เพื่อให้เพื่อนๆ ได้อ่านพล็อทสำคัญของเรื่องนี้กันได้อย่างต่อเนื่อง
ผมเลยเอามาลงให้อ่านกันติดกันไปหลายๆตอน แต่ที่จำเป็นต้องแยกการโพสระหว่างตอนที่41และ42 เป็น
สองกระทู้นั้น เพราะ ตอนที่ 42 จะมีเพลงซึ้งๆประกอบการอ่าน
จึงอยากให้เพื่อนอ่านไปพร้อมกับเปิดลำโพง หรือใส่หูฟังไปด้วยครับ
รับรองจะอินไปกับบทเรื่องที่ผมบรรจงแต่งอย่างสุดฝีมือ
suckzeed.......................
อ่านก่อนอ่านผลงาน ] http://xonly69.com/read-xonly-tid-159448.html
"สรุปว่าจะให้เพลงไปส่งชัยที่ไหนคะ..."
เพลงรักสอบถามขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่ผมขึ้นมานั่งด้านข้างของเธอในรถสปอร์ตสีขาวคันเล็กๆ พร้อมขับเอื่อยๆออกจากบ้าน
อาภพช้าๆ น้ำเสียงของเพลงนั้นช่างเฉยชาจนผมรู้สึกกระอักกระอ่วน หันไปมองซีกหน้าด้านข้างของเพลงด้วยความคิดถึง
เพราะตลอดเวลาเกือบสองเดือนที่เกิดเรื่องราวขึ้นมาและผมอยู่ในความดูแลของอาภพนั้น เราสองคนมีเวลาพบเจอกันเพียง
ช่วงสั้นๆแค่สองสามครั้งเท่านั้น ฉนั้นเรื่องรักเรื่องใคร่จึงไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย แต่เพลงกลับไม่ยอมเหลือบตาหรือหันหน้ามมา
มองที่ผมเลยแม้สักครั้ง สายตาเธอจ้องเขม็งไปที่ท้องถนนเบื้องหน้า อย่างใช้สมาธิ
"เอ่อ..ไปส่งชัยที่หมอชิตใหม่ก็ได้ครับ..."
ผมยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปที่นั่นเพื่ออะไร เพราะยังไม่ตัดสินใจเลยว่าจะกลับบ้าน อีกทั้งคงไม่มีหน้ากลับไปหาแม่แน่ๆ แต่เมื่อ
เพลงถามมาเช่นนั้น จึงโพล่งคำตอบออกไปอย่างไร้ความคิด เมื่อเพลงได้ยินคำตอบเธอก็นิ่งเงียบไม่ยอมพูดจาอันใดออกมา บรรยากาศภายในห้องโดยสารเล็กแคบๆจึงยิ่งแสนจะอึดอัด เมื่อเพลงไม่พูดผมก็เลยได้แต่นิ่งเงียบไม่กล้าแม้จะหายใจให้เกิด
เสียง ทำได้เพียงหลับตาลงช้าๆ ปล่อยชีวติจิตใจให้ล่องลอยไปเสมือนขอนไม้เล็กๆ ที่ลอยไปตามกระแสน้ำเชี่ยวกรากอย่าง
ไร้จุดหมายไร้ทิศทาง
เพลงขับรถไประยะหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่ามันนานเกินไปแล้ว มันน่าจะถึงจุดหมายปลายทาง ที่ผมบอกออกไป ผมจึงค่อยๆลืมตา
ขึ้นมา บรรยากาศรอบช้างนั้นมันบอกให้ผมรุ้ทันทีว่ารถกำลังแล่นออกนอกเมืองหาใช่ไปสถานนีขนส่งหมอชิตแห่งใหม่ตามที่
ผมบอกไป
"เราจะไปไหนกันครับ..นี่มันออกนอกเมืองแล้วนะ..." ผมถามเพลงด้วยเสียงเบาๆ รู้สึกถึงความห่างไกลกันของเราสองคนอย่าง
ชัดเจน เพลงนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะตอบกลับมาด้วยเสียงเบาๆเช่นกันว่า
"ไปพบใครคนหนึ่งค่ะ..."
ผมได้ยินดังนั้นใจก็หวนไปคิดว่า ใครคนนั้นที่เพลงจะพาไปพบหรือจะเป็นบี แม้คิดในใจแต่ปากกับโพล่งออกไปว่าไปพบบีหรือ...
ผมพูดออกไปแล้วก็ชงักเมื่อเห็นเพลงเม้มริมฝีปากเรียวบางแน่น ไม่ตอบคำถามของผม แต่สายตาของเธอที่ผมแอบลอบชะโงก
หน้ามองนั้น ทำให้ผมใจหาย มันเป็นสายตาคนของที่เจ็บปวดรวดร้าวใจอะไรเช่นนั้น
แม้ผมจะอยากอธิบายให้เพลงเข้าใจว่าที่ถามว่าบีใช่มั๊ยนั้น ผมถามเพราะความเป็นห่วงบีเท่านั้น เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องราว ผมไม่
เคยรู้ข่าวสารใดจากบีเลยแม้สักนิด สำหรับไอ้เอกยังพอรู้ว่ามันกำลังทำเรื่องย้ายไปเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง
พี่เกศตามไปอยู่กับมัน แต่บีกลับหายเงียบไปโดยไม่ได้ข่าว กลุ่มปาร์ตี้สวิงของไอ้แจ็คกลับไอ้เฉินถูกทลายไป ไอ้เฉินกับพ่อมัน
พร้อมสมุนหนีหมายศาลหลบหนีออกนอกประเทศพร้อมไอ้แจ็ค แต่ผมกลับไม่กล้าอธิบายให้เพลงเข้าใจว่าที่ถามถึงบีนั้นเพราะ
เหตุนี้ เมื่อเห็นเพลงเม้มปากแน่นตาจ้องเขม็งไปที่ท้องถนนอย่างใช้สมาธิ
"ไม่ได้พาไปพบบีหรอกค่ะ.." พักใหญ่ๆเพลงค่อยตอบคำถาม แต่ก็ไม่อธิบายเพิ่มเติมว่าจะพาผมไปพบใคร เมื่อไม่อธิบายผมก็
ไม่อยากซักถาม เพราะไม่มีกระจิตกระใจหลงเหลืออีกแล้ว นอนหลับตานิ่งเงียบไปอีกครั้งในสมองเคว้งคว้างไร้จุดหมายปลาย
ทาง จนผ่านไปนานมากเป็นชั่วโมงๆ
"ถึงที่หมายแล้วค่ะ..."
เพลงพูดขึ้นมาลอยๆ ผมเลยลืมตาขึ้นมอง เบื้องหน้าคือคฤหาสต์หลังใหญ่ ปลูกอยู่บนเนินเตี้ยๆในอาณาเขตุที่กว้างจนไม่อาจ
รุ้ได้ว่ากี่ไร่กันแน่ เพลงขับรถเข้าไปจอดหน้าคฤหาสต์หลังนั้นแล้วเปิดประตุรถลงมายืนรอ ผมจึงค่อยๆตามลงมา แล้วเดินตาม
เพลงเข้าไปข้างในคฤหาสต์ที่พื้นปูด้วยหินอ่อนสีขาวนวนสะอาดตา เบื้องหน้ามีห้องรับแขกขนาดใหญ่ บุรุษสูงวัยยืนเด่นเป็น
สง่า แม้เห็นเพียงด้านหลัง
"กลับมาแล้วค่ะ..ป๊าคะ.." เพลงวิ่งถลาเข้าไปกอดด้านหลังของบุรุษสูงวัยท่านนั้น แล้วท่านก็ค่อยๆหันกลับมา ผมแทบชะงักเท้า
ยืนนิ่งอยุ่กับที่เมื่อจำได้ว่า ป๊าของเพลงนั้นคือนักการเมืองชื่อดังคนหนึ่งของภาคกลางที่เป็นประตุทางเชื่อมต่อกับภาคอีสาน
ปัจจุบันแม้จะโดนพักทางการเมืองไปชั่วคราว แต่บารมีก็ยังไม่หมดสิ้น ยังคงเป็นนักการเมืองแถวหน้าของประเทศไทย
"สวัสดีครับท่าน..."
ผมรีบยกมือไหว้ด้วยความรุ้สึกตื่นเต้นและสับสน ว่าเพลงจะพาผมมาพบป๊าของเธอทำไม แต่เมื่อท่านยกมือรับไหว้ผมแล้ว ป๊า
ของเพลงก็บอกให้เพลงออกไปรอนอกห้องท่านมีเรื่องที่จะคุยกับผมเป็นการส่วนตัว เพลงได้ยินดังนั้นก็เดินตัวลีบออกจากห้อง
แม้ผมจะพยายามส่งสายตามองตาม แต่เพลงนั้นไม่หันมาแลผมแม้แต่หางตาก็ยังไม่มอง ผมรู้สึกตัวเย็นวาบปลงตกกับชีวิตที่
ดูเหมือนไร้อนาคตเหลือเกินเรียนก็ไม่จบ งานก็ไม่มีทำ เงินติดกระเป๋ายังเหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยบาท หนำซ้ำยังโดนคนรักหมาง
เมินไปเช่นนี้อีก เอาเถอะ ถ้าจะโดนป๊าของเพลงยิงทิ้งโทษฐานบังอาจล่วงเกินลูกสาวเขา ก็ให้มันโดนๆไปจะได้จบชีวิตกัน
เสียทีผมปลงตกกับชีวิตเสียแล้ว
"นั่งลงก่อนสิหลานชาย..."
ป๊าของเพลงผายมือไปที่เก้าอี้หลุยส์ตัวโต ผมทรุดตัวลงนั่งพร้อมกล่าวขอบคุณเบาๆอย่างอ่อนแรง เตรียมตัวพร้อมที่จะเผชิญเหตุการณ์เบื้องหน้า
"ก่อนอื่นผมต้องขอบใจหลานชายนะ..ที่อย่างน้อยหลานชายก็เป็นคนที่ทำให้เพลงเค้ากลับตัวกลับใจเลิกนิสัยเอาแต่ใจและ
ความประพฤฒิที่เหลวไหลได้..." ป๊าของเพลงพูดช้าๆน้ำเสียงกึ่งอ่อนโยนและกึ่งหนักแน่นจริงจัง
"ผมไม่ได้ทำอะไรเลยครับท่าน..." ผมตอบความจริงออกไป เพราะผมไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆที่เพลงเปลี่ยนนิสัยนั้นเป็นเพราะ
เธอต้องการเปลี่ยนมันเอง
"หลานชายไม่ต้องเรียกผมว่าท่านหรอก เรียกลุงวิทย์ก็ได้.." คราวนี้น้ำเสียงนั้นค่อยนุ่มอ่อนโยนขึ้นเล้กน้อย
"เรื่องของหลานชายกับเพลงลูกสาวลุงนั้น ลุงทราบทั้งหมดแล้วจากปากของเขาเองและจากสมภพ....ลุงขอพูดตามตรงเลย
นะว่าลุงไม่ค่อยพอใจนักหรอกที่หลานชายกับลูกของลุงทำอะไรกันไปแบบนั้น แต่ช่างเถอะเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว แก้ไขอะไร
ไม่ได้ แต่ต่อไปในภายภาคหน้า ลุงคงยอมให้เป็นไปแบบนั้นไม่ได้อีก..เข้าใจใช่มั๊ย..."
ทั้งน้ำเสียงและสายตาของท่านสส.ช่างดูมีอำนาจเสียเหลือเกิน มันแผ่รัศมีจนผมเหมือนจะตัวเล็กลีบลงไปจนแทบจะจมหาย
ไปในเก้าอี้หลุยส์ เหงื่อผมเริ่มแตกไหลลงมาอาบหน้าผาก ด้วยรุ้ชะตาชีวิตต่อไปเลยว่า ผมกับเพลงนั้นคงเหมือนเส้นขนาน ไม่
สามารถเดินมาบรรจบกันได้อีกแล้ว
"ครับลุงวิทย์..."
ผมรับปากเบาๆด้วยเข้าใจอย่างดีว่าคนไร้อนาคตอย่างผมนั้นคงไม่มีวาสนาพอที่สส.หลายสมัยผู้นี้จะยอมรับเป็นลูกเขยแน่ๆ แต่
ไม่เท่ากับความรุ้สึกของเพลงที่เปลี่ยนไปจากเดิมนั่นแหละ คือสิ่งที่ทำให้ผมเสียใจมากกว่าคำพูดของผู้เป็นบิดาของเพลง
"แต่คนอย่างลุงนะก็ถือคติว่า บุญคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ..ในเมื่อหลานชายมีบุญคุณทำให้ลูกสาวลุงกลับเนื้อกลับตัว
มาเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาท ลุงก็จะทดแทนบุญคุณในครั้งนี้ด้วยการให้โอกาสทางการศึกษากับหลานชายอีกครั้ง..."
ท่านสส.บิดาของเพลงพูดค้างไว้ แต่ผมได้ยินเต็มชัดสองหูว่าท่านจะให้โอกาสผมได้เรียนอีกครั้ง ทำให้ผมรู้สึกดีใจเป็นอย่าง
มาก แต่ที่ป๊าของเพลงค้างคำพูดไว้นั้น ยังไม่พุดต่อนั้น ผมเดาไม่ออกเลยว่าจะมีอะไรต้องแลกเปลี่ยนบ้าง
"ลุงจะส่งหลานชายไปเรียนด้านบริหารสาขาการธนาคารที่สวิส..แต่หลานต้องเลิกติดต่อกับเพลงเป็นเด็ดขาดเข้าใจมั๊ย พอ
จบการศึกษาแล้วจะต้องกลับมาทำงานที่ธนาคาร..ของลุง เพื่อชดใช้หนี้การศึกษาที่ยืมไป...ถ้าตกลงก็เตรียมตัวจัดเอกสาร
แล้วเดินทางต้นเดือนหน้าทันที แต่ถ้าไม่ตกลง ก็เชิญกลับไปได้..."
คำพูดของท่านสส.หลายสมัยผู้นี้ชัดเจนและเคลียร์กระจ่างแจ่มชัดจริงๆ เหลือเพียงแต่ผมเท่านั้นที่จะตัดสินใจอย่างไร ผมนั่ง
นึกตรองดูแล้ว แม้ผมไม่ยอมรับปาก ผมก็ไม่มีโอกาสได้ความรักของผมกับเพลงกลับมาอยู่ดี ถ้ารับปากไปก็เท่ากับรับปากว่าจะ
สบั้นตัดรักกับเพลงเช่นเดียวกัน
ผมอยุ่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ปัญหาที่รอการตัดสินใจมันจุกอยู่ที่คอหอย ผมใช้เวลานั่งทบทวนตรึกตรองอยู่ชั่วครู่
ก็เงยหน้าแล้วยอมรับการช่วยเหลือเรื่องการศึกษาจากท่านสส.บิดาของเพลง จากนั้นท่านก็สั่งให้ลูกน้องพาผมกลับมาที่บ้าน
อาภพอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวไปเรียนต่อที่สวิส โดยที่ผมไม่มีโอกาสแม้แต่จะพูดหรือเห็นหน้าเธอ เพื่อกล่าวคำอำลาแม้สักคำเดียว
..........................................................
[post]
ผมใช้เวลา4ปีเพื่อการศึกษาเล่าเรียนที่สวิส และเมื่อผมจบการศึกษาก็เดินทางกลับมาที่เมืองไทยอีกครั้ง พร้อมรายงานตัวเข้า
ทำงานตามข้อตกลงที่ทำกับบิดาของเพลงไว้ ตลอดเวล่า4ปีที่ผมอยุ่ที่นั่น ผมไม่มีโอกาสติดต่อกับเพลงเลย ไม่ว่าทางไหน
แม้แต่ทางเครือข่ายอินเตอร์เนตผมก็ไม่สามารถติดต่อกับเพลงได้ มีเพียงข่าวสังคมทางนิตยสารเท่านั้นที่ผมติดตามทำให้พอ
รุ้ได้ว่า เพลงรับหมั้นกับกับนายทหารคนหนึ่งหลังจากที่เรียนจบปริญญาตรีแล้วไม่นาน
[/post]
ชัยเรากว่าจะเข้าใจอะไรๆด้กระจ่าง มันก็ทำลายโอกาสของตัวเองหมดแล้ว
คงใกล้จะจบแล้วเพลงหมั้นไปแล้วแล้วน้องบีเป็นอย่างไรบ้างนี่
อย่าบอกน่ะว่า เสียบีไป เสียเพลงไป มีความคุมเคลือ เศร้า
ยังมีความหวังเล็กๆ กับ บี FC
ทำดีได้ดี คงยกเป็นตัวอย่าง หรือคนดีสวรรค์ส่งเสริม ดราม่าที่หักมุมจนได้
เห้ออออ อ่านแล้วเศร้าตาม 2 ตอนติดแล้ว 😭
::Orz:: ::Crying::
ดวงคนเรามีขึ้นมีลง ชัยถ้าพรหมลิขิตให้คู่กันก็ไม่ต้องกลัวนะ