ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ทางเดินที่เลือก 2 (จบ)

เริ่มโดย twintower, มกราคม 06, 2017, 06:54:23 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

twintower

เวลาผ่านไปเกือบ 4 เดือน ตุ๊กตาได้แต่งงานหลังจากที่หมั้นไปได้ไม่เท่าไหร่ความสัมพันธ์ของเธอกับกริชภายนอกยังดูเหมือนเดิมแต่ลึกๆแล้วเธอรู้ดีว่ากริชพยายามเลี่ยงที่จะเจอเธอ  ยิ่งกริชรับงานที่บริษัทมีโครงการจะเริ่มขยายร้านสาขาเครื่องสำอางออกไปที่เชียงใหม่ กับสิงคโปร์ ทำให้กริชต้องเดินทางเพื่อไปสำรวจหาข้อมูลทางการตลาดอยู่บ่อยครั้ง  ทำให้ลืมเรื่องของตนเองกับตุ๊กตาไปได้บ้าง กริชไปร่วมแสดงความยินดีในงานแต่งงานของตุ๊กตา งานนี้มี่ได้พาแฟนหนุ่มไปเปิดตัวด้วย   แต่กลับครอบครัวของมี่นั้นได้เพิ่มความสนิทสนมให้กับกริชมากขึ้นโดยเฉพาะหม่อนน้องสาวคนเล็ก 

เธอนับถือกริชเหมือนพี่ชายคนหนึ่งเพราะเธอไม่มีพี่ชาย  หม่อนเอาเอกสารมาให้กริชช่วยแปลหลายชิ้นทำให้ทั้งคู่คุ้นเคยกันมากขึ้น  แต่กริชก็ระวังตัวไม่ให้ล้ำเส้นที่ตัวเองขีดไว้ จนงานสำรวจตลาดของกริชนั้นประสพผลสำเร็จ  ทางบริษัทได้สั่งให้ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์เข้ามาดูเรื่องการเตรียมการประชาสัมพันธ์   ใจที่เป็นผู้จัดการฝ่ายได้มอบหมายให้มี่มาทำงานร่วมกับกริช  เพราะเห็นว่าทั้งสองทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี   งานที่เชียงใหม่นั้นไม่มีปัญหาสำหรับทั้งคู่เท่าไหร่นัก จนกระทั่งทั้งคู่ต้องเดินทางไปที่สิงคโปร์ด้วยกัน2 คืนเพราะมีประชุมกับบริษัทที่จ้างให้ทำเรื่องสำรวจตลาดและการทำประชาสัมพันธ์  วันเดินทางไป  มี่ซึ่ง2-3อาทิตย์ที่ผ่านมาเธอไม่พบกับกริชเลยมีแต่คุยกันทางโทรศัพท์ มี่รู้แต่ว่า  กริชโหมงานหนักมาก เธอได้โทรนัดกับกริชว่าเช้าวันไปสิงคโปร์เธอจะขับรถไปรับกริชที่บ้านเพราะเป็นทางผ่านไปสนามบิน ตอนแรกกริชทำท่าจะปฏิเสธแต่มี่บอกไปว่า หม่อนจะไปรับงานเอกสารที่ให้แปลด้วย กริชเลยปฏิเสธไม่ได้

เช้าวันเดินทางหม่อนเป็นคนขับรถเพราะรู้จักบ้านของกริชดีเธอเอาเอกสารมาให้กริชแปล2-3ครั้งแล้วเลยรู้เส้นทาง  กริชยืนรออยู่แล้วพร้อมกระเป๋าเดินทาง พอรถมาถึงหม่อนจัดการกลับรถก่อน กริชเปิดประตูทางด้านหลังแล้วเข้าไปนั่งก่อนส่งเอกสารที่ถือติดมือให้หม่อน พร้อมยิ้มทักทั้งสองสาวพี่น้อง

"อะหม่อนเรียบร้อยแล้ว"

"ขอบคุณคะพี่  เดี๋ยวน้องโอนเงินเข้าบัญชีให้นะ"

"ได้"

กริชตอบสั้นๆ  แต่หม่อนทำทีเหมือนนึกอะไรบางอย่างก่อนหันมาบอกกริชที่กำลังก้มหน้าอ่านหนังสือ

"พี่กริชน้องรบกวนให้พี่กริชขับรถให้หน่อย  หม่อนใจร้อนอยากอ่านเอกสารแล้ว"

มี่พูดขึ้นทันที

"งั้นพี่ขับให้ ไปรบกวนกริชทำไม"

"ได้พี่ขับให้"

กริชพูดด้วยใบหน้ายิ้มๆ ก่อนลงจากรถเดินไปด้านคนขับส่วนหม่อนเดินมานั่งด้านหลังแทนที่กริช ถ้ามีใครสังเกตจะเห็นว่าหม่อนยิ้มแบบสมหวัง  ก่อนที่กริชจะขับรถไป หม่อนแกล้งทำทีเป็นอ่านเอกสารที่กริชแปลให้  แต่เธอเหลือบไปเห็นหนังสือที่กริชวางไว้บนเป้  เธออ่านตัวหนังสือไม่ออกเลยถามกริชไปว่า

"พี่กริช หนังสืออะไรนะ ภาษาเยอรมันหรือเปล่า  หม่อนอ่านไม่ออก"

"ใช่แล้วเป็นหนังสือแบบเรียนภาษาเยอรมันนะ ว่างๆเลยเอามาลองหัดอ่านดู"

กริชตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดา  ส่วนมี่เธอหันมามองชายหนุ่มที่นั่งข้างๆและพบว่าเป็นอย่างที่น้องสาวเธอบอกก่อนหน้านี้ว่ากริชดูโทรมไปมากเพราะก่อนหน้านี้ 2-3วันหม่อนเอาเอกสารชุดนี้มาให้กริชแปลให้ แล้วมาบอกกับเธอ พี่กริชดูโทรมไปมาก ทำให้เธอถึงกับถามว่า

"กริชทำไมโทรมอย่างนี้"

ชายหนุ่มยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วตอบมาว่า

"งานเยอะนะ  ทั้งเชียงใหม่ทั้งสิงคโปร์  หัวฟูกันทั้งฝ่ายแล้ว อีกอย่างนอนน้อยด้วยละ"

หญิงสาวนั่งฟังเงียบๆแล้วไม่พูดอะไรต่อ แต่กริชนั้นบอกไม่หมดว่าสาเหตุอะไรที่นอนน้อย จนมี่เปลี่ยนเรื่องคุยไปถึงงานที่ต้องเตรียมไปคุยกับทางบริษัทที่สิงคโปร์ ทั้งคู่คุยกันตลอดทางโดยหารู้ไม่ว่า หม่อนนั้นแอบชำเลืองมองทั้งคู่ตลอดทางจนถึงสนามบิน  พอทั้งคู่ต่างเดินเข้าไปในอาคารหม่อนมองตามเข้าไปพร้อมนึกว่า

"ทำไมคู่นี้ถึงไม่เจอกันก่อนหน้านี้นะ"

หม่อนกับไหมพอจะเดาออกว่ามี่นั้นแอบชอบกริชอยู่ แต่ทั้งคู่ไม่รู้ว่ากริชคิดอะไรเพราะดูเฉยมาก คงเป็นเหตุนี้ทำให้มี่ตัดสินใจคบหากับผู้ชายที่มาจีบเธอนานแล้ว  ระหว่างที่รอขึ้นเครื่องทั้งคู่ต่างไม่พูดอะไรกันมากนักกริชนั่งอ่านหนังสือที่เตรียมมาส่วนมี่นั้นคุยโทรศัพท์กับแฟน จนเครื่องขึ้นและผู้โดยสารไม่เยอะมาก แถวที่นั่งของทั้งคู่มีที่นั่งว่าง 1ที่กริชเลยไปนั่งตรงติดทางเดินและหลับไปในทันที  มี่หันไปมองกริชอย่างเต็มตาอีกครั้งเธอมองสำรวจใบหน้ากริชอย่างจริงจัง  ริมฝีปากที่บางเฉียบได้รูป  จมูกที่โด่งเป็นสันแต่ขอบตานั้นคล้ำจริงๆ ใบหน้าที่ดูเซียวลงอย่างมาก

เธอพอจะรู้มาบ้างว่า กริชนั้นกินอยู่อย่างประหยัดจริงๆและเจ้าตัวก็ไม่ปิดบังที่จะบอกว่า ทำงานเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ในอนาคตจะได้สบายเหมือนคนอื่นๆ  มี่เข้าใจว่ากริชอาจจะรับงานแปลเอกสารเพิ่มขึ้นทำให้มีเวลาพักผ่อนน้อย หญิงสาวเกือบลืมตัวจะเอามือไปลูบใบหน้าอย่างสงสาร   แต่รู้ตัวเสียก่อนจึงยั้งมือไว้ทันพร้อมมองไปเห็นหนังสือที่กริชวางอยู่บนตักที่เจ้าตัวอ่านก่อนที่จะหลับ ด้วยความกลัวหนังสือหล่นเธอหยิบจากตักมาวางบนเบาะที่ว่าง  และเห็นว่าเป็นหนังสือที่เธออ่านภาษาไม่ออกแต่พอเดาออกว่าเป็นภาษาเยอรมันก่อนที่เธอจะมองหน้ากริชพร้อมคิดไปว่า

"กริชเธอน่าจะเปิดใจบ้างนะ  เธอไม่ได้ต้อยต่ำแบบที่เธอคิดหรอก"

หลังจากที่ทั้งคู่ถึงสิงคโปร์บริษัทที่นั่นได้จัดรถมารับทั้งคู่ไปที่โรงแรมก่อนที่จะมาประชุมกันโดยที่พักของทั้งคู่ไม่ห่างจากห้างสรรพสินค้าที่จะเปิดร้านขายเครื่องสำอางเท่าไหร่ ก่อนที่จะไปประชุม หลังประชุมวันแรกเสร็จ กริชได้ส่งอีเมลไปรายงานสินทันที ก่อนที่มี่ ที่มาเที่ยวสิงคโปร์บ่อยจะเป็นคนพากริชทัวร์ช่วงเย็น กริชนั้นที่ผ่านมาไม่นานนี้เคยมาสิงคโปร์2-3ครั้งก็จริง แต่เป็นการมาทำงานและเป็นการออกนอกประเทศเป็นหนแรกในชีวิต ทำให้ไม่ชำนาญพื้นที่เท่ามี่   ตลอดเวลาที่มีพากริชเที่ยว เธอดูมีความสุขอย่างมากที่ได้เดินเที่ยวกับชายหนุ่ม จนค่ำมี่ได้พากริชไปทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่ง ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยอยู่นั้น มี่ได้รับสายโทรศัพท์ที่แฟนเธอโทรมา  แววตาของกริชนั่นสลดไปครู่เดียวโดยที่มี่ไม่ทันสังเกต ก่อนที่ทั้งคู่จะกลับโรงแรม  ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันเข้านอนมี่นั้นหลับไปด้วยความดีใจที่ได้เดินเที่ยวกับกริชสองต่อสอง ส่วนชายหนุ่มนั่งอ่านหนังสือที่เอามาด้วยจากบ้านต่อ  วันต่อมาทั้งคู่ได้เข้าประชุมพร้อมไปดูสถานที่ ที่จะมาเปิดร้านหลังจากนั้นกลับไปคุยรายละเอียดกันอีกทีก่อนที่จะแยกย้าย  มี่ได้ชวนกริชไปเดินซื้อของ เธอบอกว่า พี่ไหมกับหม่อนฝากซื้อของหลายอย่างจะให้กริชไปช่วยถือ และเหมือนเมื่อวานมี่ดูมีความสุข เธอซื้อของหลายอย่างและกริชช่วยเธอถือของจนเธอลืมตัว มี่เผลอเอามือไปจับข้อมือกริชเพื่อจะนำไปที่ร้านขายรองเท้า  เธอมารู้ตัวตอนถึงร้านทำเอาเธอหน้าแดงก่อนพึมพำว่าขอโทษกับชายหนุ่ม กริชไม่ได้ตอบอะไรจนทั้งคู่เดินออกจากร้าน  กริชได้ยินเสียงเรียกแบบวางอำนาจจากคนที่เดินมาด้านข้าง

"กริชมาเที่ยวหรือไง"

จากสายตาของมี่ เธอเห็นผู้หญิงสองที่ยืนอยู่ไม่ห่างมองมาที่กริช ด้วยสายตาที่ดูออกทันทีว่าเหยียดหยาม  คนที่ทักยังดูสาวและจัดว่าเป็นผู้หญิงหน้าตาดี  ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างๆนั้นสูงวัยกว่าแต่โครงหน้าเดียวกัน  กริชดูจะถอนหายใจออกมาพร้อมด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นนิ่งๆพร้อมยกมือไหว้ก่อนตอบกลับไปว่า

"มาทำงานครับ"

"อ้อ นึกว่าทำงานมีเงินแล้วเอาเงินมาเที่ยว บริษัทคงใหญ่ละสินะถึงส่งพนักงานธรรมดามาถึงที่นี่ได้"

เป็นคำพูดที่ไม่น่าจะออกจากปากผู้หญิงที่สูงวัย ทำเอามี่ถึงกับตะลึง

"ถึงผมจะมาเที่ยวเอง ผมก็ไม่ได้เอาเงินพ่อมาผลาญสักสตางค์หรอกครับ ขอตัวก่อนนะครับคุณป้า คุณไก่"

"เดี๋ยวกริช ยังไปไม่ได้"

คราวนี้เป็นเสียงของผู้หญิงที่ชื่อไก่


"มีอะไรอีกหรือครับคุณไก่  ผมต้องไปอีกหลายที่ ไม่มีเวลามาคุยด้วย"

แล้วกริชไม่สนใจหันมาพยักหน้ากับเธอก่อนพาเดินไปอีกทางโดยไม่หันไปมองผู้หญิงทั้งสองคน จนเดินมาได้มาถึงร้านที่ขายเสื้อผ้าของผู้ชายเพราะมี่บอกกริชว่าจะซื้อไปฝากพ่อ สีหน้าของกริชยังไม่เปลี่ยน  จนมี่ไม่กล้าถามอะไรแต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของกริชก็ดังขึ้น เธอเห็นกริชถอนหายใจอีกครั้งก่อนรับสาย

"ครับพี่กลอย"

"................."

"กริชมาทำงานกับเพื่อนครับ และมีเวลาเพื่อนชวนมาซื้อของไปฝากทางบ้าน  ไม่เห็นต้องเป็นประเด็นอะไร"

"........................."

"ไม่รู้ครับไม่สนใจ  เท่านี้ก่อนนะครับพี่กลอยเพื่อนกริชรออยู่"

มี่เห็นกริชหน้าเครียดลงไปอีกหลังจากวางสาย  ก่อนจะมาบอกกับเธอว่า

"มี่ครับผมขอโทษด้วย  ผมคงช่วยมี่เดินดูของไม่ได้แล้ว  ต้องให้มี่ไปคนเดียวแล้วกันขอโทษจริงๆครับ  ส่วนของนี่ฝากไว้กับผมก่อนก็ได้ครับแล้วพอมี่กลับไปโรงแรม โทรเรียกผมให้เอาของมาให้นะครับ  ผมขอตัวก่อน"

กริชฝืนยิ้มให้ก่อนเดินหันกลับไปพร้อมของที่ช่วยเธอถือมาตลอด  มี่มองไปอย่าง งงๆแต่พอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เธอมองตามร่างของกริชที่ลงบันไดเลื่อนไปจนลับตา ก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน  จริงๆแล้วเธออยากซื้อเสื้อให้กริชเป็นของขวัญ โดยให้เจ้าตัวมาลองเสื้อด้วยแต่อ้างว่ามาดูให้กับพ่อของเธอ  แต่พอเหตุการณ์เป็นแบบนี้เธอเลยเดินเลือกเองแต่สักพัก มีไลน์เข้ามาในเครื่องเธอและเธอพบว่าเป็นกริชที่ส่งข้อความเข้ามาว่า

"มี่ครับกริชต้องขอโทษอย่างสูงที่ทิ้งมี่ให้ซื้อของคนเดียว  แต่กริชไม่อยากจะเจอ ป้ากับไก่อีกนะครับเลยต้องหลบมาก่อน ขอโทษอีกครั้งครับ"

เธออ่านแล้วก็ยิ้มและนึกสงสาร เป็นใครก็ไม่อยากเจอแบบนี้  เธอเห็นกับตาว่าทั้งคำพูดและสีหน้าหน้าที่แสดงออกของสองแม่ลูกนั้นเห็นชัดว่าดูถูกและเหยียดหยามกริชเหลือเกิน  ก่อนที่เธอจะเดินดูเสื้อต่อทั้งๆที่จิตใจนั้นไม่สงบและหมดอารมณ์สนุกไปแล้ว หลังจากที่เธอทานข้าวเย็นคนเดียวอย่างเงียบๆตอนแรกเธอจะโทรชวนกริชมาทานด้วยกัน  แต่เธอก็ระงับความคิดนั้นเสียเพราะอยากปล่อยให้กริชอยู่เงียบๆคนเดียวมากกว่า  แต่เธอซื้ออาหารไปฝากเพราะไม่รู้ว่ากริชจะทานหรือยัง  พอเธอขึ้นไปที่ห้องพักมี่ตัดสินใจเคาะประตูเรียกกริชที่อยู่ห้องติดกัน มี่ยืนรอไม่นานประตูก็เปิดออก  เธอยื่นถึงอาหารที่เธอซื้อมาฝากพร้อมบอกว่า

"ไม่รู้กริชทานข้าวหรือยัง แต่มี่ซื้อมาฝาก"

"ขอบคุณครับ  รอแป็บนึงครับผมจะไปเอาของที่อยู่กับผมมาให้"

กริชรับอาหารที่ซื้อมาฝากแต่โดยดี ก่อนที่จะเดินกลับไปข้างใน แต่เสียงหญิงสาวพูดขึ้นมาก่อน


"กริชมี่เข้าไปได้ไหม   อยากหาเพื่อนคุยนะ"


"เอ่อ ได้สิครับ"

ชายหนุ่มหยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ  กริชเปิดประตูให้กว้างขึ้นและยืนรอให้หญิงสาวก้าวเข้ามาก่อนจะปิดประตูห้องและเดินนำไปที่เก้าอี้รับแขกที่ตั้งอยู่บริเวณระเบียงที่มองออกไปเห็นบรรยากาศยามค่ำของสิงคโปร์ บนโต๊ะมีถุงที่ใส่ของที่เธอซื้อแล้วฝากให้กริชถือวางอยู่เป็นระเบียบเรียบร้อย หญิงสาวนำเอาของที่ตนเองซื้อมาเพิ่มวางไว้ด้วยกันก่อนทรุดตัวนั่งและถามไปยังชายหนุ่มที่เธอพึ่งสังเกตเห็นว่ากริช เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยมาเป็น กางเกงสั้นเสื้อยืดว่า

"กริชกินอะไรหรือยังละ"

"ลงไปหาอะไรกินที่ร้านหน้าโรงแรมมาแล้วครับ  แต่ไม่เป็นไร  ดึกๆค่อยทานครับผมยังอ่านหนังสือไม่จบ"

"หนังสือภาษาเยอรมันนั่นนะหรือ"

"ครับ เจ้านายเราคนเยอรมันหลายคนเลยอยากลองฝึกไว้นะครับ"

มีหารู้ไม่ว่ากริชตอบเธอไม่หมด เธอหันมามองหน้าของกริชที่นั่งลงเก้าอี้ด้านข้างของเธอที่มีโต๊ะกั้นอยู่ก่อนจะถามไปว่า

"ดีขึ้นหรือยังกริช"

"มันก็เหมือนเดิมนะครับ  แต่ผมอยากจะขอโทษมี่อีกครั้งที่ปล่อยให้มี่ซื้อของคนเดียว  ใจจริงผมอยากจะอยู่เป็นเพื่อนนะครับ  แต่ไม่อยากเจอ 2คนนั่นอีก  ผมเลยหลบดีกว่าจะไม่ไม่เป็นปัญหา ขนาดนี้เค้ายังโทรไปฟ้องพ่อว่าผมทำกิริยาไม่ดีใส่ พ่อเลยให้พี่กลอยโทรมาถาม อย่างที่มี่ได้ยินนะครับ  ผมไม่อยากอธิบายพูดไปก็เท่านั้น  สู้หลบมาดีกว่าจะได้จบๆ เรื่องคำพูดคำจากับสิ่งที่เค้าแสดงออก  ผมชินซะแล้วครับเจอตั้งแต่เด็กๆจนถึงทุกวันนี้"

กริชพูดจบแล้วหันมายิ้มให้หญิงสาวที่มองมาตลอดแล้วพูดต่อว่า

"ไหนๆแล้ว  มี่คงสงสัยอะไรหลายๆเรื่อง  ผมจะเล่าให้ฟังครับ  มันไม่ใช่ความลับอะไรหรอก มี่จะได้หายสงสัยในหลายๆเรื่องเกี่ยวกับตัวผมครับ"

"เล่ามาก็ได้คะกริช  ถ้ากริชอยากระบายมี่พร้อมฟัง"

กริชนิ่งไปสักครู่ก่อนถอนหายใจเบาๆแล้วเริ่มเล่าให้ฟังว่า  ตั้งแต่จำความได้ทั้งกริชแทบไม่มีความสุขเลยเวลาอยู่บ้านดีที่มีปู่คอยช่วยเหลือ  ทั้งสองแม่ลูกอยู่อย่างเจียมตัวในบ้านหลังเล็กๆในอาณาเขตที่กว้างใหญ่ กริชโตมาพร้อมกับคำพูดที่โดนดูถูกมาตลอดเพราะทุกสิ่งที่เด็กน้อยในตอนนั้นได้รับจากผู้เป็นพ่อ  จะถูกมองว่ากริชนั้นมาแย่งมาแบ่งทุกอย่าง จนกริชไม่อยากได้ของที่พ่อซื้อให้  ยกเว้นผู้เป็นปู่ซื้อให้ จะไม่มีใครกล้าว่าเท่าไหร่นัก  แม้กระทั่งการเรียกชื่อ ปู่อยากให้กริชเรียกภรรยาหลวงของพ่อว่าแม่ใหญ่เรียกลูกทั้ง 3คนที่เกิดมาก่อนว่าพี่  แต่ทางนั้นไม่ยอมเพราะไม่อยากนับญาติด้วย  กริชเลยเรียกว่าป้า ส่วนลูกๆทั้งสามคน กริชเรียกว่าคุณยกเว้นพี่สาวคนเล็กที่ไม่เคยรังเกียจสองแม่ลูกยอมให้กริชเรียกพี่

จนกริชสนิทกับพี่สาวคนเล็กมากที่สุด  เวลามีงานเลี้ยงอะไรในบ้าน  ถ้าไม่ใช่งานของพ่อหรือปู่  เด็กน้อยในตอนนั้นได้แต่ไปแอบยืนมองห่างๆเท่านั้น  เพราะถ้าเป็นงานของป้าหรือลูกๆทั้งสามแม้กระทั่งกลอย  กริชก็ไม่สิทธิเข้าไปร่วมเพราะถูกตั้งข้อรังเกียจจากผู้เป็นภรรยาของพ่อและพี่อีกสองคน  สองแม่ลูกได้แต่นั่งกินข้าวกันสองคน แม่ของกริชนั้นต้องลาออกจากการเป็นครูมาอยู่บ้านอย่างเดียวเพื่อดูแลกริช    บ้านหลังใหญ่ก็เช่นกัน กริชไม่กล้าเข้าไปเพราะรู้ว่าถ้าเข้าไปจะเจออะไร  ยกเว้นปู่หรือพ่อเรียกให้เข้าไปหา เพราะความกดดันกับสิ่งที่เจอทำให้กริชถูกมองว่าเป็นเด็กเกเร แต่กริชทำเพื่อปกป้องตัวเองและแม่  เพื่อใครๆจะได้ไม่กล้าเข้ามายุ่ง

สองแม่ลูกอยู่ในบ้านด้วยความรู้สึกที่ไม่มีความสุขเท่าไหร่นักยังดีที่ผู้เป็นปู่คอยดูแลช่วยเหลือเกือบทุกเรื่อง  ส่วนพ่อนั้นจะไม่ค่อยมาดูแลเท่าไหร่ในสายตาของกริช ทั้งรถรับส่งไปเรียนในวัยเยาว์ปู่เป็นคนจัดการให้ทั้งสิ้นบางครั้งก็เป็นคนขับรถไปรับส่งหลานด้วยตัวเอง  ถ้ามีเวลาว่างจากงาน ตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมกริชนั้นเรียนคนละโรงเรียนกับพวกพี่ๆ ทำให้เด็กน้อยในตอนนั้นรู้สึกสบายใจเวลาที่อยู่โรงเรียน  แต่จะถูกผู้เป็นพ่อบ่นเรื่องผลการเรียนที่ออกมาปานกลางไม่เหมือนพี่ๆที่ผลการเรียนออกมาดีจนมาถึงช่วงเรียนมัธยม  ผู้เป็นปู่ได้จากไปด้วยวัยชรา ก่อนหน้านี้กริชได้บอกกับแม่ว่าอยากไปอยู่ข้างนอกมากกว่าแต่แม่ก็เงียบๆไม่พูดอะไร  จนปู่เสียพร้อมคำสั่งเสียอันมากมายและแบ่งเงินก้อนหนึ่งให้สองแม่ลูกตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรม แต่กริชนั้นไม่อาจทำตามได้ในเรื่องที่ปู่บอกให้พักอาศัยที่บ้านหลังเดิม เพราะความรู้สึกอึดอัด พ่อเลยตัดสินใจซื้อทาวน์เฮ้าส์ให้สองแม่ลูกพร้อมอุปกรณ์ที่จำเป็นอำนวยความสะดวกให้หลายอย่าง  แต่กริชปฏิเสธที่จะรับเอาเครื่องนอนหรือแอร์ที่พ่อจะติดให้ในห้องนอนเพราะสิ่งที่ตนเองเจอมาแต่เด็กมันฝังใจ  แต่ถ้าจะติดให้แม่นั้นกริชไม่ติดใจ พ่อเลยทำตาม ตัวเองยอมนอนกับที่นอนเท่านั้นโดยไม่ต้องมีเตียง เพราะกริชถือว่าเท่านี้ก็รบกวนพ่อเกินพอแล้ว

ทั้งสองแม่ลูกใช้ชีวิตอย่างประหยัด แม่เริ่มหารายได้เพิ่มด้วยการรับสอนภาษาอังกฤษกับเด็กๆในหมู่บ้าน แต่ค่าน้ำค่าไฟในบ้านพ่อเป็นคนรับผิดชอบโดยการให้ตัดบัญชีที่พ่อทำให้ พร้อมเงินที่ให้ในแต่ละเดือนโดยที่กริชไม่รู้ว่าเท่าไหร่ แต่พ่อก็จะมาเยี่ยมแม่บ้างในตอนกลางวัน กริชรู้เพราะถ้าวันไหนพ่อมาจะซื้อของกินมาให้เต็มตู้เย็นแต่ถ้าพ่อมารับไปกินข้าว หรือจะพาไปไหนกริชจะเลี่ยงตลอด โดยอ้างว่า ติดทำรายงาน ติดทำการบ้านตลอด จนผู้เป็นพ่อเลิกชวนไปเอง แต่ผลการเรียนของกริชในช่วงมัธยมก็ใช่ว่าจะดีโดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศสก็ออกมาในเกณฑ์ปานกลาง  ทั้งๆที่กริชนั้นพูดได้เขียนได้ตั้งแต่เด็กๆเพราะแม่อบรมให้อย่างเข้มงวด  ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องบ่นตลอดเมื่อเห็นผลการเรียนของลูกชายคนเล็ก แต่กริชไม่ตอบอะไร ถึงพ่อจะแอบไปสอบถามที่โรงเรียนก็รู้ว่าลูกขายตั้งใจเรียนไม่มีปัญหาอะไร ความประพฤติก็เรียบร้อยแต่ตอนสอบไม่ว่าจะสอบเก็บคะแนนหรือสอบไล่ คะแนนมักออกมาธรรมดาต่างจากเวลาส่งงานชิ้นอื่นๆที่ออกมาดีทุกครั้งโดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศส 

แต่พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยกริช สอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐได้เหมือนกับพี่สาวคนเล็กต่างจากพี่คนโตกับคนกลางที่ต้องไปเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนช่วงนั้นกริชทำความประหลาดใจให้กับผู้เป็นพ่ออย่างมากเพราะผลการเรียนดีขึ้นผิดกับเรียนมัธยม พอเล่าถึงช่วงนี้มี่ได้ถามขึ้นมาว่า

"ทำไมเป็นแบบนั้นละกริช  หรือว่ากริชตั้งใจ"

"ใช่ครับ ผมอยากทำคะแนนให้ดีๆเพราะจะได้ขอทุนได้ไม่ต้องพึ่งพ่อเหมือนที่ผ่านๆมาๆ แต่ก็นั่นแหละครับผมเกือบขอทุนไม่ผ่านในครั้งแรกเพราะนามสกุล จนผมต้องเล่าความจริงให้อาจารย์ฟังแบบที่เล่าให้มี่ฟังนี่แหละครับ  ผมถึงขอทุนได้ครับส่วนที่ผลการเรียนของผมก่อนหน้านั้นมันปานกลางก็เพราะผมคิดว่าเรียนดีไปก็เท่านั้นและพ่อก็ออกค่าเทอมให้ตลอดมันจะมีประโยชน์อะไร"

กริชเล่าต่อไปว่า ในตอนนั้นตนเองเริ่มช่วยแม่เพื่อแบ่งเบาภาระด้วยการรับจ้างแปลเอกสารโดยเอาเงินที่ได้จากปู่ส่วนหนึ่งมาซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์กับปริ้นเตอร์และถ้าว่างจะมาช่วยแม่สอนพิเศษเรื่องภาษา  จนกริชจบพ่อได้เรียกไปถามว่าจะเรียนต่อปริญญาโทเหมือนพวกพี่หรือไม่กริชตอบไปว่าไม่ อยากเรียนอยากทำงานมากกว่า  ทั้งๆที่ใจจริงอยากเรียนแต่รู้ดีว่าตัวเองไม่มีทุนพอ เงินก้อนที่ปู่ให้อยากจะเก็บไว้ใช้ตอนจำเป็นจริงๆ กริชเริ่มทำงานที่แรกโดยไม่พึ่งพาพ่อแล้วก่อนที่จะมาได้งานที่นี่แม่ก็เสียเพราะโรคมะเร็งในเม็ดเลือด   แม่ของกริชมารู้เมื่อสายไปกริชตอนนั้นเอาเงินที่เก็บสะสมมาทั้งหมดมาใช้รักษาแม่โดยไม่บอกพ่อจนพ่อมารู้ตอนที่แม่เข้าโรงพยาบาลแล้ว  พ่อได้เปลี่ยนโรงพยาบาลและหาหมอที่ชำนาญมารักษาแต่ทุกอย่างมันสายไปแล้ว  แม่จากไปอย่างสงบ ทำให้กริชใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาถึงทุกวันนี้เหมือน ไม่มีญาติพี่น้อง เพราะญาติฝ่ายของแม่ที่มีน้องสาวคนเดียวก็ห่างๆกันมานานแล้ว ส่วนกับพ่อก็ห่างๆกันออกไป  กริชเลี่ยงที่จะเจอหรือโทรหาแต่กริชรู้ว่าทุกเดือนที่ตรงกับวันที่แม่จากไปพ่อจะมาที่บ้านตอนกลางวันเพื่อเอาดอกไม้มาไว้บนพานหน้ารูปของแม่ตลอด พ่อนั้นมีกุญแจในบ้านทุกดอกและกริชไม่คิดจะเปลี่ยน กริชรู้เพราะคนแถวบ้านบอกและเห็นดอกไม้ที่อยู่บนพาน แต่มีบางครั้งที่พ่อจะมารอเจอกริชที่บ้าน

ส่วนงานวันเกิดของพ่อที่พี่สาวคนเล็กต้องมาตามถึงบ้านเพื่อให้ไปร่วมงานด้วยทุกครั้ง เล่าถึงตรงนี้ เสียงของชายหนุ่มเริ่มเครือน้ำตานั้นคลอออกมาให้เห็น

"ทุกวันนี้ก็มีพี่กลอยเท่านั้นแหละครับที่คุยกับผมบ่อยที่สุด ส่วนพ่อก็นานๆที จริงๆผมอยากจะเปลี่ยนนามสกุลเหมือนกันผมคิดว่า นามสกุลนี้ไม่เหมาะกับผมจริงๆ  ผมเคยบอกแม่ตั้งแต่ช่วงขอทุนแล้วแต่แม่ก็นิ่งและตอนก่อนที่แม่จะเสียแม่ขอร้องว่าอย่าเปลี่ยนกลัวพ่อจะเสียใจผมเลยต้องทำตาม  แต่ถ้ามี่สงสัยว่าทำไมที่ผมบอกว่าอยู่กินอย่างประหยัดเพื่อจะได้มีเงินเก็บไว้ใช้ตอนแก่หรือเผื่อจำเป็นอย่างที่เคยบอกไว้ แต่ทำไมผมถึงมีนาฬิกาเรือนละเป็นแสนใส่มีโทรศัพท์ถึงจะไม่ใช่รุ่นล่าสุดแต่ตอนออกใหม่ๆราคาก็หลายหมื่น มีแว่นกันแดดราคาแพงใส่  ผมจะบอกมี่ให้ นาฬิกานี่พ่อให้เป็นของขวัญตอนเรียนจบปริญญาตรีครับจะไม่รับก็ไม่ได้ ส่วนโทรศัพท์พ่อให้เป็นของขวัญวันเกิดหลังจากที่แม่เสียแล้ว  พ่อบอกว่าทนเห็นผมใช้โทรศัพท์เครื่องละไม่กี่พันไม่ได้และผมจะได้ทำงานสะดวกด้วย  ซึ่งมันก็จริงวันนั้นพ่อมารอผมที่บ้าน และเรากินข้าวเย็นด้วยกันพ่อซื้ออาหารมา2-3อย่าง  เป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปีที่ผมกินข้าวกับพ่อสองคน แล้วพ่อก็หยิบโทรศัพท์มาให้บอกว่าเป็นของขวัญวันเกิดตอนแรกผมไม่อยากจะรับแต่พ่อบอกว่าผมเป็นถึงผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาดใช้โทรศัพท์เครื่องเก่ามันไม่น่าเชื่อถือเวลาไปพบลูกค้าและจะมันช่วยงานผมได้เยอะกว่าเครื่องเก่าผมเลยยอมรับ   ส่วนแว่นกันแดดพ่อซื้อให้ตอนไปงานวันเกิดพ่อ หลังจากผมซื้อมอเตอร์ไซด์ไม่เท่าไหร่ พ่อบอกว่าขับรถมันต้องมีแว่นช่วยถนอมสายตา  ผมเลยรับไว้"

กริชนิ่งไปสักครู่ ก่อนเล่าต่อว่า

"ทำไมผมไม่อยากจะได้ละครับของที่มันดูดีมีราคา ตั้งแต่เด็กๆแล้วแต่ พอได้มาก็โดนว่ากระทบกระเทียบ ทำให้ผมไม่อยากได้ พี่เค้ามีรถบังคับ  ผมก็อยากได้พอพ่อซื้อให้แล้วเป็นไงโดนว่า ว่าตีตนให้เท่าผมมันแค่ลูกเมียน้อยไม่มีสิทธิที่จะมีจนปู่ต้องเป็นคนซื้อให้เลยไม่มีใครกล้ามาว่า  พวกพี่ๆ ตอนโตเค้าขับรถคันหรูๆกันผมก็ได้แต่มองเวลาไปที่บ้านพ่อ  ใจนะมันอยากจะมีครับ แต่มันไม่เอื้อหลายๆอย่าง ถึงพ่อจะซื้อให้ผมก็ไม่กล้าใช้ต้องมาซื้อมอเตอร์ไซด์มือสองใช้   ตั้งแต่แม่เสียผมตัดสินใจพึ่งพาตัวเอง  ค่าน้ำค่าไฟผมก็ไปยกเลิกบัญชีของพ่อ หันมาจ่ายด้วยตัวเองครับ ถึงจะลำบากหน่อย  แต่ก็สบายใจครับไม่ต้องมานั่งทนฟังเสียงค่อนขอดครับ"

น้ำตาของชายหนุ่มเริ่มไหลออกมาโดยมี่ที่นั่งฟังตลอดด้วยความเห็นใจ เธอเอามือของของกริชทั้งสองข้างมากุมเพื่อปลอบใจ ก่อนที่จะเอานิ้วไปเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาของชายหนุ่ม

"มี่พอจะรู้บางเรื่องเหมือนกันพ่อของมี่เคยบอกว่า  พ่อของกริชเค้าชื่นชมกริชนะเวลาที่พูดถึงกริชให้ใครฟัง"

เธอพูดเพื่ออยากจะปลอบใจ กริชยิ้มออกมาอย่างขมขื่นก่อนบอกว่า

"ก็แล้วแต่ครับอยู่ที่มุมมองถ้ามองในแง่ร้ายคือพ่อพูดเพื่อจะกลบเกลื่อนหลายๆเรื่อง  ถ้ามองในแง่ดีก็ชื่นชมผมครับ วันที่บริษัทจัดแถลงข่าวเหมือนกันครับ มีนักข่าวมาถามผมว่าทำไมไม่ไปทำงานกับพ่อ  ผมเลยต้องตอบว่าเป็นเรื่องในครอบครัว  อีกไม่กี่วันก็มีข่าวซุบซิบในหน้าเศรษฐกิจว่าทำไม่พ่อถึงไม่พาลูกชายคนเล็กมาทำงานด้วย"

มี่เลื่อนเก้าอี้มาอยู่ตรงหน้ากริชก่อนเอามือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของกริชที่ตอนนี้ดูอ่อนแอมากทำให้เธอเปลี่ยนความคิดที่ตั้งใจจะพูดแรงๆเพื่อจะกระตุ้นชายหนุ่มแต่พอเห็นสภาพแล้วเธอต้องเปลี่ยนใจไปพูดปลอบโยนแทน

"เข้มแข็งนะคะกริช  กริชไม่รู้ตัวหรือว่ากริชทำได้ถึงขนาดไหน ใครๆก็ยอมรับ ใครๆก็กลัวถ้าเวลากริชเอาจริงขึ้นมาในเรื่องงาน อย่าเอาเรื่องแบบนี้มาเป็นปมปิดกั้นตัวเองเลยคะกริช  ในเมื่อคนส่วนใหญ่ต่างยอมรับนักการตลาดดาวรุ่งคนนี้ กะอีแค่คน2-3 คนจะไปแคร์อะไร  มี่ว่าพ่อของกริชก็ภูมิใจในตัวกริชนะ  แต่อาจมีอะไรบางอย่างที่ไม่พูดออกมา ถ้ามีโอกาสลองคุยกับพ่อสิ  เผื่อจะดีขึ้น"

ซึ่งคำพูดของเธอนั้นใกล้เคียงกับที่ตุ๊กตาเคยบอกไว้ มี่พูดพร้อมเอานิ้วไปเช็ดน้ำตาให้อีกครั้ง จนใบหน้าทั้งสองเกือบจะชิดกันสายตาทั้งคู่ต่างสบกันนิ่งเหมือนมีอะไรบางอย่างมาดึงดูด  ก่อนที่จิตใต้สำนึกของทั้งคู่จะบงการความต้องการ ความในใจที่ทั้งคู่ต่างปิดบังกันมานาน กริชยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ มี่นั้นไม่หลบก่อนที่ปากของทั้งคู่จะประกบกัน  มี่นั้นรับการจูบของกริชอย่างเต็มใจและเธอตั้งใจให้เกิดขึ้น ใช่แล้วเธอชอบกริชมาตลอด แต่กริชนั้นไม่มีที่ท่าอะไรกับเธอเลย จนเธอยอมรับว่าตัดสินใจพลาดที่ไปยอมรับผู้ชายที่มาจีบเธอว่าเป็นแฟน และพาไปเปิดตัวในงานแต่ของตุ๊กตา  เธออยากประชดกริชเพราะความน้อยใจและอยากเห็นท่าทีของกริชในวันนั้น  แต่เธอต้องผิดหวังที่กริชไม่มีทีท่าอะไรออกมาให้เธอเห็น และเธอเจอกริชน้อยลงมีแต่น้องสาวที่จะเจอกริชบ่อยมากกว่าเธอ กริชตอบรับคำเชิญของพ่อกับแม่เธอไปทานข้าวที่บ้าน2-3ครั้ง  แต่ทุกอย่างปกติเหมือนเดิม  กริชยังเป็นกริชคนเดิมทุกอย่าง

จนวันนี้มี่ยอมรับว่าห้ามอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ มือทั้งสองเปลี่ยนไปโอบรอบคอ  กายเบียดแนบชิดเข้าไปแนบสนิทกว่าเดิม  จิตใต้สำนึกของกริชนั้นพยามยามห้ามใจตนเองไม่อยากให้เกิดเรื่องเหมือนกับที่เกิดกับตุ๊กตาแต่ ครั้งนี้หัวใจบงการล้วนๆ กริชนั้นก็แอบรักมี่เช่นกัน  แต่ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในฐานะของตัวเอง  เลยไม่กล้าเปิดเผยความในที่มีให้หญิงสาวรับรู้นอกจากมองด้วยความปวดร้าวตั้งแต่วันที่หญิงเปิดเผยเรื่องแฟนและพยามยามที่จะไม่ใส่ใจตั้งหน้าทำงาน เพื่อความก้าวหน้าของตัวเอง  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้กริชไม่สามารถห้ามใจตัวไปได้มือ โอบกอดไปที่ร่างของหญิงสาวที่รับการจูบอย่างเต็มใจ ก่อนจะประคองร่างของมี่ให้ยืนขึ้นพร้อมซุกไซร้ไปตามลำคอ  หญิงสาวรู้สึกสยิวกายเป็นอย่างมากแหงนหน้ารับการซุกไซร้ของชายหนุ่ม  นี่เป็นครั้งแรกของเธอที่ยินยอมให้คนอื่นรุกล้ำขนาดนี้  แฟนเธอยังได้แค่ยังจับมือเท่านั้น มี่เริ่มส่งเสียงครางออกมา มือโอบรัดกริชแน่นขึ้น และรับการจูบของกริชอีกครั้งทั้งปากทั้งแก้ม จนกริชประคองเธอมาที่เตียง

มี่ล้มตัวลงนอนก่อนดึงชายหนุ่มมาทับร่าง ปากทั้งคู่ประกบกันอีก ก่อนที่กริชจะเริ่มไซร้ไปตามติ่งหูและซอกคอ มี่เต็มใจที่จะให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองโดยไม่สนใจว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น  ซึ่งไม่ต่างกับกริช มือข้างหนึ่งของกริชไปกุมบนหน้าอกของหญิงสาวอย่างแผ่วเบาส่วนอีกข้างไปดึงชายเสื้อให้หลุดจากชายกางเกงก่อนที่จะเอามือข้างที่กุมหน้าอกนั้นเปลี่ยนไปล้วงในเสื้อแทน  หน้าอกที่ยังเต่งตึงนั้นรับการเคล้นคลึงจากชายหนุ่มก่อนที่กระดุมเสื้อจะถูกปลดทีละเม็ด มี่นั้นหลับตาตลอดด้วยความเสียวที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต  เธอรู้ตัวอีกทีเสื้อตัวนอกและตัวในหลุดออกจากร่างไปเรียบร้อยแล้ว  ปทุมถันที่ขนาดเหมาะกับร่างที่งดงามของเธอถูกลูบคลำไปมาอย่างเบาๆทั้งสองข้างสลับกับการบี้ตรงปลายยอด ก่อนจะถูกริมฝีปากที่อ่อนหนุ่มของชายหนุ่มสัมผัสพร้อมลิ้นที่ดุนไปมา

ทำเอาเธอผวาพร้อมเผลอตัวรองรับการจู่โจมอย่างสุภาพครั้งนี้ปากส่งเสียงครางแผ่วเบา  กริชนั่นเล้าโลมเต้าที่ขาวผ่องสลับไปมาทั้งสองข้างอย่างถนอมก่อนจะจัดการถอดเสื้อของตัวเองออกเช่นกัน  และเริ่มปลดตะขอกับซิบกางเกงของหญิงสาวออกและรูดลงไปที่ปลายเท้าก่อนจะปลิวหลุดจากร่าง   มี่นอนบิดกายอย่างขวยเขินที่ร่างเกือบเปลือยปรากฏตรงหน้าชายหนุ่ม  เธอนอนบิดตัวเล็กน้อยเอาขาข้างหนึ่งยกมาปิดตรงตรงสามเหลี่ยมกลางลำตัวที่มีกางเกงในตัวจิ๋วปิดบังอยู่เท่านั้น  กริชก้มไปลงลิ้นกับเต้าคู่งามอีกครั้ง  เจ้าของถึงกับผวากอดและหลับมานอนหงายอีกครั้งและยิ่งเสียวหนักเข้าไปเมื่อหน้าของชายหนุ่มเลื่อนลงไปตรงหน้าท้องและการจูบอย่างอ่อนโยนแผ่วเบา หญิงสาวเอามือมาบีบที่ไหล่ของกริชแน่นและชั้นในตัวจิ๋วถูกปลดออกจากร่าง  ก่อนที่กริชจะเลื่อนหน้าลงไปตรงสามเหลี่ยมที่งดงาม  เจ้าของเอามือมาปิดด้วยความเขินอายแต่แล้ว มันก็อ่อนยวบไปทันทีเมื่อนิ้วกับหลังมือของเธอถูกจูบอย่างเบาๆ  มันยิ่งกระตุ้นอารมณ์ของเธอได้ มือทั้งสองข้างของเธอเปลี่ยนมาจับที่ไหล่ของกริชอีกครั้ง

แล้วปากของกริชไปสัมผัสกับผืนป่าที่เริ่มชื้นแฉะที่ปกคลุมสามเหลี่ยมที่สวยงาม ลิ้นเลียไปที่ร่องที่มีน้ำหล่อลื่นออกมา  ทันทีที่ลิ้นของกริชสัมผัส ส่วนที่มี่หวงแหนที่สุดในร่างกาย  เธอผวาเหมือนถูกไฟช็อตความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันบอกไม่ถูกมือเธอบีบไหล่ชายหนุ่มแน่นขึ้น   ใจนึกอยากจะดันออกแต่อีกใจกับค้านเพราะความเสียวที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต ยิ่งกริชลงลิ้นไม่หยุด มียิ่งเสียวตัวส่ายไปมาใบหน้านั้นเกร็งพร้อมกับเสียงครางแผ่วเบาที่ส่งเสียงตลอด  จนมี่เกร็งไปทั้งตัวเธอแอ่นตัวขึ้นมือจิกที่บ่าของกริชเต็มแรง เป็นความรู้สึกที่เธอไม่เคยเจอมาก่อน มี่หายใจแรงๆ  แต่กริชกับไม่หยุดแค่นั้น  ชายหนุ่มนั้นยังคงไม่เลิกลงลิ้นบริเวณสามเหลี่ยมของหญิงสาว   ความรู้สึกของมี่ถูกกระตุ้น ขึ้นอีก  ทั้งๆที่กริชพึ่งใช้ลิ้นพาเธอไปถึงฝั่งแต่กริชกลับไม่หยุด  หญิงสาวครางออกมาไม่หยุด

"กริชขา พอก่อนมี่ไม่ไหวแล้ว อูยยยยยยซีดดดดดด"

แต่ชายหนุ่มเดินหน้าต่อไม่สนใจเสียงอุทธรณ์ของหญิงสาว  มี่ตัวบิดไปมาอีกรอบใบหน้าแหงนขึ้นบ่งบอกถึงความเสียวจากลิ้นของกริชที่กำลังมอบให้ จนกริชนั้นทนไม่ไหวถอดกางเกงออกแล้วมาคร่อมร่างของหญิงสาวก่อนที่จะดันความเป็นชายที่แข็งเต็มที่เข้าไป  มี่ร้องลั่นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย

"โอ๊ยๆๆ กริชขามีเจ็บ  โอ๊ยๆๆ"

"งั้นเราหยุดกันก่อน"

กริชทำท่าจะลุกขึ้นแต่มี่ลืมตาขึ้นมาพร้อมบอกว่า

"อย่าคะกริชอย่า  มันทรมาณ"
เธอดึงชายหนุ่มให้มาอยู่บนตัวเธอพร้อมกอดรัดแน่น กริชเห็นหญิงสาวยินยอมพร้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเลยค่อยๆดันเข้าไปเหมือนเดิม  มี่นั้นรู้สึกว่าร่างกายจะแยกเป็นส่วนๆแต่ในความเจ็บปวดมันสร้างความรู้สึกบางอย่างให้กับเธอ ขาเธออ้ากว้างขึ้นเพื่อรองรับสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังทำอยู่ กริชนั้นค่อยดันเข้าอย่างช้าๆเพราะช่องทางรักมันฟิตขนาดที่ตนเองทำให้หญิงสาวไปถึงครั้งหนึ่งแล้วเพื่อจะได้มีน้ำหล่อลื่นช่วย  เพราะประสบการณ์ที่เคยเจอกับตุ๊กตาเมื่อหลายปีก่อน กริชพยามยามดันเข้าไปจนสุด พร้อมด้วยเสียงครางของหญิงสาวที่บีบแขนทั้งข้างของกริชแน่น  ก่อนที่กริชจะบอกให้มี่ไม่ต้องเกร็ง  พร้อมโยกตัวไปมาอย่างช้า   มือของมี่เปลี่ยนไปโอบรัดรอบตัวกริชเหมือนเดิม ตาหลับพริ้มเมื่อความรู้สึกเจ็บปวดเริ่มจางหาย ความเสียวเข้ามาแทนที่ ชายหนุ่มไม่เร่งร้อนในบทรักครั้งนี้ ช่องทางที่ฟิตกระชับในตอนแรกเริ่มคล่องตัวขึ้น   มีบางครั้งที่กริชก้มลงไปจูบซึ่งหญิงสาวตอบรับการจูบทุกครั้ง  กริชมองใบหน้าที่งดงามที่ตอนนี้ส่ายไปมาบนหมอนด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้กริชเต็มใจยิ่งกว่าสิ่งที่เกิดกับตุ๊กตาเพราะครั้งนี้มันเป็นสิ่งที่หัวใจต้องการมากกว่าอารมณ์ของคนวัยหนุ่ม กริชอยากทอดบทรักครั้งนี้ไปให้เนิ่นนานที่สุด  แต่แล้วมี่ส่งสัญญาณเตือนมาตัวเธอเริ่มบิดเกร็งอีกครั้ง ก่อนที่ภายในจะเริ่มตอดรัด กริชที่กลั้นอะไรบางอย่างมาพอสมควรก็ปล่อยจนล้นออกมาภายนอกก่อนที่จะซบตัวลงไปบนตัวหญิงสาว ทั้งคู่ปล่อยให้ร่างกายผ่อนคลายลง  มี่เอามือไปลูบที่แก้มของกริชไปมาก่อนที่กริชจะพลิกตัวลงไปนอนข้างๆ  สติเริ่มกลับมากริชหันไปมามองก็พบกับใบหน้าที่งดงามมองมาอยู่แล้วแต่ก่อนที่กริชจะพูดอะไรเธอเอานิ้มมาแตะที่ริมฝีปากกริชก่อนจะส่ายหน้าไปมาพร้อมกับคำพูดว่า

"กริชคะอย่าพูดอะไร  สิ่งที่เกิดมี่เต็มใจคะและมี่ยอมรับสิ่งที่ตามมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  เรื่องอนาคตเราไม่มีทางรู้คะ  เชื่อมี่นะคะคนดี หลับเถอะคะเราเหนื่อยทั้งคู่ มี่ทั้งแสบทั้งระบมเลยคะ"

แล้วเธอก็เบียดกายเข้ามาซุกที่ตัวของชายหนุ่ม  กริชนั้นไม่พูดอะไรนอกจากกอดเธอแน่นแล้วเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย มี่นั้นไม่หลับตามที่เธอกับกริช  พอเห็นว่าชายหนุ่มหลับสนิทเธอเอามือไปลูบหน้าของกริชอย่างแผ่วเบาไปมาพร้อมกับความคิด

"เปิดใจด้วยนะคะกริชอย่าปิดตัวเองอีกเลยปมที่กริชมีมันแก้ง่ายแต่กริชมองว่ามันแก้ยาก  ถ้ากริชยังมองตัวเองแบบนี้อนาคตกริชอาจพลาดของที่รักไปหลายๆอย่าง"

ก่อนที่จะหอมแก้มของกริชอย่างเบาๆ แล้วซุกอกของชายหนุ่มพร้อมกับข่มตาให้หลับ ภายในอ้อมกอดที่อบอุ่น  กริชตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วนึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคือความฝัน มองไปข้างๆก็เห็นที่นอนว่างเปล่า  แต่เหลือบไปตรงประตูกระจกทางออกไประเบียงเห็นหญิงสาวที่ใส่เสื้อคลุมยืนชมวิวอยู่ กริชมองไปสักครู่ก่อนลุกไปห้องน้ำแล้วเหลือบไปเห็นแปรงสีฟันที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ถูกฉีกออกจากซอง 1ด้าม  กริชเริ่มจัดการกับตัวเองแล้วสวมเสื้อคลุมก่อนออกไปยืนข้างๆหญิงสาวที่ยังยืนดูวิวอยู่ แล้วเอามือของตนเองไปจับมือหญิงสาวมากุม ก่อนจะพูดว่า

"มี่ครับ"

หญิงสาวหันมามองก่อนส่ายหน้าแล้วบอกว่า

"มี่บอกแล้วไงคะอย่าพูดอะไร  สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเราทั้งคู่เต็มใจและตั้งใจให้เกิดขึ้นคะ  มาดูวิวดีกว่าคะ  มี่อยากใช้เวลาที่เหลือสำหรับเราให้คุ้มค่าที่สุด"

เธอพูดพร้อมเบียดตัวเข้าไปชิดกับชายหนุ่มและเอาศรีษะเอนไปซบไหล่แถมจับมือของกริชให้มาโอบรอบเอวเธอด้วย กริชที่กำลังสับสนอยู่นั้นทำตามแต่โดยดี   มี่นั้นผิดหวังเล็กน้อยนึกว่าชายหนุ่มจะมาโอบกอดจากเบื้องหลังแต่กริชกลับไม่ทำ เธอไม่อยากฟังคำขอโทษหรืออะไรก็แล้วแต่จากปากของกริช  มี่อยากเก็บเวลาที่อยู่กันสองต่อสองนี้ไว้นานๆ  แล้วกลิ่นหอมๆจากเรือนผมของมี่ทำให้ชายหนุ่มหันเอาจมูกไปสัมผัส2-3ครั้ง ก่อนที่หญิงสาวจะเงยหน้าขึ้นมา  สายตาทั้งคู่สบกันแน่นิ่งก่อนที่ริมฝีปากของมี่จะถูกริมฝีปากที่บางเฉียบของกริชทาบมาอีกครั้ง จนกลายเป็นการปลุกอารมณ์ของทั้งคู่  กริชอุ้มหญิงสาวที่ไม่มีอาการขัดขืนใดๆมาที่เตียงก่อนจะบรรจงวางลงบนที่นอนเสื้อคลุมทั้งคู่ถูกปลดออกทันที จังหวะที่กริชกำลังซุกไซร้ไปที่ลำคออยู่นั้น มี่พึมพำมาว่า

"กริชยังไม่พออีกหรือ  มี่ระบมไปหมดแล้วนะคะ"

เป็นคำพูดด้วยอาการเขินอายมากกว่า  เพราะเธอต้องการสิ่งที่กริชกำลังจะมอบให้อีกครั้ง  นาฬิกาของทั้งคู่ดูจะหยุดหมุนไปชั่วขณะ  บทรักที่เกิดขึ้นอีกครั้งด้วยความเต็มใจของทั้งสองฝ่ายจนถึงฝั่งฝันทั่งคู่ มี่นอนซบบนไหล่ของกริชและดูเหมือนเธอจะเผลอหลับ กริชนอนคิดอะไรครู่หนึ่งก่อนจะมองนาฬิกา แล้วรีบปลุกสาวที่นอนข้างๆให้ตื่น

"มี่ครับ  อีกช.ม.ครึ่งรถจะมารับเราไปสนามบินแล้วครับ  ตื่นก่อนเหอะจะได้เตรียมตัว"

ใบหน้าของหญิงสาวยิ้มเล็กน้อยแต่ตาไม่ยอมลืมก่อนจะบอกกับกริชว่า 

"หอมแก้มมี่ก่อน"

ชายหนุ่มทำตามแต่โดยดีพร้อมรอยจูบ ที่หญิงสาวรับแต่โดยดี เธอถึงลืมตาขึ้นพร้อมหอมแก้มกริชแรงก่อนจะลุกไปแต่งตัวแล้วหันมาบอกกริชก่อนออกจากห้องว่า

"กลับเมืองไทยแล้วมี่ขอร้องนะคะอย่าซีเรียสกับชีวิตให้มากนัก"

กริชจัดการเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วสายตาเหลือบไปบนที่นอนที่ที่ผ้าปูยับยู่ยี่ และมีสีแดงๆคล้ายเลือดเปื้อนอยู่ ทำเอาชายหนุ่มยิ่งเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นและหญิงสาวมีทีท่าที่จะไม่สนใจกับสิ่งที่สูญเสียไปแล้วต่อไปจะทำอย่างไร  เพราะกริชนั้นวางแผนอนาคตให้กับตัวเองไว้บ้างแล้ว  แต่อยู่ที่มี่จะรอตนเองไหวหรือเปล่า  เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย กริชมายืนรอหญิงสาวที่หน้าห้องที่อยู่ติดๆกัน  ใช้เวลาไม่นานมี่ก็เดินออกจากห้องพร้อมบอกว่า

"เกือบยัดกระเป๋าไม่ลงของฝากเยอะมาก"

แล้วเธอยื่นถุงกระดาษให้กริช โดยที่ชายหนุ่มทำหน้าสงสัย

"รับไว้สิ มี่ซื้อให้ถือว่าแทนคำขอบคุณที่ช่วยงานมี่มาตลอดจะให้ในห้องแล้วก็ลืม "

กริชรับมาก่อนเปิดถุงพบว่าเสื้อเชิ้ตแขนยาวยี่ห้อดัง

"ไว้ใส่ทำงานนะ  วันจันทร์นี่ใส่เลยก็ได้มี่อยากเห็น  มี่กะไซส์ไม่ผิดแน่นอน"
"ขอบคุณครับ"

ชายหนุ่มตอบก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปที่ลิฟท์ ระหว่างตั้งแต่ทานอาหารที่โรงแรมจนถึงสนามบิน  มี่ไม่พูดถึงเรื่องเมื่อคืนเลยพอกริชทำท่าจะพูดถึงเธอก็ยืนยันคำพูดในห้อง  จนชายหนุ่มไม่กล้าพูด  ซึ่งที่จริงแล้วมี่เห็นว่ากริชกำลังสับสนเธอรู้ว่ากริชสับสนเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่จะมีต่อไป  เรื่องของแฟนเธอ  แต่มี่อยากใช้เวลามากกว่านี้เพื่อหาทางออกให้กับตัวเองด้วย บนเครื่องบินผู้โดยสารนั้นจำนวนพอๆกลับขามา แต่มี่ให้กริชนั่งติดกับเธอและเธอนั้นนั่งซบไหล่กริชมาตลอดทาง  และบอกว่าพี่ไหมจะมารับ เธอจะเลยไปส่งกริชที่บ้านดีกว่าที่กริชจะนั่งแท็กซี่กลับบ้านไหนๆก็ทางผ่านอยู่แล้วแต่กริชไม่รู้ความจริงว่าตอนแรกแฟนมี่จะมารับแต่หญิงสาวโทรไปบอกว่าไม่ต้องมาเพราะพี่สาวจะมารับแล้วเธอถึงโทรไปบอกให้ไหมมารับแทน  จนเครื่องบินลงหลังจากทั้งคู่ผ่านขั้นตอนต่างๆเรียบร้อยแล้ว ก็พากันเดินออกมาด้านนอก  พบไหมที่ยืนยิ้มรอยู่ก่อนทั้งสามคนจะพาไปกันไปที่รถ  ระหว่างทางไหมสังเกตว่ากริชพูดน้อยลงกว่าทุกครั้งที่พบ  จนไปถึงบ้านของกริชหลังจากที่ชายหนุ่มลงจากรถเรียบร้อยแล้ว   ไหมมองกระจกหลังเห็นกริชกำลังเดินเข้าบ้าน เธอจึงถามน้องสาวว่า

"มี่กริชเป็นอะไรดูไม่ค่อยพูดเหมือนทุกครั้งเลย"

"คงเครียดกับงานนะพี่ไหม  งานคราวนี้ค่อนข้างยากโจทย์หินเลยทำให้ดูเครียด"

เธอตอบพี่ด้วยด้วยเรื่องที่ไม่จริงแต่ไหมพยักหน้าเพราะนึกว่าเรื่องจริง  จนวันจันทร์กริชทำตามที่หญิงสาวบอกคือใส่เสื้อตัวที่มี่ซื้อให้ไปทำงาน  ทำเอามี่ดีใจมากๆแต่เก็บอาการไว้เพราะกลัวความในใจเปิดเผยให้คนอื่นรับรู้ แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่หาได้คืบหน้าไม่  ทั้งๆที่มี่พยายามเปิดทางให้แต่กริชนั้นกลับไม่เปิดใจเท่าไหร่ แต่ทั้งคู่ได้เดินทางไปสิงคโปร์ด้วยกันอีก 2-3 ครั้งและทุกอย่างก็เหมือนเดิม จริงๆแล้วกริชนั้นอยากจะบอกว่าตัวเองนั้นรักมี่อย่างสุดหัวใจแต่ยังติดอยู่2-3เรื่อง คือเรื่องที่ตนเองไม่อยากเป็นมือที่ 3 เพราะประสบการณ์เรื่องของแม่มันฝังใจอยู่ทุกวันนี้ว่าแม่โดนตั้งข้อรังเกียจขนาดไหน  เรื่องที่สอง กริชนั้นได้รับคำบอกเล่าจาก CEO เป็นการส่วนตัวว่า ตำแหน่ง ผช.ผอ.ฝ่ายการตลาดที่บริษัทแม่กำลัง ว่างลงเพราะ คนที่ตอนนี้เป็นผู้ช่วยกำลังถูกเลื่อนไปเป็นผู้อำนวยการแทนคนเก่าที่กำลังเกษียณอายุ ทางบริษัทกำลังจะเปิดรับสมัครจากพนักงานที่ของบริษัทที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก   CEO อยากให้กริชไปสมัครด้วย และกริชไปปรึกษากับสินซึ่งสินสนับสนุนเต็มที่ กริชเลยมุมานะเพื่ออยากจะไปสอบและเริ่มศึกษาภาษาเยอรมันเพิ่มขึ้นเพราะรู้ว่าที่สวิตฯนั้นใช้ภาษาเยอรมันด้วย

แต่เงื่อนไขคือถ้าได้รับตำแหน่งนี้ต้องอยู่ประจำอย่างน้อย 5 ปี  ถ้าลาออกก่อนหรือขอกลับประเทศก่อน พวกบำเหน็จบำนาญจะถูกงดหรือจ่ายให้น้อยลงเพราะต้องไปทดแทนเป็นค่าเสียหายๆต่างๆที่บริษัทออกให้ รวมทั้งอาจถูกงดพิจารณาโบนัสหรือขึ้นเงินเดือนประจำปี อย่างน้อย 2 ปี แต่ด้วยค่าตอบแทนที่สูงรวมถึงที่พักอย่างหรูที่และรถยนต์ประจำตำแหน่งที่ทางบริษัทมีให้  แต่พอพ้น 5 ปีไปแล้วจะอยู่ต่อหรือขอกลับประเทศก็ได้ ทำให้กริชตัดสินใจไม่ยาก  เพราะมันจะช่วยกริชทั้งเรื่องฐานะและตำแหน่งที่สูงขึ้นกว่าเก่า แต่ต้องอยู่ที่นั่นอย่างน้อย 5ปี  หญิงสาวจะรอตัวเองได้หรือไม่ยิ่งคิดกริชยิ่งปวดใจ ทำให้ไม่กล้าบอกอะไรกับหญิงสาว จนในที่สุดก่อนที่กริชจะทำการสอบเลื่อนตำแหน่งโดย CEO จากบริษัทแม่มาสัมภาษณ์และทดสอบเอง ร้านสาขาที่สิงคโปร์และเชียงใหม่ก็เปิดทำการสำเร็จ  โดยเปิดที่เชียงใหม่ก่อนและไปเปิดที่สิงคโปร์  ทีมงานของกริชได้รับคำชมมากมาย แต่บนข่าวดีนั้นก็มีข่าวร้าย หลังจากงานเปิดร้านสาขาที่สิงคโปร์เสร็จ  มี่นั้นได้ตัดสินใจที่จะคุยกับกริชถึงเรื่องความสัมพันธ์ ว่าจะดำเนินไปอย่างไร  เธอนั้นไม่รู้เรื่องที่กริชกำลังจะสัมภาษณ์เพื่อเลื่อนตำแหน่งหลังจากกลับไปเมืองไทย

ทั้งคู่ได้มาพูดคุยกันโดยกริชนั้นเตรียมจะเล่าเรื่องที่ตัวเองจะสัมภาษณ์เลื่อนตำแหน่งและซื้อสร้อยคอมือที่สลักชื่อมี่ ให้กับหญิงเพื่อจะเผยความในใจให้มี่รู้ โดยเตรียมใจไว้กับผลที่ออกมาทุกทางแต่ทุกอย่างมันไม่ใช่อย่างที่คิดไว้  เพราะมี่นั้นตัดพ้อต่อว่ากริชอยู่ฝ่ายเดียวโดยจี้ไปที่ปมของชายหนุ่ม  เพราะเธอตั้งใจจะพูดให้กริชคลายปมนั้นเสียจะได้เลิกคิดว่าตัวเองต่ำต้อยจะได้มาคบกับเธออย่างเปิดเผยเพราะมี่ตั้งใจว่าพอกลับไปที่ประเทศไทยเธอจะบอกเลิกกับแฟนทันที แต่มี่หารู้ไม่ว่ามันไปกระทบจิตใจของกริชเต็มที่กริชแทบจะไม่ตอบอะไรเลย จนมี่ที่น้อยใจสุดขีดพูดทั้งน้ำตาว่า

"กริชมี่คิดว่า ความสัมพันธ์ของเราคงไปต่อไม่ได้ ถ้ากริชยังเป็นแบบนี้อยู่  มี่อยากได้คนที่ยอมรับความจริงสู้กับทุกเรื่องมากกว่าคะกริช  เรื่องที่ผ่านมาขอนึกว่าเป็นความฝันของเราแล้วกัน"

เธอพูดจบเธอเดินจากไปทันทีโดยไม่หันมามองปล่อยให้ชายหนุ่มที่มีความรู้สึกชาไปทั้งร่างกับความเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก นั่งจมอยู่กับความทุกข์ความเศร้าเสียใจที่เกิดขึ้น คืนนั้นทั้งคู่ต่างนอนไม่หลับทั้งคู่  จนกลับมาถึงเมืองไทยมี่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับทั้งบริษัทโดยการยื่นใบลาออก  โดยให้เหตุผลว่าจะไปช่วยพี่สาวดูแลธุรกิจทางบ้านที่ทำเรื่องส่งออกผลไม้ไปต่างประเทศ เพราะธุรกิจกำลังขยายตัว  ใบลาออกเธอได้รับการอนุมัติ เธอกับกริชไม่ได้คุยกันอีกเลย  กริชนั้นพยายามหลบหน้าเธอตลอด  จนวันสุดท้ายที่เธอมาทำงาน  กริชนั้นก็ไม่อยู่หาเรื่องออกไปตรวจตลาดที่เชียงใหม่เพื่อจะได้ไม่เจอเธอ มี่อยากจะโทรไปลาและขอโทษกริชกับคำพูดในวันนั้นที่เธอคิดว่ามันรุนแรงไปแต่แล้วเธอก็ไม่กล้า  ส่วนกริชนั้นได้ตั้งสติลืมความผิดหวังที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในชีวิต    เพื่อมีสมาธิกับการสอบจนในที่สุดกริชสัมภาษณ์ผ่านเพราะผลงานที่ผ่านๆมาด้วย กริชเตรียมที่จะไปรับตำแหน่งใหม่ในอีก 2เดือนข้างหน้าโดยที่ตุ๊กตานั้นถึงจะใจหายที่จะไม่เจอกริช  แต่เธอก็นึกได้ว่าตราบใดที่เธอเป็นเลขา CEO ที่นี่เธอจะได้พบกริชอย่างน้อยปีละครับ  เพราะต้องเธอกับผู้บริหารระดับสูงจะต้องบินไปประชุมที่สวิตฯทุกปี   ยังไม่รวมถึงการติดต่อกันเรื่องงานเป็นประจำ  เธอแสดงความยินดีกับกริชอย่างจริงใจ

วันนั้นกริชกลับไปที่บ้านและไปยืนมองที่รูปของแม่ก่อนจะบอกว่า
"แม่ครับเราจะไปอยู่ที่สวิตฯกันครับ แม่จำได้หรือเปล่าครับตอนที่แม่สอนให้กริชพูดภาษาฝรั่งเศสและแม่บอกว่าภาษานี้เป็นภาษาประจำชาติของสวิตฯที่เป็นประเทศที่สวยงาม  แม่ยังอยากไปสักครั้งในชีวิต  กริชจะพาแม่ไปครับเราจะไปอยู่ที่นั่นด้วยกันครับ"

กริชพูดพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดแล้วกำหนดวันที่กริชจะเดินทางไปรับตำแหน่งออกมาแล้ว เป็นอีก 2เดือนข้างหน้า ซึ่งตรงกับวันเกิดของกริชพอดี ระหว่างนี้ชายหนุ่มได้เริ่มเตรียมการหลายๆอย่างรวมทั้งไม่รับงานแปลเอกสารแล้ว  แต่หม่อนยังโทรมาปรึกษาพูดคุยเรื่องคำศัพท์ต่างๆซึ่งกริชให้คำแนะนำด้วยความเต็มใจแต่พยายามจะไม่เอ่ยถึงมี่  และกริชยังไม่บอกกับพ่อว่าจะย้ายไปทำงานที่สวิตฯกริชมีเหตุผลของตัวเองอยู่แล้ว  แต่แล้วเหมือนฟ้าผ่ามากลางใจ  กริชรู้ข่าวว่ามี่จะแต่งงานจากหม่อน กริชได้แต่รับฟังด้วยความเศร้าหมอง จนวันหนึ่งก่อนที่กริชจะเดินทาง 1 เดือน มี่ได้โทรมาหาพร้อมบอกว่าจะไปหาที่บ้าน จะเอาการ์ดงานแต่งไปให้ กริชนั้นฟังด้วยความปวดใจแต่ยอมให้หญิงสาวมาหา วันรุ่งขึ้นมี่ได้ขับรถมาหากริชเพียงคนเดียว กริชออกมารับเธอด้วยสีหน้าปกติก่อนจะพาเธอเข้าบ้าน  มี่มองไปรอบๆบ้าน บ้านที่มีของตกแต่งไม่มากแต่ทุกอย่างดูสะอาดเรียบร้อยไร้ฝุ่น  เธอไต่ถามทุกข์สุขของกริช ซึ่งได้คำตอบตามปกติจนเธอยื่นการ์ดให้  เธอเห็นได้ชัดว่าใบหน้าของกริชซีดเผือด กริชรับและเปิดการ์ดออกมาอ่านพร้อมสีหน้าที่กลับมาเป็นอย่างเดิม แต่แววตานั้นดูเศร้าอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเอ่ยคำแสดงความยินดีวันแต่งงานของมี่คือก่อนที่กริชจะเดินทาง 1 วัน

หญิงสาวนั้นความรู้สึกไม่แพ้กัน  แต่จังหวะถูกขัดด้วยเสียงโทรศัพท์ พอกริชรับเธอรู้จากที่ได้ยินว่ากริชคุยกับพี่สาวคนเล็ก จนคุยจบกริชเอาโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อ   มี่นั้นที่มาวันนี้เธออยากได้ยินคำจากปากของกริชว่าคิดยังไงกับเธอ  มี่พร้อมที่จะยกเลิกงานแต่งงานถ้าได้ยินคำว่ากริชชอบหรือรักเธอรวมถึงเรื่องที่กริชจะไปสวิตฯที่เธอรู้จากใจหัวหน้างานเก่าของเธอ   พอเธอรู้เรื่องทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่ากริชนั้นเริ่มศึกษาภาษาเยอรมันอย่างจริงจังระหว่างไปสิงคโปร์ เธอตื่นมาเห็นกริชนั่งอ่านหนังสืออยู่บ่อยๆครั้ง  ไม่ก็นอนหนุนตักเธอพร้อมกับอ่านหนังสือภาษาเยอรมัน  ตอนนั้นเธอนึกว่ากริชแค่อยากรู้อยากศึกษาเพิ่มเท่านั้น  แต่แล้วเธอก็มารู้ว่ากริชศึกษาเพื่อจะได้ไปทำงานที่สวิตฯ มี่รอว่ากริชจะบอกเรื่องกับเธอนี้ด้วยหรือไม่    และระหว่างที่กริชโทรศัพท์อยู่นั้นสายตาเธอเหลือบไปเห็นสร้อยเงินที่เป็นสร้อยข้อมือบนโต๊ะทำงานของกริชที่อยู่ใกล้เธอ บนสร้อยนั้นสลักชื่อเล่นของเธอ ยิ่งทำให้เธอเจ็บปวดในถึงคำพูดในวันนั้น  เธอมองหน้าของกริชที่ไม่พูดอะไรต่อ

"มี่จะกลับแล้วนะกริช"

ในที่สุดเธอตัดสินใจพูดออกมา พร้อมลุกขึ้นยืน  กริชลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปส่งแต่แล้วความรู้สึกชั่ววูบที่เกิดขึ้นเพราะความรักและความน้อยใจ เธอตบหน้ากริชอย่างแรง  จนใบหน้าของกริชสะบัดไปตามแรงตบพร้อมกับโทรศัพท์ที่กริชใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างหมิ่นๆได้ตกลงบนพื้น  กริชรีบก้มลงไปหยิบโทรศัพท์มาดู สติของหญิงสาวกลับคืนมาทันที  เธอรู้ว่าของทุกสิ่งที่พ่อซื้อให้กริชนั้นมันสำคัญต่อจิตใจของกริชอย่างไร  ช่วงที่เธออยู่กับกริชที่สิงคโปร์นั้นก่อนนอนกริชจะเอาโทรศัพท์ นาฬิกาพร้อมแว่นกันแดดมาเช็ดทำความสะอาดทุกครั้งและเธอดูออกว่ากริชใช้อย่างถนอม

"กริชๆๆ มี่ขอโทษ โธ่ไม่น่าเลยกริชๆๆๆ"

น้ำตาที่พยามสะกดกลั้นมาตลอดตั้งแต่เห็นชายหนุ่มหน้าซีดไหลพรั่งพรูออกมาพร้อมเอามือไปจับโทรศัพท์

"โทรศัพท์เป็นอะไรหรือเปล่า โธ่ๆๆๆมี่ขอโทษ"

ชายหนุ่มที่ใบหน้าชาไปทั้งแถบพูดออกมาว่า

"ไม่เป็นไรหรอก  มันตกหลายครั้งแล้ว ดูสิ"

กริชยื่นโทรศัพท์ให้มี่ดู เพื่อจะยืนยันว่าไม่เป็นอะไร  แต่หญิงสาวเห็นหน้าจอโทรศัพท์เธอยิ่งปวดร้าวหนักเข้าไปอีก หน้าจอเป็นภาพที่เธอเป็นคนถ่ายเซลฟี่คู่กับกริชตอนอยู่สิงคโปร์ ทั้งคู่นั่งติดกันและเธอซบไปที่ไหล่ของกริช  กริชยื่นมือเพื่อขอโทรศัพท์คืน

"เห็นมั้ยมันไม่เป็นอะไรเลย"

เสียงพูดที่สั่นเครืออกจากปากของกริช  มี่เงยหน้าขึ้นมองและเห็นรอยนิ้วสีแดงบนแก้มของกริช ทำเอาเธอทำอะไรไม่ถูกก่อนที่จะเอามือไปลูบแก้มตรงรอยที่โดนตบอย่างแผ่วเบา

"กริชเจ็บมั้ย มี่ไม่ตั้งใจ มี่ขอโทษ"

เธอพูดวนไปวนมาพร้อมเอามือลูบคลำไม่หยุด  กริชจับมือของหญิงสาวออกแล้วส่ายหน้า

"ทนได้มี่ ชีวิตกริชเจ็บกว่านี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว  ทำไมแค่นี้จะทนไม่ได้"

ได้ยินคำพูดแบบนี้หญิงสาวยิ่งเจ็บปวดโผเข้ากอดชายหนุ่มอย่างลืมตัว เสียงสะอื้นของเธอนั้นบอกมาว่า

"ทำไม กริช ทำไม ทำไมกริชไม่........ "

กริชเชยคางของหญิงสาวขึ้นแล้วเอานิ้วแตะที่ปากก่อนตอบไปว่า

"เราเปลี่ยนอดีตไม่ได้แล้วมี่  กริชขอใช้คำพูดของมี่มาบอกว่า เข้มแข็งนะมี่ เรื่องอนาคตเราไม่มีทางรู้"

สายตาของมี่ดูจะเว้าวอน กริชเกือบเผลอที่จะทำตามสายตาที่เรียกร้องของหญิงสาว   แต่ต้องตัดใจเปลี่ยนเป็นกอดหญิงสาวเพื่อปลอบใจ  มี่นั้นอยากให้กริชจูบเธอเป็นครั้งสุดท้ายแต่ก็เข้าใจที่ชายหนุ่มปฏิเสธ จนกริชดันตัวเธออกแล้วเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบน้ำตา หญิงสาวสะอื้นเบาๆแต่พอสายตาทอดไปบนโต๊ะก็เห็นสร้อยคอมือ กริชมองตามแล้วเอื้อมไปหยิบก่อนจะบรรจงสวมให้ที่ข้อมือด้านขวาพร้อมบอกว่า

"สร้อยเป็นของมี่กริชรออยู่ว่ามี่จะมารับไปวันไหน กริชดูแลทำความสะอาดอย่างดี กริชสวมให้นะ  แต่หลังจากนี้มี่จะเก็บไว้ที่ไหนก็แล้วแต่มี่  เพราะมันเป็นของมี่แล้ว"

น้ำตาที่เริ่มจะหยุดไหลกลับไหลออกมาอีก  เธอกอดกริชแน่น  กริชรอจนเธอหายสะอื้นแล้วเช็ดหน้าให้อีกครั้งก่อนพยักหน้า

"ไปเถอะ  ได้เวลาแล้วกริชไปส่ง"

มี่พยักหน้ารับรู้กริชเดินพาเธอมาที่รถแล้วมองด้วยใบหน้ายิ้มๆแต่ภายในดวงตาของกริชน้ำอุ่นเริ่มคลอออกมาให้เห็น  มี่มองกริชอย่างเต็มตาก่อนบอกว่า

"โชคดีในตำแหน่งใหม่นะคะกริช มี่เอาใจช่วย"

เธอกลั้นน้ำตาอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาของกริชก่อนจะขับรถออกไป  กริชเดินเข้าบ้านพร้อมกับนึกว่า "เราทำได้แค่นี้ เค้าไม่ใช่เนื้อคู่ของเรา"

สองสัปดาห์ก่อนที่กริชจะเดินทางไปสวิตฯ  กริชขับมอเตอร์ไซด์มาที่หน้าบ้านหลังใหญ่ก่อนจอดลงตรงหน้าประตูก่อนมองเข้าไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

"คุณครับมาติดต่อใครหรือครับ"

เสียง รปภ.ที่อยู่ในป้อมหลังประตูรั้วถามมา

"มาหาคุณพ่อครับ"

เมื่อได้ยินคำตอบ รปภ.ทำหน้างงๆ ก่อนที่จะโทรศัพท์เข้าไปในบ้าน สักพักรีบวิ่งมาเปิดประตูพร้อมโค้งแทบจะติดพื้น

"ขอโทษครับ  ผมไม่ทราบว่าเป็นคุณกริช  ผมพึ่งมาอยู่ไม่กี่เดือน"

"ไม่เป็นไรครับ  ผมไม่ได้มาที่นี่เกือบปีแล้วครับ"

กริชตอบอย่างไม่ถือสาก่อนจะขับมอเตอร์ไซด์เข้าไปในบ้าน เอาจอดข้างๆโรงรถที่มีรถหรูราคาแพงจอดอยู่ 10 กว่าคัน  กริชมองรถหรูเหล่านั้นแล้วยิ้มๆก่อนถอดหมวกกันน็อคแล้วเดินเข้าไปในบ้าน ก่อนจะขึ้นบันไดที่มีอยู่4-5ขั้นไปสู่ลานเทอเรสอันกว้างใหญ่ที่ทำด้วยหินอ่อน แต่มีร่างๆหนึ่งที่สูงวัยเดินออกมารับพร้อมด้วยรอยยิ้ม

"คุณกริช  ป้านีคิดถึงจังเลย  ไม่มาตั้งนานแล้ว"

กริชยกมือไหว้แม่บ้านแล้วกอดเบาๆ  ก่อนจะทักทายด้วยความเคารพแม่บ้านคนนี้ก็เป็นอีกคนที่ช่วยดูแลกริชมาตั้งแต่ๆเล็กๆและไปนั่งร้องไห้ด้วยความเสียใจในงานศพของแม่กริช

"มาคะกำลังตั้งโต๊ะพอดี  วันนี้ป้าสั่งแม่ครัวให้ทำของชอบคุณกริชไว้หลายอย่าง"

เธอเดินจูงมือกริชไปที่ห้องอาหาร ระหว่างทางที่ไปกริชมองไปรอบบ้านอันใหญ่โตหรูหา  ที่กริชมาวันนี้พ่อเป็นคนโทรมาบอกเองว่าอยากให้กริชมากินข้าวซึ่งกริชไม่บ่ายเบี่ยงเพราะอยากจะหาโอกาสบอกพ่อว่าตนเองจะย้ายไปทำงานที่สวิตฯ ที่กริชเลือกมาบอกช่วงนี้เพราะพ่อกับพี่กลอยจะคัดค้านไม่ได้เนื่องจากมันใกล้เวลาที่กริชจะเดินทางแล้วและกริชจะคืนบ้านให้พ่อด้วย ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าจะตัดใจจากทุกอย่างที่เมืองไทย พอไปถึงโต๊ะอาหาร ทุกคนนั่งอยู่แล้ว พ่อนั่งที่หัวโต๊ะ อีกฝั่งคือคุณป้า ส่วนอีกด้านเป็นคุณไก่กับคุณก้อง และพี่กลอยที่หันมามองน้องชายก่อนกวักมือมาให้นั่งข้างๆ  กริชยกมือไหว้ไปที่ผู้เป็นพ่อ

"สวัสดีครับพ่อ"

ผู้เป็นพ่อมองมาพร้อมพยักหน้ารับ  ส่วนกริชหันไปยกมือไหว้คนอื่นและพูดว่า

"สวัสดีครับทุกคน"

โดยไม่สนว่าจะมีการตอบรับหรือไม่แต่กับพี่สาวคนเล็กกริชยกมือไหว้และบอกว่า

"สวัสดีครับพี่กลอย"

ทำเอาผู้เป็นภรรยาของพ่อนั่งคอแข็งและเมินไปทางอื่นด้วยความไม่พอใจ

"นั่งสิกริช"

ผู้เป็นพ่อบอกและหันไปบอกแม่บ้านให้ตักข้าวได้  การทานข้าวมื้อนี้ช่างเงียบเหลือเกินมีแต่เสียงพี่สาวคนเล็กที่คุยกับน้องชายส่วนพี่สาวคนโตคุยกับแม่เรื่องการท่องเที่ยวไปต่างประเทศเหมือนอยากจะข่มลูกคนเล็กของบ้านนี้ แต่กริชนั้นเฉยไม่สนใจทำให้ไก่ที่ขัดใจที่กริชไม่สนใจเลยถามขึ้นมาด้วยเสียงวางอำนาจว่า

"กริช วันนั้นที่ไปสิงคโปร์นะแฟนออกเงินให้พาไปซื้อของหรือไงถึงซื้อกันพะรุงพะรัง"

ประโยคนี้มันสร้างความเจ็บปวดให้กับกริชเป็นอย่างยิ่ง แต่พี่ชายคนกลางเป็นคนดุพี่สาวแทนโดยที่กริชนึกไม่ถึง

"พี่ไก่ทำไมพูดแบบนั้น"

"เงียบไปเลยก้องพี่มีเรื่องจะเคลียร์กับมันเรื่องกิริยาวันนั้น"

กริชจ้องตาแบบไม่หลบโดยผู้เป็นพ่อเหลือบตามองก่อนจะก้มหน้าทานข้าวต่อไปเหมือนไม่สน กริชยิ้มนิดๆก่อนบอกว่า

"เพื่อนที่ทำงานจะไปซื้อของครับเลยเดินไปเป็นเพื่อนเท่านั้น"

"อ้อ มิน่านึกว่ามีเงินไปช็อปปิ้งซื้อของที่ไหน  ที่แท้เป็นแค่ลูกหาบ"

ก่อนที่กริชจะตอบ ผู้เป็นภรรยาของพ่อพูดต่อจากลูกสาวคนโตทันที

"แล้วนี่จะมาขอเงินพ่อหรือไง จะเอาไปซื้ออะไรละ ถ้าจะขอไปซื้อรถนะมีปัญญาหาเงินเติมน้ำมันหรือเปล่า"

"คุณทำไมพูดแบบนี้"

เป็นเสียงของพ่อที่เงียบมาตลอด พูดด้วยเสียงที่ไม่พอใจ  กริชนั้นวางช้อนส้อมทันที โดยที่พี่สาวคนเล็กหันมามองด้วยความวิตก กริชนั้นตอบไปทันทีว่า

"ไม่หรอกครับทำไมป้าถึงคิดว่าผมจะมารบกวนพ่อ  ทั้งๆที่หลายปีที่ผ่านมา ผมทำด้วยตัวเองตลอดตั้งแต่แม่เสีย ผมเคยมารบกวนพ่อหรือเปล่าครับ  อย่าบอกนะครับว่าผมไปขอเงินพ่อโดยที่ป้าไม่รู้ไม่เห็น  ป้าดูละครน้ำเน่ามากไปหรือเปล่าครับ จริงๆแล้วผมมีเรื่องจะคุยกับพ่อพอดี  แต่ไหนๆแล้วก็คุยตอนนี้เลยแล้วกันไม่ต้องรอให้อิ่มก่อน"

ผู้เป็นภรรยาของพ่อทำท่าจะตอบด้วยความโกรธแต่เจอสายตาที่แข็งกร้าวของสามีมองมาเลยได้แต่นั่งเม้มปากสะบัดหน้าไปทางอื่นกริชนิ่งไปสักครู่ก่อนมองไปรอบๆโต๊ะแล้วไปสิ้นสุดที่ผู้เป็นพ่อก่อนบอกว่า

"เรื่องแรกที่ผมจะบอกกับพ่อว่าได้ย้ายไปทำงานที่สวิตฯแล้ว คงไม่อยู่ให้เกะกะหลายๆคนอีกต่อไปที่คิดเป็นอย่างเดียวว่าผมจะมาสูบเงินจากพ่อ  ส่วนอีกเรื่องคือเรื่องบ้านตั้งแต่แม่เสียชื่อเจ้าของบ้านก็โอนมาเป็นชื่อผม  ผมอยากจะโอนให้กลับไปเป็นชื่อพ่อครับ  เพราะเป็นบ้านของพ่อ เท่านี้แหละครับที่ผมจะบอกให้พ่อรู้"

ผู้เป็นพ่อยังหน้านิ่งสายตามองไปที่จานข้าวก่อนจะวางช้อนส้อมโดยไม่พูดอะไร มีแต่พี่สาวคนเล็กเท่านั้นที่สอบถามด้วยความตกใจว่าจะไปกี่ปี ไปเมื่อไหร่   แต่ก้องพี่ชายคนกลางจับตาดูน้องชายคนเล็กและคิดว่า กริชนั้นเป็นคนที่คมในฝักเป็นเสือซ่อนเล็บ  ก้องอยู่ในวงการของการตลาดพอจะรู้ความเคลื่อนไหวและฝีมือของน้องชายต่างมารดาเป็นอย่างดีว่ามีฝีมือขนาดไหน  ผู้เป็นพ่อนั้นไม่พูดอะไรเลย  จนพี่สาวคนโตถามมาอีก

"แล้วยังไง  จะมาขอเงินพ่อเป็นค่าเครื่องบินหรือไงถึงได้บอกนะ"

กริชตอบไปแบบที่ทุกคนคาดไม่ถึง

"คุณไก่ไม่น่าจะถามแบบนี้ทั้งๆเป็นรอง MD.ของบริษัทใหญ่เลยนะครับ  หรือบริษัทนี้คุณไก่ให้พนักงานออกค่าเดินทางเองบริษัทไม่ออกค่าใช้จ่ายให้  เรื่องเบสิคขนาดนี้ผู้บริหารระดับสูงต้องรู้สิครับ"

กริชย้อนไปแบบที่ทุกคนไม่คาดคิดเพราะตั้งแต่โตมากริชไม่เคยโต้ตอบเลย ก่อนที่กริชจะลุกขึ้นยืนแต่ก้องรีบพูดทันที

"กริชเดี๋ยวก่อน  พี่อยากจะรู้ว่ากริชไปทำตำแหน่งอะไร และดูแลเรื่องไหนบ้าง"

กริชตอบไปแบบปัดๆโดยไม่บอกรายละเอียดมากนัก  แต่นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ก้องแทนตัวเองว่าพี่ แล้วคำพูดที่กริชนึกไม่ถึงว่าจะมีได้ออกจากปากก้อง

"กริชพี่มีข้อเสนอ ตอนนี้ที่บริษัทตำแหน่ง ผจก.ฝ่ายการตลาดว่างพอดี  พี่อยากให้กริชมาช่วย แล้วอีก5-6 เดือนค่อยเลื่อนเป็นผู้ช่วยพี่  ถ้ามีค่าปรับชดใช้อะไรพี่รับผิดชอบทั้งหมดส่วนเงินเดือนถึงจะให้สู้ไม่ได้กับทางนั้น  แต่กริชก็จะได้มาช่วยงานพ่อ  เหมือนที่ปู่สั่งเสียไว้ก่อนจากไปว่าให้เรา 4 คนพี่น้องช่วยกันดูแลกิจการที่ปู่สร้างมากริชว่ายังไง  ลองไปคิดดูนะ แต่พี่อยากให้กริชมาช่วยจริงๆ"

แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นรวมถึงผู้เป็นพ่อที่เหลือบตามองลูกชายคนเล็กที่ลุกขึ้นยืนทำท่าจะกลับ  คือรอยยิ้มที่ดูออกว่าเหยียดๆ ก่อนหันมาทางผู้เป็นพ่อว่า

"พ่อครับ  ถ้าพ่อสะดวกวันไหนโทรมาบอกผมนะครับ  จะได้ไปเจอกันที่กรมที่ดินเรื่องโอนบ้าน  ผมลาละครับ"

กริชยกมือไหว้พ่อและหันมาทางพี่สาวคนเล็กที่ดูเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกพร้อมยกไหว้ลา

"ไปก่อนนะพี่กลอย รักษาสุขภาพด้วย"

และหันไปมองอีก 3 คนก่อนจะก้มหัวให้เล็กน้อยแล้วเดินไปหาแม่บ้านที่ยืนตรงประตูพร้อมน้ำตาที่ไหลเพราะเธอรู้ความเป็นมาของครอบครัวนี้อย่างดี  พร้อมกับการกระทำที่ผู้เป็นพ่อคอแข็ง กริชนั้นก้มลงกอดแม่บ้านและกราบที่บ่า

"ลาละครับป้านี  รักษาสุขภาพด้วย"

เธอโอบกอดชายหนุ่มตอบก่อนที่กริชจะเดินออกไปโดยไม่หันมามอง แต่พี่สาวคนโตพูดขึ้นกับน้องชายคนกลางทันที

"ก้อง แกทำอะไรลงไปเห็นทีท่าของมันหรือเปล่า ไอ้เด็กคนนี้มันยะโสโอหังมาตลอดยังง้อให้มันมาทำงานด้วยอีก"

"พี่ไก่เงียบไปเลย  ถ้าพี่ไก่ยังทำงานแบบนี้อีกไอ้ตำแหน่ง MD .ของพ่อที่ฝันไว้อย่างหวังจะได้เลย หัดดูโลกซะบ้างอย่ามัวแต่กรีดกรายนั่งบนหอคอยงาช้าง ก้มลงมาดูข้างล่างบ้าง   น้องมันฝีมือขนาดไหน ฝรั่งยังยอมรับ  ไอ้เครื่องสำอางที่พี่กับแม่เห่อกันนักจนต้องให้คนไปต่อคิวซื้อวันเปิดร้านนะ    ฝีมือกริชล้วนๆ สาขาที่สิงคโปร์ก็เหมือนกัน  ตำแหน่งที่กริชได้กริชบอกเราไม่หมดนะน้องมันไปรับตำแหน่ง ผช.ผอ.ฝ่ายการตลาดรับผิดชอบภาคพื้นยุโรปทั้งหมด มีห้องพักอย่างหรูให้ มีรถประจำตำแหน่ง  ไม่ใช่ตำแหน่งเล็กๆ"
ระหว่างนั้นกลอยมองหน้าผู้เป็นบิดาเมื่อเห็นไม่พูดอะไร  กลอยวิ่งตามน้องชายออกไปทันที  ก้องพูดต่อว่า

"เงินเดือน กริชมันก็ปรับด้วยผลประเมินเกรด A ตลอด ไม่ต้องถามนะว่าก้องรู้ได้ยังไง  เพื่อนก้องเป็น AVP HR.ที่นั่นก้องตามดูน้องตลอด วันที่บริษัทเปิดแถลงข่าวเรื่องร้านเครื่องสำอางที่พ่อกับก้องได้รับเชิญไปนะ"

พูดถึงตอนนี้ ก้องหยุดพูดเพราะเห็นพ่อเดินออกไปจากห้องอาหารอีกคนและบอกต่อไปว่า

"นักข่าวมาสัมภาษณ์ก้องว่าทำไมน้องคนเล็กถึงไม่ได้มาทำงานกับบริษัทของเรา ก้องได้แต่ตอบปัดๆไปพวกเรานะเหมือนลิงได้แก้ว ไก่ได้พลอยรู้ไว้ซะด้วย"

ก้องพูดและเดินออกจากห้องอาหารขึ้นไปบนห้องนอนปล่อยให้สองแม่ลูกนั่งอยู่ในห้องอาหารด้วยความเงียบต่อไป

"กริช กริช  รอก่อน"

กลอยวิ่งตามน้องชายที่ยืนอยู่ข้างๆมอเตอร์ไซด์และมองไปรอบๆบริเวณก่อนสายตาจะไปหยุดที่บ้านหลังน้อยริมรั้ว เธอมองตามน้องชายไป กริชหันมาถามพี่สาวว่า

"กริชลืมอะไรหรือพี่"

"กริชจะไปที่สวิตฯจริงๆหรือ"

"ครับพี่"

"แล้วพ่อละ กริชไม่ห่วงพ่อหรือ"

กริชนิ่งไปนิดก่อนตอบพี่สาวไปว่า

"กริชเลือกแล้วพี่ โอกาสของกริช กริชคงไม่ปล่อยให้หลุดมือเหมือนหลายๆสิ่งที่กริชปล่อยให้หลุดมือ"

พี่สาวไม่สนเสียงของน้องที่ดูสั่นๆ ถามต่อไปว่า

"กริชจะไปแค่ 5 ปี หรือเปล่า"

"ไม่รู้สิพี่ ตอบไม่ได้เราไม่รู้อนาคต"

เมื่อเห็นว่าน้องชายไม่เปลี่ยนใจแน่นอนเธอจับมือของน้องชายทั้งสองข้าง

"กริชสัญญานะว่า จะติดต่อมาตลอด ไม่เงียบหายไปเลย สัญญากับพี่นะกริช"

"สัญญาพี่ กริชสัญญา"

"เล่นเฟซด้วยนะ  เราจะได้คุยกันตลอด"

"ไว้กริชไปถึงก่อนแล้วจะสมัครพี่กลอย"

กริชดึงพี่สาวมากอดด้วยความรักก่อนบอกอีกครั้งว่า

"รักษาสุขภาพด้วยนะพี่  และฝากดูแลพ่อด้วยนะ"

กลอยพยักหน้ารับคำพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา กริชหันมายิ้มให้ก่อนขับมอเตอร์ไซด์ออกไป กลอยเดินกลับมาที่บ้านและเห็นผู้เป็นพ่อยืนมองลูกชายคนเล็กบนเทอเรสก่อนเดินขึ้นบันไดไปหา  ทั้งคู่มองกริชที่ขับมอเตอร์ไซด์ออกนอกประตูไปแล้ว ผู้เป็นพ่อหันมาดูลูกสาวที่เริ่มสะอื้น

"พ่อไม่พูดอะไรไม่ห้ามน้องเลยหรือคะ"

"อย่าพึ่งเลย  ภูเขาไฟกำลังคุถ้าไปพูดอะไรดีไม่ดีปะทุเปล่าๆ  ปล่อยไว้ก่อนแล้วพ่อจะหาเวลาไปคุยกับกริชเอง"

"พ่อจะไปคุยไม่ให้น้องไปหรือคะ"

"เปล่าหรอกลูก  เค้าเลือกทางเดินของเค้าแล้วปล่อยไปตามทางเดินที่เค้ามีอนาคตดีกว่า"

"ดูพ่อไม่แปลกใจเลยเรื่องของกริช"

"พ่อรู้ตั้งนานแล้วลูก  รู้ตั้งแต่วันที่มีประกาศแต่งตั้งออกมา  พ่อรู้ได้ยังหรือ สินที่เป็นหัวหน้ากริชนะลูกน้องเก่าพ่อ  กริชไม่รู้เรื่องนี้ สินแอบรายงานพ่อมาตลอด  ทำไมพ่อจะไม่รู้ว่ากริชเก่งขนาดไหน มันน่าภูมิใจไม่ใช่หรือที่ มีลูกเก่งขนาดนี้  พ่อรอมาตลอดรอว่าเค้าจะบอกพ่อเมื่อไหร่จนวันนี้"

"แล้วพ่อคิดยังไงคะ ที่มาบอกวันนี้ "

"เราจะได้รั้งเค้าไม่ได้ไง เหลืออีกแค่ 2 อาทิตย์ กริชจะได้ไม่ลังเลเปลี่ยนใจเค้าตั้งใจให้เป็นแบบนี้ ปล่อยเค้าไปเหอะลูก ความก้าวหน้าของตัวกริช  เราควรภูมิใจที่น้องเก่งขนาดนี้โดยไม่พึ่งพาอะไรเราเลย  แม่เค้าสอนลูกมาอย่างดี ปู่อีกคน  อย่างที่พ่อบอกกับใครๆว่ากริชได้เลือดปู่มามันก็จริงๆ  เรื่องพึ่งพาตัวเองไม่อาศัยใคร  เหมือนปู่กับย่าที่ช่วยกันบุกเบิกจนเรามีถึงทุกวันนี้ไงลูก"

ผู้เป็นพ่อพูดพร้อมนึกถึงความหลัง  นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่มีครอบครัวที่อบอุ่นมีลูก 3 คนได้พบกับครูสาวที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่เจ้าตัวไปบริจาคทุนการศึกษา ให้นักเรียน ความสวยของครูสาวไปสะดุดตานักธุรกิจทันที และในที่สุดครูสาวคนนั้นที่ได้สูญเสียผู้เป็นบิดากับมารดาไปแล้วเหลือแต่น้องสาวคนเดียว และด้วยความที่อ่อนต่อโลกได้หลงรักนักธุรกิจทันทีจนมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งจนครูสาวตั้งท้อง   นักธุรกิจรีบมาปรึกษาผู้เป็นพ่อ ทันที  ผู้เป็นพ่อสั่งให้รับผิดชอบและให้ไปคุยกับภรรยาเอง ก่อนที่จะสั่งให้สร้างบ้านเพื่อรับครูสาวที่ตั้งท้องมาอยู่ในรั้วเดียวกัน  แต่กว่าจะเคลียร์กับภรรยาได้ก็กินเวลาพอสมควรแต่ด้วยความเกรงใจกับผู้เป็นพ่อสามีที่ครอบครัวของภรรยาต้องพึ่งพาในเรื่องธุรกิจ ทำให้ยอมอย่างไม่เต็มใจพร้อมคำประกาศว่าต่างคนต่างอยู่

จนกริชคลอดออกมา ผู้เป็นพ่อนั้นจะดูแลใกล้ชิดเหมือนลูกๆอีก 3 คนก็ไม่ได้ เพราะความเกรงใจภรรยากับสิ่งที่ตัวเองก่อขึ้น แต่ยังดีปู่ของกริชเข้ามาอุ้มชูสองแม่ลูกด้วยความรักในหลานคนเล็ก แต่ผู้เป็นพ่อนั้นพยายามแบ่งความรักให้ลูกๆเท่ากันแต่ไม่เป็นผลเพราะลูกคนโตกับคนกลางตั้งแง่รังเกียจ ทำให้ผลกระทบเกิดกับกริชตลอดทำไมผู้เป็นพ่อจะไม่รู้ ยิ่งเด็กน้อยโตขึ้นยิ่งได้รับผลกระทบ แต่ผู้เป็นพ่อก็ทำอะไรมากไม่ได้นักเพราะตัวเองนั้นมีชนักปักหลังอยู่  จนช่วงกริชเรียนอยู่ ป.5  กริชนั้นได้ระเบิดอารมณ์ขึ้นมาจะคว้าไม้มาตีไก่กับก้องที่มาต่อว่าเรื่องรถบังคับที่พ่อซื้อให้ว่ากริชแค่ลูกเมียน้อยทำไมต้องมีของเทียบเท่าพวกพี่ๆด้วย ทำแบบนี้เหมือนมาแย่งของเล่นทั้งๆที่แย่งพ่อไปแล้ว  กริชขึ้นมึงขึ้นกูทำท่าจะเอาไม้มาตีพี่ทั้งสองคน

แต่ผู้เป็นแม่ของกริชมาห้ามก่อนและกริชถูกแม่ตีเป็นครั้งแรก กริชไม่ร้องไห้เลยแต่แล้วต้องนอนซมเพราะไข้ขึ้น  กริชไม่บอกแม่ด้วยว่าตัวเองไม่สบายเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจ  ทำเอาผู้เป็นพ่อที่วันนั้นมีประชุมกับลูกค้าต้องขอเลื่อน และรีบพาลูกคนเล็กไปส่งโรงพยาบาล  แล้วเรื่องสงบลงเพราะผู้เป็นปู่ที่เรียกภรรยาหลวงและไก่กับก้องไปกำชับว่าอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก ด้วยความเกรงกลัวผู้เป็นปู่ทำให้ทั้งหมดไม่กล้ามารังแกกริชอีกต่อไป    แต่หลังจากวันนั้นกริชมองพ่อด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป และกริชดูเป็นเด็กที่เกเรขึ้น

ตั้งแต่นั้นกริชไม่เรียกร้องอะไรเหมือนเด็กทั่วๆไปอีกเลย  มีแต่กับปู่เท่านั้นที่เด็กชายกล้าที่จะขอความห่างเหินของพ่อกับลูกคนเล็กยิ่งห่างออกไปพ่อได้แต่แอบมานั่งเสียใจ  แล้วผลการเรียนของกริชก็ต่ำลง จนถึงช่วงมัธยมกริชเริ่มโตเป็นหนุ่ม พ่อได้ลองไปสอบถามครูที่โรงเรียนต่างยืนยันว่ากริชเป็นเด็กที่เรียบร้อยเอาใจใส่กับการเรียนเป็นอย่างดี แต่ทำไมคะแนนสอบถึงออกมาไม่ดีเรื่องนี้บรรดาครูที่สอนถึงกับแปลกใจ  แต่ได้สอบถามแล้วกริชได้แต่บอกตีความข้อสอบผิด   จนปู่ได้จากไป  สองแม่ลูกได้ตัดสินใจที่ไปอยู่ข้างนอกเพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาขึ้นอีก  ตนเองก็ทัดทานแล้วแต่ไม่เป็นผล  ตอนแรกจะซื้อบ้านเดี่ยวให้ แต่แม่ของกริชบอกว่าอยู่แค่สองคนแม่ลูกขอบ้านหลังเล็กๆก็พอเลยเปลี่ยนเป็นทาวน์เฮ้าส์และกริชบอกผ่านแม่ว่าอยากให้อยู่ไกลๆจากบ้านหลังใหญ่  ผู้เป็นพ่อพอเข้าใจความต้องการเลยจัดหาให้ 

พร้อมติดเครื่องอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง  แต่กริชไม่เอาทั้งแอร์ทั้งอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในห้องนอนของตัวเอง  ขอแต่ที่นอนเท่านั้น  ผู้เป็นพ่อก็ตามใจเพราะไม่รู้จะพูดยังไง  ทุกอย่างที่เป็นภาระค่าใช้จ่ายในบ้านผู้เป็นพ่อรับหมดทุกอย่าง มีหลายๆครั้งที่จะไปรับกริชเพื่อไปทานข้าวนอกบ้านหรือพาไปเที่ยว  คำตอบที่ได้รับคือไปไม่ได้เพราะ ทำการบ้าน  ทำรายงาน  อ่านหนังสือสอบวนอยู่แค่นี้ เลยทำได้แต่ซื้ออาหารไปกินในบ้าน กริชนั้นลงมาร่วมวงไม่นานก็จะรีบขึ้นไปบนห้องนอนด้วยด้วยข้ออ้างต่างๆ  ผู้เป็นแม่ได้แต่ถอนใจกับการกระทำของลูก  แต่พ่อนั้นรู้ดีว่าเพราะอะไรลูกชายถึงเป็นแบบนี้ จนกริชเข้ามหาวิทยาลัยมีเทอมแรกเท่านั้นที่ตนเองออกเงินค่าเทอมให้

แต่เทอมต่อๆมานั้นทั้งสองแม่ลูกไม่เคยรบกวนอีกเลยพอสอบถามก็รู้ว่าลูกชายสอบชิงทุนได้  และยิ่งรู้ว่ากริชอยากจะเปลี่ยนนามสกุลคนที่เป็นพ่อยิ่งเสียใจหนักเข้าไปใหญ่  แต่ผลการเรียนของกริชดีขึ้นทำให้ผู้เป็นพ่อแน่ใจในบางเรื่อง พอกริชเรียนจบ กริชปฏิเสธที่จะเรียนต่อปริญญาโทเพราะอ้างว่าอยากทำงานทั้งๆที่พ่อจะออกเงินให้เรียนต่อ  แต่พ่อจำได้ดีวันที่ให้นาฬิการาคาเรือนแสนให้กริชเป็นของขวัญที่เรียนจบตอนแรกกริชทำท่าไม่อยากจะได้  แต่แม่บอกให้รับของขวัญจากพ่อ กริชนั้นดูดีใจมากพร้อมกับสายตาที่ขอบคุณพ่ออย่างจริงใจ เป็นแววตาที่ไม่เห็นมานานแล้ว แต่พอลูกชายคนเล็กทำงานได้ไม่นานเท่าไหร่ ผู้เป็นพ่อก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นกับแม่ของกริช เวลาไปเยี่ยมที่บ้านก็เห็นถุงใส่ยาจำนวนมากคำตอบที่ได้รับจากแม่ของกริชคือ

"อายุเยอะแล้วคะ  โรคคนแก่นะ คุณไม่ต้องห่วงกินยาแล้วก็หาย"

แต่แล้วข่าวร้ายก็มาเยือนเมื่อรู้ว่าแม่ของกริชเป็นมะเร็งและก่อนหน้านี้กริชใช้เงินที่มีเกือบทั้งหมดมารักษาแม่โดยไม่ยอมบอกผู้เป็นพ่อ  จนตนเองต้องเข้ามาดูแลทั้งเปลี่ยนโรงพยาบาลจัดหาหมอมือดีที่สุดมารักษาแต่แล้วทุกอย่างก็สายไป  มีบางสิ่งที่พ่อไม่เคยบอกกริชเลย เพราะเป็นคำพูดแม่ของกริชที่ได้บอกตนเองว่า  อย่ายื้ออีกเลยเธอเองทนไม่ไหวแล้วปล่อยให้เธอไปจะดีที่สุด พ่อเลยรับคำทั้งน้ำตาก่อนเธอจะฝากให้ช่วยดูแลกริช  และหลังจากนั้นไม่นานเธอจากไปอย่างสงบ พ่อของกริชรับจัดการงานศพทั้งหมด และวันที่เผาแม่ของกริชผู้เป็นสามีได้ไปยืนน้ำตาซึมหน้าเตาเผา พร้อมอธิษฐานไปว่า

"อโหสิกรรมให้ผมด้วยนะคุณเวรกรรมที่ผมทำกับคุณไว้ผมจะไปชดใช้ในชาติหน้า  ส่วนเวรกรรมที่ผมทำกับลูกของเรานะมันตามผมมาตั้งแต่วันที่กริชเกิดแล้ว  ผมไม่รู้จะชดใช้ให้ลูกยังไงดี"

หลังจากงานศพ  พ่อได้เรียกกริชมาถามว่าจะย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านอีกหรือไม่ รวมถึงงานด้วยว่าจะมาทำกับบริษัทของพ่อหรือไม่  แต่กริชปฏิเสธทุกอย่าง ต่อมาอีกไม่นานตนเองก็รู้ว่าค่าน้ำค่าไฟที่เปิดบัญชีไว้โดยเฉพาะกริชได้ยกเลิกและเป็นคนจ่ายเอง แต่พ่อก็แอบไปที่บ้านบ่อยครั้งเพื่อดูความเป็นอยู่ของลูกชายส่วนใหญ่จะไปวันที่ภรรยาเสียเพื่อเอาดอกไม้พวงมาลัยไปไหว้ที่รูปไม่ก็ให้ลูกสาวคนเล็กไปเยี่ยมน้องชาย เมื่อรู้ว่ากริชเปลี่ยนงานใหม่ตำแหน่งที่สูงขึ้นและใกล้กับวันเกิดก็ซื้ออาหารไปกินกับลูกชายที่บ้านพร้อมเอาโทรศัพท์รุ่นใหม่ไปให้เป็นของขวัญเพราะกริชใช้โทรศัพท์ที่ราคาพันเศษๆ โดยพ่อบอกว่ากริชได้ตำแหน่งที่สูงขึ้น ใครๆจะได้ไม่ดูถูกเวลาไปคุยงานกับลูกค้ามันดูน่าเชื่อถือทำให้กริชยอมรับและเหมือนกับตอนที่ได้นาฬิกาชายหนุ่มเก็บความดีใจไม่อยู่

เช่นเดียวกันกับตอนที่ซื้อแว่นกันแดดให้เพราะลูกชายซื้อมอเตอร์ไซด์ก็ต้องหาข้ออ้างที่สมเหตุสมผลกริชถึงยอมรับด้วยความดีใจ  ผู้เป็นพ่อจับตาดูความก้าวหน้าของลูกชายมาตลอดจนเก็บความภูมิใจไม่ได้ ถึงกับคุยอวดเพื่อนฝูงหรือคนรู้จักตลอดถึงความเก่งของกริชจนถึงวันนี้ ยิ่งคิดทำให้ผู้เป็นพ่อนั้นยิ่งมีความทุกข์ ก่อนจะเอ่ยกับลูกสาวว่า

"กลอยรู้ไหมทำไมตอนเด็กๆน้องถึงดูเป็นเด็กเกเร  เค้าทำเพราะป้องกันตัวไม่ให้พี่ๆเราไปรังแกจะได้ไม่กล้าไปยุ่งกับเค้าและแม่  อยู่โรงเรียนกริชเป็นเด็กเรียบร้อยนะ เรื่องผลการเรียนก็เหมือนกัน กริชรู้ว่าต่อให้เรียนดีขนาดไหนก็ไม่มีวันได้รางวัลจากพ่อทั้งๆที่เป็นเด็กหัวดีฉลาดเพราะแม่เค้าสอนมาอย่างดี ยังไม่ถึง 10 ขวบดีพูดภาษาอังกฤษประโยคยาวๆได้ แค่ ป.6 ก็พออ่านภาษาฝรั่งเศสออก  แต่กริชกับจงใจทำให้ผลสอบบอกมาปานกลาง  พ่อก็ได้แต่บ่นเค้ากับแม่เพราะไม่รู้ถึงสาเหตุ แต่มารู้ตอนที่เค้าเรียนปริญญาตรี ที่เค้าขอทุนได้ตลอดพ่อเลยรู้ว่าน้องนั้นจงใจทำ  เค้าเปลี่ยนไปห่างเหินกับพ่อไปเยอะ หลังจากวันที่กริชถูกแม่เค้าตีเพราะทะเลาะกับพี่ๆของเราจนไข้ขึ้น  ทำเอาวุ่นไปทั้งบ้านพ่อต้องพาไปส่งโรงพยาบาล  จนถึงทุกวันนี้บางเรื่องทำไมพ่อจะไม่รู้ แต่พ่อพูดไม่ได้เท่านั้น ตอนเด็กๆลูกทุกคนมีงานวันเกิด  แต่ลูกคนเล็กต้องมาแอบดูงานเลี้ยงเพราะเข้ามาร่วมไม่ได้ เหตุผลกลอยก็น่าจะรู้นะว่าแม่ของกลอยกับพี่ของกลอยไม่ยอมให้กริชเข้ามาในงาน สองแม่ลูกนั่งกินข้าวเงียบๆกันสองคนเท่านั้น"

เสียงของผู้เป็นพ่อเริ่มสะอื้นขึ้นก่อนพูดกับลูกสาวคนเล็กต่อไป

"พอโตขึ้น ลูกๆสามคนขับรถไปเรียนในมหาวิทยาลัย  ลูกคนเล็กนั่งรถเมล์ไปเรียน สอบให้ได้คะแนนดีๆเพื่อหาทุนเรียน  ช่วยแม่สอนภาษารับงานแปล เรากินดีอยู่ดี อาหารดีๆไม่ก็ตามร้านอาหารหรูๆไปกินกันที่โรงแรม 5 ดาว สองแม่ลูกกินอยู่อย่างประหยัด ข้าวกับน้ำพริกผักต้มบ้าง  ข้าวกับน้ำพริกปลาทอดบ้าง  ปลาก็แบ่งกันคนละตัวสองแม่ลูก  พ่อไปเยี่ยมทีไรก็เจ็บใจพร้อมโกรธตัวเองทุกครั้ง  พ่อถึงซื้ออาหารไปให้ตลอดเงินที่ให้เค้าก็เก็บฝากธนาคารไว้กับเงินมรดกที่ปู่ให้จนกริชเอาไปใช้เกือบหมดตอนรักษาตัวแม่ของเค้า เรื่องนี้พ่อโทษตัวเองมาตลอดว่าไม่ใส่ใจแม่ของกริชเลย"

เสียงที่เริ่มสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัดทำเอาลูกสาวคนเล็กจับมือของพ่อเหมือนให้กำลังใจก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะพูดต่อไปอีก

"กลอยรู้ไหมลูกช่วงที่น้องเปลี่ยนงานใหม่ๆกริชเอาเงินเก็บไว้จากการทำงานเกือบทั้งหมดไปซื้อมอเตอร์ไซด์มือ 2 เพราะที่ทำงานมันไกลจากบ้าน น้องแทบจะไม่มีเงินติดกระเป๋า มื้อเช้าพ่อว่าเค้าคงไม่ได้กิน  แต่มื้อกลางวันกริชกิน ขนมปังก้อนเล็กๆกับน้ำเปล่าไม่ก็นม  กลับมาบ้านก็กินแตงโมต่างข้าว  พ่อรู้เพราะพ่อเข้าไปในบ้านตอนกลางวัน ในครัวไม่มีอะไรเลยแม้กระทั่งข้าวสาร เปิดตู้เย็นก็มีแต่น้ำเปล่ากับแตงโมที่ปอกไว้   ถังขยะก็มีแต่เปลือกแตงโมแปลว่ากริชกินแตงโมประทังความหิวแทนข้าว กระปุกที่ปู่เคยซื้อให้ตอนกริชเล็กๆและกริชเอาเหรียญมาหยอดตลอดก็ว่างเปล่า พ่อเลยเอาเงินวางไว้ให้ตรงหน้ารูปแม่เค้า 2หมื่น ออกไปซื้ออาหารให้2-3อย่างไว้ให้กริชกินตอนเย็น  แล้วยังไงรู้ไหมลูกวันรุ่งขึ้นเงินก้อนนั้นกลับมาอยู่ในบัญชีพ่อตามเดิม พอพ่อเห็นข้อความที่โทรศัพท์ว่าบัญชีส่วนตัวของพ่อมีเงินเข้าก็รู้แล้วว่ากริชคืนเงินพ่อ 

เค้าไม่ต้องการความช่วยเหลือ ตอนแรกพ่อจะบอกให้นีซื้อของไปให้กริชที่บ้านเจอแบบนี้พ่อต้องหยุด  ส่วนที่ว่ากลางวันกริชกินอะไรบ้างทำไมพ่อถึงรู้  พ่อให้คนของพ่อไปดูนะลูกถึงรู้ว่าน้องลำบากขนาดไหนเก็บเงินไว้เพื่อเติมน้ำมันมอเตอร์ไซด์ มันน่าสงสารน้องหรือเปล่าละลูก ลูกชายคนเล็กมหาเศรษฐีที่มีเงินเป็นพันเป็นหมื่นล้านขับมอเตอร์ไซด์มือ 2ไปทำงาน อดมื้อกินมื้อแต่ลูกคนอื่นๆมีรถสปอร์ตราคาเป็นสิบล้านขับกันหลายคัน  "

แต่ผู้เป็นพ่อนั้นเล่าไม่หมด  ว่าหลังจากเดินสำรวจทั่วบ้านแล้วรู้ว่าลูกชายลำบากขนาดไหน ก็ไปยืนร้องไห้ต่อหน้ารูปภรรยาพร้อมกับพูดว่า

"คุณผมขอโทษ  ผมขอโทษผมทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับคุณไม่ได้"

เงินที่ติดตัวตอนนั้นไม่ถึงสองหมื่นต้องขับรถออกไปหาตู้เอทีเอ็มเพื่อถอนเงินมาให้ลูกชาย  แต่สิ่งที่ได้รับคือการปฏิเสธอย่างเงียบๆ  น้ำตาของผู้เป็นพ่อเริ่มไหล  กลอยนั้นตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้มาก่อนในชีวิต  ก่อนที่พ่อจะตั้งสติแล้วเล่าให้ลูกสาวฟังต่อ

"เดือนต่อมาพอพ่อไปอีก  คราวนี้ดีหน่อยมีข้าวสาร 1ถุง มีมาม่ามีปลากระป๋อง  แต่ตู้เย็นก็มีแค่แตงโมกับน้ำเปล่า  พ่อเอาเงินวางไว้ให้ 3 หมื่น  มันก็เหมือนเดิม กริชคืนเข้าบัญชีพ่อในวันต่อมาแล้วโทรมาบอกว่า ขอบคุณมากๆสำหรับเงิน  แต่เค้าพอมีไม่อยากรบกวนพ่อแล้วก็วางสาย พ่อแอบช่วยกริชมาตลอดให้คนเอางานแปลเอกสารไปให้กริชและจ่ายค่าจ้างให้สูงกว่าที่ตกลงเล็กน้อยเหมือนให้ทิปนะกลอย  น้องจะได้ไม่สงสัย   ตั้งแต่แม่เค้าเสียพ่อก็แอบไปดูหลายครั้งบางที5ทุ่ม6ทุ่มไฟชั้นล่างก็ยังไม่ปิด กริชนั่งทำงานแปลเอกสาร วันหยุดก็ไม่ค่อยจะไปไหน อยู่กับบ้านทำงานที่รับมา  ดูแลบ้านทำความสะอาดบ้านอย่างดี  ไม่เคยไปเที่ยวที่ไหน ไม่เหมือนเราไปเมืองนอกกันตลอดผลาญเงินกันเป็นว่าเล่น   ลูกก็น่าจะรู้อยู่นะว่าทำไมน้องเป็นแบบนี้  เพราะเราไงลูก  เพราะพ่อนี่แหละพ่อไม่โทษใครนอกจากตัวเอง  ทั้งแม่กับกริชตั้งแต่ที่กริชเกิดมาแล้ว  ทั้งสองคนจะโดนว่าตลอดว่าจะมาเอาเงินเอาทรัพย์สินจากเรา  ไม่ว่าพ่อจะซื้ออะไรให้  กริชก็จะโดนรุมว่าจากแม่จากพี่ของเราทุกครั้ง "

ผู้เป็นพ่อเว้นคำพูดไว้ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะเล่าต่อไปว่า

"แต่พ่อก็ไม่กล้าที่จะไปห้ามไปเตือน มันเลยฝังใจเป็นปมให้กับเค้าถึงทุกวันนี้ ว่าถ้าได้อะไรจากพ่อแล้วจะเกิดอะไรตามมา กริชเลยไม่อยากได้ของจากเราเค้าไม่อยากพึ่งพาเรา  ขนาดตอนทำงานที่แรก  พอเค้ารู้ว่าเจ้าของบริษัทเป็นเพื่อนสนิทของพ่อที่เรียนมาด้วยกัน เค้าลาออกทันที  เรื่องรถก็เหมือนกันพ่อเห็นสายตาของเค้าที่มองไปที่โรงรถเวลากริชมาที่นี่มันบอกอะไรได้หลายอย่าง ทำไมเค้าจะไม่อยากได้ รถคันเดียวทำไมพ่อจะไม่มีปัญญาซื้อให้ลูก  แต่ก็รู้ว่าว่าซื้อให้เค้าก็ไม่รับ อนาถไหมละลูก นึกซิใครจะว่ายังไง ลูกชายคนเล็กของคุณพจน์นักธุรกิจแถวหน้าของเมืองไทยขับมอเตอร์ไซด์มือ 2ไปทำงาน วันเกิดพ่อที่จัดที่โรงแรม เค้าก็โผล่หน้าไปให้เห็นแล้วกลับทันที  พอจัดที่บ้านกริชไปกินข้าวที่ห้องครัวขอให้แม่ครัวทอดไข่ไม่ก็ยำปลากระป๋องให้ ขนาดคนในบ้านทุกคนพ่อให้มาร่วมโต๊ะที่จัดไว้ให้

แต่ลูกคนเล็กไม่กล้ามานั่งด้วยกลับไปนั่งกินข้าวคนเดียว ขากลับก็ไม่เอาอะไรกลับไปเลย ขนาดอาหารที่นีห่อให้ก็ไม่เอากลับ  ถ่ายรูปกันในครอบครัวก็ไม่เคยมีรูปกริช  นามสกุลเราเค้าก็ไม่อยากใช้  ถ้าไม่ติดที่แม่เค้าขอร้องไว้ก่อนจะเสียกริชเปลี่ยนนามสกุลไปแล้ว  อันไหนที่เกี่ยวข้องกับเราเค้าจะออกห่างให้ไกลที่สุด  แต่ก็อีกนั่นแหละพ่อกลัวไอ้ความมีทิฐิ ไม่ยอมคลายปมของตัวเอง ไม่ลดศักดิ์ศรี  พ่อกลัวว่ากริชอาจจะพลาดหรือสูญเสียบางอย่างไป พ่อห่วงกริชตรงนี้"

ลูกสาวคนเล็กที่ตอนนี้ก็ร้องไห้ออกมาเช่นกันด้วยความสงสารน้องชายคนเล็กและพ่อตัวเองกับความจริงในหลายๆเรื่องที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าพ่อนั้นจะเอาใจใส่กับกริชถึงขนาดนี้

"แล้วพ่อจะทำยังไงต่อคะ"

"ก็วันนี้ไงลูกพ่อตั้งใจที่เรียกกริชเข้ามาเพื่อถามเรื่องที่จะไปทำงานที่สวิตฯ  พ่อเตรียมเงินไว้ให้น้องแล้ว  อย่างน้อยมันก็ต้องใช้จ่ายพอสมควรพ่อไม่รู้ว่ากริชมีเงินเก็บไว้เท่าไหร่เงินเดือนที่กริชได้พ่อรู้ว่ามันก็ไม่น้อย แต่เค้าประหยัดเก็บไว้ตลอดคงมีประสบการณ์จากตอนที่รักษาแม่เค้านั่นแหละ  แต่พ่อเซ็นเช็คไว้ให้เค้าแล้ว"

ผู้เป็นพ่อพูดพร้อมล้วงไปในกระเป๋าเสื้อหยิบเช็คออกมาส่งให้ลูกสาวดู กลอยรับเช็คและก้มลงดูเห็นว่าพ่อของเธอเซ็นสั่งจ่ายให้กริชเป็นเงิน 5 ล้านบาท

"นี่แหละที่พ่อพอจะช่วยเค้าได้"

"แล้วบ้านละคะ"

"มันเป็นของเค้าก็ต้องเป็นของเค้าลูก  พ่อจะช่วยดูแลกะว่าให้นีพาเด็กๆไปทำความสะอาดอาทิตย์ละครั้ง ถ้าเค้าเปลี่ยนใจจะกลับเมืองไทยเค้าจะได้มีบ้านอยู่  ส่วนบ้านหลังนี้ก็เหมือนกัน"

ผู้เป็นพ่อพูดขึ้นพร้อมชี้ไปทางบ้านที่กริชกับแม่เคยอยู่ 

"บ้านหลังนั้นพร้อมที่อีก 5ไร่  เป็นของกริชปู่สั่งไว้และพ่อทำพินัยกรรมไว้แล้ว"

"กริชรู้ไหมคะ"

"รู้สิ  พ่อบอกเค้ากับแม่ไปแล้ว  แต่เจ้าตัวทำเหมือนไม่สนใจ"

"แล้วพ่อจะไปคุยกับน้องวันไหนคะ  กลอยอยากไปด้วย"

"คงอีก 2-3วัน  รอให้อารมณ์สงบก่อน ดีที่กริชเก็บอารมณ์เก่ง ไม่งั้นเดือดกว่านี้ พ่อรู้เวลาเค้าทำงานกริชเอาจริงขนาดไหนฝรั่งถึงยอมรับในฝีมือ กริชแบ่งถูกระหว่างงานกับเรื่องส่วนตัว  เค้าทำงานกับเราไม่ได้หรอกลูก  ไก่กับก้องโดนตีกระเจิงแน่นอนพ่อพอจะประเมินได้"

ก่อนจะทิ้งท้ายกับลูกสาวว่า

"เกิดอะไรขึ้นฝากดูแลน้องด้วยนะลูก  มีลูกคนเดียวที่พ่อพอจะฝากได้"

"คุณพ่อทำไมพูดแบบนี้"

"ใครจะไปรู้ลูก ทุกอย่างมันไม่แน่นอนพ่อพูดเผื่อไว้"

ก่อนที่ทั้งสองพ่อลูกต่างมองไปยังประตูหน้าบ้านที่น้องชายคนเล็กได้ขับมอเตอร์ไซด์ออกไปพักใหญ่แล้ว


ณ โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง กริชได้มาร่วมงานแต่งของมี่ ทั้งคู่ต่างสบตากันเล็กน้อยก่อนที่กริชจะเป็นฝ่ายหลบตาตอนที่จะถ่ายรูปร่วมกันหน้างาน  กริชได้คุยกับพ่อและแม่ของมี่เล็กน้อยเพราะทั้งคู่ต่างยุ่งกับการรับแขก เช่นเดียวกันกับไหมและหม่อนที่ต่างพูดคุยกันเล็กน้อยเช่นเดียวกับตุ๊กตาที่มาร่วมงานเพียงคนเดียว  เธอส่งสายตาให้กริชอย่างมีความหมายเธอรู้ดีว่ากริชจะเดินทางพรุ่งนี้แต่ทั้งคู่ไม่คุยอะไรกันมากนัก จนได้เวลาของพิธีการบนเวทีกริชเห็นว่าได้เวลาที่จะกลับ  แต่หารอดพ้นสายตาของหม่อนไปได้  น้องสาวคนเล็กวิ่งตามกริชมาทันตรงบันไดเลื่อน

"พี่กริช  พี่กริช  จะกลับแแล้วหรือ"

เธอพูดด้วยน้ำเสียงหอบๆ

"ใช่พี่จะไปเตรียมตัวนะ  พรุ่งนี้พี่จะไปสวิตฯแล้ว"

"หาไปสวิตฯ  ไปทำไมพี่  พี่ไปฉลองวันเกิดที่นั่นหรือ  พรุ่งนี้วันเกิดของพี่นี่"

กริชส่ายหน้าก่อนอธิบายให้หม่อนฟังอย่างคร่าวๆ  ทำเอาเธอตกใจอย่างมากก่อนที่จะถามว่า

"แล้วพี่มี่รู้หรือยัง"

"รู้หรือไม่รู้ก็มีค่าเท่ากันนะหม่อน ไม่มีอะไรรั้งพี่ไว้ได้"

กริชพูดอย่างมั่นใจเพราะขนาดที่เจอกับพ่อที่บ้านของกริชเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้  กริชก็ให้คำตอบกับพ่อไม่ได้ว่าจะกลับมาอีกหรือไม่ ทั้งๆที่ผู้เป็นพ่อแสดงทีท่าชัดเจนว่าอยากให้กริชรับปากว่าจะกลับมาเมืองไทยหลังจากผ่าน  5 ปีไปแล้ว แต่กริชไม่กล้ารับคำ ส่วนเงินที่พ่อให้นั้นกริชไม่อยากรับ พร้อมทั้งเรื่องบ้าน แต่พี่สาวได้พูดอ้อนวอนพร้อมกับน้ำตาที่คลอออกมาให้เห็นของพ่อ   ทำให้กริชใจอ่อนยอมรับรวมถึงสิ่งที่พ่อขอร้องไว้คือขออย่าให้กริชนำรูปของแม่ไปด้วยขอให้ไว้ที่บ้าน  พ่อจะได้มาไหว้ทุกเดือน  กริชยอมทำตามที่พ่อขอเปลี่ยนเอารูปวันที่ถ่ายตอนรับปริญญากับแม่ไปแทน และกริชได้ทำสิ่งที่ไม่เคยในชีวิตคือการกราบที่เท้าของพ่อเป็นการอำลา พ่อกับลูกกอดกันทั้งน้ำตาของทั้งคู่ที่ไหลออกมา  ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะบอกกับลูกชายคนเล็กว่า

"กริชพ่อขอโทษ"

เท่านี้กริชก็ซาบซึ้งแล้วแต่ไม่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจ    ก่อนที่จะมองหน้าของหม่อนพร้อมยิ้มให้  หม่อนที่น้ำตาเริ่มคลอเพราะรู้อะไรบางอย่างแต่พูดไม่ได้ จึงได้แต่พูดว่า

"โชคดีนะพี่กริชติดต่อมาบ้างละ ถ้าเป็นไปได้พี่กริชเล่นเฟซนะจะได้คุยกันบ่อยๆ"

"ได้สิ  พี่ไปถึงก่อนแล้วจะสมัครจะแอดมาที่หม่อนทันที พี่ไปก่อนนะ ดูแลตัวเองด้วย ฝากกราบลาพ่อกับแม่หม่อนด้วยละ  พี่เสียมารยาทที่ไม่ได้ไปลาด้วยตัวเองแต่เห็นยุ่งๆอยู่  บอกว่าพี่กราบขอโทษจริงๆที่มาลาด้วยตัวเองไม่ได้ ไปนะ"

"พี่กริชพรุ่งนี้หม่อนไปส่งพี่กริชได้หรือเปล่า"

"ได้สิ"

หม่อนได้สอบถามเวลาก่อนที่กริชจะลงบันไดเลื่อนไป เธอมองกริชจนลับตาก่อนจะนึกย้อนไปว่าหลังจากที่มี่กลับมาจากบ้านของกริชวันที่ไปแจกการ์ดมี่ดูเศร้าหมองมาก  หม่อนเลยไปถามตรงๆว่ามี่รักกริชใช่หรือเปล่าคำตอบคือ

"ใช่หม่อนพี่รักผู้ชายคนนี้ทั้งๆที่...."

มี่เหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่หยุดไว้ทันทีเธอหยุดปากไว้ทันก่อนจะหลุดปากให้น้องสาวรู้ว่าเธอกลับกริชมีอะไรกันแล้ว

"ทั้งๆที่อะไรพี่มี่"

"ทั้งๆที่พี่แสดงออกให้เห็นว่ารักแต่กริชกับนิ่งเฉย  เค้ามัวแต่ยึดกับปมกับศักดิ์ศรีของเค้านั่นแหละ"

มี่บอกน้องสาวไม่หมดและได้ร้องไห้ออกมา  พร้อมบอกว่ามันย้อนเวลาไปไม่ได้แล้วเธอตัดสินใจแล้วกริชก็เช่นกัน ทำให้หม่อนที่มองตามหลังกริชไปแล้วพร้อมกับความคิดที่ว่า

"พี่กริชถ้าพี่กริชยอมลดศักดิ์ศรีคลายปมของตัวเองออก  ผู้ชายที่ยืนคู่กับพี่มี่ในวันนี้คือพี่กริช  แต่ในเมื่อพี่กริชเลือกทางเดินของพี่แล้ว  หม่อนของให้พี่โชคดีประสพความสำเร็จในเส้นทางที่พี่กริชเลือก"

หม่อนเช็ดน้ำตาที่คลอออกมาก่อนเดินกลับเข้าไปในงานด้วยความรู้สึกสงสารทั้งพี่สาวตัวเองกับกริชที่รักกันแต่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้

xonly-1786

ขอบคุณมากๆครับ เนื้อเรื่องดีมากเลย ถ้ามีตอนต่อก็จะดีและสมบูณร์มากครับ

kidoverlong

ความรู้สึกเหมือนได้อ่านนิยายชีวิตเศร้า แต่ก้อแฝงความมีคุณค่าดี ขอบคุณครับ

ads_s7

คือมันมีปมเหลืออยู่ มันยังไม่จบใช่ไหม อย่าทำให้คนอื่นเขาน้ำตาซึมแล้วทิ้งกันนะครับคุณผู้แต่ง เดี๋ยวเช็ดน้ำตาแป๋บ

elviswhat

ผมนี่น้ำตาซึมเลย มารู้ว่ากริซลำบากขนาดไหน แล้วความห่วงใยจากผู้เป็นพ่อ 

BooM_Za

โหกว่าจะอ่านจบน้ำตาร่วงไปหลายปีบเลยเขียนได้กินใจมาก แล้วจะรอผลงานแบบนี้อีกนะครับ

air111fox

อยากให้มีตอนต่ออีกซักหน่อย ให้พระเอกของเรามีความสุขบ้าง น่าสงสารจัง

birddybdy

ขอบคุณครับท่าน

เนื้อหากินใจมากครับ

แต่ตอนจบแบบนี้ แสดงว่าจะมีอะไรให้เซอไพรซ์ใช่มั้ยครับ

pp1659

อย่าบอกน่ะครับว่าจบแบบนี้ แต่งได้ดีมากครับ อ่านไปน้ำตาคลอเลยครับ

thum2520

อยากอ่านต่อจังเลยครับ มันกินใจมาก ๆ เลยครับ

spty24

มันเป็นบทความที่กินใจมากครับ ผมชอบสไตล์การแต่งของไรต์มาก คือถึงมันสื่อถึงความรู้สึกของตัวละครได้ดีมากๆ ราวกับว่าเราเป็นตัวละครนั้นเอง และอีกอย่างผมขออีกสักตอนเถอะครับ คือแบบอย่างให้พระเอกสมหวังบ้างอ่ะครับ

kodzilla

#11
เนื้อเรื่องดีมากเลยครับ จะติดตามผลงานต่อไปนะครับ แต่จบแบบนี้ขัดใจคนอ่านจังเลยครับ

peat

อ่านไปถึงกับน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวเลย..
จบแบบนี้มันค้างคานะตรับ
รอตอนจบแบบฉบับสมบูรณ์นะครับ

Pongsathorn Weerahong

ขออีกตอน มันจบแบบไม่สมบูรณ์ คนอ่านยังรู้สึกเศร้าอยู่เลย นิยายที่ดีมากๆเรื่องนึงเลยครับ

peddo

คนดีเดี๋ยวก็คงไปได้ดีครับยิ่งมีของหลวงอยู่กับตัวก็คงเทียบไซส์ฝรั่งได้อยู่ ขอบคุณครับ