คุยก่อนอ่าน
สวัสดีครับมิตรรักนักอ่าน วันนี้ขอพักเรืิ่องหมอผีนำเรื่องสั้นขนาดยาวมาลงให้อ่านเปลี่ยนบรรยากาศกัน
เรื่องนี้ถ้าหลายคนติดตามอ่านงานของผมมาตั้งแต่ที่ Zeedasia ควจะจำกันได้กับเรื่องเสียวที่ไม่ค่อยจะเสียว
แต่เน้นเอาฮาอย่างเดียว เรื่องนี้คือ ผู้ชาย ๕ เสียว ที่ตอนจบเล่นเอาหลายคนอึ้ง
โดยต้นฉบับเก่าถูก สนพ.เเห่งหนึ่งขโมยไปตีพิมพ์ขายมาแล้ว แต่ครั้งนี้ผมเอามารีไรต์ใหม่ เรียบเรียงบทต่างๆ
และปรับแต่งเรื่องราวให้สมจริง ตอนแรกอาจจะเรื่อยๆเฉื่อยๆ เพราะเกริ่นแนะนำตัวละคร หลังจากนั้นจึงจะเข้าเรื่อง
และเรื่องราวอาจจะไม่เสียวจี้ดสะใจ เพราะผมตั้งใจเขียนเอาฮามากกว่า ชอบไม่ชอบก็ติเตียนบอกกล่าวกันได้
ด้วยไมตรีจิต นีโอ
(https://xonly8.com/proxy.php?request=http%3A%2F%2Fwww.mx7.com%2Fi%2Fda1%2Fi8ajQ5.jpg&hash=5b79aa158db9c38b0ec788a3190ae3f60d0e3ab4)
ตอนที่ ๑
การเดินทาง การพบเจอ และ อุบัตติเหตุ...
สถานีขนส่งสายเหนือหมอชิต ช่วงเวลาใกล้ค่ำ เต็มไปด้วยผู้คน
แม้ไม่ใช่ช่วงเทศกาล แต่เนื่องจากเป็นช่วงที่สถานศึกษาระดับต่างๆเริ่มปิดภาค จึงพบเห็นผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาระดับอุดมศึกษา บางคนมากับเพื่อน บางคนมาเป็นกลุ่ม เพื่อกลับบ้านเกิด บางกลุ่มก็มีโครงการไปเที่ยวกันในช่วงปิดเทอม ทำเอาหมอชิตใหม่คึกคักมีชีวิตชีวา ต่างกับช่วงอื่นๆ
หมอชิตในความทรงจำของทุกๆคน ภาพที่ชินตามักจะแออัดไปด้วยคน คน คน แล้วก็คนๆๆ ทุกคนหน้าตาไม่รับแขก อากาศร้อนอบอ้าว และก็มีคนจรจัดมิจฉาชีพ สัมภาระ กระเป๋าหนักๆ พิ้นเครอะๆ ฝุ่นสีดำ ควันรถ สรุปอย่างง่ายๆ ภูมิภาพไม่จำเริญตาไม่น่ามองและไม่น่าเข้าใกล้ถ้าไม่จำเป็น
แต่ทุกวันนี้ขนส่งหมอชิตใหม่ ไม่ได้เป็นอย่างในความทรงจำ บริเวณภายในติดแอร์เย็นฉ่ำ มีร้านอาหาร บริการ เหมือน ฟู้ดคอร์ด ในห้างไม่มีผิด มีร้านโดนัท มีร้าน KFC มีร้าน ๗ –๑๑ หลายจุด มีห้องน้ำ สะอาดๆไว้บริการ ที่นี่มองแล้วคึกคักอบอวลไปด้วยบรรยากาศของการเดินทาง
จุดขายตั๋วในสถานีวันนี้ไม่เหมือนจุดขายตั๋ว มันเหมือนตลาดสดเพราะความวุ่นวายของบรรดาผู้ที่มาใช้บริการ จะมีบล๊อกติดๆกันจำหน่ายตั๋วโดยเขียนป้ายบอกจุดหมายปลายทางทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ผู้คนที่ชื้อตั๋วมีจุดหมายปลายทางแตกต่างกันออกไป แต่บางคนก็ไปที่เดียวกัน
ชายผมสีดอกเลารูปร่างค่อนท้วมวัยประมาณ ๕๐ ต้นๆ ท่าทางภูมิฐาน เขากำลังยืนซื้อตั๋วอยู่ช่องจำหน่ายจุดหมายคือเชียงใหม่ หลังจากชำระเงินและรับตั๋วเขาก็ขยับเสื้อคลุมตัวนอกให้กระชับขึ้นอีกก่อนจะหิ้วกระเป๋าเดินทางตรงไปยังชานชาลาแต่ขณะกำลังเดินไปเขาก็ต้องชะงักเพราะมีเสียงเรียก
"คุณลุงๆๆ เดี๋ยวก่อนครับ..รอก่อนครับ... " ชายวัยกลางคนหันไปมองตามเสียงก็เห็นชายหนุ่มวัยประมาณ ๓๐ ต้นๆรูปร่างสูง ใบหน้ายาว ตาเรียววิ่งกระหืดกระหอบตามมา
ชายวัยกลางคนหันไปมองรอบๆตัวเพราะไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มคนนี้เรียกตนเนื่องจากในสถานที่พลุ่กพล่านด้วยผู้คน เพราะคนที่ชายแปลกหน้าไม่รู้จักคนนี้เรียกอยู่อาจจะไม่ใช่ตนก็ได้ ขานรับไปอาจจะหน้าแตกก็ได้
"คุณลุงนั่นแหล่ะครับ" ชายคนนั้นเอ่ยบอก "ลุงลืมแว่นตาครับ"
"เอ่อ..ขอบใจนะ..." ชายวัยกลางคนเอ่ยขอบใจอย่างสุภาพและรับแว่นสายตาที่ตนลืมวางไว้
"ไม่เป็นไรครับ เพราะเดี๋ยวเราก็ต้องร่วมทางไปเชียงใหม่ด้วยกัน" ชายคนนั้นตอบพร้อมรอยยิ้ม
"......." ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว
"ผมจะไปเชียงใหม่เหมือนกัน ผมชื่อธวัช เป็นออแกไนเซอร์ของบริษัทตะวันยิ้มแฉ่ง หัวหน้าแผนกฝ่ายฟรีเซ๊นท์ครับครับ" ชายหนุ่มแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้มสดใสร่าเริง แววตาจริงใจและยื่นมือมาขอจับ
"เอ่อ...ผมชื่อสมชาติครับ ทำธุรกิจส่วนตัว แต่อายุเยอะแล้ว ใครๆก็ชอบเรียกว่าป๋าชาติ แต่ผมก็ชอบนะเพราะดูเป็นกันเองและยกย่องดี ถ้าไม่รังเกียจจะเรียกผมว่าป๋าชาติก็ได้นะ ยินดีที่ได้ร่วมทางกัน " ชายวัยกลางคนแนะตัวพร้อมรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรและยื่นมือไปจับ ทั้งสองจับมือกันแล้วหัวเราะเบาๆให้กัน
"แหมๆๆมีธุรกิจส่วนตัวด้วย ดีจังเลย ผมยังเป็นลูกจ้างเขาอยู่เลย แต่วันหน้าผมก็คิดจะมีธุรกิจส่วนตัวเหมือนกัน มีอะไรก็แนะนำกันได้นะครับ ฮะๆๆ ขอเรียกว่าป๋าละกัน มันเข้ากับบุคลิกของคุณดี"
"โอ๊ยๆๆอย่ายกย่องผมขนาดนั้น ผมต่างหากที่ต้องขอคำแนะนำจากคุณมากกว่าฮ่าๆๆ"
ทั้งสองพูดคุยทักทายกันอย่างสนิทสนม มิตรภาพเกิดขึ้นอย่างรวดร็วก่อนการเดินทาง ป๋าชาติเองแม้จะไม่ค่อยไว้ใจคนง่ายๆยิ่งในสถานที่คนร้อยพ่อพันแม่โคจร เต็มไปด้วยแก๊งค์หลอกลวงมิจฉาชีพ แต่สัญชาตญาณส่วนตัวของป๋าชาติกลับรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่น่าจะเป็นคนเลวที่เข้ามาตีสนิทเพื่อล่อลวงตน ถึงจะเป็นจริงแต่ฐานะของเขาตอนนี้ก็ไม่มีอะไรให้หลอกลวงหวังผลประโยชน์ได้แล้ว
"ก่อนรถจะออกผมว่าเราแวะหาชื้ออะไรไปกินระหว่างนั่งรถที่เซเว่นก่อนไหมครับ เพราะกว่าจะถึงเชียงใหม่มันไกล เราต้องนั่งรถอย่างน้อยๆก็ ๗ – ๘ ชั่วโมง" ชายหนุ่มเอ่ยบอกป๋าชาติหลังจากเห็นร้านเซเว่นด้านใน
"อื่อ..เอาดิ ว่าจะหาชื้อหนังสือกับน้ำดื่มพอดี..." ป๋าชาติบอกแล้วเดินตามชายหนุ่มเข้าไปในร้านเซเว่น
แต่ระหว่างที่กำลังจะเดินเข้าร้าน ๗ - ๑๑ ก็มีโทรศัพท์เข้าเครื่องของเขาเสียก่อน
" เอ่อ...ขอตัวสักครู่นะ....แฟนผม โทรมา !! "
"ตามสบายครับป๋า จะเอาอะไรเดี๋ยวผมชื้อมาให้..." ชายหนุ่มบอกแล้วเดินเข้าไปในร้านหลังจากป๋าชาติฝากชื้อน้ำและหนังสือพิมพ์
คล้อยหลังป๋าชาติก็กดรับโทรศัพท์ที่บอกว่าแฟนโทรมา
"ทรงศรีหรอ...อื่อๆๆป๋ากำลังจะไปหานะ ป๋าเคลียร์ทางนี้หมดแล้ว...." ป๋าชาติรับสายด้วยความดีใจและสายตาฉายแววร้าวรานด้วยความเสียใจในเวลาเดียวกัน
"....ศรีเข้าใจค่ะ....เอ่อ...ศรีขอโทษที่ทำให้ป๋าต้อง....." เสียงในสายตอบมาอย่างตื่นเต้นแต่ก็แฝงความสะเทือนใจเช่นกัน ทำเอาป๋าชาติเม้มปากกลืนก้อนสะอึกลงคอ
" มันเป็นสิ่งที่ป๋าควรจะตัดสินใจมาตั้งนานแล้ว แต่หวังว่ามันคงยังไม่สายนะ...." ป๋าชาติพูดเสียงเรียบๆ
" เอ่อ...ไม่มีคำว่าสายหรอกค่ะ สำหรับศรี..แต่...ศรีรู้สึกว่า...ศรี..เอ่อ...."
" อย่ารู้สึกว่าตัวเองผิดเลยศรี คนที่ผิดคือป๋าเอง ที่ไม่เด็ดขาดหวาดกลัวไปสารพัด จนทำให้ศรีต้องไปตกตะกำลำบาก วันนี้ป๋าขอทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง ไม่สนคำด่าคำประณามใดๆ อยากจะบินไปให้หาศรีเสียเดี๋ยวนี้ คิดถึง อยากเห็นหน้าศรี อยากจะกอดแน่นๆ อยากมองหน้าเหลือเกิน ยิ่งน้ำเสียงของศรีตอนนี้ โอ้ย.....หวาน ไพเราะ น่ารัก น่ารักจน ความรู้สึกผิด มันถาโถมเข้ามาให้ตัวหนักอึ้งไปหมด...ที่ทิ้งศรีให้รอ...."
"ป๋ามาอย่างไรคะ?"
"ป๋านั่งรถทัวส์ไปลงเชียงใหม่ แล้วจะต่อรถไปปาย พรุ่งนี้คงจะถึง ที่ต้องนั่งรถเพราะหาไฟร์ตบินไม่ได้ ป๋าอยากเจอศรีไวๆจนอดใจรอไม่ไหว นั่งรถทัวส์ก็ดีหัดให้ชินไว้ เพราะต่อไปนี้ป๋าจะไม่ใช่นายสมชาติ เอื้อวิทยากุล มหาเศรษฐีนักธุรกิจคนดังอีกแล้ว..."
"ศรีไม่ได้รักป๋าที่ทรัพย์สินนะคะ ศรีรักป๋าด้วยหัวใจคะ เดินทางปลอดภัยนะคะ..."
"จ๊ะๆพรุ่งนี้เจอกัน" ป๋าชาติปิดมือถือแล้วยิ้มอย่างมีความสุขแต่ป๋าก็ต้องเซหัวเกือบทิ่มเพราะถูกชน
พอหันไปก็เห็นหลังของชายวัยรุ่นรูปร่างสันทัดสะพายกระเป๋าวิ่งไปที่ชอ่งตีตั๋วโดยไม่สนใจคนถูกชน
'บ้าเอ้ย! ไอ้เด็กสมัยนี้ ชนคนแก่จะล้มแล้วไม่ดูไม่ขอโทษสักคำ จะรีบไปตายที่ไหนวะ!'
ป๋าชาติบ่นไล่หลังพลางสรรค์เสริญในใจก่อนจะยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง แล้วเดินเข้าร้าน ๗ – ๑๑ แต่ก่อนจะผ่านประตูร้านสายตาก็เหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ รูปร่างของสูงโปร่งผิวสีแทนดูสะดุดตา สวมใส่เสื้อเชิ้ท กางเกงยีนต์ขาเดฟตามสมัยสมัย ใบหน้าคมเข้ม ตาโต จมูกโด่ง ริมฝีปากหยัก ผมตัดรองทรงหวีเรียบร้อย แต่ป๋าชาติก็ไม่ได้ใส่ใจมากไปกว่าคนผ่านตา เขาละสายตาเดินเข้าร้านไปก็เห็นชายหนุ่มที่เพิ่งรู้จักกำลังยืนอยู่เคาร์เตอร์ชำระเงิน พนักงานกำลังคิดเงินที่มองเห็นมี ยาแก้เมารถ น้ำชาเขียว ขนมปัง นมเปรี้ยว แล้วก็หนังสือ ๒ – ๓ เล่ม
ป๋าชาติเดินเข้าไปถาม "เท่าไหร่?"
"ไม่ต้องหรอกป๋า นิดๆหน่อยๆ ผมออกเอง..." ชายหนุ่มยกมือห้ามเมื่อเห็นเขาล้วงกระเป๋าจะจ่ายเงิน
"อื่อ..ขอบใจนะ..." ป๋าชาติยิ้มให้อย่างซาบซึ้ง
หลังจากคิดเงินเสร็จสองชายต่างวัยก็เดินออกจากร้าน ๗ – ๑๑ ตรงไปยังชานชลา ระหว่างเดินไปก็มีบรรดากระเป๋ารถมาร้องตะโกนถามตลอดทาง
' น้องๆ สองคนไปไหน ลำปางรึเปล่า มาๆ'
' สายเหนือค่าาาาา จะออกแล้วว มาแร๋วว'
'น้องๆ ไปไหนกันจ๊ะ มาๆคุยกับพี่ก่อน'
'เอ้า น่านจ้าาาา น่านนน'
'หนุ่มไปไหนจ๊ะ หนุ่ม แพร่มั้ย'
เสียงเซ็งแซ่ฟังไม่ได้สรรพ ทำเอาชายหนุ่มอดอมยิ้มไม่ได้
"พวกนี้เรียกผู้โดยสาร ยังกะพวกไร้จุดหมายอะ ฮ่าๆ เอ่อ แพร่ ก็น่าสนใจ ไปแพร่ ดีกว่านะป๋า ฮ่าๆๆ น่าสนใจดี"
คำพูดของเพื่อนใหม่เอ่ยกับป๋าชาติทำเอาเขาอดอมยิ้มและขำไปด้วยกับความอารมณ์ดีของเพื่อนร่วมทาง ทั้งสองตรงไปที่ชานชลา เพื่อขึ้นรถทัวร์ คันใหญ่ ที่จอดรอท่าอยู่ พอขึ้นมาบนรถ เบาะที่นั่งจะเป็นเบาะที่ดูแล้วคงจะนุ่มน่าดู ทั้งสองเดินไปหาที่นั่งตามหมายเลขบนตั๋ว แต่ดันมีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง นั่งอยู่ป๋าชาติดูตั๋วแล้วมองหน้าเด็กหนุ่ม
"เอ่อ...น้อง...ตั๋วของผมนั่งตรงนี้...น้องชายนั่งผิดที่นะ..." ป๋าชาติบอกอย่างสุภาพ
เด็กหนุ่มวัยไม่เกิน ๒๕ หน้าตาดี ผิวขาวล้วงตั๋วของตนเองขึ้นมาดูแล้วยิ้มให้
"ขอโทษครับ ผมดูเลขที่ผิด" บอกแล้วเขาก็ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเดินทางย้ายไปนั่งด้านหลังที่ตรงกับหมายเลข
ป๋าชาติจึงนั่งลงบนที่นั่งของตนซึ่งคู่กับชายหนุ่มที่เพิ่งรู้จัก เสียงของเขาเอ่ยคล้ายบ่นเบาๆ
" เอาละ...ในที่สุด เราก็ได้ออกเดินทาง สักที ลาก่อนนะกรุงเทพ ...." เขาพูดแล้วหยิบมือถือมาเปิดดูรูป " แล้วก็เดี๋ยวเจอกันนะ เชียงใหม่ ^ ^ ..."
ป๋าชาติชำเรืองมองเห็นภาพสาววัยรุ่นหน้าตาน่ารัก ตาโต ผมยาวพิมพ์นิยม จึงเอ่ยถาม "แฟนหรอ?"
"ครับ...ผมกำลังจะไปง้อเค้าที่เชียงใหม่"
"ทะเลาะกันหรอ?" ป๋าชาติถามอย่างแปลกใจ ชายหนุ่มทำหน้าสลดและพยักหน้ารับ "อื่อ..ไปเจอก็ค่อยๆพูดจากันนะ อุตส่าห์ตามไปง้อถึงเชียงใหม่เขาคงไม่ใจร้ายไม่คืนดีด้วยแน่ๆ"
"หวังว่าเค้าคงจะอภัยผม ที่ผ่านมาผมทำไม่ดีกับเขาไว้เยอะ" ชายหนุ่มบอกแล้วปิดมือถือเก็บใส่กระเป๋า
"คนไม่ดีกลับใจสังคมอภัย ถ้าเราไปง้อเขาด้วยความจริงใจ เขาคงให้อภัยแต่อาจจะเล่นตัวบ้าง ก็ใช้ความอดทนหน่อยนะ รักเขาจริงก็ต้องอดทน..."
"ครับป๋า..." เขารับคำและเปลี่ยนเรื่อง "ว่าแต่...รถคนนี้ดีจังผมชอบมากๆเลยนะ เบาะที่นั่งเป็นเหมือนเตียงนั่งได้ มันนุ่มมมม มากกก แค่นั่งลงไปอาการล้าจากที่ เดินๆมาก็หายไปเลยฮะๆๆๆ "
"อื่อ..เหมือนเก้าอี้เครื่องบิน บอกตรงๆนะ ตอนแรกป๋าก็กลัวๆว่าจะนั่งทรมานจนถึงเชียงใหม่" ป๋าชาติเห็นด้วย
" ใช่ตรงนี้ป่าววะ!? " เสียงเอ่ยดังขึ้นด้านหน้า เสียงนั้นทำให้ป๋าชาติเงยหน้าไปตามเสียงก็เห็นเด็กวัยรุ่นที่ชนตนเกือบล้มหน้าร้าน ๗ – ๑๑ เขากำลังดูตั๋วเทียบเลขที่ด้านหลังเบาะตรงหน้า "ใช่ไม่ใช่ก็นั่งก่อนละ เมื่อยฉิบหาย"
พูดจบเด็กหนุ่มก็นั่งลงเอาหูฟังมาใส่ฮัมเพลงอย่างสบายใจ แต่สักครู่ก็มีลุงคนหนึ่งขึ้นมาและบอกว่าที่ตรงนั้นเป็นของตน เด็กหนุ่มไม่ยอมย้ายจนพนักงานต้องมาช่วยพูดเคลียร์ให้เขาย้ายไปนั่งตามเบอร์ที่อยู่ด้านหลังสุด เด็กหนุ่มโวยวายอยู่พักแต่ก็ยอมย้ายพลางบ่นงึมงำอย่างไม่พอใจ เมื่อไปนั่งด้านหลังสุดห็เอาหูฟังมาใส่เอนเบาะกระแทกคนด้านหลังจนสะดุ้ง และนอนหลับตากอดอดไขว้ห้างกระดิกเท้าฮัมเพลงอย่างสบายใจ ป๋าชาติมองตามแล้วส่ายหน้าอย่างละอาใจในมารยาทแย่ๆอย่างนั้น
และแล้วก็ได้เวลารถทัวส์ปรับอากาศจะออกเดินทาง แต่ขณะรถจะเคลื่อนตัวออกจากชานชลา เสียงของพนักงานหญิงก็ตะโกนบอกคนขับหลังจากรับวิทยุท๊อกกี้จากช่องขายตั๋ว
"พี่พงค์ ยังมีผู้โดยสารไม่ได้ขึ้นรถอีกคน รอเดี๋ยวค่ะ"
รถจอดรถอึดใจก็มีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่วิ่งมาขึ้นรถและเอ่ยขอโทษพนักก่อนจะเดินไปนั่งเบาะหลังคนขับ ป๋าชาติมองผู้โดยสารที่เกือบจะตกรถก็เห็นว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาบุคลิกดีที่เจอหน้าร้าน ๗ – ๑๑ นั่นเอง เมื่อเช็คผู้โดยสารเรียบร้อยคนขับก็บังคับรถทัวส์ออกจากสถานีขนส่งหมอชิตเพื่อนำผู้โดยสารไปสู่จุดหมายปลายทาง
การเดินทางเริ่มต้นขึ้นแล้ว....
รถโดยสารปรับอากาศ กรุงเทพ-เชียงใหม่ ออกเดินทางมาได้สักครู่หนึ่งแล้ว จากเมืองที่สว่างเต็มไปด้วยแสงไฟ ก็เริ่มเข้าสู่ย่านชานเมือง แสงไฟตามข้างทางลดลงๆ ในที่สุดไฟในรถก็ถูกปิดลง ผู้โดยสารหลายคนหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมานั่งส่งข้อความคุยกับเพื่อนๆ หลายคนดึงผ้าห่มลงมาห่ม บ้างปรับที่นั่งให้เอนลง เพราะการเดินทางยังอีกหลายชั่วโมง กว่าจะถึงเชียงใหม่ก็คงฟ้าสาง ป๋าชาติปรับที่นั่งให้เอนลงเล็กน้อยพอให้เอนหลังได้สบายขึ้น สายตามองข้างทางแต่ในใจกลับคิดถึงแต่คนที่ตนจะไปพบ คิดถึงใบหน้าหวานๆรอยยิ้มตรึงใจเขาก็อดยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจไม่ได้
"ป๋า รถเปิดแอร์เย็นขนาดนี้ไม่หนาวหรอ?" ชายหนุ่มเพื่อนร่วมทางเอ่ยถาม
ป๋าชาติเองก็หนาวแต่เอ่ยบอกว่า "ป๋าไม่เคยนั่งรถทัวส์ เอ่อ..เลยไม่ค่อยรู้ว่าต้องทำยังไง นั่งแต่เครื่องบินมันมีแอร์โฮสเตสจัดหาข้าวของและทำให้หมด แทบจะป้อนข้าวป้อนน้ำ อุ้มลงมาส่งหน้าบัดไดทีเดียว..."
"ไม่เคยนั่งรถทัวส์...!?!..." อีกฝ่ายถามเสียงแปลกใจ
"ป๋าเคยแต่นั่งเครื่องบินหรือไม่ก็รถส่วนตัว เพิ่งนั่งรถทัวส์ครั้งแรกในชีวิตจริงๆ"
"อื่อๆๆ" ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ " ผมจะอธิบายนะ เผื่อป๋าได้นั่งอีก ไอ้เจ้าเตียงนั่งได้เนี่ยะ มันจะตั้งไว้คู่กัน ๒ ตัว ของทั้งริมฝั่ง ซ้ายขวา ของรถทัวร์ และทุกๆที่นั่ง จะมีหมอน - ผ้าห่ม เอาไว้บริการ ด้านบน จะเป็นช่องเก็บของขนาดใหญ่ ที่เปิดปิดได้ ดวงไฟ ที่อยู่เหนือหัวเรา ไฟจะส่องลงมาพอดี ตักเราไว้ส่องหาของหรืออ่านหนังสือได้ เอานี่ผ้าห่มครับ"
"ขอบใจนะ..." ป๋าชาติรับผ้าห่มมาห่มและมองบรรยากาศในรถทัวส์
หลายคนกำลังดูหนังจากจอทีวี LCD เหนือบันไดขึ้นรถ แต่ว่าด้านข้างผู้โดยสารร่วมทางที่นั่งผิดที่ก็เริ่มออกอาการแปลกๆเขาทำท่าผะอืดผะอมเหมือนจะอาเจียนซึ่งดูทรมานมาก
"เมารถหรือไง...น้อง?"หนุ่มร่วมทางของป๋าชาติเอ่ยถามชายคนนั้น
อีกฝ่ายพยักหน้าและเปิดน้ำดื่ม "คะ..ครับ ลืมกินยามา...อะ..อ้วก...."
" เออแปลกดีนะ ผมก็เจอคนเมารถมาเยอะ แต่ไม่เคยเจอเมาแบบ ปุ๊ปปั๊บ เมาแอ๋ หน้ามึน แบบนี้ แค่รถออกตัวนิดเดียว หน้าตาออกอาการมากเลย...ฮะๆๆๆ" ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดีแล้วส่งน้ำกับยาแก้เมารถไปให้ "ของผมพกติดตัวประจำ เอาไปกินก่อนนะ แล้วเอนหลังแป๊บก็จะหาย"
"ขอบคุณครับ..." เด็กหนุมรับรีบกินแล้ว ปรับเบาะเอนลงตามคำแนะนำ
' สวัสดีค่ะ ท่านผู้โดนสารทุกท่าน...' เสียงหวานๆของพนักงานต้อนรับหญิงเอ่ยขึ้น ป๋าชาติละสายตา มามองเจ้าของเสียง เป็นพนักงานผู้หญิงหน้าตาแฉล้มท่าทางใจดี คนหนึ่ง แต่สวยน้อยกว่าแอร์โฮสเตสที่เขาชินตาจากสายการบินต่างๆหลายขุม 'เถกิงทัวส์ยินดี ต้อนรับ ผู้โดยสารทุกท่าน .... ~~~~~'
ป๋าชาติไม่ได้สนใจฟังแต่จำได้พอคร่าวๆ คือ พนักงานหญิงบอกว่าจะมีจุดพัก ๒ จุด ที่ กำแพงเพรช แล้วที่ ลำปาง ที่นั่น จะมีอาหารให้ทาน รถทัวส์จะไปถึงที่หมาย ในเวลา ประมาณ ตี ๕ หักเวลารถออกจากสถานีหมอชิตก็ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๘ ชั่วโมงกว่าๆโดยประมาณ
"อีกสักครู่ เราจะมี กาแฟ ขนมเค้ก ดาแฟและน้ำดื่มให้บริการ นะคะ ผู้โดยสารท่านใดสนใจ ให้เรียกพนักงานได้เลยคะ" พูดจบก็มีพนักงาน ๒ คน เดินถือ ถาด กาแฟ น้ำแดง ขนมปัง มาเดินแจก ซึ่งป๋าชาติและมิตรร่วมทาง ก็รับน้ำหวานมา ๒แก้ว ขนมเค้กคนละชิ้น
" รสชาติ อร่อยดีแฮะ แต่น้ำหวาน จะจืดๆไปหน่อย การบริการพวกเนี่ยะทำให้ผมคิดไปถึง แอร์โฮสเตรท บนเครื่องบินเลย" ป๋าชาติเอ่ยบอกเพื่อนร่วมทาง
"รถของบริษัทนี้บริการดีครับป๋า แต่บางบริษัทห่วยแตก ผมเคยขึ้นอีกบริษัท รถทัวร์นรกราคาวีไอพีที่นั่งอนาถา วิ่งยังกะล้อจะหลุด แถมพนักงานไม่สนใจผู้โดยสารเลยเอาแต่คุยหยอกล้อกันตลอดทาง"
"ท่าทางจะเดินทางบ่อยนะ ถึงดูคล่องจริงๆ" ป๋าชาติเอ่ยยิ้มๆ
ทั้งสองคุยกันสัพเพเหระและมองอาการชายหนุ่มที่เมารถซึ่งนอนห่มผ้าเงียบไม่รับขนม น้ำดื่มใดๆ เมื่อทั้งสองกินเสร็จ ป๋าชายล้องมือถือมาเปิดเฟสบุ๊คจะเล่นไลน์กับคนที่จะไปหา แต่ว่าอีกฝ่ายไม่ออนเฟส กำลังดูเพลินๆ แสงรอบๆตัวก็ดับลงไป ทีละดวงๆ ผู้โดนสารรอบๆตัวเริ่มทยอย ปิดไฟนอนกันแล้วไม่เว้นแม้คนนั่งข้างๆ จนเหลือเขาคนสุดท้าย ก็เลยต้องจำใจ เก็บมือถือ แล้วปิดไฟ กระชับผ้าห่มเอนตัวนอนพยายามข่มตาให้หลับ
ผ่านมาสักระยะที่เห็นรถวิ่งผ่าน เสาไฟ และแสงสีเหลือนวล ของไฟถนน ผ่านไปๆ เรื่อยๆ ซึ่งป๋าชาติไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ เขากำลังนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา ภาพภรรยาร้องไห้น้ำตานองหน้าเมื่อเขาตัเสินใจเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าแล้วเดินออกจากบ้านโดยไม่มีทรัพย์สินมีค่าอะไรติดตัวมา นอกจากเงินสดหมื่นกว่าบาทในกระเป๋าและบัตรเครดิตอีก ๔ – ๕ใบ ซึ่งมีวงเงินไม่กี่แสน
"ไปเลย! ฉันจะดูว่าคุณมีแต่ตัว นังแพศยามันจะเอาตัวคุณไว้ไหม แก่ขนาดนี้มันคงจะเอาอยู่หรอก ฉันจะรอดูวันคุณซมซานกลับมา " ป๋าชาติลืมตามองแสงไฟจากเสาข้างหาง ขณะคำพูดเหล่านั้นก้องอยู่ในรูหู
เขากำลังนอนคิด ว่า ' ...เราตัดสินใจถูกหรือเปล่า... แต่เขาทนมาพอแล้ว แม้จะหวั่นๆว่าทรงศรีอาจจะมีคนอื่น แต่เราต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ ไม่ต้องทนกับคำพูดดูถูกต่างๆ หากเป็นคนอื่นดูถูกเราจะไม่คิดและไม่ใส่ใจ แต่คำดูถูกมาจากคนที่เป็นเมียของเรา มันกลับบั้นทอนกำลังใจ คนที่เคียงข้างเราไม่สมควรจะมาดูถูกหรือทำให้เราเจ็บปวด เพราะมันเจ็บปวดกว่าคำพูดและการกระทำของคนอื่นๆเป็นพันๆเท่า...เราทนมาพอแล้ว... "
"นอนไม่หลับหรอป๋า" เสียงทักจากคนข้างๆทำเอาป๋าชาติต้องออกจากภวังค์ส่วนตัวสู่โลกความเป็นจริง
"อื่อ...ผมกำลังคิดถึงคนที่ปลายทาง"
"คิดถึงแฟน ท่าทางจะมีเมียเด็กมั๊ง ฮ่าๆๆหมั่นตรวจเช็คร่างกายด้วยนะป๋า"อีกฝ่ายเย้ามา
ป๋าชาติหันมามองอีกฝ่ายแล้วขมวดคิ้ว พลางถามอย่างสงสัย "ผมแปลกใจจริงๆ คนอารมณ์ดีมีมนุษย์สัมพันธ์อย่างคุณ ทำไมถึงทะเลาะกับแฟนได้ หวังว่าคงไม่ใช่คนเอาแต่ใจตัวเองนะ เอ่อ..ขอโทษที่ถามละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว"
อีกฝ่ายหน้าเศร้าไปแล้วตอบฝืนๆ "ป๋าอย่าคิดว่าผมเป็นคนดี ผมอาจจะสนุกสนานเฮฮา ดูเหมือนจะเป็นคนดี แต่บางเรื่องผมกลับเลวระยำอย่างไม่น่าให้อภัย โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง ผมเป็นคนเจ้าชู้ใจโลเลมาก และ....."
"ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบนะ เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้"ป๋าชาติบอกอย่างคนเข้าใจโลก
"เพราะความเจ้าชู้ของผมนี่แหล่ะ เขาถึงหนีมา และ...."
"ผู้ชายไม่เจ้าชู้ก็เหมืองูไม่มีพิษ แต่เมื่อพบคนที่ใช่ก็หยุดซะ...เพราะจุดจบของคนเจ้าชู้คือจะไม่มีใครเอา..."
"ผมทุกวันนี้ก็ไม่มีใครเอาแล้ว ถึงต้องบากหน้าไปง้อเค้าไง" ชายหนุ่มพูดอย่างขมขื่นดวงตาฉายแววเจ็บปวด
"ฮะ...ฮ้าว...." อยู่ๆป๋าชาติก็ปิดปากหาว
"ท่าทางป๋าจะง่วงแล้ว ผมไม่รบกวนหล่ะ นอนเถอะ..."
"อื่อ..แต่แอร์มันเย็นจัง"
"เบาได้ครับป๋า แต่เราต้องเบาเอง ไม่มีคนบริการเหมือนสายการบินหรอก"
บอกแล้วชายหนุ่มเอื้อมมือไปเบาแอร์บนศีรษะให้
"ขอบใจมากนะ..." ป๋าชาติบอก
อีกฝ่ายยิ้มให้และห่มผ้าเอนกายลงนอน ชั่วครู่ได้ยินเสียงกรนเบาๆ
ป๋าชาติห่มผ้าขึ้นมาที่อกพลิกไป พลิกมา " นอนไม่หลับจริงๆแฮะ แล้วก็หนาวจริงๆด้วย ผ้ามันบางเหลือเกิน"
ป๋าลุกขึ้นมานั่ง มองทางไปเรื่อยๆ ' การเดินทางไปต่างจังหวัดแบบนี้ มันได้ฟิลมากเลยนะ แอร์หนาวๆ เบาะนุ่มๆ ของรถทัวร์ หน้าต่างกระจกบานบะเริ่ม ที่ตอนนี้เริ่มเห็นภาพภูเขาสีดำทอดยาวและพระจันทร์ ตัดกับแสงสีนวล ของไฟทางหลวง ~...' ป๋าชาติรำพึงในใจมองภาพนั้นเพลินๆก็เอนกายลงนอนแล้วผมก็เผลอหลับไปตอนไหน ไม่รู้เลย..
' ท่านผู้โดยสารคะ ตอนนี้เรามาถึง จุดพักที่ ๑ แล้วนะคะ'
ป๋าชาติสะดุ้งลืมตาตื่น แต่ที่ตื่นเพราะแสงไฟที่เปิดทั่วรถ ไม่ใช้เพราะเสียงที่ปลุก
'เรามีอาหารไว้คอยบริการ ด้านล่าง โดยในซองตั๋วจะมีคูปองแลกอาหารนะคะ'
"ซองตั๋วนั่นแหล่ะครับป๋า"ชายหนุ่มเอ่ยบอกป๋าชาติ
เขาหยิบซองตั๋วออกมาดู ในซอง ตั๋ว ๑ ใบ ใส่ซองมาอย่างสวยงาม ในซองมี คูปอง ๔ ใบ เป็นอาหาร 2๒ที่น้ำ ๒ ที่ ป๋าชาติอ่านแล้วพยักหน้าเข้าใจ
ทั้งสองขยับลุกจากที่จะลงจากรถแต่เห็นชายหนุ่มที่เมารถยังนอนห่มผ้านิ่ง ชายหนุ่มที่มากับป๋าชาติจึงสะกิดเบาๆพลางเอ่ยถามเมื่อเขาปรือตาขึ้นมามอง "น้องชาย...ลงไปล้างหน้าล้างตากินอะไรสักหน่อยเถอะ"
"ไม่หล่ะ ยังมึนหัวอยู่ครับ ขอบคุณ" บอกแล้วห่มผ้านอนต่อ
แต่ไม่ทันทั้งสองจะขยับก็มีเสียงพูดอย่างไม่พอใจดังขึ้นมา "ลุงสองคนนี่ มายืนคุยอะไรกันขวางทางอยู่ได้"
หันไปก็เห็นเจ้าหนุ่มคนที่เดินชนป๋าชาติยืนมองด้วยสีหน้าไม่พอใจ
"หลบๆหน่อย ผมจะรีบไปเข้าห้องน้ำ" บอกแล้วก็เดินแทรกกลางผ่านทั้งสองไป
ชายหนุ่มมองตามแล้วส่ายหน้า "ไอ้เด็กคนนี้ไม่มีมารยาทเลยจริงๆ"
ป๋าชาติเดินตามเพื่อนร่วมทางลงบันไดไป แล้วออกสู่ ด้านนอกรถ....
"ฮื่อ...ทำไมลมแรงอย่างนะ แล้วทำไมอากาศอบอ้าวหนาวๆร้อนๆอย่างไงไม่รู้" ป๋าชาติเอ่ยเมื่ออกมานอกนอกตัวรถ
"สงสัยฝนจะตกครับป๋า ดูโน่นสิ ฟ้าแลบทางโน้น เมฆดำเลื่อนลงต่ำด้วย" ชายหนุ่มชี้ให้ป๋าดูสุดโค้งขอบฟ้าทางทิศเหนือแลเห็นฟ้าแลบเป็นสายและประกายฟ้าผ่าดังคลื่นๆแว่วมา "สงสัยทางโน้นฝนจะตกแล้ว..."
"อื่อ..." ป๋าชาติพยักหน้าเข้าใจ
"ไปหาอะไรหม่ำกันเถอะ ๑๕ นาที เท่านั้น แล้วค่อยมานั่งทรมานกันต่ออีก ๗ ชั่วโมงฮ่าๆๆๆ"
ทั้งสองเดินจากรถทัวร์ ไปที่เคาเตอร์อาหาร ชายหนุ่มมองแล้วเอ่ยว่า " หื้ม !!! ที่มีอยู่เป็น ก๋วยจั๊บ แล้วก็ ข้าวมันไก่ แค่ ๒อย่างเหมือนคูปองเลยแฮะ...แล้วอะไรมันอร่อยบ้างหล่ะเนี๋ย"
"ที่นี่ที่ไหน ทำไมมันดูวังเวงจัง" ป๋าชาติเอ่ยถาม
" ที่นี่จุดพักแรก คงเป็นกำแพงเพรช" เขาตอบและเลือกดูอาหาร " อะไรอร่อยก็ไม่รู้ เลือกเอาที่ชอบ ก็เลยได้นะป๋า ผมขอข้าวมันไก่หล่ะกัน " บอกแล้วก็ได้ ข้าวมันไก่ มา ๑ จาน แลกกับตั๋ว ๑ ใบ
ป๋าชาติแลกคูปองรับอาหารตามและยกมานั่งกินที่โต๊ะ ปรากฏว่ารสชาติก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร " อร่อยแฮะ ถึงไม่ได้อร่อยเว่อร์ๆ แบบร้านเจ้าดังๆ ในเยาวราช แต่ด้วยทุกอย่าง ณ ตอนนี้ เจ้านี้ มันอร่อยเลยทีเดียว..." ป๋าชาติเอ่ยในใจกินไม่กี่คำข้าวก็หมดเพราะจานมันเล็กราวอาหารตัวอย่าง จากนั้นทั้งสองก็เอาคูปองน้ำแลก อิชิตันมา ๑ ขวด
ทั้งสองมานั่งดื่มตรงม้าหินอ่อนด้านหน้าร้านอาหาร ระหว่างนั้นป๋าชาติก็มองเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีนั่งดื่มน้ำขวดเงียบๆอยู่ในมุมมืดใต้ต้นไม้ด้านข้างรถทัวส์ ส่วนเจ้าหนุ่มมารยาทไม่ค่อยดีเดินเลือกชื้อของอยู่ในร้านสะดวกชื้อปะปนกับผู้โดยสารคนอื่นๆ หลังจากดื่มน้ำหมดขวดทั้งสองเข้าห้องน้ำปลดปล่อยน้ำส่วนเกินของร่างกายก็กลับมาขึ้นรถและนั่งลงที่เดิมโดยมีผู้โดยสารทยอยตามขึ้นมาเรื่อยๆ
เจ้าหนุ่มคนเมารถยังนอนสลบสไหล สงสัยคงเพราะ ฤทธิ์ยาแก้เมารถ รอจนคนขึ้นมาครบ แล้วดวงไฟก็ค่อยดับไปแบบเดิมอีกครั้ง หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนคราวนี้ป๋าชาติเอนหลังไม่ทันไรก็หลับไปอย่างง่ายดาย
กระทั่งมารู้สึกตัวอีกทีก็มีเสียงประกาศว่ารถมาถึงจุดจอดที่ลำปางเป็นที่เรียบร้อย
คราวนี้เจ้าหนุ่มคนเมารถตื่นลงไปด้วยเพราะว่าปวดฉี่ ส่วนป๋าชาติสะลึมสะลือลงตามไปเพราะอยากดูบรรยากาศ
จุดพักที่สองในจังหวัดลำปาง เป็นจุดพักก่อนที่รถจะวิ่งยาวเข้าสู่ จังหวัดเชียงใหม่ พนักงานหญิงแนะนำเหล่าผู้โดยสาร ลงไปทำธุระเสียให้เรียบร้อย เพราะคงจะไม่ได้จอดพักแล้วจนกว่าจะถึงที่หมาย
แค่ก้าวลงจากรถก็สัมผัสบรรยากาศเย็นจนหนาวแต่สดชื่น มอฃเห็นท้องฟ้ากำทะมึนลมกรรโชกแรงเป็นระยะๆฟ้าแลบฟ้าร้องแรงขึ้นบอกอาการว่าฝนคงจะตกลงมาในไม่ช้า
" ลำปางหนาวมาก.ก.ก.ก...." ชายหนุ่มเอ่ยกับป๋าชาติแบบติดตลกด้วยวลีฮิต
"อื่อ..หนาวนิดหน่อย ไม่เท่าบนรถหรอก"
จุดพักที่นี่ อยู่ใกล้เขา อากาศจึงค่อนข้างเย็น ที่เคาเตอร์อาหารเตรียมข้าวต้มร้อนๆ และกับข้าว ๒ อย่าง มี กุนเชียง แล้วก็หมูทอดแห้ง เอาไว้ บริการ
"ผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ" เจ้าหนุ่มคนเมารถบอก ก่อนจะเดินนำ ลิ่วๆ ไปเข้าห้องน้ำ
ในเวลาต่อมาข้าวต้มร้อนๆควันลอยกรุ่นถูกนำมาวางบนโต๊ะ ป๋าชาติ หนุ่มร่วมทางและคนเมารถนั่งล้อมวงกันและลงมือกินอย่างอเร็ดอร่อยจนกระทั่งเกลี้ยงถ้วยแทบไม่ต้องล้าง มันอร่อยมากเพราะอากาศมันเย็นๆ กุนเชียงไม่ร้อนเพราะเลือกหยิบของที่ทอดมารอไว้นานแล้ว แต่หมูแดดเดียวควันโชย ท้ังสองอย่าง รสชาติไม่จัดมาก รสอ่อนๆ
"ค่อยยังชั่ว..." หนุ่มเมารถบอกออกมา "อุตส่าห์มาถึงที่นี่ ไม่ลองข้าวต้มลำปาง เสียเที่ยวแย่"
จากนั้นก็แนะนำตัวต่อทั้งสอง " ผมชื่อพนาครับ..."
"ผมชื่อสมชาติแล้วนี่คุณธวัช เราเพิ่งรู้จักกัน แต่คุณธวัชนี่ดีมากๆแนะนำผมหลายอย่าง"ป๋าชาติเอ่ยอย่างเป็นมิตร
"ยินดีที่ได้รู้จักครับ" หนุ่มเมารถที่ชื่อพนาเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม "ถ้าไม่ได้ยาของพี่ธวัช ผมคงแย่"
"ไม่เป็นไรหรอก ช่วยกันไป เผือไว้วันหน้าวันหลังคุณพนาอาจจะต้องช่วยผมบ้าง"
"ผมคงจะช่วยใครไม่ได้หรอก ขนาดตัวเองยังเอาไม่รอดเลย" พนาพูดมาแล้วทำหน้าเศร้าๆ
"ใจเย็นน่าพ่อหนุ่ม อย่าพูดจาดูถูกตัวเองอย่างนั้น คนทุกคนมีคุณค่าในตัวเองทั้งนั้น" ป๋าชาติพูดให้กำลังใจ
พนาหันมามองอย่างซาบซึ้ง "ขอบคุณลุงมากที่ให้กำลังใจผม"
"ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ทีหลังอย่าเรียกลุงนะ เรียกป๋าดีกว่า ฟังดีกว่ากันเนอะ"
"ครับป๋า...."
ทั้งสามเดินไปเข้าห้องน้ำเสร็จกิจก็เดนออกมาด้านหน้าเพื่อหาชื้ออะไรไว้กินบนรถ มองไปรอบๆ ที่นี่มีของฝากต่างๆ ขายด้วย มีร้านที่ปิดไปแล้วตอนนี้ เป็นร้านกาแฟ
แต่ขณะยืนกันอยู่เด็กหนุ่มที่ป๋าชาติว่าไร้มารยาทก็เดินคุยโทรศัทพ์มาท่าทางหัวเสีย
" แม่ง! ห่วยแตกสุดๆเลยวะ ของกินก็มีแจกนิดเดียว จอดรถตดไม่หายเหม็นก็ออก แถมแถวๆนี้สามจีก็ไม่มี นี่ตีหนึ่งกว่าแล้วเพิ่งถึงลำปาง กูว่ากว่าจะถึงเชียงใหม่ก็แจ้ง นี่ถ้าพ่อกูไม่บังคับให้มานะ หัวเด็ดตีนขาดกูก็ไม่มาเรียนที่เชียงใหม่หรอก เพราะอีดอกนั่นแท้ๆแม่ง ทำชีวิตกูเปลี่ยน ไม่น่าไปยุ่งกับมันเลย"
เจ้าหนุ่มน้อยท่าทางวัยไม่ถึง ๒๐ บ่นเสียงดังกรอกลงมือถืออย่างไม่เกรงใจใคร ทำราวกับว่ามีตัวเองคนเดียวในบริเวณนั้น ป๋าชาติและทุกคนมองหน่ายๆแล้วเดินไปเข้าร้านสะดวกชื้อที่ยังเปิดอยู่
หลังจากทำธุระด้านล่างเสร็จ ทั้งสามก็กลับมาขึ้นรถกันอีกครั้ง เวลาตอนนี้ ประมาณตี ๒ กว่าๆ คราวนี้ป๋าชาติกินอิ่ม นอนหลับสบายประกอบกับเพลียจากการนั่งรถนานๆ นึกขอบใจไอ้เจ้าข้าวต้ม อุ่นๆในท้องที่มันช่วยให้นอนหลับสบาย ต่างจากน้ำหวานแล้วก็กาแฟ ตอนขึ้นรถทีแรก ซะจริงๆ ส่วนมิตรใหม่ผู้ร่วมทางทั้งสองแค่เอนเบาะ ก็เงียบเสียง
รถทัวส์ทะยานออกตัวจากจังหวัดลำปาง วิ่งด้วยความเร็วสูง บางทีป๋าชาติก็ตื่นขึ้นมาเพราะความหนาวเย็นของอากาศในตัวรถบวกกับด้านนอก จะเห็นสองข้างทางมีภูเขา ทิวเขา สวยๆมองราวภาพฝัน ก่อนจะพลิกตัวหลับต่อในบรรยากาศทีเย็นยะเยือกสบายกายปลอดภัยภายในห้องโดยสาร...
แต่หลังจากป๋าชาติหลับตา ภายนอกตัวรถบรรยากาศโดยทั่วไปฟ้าเริ่มมืดครึ้มลงช้าๆ ฟ้าพิโรธคำรามลั่นจนพสุธาสะท้านไหว แสงอสุนียบาตสำแดงสว่างจ้าเป็นระยะดูน่าหวั่นเกรง ลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆจนคล้ายเกิดพายุพัดกระหน่ำเป็นระลอกๆฝุ่นผงใบไม้แห้งปลิวว่อน ต้นไม้สองข้างทางต้านทานแรงลมไม่ไหวหักโค่น กิ่งก้านปลิวมาขวางถนน ในไม่ช้าพระพิรุณโปรยปรายลงมาอย่างหนัก จนทั่วพสุธาเจิ่มนอง รถโดยสารชะลอความเร็วเนื่องจากเบื้องหน้า ทัศนวิสัยเริ่มเลวร้าย
ท่ามกลางเสียงฝนตกหนักราวฟ้ารั่ว สายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ในม่านเมฆ เสียงคำรามลั่นครื้นๆไม่หยุด
ยังไม่เคยอ่านครับเรื่องนี้ แหมน่ารักตรงตัวละคร เอาคนใกล้ๆตัวมาเล่นเองซะเลย 5 5 5 .......ยังไงคงให้บทป๋าแกดีๆหน่อยนะครับ เดี๋ยวจะขอขึ้นค่าตัว 😄
::Angry::มันน่าแค้นใจครับ ไอ้พวก ห้าเบี้ย...(ผวนได้ในที่ลับ) ลักงานชาวบ้านเอาไปหากิน ได้ไม่อายกรรมเวร (อย่างว่า มันมักง่ายมันจะกลัวอะไรกะกรรมเวร) ให้กำลังใจท่านนีโอ จัดงานคุณภาพ ออกมาเรื่อยๆนะครับผม