ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

รักแท้แพ้ระยะทาง ตอนที่1

เริ่มโดย apinyaporn, พฤษภาคม 31, 2020, 01:54:17 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

apinyaporn

รักแท้ฯ ตอนที่ 2 https://xonly8.com/index.php?topic=231144.0

....................

เราเคยมีแฟนคนแรกสมัยเรียนปีหนึ่งมหาวิทยาลัยเทคนิคย่านลาดกระบัง สมมติว่าชื่อ A ตอนนั้นบ้านเราอยู่แถวลาดกระบังอยู่แล้วแต่บ้านของเออยู่ไกลถึงทุ่งรังสิต เอเคยขอย้ายออกมาเช่าหอใกล้ๆมหาลัยแต่ที่บ้านไม่อนุญาต จึงต้องนั่งรถไฟเข้าหัวลำโพงแล้วต่อรถไฟอีกสายเพื่อมาลงสถานีลาดกระบัง ขากลับก็ต้องย้อนทางเดิมแบบนี้สัปดาห์ละห้าวัน

เพียงแค่สัปดาห์แรกที่เราตกลงเป็นแฟนก็ถึงเนื้อถึงตัวกันแล้ว ตอนนั้นเรื่องเข้าโรงแรมไม่เคยมีอยู่ในหัวเพราะอะไรทำไมก็ไม่รู้ เนื่องจากแม่เราอยู่บ้านตลอดทั้งวันในวันที่ไม่มีเรียนจึงต้องพากันนั่งรถไฟไปที่บ้านของเอ อย่าถามเลยว่าต้องใช้เวลาเดินทางเท่าไหร่เพราะเราทั้งคู่มีเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้คุยกันมากมาย อาจเหลือเวลาได้อยู่ด้วยกันในบ้านแค่ไม่ถึงชั่วโมงเพราะต้องออกมารอขึ้นรถไฟขากลับตามตารางเวลา เค้าว่ารักแท้แพ้ระยะทาง ตอนเราขึ้นปีสองเอตัดสินใจสอบเข้าสถาบันเทคโนโลยีย่านสะพานพระรามเจ็ดซึ่งใกล้บ้านนั่งรถไฟแค่ต่อเดียว เราต้องนั่งรถไฟคนเดียวเหงาๆจากลาดกระบังเพื่อไปหาเอที่บ้าน เอมาส่งได้แค่หัวลำโพงเพราะกว่าจะมีรถไฟออกจากฉะเชิงเทรากลับมาก็ต้องรอถึงขบวนพรุ่งนี้เช้า       

จากวันเป็นเดือน จากเดือนเลื่อนไปเป็นปี ถึงแม้จะโทรคุยกันทุกวันตามเวลาแต่นั่นเพียงพอแล้วหรือกับการเป็นแฟน เราเฝ้าถามตัวเองแบบนั้นบนรถไฟ

....................

เอเคยมาหาช่วงแรกๆที่เพิ่งเรียนจบตัดสินใจออกมาทำงานนิคมอุตสาหกรรมแถบจังหวัดปราจีนบุรี แถวนั้นไม่มีอะไรให่ท่องเที่ยวเลยนอกจากผับบาร์ร้านอาหารแถมตอนนั้นแม่เราย้ายมาอยู่เป็นเพื่อน ถึงจะยอมให้เอนอนค้างด้วยกันที่บ้านเช่าแต่บรรยากาศก็กระอักกระอ่วนพอใช้ สรุปแม่อยู่ด้วยกันไม่กี่เดือนก็ระเห็ดกลับกรุงเทพเพราะทนความเบื่อไม่ไหว เราโทรไปบอกเอว่าตอนนี้อยู่คนเดียวแต่ได้รับคำตอบว่าเขาก็กำลังยุ่งคร่ำเคร่งกับเรื่องปริญญานิพนธ์เร่งจบการศึกษาให้ทันในเทอมนี้อยู่เหมือนกัน

B เข้ามาในช่วงนั้น จริงๆบีเข้ามานานแล้วเพราะเป็นเพื่อนร่วมคณะเรียนจบมาด้วยกันแถมยังทำงานอยู่โรงงานในนิคมเดียวกัน บีอาสาขับรถรับส่งเราจากบ้านเช่าไปโรงงานซึ่งทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้นมาก

เรารู้เห็นเรื่องที่บีชอบกินเหล้ามาตลอดเพราะถือเป็นเรื่องธรรมดาของเพื่อนผู้ชายในคณะ บีเคยบอกชอบเราครั้งนึง ทั้งที่รู้ว่าเรามีแฟนแล้วก็ยังชอบเรา แต่นั่นก็คือกำลังเมาได้ที่ทรงตัวแทบจะไม่อยู่ ไม่นึกว่าเวลาที่อยู่กับเราแค่สองคนบีก็ดื่มด้วย อย่างที่บอกว่าแถวนั้นไม่ค่อยมีอะไรจะให้ไปเที่ยวหย่อนใจนอกจากร้านอาหาร จากเบียร์ขวดเดียวเป็นสองขวดหลังๆเปลี่ยนเป็นเหล้าแบนโซดา เราเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่ดื่มเหล้าเบียร์จึงไม่คุ้นเคยอึดอัดและเบื่อหน่ายที่ต้องเสียเวลานั่งรออะไรก็ไม่รู้ พอเริ่มเมาบีคล้ายจะกล้าเริ่มพูดจาในเชิงชู้สาว เราบอกบีตรงๆว่ายังคบกับเอถึงแม้จะอยู่ห่างแต่ไม่ได้เลิก

อีกสิ่งนึงที่บีเปลี่ยนไปหลังจากดื่มจนได้ที่คือขับรถเร็วมาก ขับเร็วจนเราต้องซื้อรถขับเองอ่ะคิดดู 55

บีชวนเราขับรถเล่นไปเที่ยวแถวสัตหีบ วันนั้นจำได้โกหกเอว่ามากันหลายคนแต่ที่จริงแล้วมากันเพียงสองต่อสองกับบี ดวงอาทิตย์สีส้มกลมโตกำลังจะหล่นลงผืนทะเลน่าจะเป็นฉากภาพจำส่งท้ายวันอันงดงาม แต่เรากลับกระวนกระวาย เป็นห่วงว่าเกือบจะทุ่มนึงแล้วบียังละเลียดเหล้ากลมฉลากรูปนกเป็ดน้ำใจคอเหมือนกะจะดื่มให้หมดขวด จากสัตหีบกว่าจะกลับถึงนิคมที่ปราจีนอย่างน้อยๆก็ต้องมีสามชั่วโมง บีรับปากว่ากลับทัน ไม่อยากนึกว่ามันจะน่าหวาดเสียวขนาดไหน

เกือบสี่ทุ่มไม่ไกลจากร้านอาหารเมื่อกี๊เรานั่งโกรธไม่พูดอะไรมองแต่ไฟท้ายรถคันหน้านึกหงุดหงิดเวลาป่านนี้ทำไมรถยังติด ค่อยๆเขยื้อนทะยอยตามกันไปจนเห็นไฟแว็บๆจึงรู้ว่ามีด่านตรวจ!! ด่านตรวจแอลกอฮอล์!! เรารีบบอกบีว่ามีด่านจะกลับรถหนีก็ขยับลำบาก บีมองข้างทางเห็นป้ายโรงแรมม่านรูดรีบเลี้ยวเข้าไปทันที ส่วนเราได้แต่มึนงงผสมตกใจพูดอะไรไม่ออก

          "หนีด่านรึเปล่าครับเนี่ย กลิ่นเหล้าหึ่งขนาดนี้ขับรถได้ไง" นายตำรวจหนุ่มสองคนเดินตามมาจากด่านเพราะเห็นพิรุธผิดสังเกตุ "ขอใบอนุญาตขับขี่ด้วยครับ"
          "เปล่าครับนี่ผมมาเข้าโรงแรม กินร้านตรงหัวโค้งเนี้ยกะว่าใกล้โรงแรมแล้วนะเนี่ย"

          "เข้าโรงแรม คุณผู้หญิงก็มาเข้าโรงแรมจริงรึเปล่าครับ" นายตำรวจถามเสียงดัง
          "เอ่อ.. ค่ะ" เราพยักหน้า วินาทีนั้นรู้สึกได้ทันทีว่าตัดสินใจพลาด

การที่เราตอบตำรวจไปแบบนั้นทำให้บียิ่งย่ามใจผสมกับความมึนเมา อันที่จริงก็เป็นความผิดของเราด้วยที่ปล่อยให้เขาดื่มมากมายขนาดนั้นทั้งที่รู้ว่าต้องขับรถกลับ เรามีแฟนแล้วคือไม้ตายสุดท้ายที่เคยใช้ได้ผลแต่ไม่ใช่กับคืนนี้..

นอนไม่หลับเลยจนถึงเช้า จะขยับตัวก็กลัวบีจะตื่นเพราะยังขยาดกลัวความเจ็บแสบปวดร้าวไปทั้งเรือนร่างที่อดีตเพื่อนหนุ่มมอบให้

นึกถึงเอที่ไม่ได้โทรคุยกันก่อนนอน แต่เอก็ไม่ได้โทรมาเช่นกัน

หลังจากคืนนั้นเราโทรไปขอเลิกคบกับเอแต่ไม่บอกเรื่องบี ตัดสินใจสารภาพเรื่องนี้ตรงๆและขอให้แม่กลับมาอยู่เป็นเพื่อนเพื่อกันท่าไม่เปิดโอกาสให้โดนย่ำยีซ้ำสองอีก แม่กลับบอกให้เปิดลองใจเพราะเห็นแก่ความเจริญในหน้าที่ตำแหน่งของบี

แต่เราเกลียดกลิ่นเหล้านั่นจริงๆ มันเหมือนควันธูปที่นำพาเราย้อนกลับไปในคืนนั้นที่โรงแรมม่านรูดนั่นทุกครั้งที่มีอะไรกัน

....................

ผู้บริหารระดับสูงชาวญี่ปุ่นซึ่งถือว่าเป็นเจ้านายสายตรงของเราสมมติว่าชื่อ C บอสซีพูดน้อย ยิ้มง่าย สุภาพ ใจดี ทำงานอยูเมืองไทยกว่ายี่สิบปีจนสื่อสารภาษาไทย ถึงบางคำอาจฟังตลกๆแปร่งหูไปบ้างก็ตาม ไม่ได้เข้าข้างตัวเองแต่เราสัมผัสได้ถึงความหมายลึกๆที่ซ่อนอยู่ภายในสายตาอันอบอุ่นนั้น

ข่าวว่าบอสกำลังจะหมดวาระความรับผิดชอบในเมืองไทยและจะย้ายกลับญี่ปุ่นเป็นการถาวรสร้างความตกใจอาลัยอาวรณ์ให้พวกลูกน้องมาก โดยเฉพาะเรา จากที่แค่สัมผัสฝ่ายเดียวแต่คราวนี้เรามองตอบบ้าง ยิ้มให้ อยากให้รู้ว่าเราใจหายแค่ไหนกับการนับถอยหลังถึงวันที่จะไม่ได้พบกันอีก

"ปิ่น.." เสียงเรียกสำเนียงคุ้นหู รู้สึกว่ายิ่งใกล้วันเดินทางบอสยิ่งหาโอกาสมาป้วนเปี้ยนแถวๆที่เราอยู่ยังไงก็ไม่รู้ รู้สึกเหมือนเขามีอะไรจะพูดเราจึงตีตัวออกจากกลุ่มเพื่อนกินคนเดียวเดินคนเดียวเพื่อสร้างโอกาส เผื่อดอกพิกุลบอสซีจะร่วงให้ได้รู้เรื่องกันบ้าง อยากรู้อ่ะ

          "ปิ่น.. "
          "ขา.. "
          "ทำอะไรอยู่อ่ะ"
          "เช็คเปอร์เซนต์อีเธอรีนอยู่ค่ะ"
          "มันอันตรายนะทำไมเข้าไปใกล้ขนาดนั้น" บอสซีเตือน มองไอระเหยสีขาวจางๆลอยเอื่อยช้าขึ้นจากบิ๊กเกอร์

          "ปิ่นใส่หน้ากากค่ะบอสสิคะอันตรายหน้ากากก็ไม่ยอมใส่เข้ามา ไปคุยกันข้างนอกดีกว่าค่ะ" เราถือวิสาสะจูงมือชายรุ่นพ่อเดินออกจาแล็บ

          "ปิ่น.." บอสซีมองลอดแว่นสบตา "อีกห้าวันผมจะไปแล้วนะ"
          "ค่ะ.. เนี่ยพวกปิ่นยังคิดคอนเซพท์งานแฟร์เวลปาร์ตี้ให้บอสไม่ออกเลย ไม่รู้จะเซอไพรส์ยังไงดี"
          "เซอไพรส์ยังไง อะไร"
          "อ้าว งานนี้ต้องมีต่อมน้ำตาแตกกันบ้างสิคะบอสพวกหนูต้องเห็นบอสร้องไห้ให้ได้" เรายักคิ้ว "บอสจะได้จำพวกหนูไม่ลืมกันง่ายๆ"

          "คุณชอบผมมั้ย.."
          "หืม.. อะไรนะคะ" จริงๆเราได้ยินแล้วล่ะ
          "เอ่อ.. ผมหมายถึง คุณชอบญี่ปุ่นมั้ย"
          "ชอบสิคะ .. สมัยเรียนนะพวกปากกาดินสอปิ่นเป็นซาริโอหมดเลย ครบคอลเล็คชั่น"

          "ผมอายุห้าสิบห้าแล้ว และมีแม่ที่เป็นคนตาบอด" บอสพูดเสียงตะกุกตะกัก "ผมเคยมีภรรยาตอนวัยรุ่นแต่เสียชีวิตไปสามสิบกว่าปี"
          "ค่ะ.." รู้สึกเหมือนกำลังจะโดนบอกรักยังไงก็ไม่รู้

          "ปิ่นทำให้ผมนึกถึงเธอ กลับมาคิดถึงเธออีก ผมหนีมาเมืองไทยเพื่อที่จะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ญี่ปุ่นบ้าทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อที่จะลืม แล้วผมก็มาพบปิ่น"
          "ค่ะ.." เรายืนประสานมือก้มหน้างุดคล้ายพนักงานขายของห้างดังย่านราชประสงค์ 

          "ปิ่นกลับไปพร้อมผมได้มั้ยผมขอร้อง ชวนคุณแม่ไปด้วย บินคืนศุกร์นี้พร้อมผมเลย"

          "แต่ปิ่นมีแฟนแล้วนะคะบอส" เรารู้สึกลมขึ้นเหมือนมีก้อนอะไรติดอยู่ในคอ
          "ถ้าคุณแม่ปิ่นไปดูแล้วที่นั่นโอเค เราบินกลับมาแต่งงานกันก่อนแล้วค่อยกลับไปญี่ปุ่น" บอสพูดปร๋อกลายเป็นคล่องภาษาไทยเลยทีเดียว

          "บอสคะ ปิ่นมีแฟนแล้วค่ะ" เรายิ้มย้ำ

          "ผมขอแค่ได้พูดในสิ่งที่อยากจะพูด ถึงปิ่นแต่งงานมีครอบครัวแล้วผมก็จะพูดแบบนี้" บอสทำสีหน้าเข้ม

          "ไปคราวนี้แล้วจะไม่กลับมาอีกเลยก็ได้นะถ้าจะชวนคุณแม่อยู่ด้วยกันผมก็ยินดี อยู่ที่นั่นผมคุ้มครองคุณได้แน่นอน"
          "นี่บอสจะพาปิ่นหนีเหรอคะ" เราหัวเราแก้เขินในสมองหมุนติ้วคิดเร็วเป็นลูกข่าง

....................

เรื่องนี้เราตกลงกันว่าจะเก็บเป็นความลับที่สุดโดยเฉพาะคนที่จะให้รู้ไม่ได้เลยก็คือบี เรารู้ว่าบีเพิ่งมีปืน ถึงแม้ว่าเราไม่เคยตอบตกลงปลงใจอะไรแต่เซ็กส์ระหว่างเราสองสามครั้งล่าสุดมันอาจทำให้เขาเข้าใจแบบนั้นได้

          "ชงซะหนาขนาดนั้นเดี๋ยวก็เมาพอดี" บีหัวเราะตอนเราทำหน้าแสยะให้กับรสเหล้าที่ทั้งเฝื่อนทั้งขมฝาด 
          "ถามจริงๆนี่เธอคิดว่าจะมีวันเลิกมั้ย กินเหล้าเนี่ย"
          "เลิกเหรอ ตับแข็งไง.. หมอสั่ง"
         
          "ปิ่นขายรถไปแล้วนะ"
          "ฮะ!! ขายไปเท่าไหร่" บีวางแก้ว
          "เจ็ดแสนกว่า.."
          "รถป้ายแดงใช้ไม่ถึงเดือนเนี่ยนะเธอขายเจ็ดแสนกว่า!! แม่งแบบนี้มันขายหมูชัดๆ"
          "เออ.. ขับแล้วไม่ชอบอ่ะขายๆไปเหอะรำคาญ"
          "จ้าาา รำคาญ.. รวยดีว่ะ"

          "ร้านนี้ก็เบื่อแล้ว เอาเหล้าไปกินต่อที่โรงแรมเถอะ" เราตัดบท
          "แหม.. คืนนี้ไวไฟนะเนี่ยทุกทีเห็นเราต้องบิ้วท์เธอตั้งนาน" บีแซว "แล้วทำไมไม่ไปที่บ้านอ่ะ"
          "ไปโรงแรมน่ะดีแล้ว อยากไปโรงแรมม่านรูดเหมือนคืนนั้น"
          "โอ๊ะ.. มีฟื้นความหลังซะด้วยได้ยินแล้วคึกเลยนะเนี่ย เช็คบิลเลยดีกว่า
         
          "ถามจริงๆเหอะ ทำไมอยู่ดีๆถึงอยากกินเหล้าล่ะ" บีถาม
          "ก็เห็นเธอเมาแล้วมันส์ขนาดนั้นเราก็อยากจะมันส์บ้างสิ" เราตอบหน้าตาเฉย รู้สึกไม่อยากยกแก้วขึ้นมาจิบอีกเลย

          "อยากจัดหนักเหรอ" บียิ้มกริ่ม
          "อื้ม.. อยากจัดหนักมีเท่าไหร่จัดมา เอาแบบเดอะเบสต์ออฟเธอเลยนะ" เราหลับตาปี๋กระดกหมดแก้วทั้งจมทั้งซ่าเพราะฟองแก๊ส

....................

รถตู้หรูสีดำเงาแอบซ่อนตัวอยู่ใต้เงาต้นไม้ใหญ่ข้างประตูโรงแรมม่านรูดที่ถือว่าถ่อยสถุนที่สุดในย่านนี้ "ให้กินยานอนหลับกับเหล้าไม่ตายเหรอคับ" บอสซีเปรยถาม แม่ที่อาสากลับไปเอาพาสปอร์ตที่กรุงเทพ ทั้งสองเริ่มอึดอัดเมื่อผ่านไปเกือบชั่วโมงใกล้เวลานัดหมาย เราสูดหายใจลูบปัดแต่งผมจัดเสื้อผ้าให้เรียบเข้าที่ ทิ้งอดีตเอาไว้กับผู้ชายที่กำลังสลบสไลด้วยฤทธิ์ยานอนหลับบนเตียง ไม่มีแม้จดหมายอำลา

....................

ถึงแม้จะต้องแยกกันนั่งกับบอสเพราะจองตั๋วด่วนสายฟ้าแลบแต่ก็ยังอุ่นใจที่ได้นั่งใกล้แม่ นึกถึงบีที่ป่านนี้คงกำลังนอนหลับไหลอยู่บนเตียงด้วยฤทธิ์ยานอนหลับผสมเหล้า เขานอนหลับสนิทสีหน้ามีความสุขพึงพอใจ คือชั่วโมงสุดท้ายที่ต้องยอมรับว่าถึงพริกถึงขิง ยังนึกแปลกใจตัวเองที่สามารถสวมบทบาทนางร่านบำเรอกามหลอกล่อให้เพื่อนเก่าหมดฤิทธิ์ไม่สามารถขัดขวางแผนการเดินทางถึงสนามบินได้

แม่เดินมาสะกิดปลุกจากภวังค์ให้ตามไปห้องน้ำเมื่อเครื่องเทคตัวลอยลำแล้วสักพัก

          "จนเครื่องขึ้นมาอยู่บนฟ้าแล้วนี่ล่ะชั้นถึงได้วางใจว่าแกปลอดภัย มันไปหาปืนมาจากไหนบ้าจริงๆ" แม่ยืนกอดอกถาม
          "เดี๋ยวแม่.. ไปกันใหญ่แล้วเค้าไม่ได้จะเอามายิงหนู แถวห้องเค้ามันเปลี่ยวก็เลยมีไว้แค่นั้นเอง"

          "นี่ดีนะที่แกยืนยันว่ายังไงก็จะไม่ไปที่ห้องมัน"
          "ก็แม่นั่นแหละ เชียร์นักเชียร์หนาว่าให้หนูเปิดใจคบเค้า" เราแกล้งแขวะ
          "ก็เห็นหน้าที่การงานมันดี ใครจะไปรู้ว่ามันขับรถเร็วซะขนาดนั้นขืนปล่อยให้ตกร่องปล่องชิ้นลูกสาวชั้นคงต้องรถคว่ำตายข้างถนนสักวัน"
          "แม่จะไปแช่งเค้าทำไมเนี่ย"
         
          "แล้วนี่จะไม่มีปัญหาเหรอ" แม่ถามถอนหายใจ
          "เรื่องรูปกับคลิปหนูน่ะเหรอ"
          "มันจะไม่แค้นจัดจนปล่อยคลิปแกว่อนเน็ตแน่นะ"

          "นี่กี่โมงแล้วแม่"
          "ตีสาม ทำไม.."
          "เดี๋ยวตอนเช้าผู้กองเค้าจะเข้าประกบที่โรงแรม ตื่นมาก็เจอเลย"
          "ผู้กองไหน.."
          "ผู้กองต้อมที่สน.แถวบ้านเช่าเราไง เมื่อวานนี้หนูไปวางเงินค่าเช่าบ้านค่าน้ำค่าไฟค่าเน็ตลงบันทึกว่าหนูเจตนาจ่ายแต่มีกำหนดการต้องเดินทางด่วนจริงๆ"
          "ตำรวจนี่เค้ารับจ่ายเงินให้ด้วยเหรอ เพิ่งรู้"
          "เค้าถามว่าจะหนูไปไหนจะไปแล้วเหรอ ผ่านหน้าบ้านทุกวันยังไม่ทันได้จีบเลย"
         
          "เฮ้อ.. เบาๆบ้างเฮอะลูกเอ๊ย" แม่ส่ายหัว "นี่จะอยู่กับเค้าได้รึเปล่าก็ยังไม่รู้.."
         
          "มาคราวนี้หนูไม่กลับแล้วนะแม่"
          "ใจเย็นๆก่อน ก็ไหนว่าแค่มาดูบ้านเค้าแล้วกลับไปแต่งงาน"
          "แม่ก็อยู่กับหนูที่นี่แหละ เนอะ.. บอสเค้าว่าแต่งงานที่นี่ก็เปลี่ยนวีซ่าได้"

          "รวยจริงรึเปล่าก็ไม่รู้" แม่เปรย
          "ไม่รู้สิ รู้แต่แม่เค้าตาบอด"
          "แม่ตาบอดถ้ารวยจริงก็ไม่มีปัญหา"
          "คำก็รวยสองคำก็รวย ทำไมไม่สอนให้หนูหาผัวรวยๆตั้งแต่เด็กไปเลยล่ะส่งเรียนหนังสือทำไม"

          "อ้าว.. ก็ใครจะไปรู้ว่าแกโตมาแล้วสวยแบบนี้นี่หว่า" แม่ยิ้มหวาน

....................

 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

Flare cnx

อ้าว จะโดนหลอกไปขายหรือเปล่ายังไม่รู้เลย

Nobita Nobituta

ดูเหมือนปิ่นจะตัดสินใจง่ายไปนะ

catoon


yahoo


tantawanjames

เรื่องน่าสนใจมากรักแท้แพ้ระยะทางใครอยู่ใกล้ได้ฟาดแน่ๆ

keenam

เนื้อเรื่องน่าติดตาม คาดเดายาก เดาตอนจบไม่ถูกเลยครับ

quantize


italy77

น่าสนใจจริงๆว่าเรื่องนี้จะจบยังไง

biggiggog

เรื่องนี้มาแบบแปลกๆ น่าสนใจดี
ตามดูว่าใครจะอะไรยังไงกันต่อไป
ขอบคุณครับ

t2222t2000

น้องปิ่นนี่ลีลาใช่ย่อยเลย หลอกนายบีซะยังมีแถมส่งท้ายอีก

13igboss

ต้องลองติดตาม​ เรื่องมาแปลกดี​ ปิ่นจะโดนหลอกมั้ยเนี่ย

axolotss


devilzoa


Pra-in

A, B C จะมีถึง Z ไหมครับ แล้วระยะทางเนี่ยแพ้แค่คนแรกหรือเปล่า