยเดียวกับเขา  นั่นเป็นคำถามที่ตอบได้ไม่ยากเลย
   "แน่นอนย่อมเป็นเจ้า"
   นายพรานสูดดมกลิ่นสาวจากลำคอของรัตตัง  แม่หม้ายเอียงคอให้เขาเข้าถึงได้โดยสะดวก  จโกระเน้นขยี้เม็ดเสียวหนักหน่วงขึ้น  เท่าๆ กับที่รัตตังเริ่มกรีดร้องด้วยความเสียวซานสุดยอด  เขาก็เริ่มทนไม่ไหวกับสัมผัสตอดรัดหนักๆ ที่รู้สึกหนึบหนับที่ตรงร่องรูฉ่ำน้ำที่ท่อนเนื้อเขาซุกแทรกอยู่  จโกระรัวนิ้วด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่เขาจะทำไหว  รัตตังกรีดร้องยาวออกมาพร้อมกับแรงดูดตอดถี่ๆ หนักหน่วงมหาศาลราวกับจะดูดเอาอวัยวะของพรานป่าให้หลุดเข้าไป  ความเสียวซ่านในตัวของจโกระเพิ่มขึ้นรวดเร็วแล้วฉีดออกทางปลายท่อนเอ็นที่มุดอัดดันอยู่ในโพรงสังวาสของหม้ายสาว  พรานป่าฉีดน้ำกามขาวข้นเข้าราดรดปากมดลูก เขาอัดท่อนเอ็นเข้าใส่ร่องรูที่ตอดรัดหนึบหนับราวกับจะดูดกลืนทุกหยาดหยดของน้ำที่ออกมาจากลำลึงค์  จโกระกระตุกไหวกายเยือกหลายครั้งเมื่อฉีดน้ำกามระลอกแล้วระลอกเล่าเข้าไปอาบรดร่องรูจนท่วมท้น  จนไม่มีแรงที่จะกระตุกฉีดอีก
   จโกระหมดแรง เข่าอ่อน เขาเกาะร่างของหม้ายสาวเอาไว้เพื่อไม่ใช่ล้ม  ท่อนเอ็นแข็งเกร็งเริ่มอ่อนตัวจนหลุดออกมาในที่สุด  น้ำกามจำนวนเล็กน้อยที่โพรงเนื้อไม่สามารถเก็บกักไว้ได้หมดไหลล้นตามออกมาหยาดหยดลงบนพื้นดิน
   หลังจากหยุดหอบหายใจกันสักครู่  รัตตังหันมาหาพรานป่า  มือนุ่มนวลสัมผัสใบหน้ากระด้างนั้น  เช่นนี้คือการเสพสมอย่างที่นางต้องการ  มีชีวิตชีวา มีเรื่องราว  มีความสัมพันธ์  ความสัมพันธ์ระหว่างนาง นายพรานป่าผู้มีเลือดเนื้อวิญญาณจริงๆ เสพสังวาสกันในลักษณะเป็นชู้ ในบ้านของเขาเอง ขณะที่ภริยาของเขานอนหลับอยู่ในบ้าน  ความรู้สึกเช่นนี้เป็นความรู้สึกที่กระตุ้นราคะมากเกินกว่าอารมณ์ทางเพศทั่วไป  ในแบบที่ไม่ว่าจะสวรรค์ชั้นไหนๆ ก็หาให้ไม่ได้
   ที่ชายป่า  รอยต่อตรงที่ฟ้า กับดินมาบรรจบกัน  เงาไม้ตะคุ่มเรียงเป็นทิวแถวสูงต่ำ  ดูราวปิศาจร้ายที่ออกมาจากใจคน  คอยจ้องคุกคามผู้ที่อ่อนแอ
   "ข้ามีความสุขมาก จโกระ ท่านทำหน้าที่แทนสามีข้าได้อย่างสมบูรณ์"  นางใช้นิ้วแตะที่ขมับของพรานป่า  "คราวนี้ท่านกลับไปนอนกับภริยาของท่านได้แล้ว"
   โดยไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอย่างใดเลย  จโกระก้มลงหยิบผ้านุ่งมานุ่ง แล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้านไป
   
   รัตตังหันหลังพิงต้นไม้ใหญ่ มือลูบไล้เรือนร่างเปลือยเปล่า  ไล่ไปถึงร่องหลืบชุ่มฉ่ำ  นางสัมผัสที่ปากรู  น้ำกามของทั้งสองคนซึมเยิ้มไหลออกมาอาบโคนขาด้านในไม่ขาดสาย  วันนี้นางได้รับการเติมเต็มอย่างเต็มที่และพึงพอใจ  ได้เวลากลับสู่ที่ที่นางจากมา  การมายังมนุษย์ภูมิครั้งนี้นางได้ตรงตามความมุ่งหมายแล้ว
   นางโบกมือวูบหนึ่ง  ร่างเปลือยเปล่าก็ประดับไปด้วยผ้าถุง ผ้ารัดอก ผ้าคลุมไหล่ และเครื่องประดับอันประกอบด้วยทองคำแลเพชรพลอยในลักษณาการเดิมของรัตตวดี  นางอธิษฐานจิตกลับไปยังบ้านที่นิมมานรตี  แล้วจึงโบกมือ  ภาพยามค่ำคืนของบ้านดินนายพราน  อุปกรณ์ดักสัตว์  ร้านรมควันเนื้อ ค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตาจนทุกสิ่งอย่างรอบตัวกลายเป็นสีขาว
   รัตตวดีรู้สึกกระตุกวูบหนึ่งพลันภาพใหม่ก็ปรากฏขึ้น จากสีขาวค่อยชัดเจนขึ้นจนแจ่มชัด  ในที่สุดนางก็พบตัวเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่ใช่บ้านอย่างที่เธอต้องการจะไป  แต่เป็นห้องโถงขนาดใหญ่เพดานสูงไม่มีหน้าต่าง  เสาหินสีขาวกลึงกลมหลายต้นเรียงเป็นแถวสองแถวตลอดความยาวห้องโถง  ฝ้าเพดานเป็นลายจำหลักสีขาวประดับทองเป็นลวดลายละเอียดวิจิตรพิสดาร  ที่ปลายสุดห้องโถงมีบัลลังก์ทองคำขนาดพอดีกับคนที่ตัวสูงใหญ่กว่ามนุษย์ปกติสักสี่เท่า  ห้องโถงรายล้อมด้วยร่างในชุดเกราะเงินวาววับ ถือโล่และหอกยาวใบเล็ก  ทุกคนใบหน้าเฉยเมยยืนนิ่งเหมือนหุ่น  รัตตวดีมองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นร่างนิมิตที่ไม่มีชีวิตจิตใจ  บนบัลลังก์มีชายผู้หนึ่งนั่งอยู่  ชายหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์ในชุดเครื่องทองแบบกษัตริย์  บนศีรษะสวมมงกุฎยอดสั้นประดับอัญมณีแพรวพราว  นั่งท้าวแขนอยู่
   "ข้าไม่ควรจะต้องมาอยู่ที่นี่ ท่านสุนิมมิต"  นางกล่าวกับชายบนบัลลังก์
   "เจ้ารู้ว่าเจ้ามาที่นี่เพราะอะไร"  ชายบนบัลลังก์ตอบมา ขยับตัวนั่งตรง  เสียงราบเรียบของเขาทรงอำนาจอย่างไม่น่าจะออกมาจากชายหนุ่มร่างเล็กเช่นนั้น
   รัตตวดีถอนหายใจ
   "การที่ข้าเป็นชาวนิมมานรตี  หมายความว่าข้ามีอำนาจที่จะบันดาลสิ่งใดก็ได้ตามต้องการ และสามารถที่จะไปได้ทุกที่ในจักรวาลนี้"  นางประกาศ
   "ได้ทุกอย่างตราบเท่าที่ไม่ก่อบาป รัตตวดี"  สุนิมมิตพูดเสียงราบเรียบต่อไป
   "บาปของข้า ข้าก่อ ข้ารับโทษทัณฑ์เอง ไม่เกี่ยวกับท่าน  ท่านเป็นเพียงผู้ดูแลนิมมานรตี ไม่อาจกำหนดบาปหรือการกระทำของใครได้" 
   "ข้าคิดอยู่แล้วว่าเจ้าต้องพูดเช่นนั้น  ดังนั้นข้าจึงขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง  ในฐานะผู้ดูแลนิมมานรตี  ด้วยบาปของเจ้าที่เจ้าก่อขึ้น  กาเมสุมิจฉาจาร เป็นบาปขั้นร้ายแรงที่แม้แต่มนุษย์ยังไม่ละเมิด  ข้าอาจกำหนดให้เจ้าสิ้นสุดอายุขัยจากที่นี่ไปเกิดยังโลกมนุษย์  เพื่อไปรับโทษยังนรกภูมิในเวลานี้  ก่อนที่จะกลับมาเสวยสุขกับบุญของเจ้าที่เหลือที่นี่ก็ได้"
   รัตตวดีก้าวเท้าเข้าไปใกล้บัลลังก์ทองคำ  จ้องหน้าสุนิมมิต
   "เช่นนั้นท่านก็ทำเลย  อย่างไรเสียข้าก็ต้องไปนรกอยู่แล้วนี่"
   "ถ้าข้าทำเช่นนั้นข้าคงไม่ต้องมานั่งคุยกับเจ้าเช่นนี้"  สุนิมมิตพูดเสียงเบาอย่างอ่อนใจ  "ที่ต้องมาคุยก็เพราะบาปบุญของเจ้าที่สั่งสมมา  ประกอบกับสิ่งที่ข้าต้องการให้เจ้าทำ  มันอาจทำให้ความผิดบาปของเจ้าเบาบางจนอาจไม่ต้องไปรับโทษทัณฑ์ในนรกภูมิเลยก็เป็นได้"
   "ทำอะไร"  นางฟ้าถามเสียงเบาลงจนเกือบจะเป็นปกติ
   สุนิมมิตนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง  แล้วพูดเสียงเบาราบเรียบตามปกติ
   "นับแต่ไหนแต่ไรมาวิญญาณทุกดวงที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในจักรวาลแห่งนี้จะเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ได้ด้วยพันธะแห่งกาม  การก่อบุญ การก่อกรรม ทำให้เกิดความผูกพันที่ต้องทดแทน ต้องชดใช้ ต้องชำระกันอยู่เรื่อยไป ทำให้สัตว์ไม่อาจหลุดพ้นไปจากสังสารวัฏได้"
   "และอย่างที่รู้ ในแต่ละช่วงเวลาจะมีการอุบัติขึ้นของพระพุทธะ  ผู้สามารถชี้นำให้สัตว์โลกหลุดพ้นจากบ่วงกาม ไปจากสังสารวัฏ  ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก  ซึ่งในแต่ละยุคของพุทธะที่ผ่านมา  ก็ได้มีดวงวิญญาณจำนวนหนึ่งหลุดพ้นไปจากวัฏนี้  สูญไป สลายไป  ซึ่งนั่นเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของทุกสัตว์บนโลกที่ต้องการจะไปให้ถึงจุดนั้น  รวมทั้งข้า  รวมทั้งเจ้าด้วยรัตตวดี"
   รัตตวดีขยับปากเหมือนจะค้านอะไรออกมา  แต่ก็ตัดสินใจยอมฟังต่อ
   "มวลหมู่เทพชั้นสูงแห่งสวรรค์และนรกส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่าการสนับสนุนให้สัตว์พ้นไปจาวัฏฏะสงสารเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ควรจะเป็น  เพื่อจักรวาลจะได้ลดความแออัดลง และเมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง  เมื่อสัตว์สุดท้ายของจักรวาลหลุดพ้นไปจากวัฏฏะได้แล้ว  เมื่อนั้นก็เท่ากับจักรวาลมีความสงบ เข้าสู่จุดสิ้นสุดทุกสิ่ง ไม่ต้องมี ไม่ต้องเป็น"
   "แต่พอดีว่ามีเทพชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งไม่เห็นด้วยกับแนวคิดเช่นนี้  ท่านมองว่าการที่สัตว์หลุดพ้นไปจากวัฏฏะมากๆ จะทำให้จักรวาลไม่สมดุล  เพราะจักรวาลขับเคลื่อนด้วยกาม หากไม่มีกามแล้วจักรวาลย่อมไม่มีความเคลื่อนไหว ไม่มีการพัฒนา ไม่มีการเกิด  ซึ่งจะทำให้จักรวาลเสียสมดุล  ซึ่งเทพผู้ใหญ่ท่านนี้เป็นผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดในหมู่ภพภูมิที่ยังมีกาม  อันได้แก่ภพภูมินับแต่โลกันตมหานรก ทะเลสีทันดร นรกทั้งแปด โลกมนุษย์ และสวรรค์ทั้งหก  เทพผู้เป็นใหญ่ท่านนี้คือผู้ที่ทำหน้าที่ควบคุมการหมุนเวียนของกามเพื่อความสมดุลของจักรวาล"
   "ท่านวสวัสดี"  รัตตวดีพึมพำเบาๆ เหมือนลืมตัว
   "ใช่ ท่านวสวัสดีมีกองทัพกามกิเลสจำนวนมากมายมหาศาลเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการกำกับให้ทุกสัตว์ในจักรวาลขับเคลื่อนไปได้ด้วยกาม  แม่ทัพใหญ่ๆ ที่ร้ายกาจ อย่างโกรธ  ความหลงผิด  ความเกลียด  และธิดาทั้งสามคือ ความอยาก ความใคร่ และความอิจฉา  แล้วก็ยังมีอื่นๆ อีกมากมายบรรยายไม่หมด  ทั้งนี้ก็เพื่อสกัดกั้นสัตว์ที่กำลังจะเข้าถึงการหลุดพ้นจากวัฏฏะ  ให้ตัดไม่ขาด หลงเวียนว่ายตายเกิดต่อไป"
   "แล้วท่านต้องการให้ข้าทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้"  รัตตวดีถามเข้าเรื่อง  ตาดุเข้มงวดมองหน้าสุนิมมิต นางถามทั้งที่พอจะเข้าใจความมุ่งหมายของสุนิมมิตแล้ว  และสุนิมมิตเองก็ทราบดีว่าเธอไม่ปฏิเสธข้อเสนอเลย
   สุนิมมิตลุกขึ้นลงจากบัลลังก์ เดินสืบเท้าเข้าไปหารัตตวดี  กิริยานั้นรัตตวดีทราบได้ทันทีว่าต้องทำอย่างไร  นางคุกเข่าลงตรงหน้าจอมเทพ ก้มศีรษะ  สุนิมมิตวางมือลงบนบ่าข้างซ้ายของรัตตวดี  ประกาศด้วยเสียงเรียบเบา ทรงอำนาจ
   "รัตตวดี  ด้วยโทษทัณฑ์ของเจ้าจากการประกอบกาเมสุมิจฉาจาร ข้า ท้าวสุนิมมิตแห่งนิมมานรตี ขอลงโทษทัณฑ์เจ้า  ให้เจ้าไปยังโลกมนุษย์ในรูปของเทพผู้ปกปักรักษา  จงทำหน้าที่ปกป้องมนุษย์ผู้มีโอกาสจะหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารได้ในอนาคต  ให้พ้นจากการครอบงำของกิเลสมารที่จะมาขัดขวางพวกเขา" 
"และในฐานะที่เจ้าเป็นผู้หมกมุ่นลุ่มหลงอยู่กับราคะอย่างมาก  ข้าขอสาปให้เจ้าได้รับพลังแห่งเทพผ่านการสังวาสและการเสพกามราคะ..."
"แล้วข้าจะได้กลับมาเมื่อใด"  รัตตวดีเงยหน้าขึ้นมองสุนิมมิตถามเสียงเบา
"เมื่อเจ้าได้รับรู้ถึงความรักที่แท้จริงที่ไม่มีราคะเจือปน"
รัตตวดีมองหน้าสุนิมมิตอย่างมีคำถาม แต่นางรู้ว่าผู้เป็นใหญ่ไม่มีคำตอบใดๆ ให้นาง
รัตตวดีรู้สึกถึงแรงกระตุกรุนแรงเยือกหนึ่งแล้วภาพห้องโถงและร่างของสุนิมมิตก็พร่าเลือนกลายเป็นสีขาว  แล้วค่อยมืดลง มืดลง จนทุกอย่างมืดสนิท

..........................................................

ในความมืดมิด  ความเจ็บปวดแปลบปลาบที่ท่อนขาขวา แขนซ้าย  ระบมรวดร้าวตามลำตัว  สมองหนักอึ้งราวกับไม่อาจจะยกศีรษะขึ้นได้อีก
แสงสีขาวเริ่มสว่างขึ้น  เมื่อกระพริบตาถี่ๆ จึงรู้ว่าเป็นฝ้าเพดานสีขาวสะอาด  ความรู้สึกเหมือนร่างหนึ่งยืนอยู่ด้านปลายเท้า
ร่างสตรีร่างสูง ผิวขาวจัดสว่างใสจนเห็นเส้นเลือดแดงฝาดกระจายอยู่ทั่วไปใต้ผิวหนัง  ดวงตาคมเข้มจมูกโด่งเป็นสัดอยู่ภายในกรอบเรือนผมดำสนิทตรงยาว  อยู่ในชุดผ้าถุงสีแดงลายสอดดิ้นทอง  เข็มขัดทองรัดที่เอวบาง เหนือขึ้นไปคือหน้าท้องแบนราบเปลือยเปล่า  ถัดไปเป็นผ้ารัดอกสีแดงที่รัดอกอวบอิ่ม  ไหล่ขาวผ่องคลุมด้วยผ้าโปร่งผืนบางๆ
"รัตตวดี"  ปากพึมพำออกมาได้เท่านั้น
"พี่เทพ พี่เทพตื่นแล้ว"  เสียงเด็กสาวคุ้นหูดังขึ้นข้างตัว
"พลอย..." เทพพึมพำ  หันกลับไปมองที่ปลายเท้า
ร่างนั้นยังยืนอยู่  ผิวขาวใสเลือดฝาดแบบนั้น ตาแบบนั้น จมูกแบบนั้น ผมตรงยาวแบบนั้น
แต่อกอวบอิ่มไม่ได้ถูกรัดด้วยผ้าแถบ  มันถูกคลุมทับด้วยเสือยืดสีแดงพิมพ์ลายภาษารัสเซียแบบที่ผมเคยเห็นบ่อยๆ ท่อนล่างนั้นก็เข้าชุดกันด้วยกางเกงยีนส์เข้ารูปสีซีดจาง
"ทับทิม..." 

olemantu

นับถือพุทธศาสนาเหมือนกัน  แต่ก็ไม่ได้เคยรู้ลึกไปถึงเรื่องราวต่าง ๆแบบนี้ 
ก็นับว่าเป็นการศึกษาที่แปลกไปอีกอย่างหนึ่งของผม เพราะดันมารู้จักเรื่องราวทางพุทธ ในเวปนี้
และด้วยอายุของตัวเองที่พบเรื่องเหล่านี้ ก็น่าจะเป็นตอนที่อยู่วัดมากกว่า มารู้เรื่องเหล่านี้ในเวปเรืองเสียว..เฮ้อ..ตูเอ๊ย.

peddo

เบื้องหลังยาวเลยครับมันจริงๆเพิ่งได้คิดว่าเทวดานี่ก็มีทุกข์อีกแบบนึงสาธุครับ

kaithai

#3
"เมื่อเจ้าได้รับรู้ถึงความรักที่แท้จริงที่ไม่มีราคะเจือปน"
มันจะมีเหรอรักแบบนี้   แล้วจะใช้เวลานานเท่าไหร่ละ





คำเตือน  ก่อนคอมเม้นต์ จากเจ้แว่น
................................................................................................................
ใครจะอ่านผลงานทุกตอนในห้องนี้ ถ้าทำตามกติกา-เงื่อนไขนี้ไม่ได้ แล้วรีพลายมักง่ายผ่านไปที หรือ รีพลาย ขอบคุณครับ,ขอบคุณ,ขอบคุณค่ะ,ติดตามครับ,สนุกมากครับ,ติดตามต่อ. อะไรประมาณนี้ จะแบนเลยนะ ขอบคุณมากๆครับ ก็ไม่ต้อง thank,thank you,thx ขี้หมาหลายแหล เหล่านี้ก็อย่าให้เห็น จัดรูดแบนไปยาวๆถ้าเจอ นี่เป็นข้อตกลงไว่ก่อนอ่านระหว่างเจ้าของงาน กับสมาชิก ::Angry:: ถ้า รีพลายผิดเงื่อนไขมาหรือ โชว์พาล์วอยู่มานาน โชว์เก๋า โชว์สด โชว์เกรียน ทำมึนลองมาจะแบนเลย เพื่อสมาชิกอีกส่วนที่พร้อมทำตามกติกา ::Cheeky:: เพราะไม่เช่นนั้น รีพลายคุณอาจทำให้ สมาชิกที่ปฏิบัติตามพลอยอดอ่านไปด้วย ฉะนั้นไม่แน่ใจ อย่าพิมพ์เอามักง่ายมั่วๆ..ถ้าคิดว่า กฏนี้มันยากก็ไปหาที่อื่นเสพนะ อย่าเข้ามาใช้มาอ่านงานที่ห้องนี้ อ๋อ ใครโดน pm เตือนถ้ายังมึนจะแบนจาก 6 เดือนเป็น 1ปี. .

กฎที่วางนี่ไม่ได้เขียนเอา ฮา เนอะ แบนจริงใครอยู่นานแล้วคงรู้จัก แว่น ดี..คิดว่า ฉันแบนจริงหรือเตือนเอาสนุกเล่นๆ..อย่าๆลอง เดี๋ยวจะเสียความรู้สึกด้วยรีพลายคุณเอง ทำตามเงื่อนไข ยากอะไร หรือ จะโชว์เกรียน..เตือน,ขอร้อง,ขอความร่วมมือ แล้วเมื่อไม่รักษาสิทธิ์-ประโยชน์คุณเอง ก็แบนไปใช้เวปอื่น. .
................................................................................................................

navy868

ที่มาที่ไปเป็นแบบนี้นี่เอง...รับพลังแห่งเทพผ่านการสังวาสและการเสพกามราคะ...

tetete

ถ้ารัตตวดีคือทับทิม 3สาวพี่น้องก็เป็นฝ่ายไม่ดีสิครับแล้วพ่อของ3สาวคือใครหว่า

kabyala

ดูก่อนมานพหนุ่ม อ่านมาตั้งหลายตอนตาเจ้าพรึ่งจะเริ่มสว่างหลังจากได้อ่านในบทนี้ อมิตพุทธ ขอบคุณครับ

pinmonkey

ช่างแฟนตาซีลึกซึ้งมากครับ แล้วนางฟ้าจะได้กลับสวรรค์ไหมนะ ก็เจอกับบทรักเน้น ๆ แบบนี้จะเจอความรักยากหน่อยละนะ ขอบคุณมากครับ

psm_mach

อ้าวเทพกับพลอยคือผู้ที่จะหลุดพ้นวัฏฏสงสารหรือครับ แล้วจะมีบทเสียวต่อไปยังไง รอติดตามตอนต่อไปนะครับ ขอบคุณครับ

naitoom

เพิ่งรู้จักคำว่า เอทิส เป็นครั้งแรก ทำให้ต้องไปค้นคว้าต่อว่า เอทิสคืออะไร
ใน wikipedia มีคนลงอธิบายไว้ เข้าใจง่าย
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1
แต่ไปเจอใน pantip มีคนถกเถียงกันถึงคำนี้มากจนงงๆ

กลับมาถึงเรื่อง ทับทิม
ในที่สุดก็อธิบายเรื่องทั้งหมด ทับทิมคือ รัตตวดี
ส่วนพี่น้อง 3 สาว คือธิดาทั้งสามของวสวัสดี (ความอยาก ความใคร่ และความอิจฉา)
ส่วน เทพและพลอย คือผู้ที่กำลังจะเข้าถึงการหลุดพ้นจากวัฏฏะ
ถูกต้องไม๊ครับ????

elviswhat

กลับมากลายเป็นย้อนรอยไปไกลหลายร้อยปีเลยทีเดียว

devilzoa

ย้อนไปไกลเหลือเกินแต่ก็สนุกครับ

somc217

เป็นพล็อตเรื่องที่สวยงาม ชวนติดตาม
ขอบคุณมากครับ

teerawatc

รอบแรกอ่านผ่านๆ เหมือนจะอ่านยากใช้ภาษาที่ซับซ้อน แต่พอตั้งใจอ่านก็เข้าใจได้

คงเป็นเพราะชื่อตัวละคร กับชื่อสถานที่ ที่ไม่ค่อยคุ้นหูทำให้คิดไปเองว่าอ่านยาก

ย่อหน้าแรกนี่อ่านแล้วเห็นภาพจักรวาล หมู่ดาว ภูเขา เทพเจ้า ลอยเข้ามาในหัวเลย

ตอนนี้เป็นที่มาของทับทิมล้วนๆเลย ตอนนี้ตอนเดียวเข้าใจได้ทันทีว่าแต่ละคนมีจุดประสงค์อะไร

สงสัยอย่างนึงว่าทำไมสามสาวใช้วิธีที่ยุ่งยาก ใช้แผนการล่อลวงต่างๆ แทนที่จะฆ่าพระเอกไปเลย

จบๆไปไม่มีใครได้หลุดพ้นจากวัฏสงสารอีก

biochem

ผมว่าเรื่องนี้มผู้เขียนนอกจากใช้ความรู้ทางศาสนามาแล้ว ยังเข้าใจถึงผู้อ่านได้ดีเยี่ยม

ผมอยากให้เรื่องนี่มีอีกเวอร์ชั่นนึงจัง