กดอ่านก่อนอ่านผลงาน อาจารย์พี่นีโอ (https://xonly8.com/index.php?topic=160502)
๒. แผ่นดินใหม่"กรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้นโฉดเขลาหาสติปัญญาได้ไม่ เป็นวิสัยพระทัยปราศจากความเพียร ถ้าจะให้ดำรงฐานาศักดิ์เป็นอุปราชสำเร็จราชกิจกึ่งหนึ่ง อีกกึ่งหนึ่งก็จะเกิดวิบัติฉิบหายเสีย" เป็นพระราชโองการของสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว(พระเจ้าบรมโกศ) พระราชบิดา
อันข้อความกล่าวถึงกรมขุนอนุรักษ์มนตรีราชโอรสนี้ ตรัสเมื่อกรมหมื่นเทพพิพิธกับเจ้าพระยาอภัยราชา ผู้ว่าที่สมุหนายกและเจ้าพระยามหาเสนา และพระยาพระคลังพร้อมใจกันกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานให้เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต ขึ้นประดิษฐานที่พระมหาอุปราชเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า
แต่เจ้าน้องกรมขุนพรพินิตเห็นแก่เจ้าพี่กรมขุนอนุรักษ์มนตรี เลยกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานให้เจ้าพี่เป็นกรมพระราชวังบวรจึงจะควร
สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง เป็นพระราชบิดาของเจ้าพี่กับเจ้าน้องทั้งสองพระองค์ ก็ทรงไม่พอพระทัยในองค์เจ้าพี่ เลยตรัสบรรยายสรรพคุณอันขาดตกบกพร่องของเจ้าพี่กรมขุนอนุรักษ์มนตรีให้เป็นที่รู้ทั่วกัน
"เห็นแต่กรมขุนพรพินิต กอบด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลม สมควรจะดำรงเศวตฉัตร ครองสมบัติรักษาแผ่นดินสืบไป จึงเห็นควรพระราชทานฐานาศักดิ์ประดิษฐาน เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในที่ สมเด็จเจ้าวังหน้า" สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงตรัสกับกรมหมื่นเทพพิพิธและท้าวพระยามุขมนตรีที่เข้าเฝ้าขอพระราชทาน ซึ่งใจความชัดเจนยกย่องว่า เห็นแต่กรมขุนพรพินิต กอปรด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาด ควรจะดำรงเศวตฉัตรรักษาแผ่นดินได้ จึ่งพระราชทานฐานาศักดิ์เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล อยู่วังจันทร์เกษม อันกรมพระราชวังองค์นี้ คือเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ เดิมเมื่อมีพระครรภ์นั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระสุบินนิมิตว่า มีผู้เอาดอกมะเดื่อมาถวาย พระองค์จึ่งทรงทำนายว่า ดอกมะเดื่อเป็นของหายากในโลกนี้ เมื่อประสูติจึ่งประทานนามว่า เจ้าฟ้าอุทุมพรราชกุมาร ราษฎรเรียกเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ พระเจ้าอยู่หัวปรารถนา จะให้ครองสมบัติสืบไป จึ่งตั้งไว้ในที่กรมพระราชวังบวรสถาน-มงคล
"ไปบวชเสีย" สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมองพระพักตร์เจ้าพี่กรมขุนอนุรักษ์มนตรี แล้วตรัสดังๆ ให้ได้ยินทั่วกันทั้งเจ้านาย บรมวงศานุวงศ์ และท้าวพระยามุขมนตรีที่เฝ้าว่า
"ไปบวชเสีย อย่าให้กีดขวาง"ที่ว่าอย่าให้กีดขวาง หมายถึงอย่าอยู่เป็นก้างขวางคอ หรืออย่าอยู่ขัดขวางเจ้าน้องกรมขุนพรพินิตที่จะรับพระราชทานประดิษฐานเป็นที่กรมพระราชวังบวร มหาอุปราชสำเร็จราชกิจกึ่งพระนคร
"แต่ลูกยังมิพร้อมจะบวช ลูกยังมิได้เตรียมตัว"เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีตรัสตอบ
"แล้วถ้าพ่อไม่บอก เมื่อไหร่หล่อนจะพร้อม!!!" พระสุรเสียงดังสีหนารถตวาดจนทุกผู้ในท้องพระโรงสะดุ้ง
"ไยเสด็จพ่อกระทำการหักหาญ ประดุจหนึ่งจะเสือกไสไล่ส่งลูกไปพ้นหูพ้นตา"
"เรามิได้ขับไล่ไสส่ง เราขอสั่งให้เจ้าจงออกไปบวช แล้วจำวัดอยู่ที่วัดละมุดปากจั่น!!!"สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวตรัสด้วยพระสุรเสียงดังยิ่งกว่าเดิม
เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี มิอาจขัดพระราชโองการได้ เพราะทรงเกรงกลัวพระราชอาญา ก็ต้องจำพระทัยทูลลาไปทรงผนวชตามพระราชประสงค์ แล้วเสด็จขึ้นไปอยู่ที่วัดละมุดปากจั่น ทางย่านปากจั่นติดกับบ้านเกาะ ริมแควป่าสัก เหนือพระนครศรีอยุธยาห่างออกไปไกลทีเดียว ซึ่งตรงกับเดือน ๕ พุทธศักราช ๒๓๐๐ แต่ระหว่างที่ครองเพศบรรพชิต พระดวงจิตหาได้ฝักใฝ่ในทางธรรมไม่ ยังคงเฝ้าหาหนทางกลับมาสู่ราชบัลลังก์เสมอมา
เมื่อดาวหางพากผ่านท้องฟ้าเหนืออยุธยาธานี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประชวร ข่าวล่วงรู้ไปถึงพระกรรณ เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี ราวเดือน ๖พุทธศักราช ๒๓๐๑ เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีก็ลาผนวช เสด็จลงไปอยู่พระตำหนักสวนกระต่าย เพราะทรงรู้ข่าวว่าพระราชบิดาทรงพระประชวรหนักมาก เมื่อเข้าไปในวังหลวงแล้ว ได้เสด็จไปดูพระอาการพระราชบิดาที่พระที่นั่งทรงปืน ณ แท่นบรรทม เป็นแต่เสด็จไปแย้มฉากทอดพระเนตรสักครูหนึ่งเท่านั้น เพื่อให้แน่พระทัยว่าประชวรจริง ตามที่เจ้าอาทิตย์ผู้เป็นราชบุตรเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ วังหน้าซึ่งสิ้นพระชนษ์ไปเพราะต้องราชทัณต์เชิญเสด็จมา กรมขุนอนุรักษ์มนตรีทรงแย้มฉากทอดพระเนตรดูสักครู่หนึ่ง ก็เสด็จกลับไปยังพระตำหนักสวนกระต่ายโดยมีเจ้าอาทิตย์ตามติดไปอำนวยการ
การที่เจ้าอาทิตย์เข้าใกล้ชิดสนิทสนมถึงขนาดเชิญเสด็จเจ้าพี่กรมขุนอนุรักษ์มนตรีจากพระตำหนักสวนกระต่าย ลักลอบเข้าไปถึงพระที่นั่งทรงปืนอันเป็นที่บรรทม และใช้ประทับยามพระประชวรหนักเช่นนี้ แสดงว่าเจ้าอาทิตย์มุ่งหวังอย่างเต็มเปรี่ยมที่จะยื่มมือของเจ้าพี่และเจ้าน้องในการล้างแค้นให้พระราชบิดา
"พระแสงขรรค์ชัยศรีอยู่ในห้องบรรทมบนพระที่นั่งทรงปืนหรือเปล่า" กรมขุนอนุรักษ์มนตรีมีรับสั่งกับเจ้าอาทิตย์ผู้เป็นหลานอา เมื่อกลับถึงพระตำหนักสวนกระต่ายในวังหลวง
"ไม่ได้สังเกตเลยท่านอา" เจ้าอาทิตย์มีอาการตกใจ "หม่อมฉันกลับไปดูใหม่ไหมล่ะ"
"ไม่ต้องก็ได้" ท่านอาของเจ้าอาทิตย์รับสั่งบอกเบาๆ
"ท่านอาจะใช้งานหรือ" เจ้าอาทิตย์สงสัย เลยไต่ถามอย่างคร้ามกลัว
"ยังไม่ใช้วันนี้ แต่ต้องใช้วันหน้า ต้องใช้พระแสงขรรค์ชัยศรี" เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีตรัสพึมพำเบาๆ ให้เจ้าอาทิตย์ผู้เป็นหลานอาได้ยินแค่อยู่ด้วยกันสองคน
"ใช้ดาบอื่นได้ไหมท่านอา"
"ดาบอื่นใช้การไม่ได้ ต้องใช้พระแสงขรรค์ชัยศรีเท่านั้น"
พระแสงขรรค์ชัยศรี ทำจากเหล็กสกุลสูง ที่มีสายแร่เหล็กกับแหล่งถลุงอยู่ทางทิวเขาพนมดงเร็ก หมายถึงทิวเขาไม้คาน ที่ขนานไปกับลำน้ำมูลลงแม่น้ำโขง แหล่งถลุงเหล็กสกุลสูงจะอยู่ตามที่ดอนสูงเชิงพนม มีพวกเขมรสูงหรือขะแมร์เลอเป็นช่างถลุงกับช่างตีเหล็กถวายพระเจ้าแผ่นดิน แล้วกษัตริย์เมืองพระนครหลวงศรียโสธรปุระเอาไปถลุง แล้วตีขึ้นเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ของพระราชามหากษัตริย์เท่านั้น ต่อมาได้ทำขึ้นองค์หนึ่งพระราชทานให้พ่อขุนผาเมืองกมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์แห่งกรุงศรีสัชนาลัยสุโขทัยเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว
ครั้นพ่อขุนผาเมือง วงศ์ศรีสัชนาลัยสุโขทัยลงมาเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยาศรีรามเทพ ก็อัญเชิญดาบพระราชทานจากพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรียโสธรพระนครหลวงมาประดิษฐานบนพระแท่นเบื้องขวา เป็นพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ ขณะประทับนั่งว่าราชการหรือบรรทมทุกทิวาราตรีกาล ส่วนพระเจ้าแผ่นดินกรุงสุโขทัยองค์ต่อๆ มา ได้จำลองพระแสงขรรค์ชัยศรีไว้เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจอาญาสิทธิ์ ดังมีบอกไว้ในศิลาจารึกวัดป่ามะม่วงของพญาลิไท
พระขรรค์เป็นนามศัสตราวุธชนิดหนึ่งอันเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ มีลักษณะเป็นอย่างหอกด้ามสั้นสำหรับใช้ต่อสู้เมื่อเข้าประชิดตัวถึงตะลุมบอนกัน จะใช้ฟันหรือแทงก็ได้
ขรรค์ มีรากจากคำบาลีว่า ขัคคะ ส่วนสันสกฤตว่า ขัฑคะ หมายถึงกระบี่ หรือมีดขนาดใหญ่ แต่จะมีรูปลักษณะอย่างไรแล้วแต่ความนิยมในท้องถิ่นต่างๆ เช่น นางกาลีอันเป็นปางดุร้ายปางหนึ่งของพระอุมาเทวีก็ทรงขรรค์ มีรูปเป็นมีดโต้อย่างที่ชาวอินเดียใต้ใช้ฟันคอแพะเพื่อบูชายัญ
ดาบแห่งอำนาจสูงสุดคือพระแสงขรรค์ชัยศรีแล้วมีดาบชั้นรองเป็นลำดับๆ ไปอีกจำนวนหนึ่ง เรียกพระแสงต่างๆ กัน เช่น พระแสงกระบี่, พระแสงง้าว, ฯลฯ แต่พระแสงขรรค์ชัยศรีเป็นดาบแห่งอำนาจสูงสุด
ใครมีดาบ คนนั้นมีอำนาจ
ใครถือดาบ คนนั้นถืออำนาจ
แต่ ใครชักดาบออกจากฝัก คนนั้นบ้าอำนาจ"หม่อมไปเชิญพระแสงองค์นี้มาถวายเดี๋ยวนี้เลยดีไหม" เจ้าอาทิตย์ประจบ
"ถ้าไปเชิญจริงๆ ยังไม่ทันออกมา คอก็ขาดแล้ว" กรมขุนอนุรักษ์มนตรีมีรับสั่งเครียดๆ เคร่งๆ ขรึมๆ จนเจ้าอาทิตย์ไม่กล้าพูดอะไรอีก เลยไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงอึกทึกครึกโครมของความเงียบนั้น
ห้องบรรทมที่ประทับของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ภายในตำหนักพระที่นั่งทรงปืน
"เสด็จมากันแล้วพะย่ะค่ะ" มหาดเล็กสองคนเข้ามาหมอบกราบ กรมพระราชวังบวรฯแล้วกราบทูลกันเบาๆ
"กรมหมื่นเทพพิพิธ(เจ้าแขก) กรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้าปาน) กรมหมื่นสุนทรเทพ(เจ้ารถ) กรมหมื่นเสพภักดี(เจ้ามังคุด)"กรมพระราชวังบวรฯมิได้ตรัสอย่างหนึ่งอย่างใด คงนิ่งอยู่อย่างนั้น
นอกจาก เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ วังหน้าเดิมที่สวรรคต เจ้าฟ้าเอกทัศ และเจ้าฟ้าอุทุมพรวังหน้าพระมหาอุปราชเป็นพระราชโอรสแล้ว สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงยังมีพระราชโอรสที่เกิดแต่พระสนมอื่นๆอีกหลายพระองค์ที่สำคัญคือ กรมหมื่นเทพพิพิธ กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี โดยกรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี จับกลุ่มรวมตัวกันเหนียวแน่น จนพระญาติพระวงศ์และชาวพระนครเรียกขานกันว่า
'เจ้าสามกรม'เจ้ากรมทั้งสี่เข้ามาประทับนั่งบนตั่งที่เตรียมไว้ให้ตามลำดับ ซึ่งภายในพระที่นั่งทรงปืนนั้นยังมีเจ้าฟ้าพระกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์( เจ้าพระกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ ) ซึ่งอยู่ในเพศบรรพชิต เจ้าฟ้าพระฯทรงมีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้านเรนทร เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระที่ประสูติแต่สมเด็จพระอัครมเหสี พระองค์มีพระอนุชา ๒ พระองค์ ได้แก่ เจ้าฟ้าอภัยและเจ้าฟ้าปรเมศร์ แต่ถูกสำเร็จโทษในศึกชิงราชสมบัติเมื่อต้นรัชกาล
เจ้าฟ้าพระฯนั้นมีพระราชประวัติอยู่ว่า
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ(เจ้าฟ้าพร-สมเด็จพระบรมราชาที่๓) ทรงเป็นพระอนุชาของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ(เจ้าฟ้าเพชร-สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๙ )และทั้งสองพระองค์เป็นพระราชโอรสของ'พระเจ้าเสือ'เป็นหลานปู่ของ'พระเพทราชา' ปฐมกบัตริย์แห่งราชวงค์'บ้านพลูหลวง' โดยเมื่อครั้งพระเจ้าเสือสมเด็จพระบิดาของเจ้าฟ้าเพชร-เจ้าฟ้าพร ได้สวรรคตลงนั้น'เจ้าฟ้าเพชร'(พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ)ได้ขึ้นเสวยราชย์สมบัติจึงโปรดให้'เจ้าฟ้าพร'พระอนุชา เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล(วังหน้า)และมีข้อตกลงว่า เมื่อสิ้นแผ่นดินพระเจ้าท้ายสระ กรมพระราชวังบวร(เจ้าฟ้าพร)จะเสวยราชย์สมบัติสืบต่อจากพระเจ้าท้ายสระ
ปลายรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระเกิดเปลี่ยนพระทัย จะมอบราชสมบัติให้พระราชโอรสพระองค์ใหญ่คือเจ้าฟ้านเรนทร(มีเจ้าฟ้าอภัยเป็นพระราชโอรสองค์ที่๒.และ.เจ้าฟ้าปรเมศร์ เป็นพระราชโอรสองค์ที่๓.)แต่เจ้าฟ้านเรนทรไม่ทรงเห็นชอบด้วยเนื่องจากพระมหาอุปราช(เจ้าฟ้าพร)ก็ยังคงมีพระชนม์อยู่และทรงดำรงตำแหน่งที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล สมควรมอบราชสมบัติตามข้อตกลงเดิม พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระไม่ยินยอม เจ้าฟ้านเรนทรจึงออกผนวช สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระจึงยกราชสมบัติให้เจ้าฟ้าอภัยโอรสองค์ที่๒.สืบราชสันตติวงศ์ต่อ แต่สมเด็จพระมหาอุปราชไม่ทรงยินยอมโดยทรงยืนยันว่าหากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระประสงค์จะให้พระราชโอรสของพระองค์สืบต่อราชสมบัติแห่งกรุงศรีอยุธยาสมควรที่จะเป็น "เจ้าฟ้านเรนทร" พระราชโอรสองค์ใหญ่ที่ทรงผนวชอยู่เท่านั้น
ฝ่ายเจ้าฟ้ากรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ไม่ยอม ก็หาลาพระผนวชออกมาไม่
"เจ้าฟ้านเรนทร"ทรงตัดสินพระทัยไม่ยอมเป็นกษัตริย์และไม่ยอมลาสิกขาบท
ขณะที่ยังไม่มีข้อยุติและสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระทรงพระประชวรหนัก "เจ้าฟ้าอภัย"และ"เจ้าฟ้าปรเมศร์"และขุนนางฝ่ายวังหลวงที่เกรงจะสูญเสียอำนาจได้จัดเตรียมกองทัพตั้งค่ายไว้หน้าวังเพื่อเตรียมที่จะรบกับกรมพระราชวังบวรฯ(เจ้าฟ้าพร)เหตุการณ์ในครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับกรมพระราชวังบวรฯเป็นอย่างมากจึงนำไปสู่การเปิดศึกกลางเมืองระหว่างวังหน้า(อา)และวังหลวง(หลาน) ขึ้น ฝ่ายวังหลวง(หลาน)มีพระธนบุรีเป็นแม่ทัพผู้มีความสามารถรบชนะแม่ทัพฝ่ายวังหน้า(อา)มาหลายคน ทัพวังหน้าระส่ำระสายอย่างหนักโดยกรมพระราชวังบวรฯแม่ทัพฝ่ายวังหน้า(อา)ก็เตรียมที่จะหลบหนีเพราะคิดว่าสู้ทัพฝ่ายวังหลวง(หลาน)ไม่ได้
ขณะนั้นขุนชำนาญชาญณรงค์ทหารคนสนิทของ
'เจ้าฟ้าพร'(วังหน้า)ได้อาสาออกรบกับพระธนบุรีแม่ทัพผู้เก่งกาจของฝ่ายวังหลวงและแจ้งแก่วังหน้าว่า..
'...หากข้าพระพุทธเจ้าพ่ายแพ้ถึงตอนนั้นจะหนีก็ยังไม่สาย...'ขุนชำนาญฯยอดนักรบของฝ่ายวังหน้าถือดาบสองมือขึ้นม้านำทหารออกรบกับพระธนบุรี พระธนบุรีก็หาเกรงกลัวไม่ จึงชักม้ามารบกับขุนชำนาญฯ รุกรบต่อตีกันเป็นสามารถท้ายที่สุดขุนชำนาญฯใช้ดาบสองมือฟันพระธนบุรีตายบนหลังม้า ฝ่ายทหารฝ่ายวังหน้าได้ใจจึงโห่ร้องต่อตีทัพวังหลวงที่กำลังเสียขวัญแตกพ่ายไปจนทุกทิศทาง 'เจ้าฟ้าพร'(วังหน้า)จึงเป็นฝ่ายชนะและเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หลังจากนั้นพระองค์มีพระราชดำรัสให้นำตัวเจ้าฟ้าอภัยและเจ้าฟ้าปรเมศร์ไปสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ตามโบราณราชประเพณี
ลุศักราชได้ ๑๐๙๖ ปีฉลู เบญจศก ณ เดือน ๕ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงกระทำการพิธีปราบดาภิเศก ณ พระที่นั่งวิมานรัตยาในพระราชวังบวรสถานฝ่ายหน้านั้นสืบต่อไป
'...จึงทรงพระกรุณาโปรดให้ขุนชำนาญชาญณรงค์เป็นเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ว่าที่โกษาธิบดีหลวงจ่าแสนยากรเป็นเจ้าพระยาอภัยมนตรี ว่าที่จักรี(สมุหนายก)พระยาราชภักดีผู้ว่าที่ สมุหนายกเดิมนั้นว่าที่สมุหกลาโหมแล้วโปรดเกล้าให้พระพันวัสสาใหญ่เป็นกรมหลวงอภัยนุชิต ให้พระพันวัสสาน้อยเป็นกรมหลวงพิพิธมนตรี......'ส่วนเจ้าฟ้านเรนทรพระราชโอรสของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระที่มิยอมลาสิกขามาเป็นกษัตริย์นั้นดำรงเพศบรรพชิตตลอดมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงทรงสถาปนาให้ทรงกรมที่
กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์(เจ้าพระฯ)ในปีพ.ศ. ๒๒๗๘พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศขณะทำการปฏิสังขรณ์พระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาทซึ่งเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรม ในปีนั้นก็ทรงพระประชวร ฝ่ายเจ้าพระฯซึ่งทรงผนวชอยู่ ณ วัดยอดเกาะนั้นก็เสด็จเข้ามาจำพรรษา ณ วัดโคกแสงภายในพระนครและเข้าไปเยี่ยมเยือนสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินอันทรงพระประชวรอยู่ ณ พระราชวังหน้านั้นเนืองๆ เนื่องจากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแม้เป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วก็ยังประทับอยู่ที่วังหน้ามิได้ย้ายไปวังหลวง
และจากการสนิทชิดใกล้จนเกินพอดี ทำให้เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร(สมเด็จพระเจ้าลูกเธอกรมขุนเสนาพิทักษ์)ผู้เป็นกำลังสำคัญในการศึกชิงบัลลังค์ของพระพุทธเจ้าอยู่หัว(บรมโกศ)เกิดความระแวงว่าเสด็จพ่อพระพุทธเจ้าอยู่หัว(บรมโกศ)จะยกพระราชบัลลังค์ให้เจ้าพระฯ จึงทรงวางแผนตรัสใช้ให้พระองค์เจ้าชื่น พระองค์เจ้าเกิดซึ่งเป็นพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ออกไปทูลลวงเจ้าพระฯว่ามีพระราชโองการให้นิมนต์เข้าไปในพระราชวังหน้าในเพลาราตรี เจ้าพระฯสำคัญว่าจริงก็เสด็จเข้าไปในพระราชวังขึ้นไปบนหน้าพระชัย เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรแอบพระทวารคอยอยู่เอาพระแสงดาบฟันเอาเจ้าพระฯหาเข้าไม่เพราะมีวิชาการดี ถูกแต่ผ้าจีวรขาด เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรกลัวพระราชอาญาวิ่งเข้าไปข้างในตำหนักพระราชมารดา
ฝ่ายเจ้าพระฯก็เสด็จเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวฯ ๆได้ทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสถามว่า
"เหตุไฉนผ้าจีวรของพระคุณท่านจึงขาด"
เจ้าพระฯถวายพระพรว่า "เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร หล่อนหยอก"
ครั้นเจ้าพระฯถวายพระพรลากลับออกมาแล้ว พระพันวัสสาใหญ่กรมหลวงอภัยนุชิต(พระราชมารดาของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร)จึงเสด็จมาอ้อนวอนร้องขอความช่วยเหลือว่า
"เจ้ากุ้งหล่อนกระทำการไปด้วยความเขลา ถ้าพ่อมิช่วยเหลือก็เห็นจะไม่พ้นโทษตายเป็นมั่นคง"เจ้าพระฯจึงตรัสว่า
"จะช่วยได้ก็แต่ร่มกาสาวพัสต์อันเป็นธงชัยพระอรหันต์" กรมหลวงอภัยนุชิตได้พระสติจึงเสด็จกลับเข้าไปแล้วพาเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรราชโอรสขึ้นซ่อนในพระวอทรงพระวอเดียวกันออกจากทางประตูฉนวนวัดโคกแสง ให้ไปบวชเป็นพระภิกษุอยู่ ณ วัด(เจ้าพระฯ)นั้น พระพุทธเจ้าอยู่หัว(บรมโกศ)ทรงพระพิโรธเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรเป็นอันมากดำรัสให้ค้นหาตัวในพระราชวังมิได้พบได้แต่พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าชื่นพระองค์เจ้าเกิด ซึ่งร่วมคิดกันนั้น ดำรัสสั่งให้เอาไปสำเร็จโทษเสียด้วยท่อนจันทน์ ดับสูญทั้งสองพระองค์
แม้จะถูกเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรลอบประทุษร้ายหมายให้ตายทั้งครองจีวร แต่เจ้าฟ้าพระฯหาได้อาฆาตไม่ การบวชครั้งนี้เจ้าพระฯก็ทรงช่วยอนุเคราะห์อย่างสุดกำลัง โดยเป็นพระอุปัชฌาย์ถวายการทรงผนวชให้ด้วย จึงทำให้เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรมีพระชนม์ชีพอยู่รอดปลอดภัยมาได้ อันเป็นผลดีอย่างยิ่งในงานวรรณกรรมปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาเพราะเป็นพื้นฐานให้เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทรงใช้เวลาในระหว่างบวชเรียนอยู่กับเจ้าพระฯ ทำการศึกษาเล่าเรียนจนทรงแตกฉานวิชาการประพันธ์ ดังปรากฏอยู่ในผลงาน กาพย์แห่เรือ กาพห์ห่อโคลง ทำนองนิราศประพาสธารทองแดงและธารอโศกที่พระพุทธบาทสระบุรี
เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรต้องบวชอยู่ ๕-๖พรรษา จนถึงจ.ศ. ๑๑๐๓หรือ พ.ศ. ๒๒๘๔ พระราชโกษาบ้านวัดระฆังได้กราบทูลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศขอให้แต่งตั้งเจ้าฟ้าธรรมธิเบศ'เป็นกรมพระราชวังฯ เมื่อปรึกษาบรรดาเสนาบดีแล้วไม่มีใครคัดค้านพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก็โปรดให้เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร(กรมขุนเสนาพิทักษ์)เป็นเจ้าวังหน้ากรมพระราชวังบวรสถานมงคลดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราช
เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรรอดโทษประหารเมื่อครั้งกรณีเจ้าพระฯมาครั้งหนึ่ง จนได้ดำรงฐานาศักดิ์อุปราชโดยประเพณีแล้ว ก็น่าจะได้สถาปนาเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อจากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แต่ชะตาชีวิตของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรก็ไม่ถึงราชบัลลังก์ไม่สามารถเป็นพระมหากษัตริย์ได้ เพราะต้องมารับราชทัณฑ์จากการกระทำชู้กับพระสนมจนสวรรคตอย่างอนาจ
เจ้าฟ้าพระกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ ทรงประทับนั่งอยู่บนตั่งด้านมุกพระตำหนัก ณ พระแท่นบรรทมร่างของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง พ่ออยู่หัวของทุกชีวิตในกรุงศรีอยุธยานอนทอดกายกระปลดกระเปลี้ยด้วยพระโรคชรา พระพลานามัยเสื่อมทรุด หลังแพทย์หลวงถวายพระโอสถ พระพุทธเจ้าหลวงก็พยายามปรือพระเนตรที่ฝ้าฟางลางเลือนมองหาบรรดาพระโอรสที่มีรับสั่งให้เข้าเฝ้า
"มากันพร้อมหน้ากันแล้วรึ?" พระสุรเสียงแหบโหยของเจ้าชีวิตแห่งอยุธยานครตรัสถามลอยๆ
กรมพระราชวังบวรฯ(เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ) ทรงเสด็จดำเนินจากตั่งที่ประทับมากราบบังคมทูลข้างแท่นพระบรรทม
"มากันพร้อมหน้าแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ"
"บอกให้เข้ามาใกล้ๆทุกคน"
สมเด็จเจ้าชีวิตที่สามารถสั่งเป็นสั่งตายได้ทุกชีวิตในแผ่นดินเพลานี้พระพลานามัยอ่อนแอมีพระบัณฑูรแหบพล่า
"ครบทุกคนที่พระองค์ทรงเรียกหาพระพุทธเจ้าค่ะ"กรมพระราชวังบวรฯ(เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ)ตรัสตอบพระบัณทูร
"ดีๆ เจ้าแขก" ทรงพระบัณทูรเรียกหากรมหมื่นเทพพิพิธ
"พระพุทธเจ้าค่ะ" เจ้าแขกถวายบังคมตามรับสั่ง
"เจ้าปาน"ทรงพระบัณทูร เรียกหากรมหมื่นจิตรสุนทร
"พระพุทธเจ้าค่ะ" เจ้าปานถวายบังคมตามรับสั่งเช่นกัน
"เจ้ารถ" ทรงพระบัณทูรเรียงลำดับราวต้องการให้แน่พระทัย
"พระพุทธเจ้าค่ะ" กรมหมื่นสุนทรเทพถวายบังคมตามรับสั่ง
"เจ้ามังคุด" ทรงพระบัณทูรเรียกเทพกรมหมื่นเสพภักดีเป็นสุดท้าย
"พระพุทธเจ้าค่ะ"
พระพุทธเจ้าหลวงทรงนิ่งเงียบไปพักใหญ่ และพยายามจะเปล่งพระสุรเสียงออกมาอีกครั้ง
"เจ้าแขก เจ้าปาน เจ้ารถ เจ้ามังคุด เจ้าทั้งสี่จงให้สัตย์ปฏิญาณต่อเรา ผู้เป็นบิดาของเจ้า แลกำลังจะตาย...."พระสุรเสียงแหบพล่าขาดห้วงไปอีกครั้ง ก่อนที่พระพุทธเจ้าหลวงจะมีพระบัณทูรขึ้นมาอีก
"พวกเจ้าทั้งสี่ จงให้สัจจะวาจา จะซื่อสัตย์ จงรักภัคดีต่อ ท่านวังหน้า องค์พระมหาอุปราช..."จากพระบัณฑูรทำให้เจ้าทรงกรมทั้งสี่ชะงัก ทรงหันไปสบพระเนตรราวปรึกษาความกันทางสายพระเนตร ท่าทางของเจ้าทรงกรมทั้งสี่อึดอัดในพระหฤทัยยิ่งนัก เนื่องจากความจริงภายในพระอุระนั้นหาได้ปรารถนาจะยกย่องเจ้าวังหน้าปัจจุบัน แต่ชั่วอึดใจหนึ่ง กรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้ารถ)ก็ทรงถอนพระทัยขยับเข้ามาถวายบังคมข้างพระแท่นบรรทม
"ข้าพระพุทธเจ้า กรมหมื่นจิตรสุนทร ขอให้สัจจะวาจา จะซื่อสัตย์ จงรักภัคดี ต่อ กรมพระราชวังบวรมงคลสถาน ฤาเจ้าฟ้าอุทุมพร จะไม่คิดคดการอันใดให้เป็นเสี้ยนหนามสืบไปในภายหน้า หากผิดสัจจะวาจาที่ให้ไว้ ขอให้ตายตกด้วยคมหอกคมดาบในสามวัน อย่าได้ทันในสามเดือน อย่าได้เคลื่อนในสามปี หาได้มีสุขสวัสดิ์อยู่ใต้เศวตฉัตรอยุธยาเทอญ..."เมื่อกรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้ารถ)ให้สัจจะวาจา บรรดาเจ้ากรมที่เหลือทั้งสามพร้อมพระทัยให้สัจวาจาเช่นเดียวกัน ตามลำดับจนครบองค์ ฝ่ายสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงหลับพระเนตรรับฟังโดยไม่ใครล่วงรู้พระทัยว่าทรงได้เชื่อถือสัจจะวาจานั่นหรือไม่ กรมพระราชวังบวรฯ(เจ้าฟ้าอุทุมพร) ทรงทอดพระเนตรบรรดาเจ้าพี่ทรงกรมทั้งหลายที่ให้สัจจะวาจาแล้วทรงทอดถอนพระทัย เนื่องจากทรงรู้สึกว่าถูกบังคับพระทัยในการกล่าวสัจจะวาจาทุกพระองค์ แต่พอสบายพระทัยได้ที่เจ้าต่างกรมทั้งหลายต่างให้สัจจะวาจาไว้ คงจะยึดถือได้เพราะเป็นศักดิ์เป็นศรีแห่งขัตติยะกษัตริย์ที่จะกล่าวลอยๆมิได้-------
เมื่อฟังเจ้ากรมทั้งสี่ถวายสัจจะวาจาเสร็จสิ้น สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงยื่นพระหัตถ์เปะปะไปทางพระมหาอุปราช ซึ่งพระมหาอุปราชทรงยื่นสองกรเข้าโอบรับพระหัตถ์นำมาประดิษฐานไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงลูบพระเกศามหาอุปราชอย่างอ่อนโยน บรรดาเจ้ากรมทั้งสี่ทอดพระเนตรก็ให้ขัดเคือง แต่เก็บความขุ่นข้องไว้ในพระหทัย ในห้วงใกล้ถึงกาลดับขันณ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปรือพระเนตรสอดส่ายไปยัง เจ้าฟ้าพระกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ ซึ่งเจ้าพระฯก็พอเข้าพระทัยในเจตนา
เจ้าฟ้าพระกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ ขยับจากตั่งที่ประทับ ดำเนินมาข้างพระแท่นอย่างสำรวม
"มหาบพิทร ปรารถนารับสั่งอันใดกับอาตมาภาพรึ?"
พระพุทธเจ้าหลวงทรงพนมกรอย่างลำบาก และมีพระบัณทูรด้วยน้ำเสียงแหบโหย
"โยม..ขอฝากเจ้าพระ..ช่วยดูแล..พ่อดอกมะเดื่อ...ด้วยนะ..."
"มหาบพิทรวางใจเถิด อาตมาภาพจะดูแล ตักเตือน อบรม พ่อดอกมะเดื่อให้ยึดมั่นในธรรมราชา"
"โยมได้ฟังเจ้าพระ รับปาก ก็วางใจ..."
ประดุจเฮือกสุดท้ายของเรี่ยวแรงจากพระวรกาย สิ้นเสียงพระบัณทูร พระพุทธเจ้าหลวงก็ทรงหลับพระเนตรนิ่งไป
กรมพระราชวังบวรฯ(เจ้าฟ้าอุทุมพร)ทรงโอบพระหัตถ์เกาะกุมเอาแนบแน่น ข้างกรมหมื่นเทพพิพิธ(เจ้าแขก)ทอดพระเนตรแล้วสะท้อนพระทัยด้วยอาลัยรักเสด็จพระบิดา ทว่าเจ้าทรงกรมอีกสามหาได้มีจิตเป็นกุศลไม่ ทั้งสามพระองค์มองอาการของกรมพระราชวังบวรฯ(เจ้าฟ้าอุทุมพร) อย่างมิจฉาทิฐิ ประจบประแจงเก่งฉกาจเยี่ยงนี้เอง จึงได้รั้งตำแหน่งพระมหาอุปราช หากสิ้นบุญพระพุทธเจ้าขุนหลวงแล้วไซร้ คงเคว้งคว้างราวเรือลำน้อยล่องลอยในมหานทีกว้าง
เพลานั้นบรรดาพระสนมเอก สนมรอง เจ้าจอม หม่อมห้าม นั่งตั่งแวดล้อมด้วยขุนนาง ข้าทาส บริวารต่างเป็นทุกข์อื้ออึงด้วยเสียงสะอื้นร่ำไห้ ด้วยรักอาลัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ผู้ประหนึ่งเป็นดั่งร่มโพธิร่มไทรอันผาสุขให้พึ่งพิงอาศัยกำลังประชวรซึ่งพระอาการหนักหนาจนเกินบรรเทา บรรดาเจ้าทรงกรมที่แวดล้อมเข้าเฝ้าก็มิมีทีท่าจะปรองดอง หากสิ้นพ่ออยู่หัวแล้วไซร้ แผ่นดินอยุธยาคงจะวุ่นวายไม่ต่างจากทุกครั้งที่เปลี่ยนรัชกาล
ภายนอกตำหนักพระที่นั่งทรงปืน เวรยามล้อมวังทำหน้าที่แข็งขัน นายขนมต้มและเจ้าแมงเม่าในชุดทหารสีน้ำหมากสะพายดาบคู่กลางหลังเดินกระย่องกระแย่งลาดตระเวนรอบๆพระตำหนัก หน้าที่ทั้งสองคือคอยสอดส่องมิให้คนนอกล่วงล้ำเข้ามาโดยมิได้รับอนุญาติ และตรวจค้นบุคคลต้องสงสัยที่มาด้อมๆมองๆนอกรั้วพระที่นั่งแห่งนี้ ขณะที่คนอื่นๆก็จุกช่องล้อมวังไปตามหน้าที่
นายขนมต้มและเจ้าแมงเม่าเดินกระเพรกๆมานั่งพักข้างๆพุ่มไม้ตรงหน้าบันไดทางขึ้นตำหนักก่ออิฐถือปูนสีขาว
นายขนมต้มถอดรองเท้าหนังออกมาสำรวจหลังเท้าที่เป็นแผลพุพอง
"อู๊ย...เกือกกัดตีนข้าเสียเจ็บแสบไปหมด ไม่ใส่ได้ไหม?" บ่นพร้อมกับลูบคลำหลังเท้า
เจ้าแมงเม่าก็มีอาการไม่ต่างกัน "เจออะไรๆหนักหนามาก็มาก ไม่เคยหนักเท่าถูกเกือกกัดตีนมาก่อน แสบจริงๆ"
"อ้ายสองคนนั้น มานั่งทำอันใดกันตรงนี้" ขุนรองปลัดชูในชุดเต็มยศสวมหมวกทรงประพาสส่องไต้ไฟเดินเข้ามา
"ดิฉันมานั่งพักจ๊ะ ท่านครู เกือกหนังกัดตีนดิฉันระบมไปหมด เดินจะไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ" นายขนมต้มบอกสาเหตุ
"เฮ้ย!! อ้ายนี่ ห้ามเรียกท่านครู เรียกข้าท่านขุนรองปลัดชู ตอนนี้เราเข้าประจำการอยู่นะ" ขุนรองปลัดชูดุมา "แล้วก็พูดจาให้มันเข้มแข็งสมเป็นทหารหน่อย ต้องแทนตัวว่าเกล้ากระผม ลงท้ายด้วยขอรับ มันถึงจะฟังดูเหมือนเป็นทหารล้อมวังอารักขาพ่ออยู่หัวหน่อย จำใส่กบาลกันไว้นะ"
"เจ้าค่ะ!!" ทั้งสองรับคำ
"ข้าสั่งยังไม่ทันจบประโยค พวกเอ็งก็เจ้าค่ะอีกแล้ว"
"ขอรับเจ้าค่ะ"
"อย่ามากวนประสาทน่า สถานการณ์ยิ่งคับขันอยู่ แล้วมีอะไรผิดปรกติวิสัยบ้างไหม?"
"ไม่มีเจ้าค่ะ เอ้ย! ขอรับ ท่านครูเ อ้ย! ท่านขุนรองปลัดชู ที่มีก็พวกเราสองคนนี่แหล่ะ" เจ้าแมงเม่ารายงาน
"พวกเอ็งมีอะไรผิดปรกติ"
"เกือกกัดตีนเราไง ไม่ใส่ได้ไหม?"
"ไม่ได้!!!" ขุนรองปลัดชูค้านเสียงแข็ง "เราเป็นกองทหารล้อมวัง เดินตีนเปล่าให้ใครเห็นจะเสื่อมเสียพระเกียรติไปถึงเจ้านายของเราได้ ยิ่งเจ้านายของเราเป็นถึงอุปราช ก็ยิ่งต้องแต่งกายให้สมกับพระอิสริยยศและพระราชอิสริยศักดิ์ อดทนเอาหน่อย ฝึกหนักกว่านี้ยังรอดพ้นมาได้ สำมะหาอะไรกะอีแค่เกือกกัดเท้า"
ทั้งสองมองที่เท้าของขุนรองปลัดชู ซึ่งเห็นเดินตีนเปล่าอยู่ก็ขมวดคิ้วสงสัย
"เกือกของท่านครู เอ้ย...ท่านขุนรองปลัดชูไปไหนเจ้า..เอ้ย..ขอรับ" นายขนมต้มถาม
"ชายชาตรี ยืดได้หดได้ ข้าถอดเหน็บชายพกไว้ ไม่ได้ใส่นานกัดตีนข้าระบมเหมือนกัน"
"แล้วมิเกรงเสื่อมเสียพระอิสริยยศและพระราชอิสริยศักดิ์ เจ้านายรึขอรับ?"
"ก็เพลาออกต่อหน้าธารกำนันค่อยใส่ก็ได้ เอ็งก็ต้องรู้ทางหนีที่ไล่บ้าง"
เมื่อฟังคำแนะนำ ทหารล้อมวังใหม่ทั้งสองก็เอาเกือกหนังมาเหน็บชายพกบ้าง
"ก็น่าจะแนะนำกันบ้าง ปล่อยเราสองคนหลังตีนระบมอยู่ได้" เจ้าแมงเม่าเอ่ยเย้ามา
"ใช่ เดินสบายกว่ากันเยอะ" นายขนมต้มเห็นด้วย
นายขนมต้มมองไปบนพระตำหนัก ประตูเปิดออกพร้อมๆกับบุรุษสูงศักดิ์แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์พรรณชั้นเจ้าเดินเรียงแถวออกมาสี่คน ทุกคนตัดผมทรงมหาดไทย ไว้หนวดหนาดกดำ สามคนแรกดูท่าทางราวกับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอะไรบางอย่างออกมาด้วยท่าทีเหลืออดเหลือทน ส่วนคนเดินรั้งท้ายท่าทางอายุมากที่สุด ท่วงท่าดูสุขุมน่าเลื่อมใส ทั้งสี่ตรงไปที่ศาลาลูกขุนในตรงประตูเข้าพระตำหนัก เสลี่ยงงา เสลี่ยงกลีบบัว ล้วนสลักลายวิจิตรมาจอดรับทีละคนพาออกไปทางประตู แต่ละคนมีบ่าวไพร่ถือเครื่องยศเช่น เชี่ยงหมากทอง พัดโบกทอง พานทอง กระบี่ กั้นหยั้น กระโถน ฯลฯตามแหนหลายสิบคน ระหว่างทั้งสี่ก้าวพ้นธรณีประตูออกมา ขุนรองปลัดชูกดร่างของศิษย์ทั้งสองให้นั่งลงและหมอบกราบ
"พระบรมวงศานุวงศ์มาเข้าเฝ้าหรือขอรับ?" นายขนมต้มเอ่ยถามเมื่อขบวนแหนออกจากบริเวณพระตำหนักไป
ขุนรองปลัดชูมองตามแล้วส่ายหน้า "ใช่"
"ใครหรือขอรับ?"
"สามพระองค์หน้า คือเจ้ากรมทั้งสาม เจ้าปาน เจ้ารถ และเจ้ามังคุด ส่วนองค์รั้งท้าย เจ้าแขก"
"เจ้าสามกรมที่ว่าพิพาทกับเจ้าฟ้าอุทุมพร เจ้านายของเรานั่นรึขอรับ?"
"อื่อ..." ขุนรองปลัดชูพยักหน้าให้ "พี่น้องกันแท้ๆ จะชิงดีชิงเด่นให้ข้าแผ่นดินเดือดร้อนทำไมหนา"
"จะชิงดีชิงเด่นกันเยี่ยงไร พี่น้องพระสายโลหิตเดียวกัน คงตกลงกันได้แหล่ะหนา"
"ตกลงกันได้ก็ดีไป แต่ข้ากลัวจะตกลงกันไม่ได้หน่ะสิ"ขุนรองปลัดชูพูดอย่างหนักใจ
"แล้วถ้าตกลงกันมิได้ จะเกิดเหตุอันใดขึ้นหรือขอรับ?"
"..........." ขุนรองปลัดชูถอนหายใจเฮือก และไม่กล้า ตอบเพราะผลัดแผ่นดินคราใด เลือดนองแผ่นดินทุกคราไป
ประตูพระตำหนักเปิดออก ผู้ก้าวออกมาคราวนี้คือกรมพระราชวังบวรมงคลสถาน(เจ้าฟ้าอุทุมพร) ทั้งสามรีบคุกเข่าถวายบังคมทันที นายขนมต้มให้สุดแสนจะประหม่า ได้เข้าเฝ้าครั้งแรกมิล่วงรู้ว่าพระองค์ท่านเป็นใค รก็เข้าใจไปตามประสาว่าเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่ง พอล่วงรู้ว่าเป็นพระมหาอุปราชเสด็จไปรับกองอาทมาฎที่ตนสังกัดด้วยพระองค์เอง เขาก็แสนจะปลื้มปิติเป็นล้นพ้น กรมพระราชวังบวรมงคลสถาน(เจ้าฟ้าอุทุมพร)ทรงมีพระพักตร์เรียบเฉย
เมื่อทอดพระเนตรมาที่ทั้งสามซึ่งหมอบกราบอยู่ก็มีพระบัณทูรว่า
"เรายังไม่กลับ จะอยู่โยงเฝ้าเสด็จพ่อจนรุ่ง คืนนี้ลำบากพวกเจ้าต้องอยู่เวรเฝ้า หากเหนื่อยล้าก็ผลัดเวรกันนะ"
พระบัณฑูรเปรี่ยมด้วยพระกรุณาเอ่ยมาช่างชุ่มชื่นหัวใจผู้รับฟัง
ขุนรองปลัดชูรีบสนองพระบัณฑูรทันที "หามิได้เป็นการลำบากอันใดพระพุทธเจ้าค่ะ อาทมาฎทุกชีวิต ยินดีน้อมถวายตามพระราชประสงค์ด้วยความเต็มใจพระพุทธเจ้าค่ะ"
กรมพระราชวังบวรมงคลสถาน(เจ้าฟ้าอุทุมพร)ทรงแย้มพระสรวญบางๆที่มุมพระโอษฐ์ แต่แล้วเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรไปที่นอกชานพระตำหนัก เห็นเงาตะคุ่มๆอยู่ที่ช่องพระแกล(หน้าต่าง) ก็ทรงมีพระพักตร์เคร่งเครียด เงาร่างนั้นแง้มพระวิสูทร(ม่าน)ออกลอบมองเข้าไปในห้องบรรทมของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงที่ทรงนอนประชวรอยู่
สามทหารเสือกองอาทมาฎขยับกายลุกขึ้นพร้อมเตรียมชักดาบคู่เข้าจัดการผู้บุกรุก แต่เมื่อมหาดเล็กที่ติดตามออกมาส่องไต้ไฟให้แสงสว่างฉายเห็นชัด กรมพระราชวังบวรมงคลสถาน(เจ้าฟ้าอุทุมพร) ทรงยกพระหัตถ์ห้ามไว้ เงาร่างนั้นคือเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เจ้าฟ้าเอกทัศ) พระองค์ลอบมาดูอาการประชวร เนื่องจากทรงลาเพศบรรพชิตมาโดยพละการ จึงมิกล้าแสดงพระองค์ด้วยเกรงราชทัณฑ์ เมื่อการมาของพระองค์ถูกพบเห็น พระองค์จึงเสด็จกลับไปในทันที
กรมพระราชวังบวรมงคลสถาน(เจ้าฟ้าอุทุมพร)ทรงทอดพระเนตรตามจนร่างนั้นหายไปกับความมืด พระองค์ก็เสด็จกลับเข้าพระตำหนัก ขุนรองปลัดชู มองตามด้วยสายตาเห็นใจ เพราะเขาเองก็พอรู้ตื้นลึกหนาบางของทั้งสองพระองค์ การมาปรากฏพระองค์ของ
เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เจ้าฟ้าเอกทัศ) บอกรหัสเป็นนัยๆว่า จะมาทวงสิทธิ์ในพระราชบัลลังก์ตามศักดิ์ของพระองค์ ที่นิ่งเฉยเพราะสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงยังทรงพระชนษ์ชีพอยู่
"มาเองเชียวนะ ไม่ต้องมีใครไปอันเชิญ อำนาจนี่มันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ"ขุนรองปลัดชูเอ่ยขึ้น
"เมื่อครู่นี่ใครหรือท่านครู เอ้ย..ท่านขุนรองปลัดชู?" นายขนมต้มเอ่ยถาม
"เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีหรือเจ้าฟ้าเอกทัศ พระเชษฐาของเจ้านายเรา""ข่าวว่าพระองค์ทรงผนวชอยู่มิใช่รึ?"
"ก็ทรงรีบลาผนวชมาเองหน่ะสิ คงหมายใจมาร่วมแย่งนั่งราชบัลลังค์ด้วย"
"แล้วจะมาแย่งทำไม พระองค์เองถูกสมเด็จขุนหลวงรับสั่งให้ผนวชเพื่อมิให้กีดขวางเจ้านายของเรานี่"
เจ้าแมงเม่าถามตามความที่ตนเองทราบมา
"ก็คอยดูไปก็แล้วกัน ว่าจะวุ่นวายขนาดไหน"ขุนรองปลัดชูสรุป
ตำหนักศาลาลวดเจ้าทรงกรมทั้งสี่พระองค์เสด็จมาถึงภายในก็พากันทรงออกพระอาการพิโรธดั่งเพลิงกัลป์ โดยเฉพาะเจ้าสามกรมที่ขบพระทนต์บ้าง ออกพระอาการส่งเสียงเอะอะเป็นการประท้วงหรือแสดงความ ไม่พอใจอย่างชัดเจน เว้นแต่กรมหมื่นเทพพิพิธ ทรงมีพระพักตร์เรียบเฉย ไม่แสดงท่าทีแข็งกร้าวดั่งเจ้าทรงกรมพระองค์อื่นๆ
"สัจจะวาจานะสัจจะวาจา...ไม่รู้ว่าขุนหลวงท่านทรงคิดเยี่ยงไรจึงให้เราถวายสัจจะวาจา นึกถึงเพลานั้นแล้ว มันช่างน่าเจ็บใจจริงๆ"กรมหมื่นสุนทรเทพ(เจ้ารถ)ตรัสขึ้นอย่างขุ่นพระทัย
"ขุนหลวงใยหักหาญน้ำใจให้พวกเรากล่าวสัจจะวาจาเยี่ยงนั้น ทั้งๆที่พระองค์ก็ทรงรู้ ว่าเราหามีความเต็มใจที่จะกล่าวสัจจะวาจานั่น" ตรัสแล้วก็ออกอาการเต้นแร้งเต้นกาตามวิสัยเอาแต่พระทัย "แล้วดูพระอาการของกรมพระราชวังบวรฯ ดูตอนเธอทำสีหน้าเพลาที่เรากล่าวสัจจะวาจา เธอทำสีหน้ายินดีปรีดานัก ยิ้มเยาะพอพระทัยที่เห็นพวกเรายอมทำตามที่ขุนหลวงร้องขอ เธอคงสะใจที่เอาคนใกล้ตายมาบีบบังคับให้เราต้องกล่าวสัจจะวาจาเยี่ยงนั้นออกไป เธอคงหวังว่าเราจะทำตามและซื่อตรงดังที่กล่าวสัจจะวาจาเช่นนั้นหรือ คิดแล้วให้คับแค้นแน่นอุรา เจ็บใจโว้ย!!! เจ็บใจจริงๆ""เจ้ารถ เบาหน่อยสิเธอ ตะเบ็งเสียงออกไป มิเกรงใครจะได้ยินดอกรึ?" กรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้าปาน)ตรัสเตือน
แต่กรมหมื่นสุนทรเทพ(เจ้ารถ) หาได้สดับรับฟังไม่ กลับทวีพระสุรเสียงดังขึ้นกว่าเดิม
"จะเกรงอันใดอีกเล่า เจ้าพี่ปาน อยากจะมาจับน้องไปลงโทษก็เข้ามาสิ น้องไม่กลัวดอก"กรมหมื่นเสพภักดี(เจ้ามังคุด) ส่ายพระพักตร์ พลางตรัสเตือนขึ้นอีกพระองค์"เจ้ารถ เบาเสียงลงเถิด แหกปากตะโกนให้มันได้อันใดขึ้นมา เราก็มีความรู้สึกไม่ต่างกับเธอดอก เราเองก็ฝืนใจถวายสัจจะวาจาเช่นกัน แลขุนหลวงพระองค์ท่านก็ทรงทราบว่าเรามิได้จริงใจในการกล่าวสัจจะวาจา อดใจรอหน่อยเถิดหนา ไม่ถึงทีเราบ้างก็แล้วไป"
"เธอควรสงบปากสงบคำบ้าง คนรักชอบพอกรมพระราชวังบวรฯก็มีไม่น้อย หากมีกาคาบข่าวไปแจ้งว่าพวกเรามีประพฤติเป็นกบฏเสียก่อน การที่เราเตรียมไว้ก็จะเสีย เข้าใจนะ"กรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้าปาน)เข้าโอบไหล่เจ้ารถหรือกรมหมื่นสุนทรเทพเพื่อปลอบประโลมให้พระทัยคลายพิโรธ
"เจ้าพี่แขกมีความเห็นว่ากระไร?" กรมหมื่นจิตรสุนทรผินพระพักตร์ไปถาม กรมหมื่นเทพพิพิธ ที่ประทับนิ่งเฉย
"เราเองก็รู้ว่าสัจจะวาจาที่กล่าวไปนั้น ขุนหลวงแลเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อมิทรงเชื่อถือน้ำคำพวกเราดอก"
"เช่นนั้นเรามารอดูกันไป" กรมหมื่นจิตรสุนทรมีพระพักตร์เคร่งเครียดขึ้น "เพราะฉันคิดว่า ท่านเจ้าพระคุณขุนหลวงคงจะเสด็จประทับอยู่ได้ไม่เกิน ๒ – ๓ ราตรีนี้ดอก"
แสงจันทร์ฉายส่องสว่างเหนือท้องฟ้าอยุธยามหาธานีค่อยๆถูกเมฆดำเข้าบดบัง ยอดปราสาท ราชวัง วัดวาอารามต่างๆที่เคยสะท้อนแสงเรืองรองระยิบระยับตาหมองเศร้าลงไปราวเงาร้ายได้เข้าครอบงำ ประหนึ่งเป็นดั่งคำเตือนของพิบัตภัยที่กำลังจะกร้ำกรายเข้ามาถึงในไม่ช้า ไม่มีใครคิดถึงหรือเฉลียวใจเลยว่า เวลาอวสานราชธานีใกล้เข้ามาทุกที เพราะมัวแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเข่นฆ่าทำลายกันเอง ไม่ใช่ลิขิตจากฟ้า แต่เป็นคนต่างหากที่ลิขิตชะตาสูญสิ้นกันเองครั้นแสงเงินแสงทองทาทาบโค้งขอบฟ้าอยุธยามหานครในวันใหม่ ระยิบพริบพราวสดใสทาบทายอดปราสาท ราชวังตลอดจนวัดวาอารามดูงดงามจำเริญตา อากาศยามเช้าแจ่มใสไร้เมฆหมอกปกคลุม แต่ท่ามกลางความสดใสของวันใหม่ที่มาเยือน ได้เกิดข่าวที่นำมาซึ่งความโศกเศร้าแก่ทุกชีวิตในแผ่นดินทองแห่งนี้ เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงอันเป็นที่รักและเทิดทูลยิ่งของพสกนิกรได้จากไปไม่หวนคืน
"สวรรคตแล้ว...." เจ้านายพระบรมวงศานุวงศ์บอกกันปากต่อปากตกทอดถึงขุนนางอำมาตยาธิบดีที่หมอบเฝ้าในวัง
"พระพุทธเจ้าหลวงสวรรคตแล้ว" เป็นเสียงละล่ำละลักสะอึกสะอื้นบอกต่อๆ กันไปในวังหลวง, วังหน้า, วังหลัง, และวังเจ้านายอื่นๆ ซึ่งหมายถึงสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงศรีอยุธยาเสด็จสวรรคต และเชื้อสายของพระองค์แบ่งแยกเป็นกลุ่มใหญ่ๆสองกลุ่ม ต่างฝ่ายต่างส้องสุมกำลังไว้เป็นจำนวนมาก ขุนนางเองก็แบ่งแยกเป็นสองฝ่ายตามแต่จะสนับสนุนใคร กลุ่มแรกเป็นกลุ่มของกรมพระราชวังบวรมงคล(เจ้าฟ้าอุทุมพร) ประกอบด้วยกรมขุนอนุรักษ์มนตรี(สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์) เจ้าพระยาอภัยราชา พระยากลาโหม พระยาพระคลังและขุนนางชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากเพราะเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง กลุ่มนี้มีกองบัญชาการที่ตำหนักสวนกระต่าย ของกรมพระราชวังบวรฯ
กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มของเจ้าสามกรมประกอบด้วยกรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้าปาน) กรมหมื่นสุนทรเทพ(เจ้ารถ) กรมหมื่นเสพภักดี(เจ้ามังคุด) ตั้งกองบัญชาการที่ตำหนักศาลาลวด ทั้งสามกรมส้องสุมผู้คนไว้เงียบๆอยู่ก่อนแล้ว ส่วนกรมหมื่นเทพพิพิธ(เจ้าแขก)ยังทรงวางตัวเป็นกลาง
อยุธยายศยิ่งฟ้ามาแต่กาลก่อน ดังมีโคลงพระราชนิพนธ์บนสมุดข่อยอยู่ในหอหลวงว่า
๏ อยุธยายศยิ่งฟ้า ลงดิน................. แลฤๅ
อำนาจบุญเพรงพระ........................ก่อเกื้อ
เจดีย์ลอออินทร...............................ปราสาท
ในทาบทองแล้วเนื้อ........................นอกโสม ฯ
นับแต่นี้สืบไปเบื้องหน้า เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงสวรรคตแล้ว อยุธยา ยศยิ่งฟ้า ฤายศจะดิ่งลงดิน และลงต่อไปถึงไหนต่อไหน ไม่อาจล่วงรู้ได้เลย
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสวรรคตเมื่อ เดือน ๖ แรม ๕ ค่ำ ปีขาล สัมฤทธิศกเวลา ๕ โมงเย็น
จุลศักราชที่ ๑๑๒๐ พุทธศักราช ๒๓๐๑
ทำละครหลังข่าวได้เลยครับ รายละเอียดแน่นปึ้กเลย บทบรรยายและตลกแทรกก็พอเหมาะ ขอบคุณครับ
ตามตรงนะครับ เริ่มกดอ่านที่ตอนนี้เลย เริ่มแรกก็ยังไม่อะไรมาก แต่เมื่ออ่านๆไป
ก็ทึ่งกับเนื้อเรื่องคำประพันธ์มากครับ เนื้อเรื่องแทบจะเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์ให้ชวนติดตามยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเมื่อไม่ได้เริ่มอ่านจากตอนแรกและยังไม่ได้อ่านตอนต่อไป
ก็ยังให้ความเห็นอะไรมากไม่ได้ เพียงแต่ตั้งความหวังไว้ว่า
จะเป็นเรื่องของ "นายขนมต้ม" น่ะครับ ขอบคุณมากนะครับ