ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

หัวใจรักที่ปิดตาย (5)

เริ่มโดย twintower, เมษายน 28, 2017, 11:33:25 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

twintower

**** จากผู้เขียน****

ตอนนี้ไม่มีบทเสียวนะครับ  คือตอนแรกเขียนให้มีบทสวาทกับไฮโซสาวต่อ  แต่มานั่งอ่านทวนแล้วก็แก้ไขครับ  ในตอนที่ 5 นี้ บอกไว้ก่อนครับ ว่าจะบอกถึงความเป็นมาของยูพอสมควรแต่ยังไม่หมดเท่าที่ควรครับและเปิดตัวนางเอกแล้วนะครับจะได้ไม่ต้องคาดเดากันต่อไป  และขอบอกว่าแต่งตอนจบไว้แล้วนะครับ  ไม่มีการเปลี่ยนแน่นอน เรื่องนี้ยังแปลกใจตัวเองว่าทำไมเขียนบทจบก่อนส่วนที่เหลือคือเนื้อหาที่จะเชื่อมไปถึงตอนจบครับ ส่วนเรื่องเลือกที่จะรักกับคนที่ถูกรักนั้น  แต่งจบไปนานแล้วครับ  แต่ที่ไม่เอามาลงเพราะดูแล้วเนื้อหาเรียบไปนิดเลยขอแต่งเพิ่มส่วนขยายบอกใบ้คร่าวๆ  คือหักมุมในเนื่้อหาส่วนขยายเล็กน้อยครับ  แต่ขอเวลาอีกพอสมควรครับ

ขอบคุณครับ

**** Twin Tower****


จนช่วงเช้าทั้งคู่ได้ระเริงรักส่งท้ายกันอย่างเต็มที่ ก่อนที่แฮ็คจะไปส่งยูที่สนามบิน  เพราะเธอนั้นอยากพักผ่อนต่ออีก3-4 วัน ยูนั้นนั่งเครื่องบินเที่ยวเกือบเที่ยงกลับและพอมาถึงสนามบิน  ชายหนุ่มที่มีเพียงกระเป๋าสะพายใบเดียวกำลังยืนคิดว่าจะนั่งแท็กซี่กลับบ้านหรือนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้าน ก็รู้สึกเจ็บที่แขนเพราะถูกหยิกทำให้ยูร้องออกมาด้วยความตกใจและหันไปเจอร่างงามที่อยู่ในเครื่องแบบแอร์โฮสเตสที่ยืนอยู่ โดยมีกลุ่มเพื่อนๆของเธอที่ยืนดูอยู่ไม่ห่างนัก

"เฮ้ยเจ็บนะโว้ยไอ้ริน"

ชายหนุ่มพูดมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังเท่าไหร่  รินจึงตอบว่า

"นี่ยังน้อยไปโว้ย  ชั้นจำได้วันนั้นที่เยอรมันแกเรียกชั้นว่าป้า"

"อะไรวะ  คนแก่ความจำแม่น"

"อ้าวไอ้นี่กวนตลอด"

แล้วบรรดาเพื่อนๆของรินที่มองมาโดยหลายๆคนได้มองยูเป็นด้วยความสนใจเป็นพิเศษได้ขอตัวแยกย้ายเพราะดูแล้วรินคงคุยกับยูอีกนานทำให้ยูได้ถามเพื่อนไปว่า

"อ้าวบินในประเทศหรือไงถึงเลิกเร็ว"

"ใช่บินไฟท์เช้า  พึ่งกลับจากภูเก็ต  แล้วแกมาจากไหนนี่"

"เมื่อวานมีประชุมกับกงสุลที่เชียงใหม่"

"อ้าวแล้วไหงกลับวันนี้ละ"

ยูนั้นตอบไม่ตรงซะทีเดียวโดยตอบเพื่อนไปว่า

"ขี้เกียจ  แม่กับป้าไปทำบุญที่ระยองไงกลับวันนี้เหมือนกัน  ไม่มีใครอยู่เลยนอนเล่นที่เชียงใหม่คืนหนึ่งก่อนกลับ"

"แล้วแกจะกลับยังไงนี่ หรือกำลังจะเดินไปที่ลานจอดรถ"

"เปล่าไม่ได้เอารถมา  กำลังคิดอยู่ว่าจะกลับเหมือนขามาดีไหม นั่งแอร์พอร์ตลิ้งก์แล้วไปต่อรถใต้ดินแล้วให้คนขับมารับ  เพราะไม่อยากกลับแท็กซี่พวกมันเรื่องมาก"

"แล้วคุณอากลับกี่โมง"

"แม่คงมาถึงตอนเย็นๆมั้ง"

"งั้นแกไปกินปอเปี๊ยะสดที่บ้านก่อนดีกว่าแม่กับเอิ้นทำ  อ็อดมาจากตาคลีด้วยอีกอย่างทั้งพ่อกับแม่บ่นถึงแก หายหัวไปเลย"

"ไอ้เอิ้นทำปอเปี๊ยะ"

ยูพูดแล้วทำหน้างงๆ

"เค้าช่วยแม่หั่นผักหั่นหมู"

"อ้อแล้วไป"

"นี่แล้วแกจะไปไหม เมื่อยนะโว้ย"

"ไปสิ จะไปเล่นกับพีนัสด้วย"

รินหัวเราะออกมาเพราะรู้ว่าลูกชายนั้นติดอายูอย่างมากตั้งแต่ที่ ยูพาครอบครัวเธอไปเที่ยวสเปนเมื่อปีก่อน ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปที่อาคารจอดรถ  และที่บ้านของครอบครัวรินที่เป็นบ้านของพ่อสามี  ชายหนุ่มวัยเดียวกับยูที่มีบุคลิกท่าทางที่ดีเดินลงบันไดพร้อมคุยโทรศัพท์ ก่อนจะเลี้ยวมาที่ห้องนั่งเล่น  และพบบุตรชายวัย5ขวบเศษๆกำลังนั่งเล่นตัวต่อกับผู้เป็นอาอยู่ โดยมีปู่นั่งดูอยู่ไม่ห่างนัก ชายหนุ่มจึงทักไปที่น้องสาวฝาแฝดว่า

"แม่อยู่ในครัวหรือเปล่าเอิ้น"

"อยู่นะอ็อด ทำไมหรือ"

"รินโทรมาบอกว่าพาไอ้ยูมาด้วยเลยจะไปบอกแม่ให้เตรียมปอเปี๊ยะเพิ่มอีกที่"

ผู้เป็นพ่อที่นั่งมองดูหลานชายอยู่ได้เงยหน้าถามบุตรชายว่า

"อ้าวยูมาด้วยแล้วไปเจอกับรินได้ไง"

"ยังบอกไม่ละเอียดครับพ่อเห็นบอกว่าลงจากเครื่องแล้วเจอมันที่สนามบินเลยลากมันมาด้วย"

ทำเอาน้องสาวหัวเราะก่อนพูดมาว่า

"แล้วไม่ตีกันตายบนรถหรือนี่คู่นี้ ไอ้ยูมันชอบกวนโอ๊ยรินแต่ไหนแต่ไรแล้ว"

"เห็นรินบอกว่าให้เอารถมูลนิธิมารอรับเลย"

แล้วเด็กน้อยที่นั่งฟังอยู่ได้ถามผู้เป็นพ่อว่า

"อายูจะมาหรือครับพ่อ"

"ใช่ครับมากับคุณแม่ "

"เย้ อายูมา"

แต่บุตรสาวได้บอกกับผู้เป็นพ่อว่า


"เดี๋ยวตรีมันจะพาพี่สาวมาเชิญพ่อไปเป็นประธานในงานแต่งด้วยนี่คะ"

"โอ๊ยอีกชั่วโมงกว่าๆ  และอีกอย่างยูก็คนบ้านเราไม่ต้องไปคิดอะไร มันก็หลานพ่อคนหนึ่งใครจะมาก็มา ยูก็นั่งกินในห้องอาหาร"

ท่านอดีตรองปลัดกระทรวงกล่าวขึ้นอย่างอารมณ์ดี และรู้ว่าตนเองนั้นมีเรื่องอยากจะคุยกับบุตรชายของเพื่อนสนิทที่ล่วงลับไปแล้วหลายเรื่อง อ็อดได้เดินเข้าไปในครัวเพื่อจะไปบอกผู้เป็นแม่  และไม่นานนักทุกคนได้ยินเสียงรถเลี้ยวเข้ามาในบ้านเอิ้นได้ชะโงกหน้าไปดู  แล้วบอกว่า

"เออรินให้แขกขับรถมาให้ด้วย"

เพราะสิ่งที่เธอเห็นนั้นยูก้าวลงมาจากฝั่งคนขับส่วนเจ้าของรถเดินลงจากอีกฝั่ง  รินเดินลากกระเป๋าเข้ามาบ้านตามด้วยยูที่เดินตามเข้ามา  ซึ่งลูกชายรีบวิ่งไปหาทันทีหลังจากเข้าไปกอดมารดาแล้ว  พีนัสได้หันไปหายูโดยยูอุ้มเด็กน้อยเข้ามาในห้องนั่งเล่นก่อนจะวางลงแล้วหันไปไหว้ผู้เป็นลุง  ก่อนจะทักเพื่อนที่นั่งมองอยู่และอ็อดกับผู้เป็นแม่ได้เดินออกมาเพราะได้ยินเสียง ยูเดินเข้าไปกอดมารดาของเพื่อนก่อนจะพยักหน้าให้กับเพื่อนสนิทแล้วถามไปว่า

"ไม่เข้าเวรหรือไง"

"เข้าอะไรบ่อยๆวะ"

อ็อดตอบเพื่อด้วยใบหน้ายิ้มๆ แต่ตนเองนั้นสังเกตเห็นแววตาของเพื่อนนั้นยังดูเศร้าๆอยู่ทั้งๆที่ใบหน้านั้นยิ้มแย้ม ก่อนจะชวนกันไปที่ห้องอาหาร เพราะแม่บ้านกำลังยกปอเปี๊ยะสดตามมา ยูนั้นนั่งข้างๆเอิ้นที่นั่งต่อจากผู้เป็นแม่ส่วนอ็อดกับภรรยานั้นนั่งฝั่งตรงข้ามโดยที่หัวโต๊ะนั้นท่านอดีตรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศนั่ง ซึ่งหลังจากที่นั่งฟังผู้เป็นป้าบ่นหลานชายที่หายหน้าไปร่วม 2เดือนจบ จึงพูดมาว่า


"แล้วไปเชียงใหม่ไปเที่ยวหรือไงยู"

ชายหนุ่มตอบว่าไปทำงานและเหมือนกับที่บอกรินเมื่อครู่นี้ อดีตรองปลัดกระทรวงได้ถามต่อไปว่า

"ยูลุงได้ข่าวว่าสร้างผลงานชิ้นโบว์แดงหรือลูก  ทำเอาฮือฮาทั้งกระทรวง"

ผู้เป็นป้าเสริมขึ้นทันที  เพราะเธอเป็นถึงอดีตภรรยาทูตไทยและรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศทำให้รู้ความเป็นมาต่างๆได้ดี พูดเสริมมาว่า

"ใช่แล้วยู  ป้าอยากรู้ถามลุง  ลุงก็บอกให้ถามยูเอง ป้าโทรหาแม่ของยู  แม่เค้าก็บอกว่าไม่รู้รายละเอียดมากนัก"

ชายหนุ่มยิ้มออกมาเล็กน้อย พร้อมนึกไปถึงงานที่ตนเองทำที่สเปน ซึ่งยูได้รับคำชมอย่างมาก จากทั้งปลัดกระทรวงและตัวรัฐมนตรีเองที่เชิญยูไปพบเพื่อกล่าวขอบคุณเป็นการส่วนตัว  ทำเอาหัวหน้าของยูได้หน้าไปด้วย  ถึงแม้จะเป็นงานที่ยูทำแบบปิดทองหลังพระก็ตามที  ชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังทั้งหมดโดยทุกคนตั้งใจฟังอย่างดี  พอยูเล่าให้ฟังจนจบ  เอิ้นมองหน้าเพื่อนพร้อมอุทานด้วยความตกใจว่า

"หมายความว่าแก  เอาธุรกิจของแด้ดเข้าไปเสี่ยงด้วย"

"ก็คิดไม่ทันนี่หว่าจะเอาเรื่องอะไรไปต่อรอง  เพราะไม่มีเวลาหาข้อมูลเวลามันก็บีบแต่เหมือนโชคช่วย เพราะรายชื่อมันสะดุดตาเลยกลายเป็นเรื่องง่าย"

"แล้วแด้ดว่าไงมั่ง"

คราวนี้นาวาอากาศตรีหนุ่มของกองทัพอากาศถามเพื่อนที่นั่งตรงข้าม

"ก็ไม่ว่าไง  ยกอำนาจให้ตัดสินใจแต่แรกแล้วนี่"

อดีตปลัดกระทรวงนั่งใคร่ครวญ  พร้อมดูหน้าหลานชายที่ตนเองรู้ประวัติความเป็นมาอย่างดีกับและรู้ถึงเหตุผลเป็นอย่างดีว่าทำไมยูนั้นถึงไม่อยากไปประจำที่สถานทูตในต่างประเทศ  แค่ยูแจ้งความประสงค์ออกมา บรรดาลูกน้องเก่าของพ่อยูหรือบารมีของตนเองที่ยังมีอยู่ทำไมจะช่วยไม่ได้  แต่ยูนั้นรู้ดีว่าถ้าไปประจำประเทศในทวีปยุโรป อาจจะทำความลำบากใจให้กับทูตไทยในประเทศนั้นๆได้ เพราะอิทธิพลและบารมีของโรแบร์โต้นั้นมันเข้าไปถึงการเมืองในประเทศนั้นๆ ถึงจะไปอยู่ในทวีปอื่น ยูก็ไม่อยากไปเพราะเป็นห่วงมารดาและพ่อทูนหัว  ถ้าพ่อหรือมัมยังมีชีวิตอยู่มันก็ไม่แน่  แต่นี่ทั้งคู่ได้จากไปแล้ว ทำให้ยูอยากดูแลทั้งพ่อทูนหัวและมารดาให้ได้มากที่สุด 

ผู้เป็นลุงรู้ดีว่ายูนั้นเหนื่อยขนาดไหนแต่เจ้าตัวไม่เคยพูดออกมา  เพราะทุก 2เดือนยูจะเดินทางไปสเปนเพื่อไปเยี่ยมโรแบร์โต้ และจะพักที่นั่น 1คืนและเดินทางกลับมาทำงานต่อทันที ใครบ้างจะไม่ล้าแต่ยูไม่เคยปริปากบ่นไหนจะงานที่แบ่งเวลาทำ 2 หน้าที่ทั้งงานประจำ   ทั้งงานที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลจากทางพ่อทูนหัวซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านยูนั้นทำดีได้มาก จนผู้ใหญ่หลายคนในกระทรวงโทรมาชมให้ตนเองฟัง  พร้อมทั้งทำนายว่าอนาคตของยูไปไกลแน่นอน  และได้คิดในใจว่า

"ยูโตขึ้นมากแล้วนะ" 

แต่ไม่พูดออกมาได้แต่นั่งฟังหลานชายตอบคำถามของทุกคน  ซึ่งยูนั้นอธิบายได้อย่างละเอียดจนทุกคนเข้าใจเลยได้พูดต่อไปว่า

"งั้นก็โอเค  ธวัชชัยก็ตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกยูมา แต่ก็ร้ายจริงๆนะ ใช้ควันซิการ์ช่วย"

"แทบเมานะครับลุง กลั้นแทบแย่"

ผู้เป็นลุงหัวเราะก่อนถามไปถึงพ่อทูนหัวยูตอบว่าสบายดี  และบอกไปว่าแด้ดถามถึงทุกคน รวมถึงพีนัสเพราะอยากให้ไปเที่ยวอีก  ทำเอาเด็กชายหูผึ่ง  เพราะรู้ว่าปู่โรแบร์โต้นั้นใจดี  แถมเป็นฝรั่งที่พูดภาษาไทยได้ชัดพร้อมกับความสะดวกสบายที่มีให้ทุกอย่างยิ่งพอยูถามว่าอยากไปอีกหรือไม่ พีนัสพยักหน้าทันที เพราะจำได้ว่าอายูพานั่งคอปเตอร์ชมเมืองรวมถึงพาขี่ม้า แถมทั้งขาไปและขากลับนั่งเครื่องบินส่วนตัวกลับซึ่งสร้างความประทับใจให้กับเด็กน้อยอย่างมาก  ไม่ถึงรวมของเล่นนานาชนิดที่อยู่ในห้องของเล่นที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้อย่างมาก แถมขากลับได้รถไฟติดมือมาอีก 1 กล่อง  พร้อมรถถังบังคับวิทยุ1คัน ยูได้จึงพูดไปว่า

"เห็นไหมครับ  พีนัสไปกับอายูพีนัสได้ลองขับเครื่องบินด้วยกัปตันให้พีนัสขับตั้งนาน  ไปกับพ่ออ็อดได้แค่นั่งเครื่องบินจอดบนพื้นดินไม่ได้ขับจริงๆ"

แต่เด็กน้อยเหลือบไปมองผู้เป็นพ่อก่อนตอบอาไปว่า

"แต่พ่อขับ F-16 ตีลังกาม้วนไปม้วนมาได้นะครับ"

ยูยิ้มกว้างออกมาแล้วตอบไปว่า

"แต่เครื่องบินของอายู พี่นัสได้เล่นเกมส์เพลย์ด้วยใช่ไหมครับ จะดูการ์ตูนก็มีให้ดู  แถมมีโซฟาร์ให้นอนด้วย ของกินก็เพียบเลย    เครื่องบินที่พ่ออ็อดขับไม่มีแบบนี้ แคบๆก็แคบ"

ซึ่งทุกคนดูออกว่าพีนัสนั้นคิดหนักเพราะกำลังเปรียบเทียบกันอยู่ เอิ้นจึงทุบที่แขนเพื่อนเบาๆก่อนบอกไปว่า

"ไอ้บ้า ทำเอาหลานเครียดอีกแล้ว  พี่นัสอย่าไปฟังอายูลูก "

รินนั้นเสริมขึ้นมาทันเพราะรู้ว่ายูนั้นเจตนาจะแหย่สามี

"อย่างที่อาเอิ้นบอกลูก  อย่าไปฟังอายู อายูเพี้ยน"

อ็อดนั้นไม่สนใจเท่าไหร่  เพราะรู้ว่าเพื่อนแหย่แต่ได้ถามยูไปว่า

"แล้วตอนนี้ไปถึงไหนแล้วนี้  เรียนไปกี่ช.ม.บินแล้ว"

"ไม่คืบหน้า  แค่ 20 ช.ม.เหมือนเดิม  สงสัยต้องลางานไปเรียนจริงๆจังๆแล้ว"

ทุกคนนั้นรู้ว่ายูกำลังเรียนขับเครื่องบินอยู่ อาจจะเป็นเพราะเหตุผลที่มีเครื่องบินส่วนตัวทำให้ชายหนุ่มสนใจขึ้นมา ซึ่งยูได้เล่าต่อว่าแด้ดตัดสินใจที่จะซื้อกิจการจากบริษัทที่ทำธุรกิจเครื่องบินส่วนตัวในเร็วๆนี้  พร้อมบอกไปยังเพื่อนว่า

"สนใจไหมละ  ต้องรับนักบินเพิ่มอีกเพราะบ็อบกับแด้ดจะซื้อเพิ่มอีก 2 เครื่องด้วย เงินเดือนดีนะว้อย  ไม่รวมสวัสดิการอีก"

นักบินหนุ่มรีบส่ายหัวทันที  ทำเอาผู้เป็นแม่ที่นั่งฟังถามมาว่า

"อ้าวทำไมละลูก  ไปทำกับเพื่อนดีออกจะตาย"

"ไม่ละครับแม่ รับรองมันโขกสับอ็อดได้ตามใจชอบแน่นอน มันรอมานาน  ขับ F-16 สบายใจกว่าเยอะ"

ทำเอายูนั้นหัวเราะออกมาไม่หยุดและเป็นจังหวะที่มีเสียงกริ่งหน้าบ้านพร้อมกับยูรับโทรศัพท์ที่โทรเข้ามา  ซึ่งแม่บ้านเดินมารายงานว่าแขกที่นัดไว้มาถึงแล้ว เอิ้นจึงบอกพ่อว่า  ตรีได้พาพี่สาวมาแล้วแล้วรีบเดินออกไปทันที ส่วนยูก็ลุกขึ้นเอากระเป๋ามาสะพาย  ทุกคนมองทำให้อ็อดพูดว่า

"เฮ้ยจะไปแล้วหรือไง  แขกมาไม่นานเค้ามาเชิญพ่อไปประธานงานแต่งนะ  เป็นพี่สาวของเพื่อนของเอิ้นเค้า"

"รถมารับแล้ว ต้องกลับไปทำงานต่อ"

รินพยักหน้าให้สามีเพราะรู้ว่าเพื่อนได้โทรบอกให้คนขับรถมารับที่บ้านตั้งแต่ตอนขับรถมา ยูเดินไปลาผู้เป็นลุงแล้วไปกอดลาผู้เป็นป้าพร้อมรับคำว่าจะมากินข้าวเย็นที่บ้านในวันหยุดครั้งหน้าโดยจะพาแม่มาด้วย แล้วหันมาทางพีนัสที่ยกมือขึ้นโบกลาด้วยสีหน้าที่ละห้อย  โดยอ็อดเดินไปส่งซึ่งผู้เป็นลุงกับป้าตามมาที่ห้องรับแขก  โดยในห้องรับแขกยูเห็นเอิ้นนั่งคุยกับแขกที่เป็นผู้ชาย 1 คนและผู้หญิง 2คน  พอยูสบตากับแขกที่เป็นผู้หญิงที่มองมาอยู่แล้วทั้งคู่ต่างร้องออกมาพร้อมกัน

"อ้าว"

ยูนั้นทักฝ่ายหญิงก่อนว่า

"มาทำอะไรครับคุณตรี"

"อ่อ คุณยู  ตรีพาพี่สาวมาเรียนเชิญท่านไปเป็นประธานในงานแต่งพี่สาวนะคะ"

ก่อนที่นักข่าวสาวจะแนะนำให้รู้กับกับพี่สาวและเจ้าบ่าว ซึ่งเอิ้นนั้นพูดมาว่า

"รู้จักกันมาก่อนหรือไง"

ตรีเป็นคนตอบว่า

"รู้จักตอนไปทำข่าวที่สเปนเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว "

ยูนั้นยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร ก่อนที่จะขอตัวออกไปเพราะรถที่มารับมาจอดรอหน้าบ้านแล้วระหว่างทางที่เดินไป อ็อดถามเพื่อนว่า

"จะรีบกลับไปไหนวะ"

"กลับไปเขียนรายงานที่ประชุมมานะสิ  แล้วโซเฟียร์ส่งเมลเรื่องงานมาด้วย มีไฟล์แนบมาด้วย คงอ่านก่อนแล้วค่ำๆค่อยโทรหา"

อ็อดพอได้ยินชื่อโซเฟียร์เพื่อนเล่นในวัยเด็กจึงถามไปถึงเรื่องลูกของโซเฟียร์ที่ยูบอกว่ากำลังหัดเดิน แต่ตอนไปเยี่ยมที่บ้านนั้นหลับ  นักบินหนุ่มพยักหน้ารับรู้ และพอเห็นรถที่รับเพื่อนก็ถามว่า

"เบนซ์คันนี้ตั้งแต่ซื้อมาขับถึงพันโลหรือยัง"

"จวนแล้วมั้ง ไม่ค่อยได้ใช้"

"เออแล้วต้นปีก็ซื้อมาอีก 2คันเนอะ รถเต็มบ้านแล้วมั้ง"

"ก็ซื้อรถตู้ให้แม่นั่ง  แด้ดก็เห็นดีด้วยอีกคันซื้อเพราะอยากซื้อคิดถึงพ่อนะ"

อ็อดไม่พูดอะไรต่อ เพราะพอจะรู้เหตุผลที่เพื่อนซื้อรถ ปกติยูจะใช้บีเอ็มตลอด ส่วนโตโยต้านั้นขายไปแล้วเพราะยูนั้นซื้อมาใช้ประชดพวกปากมากที่ทำงาน และซื้อเบ็นซ์คันนี้มาแต่ก็ไม่ค่อยได้ใช้  รวมถึงตอนต้นปี ยูไปงานมอเตอร์โชว์กับแด้ด  และซื้อรถตู้ VIP มาให้ผู้เป็นแม่ใช้ส่วนตัวเองซื้อวอลโว่มาอีกคันทั้งๆที่บ้านก็มีวอลโว่คันที่พ่อของยูใช้ประจำอยู่แล้ว 1 คันแต่ยูก็ซื้อมาซึ่งอ็อดพอจะเข้าในจิตใจของเพื่อนเป็นอย่างดี ว่าซื้อรถเบ็นซ์เพราะอะไร ส่วนวอลโล่นั้นคงเป็นอย่างที่เพื่อนบอก  เพราะช่วงหลังที่ผ่านมา   เพื่อนกลายเป็นคนที่ดูเศร้าหมองแต่พยายามทำตัวให้ร่าเริงเหมือนเดิม แต่อ็อดดูออกเพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ  ยูหันมาลาเพื่อนพร้อมบอกว่าเสาร์หน้าจะพาแม่มาทานข้าวเย็นที่บ้าน แล้วเดินไปขึ้นรถโดยนั่งคู่กับคนขับ      อ็อดมองตามรถก่อนเดินเข้ากลับไปในบ้าน


ส่วนภายในบ้าน  ยูนั้นไม่รู้ว่าตนเองถูกจ้องมองจากพี่สาวของตรีตลอด    หลังจากที่ได้แจกการ์ดให้ผู้เป็นพ่อของอ็อดกับเอิ้นแล้ว  เอิ้นได้สอบถามตรีอีกครั้งถึงเรื่องของยู ซึ่งตรีก็เล่าไปตามความจริงตั้งแต่เจอยูกับพ่อทูนหัวท่ามกลางบอดี้การ์ดรอบตัว  จนมาถึงการเจรจาของคณะตัวแทนจากไทยแต่ไม่ได้คุยอะไรกับยูมากนัก และเรื่องที่ยูเป็นทายาทของตระกูลเมนเตซ ทุกคนในบ้านก็รับฟังอย่างสงบ  เพราะรู้เรื่องของยูดีอยู่แล้ว  แต่เอิ้นแค่บอกว่ารู้จักกับยูตั้งแต่เด็กเพราะพ่อเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อของยู  ทุกคนในบ้านต่างไม่ขยายต่อเพราะรู้อยู่แล้วว่าทางยูไม่ต้องการที่จะเปิดเผย รวมถึงเอิ้นที่ไม่อยากบอกอะไรมากเพราะรู้ว่าเพื่อนเป็นนักข่าว  จนได้เวลาที่แขกลากลับ  พอมาถึงรถ  พี่สาวของตรีที่ชื่อตองได้หันไปถามน้องสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังว่า

"ตรีเธอจำคนที่ชื่อยูได้ไหม"

"คุ้นๆหน้านะพี่ตอง  แต่นึกไม่ออกตั้งแต่เจอที่สเปนแล้ว"

"ว่าแล้ว  แต่พี่จำได้ดี  แฟนเก่าจ็อบไง"

นักข่าวสาวเอามือตบที่ตักดังฉาดก่อนบอกว่า

"เออนึกออกแล้ว   แต่ตรีเคยเห็นแต่รูปที่จ็อบเอามาอวด ไม่เคยเจอตัวจริง"

"แต่พี่จำได้ดีเพราะจ็อบเคยชี้ให้ดูตอนที่เค้าจีบกันใหม่ๆ แหมเสียดายแทน   หน้าตาก็ดีแถมโปร์ไฟร์ดีสุดๆ"

"ใช่แล้วพี่  อยู่ที่นั่นมีการ์ดรอบตัวด้วย นั่งคาดิแด็ค 3 ตอน มีรถตำรวจนำ รถปิดท้าย บอดี้การ์ดก็หน้าตาอย่างโหดมองมาที่ตรี นี่เล่นเอาเราหนาวเลย"

แต่แฟนของตองที่ขับรถอยู่ก็หันมาถามแฟนสาวว่า

"จ็อบที่เป็นญาติกับตองนะหรือ"

"ใช่แล้ว  คิดแล้วเสียดายแทน แต่มันผ่านมา 5ปีได้แล้วมั้ง  แต่คนของเราก็ผิดเองนะ  มีของดีแต่ไม่รักษาไว้"

"ทำไมละ"

"จ็อบมันบ้าอะไรก็ไม่รู้ ดันไปคบซ้อน  พอผู้ชายรู้ก็ดันไปขอเลิกอ้างโน่นอ้างนี่  แต่กว่ารู้ตัวก็สายไปแล้ว  จะไปตามง้อผู้ชายอุตส่าห์ไปดักรอหน้าบ้าน3-4วันก็ไม่เจอเพราะยูไปต่างประเทศแล้ว จะบินไปตามง้อก็ไม่ได้ ทำวีซ่าก็ไม่ทัน โทรติดต่อไม่ได้ ฟูมฟายไปพักใหญ่ เลยครองตัวเป็นโสดถึงทุกวันนี้"

"แล้วทำไมไม่ไปคุยละเพราะยังไงคุณยูก็กลับมาเมืองไทย และไม่รู้หรือว่าผู้ชายทำงานที่ไหน"

"รู้สิ แต่ดูเหมือนจะไม่กล้าสู้หน้าแล้วนะเลยไม่กล้าไปหา แต่ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นะไม่อยากถามก็เลยปล่อยเลยตามเลย ลุงกับป้าก็ปล่อยไม่สนใจ"

แฟนของเธอพยักหน้าแบบเข้าใจแต่ตรีก็ถามพี่สาวว่า

"แล้วเราจะไปบอกจ็อบดีหรือเปล่าคะพี่ตอง"

"อย่าดีกว่าปล่อยให้ไปตามทางใครมันเหอะ  ขนาดเรื่องของยูบ้านของท่านยังไม่ยอมบอกอะไรมาเลย  พี่ดูแล้วน่าจะสนิทกันดี  เค้าคงไม่อยากเปิดเผยเท่าไหร่นัก"

ที่เธอพูดแบบนี้เพราะเธอนั้นพอจะรู้จักพ่อของเอิ้นตั้งแต่เป็นอธิบดีในกระทรวงการต่างประเทศเลยนับถือมาตลอด  แถมน้องสาวเธอนั้นเป็นเพื่อนเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับเอิ้นก็รู้จักเป็นการส่วนตัวอย่างดี  จึงทำให้เธอมาเรียนเชิญให้ไปประธานในงานแต่งของเธอ  ส่วนตรีนั้นคิดไปว่าเธอโชคดีมากๆเพราะเอิ้นเพื่อนของเธอนั้นดูจะสนิทกับยูเป็นอย่างมาก  น่าจะเป็นตัวเชื่อมให้เธอได้อย่างดี  เพราะเธอยังไม่เลิกความตั้งใจที่อยากจะสัมภาษณ์ชายหนุ่มคนนี้ แต่ยังไม่รู้จะเริ่มยังไงดี เพราะตอนอยู่ที่สเปนท่านทูตธวัชชัยก็ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเรื่องของยู  เธอลองไปสืบข่าวที่สำนักกฎหมายแห่งหนึ่งที่อยู่ในเครือเมนเตซที่ตั้งอยู่ที่มาดริดก็ไม่ได้อะไรขึ้นมายิ่งพอเธอเอ่ยถึงพรินซ์ออฟบาร์เซโลน่า  ผู้จัดการสำนักงานกฎหมายถึงกับปฏิเสธที่จะคุยกับเธอต่อและเชิญเธอออกนอกบริษัททันที  แต่มาเจอยูโดยบังเอิญในวันนี้ถือว่าเธอโชคดีมากและที่สำคัญคนหล่อๆแถมโปรไฟร์ดีใครๆก็อยากรู้จัก


ส่วนที่บ้านของอ็อดหลังจากที่แขกได้กลับไปหมดแล้ว ผู้เป็นพ่อได้กำชับกับเอิ้นถึงเรื่องของตรี ที่มีทีท่าอยากจะหาข้อมูลของยู  ซึ่งเอิ้นนั้นรู้ดีก็บอกไปว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะรู้ดี รินที่นั่งฟังมาตลอดก็พูดมาว่า

"คิดๆดูก็สงสารยูมันนะ เจอเรื่องร้ายๆเข้าไปติดๆกัน  เมื่อกี้มันก็ระบายให้ฟังบนรถ"

"ยูบอกมาว่ายังไงบ้างละริน"

แม่ของสามีบอกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง

"ก็รินให้มันเป็นคนขับรถ  มันก็ขับและมันก็แกล้งบ่นเรื่องรถ รินก็บอกไปว่ารถคันนี้มันแนะนำให้ซื้อไม่ใช่หรือ  มันเลยนึกขึ้นได้เลยเลิกกวนประสาท และมันก็พูดออกมา ว่ามันเหนื่อยมันเครียด  มันบอกว่าเรื่องงานที่แด้ดมอบให้นะไม่เท่าไหร่หรอกมันพอรับไหว  แต่เรื่องในรอบ 3 ปีที่ผ่านมานี่ เป็นเรื่องที่มันทำใจไม่ได้ เลยมากระทบกับเรื่องงาน รินนะรู้ว่ามันไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว  พอรู้ว่าคุณอาไม่อยู่เลยชวนมันมาทีนี่ก่อนมันจะได้ไม่เครียดไปมากกว่านี้"

พ่อของสามีได้พูดต่อทันทีว่า

"ก็นั่นนะสินะใครเจอแบบนี้ติดๆกันอยากจะทำใจได้  แต่พ่อก็ยอมรับนะ  ยูแกร่งมากนะที่รับเรื่องพวกนี้ไหว เป็นคนอื่นอาจจะสติแตกไปแล้วเจอเรื่องร้ายๆต่อๆกันทุกปี"

เอิ้นพึมพำด้วยใบหน้าที่สลดว่า

"นั่นนะสินะ  ปีแรกก็มัมปีต่อมาก็พ่อปีที่แล้วหลังจากเราไปเที่ยวที่สเปนกลับมาก็มุลเล่อร์   ใครเจอแบบนี้ก็แย่เป็นธรรมดา"

เธอพูดออกมาเพราะรู้ความเป็นมาของยูเป็นอย่างดี  ทั้งอ็อดและเอิ้นนั้นสนิทกับยูตั้งแต่วัยเยาว์แล้ว เอิ้นนั้นวัยเด็กนั้นจะอยู่กับพ่อและแม่ที่ประจำอยู่ในสถานทูตที่ต่างประเทศ  ส่วนอ็อดนั้นอยู่กับลุงและป้าพร้อมปู่กับย่าเป็นคนดูแลที่เมืองไทย พอปิดเทอมหรือวันหยุดยาวจะเดินทางไปหาที่ต่างประเทศ   ยิ่งช่วงที่พ่อของเธอเป็นเลขานุการเอกสถานทูตที่สเปนก่อนจะขึ้นเป็นทูตนั้น ด้วยความที่พ่อของทั้งคู่สนิทกัน  พ่อของยูได้แนะนำพ่อของเธอให้รู้กับกับเพื่อนรักที่เป็นนักธุรกิจชื่อดังชาวสเปน   ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้สนิทและผูกพันจนเหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน   เอิ้นนั้นไปเล่นกับยูที่บาร์เซโลน่าเป็นประจำในช่วงวันหยุดจนบางครั้งในช่วงปิดเทอมเธอจะไปค้างที่คฤหาสน์หลายวันและพี่ชายก็มาสมทบด้วย ทำให้เพิ่มความสนิทกับยูกันยิ่งขึ้น   รวมถึงลูกสาวของเลขานุการประจำครอบครัวที่เป็นเพื่อนเล่นด้วยกัน   อาจจะเป็นเหตุผลที่ มาจากพ่อกับแด้ดของยูอยากให้ยูมีเพื่อนเป็นคนไทยด้วย จนเธอกลับมาเรียนในที่เมืองไทยเมื่อตอนโตช่วงเรียนมัธยมปลายในโรงเรียนนานาชาติก่อนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนพี่ชายฝาแฝดก็สอบเข้าเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนนายเรืออากาศจนเป็นนักบินถึงทุกวันนี้ 

ด้วยความที่ไปกินนอนที่คฤหาสน์เมนเตซเป็นประจำ  ทำให้เธอกับอ็อดนั้นนับถือกับพ่อและแม่ทูนหัวยูเป็นอย่างมากจนเรียกแด้ดกับมัมตามยู ส่วนมุลเล่อร์นั้น เธอจำได้ดี ถึงอดีตหัวหน้าทีมบอดี้การ์ดที่รักจูเนียร์เหมือนบุตรชาย  ดูแลยูยิ่งกว่าไข่ในหิน ซึ่งยูนั้นก็รักมุลเล่อร์มากเช่นกัน  จนมุลเลอร์เกษียณตัวเองไปใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบที่เยอรมันบ้านเกิด  จนเสียชีวิตด้วยโรคชราในปีที่แล้ว  ซึ่งทำให้เพื่อนรักของเธอนั้นแทบเสียสติกับการสูญเสียบุคคลที่รักในระยะเวลา 3ปีติดต่อกัน จนแด้ดของยูแทบจะให้จิตแพทย์มาดูแลสุขภาพจิตของบุตรชาย  แต่ด้วยการปลอบโยนของคนรอบข้าง รวมถึงครอบครัวเธอ ทำให้ยูนั้นมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น  แต่อ็อดก็พูดต่อขึ้นมาว่า

"อ็อด ก็ดูออกว่ามันยังเศร้าอยู่ ก็นั่นแหละกลับไปอยู่บ้านคนเดียวก็คิดถึงพ่อ เมื่อกี้ตอนมันพูดถึงเรื่องที่มันซื้อวอลโว่หน้ามันก็เศร้าๆเลยไม่อยากพูดอะไรต่อ"

"ก็นั่นนะซินะเหมือนตอนที่มันซื้อเบนซ์คุณอาทำท่าจะบ่น   แต่พอแด้ดโทรมาคุยก็ไม่บ่นอะไร ก็สงสารมันนะตอนนั้นมันเหมือนไม่อะไรยึดเหนี่ยว"

รินพูดขึ้นเพราะรู้เรื่องเป็นอย่างเพราะแม่ของยูมาปรับทุกข์เรื่องนี้กับแม่สามีของเธอซึ่งเธอนั่งฟังอยู่ด้วย ทำให้แม่ของสามีเธอเสริมต่อทันที

"ก็ใช่   แต่ก็ดีที่ทางนั้นเค้าเข้าใจยูดี  คงเป็นเพราะเลี้ยงกันมาอย่างดียูเลยไม่เสียนิสัยไม่เอาแต่ใจ รู้ว่าอันไหนควรปลอบอันไหนควรเข้มงวด  เหมือนอย่างที่ สองคนนี้ตอนเด็กๆไปเล่นที่บ้านนั้น มัมเค้าปล่อยให้เล่นเต็มที่  โต๊ะกินข้าวยังเอามาทำรางรถไฟแข่งกัน สนามสวยๆถูกขุดถูกรื้อ  เค้าก็ปล่อยตามสบาย แต่พอเวลาที่ยูต้องเรียนเราก็เห็นกันไม่ใช่หรือว่า คุณเทเรซ่านั้นเข้มงวดกับยูขนาดไหน แล้วเป็นยังไง  ทุกวันนี้ยูพูดได้กี่ภาษาเข้าสังคมได้เก่งขนาดไหน ไม่รวมอีกหลายๆเรื่องที่ยูถูกสอนถูกอบรมมา ขนาดตอนที่ยูทำงานใหม่ๆ เราก็รู้ว่ายูทำพลาดเสียหายขนาดไหน  แต่คุณโรแบร์โต้ไม่ว่าอะไรแถมทั้งพ่อทั้งแม่ทูนหัวบินด่วนมาปลอบใจลูกชาย  แม่ว่าที่ยูพอจะทำใจได้ก็น่าจะเพราะการอบรมอย่างเคร่งครัดมาด้วยถึงจะยังไม่เป็นยูคนเก่าเท่าไหร่นัก"

"แต่มันก็เก่งนะที่ผ่านมาได้ ไม่รวมถึงเรื่อง 5 ปีก่อน"

เอิ้นเป็นคนพูดต่อเมื่อมารดาพูดจบ  รินนั้นถอนหายใจออกมาเบาๆและบอกต่อไปว่า

"ใช่แล้ว  เราก็รู้กันอยู่ว่า ยูนะเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน  แต่รินดูออกนะว่ามันพยายามฝืนให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมมันพยายามจะแหย่รินตลอดแต่ดูๆไปก็ไม่เหมือนยูคนเดิม  ส่วนเรื่อง 5ปีก่อนนะ อาจจะเป็นสิ่งที่กระทบจิตใจมันเพิ่มไปด้วยหรือเปล่า  เพราะถึงตอนนี้ยูไม่เปิดใจให้ใครเลย ทั้งๆที่มีใครต่อใครมาเสนอตัวกันเพียบ ไม่จะไทยหรือฝรั่งแต่มันก็ไม่สนใจใครเลย"

เธอพูดเพราะเธอนั้นรู้เป็นอย่างดีขนาดวันที่ยูบินไปไฟท์เดียวกับเธอ บรรดาแอร์รุ่นน้องหรือเพื่อนเธอก็แอบมามองๆยูอยู่เหมือนกัน  เหมือนกับวันนี้พอออกจากสนามบินเพื่อนเธอที่เดินมาด้วยกันพอเห็นเธอคุยกับยู ต่างไลน์มาสอบถามเรื่องของยูกันตลอด รวมถึงเรื่องของอัปษรที่รินไม่เล่าให้คนในบ้านฟัง  ซึ่งตอนแรกเธอไม่สนใจเท่าไหร่นักแต่ไม่นานมานี้ พี่ชมพู่ให้เธออ่านข่าวซุบซิบหน้าดาราที่เขียนว่าอัปษรไปปิ๊งรัก เจ้าหน้าที่หนุ่มของกระทรวงการต่างประเทศไทยที่สเปน  ซึ่งเธอรู้ดีว่าหมายถึงใคร  และตอนที่ขับรถมาที่บ้านเธอสอบถามยู  ซึ่งเพื่อนเธอไม่รู้เรื่องในหนังสือพิมพ์เพราะไม่อ่านข่าวบันเทิง แต่เล่าเรื่องของอัปษรที่เจอที่สเปนให้ฟัง เธอได้แต่เตือนเพื่อนให้ระวังตัว

รินนั้นสนิทกับยูตั้งแต่เรียนที่มหาวิทยาลัยถึงจะเรียนคนละคณะเพราะยูนั้นเรียนรัฐศาสตร์ส่วนรินเรียนอักษรศาสตร์  แต่รินได้ยินชื่อของยูจากอ็อดมานานแล้ว  เพราะอ็อดเล่าให้ฟังว่ามีเพื่อนสนิทเป็นคนไทยแต่ใช้ชีวิตอยู่ที่สเปน  รินกับอ็อดนั้นคบหากันตั้งแต่เรียนมัธยมและเธอรู้ว่าช่วงปิดเทอมหรือวันหยุดยาวอ็อดจะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อไปหาพ่อกับแม่และน้องสาวที่เป็นฝาแฝด เป็นประจำ ทำให้เธอได้ยินชื่อของยู จนมาเจอตัวจริงตอนที่ยูกลับมาเมืองไทยก่อนจะเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย  เธอนั้นรู้มาก่อนว่ายูพูดภาษาไทยชัด ซึ่งพอได้คุยก็เป็นความจริงไม่เหมือนกับเด็กไทยที่โตที่เมืองนอกที่มักจะพูดไทยไม่ชัด แต่ยูนั้นพูดชัดเจนถึงแม้จะมีคำบางคำที่เจ้าตัวไม่เข้าใจแต่เธอกับอ็อดก็ช่วยกันอธิบาย จนกลายเป็นความสนิทสนมกันถึงทุกวันนี้

ยิ่งช่วงที่ยูชวนเธอกับสามีไปเที่ยวบ้านที่สเปน ทำให้รินรู้ว่ายูนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน  แต่เป็นสิ่งที่ยูไม่เคยพูดอวดออกมาเลยและเธอไม่เคยมาที่บ้านของยูเลย     ตอนที่แม่ทูนหัวยูเสียชีวิตนั้นเธอไม่ได้ไปด้วยเพราะติดงาน  แต่สามีเธอกับน้องสาวพร้อมทั้งพ่อและแม่ไปร่วมงานด้วยกันทั้งหมด   แต่ก่อนหน้านี้รินนั้นเคยมาเที่ยวบาร์เซโลน่าตอนมีไฟท์บินมาสเปน เธอก็เห็นแต่คฤหาสน์จากจุดชมวิวเท่านั้นแต่เธอก็รู้ว่านี้คือบ้านของพ่อทูนหัวยู  จนได้เข้าไปพักทำให้เธอรู้ว่าภายในนั้นสวยงามกว้างขวางขนาดไหน พร้อมทั้งความสุขสบายทุกอย่างที่ได้รับ จนทำให้ลูกชายเธอนั้นติดใจเป็นอย่างมากแต่เธอก็กังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนของเธอเป็นอย่างมาก  และรินก็พูดออกมาให้ทุกคนฟังว่า

"แต่รินมั่นใจนะคะว่า ถ้าสักวันยูมันเจอคนที่ใช่ หัวใจมันก็จะเปิดออกมาเอง  ที่มันปิดใจอยู่อาจจะมาจากมันเข็ดเรื่องในตอนนั้น  แต่รินหวังว่า ถ้ามันเปิดใจกับใครสักคนแล้ว อาจจะทำให้จิตใจมันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้คะ  มันจะได้เลิกเศร้าซะที"

ทุกคนในครอบครัวได้แต่นิ่งคิดตามที่ลูกสะใภ้บอก  พร้อมกับคิดว่าขอให้เป็นความจริง ยูที่สดใสร่าเริงจะได้กลับมาให้ทุกคนเห็น    และเวลาผ่านไปประมาณ 2อาทิตย์ ในช่วงบ่ายๆของวันกลางสัปดาห์ยูได้นำรถมาจอดที่ลานจอดรถที่สงวนไว้ให้ผู้บริหารของบริษัทนำเข้าส่งออกที่มีชื่อเสียงในภูมิภาคนี้  ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในตัวตึก ผ่านประชาสัมพันธ์ที่รีบลุกขึ้นมาไหว้แทบไม่ทัน ยูรับไหว้และเดินขึ้นไปที่ชั้น 3 พอซึ่งเดินผ่านใครก็ต่างทักทายชายหนุ่ม จนไปถึงหน้าห้อง เอ็มดี  ที่เลขาหน้าห้องรีบรายงาน

"คุณเกมส์รออยู่แล้วคะคุณยู"

ยูยิ้มรับแต่ไม่ตอบอะไรก่อนจะผลักประตูเข้าไปใน  ชายหนุ่มรุ่นพี่ที่นั่งอยู่บนโต๊ะเงยหน้ามามอง  ก่อนพยักหน้าให้น้องชายนั่ง

"อู้งานมาละซิ"

"ประมาณนั้น"

"แล้วคุยกับแด้ด และแด้ดว่าไงมั่ง"

"ก็อย่างที่แด้ดเมลตอบกับพี่เกมส์มานั่นแหละ  รอให้บ็อบมาเดือนหน้าแล้วค่อยสรุป  พี่เกมส์เตรียมรายละเอียดไว้ให้ดีแล้วกัน เพราะงานนี้บ็อบตัดสินใจได้เลย"

"แล้วยูว่าไงละ"

"อ๊ะอะ  อย่ามาตะล่อม  เพราะงานในเมืองไทย แด้ดไม่ให้ยูเกี่ยวข้องเลย  ฉะนั้นอย่ามาถาม"

"ไอ้เวรนี่"

"อ้าวไหงมาด่ากันแบบนี้ละ"

"ก็ที่เรียกมานี่อยากปรึกษาก่อน ว่าจะขาดเหลืออะไร ไหนๆยูก็ถือหุ้นอยู่ด้วยรวมของแด้ดมันก็ 40 เปอร์เซ็นต์นะเว้ย"

ชายหนุ่มหัวเราะก่อนบอกไปยังเอ็มดีบริษัทที่ตนเองนับถือเหมือนพี่ชายว่า

"อ้าวเหรอ  ตั้ง 40 เปอร์เซ็นต์เลย "

แล้วยูรีบพูดต่อเพราะเห็นเกมส์ทำท่าจะด่าต่อเพราะความกวนของตนเอง

"เอาแบบนี้ก็ได้ ตั้งสำนักงานที่มาเลก็พอ  ไม่ต้องไปที่บรูไน  ที่เดียวมันน่าจะพอแล้วส่วนเรื่องเรือขนสินค้า ยูอาจให้บริษัทเดินเรือที่ขนของให้เมนเตซโลจีสติกส์ที่ยูดูอยู่มาเพิ่มให้  เพราะบริษัทนี้มันใหญ่พอสมควร และนายหน้าที่ทำเรื่องยูก็รู้จักพอสมควร ถ้าพี่เกมส์จะเพิ่มทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการขนส่งจริงๆ  เรื่องเรือขนสินค้าที่ต้องเพิ่มยูคิดว่าใช้เวลาไม่นานตรงนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่"

เกมส์นั่งพิงไปที่พนักพิงเก้าอี้ พร้อมใคร่ครวญคำแนะนำ  เกมส์นั้นรู้อยู่แล้วว่ายูนั้นมีความสามารถขนาดไหนจากที่เคยได้เห็นมารวมถึงการบอกเล่าจากพ่อของยู    เกมส์นั้นอยากให้ยูมาช่วยงานหลังจากที่พ่อของตนเสียและพ่อของยูได้ถอยไปเป็นที่ปรึกษา แต่ตนเองก็รู้มาว่าชีวิตของยูนั้นถูกกำหนดไว้แล้ว ในการสืบทอดดูแลธุรกิจขนาดใหญ่ในยุโรป จนพ่อของยูเสียชีวิตเกมส์ก็ยังอยากให้ยูมาช่วยงาน เพราะเหมือนกับตนเองไม่มีคนช่วยคิด ถึงแม้น้องสาวจะมาช่วยงานแต่ก็ดูแค่งานในส่วนบุคคลก็หนักอยู่แล้ว ซึ่งยังดีที่พ่อทูนหัวของยูนั้นยังมาช่วยให้คำแนะนำตลอด ซึ่งคำแนะนำที่ยูให้มานั้นเกมส์ก็เห็นด้วยก่อนจะพยักหน้าแล้วบอกไปว่า

"ก็น่าจะดีนะ  พี่ก็กังวลเหมือนกันถ้าเปิด 2 ที่พร้อมกันแต่อยากให้มันครอบคลุมนะ  แต่บ็อบน่าจะโอเคนะ"

"ก็ลองดูพี่เกมส์"

แต่ก่อนที่ทั่งคู่จะพูดอะไรต่อ  ประตูได้ถูกเปิดขึ้นพร้อมใบหน้าที่โผล่พร้อมเสียงใสๆทักมาว่า

"คุยด้วยได้เป่า"

"อ้าวน้อยเข้ามาสิ"

เกมส์เรียกน้องสาวเข้ามา ซึ่งหญิงสาวที่พึ่งเข้ามาได้มาชกที่ไหล่ของยูเบาๆแล้วบอกมาว่า

"นี่ๆๆๆหายหน้าไปเลย"


ยูได้แต่หัวเราะจนหญิงสาวผู้นั้นนั่งลงข้างๆตัวเองก่อนจะถามพี่ชายว่า


"คุยอะไรกันอยู่"

เกมส์ได้อธิบายให้น้องสาวที่ดำรงตำแหน่ง AVP.HR.อยู่  เธอนั่งฟังจนจบแล้วหันไปมองหน้ายูก่อนจะยักคิ้วให้พร้อมบอกว่า

"ก็แล้วแต่ท่านจูเนียร์ จะเห็นควร  เงินเค้านี่"

"เรื่องนี้ยูไม่เกี่ยวนะพี่น้อย  ยูแค่คนถือหุ้น  พี่เกมส์ขอคำแนะนำยูก็บอกไปเท่านั้นเอง"

ยูตอบแบบสนิทสนมเป็นอย่างดี  เพราะน้อยนั้นเป็นรุ่นพี่ของยูที่มหาวิทยาลัยตอนเรียนปริญญาตรีด้วย ทั้งคู่เรียนคณะเดียวกันโดยตอนที่ยูเข้าไปเรียนปี1นั้นเธอเรียนอยู่ปี3 ทำให้เพิ่มความสนิทกันยิ่งขึ้นนอกเหนือจากที่พ่อของทั้งคู่ทำธุรกิจร่วมกัน น้อยหัวเราะออกมาแล้วหันไปบอกกับพี่ชายว่าเธอเห็นด้วยกับความคิดของยู  ก่อนจะหันไปถามยูเรื่องขี่จักรยานยูบอกไปว่าตั้งแต่กลับจากสเปนไม่ค่อยได้ขี่ส่วนใหญ่จะขี่ซ้อมในหมู่บ้าน  เธอเลยชวนว่าอีก 2 อาทิตย์เธอจะออกทริประยะประมาณ 50 กิโล  ถ้ายูสนใจก็ให้บอก ยูพยักหน้าอย่างสนใจ  เกมส์ได้จังหวะจึงถามน้องสาวไปว่า

"เออน้อยแล้วกราฟฟิกดีไซน์ได้หรือยังละ"

น้องสาวทำหน้ามุ่ยก่อนตอบว่า

"หูยพี่เกมส์หยั่งกะหาง่ายๆนะ  พวกนี้ส่วนใหญ่ชอบทำฟรีแลนซ์  ที่มีมาสัมภาษณ์ก็ไม่ตรงเท่าไหร่ "

"อีกนานหรือเปล่าละ  เพราะทางนั้นก็มาบ่นๆให้พี่ฟังว่ารอมานานแล้ว"

"ก็น่าจะนานแหละ  เพราะที่ได้มาก็บอกไม่ถูกใจ แทบจะขุดหาอยู่แล้ว"

พูดจบเธอหันไปหายูพร้อมบอกว่า

"ยูพอจะมีคนแนะนำได้หรือเปล่า  พี่อยากได้กราฟฟิกส์ดีไซน์อยู่  เอาพอมีฝีมือนะ  ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้"

ชายหนุ่มทำหน้าเบ้ ก่อนตอบไปว่า 

"อย่างกับยูจะหาได้นะพี่  ยูทำงานที่ไหนพี่น้อย"

"เออนะ  ถ้าได้ให้ส่งเรซูเม่ มาที่อีเมลพี่ ส่วนพอร์ทงานค่อยว่ากันถ้าพี่สนใจพี่จะขอดูเอง  เงินเดือนพี่ตั้งไว้ 25,000-30,000"

"หาเยอะขนาดนั้นรู้อย่างนี้เรียนด้านนี้ดีกว่า"

พอได้รับคำตอบแบบนี้  น้อยถึงกับหมั่นไส้ขึ้นมาก่อนจะประชดว่า

"ย่ะ  พ่อข้าราชการเงินเดือนต่ำ  แหมแล้วทีที่ได้จากแด้ดเป็นรายเดือนนะไม่พูดถึงนะ"

ยูหัวเราะทันที  เพราะรู้ว่าหมายถึงอะไร  เพราะเรื่องนี้พ่อของยูคงเคยเล่าให้พี่น้องคู่นี้ฟัง

"ก็นั่นเป็นค่าขนมรายเดือนที่แด้ดให้ บวกกับค่าช่วยทำงาน"

"ก็นั่นแหละ  ภาษีก็ไม่ต้องเสีย บางเดือนได้ข่าวว่าที่ได้มานี่ออกรถป้ายแดงได้เลย"

"เงินให้ด้วยความเสน่หาไง  พ่อจะให้ลูกมันผิดตรงไหน"

"หมั่นไส้ ไม่พูดด้วยแล้ว จะไปทำงานต่อ อย่าลืมนะถ้ามีคนแนะนำโทรมาบอกพี่ก่อนที่จะส่งเรซูเม่มา  และเรื่องไปปั่นจักรยานถ้าสนใจรีบบอก  เรื่องสุดท้าย  เบนซ์คันนั้นถ้าจะขายบอกพี่ด้วย พี่จอง  ไปแล้ว"

"ไม่ขายงั้นไปด้วย  ไปละพี่เกมส์"

เกมส์พยักหน้าพร้อมบอกว่ามีอะไรจะโทรไปถาม  ชายหนุ่มพยักหน้ารับทราบก่อนเดินออกจากห้องพร้อมกับน้อยและเดินแยกกันตรงบันได  โดยยูนั้นจะกลับบ้านเพื่อไปทานมื้อเย็นกับมารดา   ซึ่งตนเองนั้นทำอย่างนี้ทุกวันถ้าไม่ไปไหนหรือติดงานอะไร  เป็นสิ่งที่ยูทำตลอดหลังจากที่ผู้เป็นพ่อได้จากไป


เวลาผ่านไป1 เดือนในช่วงเวลากลางวันของวันจันทร์ ยูที่กำลังยืนซื้อไอติมในรถเข็นอยู่กับหัวหน้างานอยู่ ขณะที่กำลังรับไอติมที่ใส่ขนมปังจากคนขายได้ยินเสียงผู้หญิงสั่งไอติมจากอีกด้านพอเงยหน้าขึ้นไป  ทำให้ทั้งคู่สบตากัน ยูจำได้ทันทีว่าคือใครจึงทักไปว่า

"อ้าวคุณแพงสวัสดีครับ  มาเมืองไทยเรื่องการเยือนของรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศสเปนหรือเปล่าครับ"

"ส่วนหนึ่งคะแต่หลักๆ คือมาอบรม  1อาทิตย์"

หญิงสาวตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม  โดยที่เพื่อนๆมาด้วยต่างแอบซุบซิบและมองมาที่ยู ชายหนุ่มจึงถามกลับต่อไปว่า

"แล้วมาถึงตั้งแต่วันไหนครับ"

"วันเสาร์คะคุณยู"

"พี่เบญไม่ได้มาด้วยสิครับ"

"คะ"

"ถ้างั้นแปลว่าคุณแพงต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงคืนวันพุธด้วย"

"ใช่แล้วคะ"

"งั้นตอนบ่ายเจอกันครับ  ผมเป็นคนบรรยายสรุปเรื่องนี้ ขอตัวก่อนนะครับ"

ยูส่งยิ้มให้ก่อนเดินไปกับหัวหน้า  ทำเอาสาวๆที่เป็นเพื่อนของแพงต่างถามกันว่าเธอรู้จักยูได้ยังไง เพราะพวกเธอทำงานที่นี่ยังได้แค่ส่งยิ้มให้กัน  แพงบอกไปสั้นๆว่า รู้จักกันยูไปร่วมคณะเจรจาที่สเปน  แต่แล้วทุกคนก็งง  เพราะตอนที่จะจ่ายเงิน  คนขายบอกว่า ยูจ่ายค่าไอติมให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว  ที่ทุกคนไม่สังเกตเพราะมัวแต่ฟังเรื่องที่ยูคุยกับแพง จนช่วงบ่ายแพงกับเพื่อนที่มาจากสถานทูตไทยที่สเปนที่ต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงที่สถานทูตสเปนในคืนวันพุธได้เข้าฟังบรรยายสรุป  ซึ่งยูทำหน้าที่เป็นคนบรรยายสรุป ซึ่งระหว่างที่นั่งฟัง หญิงสาวรู้เลยว่ายูนั้นมีความจำที่ดีและการใช้ภาษาที่คล่องอย่างที่เบญเคยเล่าให้ฟัง  เพราะระหว่างบรรยายยูแทบไม่มองที่เอกสารเลย สามารถบรรยายได้ต่อเนื่องและการเรียกชื่อของบุคคลสำคัญของฝ่ายสเปนนั้น  ยูออกเสียงได้อย่างชัดเจน รวมถึงการอธิบายข้อสงสัยของฝ่ายสถานทูตสเปนได้ชัดเจน  แต่สิ่งที่เธอสังเกตเห็นได้ชัดคือ  ฝ่ายตัวแทนสเปนที่เข้ามานั่งฟังด้วยนั้นดูจะนอบน้อมกับยูเป็นพิเศษ

จนการบรรยายสรุปเสร็จ  ยูส่งยิ้มให้เธอก่อนเดินออกจากห้อง  และที่หน้าห้องประชุม  เธอเห็นเลขานุการเอกของสถานทูตสเปนนั้นจับมือกับยูและก้มหัวแทบจะติดพื้นให้ยู  ทำให้นึกถึงประโยคที่เบญบอกเธอว่า "พรินซ์ออฟบาร์เซโลน่า"  เพราะหลังจากวันที่เจอกับยูแล้วจนการเจรจาสำเร็จซึ่งท่านทูตธวัชชัยนั้นดูดีใจเป็นพิเศษ พร้อมบอกใครๆว่าเป็นผลงานของยู  ทำให้เธอรู้จากคนที่ทำงานที่สถานทูตรู้จักยูมาก่อนแล้ว ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าในภาคพื้นยุโรป  ยูนั้นเป็นคนที่มีความสำคัญอย่างมากเพราะบารมีของพ่อทูนหัว   จนถึงช่วงเย็นหลังเลิกงาน ฝนก็ได้ตกกระหน่ำอย่างหนักขึ้นมา แพงที่ออกมาที่หลังเพื่อนได้แต่ยืนมองสายฝนตรงชายคาตึกเธอกำลังตัดสินใจว่าจะเดินกลับเข้าไปหลบฝนก่อนดีหรือไม่  แต่แล้วรถเบ็นซ์สีดำคันหนึ่งได้บีบแตรเรียกทำให้เธอมองไป  ก่อนจะเห็นยูที่ลดกระจกลงมากวักมือพร้อมส่งเสียงเรียก  ตอนแรกเธอนั้นสองจิตสองใจ  แต่แล้วก็ตัดสินใจวิ่งไปขึ้นรถ

พอขึ้นไปบนรถยูได้ขับรถออกไปทันทีก่อนถามเธอว่า

"ทำอะไรอยู่ละครับคุณแพง ถึงออกมาป่านนี้ และนี้สงสัยฝนหลงฤดูมั้ง  หรือว่าตกส่งท้ายหว่า"

ประโยคหลังเหมือนชายหนุ่มบ่นกับตัวเองแล้วหันมาถามเธอว่าโดยที่ไม่สนใจเรื่องที่ตนเองเป็นคนถาม

"คุณจะให้ผมไปส่งที่ไหนครับ  ผมเห็นคุณยืนหลบฝนอยู่เลยเรียกขึ้นมา"

"ขอบคุณคะ  ไปส่งแพงที่ป้ายรถเมล์ใกล้ๆก็ได้ คะ

แต่พอไปถึงป้ายรถเมล์มีคนยืนหลบฝนจำนวนมาก  ยูเลยบอกไปว่า

"งั้นเอางี้ดีกว่า  คุณแพง  ผมไปส่งคุณใกล้ๆแถวบ้านคุณดีกว่าไหมครับ  ไม่งั้นกว่าคุณจะถึงบ้านทั้งฝนทั้งรอรถดึกพอดี"

"เกรงใจคุณยูคะ"

"ไม่เป็นไรครับ  ผมยินดี บ้านคุณอยู่แถวไหนครับ"

เธอเงียบเหมือนจะตัดสินใจเธอนั้นเกรงใจยูที่ทั้งคู่พึ่งรู้จักกันไม่นาน  แต่แล้วเธอก็ตัดใจยอมรับข้อเสนอของยู  เพราะดูแล้วชายหนุ่มนั้นมีความปราถนาดีและมีน้ำใจ

"บ้านแพงอยู่แถวๆบางพลัดคะ"

"ได้ครับ  บอกผมแล้วกันว่าช่วงไหน ข้ามซังฮี้หรือปื่นเกล้าอันไหนใกล้สะดวกกว่าครับ"

"ซังฮี้ดีกว่าคะคุณยู แล้วบ้านคุณยูอยู่แถวไหนคะนี่"

"ลาดพร้าวครับ"

"อุ๊ยงั้นส่งแพงแถวๆนี้ก็ได้คะ มันไกล"

"ไม่เป็นไรครับ  ผมยินดี  อีกอย่างผมมีรถสะดวกกว่าคุณเยอะ"

ยูพูดแบบยิ้มๆ ก่อนจะขับรถไปเรื่อยๆเพราะรถค่อนข้างติดแถมสายฝนยังตกกระหน่ำไม่เลิก  ยูเป็นฝ่ายชวนหญิงสาวคุย เลยรู้ว่าแพงนั้นจบปริญญาตรีรัฐศาสตร์  คนละมหาวิทยาลัยกับยู  แต่จบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยที่ยูจบปริญญาตรี โดยเธอเล่าว่าเธอจบตรีแล้วก็สอบเข้าทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศได้ ก่อนจะเก็บเงินเพื่อเรียนต่อและพอจบเธอจึงสอบไปประจำสถานทูตที่สเปน แต่ยูก็บอกเธอว่าจบปริญญาโทจากที่ไหน แต่เธอก็รู้จากเบญแล้วว่ายูจบจากที่ไหน  พอยูพูดจบแพงจึงบอกไปว่า

"คุณคิดยังไงถึงไปเรียนที่ฮาร์วาร์ด นะ"

ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆก่อนบอกไปว่า

"ผมตามรอยพ่อผมนะครับคุณแพง  ผมจบตรีที่เดียวกับพ่อ และโทก็ที่เดียวกับพ่อและแด้ด"

"แด้ด"

หญิงสาวทวนคำ


"อ้อหมายถึงพ่อทูนหัวผมนะครับ"

"งั้นก็จริงนะสิคะที่คุณยูโตที่สเปน"

"ใช่ครับ"

ใจจริงหญิงสาวอยากจะรู้มากกว่านี้  ว่าทำไมจู่ๆชายหนุ่มคนนี้ถึงได้ไปใช้ชีวิตในวัยเด็กที่ต่างประเทศแถมมีพ่อทูนหัวที่ร่ำรวยทั้งเงินทองและบารมี แต่เธอนั้นไม่กล้าถาม  หญิงสาวเลยเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือการใช้ชีวิตทั่วไป  ซึ่งยูก็ตอบหมด ทั้งๆที่ยูนั้นยังรู้สึกประหลาดใจตัวเอง  ปกติยูจะเป็นคนไม่ชอบให้ใครมาถามอะไรแบบจุกจิก  แต่กลับหญิงสาวคนนี้ยูกับไม่รู้สึกอย่างนั้น  จนหญิงสาวบอกว่าเห็นยูพูดสเปนได้คล่องและทั้งท่านทูตธวัชชัยกับพี่เบญบอกว่ายูพูดได้หลายภาษาเธอเลยอยากรู้ว่ายูพูดได้กี่ภาษา แต่ยูถามเธอกลับไปว่า

"แล้วคุณแพงพูดได้กี่ภาษาละครับยกเว้นภาษาไทย"

"ก็มีอังกฤษกับฝรั่งเศสคะ  เพราะแพงเรียนมาสายศิลป์ภาษาอีกอย่างแม่แพงเป็นครูสอนภาษาอังกฤษด้วยแล้วคุณยูยังไม่บอกแพงเลย"

"ถ้าไม่นับภาษาไทยกับสเปนเพราะผมโตที่นั่นแล้วก็มีฝรั่งเศส,อังกฤษ,เยอรมัน,อิตาลีครับ"

หญิงสาวเอานิ้วขึ้นมานับพร้อมอุทานด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ อย่างลืมตัว ทำเอาชายหนุ่มถึงกับหัวเราะ

"หา 5 ภาษา ไม่รวมภาษาไทย  หมายความว่าทั้งพูดทั้งเขียนเลยหรือคะนี่"

ยูพยักหน้าและยังหัวเราะอยู่

"คุณยูนี่อัจฉริยะชัดๆ"

ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนแล้วตอบไปว่า

"ไม่ใช่หรอกครับ  ผมมีโอกาสที่ได้เรียนรู้มากกว่า ทั้งถูกบังคับ ทั้งอยากเรียนเอง กว่าจะได้แบบนี้ สำนวนไทยก็บอกว่าแทบรากเลือด ผมอาจจะมีโอกาสกว่าเด็กคนอื่นๆเพราะแด้ดกับมัม  ผมหมายถึงพ่อกับแม่ทูนหัวนั้นมีเงินที่จะสามารถจ้างครูมาสอนได้  ถ้าคุณแพงสงสัยว่าทำไมผมถึงพูดไทยชัด ไม่เหมือนคนอื่นๆที่โตที่เมืองนอก  ผมบอกได้เลย เพราะผมถูกสอนให้จำทั้งภาษาสเปนกับไทยตั้งแต่เริ่มหัดพูดครับ ทำให้ผมพูดทั้งสเปนและไทยได้ชัดแล้วตามมาด้วยภาษาอื่นๆ"

"น่าสนใจจังคะ  ช่วยขยายรายละเอียดได้หรือเปล่า"

"เรื่องมันยาวครับ  ถ้ามีโอกาสผมจะเล่าให้ฟัง"

"งั้นถามต่อ ทำไมคุณยูถึงไม่ไปประจำที่ต่างประเทศคะ  ทั้งๆที่มีความสามารถขนาดนี้"

ยูหน้าสลดลงเล็กน้อยก่อนตอบไปว่า

"ผมอยู่กับแม่แค่สองคนครับ  ผมเป็นลูกคนเดียว  พ่อผมเสียได้ 2 ปีเศษแล้ว  ผมถึงไม่อยากไปใช้ชีวิตที่เมืองนอก  และแม่ผมก็เบื่อที่จะเดินทางแล้วครับ  ท่านบอกว่าอยากใช้ชีวิตที่เหลือที่ประเทศไทย"

"เสียใจด้วยนะคะ  แพงไม่ทราบเรื่องนี้ แล้วพ่อกับแม่ทูนหัวของคุณยูละ"

"แม่ทูนหัวผมเสียก่อนพ่อผมปีเศษครับ  แด้ดก็อยู่คนเดียว  ผมเลยใช้วิธี 2เดือนบินไปหาทีครับได้ทานข้าวกับแด้ดวันหนึ่งอีกวันผมก็บินกลับครับ ถ้ามีวันหยุดยาวผมก็จะไปหาบางทีพาแม่ไปด้วย"

ทำเอาเธอถึงกับสลดใจไปด้วย ก่อนจะพึมพำว่า

"เหนื่อยเหมือนกันนะนี่แล้วไปล่าสุดเมื่อไหร่คะ"

"อาทิตย์ที่แล้วครับ"

แล้วยูได้ถามเธอกลับว่า

"แล้วคุณแพงพูดสเปนคล่องหรือยังครับ"

"พอฟังได้สำหรับประโยคสั้นๆคะ  แต่พูดประโยคยาวๆไม่ได้  ได้แต่คำง่ายๆคะ"

"แล้วทำไมถึงเลือกไปที่นั่นแหละครับ"

เธอยิ้มออกมาแล้วตอบทันที

"ถ้าคนอื่นๆอาจบอกว่าครั้งหนึ่งในชีวิต ไปหาประสบการณ์  แต่แพงไปเพราะอยากช่วยที่บ้านคะ  พ่อแพงเป็นข้าราชการระดับล่างๆในกระทรวงมหาดไทยและพึ่งเกษียณคะ  แม่เป็นครู น้องสาวก็ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ แพงไปเมืองนอกอย่างน้อยก็ได้เงินเพิ่ม  และแพงเลือกไปสเปนเพราะค่าครองชีพไม่สูงเหมือนประเทศอื่น "

"อยู่สเปนมานานหรือยังครับ"

"2ปีแล้วคะ นี่ก็เป็นการกลับบ้านครั้งแรกตั้งแต่ย้ายไปที่นั่นคะ  เพราะไม่ต้องจ่ายค่าเครื่องบินเอง   ถ้าไปกลับเองค่าใช่จ่ายสูงแพงรับไม่ไหวคะ  เก็บเงินค่าเครื่องบินส่งให้ทางบ้านดีกว่า"

ยูพยักหน้าแต่แล้วหญิงสาวก็ถามยูว่า

"คุณยูขอโทษนะคะแต่แพงสงสัยมากตั้งแต่ทีสเปนแล้ว  คือแหวนที่คุณยูสวมนะคะ  ข้างซ้ายแพงรู้คือแหวนนามสกุล  แต่ข้างขวานี่แหวนอะไรคะมันสวยมากจะเป็นแหวนรุ่นก็ไม่ใช่"

ยูยิ้มออกมา  เพราะเธอเป็นคนแรกที่กล้าถามเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าถามเลย แล้วตอบไปว่า

"แหวนประจำตระกูลเมนเตซครับ"

เธอพยักหน้าพร้อมคลายสงสัยสิ่งที่มันคาใจตั้งแต่เจอยูเมื่อ 2เดือนก่อน แล้วมองไปรอบๆรถ  ก่อนจะพึมพำว่า

"รถใหม่จังคะ"

"ซื้อมา 2 ปีกว่าแล้วครับ  แต่ผมไม่ค่อยใช้เท่าไหร่นัก  ปกติผมขับอีกคันหนึ่งครับ"

แล้วเธอเปลี่ยนไปคุยเรื่องของงานที่ รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของสเปนจะพานักธุรกิจมาเยือนประเทศในภูมิภาคนี้ และจะมาเยือนไทยในวันพุธกับพฤหัสฯนี้  ยูบอกไปว่า  งานนี้ยูแค่เป็นคนประสานงานเท่านั้นไม่ได้อยู่ในคณะติดตาม เพราะยูบอกเธอไปว่า  มีคนของกลุ่มบริษัทเมนเตซมาด้วยยูเกรงข้อครหาเลยขอทำหน้าที่แค่ประสานงาน แต่ถูกขอเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงในคืนวันพุธซึ่งแพงเธอก็ต้องไปร่วมเช่นกัน และ ฝนเริ่มซาเม็ดลง แพงเป็นคนบอกทางไปบ้านเพราะยูเห็นว่าไหนๆมาส่งแล้วก็ส่งให้เธอสะดวกใกล้บ้านที่สุด จนยูมาส่งเธอที่หน้าทาวน์เฮ้าส์หลังหนึ่ง  ก่อนจะลงหญิงสาวบอกว่า

"คุณยูทานข้าวเย็นกันก่อนไหม ไหนๆคุณมีน้ำใจมาส่งแล้ว  แพงอยากตอบแทนบ้าง"

ยูยิ้มพร้อมส่ายหัวก่อนบอกไปว่า

"ไม่เป็นไรครับ  ไม่ใช่อะไรหรอกครับ  แม่ผมรอทานข้าวเย็นอยู่ครับ  ถ้าเป็นครั้งหน้าผมคงไม่ปฏิเสธครับ"

เธอพยักหน้าอย่างเข้าใจ พร้อมกล่าวคำขอบคุณก่อนจะลงจากรถ แล้วยูขับรถออกไปแต่เธอก็นึกขึ้นได้ว่า

"โก๊ะอีกแล้วไอ้แพง  ลืมขอบคุณเรื่องไอติม  เวรละ"

ก่อนจะเดินส่ายหัวเพราะความโก๊ะของตัวเองที่มัวแต่ตื่นเต้นที่ได้พูดคุยกับชายหนุ่มและจริงอย่างที่เบญบอกยูนิสัยดีสุภาพ ไม่ถือตัวและพอเข้าไปบ้านแม่กับน้องสาวของเธอที่ยืนมองอยู่ตรงประตูหน้าบ้าน เธอยกมือไหว้ผู้เป็นแม่และ แม่เธอได้ถามว่า

"ใครมาส่งละแพง"

"จะบอกว่าเพื่อนก็ยังไม่ใช่คะ  พึ่งรู้จักกัน"

ก่อนที่เธอจะอธิบายอย่างคร่าวๆ  แล้วน้องสาวเธอได้พูดต่อว่า

"ท่าจะรวยนะพี่แพงขับเบนซ์ด้วย"

"ไม่ใช่รวยพลอย ต้องบอกว่าโคตรจะรวยเลย"

แล้วบอกเรื่องของยูที่เธอพอจะรู้ก่อนที่แม่จะชวนเธอไปทานข้าวเย็น เพราะพ่อเธอกำลังจะมาถึงบ้านแล้ว

Pikajoo

ไม่ค่อยได้เข้ามาอ่าน พอได้อ่านงานของคุณ Twintower แล้วต้องไปไล่อ่านเรื่องอื่นๆเลย รายละเอียดเรื่องแน่นดีครับ แถมแต่ละตอนมีให้อ่านได้จุใจ ขอบคุณมากครับที่มีบทประพันธ์ดีๆมาให้อ่านเรื่อยๆ

sunnie06


br007

เรืองนี้ชอบมากครับ ชีวิตของคุณยู น่าจะเศร้าๆ ในส่วนลึกนะครับ ตอนจบ ขอให้หายเศร้าบ้างก้อดีครับ

ขอบคุณครับ

gongsaad

ขอบคุณครับ นึกว่าจะหักมุมตรีคือนางเอก

swss2511

เอาใจช่วยแพงให้ละลายเจ้าชายน้ำแข็งเสียที

sparrow_ap

อยากรู้จังเลยว่าพ่อของแพงเป็นใคร
ผมคิดว่าน่าจะรู้จักยูด้วยแน่ๆเลย

micky

ขอบคุณครับ สงสัยนางเอกคุณแพงเปล่า ยอมให้ถามทุกเรื่อง

devilzoa

อืมตอนแรกก็คิดว่าจะหักมุมมาเป็นตรีเหมือนกันแต่เดาว่าเป็นแพงตั้งแต่ตอนที่เจอกันที่สเปนแล้ว

tetete

ที่สเปนเชียร์คุณแพง กลับมาไทยก็ยังเชียร์เหมือนเดิมครับ

tacklove

แพงจะได้เป็นนางเอกของเรื่องมั้ยนะ คุยเข้าขากันดีเหลือเกิน อ่านเรื่องนี้แล้วสบายใจมาก คล้ายๆกับเป็นเรื่องจริง ไม่เวอร์จนเกินไป บอกเลยว่าแนวนี้แหละที่ใช่

sniperteam

อ่านกี่ทีก็สนุก พอจะเดาได้ว่าใครนางเอกคงไม่มีหักมุม เป็นนิยายที่ดีติดตามอ่านมาโดยตลอด คนเขียนแต่งได้ชวนติดตามมาก ขอบคุณมากครับ

eternal6969

ตอนนี้ยังไม่มั่นใจว่าใครจะเป็นนางเอกเลย กลัวพล๊อตจะมีหักมุม แต่อ่านสนุกมากครับ

633sqd

อยู่ๆตรีโผล่มามีบทเพิ่ม เริ่มเขวจะม้ามืดมั๊ย ใครก็ได้ขอให้แฮปปี้ตอนจบแล้วกัน ::JubuJubu:: ::JubuJubu::

elviswhat

และแล้วชื่อแฟนเก่ายูเราก็ได้รู้สักทีว่าเป็นใคร สงสัยมาตั้งนาน