หวังอี้เสพสมกับไช่อี้เหนียงหลายชั่วยาม จนใกล้เที่ยงคืนนางสลบไสลไปด้วยความเหนื่อยอ่อนหวังอี้จึงได้หยิบเสื้อผ้ามาสวมและเดินออกจากกระท่อม
"เจ้าหลั่งน้ำในร่างนางถึงเจ็ดครั้ง" เฮี๊ยงกวยหลี่ทัก "ช่างเปี่ยมเรี่ยวแรงแลพลังสมเป็นศิษย์ข้านัก ทว่าความรู้เจ้ายังด้อย ทำแต่เพียงท่าบนเตียงนอน หากเจ้าเปลี่ยนเป็นท่านั่งท่ายืนฤาจับนางพาดกับกำแพงแลโต๊ะย่อมเปลี่ยนสีสันให้เกิดอารมณ์มากขึ้น"
"อาจารย์ไยแอบดูข้าเข้าหอกับแม่นางไช่"
"ประการหนึ่งข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า ย่อมต้องคอยสังเกตแลสอนสั่ง ประการสอง เจ้าเข้าหอในบ้านของข้า จักให้ข้าไปอยู่ที่ใดเล่า ประการสาม ได้แอบดูเจ้าเสพสมกับภรรยา ข้าก็มีความสุขยิ่งนัก"
หวังอี้มองน้ำเหนียวขาวที่เปรอะอยู่เต็มพื้นรอบกายอาจารย์ "ไยท่านหลั่งน้ำพิสุทธิ์ได้มากมายนักเล่า"
"เหล่าผู้ฝึกยุทธย่อมสามารถคุมปราณดินน้ำลมไฟในร่างได้ หากเจ้าบำเพ็ญปราณสายน้ำให้เข้มแข็ง ย่อมเกิดน้ำพิสุทธิ์มากขึ้นเป็นธรรมดานัก หากเจ้าตั้งใจฝึกฝน ภายในสามเดือนเจ้าย่อมหลั่งน้ำได้มากเพียงข้า"
"อาจารย์โปรดชี้แนะ"
"ถ้าอย่างนั้นจงนั่งสมาธิแลโคจรลมปราณเถิด"
การณ์จึงดำเนินไปเช่นนี้ ยามกลางวันหวังอี้มุ่งเพียรฝึกวิชากับเฮี๊ยงกวยหลี่ ยามกลางคืนเข้านอนเสพสมกับไช่อี้เหนียง สองเดือนแรกนางแทบมิมีแรงลุกขึ้นในยามทิวา แต่เมื่อผ่านไปสองเดือน นางเริ่มชินแลปรับตัวจึงได้เริ่มออกเรือนแลทำอาหารปรนนิบัติสามีและอาจารย์ของสามี ช่วงหนึ่งนางพยายามฝึกวิชาคู่กับหวังอี้ ทว่าแม้นมีพื้นฐานวิชายุทธ นางกลับมิอาจปรับตัวได้กับวิชาฝึกสอนของเฮี๋ยงกวยหลี่ อีกทั้งคู่ยังมีความเห็นขัดแย้งหลายเรื่องในด้านการฝึกยุทธ
"บิดาบอกเสมอ ว่าวิชาเช่นนี้ไร้ประโยชน์นัก"
"เพราะบิดาเจ้าไร้ประโยชน์ มันจึงได้มิเข้าใจหลักการโคจรพื้นฐาน" เฮี๊ยงกวยหลี่ตอบ
"บิดาข้าหาได้ไร้ประโยชน์ไม่ ท่านเป็นถึงประมุขพรรคป่าวงกต"
"ไช่หัวด้อยปัญญามิอาจฝึกฝนเคล็ดวิชาบู๊ตึง ถูกขับออกจากสำนักแต่อายุได้สิบหกปีเศษ" เฮี๊ยงกวยหลี่บอก "มันตั้งพรรคป่าวงกตรวบรวมผู้คนที่ถูกขับจากสำนักใหญ่ด้วยฝีมืออ่อนด้อย เคล็ดวิชาของสำนักเจ้าหาได้คู่ควรไม่"
"ท่านกล้าดีอย่างไรดูถูกสำนักของบิดาข้าเยี่ยงนี้"
"เจ้าฝึกเคล็ดวิชาจากบิดาจนเจนจบ สำคัญตนว่าพร้อมพิสูจน์ฝีมือในยุทธจักร ศิษย์ข้าเรียนได้เสี้ยวหนึ่งของวิชา พบกันมันกลับสยบเจ้าได้ด้วยดัชนีเดียว จักให้ข้าเห็นฝีมือพรรคป่าวงกตได้อย่างไร"
ไช่อี้เหนียงผงะ กัดฟันด้วยโทสะ "ศิษย์ท่านหาได้สยบข้าด้วยดัชนีเดียวไม่.....มัน......มันใช้สองนิ้วต่างหาก"
นางเดินกระทืบเท้าตึงตังจากไป
"สตรีช่างมากปัญหานัก" เฒ่าลามกกล่าว "มาเถิด หวังอี้ ฝึกวิชากระตุกพวงเถิด"
หลังจากนั้นไช่อี้เหนียงจึงออกตระเวนไปในบริเวณมากขึ้น นางผูกมิตรกับชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียง ช่วยปราบโจรผู้ร้ายแลอภิบาลคนดี เป็นที่ยกย่องนับถือของผู้คนมากนัก แต่ยามค่ำคืนนางก็ยังกลับมาหาแลร่วมเตียงกับหวังอี้เช่นแต่ก่อน
หกเดือนต่อมา
"แฮ่กๆๆๆๆๆๆๆ" หวังอี้หอบ เหงื่อโทรมกาย แทบขยับตัวไม่ไหว
"ฝีมือเจ้ารุดหน้ารวดเร็วยิ่งนัก" เฮี๊ยงกวยหลี่บอก ใบหน้าแก่ชรายังสดใสด้วยรอยยิ้ม การเคลื่อนไหวยังคล่องแคล่วว่องไวมิได้แสดงอาการเหน็ดเหนื่อย
"ศิษย์ยังฝีมืออ่อนด้อยนัก มิสมควรได้รับคำชมเชย" หวังอี้หอบ
"ไร้สาระ" เฒ่าลามกสะบัดมือ "เมื่อสักครู่ข้าหาได้ออมมือไม่ เจ้ารับมือข้าได้เกกือบสองร้อยกระบวนท่า อีกทั้งยังเกือบจู่โจมกลับถูกตัวข้าได้ถึงสามครา ฝีมือเจ้าพัฒนาแข็งแกร่งยิ่งนัก"
"เช่นนั้น...ศิษย์ขอน้อมรับคำชม"
"จงไปตามแม่นางไช่อี้เหนียงมาเถิด" เฮี๊ยงกวยหลี่บอก "ข้ามีเรื่องต้องการจะพูดกับพวกเจ้า"
"หวังอี้....ไช่อี้เหนียง" เฮี๊ยงกวยหลี้เรียกเมื่อลูกศิษย์กลับมาพร้อมภรรยา "ถึงเวลาแล้ว"
"เวลาอันใดหรือ ท่านอาจารย์"
"เวลา ที่เจ้าจะออกท่องยุทธภพ"
หวังอี้ผงะ "อาจารย์........ข้ายังเหลือเรื่องต้องเรียนรู้อีกมาก"
"เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง แต่ข้าไม่มีสิ่งใดจะสอนเจ้าแล้ว"
"ไยเป็นเช่นนั้นเล่า ฝีมือท่านยังเลิศล้ำเหนือกว่าข้าหลายสิบก้าว"
"อาจารย์หาได้มากด้วยฝีมือด้วยนั่งนอนในกระท่อมแลฝึกฝนไม่" เฮี๊ยงกวยหลี่บอก "ออกท่องยุทธจักร เจ้าจักได้นำวิชาไปใช้ในแบบที่เจ้ามิเคยคาดคิด พบวิชาอื่นให้เรียนรู้แลนำมาปรับผสมผสาน ฝึกฝนแลพัฒนาต่อยอดทั้งยังนำวิชาของข้าไปเผยแพร่ต่อให้ผู้อื่นได้เห็น เจ้ามีความรู้แล้ว แต่หากนั่งทับความรู้มิได้นำไปใช้ในโลกกว้างย่อมเหมือนนั่งทับเมล็ดพันธุ์มิปล่อยให้เติบโตงอกงาม จงท่องยุทธจักรเถิด"
หวังอี้เงียบมิได้พูดอันใด
"หวังอี้ บอกอาจารย์ได้หรือไม่ เป้าหมายที่แท้จริงของเจ้าในการฝึกยุทธคืออันใด"
"ฆ่าหวังฟันเจ้า ล้างแค้นให้บิดามารดาแลแม่นางเซียวเฟยซิง" มันตอบเบา ๆ
ไช่อี้เหนียงชำเลืองมองหน้าสามี
แต่เฒ่าลามกผงะถอยหลัง ดวงตาเบิกโพลง
"หวังอี้.......เจ้า..............เจ้า....................."
"อาจารย์...ข้าขออภัยที่เคยปิดบังเป้าหมาย"
"มิใช่ มิใช่....ข้ารู้ความแค้นของเจ้านานแล้ว แต่.........." มันขยับตัวไปมา ทำท่าทางไม่สบายใจ "แต่.....แม่นางเซียวที่เจ้าพูดถึงมาโดยตลอด.........................นางคือธิดาบุปผาเซียวเฟยซิงรึ"
กลับเป็นคราวหวังอี้ต้องผงะบ้าง "อาจารย์รู้จักนางฤา"
"ยุทธภพกว้างใหญ่ไพศาล ทว่าผู้ใดเล่าไม่รู้จักธิดาบุปผาเซียวเฟยซิง" มันรำพึง "ศิษย์ข้า เจ้าได้เห็นธิดาบุปผาสิ้นใจตายต่อหน้าหรือไม่"
"มิได้"
"ได้เห็นร่างไร้วิญญาณของนางหรือไม่"
"มิได้"
"คนอย่างธิดาบุปผาเซียวเฟยซิง ใช่จะเสียชีวิตโดยง่าย"
"แต่ทหารเหล่านั้นบอกว่าพบศพนางในแม่น้ำ"
"เจ้าได้เห็นศพหรือไม่"
"ศพนั้นฝังไปแล้ว"
"ในวันเดียวกัน มีผู้ตกน้ำมากกว่าหนึ่งคน บ้างก็เสียชีวิต บ้างก็รอดชีวิต.......ได้หรือไม่"
"ย่อมได้" หวังอี้ยืดกายตรง ดูสดชื่นแจ่มใสขึ้นมากโข
"เช่นนั้นนี่ย่อมเป็นอีกเหตุผลให้เจ้าท่องยุทธจักร" เฮี๊ยงกวยหลี่ยิ้มน้อย ๆ "ในการเดินทางของเจ้า ชะตาอาจนำพาให้เจ้าพบธิดาบุปผาอีกครั้งก็เป็นได้"
หวังอี้ดูกระตือรือร้นยิ่งนัก แทบจะสงบอารมณ์ไว้ไม่อยู่ "ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ"
เฮี๊ยงกวยหลี่หันไปมองไช่อี้เหนียง
"ผู้อาวุโสอย่ากังวลเลย" ไช่อี้เหนียงหัวเราะร่า "บุรุษมีหลายภรรยาเป็นเรื่องธรรมดา บิดาข้าเองก็มีภรรยาถึงสามคน แลทั้งสามก็รักใคร่กลมเกลียวกันดี หาได้มีการทะเลาะเบาะแว้งกันไม่ หากพบแม่นางเซียว ข้าเชื่อว่าข้ากับนางต้องรักกันได้เช่นมารดาทั้งสามของข้าเป็นแน่"
หวังอี้โอบไหล่ภรรยา "ขอบคุณนัก แม่นางไช่ ข้ารักเจ้ายิ่งนัก"
"ทว่าที่เจ้าพูดมากลับทำให้ข้าต้องครุ่นคิด" เฮี๊ยงกวยหลี่ลูบครำเคราะกระหยอมกระแหยม "หวังฟันเจ้า....เอาชนะธิดาบุปผาเซียวเฟยซิงได้กระนั้นหรือ"
"ยามนั้นข้ามิรู้วิชายุทธ มิอาจบอกรายละเอียดการต่อสู้ได้ ทว่าในสายตาข้า ดูเหมือนว่าแม่นางเซียวจะด้อยกว่าหวังฟันเจ้าในทุกทาง จนข้านึกไปเองว่านางเป็นจอมยุทธฝีมือดีผู้หนึ่ง แต่มิใช่ระดับยอดฝีมือลือเลื่อง"
"เจ้ายังมีเรื่องต้องเรียนรู้อีกมากนัก ศิษย์ข้า" เฒ่าลามกบอก "ธิดาบุปผาเซียวเฟยซิง เทพกระบี่หลิวปิง ซานเอ๋อหนิงแห่งเกาะดอกทอง จิวไต้ก๋งแห่งวังน้ำแข็ง ว่านเหนียงองครักษ์ชั้นหนึ่งแห่งวังหลวง มารประจิมกงเหลา ราชสีห์ทองคำอ้าวหลาง ชางป๋อขุนศึกแดนใต้ จอมโจรทมิฬม้าหลิวกง เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดฝีมือลือเลื่องทั่วยุทธจักร....ทว่าจอมโจรแห่งเมืองวิปลาสกลับเอาชนะหนึ่งในนั้นได้โดยง่าย หวังฟันเจ้าเป็นใครมาจากไหนกันแน่"
"แม่นางเซียวเล่าให้ข้าฟังว่ามันลอบขโมยวิชาจากสำนักหมื่นบุปผา"
เฮี๊ยงกวยหลี่ยังคงลูบเคราต่อ "ข้ามิเชื่อว่าเป็นเพียงแค่นั้น การขโมยวิชาจากสำนักหมื่นบุปผาน่าจะเป็นเพียงก้าวหนึ่ง หาใช่ทั้งหมดในเส้นทางของมันไม่...."
ผู้เฒ่าเงียบไปพักหนึ่ง "หวังอี้ เจ้าจงออกท่องยุทธภพเถิด...แต่หากหวังฟันเจ้าชนะธิดาบุปผาเซียวเฟยซิงได้ ฝีมือเจ้าในยามนี้ยังห่างจากมันอีกหลายขุมนัก จงเชื่อคำอาจารย์ อยู่ให้ห่างเมืองวิปลาส ออกตามหาผู้กล้าที่จักช่วยเจ้าได้เถิด อาจารย์เองก็จะทิ้งกระท่อมน้อยนี้ ลองหาดูว่าข้าจะสืบรู้ได้หรือไม่ว่าหวังฟันเจ้าผู้นี้เป็นใครมาจากไหน"
"เช่นนั้น ศิษย์ขอคารวะ ที่ฝึกสอนมาศิษย์จะไม่ลืม"
"เดี๋ยวก่อน..." เฒ่าลามกว่า "ข้าลืมไปเสียได้ อาจารย์คิดจะตั้งนามให้เจ้าก่อนเราจะลาจากกัน...."
เป็นธรรมเนียมแต่โบราณที่บุรุษชาวจีนจะมีสองนาม คือนามแต่กำเนิดที่ตั้งโดยบิดามารดา แลสมญานามที่ใช้ท่องยุทธภพ บ้างก็ตั้งให้ตนเอง บ้างก็อาจารย์เพื่อนฝูงหรือผู้มีพระคุณตั้งให้ บุคคลที่มีชื่อสมญานี้อาทิเช่นจูกัดเหลียง (ขงเบ้ง) เตียวหยุน (จูล่ง) แลมีอีกหลายคนที่มีสมญานามที่อาจไม่เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้อ่านคนไทยเท่า อาทิเช่นกวนอู (หยุนฉาง) เล่าปี่ (ยวนเต้) โจโฉ (เมงเต้) เปาเจิ่ง (เปาบุ้นจิ้นหรือเปาชิงเทียน) ตัวหวังอี้นั้นมิเคยได้เล่าเรียนจึงยังมิมีสมญานามนี้
"หวังอี้.........อาจารย์ขอขนามนามให้เจ้าว่า....." มันเงียบไปครู่ใหญ่ "หวังปี้ ไปเถิด ท่องยุทธภพในชื่อนี้ นำเกียรติศักดิ์ให้ตนเอง"
"ขอบคุณท่านอาจารย์มากนัก" หวังปี้คารวะ "ชะตาเป็นใจ ข้าและท่านคงได้พบกันอีกครั้ง"
"ได้ออกท่องยุทธภพแล้ว ท่านพี่จักทำอย่างไรเล่า" ไช่อี้เหนียงถาม
"ข้า....คงทำตามที่อาจารย์แนะนำ แสวงหาผู้เก่งกล้า พัฒนาฝีมือ"
"เช่นนั้น ข้าขอแนะนำได้หรือไม่"
"แน่นอนอยู่แล้ว ข้าย่อมเชื่อฟังคำแนะนำของเจ้า" หวังปี้หยักหน้า
"ข้าเชื่อว่าเราควรจะไปที่พรรคป่าวงกตก่อน บิดาข้าแม้มิใช่ยอดยุทธเช่นอาจารย์ของท่าน แต่ก็เป็นคนดีมีคุณธรรม พรรคป่าวงกตมีลูกศิษย์มากฝีมือหลายสิบ ล้วนแต่เคยสู้กับโจรผู้ร้ายปกป้องผู้บริสุทธิ์ หากรู้ถึงความเลวทรามของหวังฟันเจ้าบิดามิอยู่เฉยเป็นแน่"
"เช่นนั้นก็เอาสิ เราจักไปที่พรรคป่าวงกต เจ้าก็คงคิดถึงบิดามารดามากนัก ฟังดูเจ้ารักพวกท่านยิ่ง"
สีหน้าไช่อี้เหนียงหม่นลงนิดหนึ่ง "ข้ารักพวกท่านสิ ทว่าบิดา.....หาเข้าใจข้าไม่"
"โปรดอธิบาย"
"บิดาข้ามีภรรยาสามคน ข้อนี้ข้าบอกแล้ว มารดาของข้า ภรรยาคนแรกของท่านตั้งครรภ์ก่อนแลให้กำเนิดข้า ทว่าบิดาหาได้มองว่าบุตรีคู่ควรได้ฝึกวิชาเช่นบุรุษ เพียงมองข้าเป็นหมากตัวหนึ่ง ที่ไว้ใช้ผูกไมตรีแต่งงานกับตระกูลอื่น บิดาหมั้นหมายข้ากับบุตรสำนักชิงไห่แต่ข้ายังแบเบาะ แม้ข้าจะลักลอบฝึกวิชา จนไม่ช้ากลับเป็นที่หนึ่งของสำนัก บิดาก็หาได้ยอมให้ข้าออกผดุงคุณธรรมเช่นศิษย์คนอื่นไม่ แม้น้องชายข้า บุตรของท่านน้าฮูหยินรองยังได้ออกท่องยุทธภพ ข้าฝีมือดีกว่ามันยิ่งนัก กลับถูกขังแต่ในสำนัก รอวันส่งตัวให้บุตรชายสำนักชิงไห่ ข้าหาต้องการเช่นนั้นไม่"
"ข้ารักบิดา เห็นว่าท่านเป็นคนดีนัก เห็นด้วยกับทุกอย่างที่ท่านทำ.....ยกเว้นที่ท่านทำกับข้า....ข้าจึงหนีออกจากบ้านในวันที่เกี้ยวจากสำนักชิงไห่จะมารับตัวไปตบแต่ง"
"แต่แล้วก็มาเจอกับข้า.....ช่างบังเอิญยิ่งนัก"
"บิดาข้าไม่ว่าดอก ท่านย่อมฝีมือดีกว่าบุตรจ้าวสำนักชิงไห่ บิดาอยากให้มียอดฝีมือมาที่พรรคมาก ๆ"
"เช่นนั้น เราไปหาบิดาเจ้ากันเถิด"
ใกล้ค่ำ ทั้งคู่ก็มาถึงโรงเตี๊ยม
"จำได้หรือไม่" ไช่อี้เหนียงถาม "ในโรงเตี๊ยมนี้แล ที่ท่านใช้ดัชนีทิ่มถ้ำทำลายเยื่อพรหมจรรย์ของข้า"
"ไยข้าจะลืมได้เล่า เจ้าร้องดังจนคนทั้งโรงเตี๊ยมได้ยิน"
ไช่อี้เหนียงหน้าแดง "คืนนี้ข้าจักพยายามเบาเสียง"
"ทันทีที่ข้าแทงเข้าไปในร่างเจ้า เจ้าก็ลืมคำพูดสิ้น ส่งเสียงร้องลั่นเช่นทุกครั้ง" หวังปี้ยิ้ม
"เถ้าแก่ ห้องพักหนึ่งห้อง"
"พวกเจ้าอีกแล้วรึ? รอบนี้ได้โปรดเบาเสียงหน่อยเถิด"
ทันทีที่เข้าห้องได้ หวังปี้ก็อุ้มไช่อี้เหนียงไปที่เตียงแล้วเริ่มทึ้งเสื้อผ้าออกจากร่าง นางหัวเราะคิกคัก
"ท่านช่างรีบร้อนยิ่งนัก"
"หากไม่รีบร้อนข้าจักสนองเจ้าได้ทันได้อย่างไร ดูซี ถ้ำรักของเจ้าช่างเปียกชุ่มยิ่งนัก"
"เมื่อรู้ว่าข้าปรารถนายิ่งท่านจักรอสิ่งใดอยู่เล่า"
"รอให้เจ้าปลดปล่อยให้ข้าด้วยปาก"
มันปลดกางเกงลง แท่งทวนใหญ่พุ่งออกมาชี้หน้านาง
ไช่อี้เหนียงหารอช้าไม่ จับท่อนเนื้อยักษ์ใหญ่มั่น นางเอาแก้มป่องถูไถที่หัวมังกรยักษ์ก่อนจะแลบลิ้นนิ่มออกมาเลียที่ดุ้นแข็งเริ่มจากส่วนปลายหัวไล้ไล่ลงมาตามลำโคนจนจรดฐาน
"อา เจ้าช่างใช้ปากได้เก่งยิ่งนัก" หวังปี้เอ่ยปากชม
"ปากข้า ทำได้มากกว่าเลียนัก" นางบอก ก่อนจะเลียท่อนเนื้อสั่งลาอีกสองทีแล้วจึงอ้าปากกว้าง อมปลายหัวมังกรเข้าไป
โพรงปากของนางช่างนุ่มนัก แต่ยิ่งมันแทงลึกเข้าไปก็รู้สึกถึงความคับแน่นในลำคอ อาวุธประจำกายของมันบดเบียดกับลิ้นแลผนังลำคอของนางจนคับแน่นไปหมดสิ้น
"อา ช่างดียิ่งนัก"
"อู้อี้"
"ไช่อี้เหนียง ข้ารักเจ้ายิ่งนัก"
"อู้อี้อู้อี้"
"อา ขอข้าปลดปล่อยในปากของเจ้า"
"อู้อี้"
"อ๊าาาาา"
บัดนี้หวังปี้บรรลุการควบคุมธาตุน้ำในร่างแล้ว น้ำพิสุทธิ์จึงได้ทวีจำนวนมากกว่าของบุคคลธรรมดานัก ไช่อี้เหนียงตาเหลือก รีบคายแท่งทวนออกมา น้ำขาวขุ่นทะลักออกทั้งทางปากจมูก แม้เมื่อหลุดจากปากนางแล้ว แท่งสวาทก็ยังคงฉีดพ่นน้ำพิสุทธิ์ต่อเนื่องเต็มไปทั่วทั้งใบหน้าของนางแลหยาดเยิ้มไหลลงตามลำตัวท่อนบน
"แฮ่กๆๆๆ น้ำของท่านช่างมากมายนัก" ไช่อี้เหนียงบ่น
"แลตัวเจ้ายามต้องน้ำพิสุทธิ์งดงามนัก" หวังปี้บอก "มาเถิด ลงแช่ในอ่างอาบน้ำ ข้าจักอาบน้ำให้เจ้าเอง"
"ท่านจักไม่อาบน้ำกับข้าฤา" นางถาม  
พูดคุยกับผู้เขียน
เห็นผู้อ่านหลายคนเล่นมุกเรื่องชื่อหวังปี้มาพักใหญ่ ๆ แล้ว ผมขอประกาศไว้ตรงนี้ ว่าผมไม่ได้ขโมยมุกของพวกท่านนะครับ เราแค่บังเอิญมีความเห็นตรงกันเฉย ๆ เรื่องนี้จริง ๆ ผมก็เขียนถึงตอนที่ 20 กว่า แล้วก่อนนำมาลงตอนแรก แต่ถ้ามีสิ่งใดจะติชมหรือเสนอะแนะ ก็คอมเม้นท์กันได้เลยนะครับ เปิดรับทุกความคิดเห็นเหมือนเดิม
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน
อาจารย์จอมลามกมีความเห็นลึกล้ำ ไม่ใช่คนเล่นๆดั่งที่เห็นภายนอก ซีรีย์น่าจะอีกยาวน่าติดตามมากครับ
พลังดัชนีที่สุดลึกล้ำ ทำเอาแม่นางร้องครางลั่นโรงเตี๊ยมเชียวหรือ ช่างร้ายกาจนัก
เห็นชื่อหวังอี้ในครั้งแรกๆ ก็แอบคิดอยู่ว่าชื่อนี้ไม่เข้ากับแนวเรื่อง ในที่สุดก็เปลี่ยนชื่อ อิอิ