ถึงผู้อ่านทุกท่าน
นิยายเรื่องนี้สามารถอ่านฟรี จนจบเรื่อง อัพตอนใหม่ทุกวันจันทร์ที่บอร์ดนี้ เป็นเรื่องราวสุดสยิวของครูหนุ่มผู้มีความต้องการอันสุดหยั่งคาดกับบรรดาคนในโรงเรียน
ขอขอบคุณทุกท่านที่คอมเม้นนะครับ ::Thankyou::
ผลงานอื่น
โรงพยาบาลร้อนซ่อนรัก(อัพตอนใหม่ทุกวันพฤหัส) --> https://fictionlog.co/b/675aa26df7648a001cce3696
-----------------------------------
เสียงของรองอำนาจสะท้อนก้องภายในห้องประชุมด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่อัดแน่นไปด้วยแรงกดดันโดยไม่ต้องตะคอก แม้จะไม่ได้พูดยืดยาว แต่ทุกคำที่เปล่งออกมาก็เหมือนตอกลงในกระดานประชุมราวกับตะปูที่ไม่มีใครกล้าถอน
"ขอเข้าสู่วาระแรกของวันนี้ — ฝ่ายวิชาการ" เขากล่าวโดยไม่ต้องเปิดเอกสาร ราวกับทุกอย่างอยู่ในหัวเรียบร้อยแล้ว "ตามปฏิทินกิจกรรมของโรงเรียน สัปดาห์หน้าจะเข้าสู่สัปดาห์วิทยาศาสตร์ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมประจำปีสำคัญประการหนึ่ง"
เสียงกระดาษแฟ้มพลิกเบา ๆ ทั่วห้อง บางคนเริ่มหยิบปากกาขึ้นเตรียมจด
"กิจกรรมหลักจะจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีหน้า" เขาเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ "โดยกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์จะเป็นแกนกลางในการดำเนินงาน ทั้งในเรื่องการจัดนิทรรศการ การสาธิต การประกวด และการประเมินผลเชิงวิชาการ... ครูที่ปรึกษาชั้น ม.4 – ม.6 ต้องรับทราบบทบาทของตนให้ชัดเจน"
รัฐนั่งฟังด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ขณะที่ปากกายังคงขีดบันทึกคำว่า "พฤหัสหน้า – วันกิจกรรมหลัก" ลงในสมุดของเขา
"ขอเน้นอีกครั้งว่าการจัดกิจกรรมครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการแสดงผลงานของนักเรียนเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพลักษณ์ของกลุ่มสาระ และคุณภาพของการจัดการเรียนรู้เชิงปฏิบัติจริง... ขอความร่วมมือจากทุกกลุ่มวิชาให้แบ่งแรงงาน ส่งตัวแทนครูมาช่วยในวันงาน และรายงานผลต่อที่ประชุมในเดือนหน้า"
เขาหยุดเล็กน้อยก่อนจะเหลือบมองไปทางโต๊ะครูที่นั่งกระจัดกระจายอยู่กลางห้อง
"ส่วนครูใหม่..." เขาเอ่ยโดยไม่ต้องระบุชื่อ รัฐรู้ทันทีว่าเป็นตัวเอง "อยากให้ถือโอกาสนี้สังเกตการจัดงาน เรียนรู้ระบบภายใน แล้วนำไปปรับใช้กับการสอนของตัวเอง"
รัฐพยักหน้าเงียบ ๆ ไม่โต้ตอบมากไปกว่านั้น
เสียงของรองอำนาจยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ ด้วยจังหวะที่ไม่มีจุดสะดุด เหมือนสคริปต์ที่ไม่ต้องซ้อมแต่รื่นไหลจากความเคยชิน เขาพูดถึงการประเมินภายในที่ใกล้เข้ามา ความจำเป็นในการจัดเก็บแฟ้มสะสมงานที่เป็นระเบียบ และการสรุปคะแนนเก็บที่ต้องรายงานภายในสิ้นเดือน
น้ำเสียงเขาไม่มีคำขู่ แต่ทุกคนรู้ดีว่าถ้าส่งงานไม่ตรงเวลา — เขาจะไม่ถามซ้ำ เขาจะเพียงรายงานให้ผู้อำนวยการ "รับทราบ" เท่านั้น
และนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทุกคนระวัง
เมื่อฝ่ายวิชาการจบลง เสียงถอนหายใจเงียบ ๆ ดังขึ้นประปราย พร้อมการขยับตัวเล็กน้อยเหมือนเพิ่งหลุดออกจากความตึงเครียดที่กดทับอยู่หลายนาที
รองอำนาจพยักหน้าให้ใครบางคนทางขวา พร้อมกล่าวสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงเหมือนคนที่พอใจในจังหวะของตัวเอง
เสียงพลิกกระดาษในห้องประชุมเริ่มซาลงเมื่อรองอำนาจเว้นจังหวะหลังจบวาระฝ่ายวิชาการ บรรยากาศยังคงครึ้มเงียบในแบบที่ทุกคนคุ้นชิน — เงียบไม่ใช่เพราะเกรงกลัว แต่เพราะรู้ว่าเสียงใด ๆ ที่ไม่จำเป็น มักไม่มีพื้นที่ในที่ประชุมนี้
และนั่นเองที่ทำให้เสียงหนึ่ง—เบากว่าใคร แต่ออกมาจากมุมห้องด้านขวา—ดึงสายตาทุกคนได้ทันที
"ขออนุญาตเสนอแนะเล็กน้อยค่ะ"
ครูอิ๋ม
เธอไม่ได้ยกมือสูงนัก แต่ท่าทางมั่นคงและสายตาที่ตรงไปตรงมาทำให้รองอำนาจเลิกคิ้วนิดหน่อย แล้วพยักหน้ารับอย่างเงียบ ๆ
"หนูคิดว่า ในกิจกรรมสัปดาห์วิทยาศาสตร์ปีนี้... เราอาจเปิดพื้นที่ให้กับหัวข้อที่เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันมากขึ้น เช่น สุขภาพจิต หรือการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ส่งผลต่อเด็ก ๆ โดยตรง"
เธอพูดช้า ๆ ชัดถ้อย รักษาน้ำเสียงให้สุภาพ แต่แน่วแน่
"จะได้ไม่ให้เด็กมองว่าวิทยาศาสตร์เป็นแค่เรื่องหลอดทดลองหรือแผนภูมิ แต่เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับเขาโดยตรง"
หลายสายตาในห้องเริ่มพยักหน้าตาม มีเสียงขยับตัวของครูบางคนที่ดูจะเห็นด้วย
รองอำนาจไม่ตอบในทันที เขานั่งนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะพูดกลับเรียบ ๆ
"เป็นแนวคิดที่น่าสนใจครับ ลองเสนอผ่านกลุ่มสาระ แล้วนำเข้าที่ประชุมกลุ่มย่อยในอีกสามวันข้างหน้า"
ครูอิ๋มพยักหน้ารับเรียบร้อย ไม่แสดงความดีใจหรืออวดอะไร เธอเพียงยิ้มเล็กน้อย แล้วกลับไปนั่งนิ่งเช่นเดิม
รัฐเหลือบมองเธอครู่หนึ่ง — ไม่ใช่ด้วยความประหลาดใจ แต่ด้วยการประเมินใหม่อีกครั้ง
ผู้หญิงคนนี้...ไม่ใช่แค่โลกสวย เธอกล้าพูดในที่ที่คนส่วนมากเลือกจะนิ่ง
และในสายตาของเขา การกล้า...โดยไม่เกรี้ยวกราดแบบนั้น
น่าสนใจกว่าที่คิด
เมื่อเสียงครูอิ๋มเงียบลง รองอำนาจพยักหน้ารับคำเสนอด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ ก่อนจะเอียงหน้าเล็กน้อยไปยังชายอีกคนที่นั่งข้างเขา
รองสุเมธเอนตัวเล็กน้อย ราวกับเพิ่งตื่นจากภวังค์ เขาวางฝาขวดน้ำลงบนโต๊ะ ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงรื่นหู มีจังหวะ มีลูกเล่น คล้ายคนเล่าเรื่องมากกว่ารายงาน
"ฝ่ายกิจกรรมนักเรียนไม่มีเรื่องมากครับ เดือนนี้ค่อนข้างนิ่ง...อาจจะเพราะว่าเพิ่มเปิดเทอมไม่นาน"
เสียงหัวเราะแผ่ว ๆ ดังขึ้นในห้องประชุม บางคนยิ้ม บางคนเลิกคิ้วอย่างรู้ทัน
"ผมแค่อยากเน้นย้ำเรื่องระเบียบวินัยนิดหน่อย โดยเฉพาะกับนักเรียนชาย ม.ปลาย — มีเคสที่ฝ่ายปกครองส่งรายงานมาเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ 'ไม่เหมาะสม' บริเวณหลังอาคารเรียน กับชายป่าระหว่างแนวรั้ว"
เขาเว้นจังหวะให้คำว่า "ไม่เหมาะสม" ตกกระทบให้ครบทุกคำ
"ตรวจเจอการรวมกลุ่มสูบบุหรี่ และมีการตั้งกลุ่มที่เด็กเรียกกันเองว่า 'ทีมดำ' อะไรทำนองนี้ — ซึ่งยังไม่ชัดว่าแค่ชื่อเล่นหรือมีโครงสร้างจริงจัง"
คำว่า ทีมดำ เรียกความสนใจจากครูหลายคนให้เงยหน้าขึ้นมอง แม้จะยังไม่มีเสียงซุบซิบ แต่บรรยากาศก็แปรเปลี่ยนอย่างชัดเจน
"เรากำลังติดตามอยู่ครับ ครูเวรแต่ละช่วง หากเดินเวรผ่านอาคารวิทย์ หรือสนามเก่า ขอให้สังเกตเป็นพิเศษ โดยเฉพาะช่วงบ่าย และวันศุกร์หลังเลิกเรียน"
สุเมธพูดด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาของเขาคมกริบเมื่อเหลือบมองไปทางครูชายแถวหลังห้อง
"พวกเด็กผู้ชายบางคนก็หัวไวครับ ชอบเลือกทำเรื่องไม่ดีในเวลาที่ครูผ่อนคลายที่สุด"
เสียงตอบรับเบา ๆ ดังจากครูหลายคน รัฐนั่งนิ่งฟัง ไม่พูดอะไร แต่จดคำว่า ทีมดำ ลงในมุมกระดาษเล็ก ๆ ด้วยดินสอ
เสียงของรองสุเมธยังคงลอยอยู่ในอากาศเมื่อเขานั่งลง รอยยิ้มยังติดอยู่ที่มุมปากเหมือนเดิม แต่คำพูดเรื่อง "ทีมดำ" และ "กลุ่มมั่วสุม" ทิ้งความเงียบแผ่วในห้องประชุมไว้ครู่หนึ่ง
รัฐเอียงตัวเล็กน้อย หันไปหาครูชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา — ชายวัยสามสิบปลาย ๆ ที่เขาคิดว่าชื่อ "ครูโต้ง" จากกลุ่มสาระสังคม
เสียงของรัฐเบา แต่ชัดเจนพอสำหรับการสนทนาเฉพาะ
"ทีมดำ...คืออะไรครับ?"
ครูโต้งเหลือบตามามองเขา ก่อนจะยักไหล่เล็กน้อย แล้วเอนตัวมาตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนคนชินกับเรื่องแบบนี้
"ก็พวกเด็กวัยรุ่นแถวนี้ล่ะครับ ตั้งทีมกันเหมือนเล่นสนุก แต่จริง ๆ มันเป็นก๊วนเกเร"
เขาหัวเราะหึเบา ๆ พลางพูดต่อ
"มีทั้ง 'ทีมดำ' กับ 'ทีมเขียว' พวกเขียวจะเน้นแนวซิ่ง — แว๊นมอเตอร์ไซค์ ป่วนตลาด ป่วนหน้าวัด เสียงดังทุกคืนศุกร์"
รัฐพยักหน้าเล็กน้อย หางคิ้วขยับน้อย ๆ อย่างรับฟัง
"ส่วนพวก 'ทีมดำ'..." ครูโต้งลดเสียงลงนิด "...หนักกว่า มักจะตั้งตัวเป็นนักเลงโรงเรียน ชอบเรียกเด็กอื่นเก็บเงินค่าพื้นที่ ขู่ไถ ถ้าเด็กไหนอ่อนหน่อยก็โดนลากไปเป็นลูกทีม บางคนบอกว่ามีเส้นโยงถึงคนนอกโรงเรียนด้วย"
รัฐนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ
"ครับ"
เด็กแบบนั้น ไม่ใช่ปัญหา — ถ้าเข้าใจวิธีใช้งาน
เพราะกลุ่มเด็กที่ซ่อนตัวอยู่หลังอาคาร กับเด็กดีที่ยืนหน้าเสาธงทุกเช้า — ล้วนมีค่าในแบบของมันเอง
ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเลือกใช้ใครก่อน
เมื่อเสียงซุบซิบจากท้ายห้องจางลง และรองสุเมธนั่งพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีสบาย ๆ รองอำนาจก็หันศีรษะไปยังหญิงสาวที่นั่งเรียบเฉยที่สุดในบรรดารองผู้อำนวยการทั้งสาม
รองจารุณี ไม่ต้องรอคำเชิญใด ๆ เธอเปิดแฟ้มตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แต่เปี่ยมระเบียบ
"ฝ่ายอาคารสถานที่เดือนนี้มีเรื่องแจ้งเพื่อทราบสองเรื่องหลักค่ะ"
ครูบางคนที่เริ่มถอนใจจากวาระก่อนหน้า กลับมาตั้งใจฟังอย่างรู้หน้าที่
"หนึ่ง — งานซ่อมแซมห้องน้ำชายอาคารเรียนกลาง ที่ร้องเรียนเข้ามาช่วงปลายเดือนก่อน เริ่มดำเนินการแล้วตั้งแต่เมื่อวาน โดยจะแบ่งงานเป็นสองระยะ เพื่อไม่ให้กระทบช่วงเรียน"
เธอพลิกหน้ากระดาษ เสียงพลิกเบาเหมือนการเปิดแฟ้มราชการ แต่ไม่มีใครหลุดโฟกัส
"ห้องน้ำฝั่งตะวันตกปิดชั่วคราว ขอให้ครูเวรแจ้งเด็กนักเรียนใช้ฝั่งสวนหลังโรงอาหารแทนไปก่อน ส่วนห้องน้ำหญิงไม่มีรายการซ่อมในรอบนี้ แต่มีการตรวจบำรุงประจำตามปกติ"
เสียงขีดปากกาเริ่มดังจากโต๊ะหลายตัว
"สอง — ทางโรงเรียนจะติดตั้งโคมส่องสว่างเพิ่มเติมบริเวณลานจอดรถและซอยหลังหอประชุม เนื่องจากมีเหตุร้องเรียนว่าช่วงเย็นนักเรียนบางกลุ่มยังคงรวมตัวกันในจุดอับแสง ซึ่งอาจเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ได้"
เธอหยุดเพียงเล็กน้อย
"การติดตั้งจะแล้วเสร็จภายในต้นสัปดาห์หน้า ขอให้ครูเวรกลางคืนและครูเวรเย็นช่วยประเมินความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ดังกล่าวภายหลังติดตั้งด้วย"
ไม่มีคำพูดเกินความจำเป็น ไม่มีการยกมือเสริม ไม่มีการเล่นเสียง
รองจารุณีพูดจบ พับแฟ้ม และพยักหน้าเพียงเล็กน้อย ก่อนจะนั่งเงียบเหมือนเดิม
แต่รัฐ... กลับขีดเส้นใต้คำว่า "จุดอับแสง" ไว้อีกครั้งในบันทึกส่วนตัว
บางครั้ง สิ่งที่คนอื่นเห็นว่าเป็นจุดเสี่ยง อาจจะเป็นตัวแปรบางอย่างในสมการก็ได้
วาระประชุมยังคงดำเนินต่อไปอย่างเป็นระบบ หลังจากฝ่ายอาคารสถานที่รายงานเสร็จ เสียงขีดเขียนและการกระซิบกันเบา ๆ จางหายไปเมื่อรองอำนาจกลับเข้ามาเป็นผู้ดำเนินหลักอีกครั้ง
"ต่อไปเป็นวาระจากกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเดิมที่นิ่งเหมือนคลื่นน้ำในถังเหล็ก ไม่เปลี่ยนจังหวะ ไม่เปลี่ยนสีหน้า
กลุ่มสาระภาษาไทยเริ่มต้นก่อน ครูผู้หญิงวัยกลางคนลุกขึ้นพร้อมกระดาษพับสี่ทบในมือ กล่าวสั้น ๆ เรื่องการเตรียมกิจกรรมวันภาษาไทยที่จะมีขึ้นในอีกเดือนหน้า และการเชิญครูอาวุโสเกษียณมาบรรยายพิเศษ รัฐเพียงจดไว้เล็กน้อย แม้จะไม่เกี่ยวโดยตรง แต่ก็เป็นข้อมูลที่ไม่ควรมองข้าม
ต่อด้วยกลุ่มคณิตศาสตร์ ซึ่งครูหนุ่มรุ่นน้องในสายวิชาเดียวกันกับรัฐเป็นคนลุกขึ้นแจ้งเรื่องการซ้อมตอบคำถามเตรียมแข่งขันระดับภาค การจัดติวเฉพาะกิจให้เด็กตัวแทนทีม รัฐฟังเงียบ ๆ พลางสังเกตว่าชื่อเด็กที่ถูกพูดถึง ไม่มีชื่อใดเลยที่เขาคุ้น
กลุ่มสังคมศึกษาไม่พูดมาก แจ้งเพียงเรื่องการปรับแผนสอนวิชาเศรษฐกิจในช่วงกลางภาค ให้เน้นเรื่องการเงินส่วนบุคคลตามนโยบายหลักสูตรใหม่
กลุ่มภาษาต่างประเทศมีการเสนอจัด "วันภาษา" ร่วมกับภาษาไทย เพื่อให้โรงเรียนไม่ต้องแยกกิจกรรมมากนัก ครูอิ๋มเป็นหนึ่งในผู้เสนอ ซึ่งได้รับการพยักหน้าจากหลายฝ่าย รัฐขีดขอบมุมชื่อเธอในกระดาษจดของเขาเบา ๆ โดยไม่มีใครเห็น
กลุ่มศิลปะและการงานเสนอให้ใช้ห้องอเนกประสงค์เดิมที่ไม่ใช้งานแล้ว สำหรับจัดนิทรรศการศิลปะถาวร พร้อมขออุปกรณ์เล็กน้อย ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีใครคัดค้าน แต่รองจารุณีเพียงโน้มตัวไปเขียนบันทึกเงียบ ๆ ในแฟ้มของเธอ
กลุ่มสุขศึกษาและพลศึกษา ขอปรับเวลาสอบสมรรถภาพร่างกายของ ม.ปลาย เนื่องจากสนามใหญ่จะใช้สำหรับเตรียมกิจกรรมวิทยาศาสตร์
และสุดท้าย กลุ่มวิทยาศาสตร์ ซึ่งรัฐนั่งฟังด้วยความใส่ใจเป็นพิเศษ ครูหัวหน้ากลุ่มซึ่งเขาเพิ่งเริ่มสนิทได้ไม่กี่วัน รายงานว่าการเตรียมงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์คืบหน้าไปได้ดี ขอความร่วมมือจากครูประจำชั้นในการตรวจสอบความพร้อมของนักเรียนก่อนวันงานจริง และขอให้ครูเวรวันพฤหัสหน้า ช่วยดูแลพื้นที่ตั้งแต่เช้าเป็นพิเศษ
เมื่อทุกกลุ่มสาระรายงานเสร็จ รองอำนาจมองนาฬิกาที่ข้อมือ พยักหน้าให้โต๊ะข้างหน้า ก่อนจะพูดขึ้นเป็นคำสุดท้ายของการประชุมครั้งนี้
"ไม่มีวาระเพิ่มเติม ขอถือว่าที่ประชุมรับทราบร่วมกันทุกฝ่าย — ขอบคุณครับ"
ในหัวของเขา เสียงประชุมหลากประเด็นกำลังค่อย ๆ เรียงตัวเป็นโครงสร้างอย่างเป็นระเบียบ — เหมือนการเตรียมทดลองบางอย่างในห้องแล็บ
มีข้อมูล มีสภาพแวดล้อม และที่สำคัญที่สุด...มีตัวแปรมนุษย์ ที่เริ่ม "แสดงปฏิกิริยา" ตามธรรมชาติของมันเอง
และตอนนี้ เขาก็แค่รอจังหวะที่จะ "เติมสารบางอย่างลงไป"
เพื่อให้มันเกิดปฏิกิริยาที่เขาควบคุมได้ทั้งหมด
เสียงพูดคุยเริ่มผ่อนคลายขึ้นหลังการประชุมสิ้นสุดลง กลุ่มครูทยอยลุกจากเก้าอี้ บ้างยืนเหยียดยืดตัว บ้างพูดคุยกันเบา ๆ ขณะเก็บแฟ้ม รัฐยังนั่งอยู่ที่เดิม พยักหน้าให้ครูสองคนที่เดินผ่าน พลางปิดสมุดบันทึกอย่างไม่รีบร้อน
"ครูรัฐครับ" เสียงหนึ่งเรียกมาจากฝั่งตรงข้ามโต๊ะ เป็นครูชายวัยกลางคนจากกลุ่มวิชาคณิตศาสตร์ ใบหน้ายิ้มเป็นมิตร มือหนึ่งถือแฟ้ม อีกมือเกาคางเหมือนคนยังไม่อยากกลับเข้าห้องเรียน
"สัปดาห์วิทย์นี่ ครูตื่นเต้นไหมครับ? ที่โรงเรียนในเมือง เขาจัดแบบนี้กันรึเปล่า?"
รัฐยิ้มบาง ๆ พลางลุกขึ้นยืนพอดี สะบัดขากางเกงให้คลายความตึงเล็กน้อยก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่เหมือนพูดเล่น แต่สายตายังนิ่ง
"วางแผนมาดีเลยมั่นใจสินะครับ?"
ครูอีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ "ก็พอประมาณครับ กิจกรรมพวกนี้ มันไม่แน่นอนเท่าไหร่อยู่แล้ว"
รัฐหันไปสบตาสั้น ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่างออกไปเล็กน้อย — นิ่งกว่า แต่ก็หนักแน่นกว่าคำตอบก่อนหน้า
"แผนมันไม่ชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกครับ"
เขาเว้นช่วง เหมือนจะให้คำพูดนั้นจมลงสู่บรรยากาศรอบตัว ก่อนจะเสริมด้วยน้ำเสียงต่ำ
"แต่ถ้ามีอุปกรณ์ หรืออะไรที่จะช่วยให้เปอร์เซ็นต์มันเพิ่มขึ้น...แม้จะเล็กน้อย"
เขาหันกลับไปจัดแฟ้มให้เข้าที่บนโต๊ะ
"ผมก็จะทำมันทั้งหมดนั่นแหละครับ"
ครูอีกคนพยักหน้าช้า ๆ เหมือนเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง
แต่กับรัฐ — มันไม่ใช่ประโยคเพื่อให้ใครเข้าใจ
มันคือคำยืนยันเงียบ ๆ ว่าเขาไม่เคยพึ่งแค่ "แผน"
เขาพึ่งการควบคุม และสิ่งที่ทำให้ทุกอย่าง เข้าใกล้แน่นอน มากขึ้น
ไม่ว่าจะต้องใช้อะไร
หลังจากที่ประชุมปิดลง ความจอแจในห้องประชุมก็ค่อย ๆ จางลงไปตามจังหวะของฝีเท้าและเสียงลากเก้าอี้ ครูแต่ละคนลุกจากที่นั่ง บ้างยืดตัว บ้างจับกลุ่มคุยสั้น ๆ ก่อนจะแยกย้ายออกทางประตูบานคู่ที่เปิดทิ้งไว้ เสียงหัวเราะเบา ๆ แทรกมาเป็นระยะ แต่ก็ไม่มีใครอยู่ต่อเนิ่นนาน เพราะนี่ไม่ใช่วันที่ใครอยากยืดเวลา
แม้จะเลิกงานเย็นกว่าปกติเล็กน้อย แต่ความรู้สึกก็ไม่ต่างจากวันธรรมดานัก แดดเย็นยังตกกระทบสนามหญ้าเป็นลายเงา รถยนต์จอดเรียงหน้าตึกอำนวยการหลายคันเริ่มสตาร์ทเครื่องแทบจะพร้อมกัน เสียงเครื่องยนต์ดังสลับกันไปในระยะไกลใกล้
รัฐเดินออกมาพร้อมกลุ่มครูไม่กี่คนที่เขาไม่ได้สนิทนัก แยกกันตรงลานจอดรถโดยไม่มีคำร่ำลา เขาก้าวขึ้นรถของตัวเอง เปิดประตูเข้าไปนั่ง ค่อย ๆ ดึงประตูปิดอย่างเงียบเชียบ
เครื่องยนต์ยังไม่ถูกบิดสตาร์ท เบาะที่นั่งด้านคนขับเงียบสนิท พวงมาลัยยังเย็นจากการจอดกลางร่มไม้
เขานั่งนิ่งอยู่แบบนั้น มองผ่านกระจกหน้ารถไปยังตึกเรียนที่เงียบลงทุกขณะ ดวงตาไม่ได้มองอะไรเป็นพิเศษ — แค่รอ
รอให้ความจอแจของโรงเรียนช่วงเลิกงานผ่านพ้นไป
เพราะเวลาที่รถของครูอีกหลายสิบคันขยับพร้อมกัน มันเหมือนฝูงปลาแหวกน้ำแข่งกันออกจากอ่าว ถ้ารีบขยับตามไปตอนนั้น รถจะติด...สายตาจะชนกัน...คำถามจะเกิด
แต่ถ้านั่งรอ — เพียงไม่กี่นาที ความพลุกพล่านนั้นก็จะซาเหลือเพียงเงา
และเขาก็จะเคลื่อนไหวได้แบบที่ไม่มีใครจำได้ว่าเขาออกจากโรงเรียนเวลาไหน
ฐยกมือขึ้นกดล็อกประตูรถ แสงอาทิตย์ยามเย็นทอดเงาลงบนหน้าปัดที่เริ่มเย็นตัว เขาหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กจากช่องข้างพวงมาลัยขึ้นมา ตั้งใจจะเปิดทบทวนแผนการสอนสำหรับสัปดาห์หน้า ระหว่างรอให้รถของครูคนอื่น ๆ ทยอยขับพ้นลานจอดออกไปทีละคัน
เสียงแฟ้มกระดาษกรอบแกรบเบา ๆ ดังขึ้นขณะที่เขาเปิดไปทีละหน้า ริมฝีปากขมวดเป็นเส้นตรงขณะสายตากวาดผ่านลายมือของตนเองอย่างเร็ว ทว่ากลับต้องชะงักเล็กน้อยตรงหน้าที่ควรจะมีแผ่นกระดาษโน้ตสีเหลืองแทรกไว้
มันหายไป
เขาขมวดคิ้วทันที นิ้วพลิกหน้ากระดาษกลับอย่างรวดเร็ว ไล่ดูย้อนหลังไปสามสี่หน้า ชื่อของนักเรียน ม.5/1 ยังคงอยู่ ตารางการบ้านที่เขาขีดไว้ตอนเช้าอยู่ครบ แต่เอกสารสั้น ๆ ที่เขาใช้สำหรับบันทึกข้อสังเกตพิเศษ — ไม่อยู่
"ลืมไว้ที่โต๊ะเหรอ..." เขาพึมพำกับตัวเองในรถเบา ๆ
มือขวายกขึ้นลูบคางอย่างครุ่นคิด ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ
มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่มันคือชิ้นเล็ก ๆ ที่เขาต้องใช้ประกอบกับงานประเมินพฤติกรรมนักเรียนและถ้าหายไปก็ไม่ใช่เรื่องดี
โดยเฉพาะถ้าใครมาเปิดอ่านเข้า
เขาวางสมุดลงอย่างระมัดระวัง กดปลดล็อกรถแบบเงียบเสียง แล้วดันประตูเปิดออก ฝ่ามือคว้ากุญแจเหน็บไว้ในกระเป๋ากางเกงข้างตัว
ลานจอดรถยังคงมีรถจอดอยู่บ้างแต่ส่วนใหญ่เริ่มว่างลง เสียงเครื่องยนต์ที่เคยดังแข่งกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเริ่มเบาบาง
รัฐเดินอย่างไม่รีบร้อน กลับขึ้นไปตามทางเดินปูนข้างตึกเรียน ร่มไม้สองข้างทางทอดเงาทอดยาว เสียงแมลงเริ่มจ้อเจื้อยจากพุ่มไม้ข้างสนาม
เขามุ่งหน้าไปยังห้องพักครู ท่ามกลางความเงียบที่เริ่มลงตัวในโรงเรียนที่หมดเสียงนักเรียนแล้ว
แต่แล้ว ขณะใกล้จะถึงประตูห้อง เสียงพูดคุยเบา ๆ จากภายในก็แทรกออกมาท่ามกลางความเงียบนั้นเอง
เสียงของผู้หญิง
รัฐชะงักฝีเท้าทันที
รัฐยืนนิ่งอยู่ข้างกรอบประตูห้องพักครูที่แง้มไว้เพียงเล็กน้อย แสงยามเย็นลอดผ่านกระจกฝ้าเข้ามาเป็นลำ เสียงพูดคุยด้านในไม่ดังนัก แต่ก็ชัดพอให้ได้ยินทุกถ้อยคำ
เขาไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง แต่ก็ไม่ได้ขยับเข้าไปให้ใครรู้ว่ามีคนยืนอยู่ตรงนี้
"อ้าว...ครูปัด จะรีบไปไหนล่ะครับ เลิกประชุมแล้วไม่คุยนิดหน่อยเหรอ?"
เสียงของ รองสุเมธ เอ่ยอย่างลื่นไหล น้ำเสียงแฝงรอยหยอกล้อที่ฟังดูเหมือนไม่มีพิษภัย
"ขอโทษค่ะรอง หนูต้องไปรับลูก...เดี๋ยวแม่เขาคงโทรตามแล้ว"
น้ำเสียงของ ครูปัด ฟังดูพยายามรักษามารยาท แต่เบื้องหลังนั้นแฝงความเกร็งเล็ก ๆ ที่คนฟังพอจับได้
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาขยับเข้ามาใกล้ เสียงเอกสารขยับเหมือนมีคนหยิบแฟ้มที่โต๊ะ
"เหนื่อยนะครับ วันนี้เห็นนั่งจดตลอดเลย"
"ค่ะ ก็...ต้องตามให้ทันวาระ จะได้ไม่ตกข่าว"
เสียงหัวเราะแหบต่ำของสุเมธดังขึ้นตามมาติด ๆ "ขยันแบบนี้นี่แหละ...ทำไมถึงไม่มีใครดูแลให้นะ"
เงียบ
รัฐยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองผ่านช่องกระจกฝ้า เห็นเพียงเงาตะคุ่มของร่างคนสองคนยืนหันหน้าเข้าหากัน อีกคนยืนค้ำแขนที่พนักเก้าอี้ อีกคนขยับตัวเล็กน้อยเหมือนจะถอยแต่ยังติดโต๊ะ
"รองคะ...ขอโทษจริง ๆ หนูต้องไปก่อน วันนี้ลูกอยู่กับยาย แล้วบ้านก็อยู่ไกล"
"ก็แค่หยอดนิดหน่อยเองครับครูปัด อย่าทำหน้าเครียดสิ เดี๋ยวแก่เร็ว..."
รัฐหลับตาลงชั่วครู่ — ไม่ใช่เพราะหงุดหงิดหรือโกรธ แต่เพราะเขารู้ว่าจังหวะแบบนี้ ต้องใช้การ "จำ" มากกว่าการ "ตอบสนอง"
เขารอ — รอให้สถานการณ์เผยโฉมหน้าที่แท้จริง
เพราะถ้าเข้าไปตอนนี้ ครูปัดอาจเพียงแค่ยิ้มแห้งแล้วปฏิเสธเบา ๆ สุเมธก็อาจผละตัวออกไปพร้อมคำพูดติดตลกว่า "ล้อเล่นน่ะครู"
เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดกล้องอย่างเงียบกริบ ก่อนจะค่อย ๆ ยกขึ้นระดับอก จ่อเลนส์ไปยังช่องว่างระหว่างบานประตูแง้ม ๆ กับกรอบไม้เก่า โทรศัพท์จับภาพได้เพียงบางส่วน — เงาดำขยับชิดกันมากขึ้น จังหวะลมหายใจของครูปัดดูติดขัด และปลายนิ้วของสุเมธ...ลากผ่านพนักเก้าอี้ลงมาหาไหล่เธออย่างช้า ๆ
"เหนื่อยทั้งวันแล้ว...ลองให้คนอื่นช่วยบ้างมั้ยครับ" น้ำเสียงแหบพร่าของรองผู้อำนวยการลากยาวราวกับละเลียดสัมผัสจากคำพูด
"รองคะ...ได้โปรด..." ครูปัดขยับถอยหลังชนโต๊ะ ชัดเจนว่าเธอกำลังพยายามไม่ให้เขาเข้ามาใกล้กว่านี้อีก
"ผมก็แค่เป็นห่วงไง...อย่าทำเหมือนผมเป็นคนแปลกหน้าสิ"
รัฐยืนพิงกำแพง เขาเคลื่อนกล้องเล็กน้อย พยายามจับจังหวะให้มั่น เสียงลมหายใจหนัก ๆ ดังจากคนในห้องชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมเสียงกระซิบที่คล้ายลมหายใจของคนที่ไม่รู้จักคำว่า "ขอบเขต"
"ครูปัด...ผมหยอกไปอย่างนั้นเอง ถ้าครูไม่พูดอะไร ผมก็คิดว่า...อาจจะไม่รังเกียจ"
ร่างของชายวัยกลางคนย่อตัวลง คำพูดของเขาแฝงแรงกดดันเจือความล่วงละเมิด — รัฐรู้ดีว่าคำพูดแบบนี้มันไม่ใช่เรื่อง "หยอก" มันคือการใช้ตำแหน่งบดขยี้เกราะป้องกันของอีกฝ่ายอย่างเลือดเย็น
เงาในห้องพักครูไหววูบเล็กน้อย รัฐยังยืนนิ่งอยู่ที่มุมผนัง ใกล้พอจะฟัง แต่ไกลพอจะไม่เห็นใบหน้าใครชัดเจน
น้ำเสียงของครูปัดเริ่มเปลี่ยนไป แม้เธอยังพยายามรักษาความสุภาพ แต่ความเกร็ง ความรีบเร่ง และการหาทาง "จบการสนทนา" อย่างถนัดถนี่ปรากฏในทุกคำพูด
"หนูต้องรีบจริง ๆ ค่ะ รอง ถ้ากลับช้ากว่านี้ยายเขาจะเป็นห่วง..."
อีกเสียงหนึ่งยังคงใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
"ทำไมต้องรีบล่ะครูปัด ผมแค่พูดเล่นเอง...อย่าคิดมากน่า อยู่กันสองคน ยังไงก็ครูกับครู"
ครูปัดยืนนิ่งอยู่ข้างโต๊ะของตัวเอง ใบหน้าตึงเครียด ริมฝีปากเม้มแน่น ขณะที่ร่างของรองสุเมธขยับเข้ามาใกล้กว่าที่ควร
มือของเขาวางลงบนขอบโต๊ะอย่างจงใจ ขวางทางถอยไปด้านหลังของเธอไว้ ร่างกายของทั้งคู่ขยับเข้าหากันอย่างเงียบงัน โดยที่เธอเองไม่ได้ก้าวเข้าหา
ดวงตาของปัดเหลือบมองประตูอย่างเร็ว ใจเต้นระส่ำ
"รองคะ...หนูว่า เราคุยกันไว้วันหลังดีกว่า" เสียงเธอเบาหวิว และแม้จะพยายามให้มั่นคง แต่น้ำเสียงนั้นสั่นไหวพอให้จับได้
สุเมธยังไม่ขยับถอย เขายิ้มเล็กน้อยแบบคนที่ไม่สนใจคำปฏิเสธ
"ครูปัด...พูดแบบนี้ทีไร ใจผมมันก็เสียทุกที"
เขายกมือขึ้นช้า ๆ คล้ายจะเอื้อมหาเธอ หรือบางอย่างในตัวเธอ
แสงอาทิตย์สะท้อนกรอบแว่นของเขา เสี้ยววินาทีที่ความเงียบอัดแน่นอยู่ในห้อง
แต่ก่อนที่มือของเขาจะไปถึงเป้าหมาย หรือสถานการณ์จะเลยเถิดไปกว่านั้น—
เสียงลูกบิดประตูหมุนดัง "แกร๊ก" ขึ้น
ประตูเปิดออกช้า ๆ ด้วยแรงจากคนด้านนอก และร่างของ ครูรัฐ ปรากฏขึ้นกลางกรอบประตูที่แสงกำลังโรยตัว
เขายืนอยู่นิ่ง ๆ แรกเริ่ม ไม่พูดอะไรในทันที สายตากวาดผ่านคนทั้งสองอย่างแนบเนียน ก่อนจะหยุดอยู่ที่แฟ้มเอกสารบนโต๊ะของตนเอง
"ผมลืมแฟ้มไว้ครับ"
น้ำเสียงเรียบ แต่หนักแน่นพอจะเปลี่ยนแรงกดดันในห้องได้ทันที
รัฐเดินเข้าไปในห้องด้วยจังหวะที่พอดี — ไม่เร็ว ไม่ช้า ราวกับเขาแค่ตั้งใจจะกลับมาเก็บของเท่านั้น สายตาไล่มองหาสิ่งที่ต้องการขณะที่อีกสองคนในห้องยังไม่ทันได้เคลื่อนไหว
"ผมหาแฟ้มนักเรียนไม่เจอ เลยคิดว่าน่าจะอยู่ที่นี่ครับ"
เขาพูดอย่างสุภาพ ไม่เจาะจง ไม่ตั้งคำถาม ราวกับไม่ได้สังเกตเห็นบรรยากาศที่อึดอัดเมื่อครู่ แม้ว่าแววตาของครูปัดจะยังไม่กล้าสบตาใคร และรองสุเมธจะชะงักไปเล็กน้อยขณะปรับท่าทางให้ห่างออกจากเธออย่างแนบเนียน
"อ้าว?" สุเมธหัวเราะเบา ๆ "แฟ้มนี้เหรอครู ที่วางทับอยู่เมื่อกี้..."
เขาขยับตัวไปหยิบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะของรัฐแล้วยื่นให้ มือยังมั่นคง สีหน้ายังยิ้ม
รัฐรับแฟ้มมาด้วยความสุภาพ
"ขอบคุณครับ รอง ไม่อย่างนั้นผมคงต้องกลับมาอีกที"
เขาหันไปทางครูปัด เล็กน้อยเท่านั้น แต่พอให้เธอรับรู้ว่าเขาเห็นเธอ
"ครูปัดกลับเลยหรือยังครับ?"
คำถามนั้นฟังดูธรรมดา แต่สำหรับเธอ มันคือการเปิดช่องให้ขยับออกจากสถานการณ์ที่ถูกขังอยู่เงียบ ๆ
"อ๋อ...ค่ะ กำลังจะกลับพอดี"
เสียงเธอเบา แต่นิ่งขึ้นกว่าก่อนหน้าเล็กน้อย
"งั้นไปด้วยกันเลยครับ ผมก็จะกลับเหมือนกัน"
รัฐหันกลับมามองรองสุเมธอีกครั้ง ยิ้มบาง ๆ ตามมารยาท
"ไม่รบกวนแล้วนะครับ รอง"
สุเมธหัวเราะ หัวไหล่ผ่อนลงอย่างแนบเนียน
"ไม่เลยครู เชิญเลย ๆ"
รัฐเปิดประตูค้างไว้ รอให้ครูปัดก้าวออกมาก่อนโดยไม่พูดอะไรเพิ่ม ครูปัดเดินผ่านเขาไปเงียบ ๆ ขณะรัฐเดินตามหลัง และในจังหวะที่เขาเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูเพื่อดึงมันปิดเบา ๆ
เขาไม่ได้มองกลับไป
แต่รู้แน่ว่า—เขาเพิ่ง "แทรก" เข้าไปในบางอย่างที่มากกว่าการลืมแฟ้มเอกสาร
และในสายตาของคนที่ช่างสังเกตอย่างเขา... จุดนี้ คือจุดเริ่มต้นของบางสิ่งที่อาจมีประโยชน์ในอนาคตมากกว่าที่คิด
บรรยากาศนอกห้องพักครูเงียบสงบลงกว่าเดิม แสงแดดยามเย็นเริ่มอ่อนแสงลงเรื่อย ๆ ลมเบา ๆ พัดโชยผ่านแนวต้นปีบหน้าอาคาร ต้นไม้ไหวคล้ายถอนหายใจตามบรรยากาศ
รัฐเดินเคียงข้างครูปัดไปตามทางปูนที่ทอดยาวสู่ลานจอดรถ ขณะเสียงฝีเท้าทั้งสองคู่กระทบพื้นเป็นจังหวะเงียบ ๆ ไม่มีคำพูดใดเอ่ยขึ้นทันที จนกระทั่งเขาหันไปมองเธอแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
"วันนี้ประชุมนานกว่าที่คิดนะครับ"
เธอพยักหน้าเบา ๆ หัวเราะน้อย ๆ พลางมองปลายเท้าตัวเอง
"ค่ะ...โดยเฉพาะวาระฝ่ายกิจกรรมนักเรียน"
น้ำเสียงนั้นแม้จะราบเรียบ แต่รัฐจับน้ำหนักบางอย่างในคำว่า ฝ่ายกิจกรรม ได้ทันที
เขาไม่ได้พูดสวนทันที เพียงแค่ปล่อยให้เสียงรองเท้าสองคู่เดินต่ออีกไม่กี่ก้าว ก่อนจะเสริมขึ้นเบา ๆ
"บางวาระ...ก็ไม่ได้มีอะไรใหม่เลยนะครับ ฟังไปก็เหมือนเดิม"
ปัดยิ้มบาง ๆ มุมปากยังเจือความเกร็งจาง ๆ อยู่
"บางทีเราก็ต้องฟังเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ค่ะ เพราะมันไม่เคยถูกแก้..."
คราวนี้รัฐหันไปมองเธออย่างจริงจังมากขึ้น แต่แววตาก็ยังนุ่มนวล
"ครูโอเคนะครับ?"
คำถามนั้นไม่ได้ก้าวร้าว ไม่ล้ำเส้น และไม่ได้คาดคั้น มันแค่ "อยู่" ตรงนั้น — พร้อมจะฟัง หากเธออยากพูด
ครูปัดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ
"ฉันโอเคค่ะ แค่...บางทีก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไงให้มันถูก"
รัฐไม่ซักต่อ เขารับคำตอบนั้นไว้ในใจ แต่ไม่ยัดเยียดให้เธอขยาย
"ถ้าครูไม่ว่าอะไร..." เขาเปลี่ยนสรรพนามลงให้เป็นกันเองเล็กน้อย "...วันไหนรู้สึกไม่สบายใจ หรือแค่เบื่อฟังอะไรแบบนั้น ก็แวะมาคุยกับผมได้นะครับ"
ปัดหันไปมองเขาช้า ๆ สีหน้าไม่ได้ยิ้มมาก แต่ก็ไม่ปิดกั้นอะไรอีก
"ขอบคุณค่ะ ครูรัฐ"
เมื่อถึงลานจอดรถ ทั้งสองแยกไปยังรถของตัวเองโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่น้ำหนักในอากาศระหว่างพวกเขาเบากว่าเดิม
==========โปรดติดตามตอนต่อไป==========
รอครับรอ จังหวะนี้ผมก็จะรอ อย่างใจจดจ่อทีเดียว
เดาทางครูรัฐไม่ถูกเลย แต่ครูปัดก็รอดหวุดหวิด รร. ไม่ธรรมดาเลย มีครูที่มีเบื้องหลังทุกรูปแบบ
ครูรัฐเลือดเย็นใจนิ่งมาก ทำไมถึงโดนจับย่ายจากโรงเรียนเก่าได้ พลาดตรงจุดไหน
ครูรัฐกุมความลับแต่ยังไม่ขยี้ซุ่มรอคอยอย่างใจเย็น
::Glad::
สนุกครับ น่าติดตาม ทั้งเนื้อเรื่องส่วนนักเรียน และ เนื้อเรื่องภายในโรงเรียน