🧡 XONLY 🧡

FICTION ZONE => เรื่องเล่าประสบกามเสียว => ผู้ประพันธ์บอร์ด => หัวข้อที่ตั้งโดย: Jherhmoy เมื่อ มิถุนายน 13, 2025, 06:47:50 หลังเที่ยง

ชื่อ: ในม่านหมอกแห่งรัก
โดย: Jherhmoy เมื่อ มิถุนายน 13, 2025, 06:47:50 หลังเที่ยง


วันหยุดยาวเป็นช่วงเวลาที่ เพชร ชายหนุ่มวิศวกรเครื่องกลผู้หลงใหลในประวัติศาสตร์ จะได้ดื่มด่ำกับโลกอดีตอย่างเต็มที่ และเป้าหมายของเขาในครั้งนี้คือ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ดินแดนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความรุ่งเรืองและความรวดร้าวของชาติไทย
ร่างสูงใหญ่ 185 ซม. ที่ดูหล่อเข้มในชุดลำลองสบายๆ เดินสำรวจซากปรักหักพังของวัดวาอารามเก่าแก่ พลางจินตนาการถึงภาพผู้คนในอดีตที่เคยมีชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งนี้ กลิ่นอายของอิฐเก่าแก่และเรื่องราวในอดีตยังคงอบอวลในมโนสำนึก จนกระทั่งสายตาของเขาไปสะดุดเข้ากับกลุ่มนักศึกษาที่กำลังเรียนรู้นอกสถานที่
ไม่ได้มีเพียงนักศึกษาเท่านั้นที่ดึงดูดความสนใจของเพชร แต่เป็น อาจารย์สาวสวย ที่ยืนอยู่ตรงกลางกลุ่ม เธออยู่ในชุดเดินป่าที่ทะมัดทะแมงเข้ารูป เผยให้เห็นทรวดทรงองค์เอวที่ได้รูป สวมหมวกปีกกว้างที่ดูน่ารัก และแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้และ Passion ในสิ่งที่เธอกำลังบรรยาย เสียงหวานใสของเธอที่บรรยายประวัติศาสตร์อยุธยาได้อย่างน่าฟัง ทำให้เพชรต้องมนต์สะกด

เพชรตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ๆ ทำทีเหมือนเป็นนักเรียนโข่งอีกคนที่สนใจประวัติศาสตร์ เขาก้าวเท้าเข้าไปแทรกตัวอยู่ด้านหลังกลุ่มนักศึกษา พยายามปรับสีหน้าให้ดูตั้งใจฟังและอยากรู้อยากเห็นอย่างเต็มที่
"อาจารย์ครับ! ตรงนี้เคยเป็นอะไรมาก่อนครับ?" เพชรแกล้งถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นเกินจริง ทั้งที่จริงๆ แล้วเขารู้ดีอยู่แล้ว แค่อยากได้ยินเสียงเพราะๆ ของเธอใกล้ๆ
อาจารย์สาวหันมามองเพชรด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย เธอคงเห็นถึงท่าทางกระตือรือร้นของเขา "อ๋อ... ตรงนี้เป็นส่วนของ..." เธอบรรยายอย่างใจเย็น

เพชรไม่รอช้า เขาพยายามถามโน่นถามนี่ไม่หยุดหย่อน ถามในสิ่งที่เขาพอจะรู้บ้าง แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ เพื่อให้อาจารย์สาวได้พูดคุยกับเขามากขึ้น และเพื่อที่เขาจะได้ยืนอยู่ใกล้ๆ รับฟังเสียงหวานๆ ของเธอไปนานๆ
"อาจารย์ดูมีความรู้มากเลยนะครับ ผมนี่อ่านมาเยอะก็ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งเท่าอาจารย์อธิบายเลย" เพชรยิงมุกชมเชยด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์ที่ทำให้สาวๆ มักจะเคลิบเคลิ้ม
ในที่สุด อาจารย์สาวก็ยอมคุยด้วยอย่างจริงจัง เธอเริ่มเห็นว่าเพชรไม่ใช่แค่มาป่วน แต่ดูเหมือนจะสนใจประวัติศาสตร์จริงๆ (หรือไม่ก็แค่พยายามทำให้ดูเหมือน) ทั้งสองคนยืนคุยแลกเปลี่ยนความรู้และมุมมองกันอยู่นาน แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นเพชรที่พยายามชวนคุยและอาจารย์สาวตอบคำถามอย่างใจดี
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกลุ่มนักศึกษาเริ่มแยกย้าย อาจารย์สาวมองนาฬิกาข้อมือด้วยท่าทีเกรงใจ
"คงต้องขอตัวแล้วล่ะค่ะ วันนี้มีนัดอีกที่" เธอเอ่ยอย่างสุภาพ
"เดี๋ยวสิครับอาจารย์!" เพชรรีบเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มอารมณ์ดี "ไหนๆ ก็คุยกันถูกคอแล้ว ผมขออนุญาตเลี้ยงกาแฟอาจารย์เป็นการตอบแทนความรู้หน่อยได้ไหมครับ ถือว่าผมรบกวนอาจารย์มานานแล้ว"
อาจารย์สาวลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ทำให้ใจเพชรสั่นไหว
"ก็ได้ค่ะ..." เธอตอบรับ
เพชรยิ้มกว้าง เขารู้สึกเหมือนเป็นผู้ชนะที่สามารถเข้าถึงใจของสาวสวยผู้นี้ได้แล้ว เขารีบก้าวเท้าเดินนำอาจารย์สาวออกมาจากอุทยาน เพื่อไปหาร้านกาแฟใกล้ๆ
ขณะที่กำลังจะข้ามถนน เพชรยังคงอารมณ์ดีและเคลิบเคลิ้มกับชัยชนะเล็กๆ ครั้งนี้ เขาเหม่อมองย้อนกลับไปที่อาจารย์สาวที่เดินตามหลังมา ใบหน้าหล่อเข้มประดับด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ จนกระทั่ง...โครมมมมม

ความมืดมิดกัดกินทุกสิ่งก่อนจะถูกกระชากออกด้วยแรงบีบเค้นจากศีรษะ ตามมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง เพชร  พยายามดิ้นรน เฮือกสุดท้ายของสติรับรู้ถึงเสียงยางล้อรถยนต์บดกับถนนอย่างรุนแรง เสียงกระจกแตกละเอียด และแรงกระแทกจากด้านหลังที่ส่งเขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างหมดทางสู้
โลกหมุนคว้าง สลับกับภาพความทรงจำสุดท้ายที่เขายังคงจดจำได้ดี...

อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา กลิ่นอายของอิฐเก่าแก่และเรื่องราวในอดีตยังคงอบอวลในมโนสำนึก ภาพอาจารย์สาวสวยในชุดทะมัดทะแมง รอยยิ้มอ่อนโยนของเธอ เสียงหวานใสที่บรรยายประวัติศาสตร์อย่างน่าฟัง... แล้วทุกอย่างก็ดับไปพร้อมกับความเจ็บปวด

เมื่อเปลือกตาที่หนักอึ้งค่อย ๆ เปิดขึ้น ความเจ็บปวดที่คาดว่าจะต้องรุนแรงกลับกลายเป็นเพียงความเมื่อยล้าเล็กน้อย ร่างกายเขากลับมาแข็งแรงสมบูรณ์อย่างน่าประหลาด ใบไม้แห้งและกิ่งไม้แห้งกรอบเสียดสีกับผิวกาย เขานอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาจนบดบังแสงแดด
แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือ เสียง เสียงแหลมสูงของลูกธนูที่แหวกอากาศ ตามมาด้วยเสียงกระทบเนื้ออันน่าสยดสยอง เสียงตะโกนก้อง เสียงอาวุธกระทบกันฉานฉ่าง กลิ่นควันไฟและกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนแสบจมูก
เพชรลุกพรวดขึ้นนั่ง ดวงตาคมกริบกวาดมองไปรอบตัว พุ่มไม้และต้นไม้น้อยใหญ่หนาทึบ บดบังทัศนียภาพเบื้องหน้า ทว่าเสียงและกลิ่นนั้นชัดเจนเกินกว่าจะปฏิเสธได้
"ไม่จริงน่า..." เขาพึมพำกับตัวเอง ใบหน้าหล่อเข้มฉายแววไม่เชื่อสายตา เขาดันตัวลุกขึ้นยืน ร่างกายแทบไม่มีร่องรอยการบาดเจ็บใดๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขากำลังถูกรถชน ก้าวเท้าแหวกพุ่มไม้ไปข้างหน้าเพียงไม่กี่สิบเมตร ภาพเบื้องหน้าก็ปรากฏสู่สายตาอย่างชัดเจน
ราวสี่ร้อยเมตรเบื้องหน้า ควันไฟสีดำทะมึนพวยพุ่งขึ้นจากอาคารหลายหลังภายในกำแพงเมืองอยุธยา เสียงการสู้รบดังสนั่นหวั่นไหวราวกับนรกได้เปิดประตูออกมา ทหารพม่าจำนวนมากกำลังบุกเข้าหักหาญ กวาดล้างผู้คนอย่างโหดเหี้ยม เสียงกรีดร้อง เสียงขอชีวิต ดังระงมปะปนกับเสียงอาวุธ เพชรไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป...

นี่คือสมัยอยุธยา และนี่คือช่วงเวลาแห่งการเสียกรุงครั้งที่ 1!
หัวใจของเพชรเต้นรัว สองมือของเขากำแน่น ภาพความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่เคยอ่านมานับครั้งไม่ถ้วน บัดนี้ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าในรูปแบบที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด เขาไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แต่สิ่งเดียวที่เขารู้คือ... เขาต้องทำอะไรสักอย่าง! ความเป็นวิศวกรผู้รอบคอบ นักมวยไทยผู้ห้าวหาญ และคนที่ประยุกต์สิ่งรอบตัวให้เกิดประโยชน์ได้เก่งกาจ มันเป็นสัญชาตญาณที่บอกเขาว่า การเอาชีวิตรอด คือสิ่งแรกที่ต้องทำ
แต่ท่ามกลางความโกลาหลนั้น สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นเงาของร่างบางร่างหนึ่งกำลังวิ่งหนีตายมาจากทางด้านหน้าของเขา ตรงมายังป่าแห่งนี้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงฝีเท้าหนักๆ ของกลุ่มคนที่กำลังไล่ตามมา...

เพชรตัดสินใจทันที เขาเลือกใช้สติปัญญาและความสามารถในการประยุกต์สิ่งรอบตัวให้เกิดประโยชน์ ความเป็นคนรอบคอบสั่งให้เขาเล่นงานจากมุมมืดอย่างไม่ให้ตั้งตัว!
เขากอบก้อนหินขนาดเหมาะมือขึ้นมาแน่น ประเมินระยะห่างและตำแหน่งของทหารพม่าอย่างแม่นยำที่สุด รอยยิ้มที่มีเสน่ห์ของเพชรปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา แต่เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและอันตราย
"แกตายแน่..." เขาพึมพำกับตัวเอง
ในเสี้ยววินาทีที่ทหารพม่าคนหนึ่งกำลังเอื้อมมือไปจับใบหน้าของหญิงสาวที่นอนอยู่บนพื้น เพชรดีดตัวออกจากพุ่มไม้ราวกับพยัคฆ์ ก้อนหินในมือซ้ายถูกเหวี่ยงออกไปอย่างสุดแรงเกิด พุ่งตรงเข้ากระทบขมับของทหารพม่าผู้นั้นเสียงดัง ผลั่ก!
ร่างของทหารพม่าเซถลา ก่อนจะล้มลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น เลือดสีแดงฉานค่อย ๆ ซึมออกมาจากขมับ
กลุ่มทหารพม่าที่เหลืออีกสามคนหันขวับมามองด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นชายร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า กลิ่นอายความอันตรายแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาอย่างชัดเจน
"ใครกัน!?" หนึ่งในนั้นตะโกนถาม พร้อมกับชักดาบออกมาเตรียมพร้อม
เพชรไม่ตอบ เขาคว้าท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่เตรียมไว้ขึ้นมา ก้าวเท้าออกไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ทันทีที่ทหารพม่าอีกคนพุ่งเข้ามาพร้อมกับเงื้อดาบหมายจะฟัน เพชรยกท่อนไม้ขึ้นป้องกันอย่างรวดเร็ว เสียงดาบกระทบไม้ดัง เคร้ง! ตามมาด้วยแรงสะท้อนที่ทำให้ทหารพม่าคนนั้นต้องถอยหลัง
เพชรไม่ปล่อยให้เสียโอกาส เขาก้าวเข้าประชิดตัว ใช้ทักษะการต่อสู้ที่สั่งสมมาจากการเป็นนักมวยไทยเหรียญทอง เตะเสยเข้าที่ปลายคางของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ ผัวะ! ร่างนั้นลอยหวือไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ก่อนจะทรุดลงไปกองกับพื้นด้วยสภาพหมดสติ
เหลือทหารพม่าอีกเพียงสองคน พวกมันเริ่มถอยกรูดด้วยความหวาดกลัว ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าต่อกรกับพวกตน และที่สำคัญคือชายผู้นี้ดูแข็งแกร่งเกินกว่าที่เคยเจอมา
"พวกแกอยากลองดีกับข้าไหมล่ะ?" เพชรเอ่ยเสียงเรียบ ทว่าแววตาคมกริบนั้นเต็มไปด้วยประกายของความท้าทาย เขายกท่อนไม้ขึ้นพาดบ่าอย่างมาดมั่น เผยให้เห็นถึงร่างกายที่กำยำและแววตาที่ยากจะคาดเดา
สองทหารพม่ามองหน้ากันด้วยความหวาดหวั่น ก่อนที่จะตัดสินใจวิ่งหนีไปในทิศทางที่เพชรเพิ่งออกมาจากป่าอย่างไม่คิดชีวิต ทิ้งไว้เพียงความเงียบสงัดที่เข้ามาแทนที่เสียงการต่อสู้
เพชรถอนหายใจยาว ทิ้งท่อนไม้ลงข้างตัว และหันไปมองหญิงสาวที่ยังคงนอนตัวสั่นอยู่บนพื้น

เพชรทิ้งท่อนไม้ลงข้างตัว และหันไปมองหญิงสาวที่ยังคงนอนตัวสั่นอยู่บนพื้น แววตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวระคนกับความไม่เข้าใจเมื่อจ้องมองมายังเขา
"แม่นางปลอดภัยแล้ว" เพชรพูดเสียงนุ่ม พยายามส่งรอยยิ้มที่มีเสน่ห์เพื่อคลายความกังวลของเธอ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ชี้ไปทางทิศที่เสียงปืนใหญ่และเสียงโกลาหลยังคงดังมาจากตัวเมือง "แต่ที่นี่ไม่ปลอดภัยนัก เราต้องรีบไปจากตรงนี้ก่อน"
หญิงสาวค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีสั่นเทา ดวงตาคู่สวยยังคงจับจ้องที่ใบหน้าของเพชรอย่างไม่วางตา ราวกับกำลังพินิจพิจารณาว่าเขาเป็นมิตรหรือศัตรู แต่ท่าทางที่มั่นคงและแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจของเพชรทำให้เธอผ่อนคลายลงบ้าง
"ท่าน... ท่านเป็นใคร เหตุใดจึงมาอยู่ในป่าแห่งนี้?" เธอถามเสียงสั่น แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยระคนหวาดระแวง
เพชรยิ้มบางๆ เขาเข้าใจดีว่าการที่จู่ๆ มีชายแปลกหน้าโผล่มาช่วยแบบไม่คาดฝันในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมทำให้เธอระแวง เขาตัดสินใจที่จะยังไม่เล่าเรื่องการย้อนเวลา แต่จะพยายามสร้างความไว้ใจและสอบถามข้อมูลที่จำเป็น

"ข้าคือเพชร... เป็นคนเดินทางมาจากแดนไกล" เขาเว้นจังหวะเล็กน้อยเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของเธอ "และข้ามาถึงที่นี่ในยามที่บ้านเมืองกำลังวิกฤตเช่นนี้"
"ข้าเห็นแล้วว่าในเมืองกำลังเกิดอะไรขึ้น" เพชรพูดต่อ "แต่แม่นาง พอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าสถานการณ์ในเมืองเป็นอย่างไรบ้าง? เหตุใดพม่าจึงบุกมาถึงเพียงนี้?"
หญิงสาวมองหน้าเขา คล้ายจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ความกลัวในภัยที่คุกคามจะเข้าครอบงำ เธอรีบตอบด้วยน้ำเสียงที่กระหืดกระหอบ
"พวกมัน... พวกมันบุกเข้าเมืองมาหลายวันแล้วเจ้าค่ะ... ผู้คนล้มตายไปมากมาย พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองนำทัพใหญ่มาล้อมกรุงไว้ เราต้านทานได้ไม่นานนักหรอกเจ้าค่ะ" น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง "ข้า... ข้าหนีออกมาจากวังเมื่อเช้านี้เอง..."
เพชรพยักหน้า สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเมื่อได้ยินคำว่า "บุเรงนอง" และ "วัง" แสดงว่าสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คิดมาก เขาต้องรีบพาเธอไปยังที่ปลอดภัยก่อน
"เช่นนั้นเรายิ่งต้องรีบไปจากที่นี่" เพชรจับแขนเธอเบาๆ สัมผัสได้ถึงความเย็นของผิวเนื้อใต้ผ้าแถบที่หลุดลุ่ยไปตามแรงวิ่ง แต่ไม่คิดฉวยโอกาส "แม่นางชื่ออะไร แล้วพอจะรู้ทางหนีไปยังที่ที่ปลอดภัยจากทัพพม่าได้หรือไม่?"
หญิงสาวมองมือที่จับแขนเธอ ก่อนจะเงยหน้าสบตาเพชรอีกครั้ง แววตาที่เคยหวาดระแวงเริ่มเจือจางลง แทนที่ด้วยความเชื่อมั่นในชายผู้สูงใหญ่ตรงหน้า เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

"ข้า... ข้าชื่อ แม่หญิงศรีนวล เจ้าค่ะ" เธอตอบเสียงแผ่ว "ทางหนี... คงต้องลึกเข้าไปในป่านี้เจ้าค่ะ หากหวังจะรอดพ้นจากพวกมัน"
เพชรพยักหน้า "ดีมากแม่หญิงศรีนวล รีบตามข้ามา เราต้องไปให้ไกลจากที่นี่ให้เร็วที่สุด"
เขาปล่อยมือจากแขนของเธอ และก้าวเดินนำเข้าสู่ป่าที่ลึกกว่าเดิม ทิ้งให้แม่หญิงศรีนวลรีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว แม้จะยังรู้สึกหวาดกลัว แต่เธอกลับรู้สึกถึงความปลอดภัยอย่างประหลาดเมื่ออยู่ใกล้ชายผู้นี้... ชายผู้ที่มาพร้อมกับกลิ่นอายแปลกๆ แต่กลับแข็งแกร่งและน่าเชื่อถืออย่างน่าประหลาดใจ
เพชรได้รู้จักกับแม่หญิงศรีนวลแล้ว และกำลังพาเธอหนีลึกเข้าไปในป่า


เพชรนำแม่หญิงศรีนวลเดินลึกเข้าไปในป่า ความรู้รอบตัวจากการชอบเดินป่ากับเพื่อนๆ​ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายทำให้เขาสามารถสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นทิศทางของแสงอาทิตย์เพื่อนำทาง ร่องรอยสัตว์ป่า หรือแม้กระทั่งชนิดของพืชพรรณที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
"แม่หญิงศรีนวล เราจะเดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ" เพชรบอกพลางชี้ไปในทิศทางที่แดดร่มกว่า "ทางนั้นน่าจะปลอดภัยกว่าและอาจมีแหล่งน้ำ"
ศรีนวลเดินตามเพชรไปอย่างเงียบๆ เธอเหนื่อยหอบแต่ก็พยายามไม่ปริปากบ่น เธอรู้สึกประหลาดใจกับความสามารถของชายแปลกหน้าผู้นี้ ทั้งที่มาถึงป่าที่ดูรกทึบเพียงไม่นาน แต่กลับรู้ทิศทางและดูมั่นใจในทุกย่างก้าว
"ท่านเพชร... ท่านรู้ทางได้อย่างไรเจ้าคะ?" ศรีนวลถามด้วยความสงสัย
เพชรยิ้มเล็กน้อย "ข้าสังเกตเอาจากธรรมชาติรอบตัว สิ่งเหล่านี้ล้วนมีรูปแบบของมัน" เขาไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก เพราะไม่อยากอธิบายเรื่องวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนให้หญิงสาวจากยุคนี้เข้าใจ
ขณะที่เดินลึกเข้าไป สองหูของเพชรก็เริ่มได้ยินเสียงแผ่วๆ เสียงน้ำที่ไหลเอื่อยๆ เขารีบก้าวเท้าเร็วขึ้น และไม่นานนักก็พบกับลำธารเล็กๆ สายหนึ่ง สายน้ำใสสะอาดไหลรินลงมาจากโขดหิน
"ดีเลย! เราจะได้พักดื่มน้ำตรงนี้" เพชรพูดพลางก้มลงตักน้ำขึ้นมาดื่มด้วยสองมือที่ประกบกัน แม่หญิงศรีนวลรีบทำตามอย่างกระหาย
หลังจากพักดื่มน้ำและพอได้คลายความเหนื่อยล้าลงบ้าง เพชรก็เริ่มมองหาสิ่งที่จะช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากภัยในยามค่ำคืน "แม่หญิงศรีนวล ที่นี่คงเป็นที่พักชั่วคราวของเราในคืนนี้ หากจะเดินต่อไปคงอันตรายเกินไป"
ศรีนวลมองไปรอบตัวด้วยความกังวล "กลางคืนในป่าใหญ่... อันตรายยิ่งนักเจ้าค่ะท่านเพชร"
"ไม่ต้องห่วง" เพชรตอบอย่างมั่นใจ ใบหน้าหล่อเข้มฉายแววของนักแก้ปัญหาที่คุ้นเคยกับสถานการณ์เฉพาะหน้า เขากวาดสายตาไปรอบลำธาร ก่อนจะสะดุดกับกิ่งไม้และเศษไม้ที่ถูกน้ำพัดมาเกยตื้นอยู่มากมาย "เราจะก่อกองไฟกัน และข้าจะสร้างสิ่งป้องกันตัวง่ายๆ"
เพชรเก็บท่อนไม้ขนาดพอดีมือที่อยู่ใกล้ๆ มาหนึ่งท่อน จากนั้นก็เริ่มใช้ก้อนหินที่แหลมคมขูดเนื้อไม้ให้เป็นรอยลึกอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาจริงจังกับการทำงานอย่างน่าประหลาดใจ ศรีนวลมองอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าเขากำลังทำอะไร แต่ก็รู้สึกถึงความเชื่อมั่นที่ชายผู้นี้มี
ในขณะที่เพชรกำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมก่อไฟและสร้างกับดักง่ายๆ รอบบริเวณที่พัก เสียงฝีเท้าที่ผิดปกติก็ดังขึ้นมาจากพุ่มไม้เบื้องหน้า ไม่ใช่เสียงฝีเท้าของสัตว์ป่า แต่เป็นเสียงที่บ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวของมนุษย์ และมีมากกว่าหนึ่งคน
เพชรหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจัง ดวงตาคมกริบเหลือบมองศรีนวลที่ยังคงนั่งอยู่ข้างลำธารด้วยความไม่รู้ตัว
"มีคนกำลังมา" เพชรบอกเสียงกระซิบพลางชักกิ่งไม้แห้งที่เหลาปลายแหลมจนเป็นหอกเล็กๆ ขึ้นมาถือไว้ในมือ

เพชรหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจัง ดวงตาคมกริบเหลือบมองศรีนวลที่ยังคงนั่งอยู่ข้างลำธารด้วยความไม่รู้ตัว
"มีคนกำลังมา" เพชรบอกเสียงกระซิบพลางชักกิ่งไม้แห้งที่เหลาปลายแหลมจนเป็นหอกเล็กๆ ขึ้นมาถือไว้ในมือ
เสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาใกล้ไม่ได้มีแค่หนึ่งหรือสอง แต่เป็นเสียงของกลุ่มคนที่กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว แม้จะพยายามย่องเบา แต่ด้วยจำนวนที่มากทำให้เสียงกระทบกับใบไม้แห้งและกิ่งไม้ยังคงดังชัดเจนในความเงียบของป่า เพชรดึงแม่หญิงศรีนวลเข้ามาหลบหลังโขดหินใหญ่ใกล้ลำธาร ก่อนจะเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเข้ามา
เพียงชั่วอึดใจ ร่างของบุรุษสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นจากแนวป่า พวกเขาไม่ได้แต่งกายเป็นทหารพม่า แต่เป็นชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำในชุดนักรบไทยโบราณที่ดูเก่าและมีรอยเปื้อนดินโคลน พวกเขามีดาบเหน็บเอวและธนูสะพายหลัง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและความระแวง แต่ดวงตานั้นฉายแววความมุ่งมั่นและแข็งกร้าว
หนึ่งในนั้นซึ่งดูเป็นหัวหน้ากลุ่ม มีรอยแผลเป็นพาดผ่านแก้มซ้าย เขามองกวาดไปรอบๆ บริเวณลำธารอย่างระมัดระวัง ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดเข้ากับร่างของเพชรและศรีนวลที่กำลังหลบอยู่
"นั่นใครน่ะ!" หัวหน้ากลุ่มตะโกนเสียงดัง พร้อมกับชักดาบออกมาเตรียมพร้อม ร่างของชายฉกรรจ์อีกสองคนก็ทำตาม เตรียมพร้อมสำหรับการปะทะ
เพชรผุดลุกขึ้นยืนช้าๆ หอกไม้ปลายแหลมถูกยกขึ้นในท่าพร้อมรบ แม่หญิงศรีนวลส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหลบอยู่ด้านหลังเพชรอย่างหวาดกลัว
"อย่าเพิ่งทำอันใดท่าน!" เพชรพูดเสียงดังอย่างใจเย็น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาฉายแววประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว "พวกข้ามิใช่ศัตรู เราหนีตายมาจากกรุงศรีฯ เช่นกัน"
หัวหน้ากลุ่มเหล่ตามองเพชรตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า สังเกตการแต่งกายที่แปลกตาและท่าทางที่มั่นอกมั่นใจอย่างประหลาดของเขา "แล้วเจ้าเป็นใคร? แต่งกายแปลกพิกล มาจากไหนกันแน่" เขาถามด้วยน้ำเสียงไม่ไว้วางใจ
เพชรยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มมีเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนเชื่อมั่นปรากฏขึ้นบนใบหน้า "ข้ามีนามว่าเพชร เป็นคนเดินทางมาจากแดนไกล กำลังจะเข้าไปในกรุงเพื่อร่วมกอบกู้บ้านเมือง" เขาจงใจใช้คำว่า "กอบกู้" เพื่อสร้างความรู้สึกร่วม และพยายามให้เสียงพูดของเขาฟังดูน่าเชื่อถือที่สุด
หัวหน้ากลุ่มพยักหน้าอย่างช้าๆ ใบหน้าของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่า "กอบกู้บ้านเมือง" แสดงว่าเขาน่าจะเป็นนักรบที่ยังคงมีความหวังและภักดีต่ออยุธยา แต่ก็ยังไม่ลดท่าทีระแวง

"เจ้าพูดว่าจะกอบกู้บ้านเมืองงั้นรึ?" หัวหน้ากลุ่มถามด้วยน้ำเสียงที่เจือด้วยความท้าทาย "แล้วเจ้ามีกำลังอันใดเล่าที่จะทำเช่นนั้นได้ ทัพพม่ามากเกินกำลังของเราไปมากแล้ว"


เพชรยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มมีเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนเชื่อมั่นปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขากวาดสายตาสำรวจหัวหน้ากลุ่มและพรรคพวกอีกสองคนอย่างรวดเร็ว สีหน้าเหนื่อยล้า แววตาที่เต็มไปด้วยความหวังริบหรี่แต่ยังไม่ดับมอด เขาอ่านใจพวกเขาออกทันทีว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่โจร แต่เป็นนักรบผู้ภักดีที่กำลังสิ้นหวัง
"ข้าเข้าใจดีว่าท่านรู้สึกเช่นไร" เพชรกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่หนักแน่น "ข้าเห็นความมุ่งมั่นในแววตาของพวกท่าน และนั่นคือสิ่งที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดในยามนี้"
เขาค่อยๆ ลดหอกไม้ลง ถือมันไว้อย่างสบายๆ ท่าทางที่ผ่อนคลายแต่แฝงด้วยความพร้อมรับมือทำให้หัวหน้ากลุ่มจับจ้องไม่วางตา "ทัพพม่ามีมากจริง... แต่พวกเขาก็เป็นเพียงคน ไม่ใช่ภูตผีปีศาจ"
เพชรก้าวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นอีกเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเข้มมองตรงเข้าไปในดวงตาของหัวหน้ากลุ่ม "ข้ามิได้มาพร้อมกับกำลังคนมากมาย แต่ข้ามาพร้อมกับ 'ความรู้' ที่อาจเปลี่ยนแปลงกระแสแห่งสงครามได้"
เขาพูดเน้นคำว่า 'ความรู้' ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างประหลาด ราวกับจะบอกว่าความรู้ที่เขามีนั้นเป็นสิ่งล้ำค่าและเหนือกว่าอาวุธใดๆ
"พวกท่านต่อสู้ด้วยดาบและธนู... แต่ข้าเห็นหนทางที่จะต่อสู้ด้วย 'สติปัญญา' และ 'กลยุทธ์' ที่เหนือกว่าศัตรู" เพชรเว้นจังหวะเล็กน้อย ปล่อยให้คำพูดของเขาก้องอยู่ในความคิดของนักรบทั้งสาม "และหากข้าเดาไม่ผิด... พวกท่านคงเป็นนักรบที่หลงเหลือรอดมาจากการสู้รบอันดุเดือด... และยังคงมีความหวังที่จะต่อสู้เพื่อบ้านเมือง ใช่หรือไม่?"
หัวหน้ากลุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง เขามองสบตาเพชร พยายามอ่านแววตาของชายผู้นี้ ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูมั่นใจเกินกว่าสถานการณ์ปัจจุบัน คำพูดที่ฟังดูเหลือเชื่อ แต่กลับแฝงด้วยพลังที่น่าเชื่อถืออย่างประหลาด ความเป็นคนอารมณ์ดีและรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ของเพชรเริ่มทำงาน ดึงดูดความสนใจและความรู้สึกของนักรบเหล่านั้นอย่างช้าๆ
ในที่สุด หัวหน้ากลุ่มก็ลดดาบลงเล็กน้อย "ข้าชื่อ ไอ้สิน เป็นทหารหาญในกองของพระยาพลเทพ" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิมเล็กน้อย "และใช่... พวกข้ายังคงอยากต่อสู้... หากยังมีหนทาง"


เพชรยิ้มอย่างเป็นมิตรเมื่อไอ้สินแนะนำตัวและแสดงทีท่าที่เปิดใจมากขึ้น "ดีใจที่ได้รู้จักท่านสิน" เขาหันไปมองแม่หญิงศรีนวลที่ยังคงหลบอยู่ด้านหลังอย่างกังวล "แม่หญิงศรีนวลเองก็เหนื่อยล้าเต็มที พวกเราควรหาที่พักพิงที่ปลอดภัยกว่านี้ก่อนจะค่ำมืด"
ไอ้สินพยักหน้าเห็นด้วย "จริงอย่างที่เจ้าว่า หากอยู่ในป่าโล่งเช่นนี้คงไม่พ้นต้องเจอพวกพม่าอีก หรือไม่ก็สัตว์ร้าย"
"เช่นนั้นตามข้ามา" เพชรผายมือเชิญ พร้อมกับก้าวเท้าออกนำอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่การเดินอย่างรีบร้อนเพื่อหนีตาย แต่เป็นการเดินอย่างรอบคอบเพื่อสำรวจหาทำเลที่เหมาะสมที่สุด เขาใช้สายตากวาดมองไปรอบๆ พุ่มไม้ กิ่งไม้ ท่อนไม้ และสภาพพื้นดินอย่างละเอียด เหมือนวิศวกรที่กำลังสำรวจพื้นที่สำหรับก่อสร้าง
ไม่นานนัก เพชรก็หยุดลงที่บริเวณที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นหนาแน่น และมีช่องว่างเล็กๆ ระหว่างโขดหินขนาดใหญ่ที่พอจะเป็นที่กำบังลมได้ดี
"ที่นี่เหมาะแล้ว" เพชรบอกพลางมองดูรอบๆ อย่างพึงพอใจ "เราจะพักกันที่นี่ คืนนี้พวกเราคงปลอดภัยกว่าเดิม"
ไอ้สินและพรรคพวกมองหน้ากันด้วยความสงสัย พวกเขาเห็นเพียงแค่แนวป่าธรรมดาๆ แต่เพชรก็เริ่มลงมือทันที
"ท่านสิน พวกท่านช่วยข้าหากิ่งไม้แห้งและใบไม้แห้งมากๆ หน่อยได้หรือไม่" เพชรสั่งอย่างใจเย็น "ส่วนแม่หญิงศรีนวล หากท่านพอจะหาเศษไม้ที่ใช้จุดไฟง่ายๆ ได้ก็จะดีมาก"
นักรบทั้งสามคนยังคงงงๆ แต่ก็ยอมทำตามคำสั่งของเพชรอย่างว่าง่าย เพชรเริ่มใช้ก้อนหินที่แหลมคมขูดไม้แห้งบางชนิดอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมเชื้อเพลิง ขณะเดียวกันก็สังเกตทิศทางลมเพื่อเลือกจุดก่อกองไฟที่เหมาะสมที่สุด ความคล่องแคล่วและจริงจังในการทำงานของเขาทำให้ไอ้สินเริ่มรู้สึกประทับใจ
ไม่นานนัก กิ่งไม้แห้งและใบไม้แห้งก็ถูกนำมากองรวมกัน เพชรหยิบหินสองก้อนขึ้นมา ก้อนหนึ่งเป็นหินเหล็กไฟ อีกก้อนเป็นหินที่เขาขูดปลายให้แหลมเล็กน้อย เขากระแทกหินทั้งสองเข้าด้วยกันซ้ำๆ ประกายไฟเล็กๆ ก็กระเด็นออกมาถูกเศษใบไม้แห้งที่เตรียมไว้
แคว๊ก!
เปลวไฟเล็กๆ ลุกโชนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพชรค่อยๆ เพิ่มเชื้อเพลิงลงไปอย่างช้าๆ จนกองไฟลุกโชติช่วง ส่งความอบอุ่นและแสงสว่างในยามที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า
นักรบทั้งสามและแม่หญิงศรีนวลมองกองไฟด้วยความทึ่ง การก่อไฟที่รวดเร็วและง่ายดายของเพชรดูเหมือนเรื่องมหัศจรรย์ในยุคที่การจุดไฟไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
"นี่มัน... ท่านทำได้อย่างไรขอรับ" ไอ้สินถามด้วยน้ำเสียงทึ่งๆ
เพชรยิ้ม "มันคือความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่จะช่วยให้เราอยู่รอดในป่าได้" เขาไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก เพราะรู้ว่าเทคโนโลยีในยุคนี้ยังไม่เข้าใจหลักการทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
หลังจากก่อกองไฟเสร็จ เพชรก็เดินไปรอบๆ บริเวณที่พัก เขาใช้เชือกเถาวัลย์ที่มองหาเจอมาผูกกับกิ่งไม้และเศษไม้ที่แหลมคม ทำเป็นกับดักง่ายๆ รอบบริเวณ กะระยะห่างและแรงดีดได้อย่างแม่นยำ พร้อมกับโรยเศษใบไม้บดละเอียดที่มีกลิ่นฉุนเพื่อเป็นสัญญาณเตือนภัยหากมีใครเข้ามาใกล้
"กับดักพวกนี้จะส่งเสียงเตือนพวกเราหากมีสัตว์หรือคนแปลกหน้าเข้ามาใกล้" เพชรอธิบายให้กับทุกคนฟังอย่างใจเย็น
ไอ้สินมองการกระทำของเพชรด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความนับถืออย่างแท้จริง ชายผู้นี้ไม่ได้มีแค่พละกำลัง แต่ยังมีความรู้และความสามารถในการเอาชีวิตรอดที่เหนือกว่าที่เขาเคยเจอมาทั้งหมด
"ข้านับถือท่านเพชรยิ่งนัก" ไอ้สินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ "ในยามนี้ที่บ้านเมืองกำลังวิกฤต การมีผู้มีความรู้เช่นท่านอยู่ด้วย นับเป็นบุญของพวกเราโดยแท้"
เพชรเพียงยิ้มตอบ รอยยิ้มที่มีเสน่ห์ที่ทำให้คนคล้อยตามได้ง่าย ตอนนี้เขามีพันธมิตรเบื้องต้นแล้ว และมันคือจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการกอบกู้บ้านเมือง


เมื่อเปลวไฟเต้นระริก ส่งแสงสว่างและไออุ่นขับไล่ความหนาวเย็นของป่าในยามค่ำคืน ทุกคนต่างนั่งล้อมวง ไอ้สินและพรรคพวกของเขาเริ่มผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาเล่าถึงสถานการณ์ในกรุงศรีฯ ที่เลวร้ายเพียงใด การล้อมกรุงที่ยืดเยื้อ การขาดแคลนเสบียง และขวัญกำลังใจที่ตกต่ำของผู้คน
เพชรรับฟังอย่างเงียบๆ ใบหน้าจริงจังขึ้นเมื่อได้ยินรายละเอียดที่ตอกย้ำถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เขารู้ดี เขาพยายามเชื่อมโยงข้อมูลที่ได้ยินกับความรู้ที่เขามี เพื่อวางแผนการต่อไป
"สถานการณ์ดูสิ้นหวัง... แต่ข้าเชื่อว่ายังไม่ถึงที่สุด" เพชรกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ "หากเราสามารถใช้ความรู้จากโลกที่ข้าจากมา... เราอาจพลิกวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสได้"
ไอ้สินและพรรคพวกมองหน้ากันด้วยความสงสัยระคนความหวัง "ความรู้จากโลกที่ท่านจากมา? ท่านหมายความว่าอย่างไรขอรับ?"
เพชรยิ้มบางๆ รอยยิ้มมีเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนคล้อยตามได้ง่าย "ข้าไม่อาจเล่ารายละเอียดได้ทั้งหมดในยามนี้ แต่จงเชื่อเถิดว่าข้ามีวิธีที่จะสร้างอาวุธที่เหนือกว่าสิ่งใดที่พวกท่านเคยเห็น มีกลยุทธ์การรบที่พลิกแพลง และความสามารถในการเอาชีวิตรอดที่แม้แต่พม่าก็คาดไม่ถึง" เขาจงใจพูดให้คลุมเครือแต่แฝงด้วยพลัง


"แต่สิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้คือ การรวบรวมคน ที่มีความกล้าหาญและไม่ยอมแพ้เช่นพวกท่าน" เพชรหันไปสบตาไอ้สินโดยตรง "ข้าต้องการนักรบที่กล้าหาญอย่างพวกท่านมาเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของอยุธยา"
ไอ้สินนิ่งไปครู่หนึ่ง เขามองเพชรด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความนับถือ แววตาของเพชรที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและประกายแห่งความหวังที่ไม่เคยพบเห็นในใคร ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีแสงสว่างส่องเข้ามาในความมืดมิด
"หากท่านเพชรกล่าวเช่นนั้น... พวกข้าพร้อมที่จะเชื่อและติดตามท่าน" ไอ้สินกล่าวอย่างหนักแน่น นักรบอีกสองคนก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างเต็มใจ


เมื่อบทสนทนาเรื่องบ้านเมืองจบลง บรรยากาศรอบกองไฟก็เริ่มผ่อนคลายลง ความเหนื่อยล้าจากการหลบหนีตลอดทั้งวันเริ่มกัดกินร่างของทุกคน โดยเฉพาะแม่หญิงศรีนวลที่นั่งเงียบอยู่ใกล้เพชรมาตลอด เธอตัวสั่นเล็กน้อยจากความหนาวเย็นและอาการตกใจที่ยังไม่คลาย
เพชรสังเกตเห็นอาการของศรีนวล เขารู้ว่าความเครียดและความหวาดกลัวที่สะสมมาตลอดทั้งวันต้องหาทางระบายออกไปบ้าง และความใกล้ชิดในป่าลึกยามวิกาลก็มักนำมาซึ่งความต้องการตามสัญชาตญาณ
"แม่หญิงศรีนวลคงเหนื่อยและหวาดกลัวมาก" เพชรเอ่ยขึ้นเบาๆ เสียงของเขาอบอุ่นและอ่อนโยน เขาขยับตัวเข้าไปใกล้เธอเล็กน้อย ส่งผลให้ความอบอุ่นจากร่างกายของเขาแผ่ซ่านไปถึงเธอ
ศรีนวลเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของเพชร ดวงตาคู่สวยสบเข้ากับดวงตาคมกริบของเขา ในแววตาของเพชรไม่ได้มีเพียงความห่วงใย แต่ยังมีความปรารถนาบางอย่างที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ซึ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัว
เพชรยื่นมือไปสัมผัสแขนของเธอเบาๆ ปลายนิ้วเรียวไล้ลงไปตามผิวเนื้อที่เย็นเฉียบ "ร่างกายของแม่หญิงสั่นเทาไปหมด... มาเถิด... พิงกายกับข้าเถิด จะได้อบอุ่นขึ้น"
ศรีนวลลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ความเหนื่อยล้า ความหวาดกลัว และความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากตัวเพชรมีอำนาจเหนือกว่า เธอค่อยๆ เอนกายเข้าหา ซบใบหน้าลงกับแผงอกที่แข็งแกร่งของเพชร เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง และเสียงหัวใจของเพชรที่เต้นเป็นจังหวะหนักแน่น... มันเป็นเสียงที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาดในท่ามกลางป่าอันมืดมิด
เพชรโอบแขนกอดร่างบางของศรีนวลเข้ามาใกล้มากขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลของเรือนร่างภายใต้เสื้อผ้าที่บางเบา กลิ่นหอมจางๆ ของเธอทำให้สัญชาตญาณดิบของเขาตื่นตัวขึ้นอย่างช้าๆ ไอ้สินและพรรคพวกที่นั่งอยู่อีกฝั่งของกองไฟ ต่างพยายามทำเป็นไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้า ให้พื้นที่ส่วนตัวกับชายหญิงคู่นี้
เพชรก้มลงกระซิบข้างหูเธอเบาๆ "ไม่ต้องกลัวแล้วนะศรีนวล... ข้าจะอยู่ตรงนี้กับเจ้า" เสียงกระซิบนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่แฝงด้วยความเร่าร้อนที่ยากจะปกปิด
ศรีนวลเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง ในแววตาของเธอมีความสับสนระคนความปรารถนาที่ตื่นขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ ริมฝีปากอิ่มของเธอกะพริบถี่ๆ เธออยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
เพชรยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะค่อยๆ โน้มใบหน้าลงไปใกล้ ริมฝีปากของเขาสัมผัสกับริมฝีปากอิ่มของเธออย่างแผ่วเบาในตอนแรก ก่อนจะเพิ่มแรงกดดันขึ้น...


เพชรโน้มใบหน้าลง ริมฝีปากของเขาสัมผัสกับริมฝีปากอิ่มของศรีนวลอย่างแผ่วเบาในตอนแรก ก่อนจะเพิ่มแรงกดดันขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นถึงความปรารถนาที่ยากจะต้านทาน ริมฝีปากของเพชรนุ่มนวล แต่ก็เต็มไปด้วยความร้อนแรงที่ทำให้ศรีนวลรู้สึกหวิวในช่องท้อง
ศรีนวลหลับตาพริ้ม ตอบรับสัมผัสจูบนั้นอย่างเคอะเขิน มือบางที่เคยกำแน่นค่อยๆ คลายออกและเลื่อนขึ้นไปโอบรอบคอของเพชรอย่างไม่รู้ตัว เธอไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกรุนแรงเช่นนี้มาก่อน หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก แต่ท่ามกลางความกลัวและความสับสน เธอกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นและความปลอดภัยที่ประหลาด
เพชรค่อยๆ ผละริมฝีปากออกช้าๆ แต่ยังคงโน้มใบหน้าอยู่ใกล้จนลมหายใจอุ่นร้อนรินรดกัน เขามองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยของศรีนวลที่กำลังเปิดขึ้นอย่างช้าๆ แววตาของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งความอาย ความปรารถนา และความไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
"เจ้าปลอดภัยแล้วศรีนวล" เพชรกระซิบเสียงพร่า พลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าผากของเธอออกเบาๆ เขาไม่ได้รุกเร้ามากกว่านี้ เพราะต้องการให้เธอรู้สึกมั่นคงและไว้ใจเขาอย่างแท้จริงในสถานการณ์ที่ยังคงอันตรายรอบด้าน
ศรีนวลยังคงนิ่ง เธอไม่รู้จะตอบอะไร แต่การกระทำของเพชรทำให้เธอรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าแค่การช่วยเหลือ ชีวิตของเธอในตอนนี้ขึ้นอยู่กับชายผู้นี้เพียงลำพัง
เพชรดึงศรีนวลเข้ามากอดอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นการกอดเพื่อให้กำลังใจและให้ความอบอุ่นมากกว่าจะแฝงความเร่าร้อน เขาลูบแผ่นหลังของเธอเบาๆ ปล่อยให้เธอซบหน้ากับอกของเขา รับฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะหนักแน่น... มันเป็นเสียงที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาดในท่ามกลางป่าอันมืดมิด
ไอ้สินและพรรคพวกที่นั่งอยู่อีกฝั่งของกองไฟ ต่างพยายามทำเป็นไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้า ให้พื้นที่ส่วนตัวกับชายหญิงคู่นี้
ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างเงียบสงบภายใต้การคุ้มกันของกองไฟและกับดักง่ายๆ ที่เพชรสร้างขึ้น ทุกคนต่างหลับใหลด้วยความเหนื่อยล้า ยกเว้นเพชรที่ยังคงเฝ้าระวังภัยอยู่เป็นระยะ เขาใช้เวลาช่วงดึกนั้นคิดทบทวนแผนการต่อไปในหัว ด้วยความรู้จากอนาคตและพันธมิตรที่เขามีในตอนนี้ เขารู้ว่าการกอบกู้บ้านเมืองอาจไม่ใช่แค่ความฝันลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป

ชื่อ: ต่อ: ในม่านหมอกแห่งรัก
โดย: dick1050 เมื่อ มิถุนายน 13, 2025, 07:19:01 หลังเที่ยง
มาแล้วนิยายแนวย้อนกาลเวลา ชอบแนวนี้ วางพล็อตเรื่องได้น่าติดตามครับ
ชื่อ: ต่อ: ในม่านหมอกแห่งรัก
โดย: bergkamp10 เมื่อ มิถุนายน 13, 2025, 07:34:00 หลังเที่ยง
ขอเป็นFCติดตามเรื่องนี้อีกเรื่องครับ อย่าหายไปนานนะครับ
ชื่อ: ต่อ: ในม่านหมอกแห่งรัก
โดย: dodam เมื่อ มิถุนายน 14, 2025, 01:40:52 ก่อนเที่ยง
เรื่องราวเริ่มต้นอย่างดี มีพล็อตเรื่องที่ดีน่าติดตาม การย้อนอดีตเป็นจินตนาการที่ทำให้ตื่นเต้นได้เป็นอย่างดี จะรอตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อครับ
ชื่อ: ต่อ: ในม่านหมอกแห่งรัก
โดย: pongphun2397 เมื่อ มิถุนายน 14, 2025, 11:43:44 ก่อนเที่ยง
ท่านเรียบเรียงได้ยอดเยี่ยมครับ ในยามที่บ้านเมืองมีอริราชศัตรูเช่นนี้ นวนิยายประเภทนี้ปลุกใจได้ดีครับ ขอขอบคุณและชื่นชมท่านผู้แต่งครับ
ชื่อ: ต่อ: ในม่านหมอกแห่งรัก
โดย: เสพสม เมื่อ มิถุนายน 14, 2025, 06:27:53 หลังเที่ยง
น่าจะเป็น"แม๊คไกเว่อร์"แบบไทยๆ
ชื่อ: ต่อ: ในม่านหมอกแห่งรัก
โดย: swss2511 เมื่อ มิถุนายน 15, 2025, 07:40:55 ก่อนเที่ยง
ใช้ความรู้สมัยใหม่พลิกแพลงเอาชนะศัสตรู
ชื่อ: ต่อ: ในม่านหมอกแห่งรัก
โดย: tuktong21 เมื่อ มิถุนายน 16, 2025, 08:30:29 หลังเที่ยง
โอ้โหเจอเจอนักแต่งนิยายมืออาชีพแนวนี้ชอบมากย้อนอดีตย้อนอดีตไปไปพบประวัติศาสตร์หลายๆอย่าง ขอบคุณครับผม
ชื่อ: ต่อ: ในม่านหมอกแห่งรัก
โดย: 1819 เมื่อ มิถุนายน 17, 2025, 02:59:44 ก่อนเที่ยง
ชอบแนววนี้ เลย สนุกตั้งแต่ต้อนแรก