ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

หมอชันสูตรกับวิญญาณ(ไฮโซสาว) 7

เริ่มโดย twintower, กรกฎาคม 17, 2022, 01:51:15 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

twintower

 ทำเอาผมหัวเราะกับคำพูดของเธอ วิญญาณเธอย่นจมูกให้ผมก่อนจะหายไป หลังจากนั้นอีก 2 วันผลที่ตรวจชิ้นเนื้อของนายวิชาญออกมาซึ่งไม่ตรวจพบสิ่งแปลกปลอมอะไร ผมส่งผลไปให้กับทางตำรวจ ส่วนในเรื่องของคดีนั้นคำสารภาพของคนที่ฆ่านั้นตรงกับที่วิญญาณของวิชาญบอกผม คดีนี้จบลงอย่างง่ายกว่าที่คิด ตำรวจคิดตรงกับผมว่าคนฆ่าดื่มเหล้ามากจนทำให้ประสาทหลอน แต่เรื่องท่าทีหวาดกลัวของวิญญาณนายวิชาญนั้นทำให้คาใจอยู่พอสมควร แต่ผมไม่สามารถที่จะหาสาเหตุได้ แต่ก่อนที่ตำรวจจะส่งคนฆ่านายวิชาญไปฝากขังที่เรือนจำปรากฏว่าคนฆ่านายวิชาญนั้นตายคาห้องขังเพราะหัวใจวาย แต่เคสนี้ผมไม่ได้เป็นคนชันสูตร ทำให้คดีนี้ปิดไปโดยปริยาย

หลังจากนั้นผ่านไป 2 อาทิตย์ผมถูกเชิญให้ไปอบรมกับเจ้าหน้าที่พึ่งได้รับการบรรจุของหน่วยพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งตัวของผู้กองอลิสานั้นเข้ามานั่งฟังอยู่ด้วย ผมได้ยกเคสหนึ่งขึ้นมาบรรยาย มันเป็นเคสฆาตกรรมอำพรางหญิงสาวคนหนึ่งที่เข้าใจกันว่าจมน้ำตายในคลองแห่งหนึ่ง ซึ่งศพนี้ผมเป็นคนผ่าชันสูตรเองและพบว่าเป็นการฆาตกรรมโดยไม่ต้องพึ่งพาวิญญาณ ผมเป็นคนหาที่มาที่ไปจนทำให้ตำรวจไปสืบขยายผลว่าเป็นการฆาตกรรม

"ดูภาพนี้นะครับ เป็นภาพของเส้นผมของคนตาย ถ้าสภาพเส้นผมที่เกิดจากแผลบนศีรษะ ปลายเส้นผมจะหยาบเป็นเส้นเล็กๆ แต่นี่จะเห็นว่าสภาพเส้นผมยังเกาะแน่นไม่เสียหาย มันหมายถึงเส้นผมของคนตายถูกตัด อาจจะเป็นกรรไกรทื่อๆ หรือไม่ก็มีอะไรไปเกี่ยวกับเส้นผม เช่นพวกกำไร สายนาฬิกาข้อมือหรือแหวน จากตอนแรกที่หลายๆคนมองข้ามเพราะสภาพศพของคนตายไม่มีบาดแผลอะไรที่แสดงว่าถูกทำร้าย ทำให้การสันนิษฐานในเบื้องต้นคือจมน้ำตาย แต่จะมาจากการฆ่าตัวตายหรือไม่นั้นยังเป็นประเด็นอยู่ แต่พอมีการชันสูตรแล้วผมมาตรวจเจอสภาพของเส้นผมที่เป็นแบบนี้ ผมจึงตั้งข้อสงสัยขึ้นว่าเพราะอะไร สภาพเส้นผมเป็นแบบนี้ คนตายอาจจะถูกอุ้มเพื่อมาทิ้งศพลงในคลอง แล้วเส้นผมของคนตายอาจไปเกี่ยวกับสิ่งของพวกเครื่องประดับที่ ที่คนอุ้มสวมอยู่"

ผมเว้นระยะไว้เล็กน้อยก่อนจะบรรยายตอ

"และผลตรวจจากตัวผู้ตาย นั้นพบแอลกอฮอล์ในกระเพาะอาหารในปริมาณที่มาก จากรายงานผลชันสูตรนี้ทางตำรวจจึงต้องไปทำการสืบสวนเพิ่มเติม  ทำให้รู้ว่าผู้ตายถูกแฟนฆ่าตายด้วยการมอมเหล้าจนทำให้เมาจนหมดสติก่อนจะเอาร่างมาทิ้งลงคลอง หลักฐานที่ทำให้ยอมรับสารภาพคือเส้นผมของผู้ตายที่ไปติดอยู่ในสายนาฬิกาข้อมือของแฟนคนตาย เจ้าตัวยอมรับสารภาพหลักจากที่เจอหลักฐานที่ทางฝ่ายพิสูจน์หลักฐานไปตรวจเจอและนำมาเทียบกับ DNA ของคนตายพร้อมด้วยสภาพของเส้นผมที่ขาดจากการถูกสายนาฬิกาข้อมือตัด เป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์มัดตัวคนฆ่าได้อย่างแน่นหนา ส่วนสาเหตุการฆ่าคือจะเลิกกับผู้หญิงคนนี้เพื่อจะไปคบหากับคนใหม่ แต่คนตายไม่ยอมเลิก พวกคุณคงจะจำคดีนี้กันได้ เป็นข่าวใหญ่อยู่หลายวัน"

มันเป็นอีกเคสหนึ่งที่ผมยกมาบรรยายในวันนี้ จนถึงเวลาที่จะถามตอบ

"คุณหมอคิดว่าเป็นไปได้ไหมครับ เกี่ยวกับเรื่องของพวกฆาตกรเลียนแบบโดยเอาเรื่องการฆาตกรรมที่เคยเกิดขึ้นมาใช้เป็นตัวอย่างแถมตัวฆาตกรเองก็มีวิธีระวังป้องกันตัวเองโดยเอาความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นมาเป็นตัวอย่างในการระวังป้องกันตนเอง"

เป็นคำถามจากนายตำรวจฝ่ายพิสูจน์หลักฐานคนหนึ่ง

"ก็มีทางเป็นไปได้ครับ แต่มันคงทำยากอยู่เหมือนกัน เพราะไม่ใช่ในหนังหรือในการ์ตูนต่อให้คุณเตรียมทั้งใส่ถุงมือ เอาหมวกหรือผ้ามาคลุมหัว เอาถุงพลาสติกมาคลุมรองเท้า แต่เวลาทำจริงๆมันต้องมีพลาดบ้าง เพราะความเป็นคนยังไงครับ เรื่องฆ่าคนส่วนมากถ้าไม่ใช่พวกฆาตกรโดยสันดานแล้วคนธรรมดาต่อให้เตรียมการขนาดไหนมันต้องมีสภาพจิตใจที่ว่อกแว่กได้เหมือนกัน ตรงนี้ละจะเป็นจุดพลาดที่ทิ้งหลักฐานเอาไว้ ถึงบางทีจะเป็นจุดเล็กๆที่คนส่วนใหญ่มองข้ามแต่ถ้าเราใช้ทั้งความรู้ที่เรียนมารวมทั้งประสบการณ์ด้วยมันจะช่วยเราได้เยอะครับ ยิ่งตรงหน้างานที่บางครั้งมันไม่เหมือนกับที่เราเรียนมาหรือเคยเจอมา แต่มันจะมีจุดเล็กๆน้อยๆที่ทำให้เราสังเกตเห็นความผิดปกติได้ครับ"

"แล้วอย่างคดีที่ศาลพึ่งตัดสินไปไม่นานนี้ละคะ ที่ทางคุณหมอเองก็เป็นคนให้ทางตำรวจท้องที่ตรวจหาหลักฐานภายหลังจนทำให้จำเลยหลุดพ้นคดี มันมาจากอะไร"

ครั้งนี้ผู้กองอลิสาเป็นคนถามผม

"บอกตรงๆนะครับ เรื่องนี้มันคงมาจากความเอะใจของผม เพราะสิ่งที่ตรวจเจอจากศพคนตายคือนายทรงเดชนั้น ไม่เจออะไร มีแต่ร่องรอยการต่อสู้และบาดแผลที่บอกว่าถูกยิงในระยะประชิด แต่พอผมเห็นคำให้การของจำเลย ที่มีบางอย่างบอกว่าจำเลยนั้นไม่โกหกตรงนี้มันตรงกับที่ทางตำรวจที่เป็นคนสอบปากคำบอกกับผม รวมถึงผมได้หาโอกาสไปพูดคุยกับจำเลยเอง มันทำให้ผมมั่นใจว่ามันต้องมีประเด็นหรืออะไรบางอย่างที่ตรวจหาไม่เจอ ผมถึงต้องไปคุยกับตำรวจเจ้าของคดีอีกรอบว่าอยากจะให้ตรวจหาร่องรอยเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องการเก็บปืนที่ผู้ต้องหายืนยันว่าเก็บปืนไว้ที่บ้าน ตรงนี้มันตรงกับประเด็นที่ทางตำรวจเองก็สงสัยอยู่ พอมีผมมาช่วยจุดประเด็นหรือกระตุ้น ทางตำรวจจึงตรวจหาหลักฐานเพิ่มเติมและเจอร่องรอยที่เป็นหลักฐานที่ชี้ตัวไปถึงพวกคนร้ายได้ครับ"

"จะเรียกว่าหมอไปช่วยพวกหน่วยพิสูจน์หลักฐานด้วยใช่ไหมคะ"

ผมฟังออกว่าผู้กองสาวนั้นประชดผม

"จะว่าแบบนั้นก็ได้ครับเพราะอย่างที่ผมบอกไปแล้ว ทุกอย่างมันขึ้นกับประสบการณ์และข้อสงสัยของผมกับตำรวจตรงกันพอดี ถ้าผมเกิดไม่มีข้อสงสัยก็คงจะมีคนติดคุกฟรี"

"ขอบคุณคะคุณหมอถ้าอย่างนั้นขอถามต่อนะคะ ไหนก็ถือว่าเป็นคำถามเพื่อความบันเทิงก็แล้วกัน เพราะหลายคนในห้องนี้ตอนเข้ามาอบรมกันใหม่ๆ มักจะถามอลิสาตลอดว่าทำงานแบบนี้เคยเจอผีหรือเปล่า  ไหนๆคุณหมอที่ทำงานกับพวกศพมาตลอดแล้ว อลิสาเลยขอถามแทนน้องๆพวกนี้ว่า คุณหมอเคยเจอพวกผีหรือวิญญาณบ้างหรือเปล่าคะ"

เป็นคำถามที่เรียกเสียงหัวเราะได้ ทุกคนคงเข้าใจว่าเป็นคำถามเพื่อความครื้นเครง แต่สายตาที่เธอมองมาที่ผมมันไม่ใช่อย่างที่หลายๆคนเข้าใจ ผมเลยแกล้งหัวเราะออกมาก่อนจะตอบปิดท้ายไปว่า

"มองด้วยตาเปล่าไม่เคยเห็นครับ สงสัยต้องไปหาแว่นที่มองเฉพาะทางมาใส่ก่อนแล้วถึงจะตอบได้"

คำตอบผมเรียกเสียงหัวเราะได้ยกเว้นคนถามที่แค่ยิ้มๆ ยกเว้นตรงแววตาของเธอที่มันดูแปลกๆ ไปกว่าทุกครั้ง ผมไม่แน่ใจว่าเธอแอบเคืองผมหรือเปล่าเพราะคดีนี้ที่ผมยกเป็นตัวเป็นคดีแรกที่ผมรู้จักกับเธอซึ่งตอนแรกในรายรายงานเธอบอกตรวจไม่พบอะไร และผมเป็นคนมาตรวจเจอจากเส้นผม ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะงานตรงนี้เป็นหน้าที่ของหมอชันสูตรอย่างผมอยู่แล้ว เธอไม่น่าที่จะเก็บมาคิด

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมเริ่มเอะใจกับตัวผู้กองอลิสามากขึ้น รวมท่าทีแปลกๆของวิญญาณนายวิชาญที่ผมไม่ลืม มันมีอะไรบางอย่างที่ยังสะกิดใจผมอยู่ ซึ่งผมนั้นไม่สามารถที่จะหาคำตอบได้ ส่วนไอ้วิญญาณร้ายนั้นดูมันจะเงียบๆไป ผมถามไปที่กิ่งกาญจน์เธอบอกกับผมว่า

"ก็อย่างที่ฉันเคยบอกคุณไง ว่าถ้าคุณสวมจี้มันเข้าใกล้คุณไม่ได้ ส่วนแถวๆบ้านคุณมันไม่เคยโผล่หัวมาให้เห็น ที่โรงพยาบาลไม่ต้องพูดถึงไม่ไม่กล้าโผล่ไปในละแวกนั้น ส่วนที่เหลือฉันไม่รู้ มันอาจจะไปแล้ว หรือมันอาจจะแอบตามคุณอยู่เหมือนเดิมก็ได้"

มันเป็นคำตอบที่ไม่ช่วยอะไรผมได้เลย ยิ่งแบบนี้มันยิ่งสร้างความวิตกให้ผมพอสมควร เพราะมันจะไปสร้างปัญหาให้กับคนรอบข้างผมด้วย อย่างพลอยผมหมดความกังวลเพราะเธอมีพระเครื่องติดตัวเหมือนกับคนในบ้านผม แต่กับแต้วทำให้ผมกังวลเพราะเธอไม่มีพระเครื่องห้อยคอ เพตุผลคือไม่ค่อยชอบที่จะถอดเข้าถอดออกบ่อยๆตามประสาสาวรักสนุก หลังจากวันที่ผมไปบรรยายให้กับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน อาทิตย์ต่อมาเธอมาที่โรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่ผมรู้เพราะเธอส่งข้อความมาหา เพื่อนัดผมไปทานมื้อเย็นที่คอนโดที่เธอพักอยู่ซึ่งผมไม่ติดอะไรและที่สำคัญวิญญาณของคู่หูตัวแสบนั้น คุณตาทวดพระภูมิบอกกับผมว่าท่านให้เธอเข้าเงียบ 7 วัน คือเธอต้องบำเพ็ญเพียรนั่งสมาธิโดยไม่ติดต่อพูดจากับใครเป็นเวลา 7 วัน ซึ่งผมเองก็ไม่ถามเหตุผลอะไร มันทำให้ผมสบายหูไปได้ 7 วันและดูเหมือนจะเป็นจังหวะที่ลงตัวเพราะไม่มีคดีที่พิเศษที่ต้องพึ่งพาเธอ ผมจึงไปหาแต้วตามที่นัดไว้ ผมขับรถตามม่ายสาวเซลล์ขายยาไปจนถึงคอนโด  และผมเองก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองศาลพระภูมิเจ้าที่ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าถ้าไอ้ทรงเดชมันจะบุกเข้ามาจริงๆ พระภูมิขี้หลีองค์นี้จะต้านทานมันได้หรือเปล่า

แต่ผมเองก็ปล่อยผ่านเพราะเรื่องสนุกกำลังรอผมอยู่แถมไม่ต้องมาระแวงกับยายผีจอมจุ้นอีก เวลาผ่านไปชั่วโมงเศษๆหลังจากที่เราทานอาหารกันเรียบร้อย  ผมกำลังนอนหนุนตักเจ้าของห้องอยู่บนโซฟาตัวยาว มือผมเริ่มไม่อยู่สุขเพราะหน้าอกขนาดใหญ่มันอยู่ไม่ห่างจากใบหน้าของผม ผมเอามือล้วงเข้าไปที่ชายเสื้อของแต้วไปสัมผัสยกทรงที่ห่อหุ้มนมขนาดใหญ่ของเธอ พร้อมขยำไปเบาๆบนเต้า2 เต้า

"ยุทธนี่มือไวจริงๆเผลอไม่ได้"

เจ้าของเต้าแกล้งบ่นออกมา แต่ปล่อยให้ผมขยำไม่หยุดยิ่งผมใช้มือล้วงผ่านยกทรงเข้าไปสัมผัสเนื้อแท้ เธอยิ่งขยับตัวให้ผมขยำนมเธอได้ถนัดขึ้น จนนิ้วผมเลื่อนไปบี้ตรงหัวนมแต้วเริ่มหายใจถี่ขึ้น ส่วนมือของเธอนั้นกำแขนผมแน่น ทำให้ผมถามเธอ

"ไปที่เตียงนะ"

แต้วพยักหน้า ผมขยำนมเธอทิ้งท้ายก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วดึงหน้าเธอเข้ามาจูบ เราแลกลิ้นกันอย่างเร่าร้อน และผมจัดการถอดเสื้อที่เธอสวมอยู่ออก ตามด้วยยกทรงก่อนจะกดตัวเธอลงไปนอนบนโซฟาตัวเดิม แต้วโน้มคอผมลงมาแล้วกดหน้าผมให้ลงมาแนบกับนมของเธอ

"ไม่ไปที่เตียงแล้วหรือไง"

เสียงอันกระเส่าของเธอถามมาที่ผม

"ไม่ละ เปลี่ยนใจแล้ว เราไม่ได้เอากันบนโซฟานานแล้ว"

ผมบอกเธอก่อนจะเอาลิ้นไปแตะไปที่ฐานหัวนมสีน้ำตาลเข้มผมใช้ลิ้นเลียไปรอบๆก่อนจะเอาปากเม้มไปยังหัวนมที่ชูชันและบานขยายออก ส่วนอีกเต้าถูกมือผมเคล้นคลึงไปมาอยู่ ผมทำสลับไปมา ก่อนจะเลื่อนหน้าขึ้นไปจูบกับเธออีกครั้ง ส่วนมือนั้นกำลังล้วงผ่านชายกระโปรงตรงไปสัมผัสตรงเป้าของกางเกงในที่กำลังแฉะ พร้อมใช้นิ้วกรีดไปตามร่างผ่านเนื้อผ้าที่บางเบา จนแต้วร้องบอกให้ผมช่วยถอดท่อนล่างของเธอออกซึ่งเธอยกก้นขึ้นทันที

กระโปรงกับกางเกงในถูกผมถอดออกมาอย่างรวดเร็ว ตามด้วยเสื้อผ้าของผมซึ่งแต้วได้ลุกขึ้นมานั่งเพื่อช่วยผมถอดเสื้อผ้า จนผมอยู่ในร่างเปลือยเหมือนกับเธอ แต้วดันตัวผมให้นอนหงาย สายตาของจ้องมาที่ควยที่กำลังแข็งตัวของผม ผมเห็นลิ้นเธอเลียรอบริมฝีปาก ก่อนจะก้มหน้ามาที่ควยผม มือของแต้วประคองจับควยผม ตามด้วยลิ้นที่เลียไปรอบส่วนหัวแล้วลากลงมาถึงลูกกระโปก  ลิ้นแต้วเลียไปทั่งควยและลูกกระโปกของผม ก่อนที่เธอจะเอาปากครอบ พร้อมจับมือผมให้มาสัมผัสที่เต้านมขนาดใหญ่ของเธอ ด้วยฤทธิ์ของปากเธอทำให้ผมเสียวจนลืมตัว ทั้งครางทั้งบีบไปที่นมเธอแรงๆ จนเธอเงยหน้าขึ้นมาหลังจากที่ใช้ลิ้นกับควยผมจนพอใจ แต้วเอื้อมมือไปหยิบถุงยางที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อผมออกมาสวมที่ควยผม แล้วขยับตัวขึ้นมาเอาหีมาจ่อที่ควยผม  เธอค่อยๆหย่อนตัวทับลงมา ผมไม่รอช้า เด้งเอวขึ้นไปทันที ทำเอาเธอเป็นฝ่ายร้องออกมา

"โอ้ว ยุทธเบาๆหน่อยสิ"

เธอทำหน้าดุผมก่อนจะขยับตัวขึ้นลงไปมา ผมเอามือไปประคองที่เอวของเธอ จนเธอเร่งจังหวะขึ้นทำให้นมขนาดใหญ่กระเพื่อมตาม จนผมอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนจากจับเอวมาจับที่นมของเธอ ผมทั้งเคล้นทั้งคลึง ส่วนม่ายสาวนั้นเด้งตัวไม่หยุดพร้อมกับเสียงครางที่ดังออกจากปาก ผสมกับเสียงเนื้อที่กระทบกันไม่หยุดยิ่งผมเด้งสวนเป็นระยะเธอยิ่งครางไม่หยุด จนเธอส่งสัญญาณมาว่าจวนจะถึงจุดหมาย

"ยุทธขาอีกนิดโอ้ววว แต้วจวนแล้วซี๊ดดด โอ้ววววววววววว"

ผมแอ่นตัวพร้อมปล่อยน้ำกามเข้าไปในถุงยาง เหมือนกับเธอแอ่นตัว ใบหน้าเกร็งบอกถึงความเสียวที่ได้รับ ก่อนจะซบตัวลงมานอนบนตัวผม  มือทั้งสองผมลูบไปบนแผ่นหลังของเธอลงมาถึงสะโพกที่ผายกว้าง ผมขยำไปเบาๆ ส่วนเจ้าของนั้นนอนหายใจถี่ๆด้วยความเหนื่อยบนตัวผม เธอเอาปากมางับหูผมเบาๆก่อนกระซิบ

"ไปอาบน้ำกันเถอะ"

ผมขยำก้นเธอแรงๆเป็นการตอบรับ ตอนที่ลุกขึ้นแต้วถอดถุงยางที่ผมสวมโยนใส่ถังขยะก่อนจะพากันไปในห้องน้ำ เราต่างช่วยกันปลุกอารมณ์กันให้ลุกโชนกันอีกครั้งภายในห้องน้ำ จนพากันมาที่เตียงหลังจากที่ช่วยกันเช็ดตัวจนแห้ง เราทั้งคู่ต่างใช้ปากทำรักให้กับอีกฝ่ายด้วยท่า 69  จนอารมณ์เราได้ที่ แต้วพลิกตัวมานอนหงายบนเตียง พร้อมดึงตัวให้ผมขึ้นมาอยู่บนตัว ขาเธออ้าออกรอรับการเย็ดจากผมที่กำลังเอาควยไปจ่อที่รูหี ผมดันควยเข้าไปทันทีก่อนจะเริ่มกระเด้าเป็นจังหวะ ส่วนแต้วมือทั้งคู่ของเธอนั้นกอดรัดไปตามแผ่นหลังของผมพร้อมกับการเด้งรับอย่างรู้จังหวะ พร้อมการการแลกจูบอย่างเผ็ดร้อนสลับไปกับเสียงครางจากปากที่บ่งบอกถึงความเสียวที่กำลังได้รับ จังหวะรักของเราเป็นไปด้วยดีเหมือนทุกครั้ง จนแต้วไปถึงจุดหมาย ผมกระเด้าไปอีก2-3 ครั้ง ก่อนจะชักควยออกมาแล้วเลื่อนตัวขึ้นไปเอาควยจ่อไปที่ปากของเธอ แต้วผงกหัวขึ้นมาเอาปากอมควยก่อนที่ผมจะหลั่งน้ำกามเข้าไปในปากเธอ

ผมออกจากห้องเธอในช่วงดึกของคืนนั้นด้วยความอิ่มเอมแต่ก่อนที่จะไปที่รถออกไป ผมนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเดินไปตรงศาลพระภูมิแล้วตั้งจิตไปที่พระภูมิเจ้าที่

"ขอเชิญท่านพระภูมิออกมาพบกับผมด้วยครับ"

สิ้นคำในกระแสจิตผม ร่างของชายสูงวัยมายืนปรากฏตรงหน้าผม ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก

"มีอะไรหรือคุณหมอ ถ้าไม่ใช่เพราะบารมีของจี้ ข้าไม่มีวันที่จะออกมาเสวนากับท่าน ขอให้คุณหมอรู้ไว้ด้วย"

ผมถอนหายเมื่อเจอกับคำพูดที่หยิ่งยะโส ก่อนจะตอบกลับ

"ผมอยากทราบว่าไอ้วิญญาณร้ายที่มันอาฆาตผมอยู่มันมาแถวนี้บ้างหรือเปล่าครับ"

"โอ๊ยมันไม่กล้าหรอก ถึงมันจะมามันก็สู้ข้าไม่ได้ ข้านะเป็นถึงเจ้าที่ อย่างไอ้วิญญาณดวงนั้นนะมันกระจอก มันไม่กล้าบุกเข้ามาหรอก"

เห็นคำพูดและทีท่าอันอวดดีของพระภูมิที่นี้ทำให้ผมไม่อยากพูดอะไรต่อ แต่ใจก็นึกห่วงแต้ว ว่ามันจะมีผลกระทบอะไรกับเธอหรือไม่ ผมลาพระภูมิหัวงูก่อนจะขับรถกลับบ้าน และหลังจากนั้นอีก 2-3 วันแต้วโทรมาคุยกับผมเธอบอกว่าเธอจะไปบวชถือศีล 8 เป็นเวลา 15 วัน ที่วัดป่าแห่งหนึ่ง เพราะตัวเธอเองรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เหมือนมีอะไรมาคอยรบกวนจิตใจอยู่ตลอดเวลาจนเธอไปปรึกษากับหัวหน้าและหัวหน้าเธอชวนให้ไปถือศีล 8 ที่วัดป่าด้วยกัน เธอเลยโทรมาบอกผมว่าจะติดต่อกับเธอไม่ได้ประมาณครึ่งเดือน หลังจากที่เธอละศีลแล้วเธอโทรมาหาผมพร้อมเล่าให้ฟังว่าตอนนี้เธอรู้สบายใจเหมือนเดิม สิ่งที่เธอรู้สึกว่ามาคอยรบกวนจิตใจนั้นหายไปตั้งแต่วันที่เธอไปถือศีลวันแรก และไม่มีอีกเลย เรื่องที่เธอเล่ามันทำให้ผมเอะใจมาก จนกลับถึงบ้านผมลองปรึกษากับคุณตาทวดพระภูมิดูว่าท่านจะให้คำตอบกับผมได้หรือไม่ เพราะผมลองคุยกับวิญญาณคู่หูจอมจุ้นของผมที่หลังจากที่เธอไปบำเพ็ญเพียรเข้าเงียบ 7 วันดูเธอจะสงบปากสงบคำมากขึ้น เธอบอกว่าลองไปถามคุณตาทวดดูเพราะเธอเองก็ไม่รู้ พอเล่าให้ท่านฟัง ในดวงจิตของผมได้ยินเสียงท่านตอบกลับมาว่า

"เรื่องแบบนี้มันเข้าใจยากนะเจ้ายุทธ ความจริงเพื่อนเจ้าคนนนี้ก็ถูกวิญญาณร้ายดวงนั้นจ้องจะเล่นงานอยู่ แต่มันทำได้เพียงรบกวนจิตใจเท่านั้น ไม่ใช่จากความเก่งกล้าของพระภูมิเจ้าที่อะไรนั่นหรอก แต่มันมาจากที่วิญญาณร้ายมันทำอะไรเพื่อนเจ้าไม่ได้มาก เพราะมันสื่อถึงกันไม่ได้ เรื่องนี้ตาจะบอกให้เจ้าเข้าใจง่ายๆว่า มันคล้ายๆกับตอนที่เจ้าเห็นวิญญาณแล้วติดต่อพูดคุยสื่อสารกันไม่ได้ แต่นี่มันทำให้เพื่อนเจ้าเห็นไม่ได้ทั้งๆที่มันพยายามอย่างหนัก แต่ก็ทำได้เพียงแค่ให้เพื่อนเจ้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่านั้น  พอเพื่อนเจ้าไปปฏิบัติธรรมผลที่ได้รับจากการปฏิบัติธรรมมันกลายเป็นเกราะป้องกันทันที เจ้าสบายใจได้สำหรับเพื่อนเจ้าคนนี้ไอ้ผีร้ายมันทำอะไรไม่ได้ ส่วนคนที่เป็นหมอก็เหมือนกัน เพื่อนเจ้าคนนั้นมีพระเครื่องที่ติดตัวทำให้มันทำอะไรเขาไม่ได้"

คำอธิบายของคุณตาทวดทำให้ผมสบายใจขึ้นมาก จนถึงตอนนี้ผมมานอนกับแต้วอย่างสบายใจเพราะรู้ว่าไอ้วิญญาณร้ายมันทำอะไรเธอไม่ได้หลังจากคืนเดียวกันที่เจอกับผู้กองอลิสาที่ลานจอดรถร้านอาหาร แต้วก็ไม่ได้โทรมาเล่าอะไรให้ผมฟัง

จนวันนี้ในช่วงค่ำผมได้รับแจ้งให้ไปตรวจศพคนที่ผูกคอตายในสวนแห่งหนึ่งที่อยู่ไกล้กรุงเทพ แต่มันสำคัญตรงที่คนที่ผูกคอตายนั้นเป็นคนในแวดวงไฮโซชื่อศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังหลบหนีคดีฉ้อโกงอยู่   ที่ผ่านๆมาตำรวจพยายามตามจับแต่ไม่เป็นผลจนมีคนคาดการณ์ว่าหนีออกไปต่างประเทศแล้ว เพราะนายศักดิ์สิทธิ์หลอกให้คนเอาเงินไปลงทุนมูลค่ารวมแล้วหลายร้อยล้านบาทก่อนจะเชิดเงินหนี  ผมเข้าไปตรวจสอบศพตามปกติ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเองก็แจ้งว่าไม่มีร่องรอยอะไรที่ผิดปกติ ไม่ได้เป็นการฆาตกรรม ผมจึงนำศพมาผ่าพิศูจน์ตามขั้นตอนที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ซึ่งระหว่างทางที่กลับวิญญาณของกิ่งกาญจน์ได้บอกกับผม

"นี่คุณ คนตายคนนี้ฉันรู้จักดีเลยนะ คุณศักดิ์สิทธิ์นี้เขาเป็นคนดีนะ แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ถึงมาทำแบบนี้ เขานะพาลูกกับเมียมาซื้อกระเป๋ากับฉันบ่อย จนเป็นลูกค้าประจำทำให้รู้จักกันดี"

เธอบอกกับผม เพราะตัวเธอเองก่อนที่จะฆ่าตัวตายนั้น ครอบครัวของเธอทำธุรกิจนำเข้ากระเป๋าแบรนด์เนมจึงไม่แปลกใจที่เธอจะรู้จักกับคนตาย จนมาถึงโรงพยาบาลขณะที่กำลังตรวจศพคนตาย วิญญาณคนตายได้ปรากฏตัวต่อหน้าผมด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง ผมจึงบอกกับวิญญาณไปว่า

"คุณไปตามทางของคุณเถอะ บนโลกนี้คุณไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรอีกแล้ว"

"ผมมีอะไรจะบอกกับคุณหมอครับ"

วิญญาณของคนตายดูจะไม่แปลกใจที่ติดต่อกับผมได้

"เรื่องอะไรหรือคุณ"

"ความจริงผมเองก็ไม่รู้ว่า ทำไมผมถึงแบบนี้ เหมือนมีอะไรมาดลใจผมให้โกงเงินคนอื่น พอผมมารู้ตัวมันก็สายเกินไปเสียแล้วครับ ตอนแรกผมตั้งใจจะมอบตัวกับตำรวจเพื่อแต่มันมีอะไรบางอย่างที่บอกให้ผมฆ่าตัวตายหนีความผิด"

พอได้ยินการบอกอย่างนี้ทำให้ผมละมือจากศพคนตายทันที

"มันเป็นยังไงหรือครับ"

"ผมบอกไม่ถูกครับคุณหมอ ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง จะบอกว่าผมไม่รู้ตัวคงไม่ได้ ผมรู้ตัวตลอดเวลาทำแต่มันมีอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนจะคอยชี้นำความคิดของผม จนมาถึงเรื่องฆ่าตัวตายนะครับ ตัวผมนะไม่อยากตายเพื่อทิ้งลูกเมียให้เดือดร้อนนะครับหมอ ผมอยากรับผิดชอบสิ่งที่ผมทำขึ้น ไม่ใช่ฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิด"

วิญญาณคนตายบอกกับผมด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง แต่ผมเองก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้ แต่มันฟังแล้วแปลกๆถึงสาเหตุของการที่ทำเรื่องฉ้อโกงและการฆ่าตัวตาย มันอาจจะเป็นการบอกเพื่อให้ตัวเองดูดีก็เป็นได้ แต่ตลอดเวลาที่ผมคุยกับวิญญาณคนตาย กิ่งกาญจน์นั้นไม่ปรากฏร่างออกมาให้เห็น จนวิญญาณของนายศักดิ์สิทธิ์สลายไปเสียงของกิ่งกาญจน์ได้ดังขึ้นข้างๆผม

"ฉันเชื่อสิ่งที่เขาพูดนะคุณหมอ แล้วคุณละเชื่อหรือเปล่า"

"บอกไม่ได้นะคุณ แต่สิ่งที่ฟังมันดูน่าเชื่อเหมือนกันแต่เราไม่มีอะไรมายืนยัน"

"มันก็เป็นไปได้นะคุณ ถ้าจิตใจของคนไม่มั่นคง อาจถูกอะไรบางอย่างที่เหนือกว่ามาครอบงำได้ อย่างพวกแก็งส์ต้มตุ๋นไงที่ใช้หลักจิตวิทยามาครอบงำคนที่เป็นเหยื่อจนหมดเนื้อหมดตัวไง"

"แล้วแบบนี้ใครจะมาครอบงำคุณศักดิ์สิทธิ์ได้"

"มันก็ยังเป็นปริศนาต่อไปนะคุณ แต่เขาน่าสงสารมากนะ"

ผมยังไม่ทันได้ตอบเธอ มีเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานกับตำรวจเจ้าของคดีมาขอพบเรื่องผลการชันสูตรแต่ผมแปลกใจที่ผู้กอง อลิสาตามมาด้วย เธอบอกผมสั้นๆว่าเธอติดรถมาด้วย ผมแค่พยักหน้ารับทราบก่อนจะบอกไปยังตำรวจกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน

"จากที่ตรวจสาเหตุการตาย กระดูกต้นคอหักจากแรงกระชากนะครับ ดูจากสภาพรอบๆแล้วคนตายคงปีนขึ้นไปบนต้นไม้แล้วผูกเชือกกับกิ่งก่อนจะกระโดดลงมา ผมพบพวกเศษไม้ในมือทั้งสองข้างรวมที่ฝ่าเท้าของคนตายมีเศษดินติดอยู่ด้วยครับ เป็นการยืนยันว่าปืนขึ้นไปจริงๆ ส่วนรองเท้าที่ผู้ตายถอดไว้โคนต้นไม้รวมถึงเสื้อผ้าด้วย ผมเตรียมไว้ให้แล้วในถุงนี้ครับ"

ทางตำรวจกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานดูรูปที่ผมถ่ายประกอบคำอธิบาย โดยไม่ข้อโต้แย้งใดๆ แต่ตัวผู้กองสาวกลับมีคำถามกับผม

"คุณหมอลองเดาได้ไหมคะว่า เพราะอะไรจู่ๆนายศักดิ์สิทธิ์ถึงฆ่าตัวตายหนีความผิด เพราะเงินที่โกงไปก็จำนวนมากอยู่ เอาไปใช้ที่ต่างประเทศได้สบายๆ ที่สาอยากรู้เพราะอยากฟังความเห็นของคนที่มีประสบการณ์สูงอย่างคุณหมอนะคะ"

ผมแกล้งทำเป็นยิ้มๆ กับคำถามที่ไม่ควรถามพร้อมเว้นระยะไปเล็กน้อยก่อนจะตอบ

"นั่นนะสิครับในเมื่อผู้กองอยากให้ผมเดาผมก็เดา เพราะคนตายเองก็ไม่มีจดหมายลาตายไว้ด้วย อาจเป็นเพราะสำนึกผิดก็เป็นได้ครับ และไม่รู้จะหาทางออกแบบไหน คนเราบางทีทำอะไรก็ไม่คิดหน้าคิดหลังนะครับ"

"ถ้าอย่างนั้นคงไม่มีคำถามอะไรแล้วคะแต่ถ้าลองคิดดูแบบขำๆ ว่าถ้าเราสามารถพูดคุยหรือติดต่อกับวิญญาณได้ งานของเราคงสบายกว่านี้นะคะ ตำรวจจะได้ไม่ต้องตามสืบหาเงินที่คนตายโกงว่าเอาไปซ่อนไว้ที่ไหน ตอนแรกสานึกว่าจะได้ไอเดียๆดีจากคุณหมอเหมือนที่ผ่านมา ขนาดคนขับแท็กซี่ที่รถคว่ำคุณหมอยังบอกให้ญาติเขาไปหาบัญชีเงินฝากกับเงินสดที่เก็บไว้จนเจอ"

 

เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

Thunyawit sriradon

ผู้กองนี่ตามไม่ปล่อยเลยนะคับคุณหมอ ถ้าพลาดไปคุณเธอจับได้แน่ๆ

birdramon2

ผู้กองอลิสา ไปรู้ไปเห็น อไรมาหรือเปล่า?

MAC

ลุงว่านะถ้าถูกจับได้ก็ดีนะครับ(แต่ถูกจับอย่างอื่นนะครับ)ฮิๆๆๆ ::Waiting:: ::Thankyou::

ชายชรา

เริ่มรู้สึกว่าผู้กองมีลับลมคมในติดตามครับ

Jim Lord


Alan

คุณตำรวจ ต้องหาวิธีให้หมอรับสารภาพนะ... 555

schareon

สงสัยว่าผู้กองอลิสา น่าจะเป็นวิญญาณเหมือนกัน แบบนี้หมอกับผู้กองต้องไปหาที่คุยกันแบบเปิดอกในที่เงียบๆแล้ว

Nobita Nobituta

หรือวิญญาณจะดลใจให้โกง และบังคับให้ผูกคอตาย วิญญาณนี้คงแรงและมีอำนาจพอตัวเลย

1234non

ผู้กองคิดอะไรอยู่น้าาา หรือคุณหมอจะโดนผู้กองจัดการสะแล้ว

bumblebee81

หมอจะเสร็จผู้กองหรือผู้กองเสร็จหมอน้า.

dawdom

ผู้กองแบบนี้ต้องจัดซักดอกถึงจะเลิกกวน

yai79

ผู้กองมีอะไรในใจรึเปล่า บอกมาตรงๆนะครับ

Bluemuffer


kopXIIII

ชักจะรู้สึกแปลกๆกับผู้กองซะแล้วสิ