ผมเริ่มเดินออกมาสังสรรค์กับเพื่อนสาขาอื่นๆ ก็ได้รู้จักกับคนมากขึ้น อย่างน้อยก็เป็นการเปลี่ยนอารมณ์ เพราะเวลาอยู่ใกล้น้ำกับริน มันเป็นอารมณ์เดิมๆก็คืออารมณ์อยากเอา แต่มันเอาไม่ได้ ก็เลยลองออกไปหาเพื่อนใหม่ๆดูบ้าง จะได้ไม่เบื่อ และผมก็ได้นั่งคุยกับรุ่นพี่คนนึง เพื่อนๆจำได้หรือเปล่าที่ผมเคยเล่าว่าพี่เค้าเคยเป็นหนึ่งในสมาชิกคนรับแตง โม ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกนะว่าพี่เค้าเป็นสมาชิกอยู่ ไม่เห็นไอ้บิ๊กมันเล่าให้ฟังเลย ก็นั่งคุยกับพี่เค้า แม่งเรียนห่วยกว่าผมอีก ที่จริงแกต้องจบไปเมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่รู้รักคณะอะไรนักหนา ปีนี้ก็เลยยังอยู่เรียนปีห้าต่อ...
พี่เอกแอบเอาเหล้าใต้โต๊ะมาเติมในแก้วโค้กให้ผม ผมเหลียวหน้าเหลียวหลังเลิ่กลั่กเพราะกินเหล้าในคณะ โทษหนักพอๆกับแอบเอากันในคณะเลยล่ะ แต่พี่เอกดูจะไม่สนใจ ผมก็เลยต้องเลยตามเลย กินก็กินวะ พี่เอกเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟังเยอะแยะไปหมดเพราะแกเข้าคณะก่อนผมตั้ง สองปี แล้วไอ้สองปีมหาวิทยาลัยเนี่ยมันเปลี่ยนแปลงอะไรไปได้ตั้งเยอะ อย่างเช่นตัวผมเอง เป็นแฟนกับน้ำปีหนึ่ง พอปีสองเลิก เป็นแฟนกับรินปีสอง พอปีสองกว่าๆก็เลิก พอขึ้นปีสาม แม่งไม่เหลืออะไรเลย หรือบางคนเข้ามาปีหนึ่ง แม่คงจะกลัวว่าลูกสาวจะมีแฟน เลยทำหน้าตาลูกสาวให้มันน่าเกลียดเข้าไว้ ให้ลูกสาวเอานมเอาก้นเก็บไว้ที่บ้าน ไม่ต้องเอามาเรียนด้วย แต่พอปีสาม เธอเดินผ่านหน้าไป พวกเราต้องกลืนน้ำลายเลยว่าไอ้ที่ว่าหน้ามือเป็นหลังตีนมันเป็นอย่างนี้นี่ เอง เพราะคุณลูกสาวคงรู้แล้วว่าวิธีทำให้หน้าตาเป็นผู้เป็นคนเหมือนผู้หญิงคน อื่นๆเค้าทำกันยังไง และก็คงแอบเอานมเอาก้นที่เก็บไว้ที่บ้านมาใส่เหมือนเดิม อย่างนี้เป็นต้น แล้วเรื่องที่ผู้ชายคุยกันได้ถูกคอที่สุดก็ไม่พ้นเรื่องผู้หญิง พี่เอกเล่าเรื่องสาวๆในสาขาแกให้ฟังรวมทั้งสาวๆคณะอื่นที่แกได้ไปเยี่ยม เยียนมา ที่จริงมีเรื่องราวเยอะมาก สนุกๆทั้งนั้นเลย แต่ผมขี้เกียจลากเรื่องพวกนั้นเข้ามาเกี่ยวด้วยแล้ว เดี๋ยวเขียนไม่จบซะที แต่มีเรื่องนึงที่ผมฟังแล้วโคตรอิจฉาเลย ยังจำได้ถึงทุกวันนี้เลยล่ะ...
พี่เอกเล่าว่า...แหม ที่จริงถ้าจะให้ถูกแล้ว เพื่อนๆต้องรู้จักสภาพมหาวิทยาลัยผมซะก่อน ถึงจะบรรยายให้เพื่อนๆเห็นภาพได้ แต่ขืนบอกก็รู้สิว่าอยู่ที่ไหน เอาเป็นว่าผมเล่าคร่าวๆก็แล้วกันนะ...
พี่เอกเล่าว่าแกเคยไปเยี่ยมเพื่อนที่คณะที่อยู่ห่างไปสองช่วงถนนมหาวิทยาลัย คณะนั้นลูกผู้ดีทั้งนั้นเลย ไอ้คณะเราเนี่ยมันชนชั้นกลาง สาวๆคณะนั้นไม่สนใจคนของเราหรอก คราวนี้พี่แกก็ทะลึ่งไปปิ๊งสาวคนนึง ก็เลยให้เพื่อนช่วยพยายามแนะนำให้หน่อย เพื่อนก็ดีเหลือเกิน ไปเช็คแล้วเช็คอีกจนรู้กิจวัตรประจำวันของเธอ พอพี่เอกรู้ก็ขับรถไปเยี่ยมทันที อ้อ! ลืมบอกไป พี่เอกขับรถมาเรียนด้วย สมัยก่อนใครขับรถมาเรียนนี่ถือว่าไม่ธรรมดานะ พอไปถึงก็อาศัยเพื่อนแกเป็นคนกลางเข้าไปนั่งคุยด้วย เธอชื่อนก นกดูสุภาพ เรียบร้อย พูดจาดี พี่เอกชวนคุย เธอก็ไม่ได้หักหน้าแก ก็นั่งคุยด้วยอย่างดี พี่เอกบอกว่าตอนนั้นแกมีความหวังมากๆเพราะถ้าได้นกเป็นแฟนและพามาที่คณะ มีหวังแกเดินเบ่งเสื้อขาดแน่ๆเพราะรู้ๆกันอยู่ว่าผู้หญิงคณะนั้นแม่งโคตร หยิ่งเลย ตั้งแต่วันนั้นมา แกขับรถไปคณะนั้นเกือบทุกวันเพื่อไปหานก จนเริ่มสนิทกันมากขึ้น พี่เอกเล่าถึงตอนนี้แล้วก็หยุดไปตั้งนาน ผมนึกว่าแกไม่อยากเล่าแล้ว แต่ซักพักแกก็ส่ายหน้าแล้วเล่าต่อ แกบอกว่าตอนนั้นแกหายใจเป็นนกเลยล่ะ เลิกเรียนปุ๊บต้องรีบไปคณะนั้นทันที แบบว่าไม่เห็นหัวสาวๆในคณะตัวเองเลย จนต่อมาก็เริ่มออกไปเที่ยวห้างด้วยกัน แกก็ซื้อของโน่นของนี่ให้นกเพราะอยากให้เธอดีใจ หรือบางทีนกอยากได้อะไรแกก็จะซื้อให้...
ทีนี้พอไปเรื่อยๆ นกชักจะขอมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกๆแกก็สู้นะ อยากได้อะไรก็ให้ แต่นานๆไปชักรู้สึกแปลกๆเพราะนกดูจะขอมากเกินความจำเป็นไปหน่อย จนท้ายๆแกเริ่มไม่ไหว พี่เอกเล่าว่าแกไปคุยกับเพื่อนคนเดิมว่าทำไมค่าใช้จ่ายมันสูงนักวะ เพื่อนแกหายไปสองสามวันแล้วเดินหน้าเหี่ยวกลับมาบอกแกว่าที่คณะนั้นเค้าพูด ถึงแกกันทั่วเลยว่าไอ้หนุ่มคณะนี้มันหน้าโง่ คงคิดว่านกจะชอบพี่เอกจริงๆ เดี๋ยวหมดตัวแล้วก็คงหายหัวไปเอง...
พี่เอกเล่าถึงตรงนี้แล้วแกก็ยิ้ม ผมมองงงๆเพราะที่จริงแล้วแกต้องทำหน้าโกรธมากกว่า แกบอกว่าตอนนั้นแกโกรธมากจริงๆแหล่ะ หมดเงินไปเกือบห้าหมื่นบาท สมัยนั้นเงินห้าหมื่นไม่น้อยนะ ถ้าจำไม่ผิด น้ำมันลิตรละหกบาทเอง ทองบาทละสองพันนิดๆ แกบอกว่าไม่ได้เสียดายเงินหรอก แต่เสียฟอร์มมากกว่า พอตั้งหลักได้แกก็บอกเพื่อนว่าแกจะเข้าไปพานกไปเที่ยวห้างเหมือนเดิม เพื่อนแกก็งงว่ายังไม่เข็ดอีกเหรอวะ...
เพื่อนๆรู้จักคลอโรฟอร์มหรือเปล่า มันเป็นสารเคมีในห้องทดลองชนิดหนึ่ง เอาไว้ใช้สำหรับดองศพ แต่คุณสมบัติของมันอีกอย่างหนึ่งคือเมื่อเอาไปผสมกับสารอีกตัวนึง มันใช้ทำยาสลบฉุกเฉิน อย่างเช่นถ้าใครซักคนอาละวาดมากๆเอาไม่อยู่ ก็จะใช้ไอ้ตัวนี้เพื่อน็อค ของเล่นอย่างนี้พวกผมรู้จักกันมาตั้งนานแล้ว แต่ที่ผ่านมายังไม่จำเป็นต้องใช้บริการมัน แล้วคนที่ผสมเก่งๆนะ เค้าสามารถกำหนดได้เลยว่าจะให้น็อคได้นานแค่ไหน แต่เพื่อนๆอย่าไปลองล่ะ เพราะไม่งั้นเดี๋ยวแทนที่ผู้หญิงจะน็อค เสือกจะกลายเป็นไปดองเธอทั้งเป็น ซวยตายห่าเลย...
ผมเกริ่นแค่นี้ เพื่อนๆคงพอจะนึกออกแล้วใช่หรือเปล่าว่าพี่เอกจะเล่นห่าๆอะไร แกเล่าว่าพอแกทำไม่รู้ไม่ชี้ไปรับนกเหมือนเดิม นกก็ไปด้วยนะ แกก็ขับรถไปห้าง เรื่องของเรื่องคือนกไม่ได้เข้าไปในห้างหรอก เพราะพี่เอกแกจัดการนกที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของห้างนั่นแหล่ะ...
ตอนแรกผมฟังก็นึกว่าแกโม้เพราะมันทำได้ยาก เท่าที่ผมรู้จัก ไอ้ยาตัวนี้มันแรงมาก ถ้าแกนั่งอยู่ในรถกับนก นกน็อค แกก็ต้องน็อคด้วยเพราะมันเป็นพื้นที่อับ พี่เอกหัวเราะใหญ่เลย แกบอกว่าแกทำเป็นไอ เอาผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกตัวเอง แล้วก็เอาอีกผืนที่ผสมยาแล้วไปใกล้ๆจมูกเธอ ไอ้ยาตัวนี้มันไม่เหมือนในหนังนะ ที่ผู้ร้ายต้องอุดจมูกนางเอกซะจนผมกลัวว่านางเอกจะขาดใจตายซะก่อนกว่าจะน็อค อย่างที่ผมบอกไงว่าถ้าผสมให้ดี แค่จ่อตรงจมูกก็ไปแล้วเพราะมันจะไปเบรกการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ไม่อธิบายล่ะเพราะมันยาว ผมไม่ได้เขียนวิชาวิทยาศาสตร์ให้เพื่อนๆอ่านนะ...
พี่เอกถามผมว่าอยากฟังแบบลงลึกหรือเปล่า ผมอยากจะบอกแกว่าโคตรอยากฟังเลย แต่เดี๋ยวเสียฟอร์ม ก็เลยบอกว่าแล้วแต่แก แกเล่าแค่ไหน ผมก็ฟังแค่นั้น แกก็เล่าต่อว่าพอนกไปซะแล้ว แกก็ขับรถออกจากห้างไปเรื่อยๆสบายๆเพราะมีเวลาเหลือเฟือ ไม่ต้องรีบร้อนอะไร แกขับรถไปม่านรูดแถวๆปากเกร็ดแล้วก็เลี้ยวเข้าไป พอเด็กปิดม่านก็พยุงนกเข้าไปในห้องแล้วเอาไปวางบนเตียง...
ผมนึกแล้วโคตรขำเลย พี่เอกบอกว่าตอนนั้นแกแค้นมากจริงๆ แกหมดเงินไปห้าหมื่นกว่าบาท เพราะฉะนั้น ระหว่างขับรถ แกตีราคาทุกอย่างในตัวของนกเป็นเงินหมดเลย จูบปากกี่บาท จับนมกี่บาท ไซ้ทั้งตัวกี่บาท และเอากี่บาท แกบอกว่าคำนวณดูแล้ว แกต้องเอาอย่างน้อยสองทีถึงจะไม่ขาดทุน...
พี่เอกบอกว่าพอแกถอดเสื้อผ้าของนกออกจนหมด แกรู้สึกว่าได้เอาแค่ทีเดียวก็ไม่ขาดทุนแล้วเพราะนกขาวไปหมดทั้งตัวเลย อ้อ! ไม่หมดหรอก ไอ้ข้างล่างมันมีสีดำอยู่บ้าง แต่ตอนนั้นแกคงไม่มีเวลามานั่งคิดเรื่องพวกนี้หรอก รีบถอนทุนดีกว่า...พี่เอกไม่ได้เล่าว่ากระบวนการถอนทุนของแกทำยังไง แต่แกสรุปว่า จะว่าคุ้มก็คุ้ม จะว่าไม่คุ้มก็ไม่คุ้ม ที่ว่าคุ้มเพราะไอ้ข้างล่างของนกเอามันมากและนมก็ใหญ่เต็มไม้เต็มมือดี ผมอยากจะถามแกเหมือนกันว่าที่ว่าเอามัน มันเป็นยังไง แต่ก็ไม่ได้ถาม ส่วนที่ว่าไม่คุ้มเพราะอีนี่มันไม่ซิง แกใส่ดุ้นของแกเข้าไปก็รู้แล้ว และพอเห็นว่าเป็นของมือสอง แกก็ต้องเบิ้ลเพื่อไม่ให้ขาดทุน...
ผมว่าถ้าสมัยนั้นมีกล้องวีดีโอหรือโทรศัพท์ที่ถ่ายรูปได้เหมือนสมัยนี้ แกคงถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกแน่ๆ...
เอาเสร็จแกก็นั่งรอนะ จนนกหายน็อคฟื้นขึ้นมา แต่ยังแฮงค์อยู่ แกก็นั่งสูบบุหรี่รออย่างใจเย็น พอนกหายจากอาการแฮงค์แล้วเห็นสภาพของเธอ เท่านั้นแหล่ะ เธอโวยวายใหญ่เลย บอกว่าจะแจ้งตำรวจ พี่เอกบอกว่าแกนั่งสูบบุหรี่ยิ้มๆ บอกนกว่าทำขนาดนี้ แกไม่กลัวตำรวจหรอก อย่างมากก็ถูกจับ แต่แกจะแฉนิสัยของเธอให้รู้หมดทั้งมหาวิทยาลัยเลยว่าเป็นพวกหลอกแดก แล้วจะเปิดโปงว่าเธอน่ะไม่ซิงมาตั้งนานแล้ว แล้วมาดูกันว่านกจะยังอยู่ในไอ้คณะผู้ดีนั้นได้หรือเปล่า ที่แกบอกอย่างนี้เพราะรู้ว่าอีเด็กคณะนี้น่ะรักหน้าจะตาย แต่ถ้าเลิกรากันแค่นี้ ก็จบแค่นี้ ต่อไปแกก็จะไม่มายุ่งกับเธออีก และเธอก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากไปกว่าที่เป็นอยู่อยู่แล้ว แกไม่เอา คนอื่นก็เอา คิดซะว่าได้ห้าหมื่นบาทแล้วเสียแค่นี้ ไม่ขาดทุนหรอก...
เออแฮะ นกเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วจริงๆ พี่เอกบอกว่าเธอนั่งคิดอยู่ซักพักแล้วก็คาดคั้นแกว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอก ใครจริงๆ แกบอกว่าสัญญาก็คือสัญญา เลิกแล้วต่อกัน แกก็ไม่ได้อยากยุ่งกับพวกหลอกแดกเท่าไหร่นักหรอก ที่ทำนี่ก็เพราะไม่อยากให้ตัวเองขาดทุนมากเกินไปนัก นกนั่งซักพักก็ตกลงกันตามนี้ แกก็พานกกลับมาส่งคณะเวรนั่นเหมือนเดิม...
แต่พี่เอกก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับหรอกนะ แกกลับมาเล่าให้เพื่อนสนิทแกฟัง ไม่ใช่ว่าอยากอวดหรืออะไรหรอก แต่เป็นการป้องกันว่าถ้านกหักหลังไปแจ้งความ แกจะให้เพื่อนๆแกไปช่วยกันกระจายเรื่องนี้ให้ทั่ว บอกวัน เวลา เบอร์ห้องที่โรงแรมเบ็ดเสร็จ แต่จนถึงทุกวันนี้ ก็ไม่มีข่าวตื่นเต้นอะไรสำหรับแก แล้วแกก็ไม่เคยกลับไปเหยียบคณะนั้นอีกเลย...
ขอบคุณมากครับ
ต้องโดนแบบนี้ซะบ้าง ไม่งั้นไม่จำ ::Angry::