🧡 XONLY 🧡

FICTION ZONE => เรื่องเล่าประสบกามเสียว => เรื่องเสียวซีรีย์ => หัวข้อที่ตั้งโดย: mimza12348 เมื่อ กรกฎาคม 05, 2015, 02:56:27 ก่อนเที่ยง

ชื่อ: ศึกสองนางพญา 16-20
โดย: mimza12348 เมื่อ กรกฎาคม 05, 2015, 02:56:27 ก่อนเที่ยง
ศึกสองนางพญา ตอนที่ 16 แผนลอบสังหาร

ฉางผิงกงจู้เบิกตัวโจวซื่อเสี่ยนเข้าพบในเก๋งพักร้อนกลางอุทยานหลวง กล่าวว่า
"หุงเฉิงโฉวยอมสวามิภักดิ์ต่อแมนจู สถานการณ์ทางชายแดนเร่งร้อนคับขัน ท่านทราบเรื่องหรือไม่?"
"ข้าพระองค์ทราบ การศึกที่ชายแดนกลับกลายล้วนสืบเนื่องจากขันทีโหดเฉาฮั่วฉุน"
ฉางผิงกงจู้กล่าวเสียงเครียดว่า
วันใดที่ไม่กำจัดเฉาฮั่วฉุน บ้านเมืองยากที่จะมีความสงบสุข ในพี้นที่นครหลวงมันมีหูตาเกลื่อนกลาด หากคิดฆ่ามันนอกจากล่อลวงมันออกนอกเมือง"
"องค์หญิงชักนำจั่วหวินหลิงซึ่งเป็นยอดฝีมือในสังกัดมันไปแล้ว ขอเพียงพวกเราล่อลวงมันออกจากนครหลวง ข้าพระองค์ขออาสาลอบสังหารมันเอง"
"แต่เฉาฮั่วฉุนฝึกปรือวิชาลมปราณแกร่งกร้าวบริสุทธิ์ มีร่างคงกระพันชาตรี ดาบกระบี่ทั่วไปยากระคายเคืองได้"
"แต่ผู้ที่ฝึกวิชาพลังทารกบริสุทธิ์ บนร่างจะมีจุดมรณะแห่งหนึ่ง"
ฉางผิงกงจู้ทอดถอนใจ กล่าวว่า
"น่าเสียดายที่พวกเรากระทั่งจุดมรณะของมันอยู่ที่ใดยังไม่ทราบ"
"เช่นนี้เป็นว่า พวกเราไม่มีปัญญาจัดการมันได้"
ฉางผิงกงจู้ดวงตาเป็นประกายวูบแสดงออกถึงปัญญาอันสูงล้ำ กล่าวอย่างครุ่นคิด
"เรานึกได้วิธีหนึ่ง แต่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้คนสองคน หนึ่งหว่านล้อมให้เฉาฮั่วฉุนออกจากนครหลวง คนที่สองรับหน้าที่ระเบิดสังหารมัน แต่ผู้ที่จุดสายชนวนดินระเบิดต้องตกตายพร้อมกับมัน"
โจวซื่อเสี่ยนอาสาทันที
"องค์หญิง ข้าพระองค์ขอรับหน้าที่นี้ ประกันว่าจะไม่เป็นที่ผิดหวังของท่าน"
ฉางผิงกงจู้จับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งกล่าวว่า
"ท่านโจวจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองจริงๆ"
"องค์หญิง พวกเรามีวิธีล่อลวงเฉาฮั่วฉุนออกจากนครหลวงหรือไม่"
"เราวางแผนไว้แล้ว ตอนนี้เพียงขาดคนหว่านล้อมที่สามารถไว้วางใจผู้ผนึ่ง"
"ข้าพระองค์รู้จักนักดนตรีคนหนึ่ง เรียกว่า เอี๋ยนอู๋ซวง นางมีรูปโฉมงดงาม ลิ้นคารมเป็นเยี่ยม ทั้งสูงด้วยคุณธรรมอันเลิศล้ำ"
"อย่างนั้นท่านตามตัวนางมาพบเรา"
โจวซื่อเสี่ยนรับคำคราหนึ่ง
............................................................. .
เอี๋ยนอู๋ซวงเป็นนักดนตรีเลื่องชื่อ นอกจากมีความสามารถในเชิงขับกล่อมแล้ว ยังมีความสวยงามเย้ายวนสามารถเรียกความสนใจของผู้มาดื่มกินให้เหลาสุราอาหารคับคั่งได้ตลอดเวลา
............................................................. .
วิกาลกราย ภายในเก๋งพักร้อนเขตอุทยานหลวง
ฉางผิงกงจู้เดินไปมาอยู่ภายในเก๋ง คล้ายรอคอยอันใด
ในที่สุดบุคคลที่นางรอคอยปรากฏกายขึ้น ดังนั้นฉางผิงกงจู้โบกมือต่อราชองรักษ์ที่รักษาความปลอดภัยอยู่หน้าเก๋งสองคน ราชองครักษ์ทั้งสองน้อมคำนับแล้วล่าถอยไป
อีกด้านหนึ่ง โจวซื่อเสี่ยนนำพาเอี๋ยนอู๋ซวงมาถึงน้อมกายคารวะ กล่าวว่า
"น้อมพบองค์หญิง ข้าพระองค์นำตัวแม่นางเอี๋ยนมาแล้ว"
ฉางผิงกงจู้ทักทายว่า
"แม่นางเอี๋ยน"
เอี๋ยนอู๋ซวงเหลียวหน้าไปยังโจวซื่อเสี่ยน กล่าวว่า
"โจวเฮีย ขอถามท่านนี้เป็นองค์หญิงใหญ่หรือองค์หญิงรอง"
โจวซื่อเสี่ยนกล่าวว่า
"ท่านคือองค์หญิงใหญ่"
เอี๋ยนอู๋ซวงย่อกายคำนับอย่างชดช้อย กล่าวว่า
"องค์หญิง โปรดรับการกราบกรานจากหม่อมฉันสักครา"
"แม่นางเอี๋ยน เราหากมิใช่ฉางผิง หากแต่เป็นน้องเจาเหยิน ท่าจะทำอย่างไร"
เอี๋ยนอู๋ซวงกล่าวอย่างจริงจัง
"องค์หญิง ที่หม่อมฉันยอมก้มหัวให้มิใช่อำนาจ หากแต่เป็นเมตตาธรรม เมื่อสองปีก่อน ครอบครัวของเราถูกประหารชีวิต บิดาถูกสับเป็นท่อนๆ มีมีผู้ใดกล้าเก็บศพ เป็นองค์หญิงส่งคนไปเก็บเศษสังหาร มิหนำซ้ำช่วยบรรจุฝัง หม่อมฉันพอดีไปเยี่ยมญาติจึงรอดชีวิตได้ พระคุณยิ่งใหญ่ขององค์หญิงนี้หม่อมฉันเฝ้าหาโอกาสทดแทนตลอดมา"
ฉางผิงกงจู้ฉุกคิดด้วยปัญญาไว กล่าวว่า
"ที่แท้บิดาของแม่นางเอี๋ยน เป็นคนของท่านแม่ทัพเหวียนฉุงห้วน"
..เหวียนฉุงห้วนเป็นบิดาของกระบี่ดอกท้อเหวียนยั่วเฟย
เอี๋ยนอู๋ซวงรับคำว่า
"ถูกแล้ว แต่เรื่องนี้หม่อมฉันไม่ปรารถนาเอ่ยถึงอีก"
"แม่นางเอี๋ยนมีคุณธรรมเลิศล้ำ เรานับว่าไม่ได้หาคนผิด แม่นางเอี๋ยน ของสิ่งนี้เราขอมอบแก่ท่าน"
พลางยื่นส่งกล่องแพรใบหนึ่งให้กับเอี๋ยนอู๋ซวง พร้อมกับถ่ายทอดแผนการให้ทราบ
ครั้นแล้ว แผนลอบสังหารเฉาฮั่วฉุนก็เริ่มต้นขึ้น
............................................................. .
เช้าวันรุ่งขึ้น เอี๋ยนอู๋ซวงถือกล่องแพรใบนั้น เตร็ดเตร่มาถึงหน้าคฤหาสน์ตระกูลเฉา
หน้าประตูรักษาการณ์ด้วยองครักษ์พิทักษ์ตึก มือถือทวนยาวสี่คน อย่าว่าแต่คิดผ่านเข้าไปกระทีงเฉียดกรายเข้าใกล้คฤหาสน์ยังทำไม่ได้
องครักษ์ที่เฝ้าประตูร้องว่า
"นี่ แม่นางหลีกไป หาไม่จะไม่เกรงใจต่อท่านแล้ว"
เอี๋ยนอู๋ซวงส่งยิ้มอันงามสะคราญชวนลุ่มหลง องครักษ์ถึงกับอ้าปากค้าง
"พี่ท่านนี้ ข้าพเจ้าต้องการพบเฉากงกงสักครา ใช่สามารถรายงานให้หรือไม่"
เสียงเจื้อยแจ้วสดใส ชักนำขันทีคนหนึ่งออกมาชมดู ขันทีไม่ค่อยชอบสาวงามอยู่แล้ว พอเห็นก็ถลึงตาใส่ กล่าวว่า
"เฉากงกงไหนเลยเป็นบุคคลให้พบโดยง่ายดาย"
เอี๋ยนอู๋ซวงส่งกล่องแพรในมือให้ ปากกล่าวว่า
"ของขวัญชิ้นนี้ขอมอบให้เฉากงกง ท่านผู้เฒ่าพอเห็นของนี้ต้องอนุญาตเราเข้าพบแน่นอน"
เห็นขันทีนั้นยังอิดเอื้อน ดังนั้นยัดง่วนป้อเงินอันหนึ่งให้กับขันทีนั้น ขันทีพอได้รับสินบน ค่อยนำส่งกล่องแพรให้กับเฉาฮั่วฉุน
เฉาฮั่วฉุนเปิดกล่องแพรออกมา พบว่าภายในบรรจุหยกชิ้นหนึ่ง กึ่งกลางหยกมีร่องรอยเส้นหนึ่ง บนหยกสลักข้อความว่า "สิบแปดบุตรสุดสิ้นลมโชยสลาย ต่ำใต้ล้วนรวมอยู่ในรอยร่องนี้" บังเกิดความสงสัย จึงเรียกหาเอี๋ยนอู๋ซวงเข้ามา
เอี๋ยนอู๋ซวงสาวเท้าเข้าห้อง ย่อกายคำนับอย่างนอบน้อม กล่าวว่า
"นักดนตรีในแดนดิน เอี๋ยนอู๋ซวง ขอกราบพบเฉากงกง"
"หยกที่มีร่องรอยเช่นนี้ เจ้าได้จากที่ใด"
"ระหว่างนี้ผู้ต่ำต้อยไม่สบาย ดังนั้นพักรักษาตัวที่วัดอู่เวี้ย มีอยู่คืนหนึ่ง เห็นบนท้องฟ้ามีประกายสีขาววูบ พอออกไปชมดูเห็นหยกชิ้นนี้ตกอยู่ในพงหญ้า บนหยกจารึกข้อความสองประโยคคล้ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับกงกงท่าน"
"เพราะเหตุใด"
"เนื่องจากข้อความประโยคแรก ..สิบแปดบุตรสิ้นลมโชยสลาย.. เมื่อต่อตัวอักษรเข้ากัน จะเป็นแซ่หลี่ หมายความว่าจอมโจรหลี่จื้อเฉิงต้องถึงกาลอวสาน ทหารแมนจูนอกกำแพงใหญ่ตั้งราชวงศ์เป็นไต้เช็ง คำ เช็งฮวง หมายถึงฝ่ายแมนจูต้องสลายตัวอย่างแน่นอน ส่วนประโยคที่สอง ..ต่ำใต้ล้วนรวมอยู่ในร่องรอยนี้.. คำ เฉาตัง ออกเสียงเดียวกับแซ่เฉา ย่อมหมายถึงกงกงท่านแล้ว"
เฉาฮั่วฉุนรับฟังจนหวั่นไหวคล้อยตาม หากเป็นเช่นดังว่า ตนเองใยมิใช่เป็นใหญ่แล้ว
ในใจครุ่นคิด แต่แสร้งตวาดว่า
"เหลวไหล ผู้ใดให้เจ้ามากล่าวเช่นนี้"
"ยังมี ข้าพเจ้าอยู่ใสวัดอู่เวี้ย ยังพบเห็นศิลาจารึกก้อนหนึ่ง สลักบทกลอนของหลิวป๋ออุนต้นราชวงศ์เหม็ง และค้นพบพระราชลัญจกรหยกในราชวงศ์งุ่ย"
เฉาฮั่วฉุนรับฟังจนคันในหัวใจยากจะเกา แหงนหน้าหัวร่อ กล่าวว่า
"ตกลง เราจะไปชมดูที่วัดอู่เวี้ยด้วยตนเอง พร้อมกับกราบไหว้สักครา เอี๋ยนอู๋ซวง เจ้าทำหน้าที่นำทาง"
เอี๋ยนอู๋ซวงลอบปิติยินดี ปากกล่าวว่า
"ผู้ต่ำต้อยยินดีรับใช้"
จากนั้นขอตัวอำลาไปก่อน ขันทีคนสนิทอดกล่าวกับเฉาฮั่วฉุนมิได้
"กงกง นี่อาจเป็นหลุมพรางประการหนึ่ง"
เฉาฮั่วฉุนกล่าวอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
"ในกลียุคเช่นนี้ สามารถเกิดปรากฏการณ์ประหลาดได้ทุกเมื่อ เราต้องรุดไปชมดูด้วยตนเองสักครา"
............................................................. .


ศึกสองนางพญา ตอนที่ 17 เทพธิดาสรงน้ำ

อู๋ซันกุ้ยยามไร้เรื่องราว ต้องออกจากห้องพักเดินเข้าสู่อุทยานหลวง พลันได้ยินสุ้มเสียงสดใสไพเราะเสียงหนึ่งดังว่า
"จินเอ๋อ น้ำวันนี้เย็นชุ่มฉ่ำยิ่ง เจ้าลงมาเล่นกับเราเถอะ"
อู๋ซันกุ้ยรับฟังจนฉุกใจคิด สืบเสาะไปยังต้นเสียงพอแหวกกิ่งใบของไม้ดอกออก หัวใจอดเต้นระทึกมิได้

เห็นที่ห่างไปเป็นภูเขาจำลองลูกหนึ่ง สร้างธารน้ำตกกระแทกลงมา สายน้ำตกไหลผ่านโขดหินลักษณะต่างๆ สาดเทยังเบื้องล่าง ขังรวมเป็นแอ่งน้ำแห่งหนึ่ง

ในแอ่งน้ำ เจาเหยินกงจู้เปลือยกายแหวกว่ายอยู่ในน้ำด้วยความสำราญใจ

น้ำใสสะอาดจนเห็นก้น สามารถเห็นส่วนสัดเรือนร่างในน้ำของเจาเหยินกงจู้โดยรำไร ดูไปคล้ายนางเงือกในเทพนิยายก็ปาน
ที่ริมแอ่งน้ำ นั่งยองๆด้วยเฟยจินเอ๋อ คอยติดตามปรนนิบัตินาง

ยามเมื่อเจาเหยินกงจู้หยุดยืนเกาะที่ขอบแอ่ง พอดีหันหน้ามาทางอู๋ซันกุ้ย นางเผยอยิ้มน้อยๆ หอบหายใจเบาๆ
อู๋ซันกุ้ยชมดูจนตะลึงลาน รู้สึกกระจ่างจ้าที่เบื้องหน้าสายตา อดปากอ้าตาค้างมิได้

แม้จะอยู่ห่างไกล แต่ก็สามารถเห็นรูปโฉมโนมพรรณเจาเหยินกงจู้โดยชัดตา ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องสะท้อนหยดน้ำที่เกาะพราว วงหน้าเจาเหยินกงจู้ยิ่งเปล่งปลั่งงดงาม จนผู้คนต้องตาละลานพร่าพราย

"อา ยังจะมีสตรีที่งดงามถึงเพียงนี้ด้วยหรือ? หรือนี่คือเทพธิดาจุติมาบนพี้นโลก"

อู๋ซันกุ้ยรำพึง น้ำพอดีปริ่มอยู่ที่กลางปทุมถันของนาง พอดีเห็นปลายยอดสีชมพูระเรื่อตั้งอยู่บนก้อนเนื้ออวบอิ่ม น้ำกระเพื่อมขึ้นลง ขณะที่ปทุมถันสั่นกระเพื่อมขึ้นลงสะท้อนตามลมหายใจของนาง ยิ่งสร้างความเย้ายวนจนอู๋ซันกุ้ยอดมิได้ต้องเอามือเลื่อนล
งไปกุมที่เป้ากางเกงของตัวเองอย่างลืมตัว

ครั้นแล้วเจาเหยินกงจู้ก็โผแหวกว่ายในลำธารอีกครั้ง พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะสดใสด้วยความสำราญ แลเห็นแผ่นหลังที่ขาวนวนเนียน เอวที่คอดกิ่ว สะโพกผาย แก้มก้นทั้งสองข้างขาวสะอาดอวบงอน ขาเรียวยาวทั้งสองข้างที่กระเพื่อมสลับอยู่ในน้ำทำให้อู๋ซันกุ้ยแทบคลั่ง

"อูย ช่างงดงามอะไรเช่นนี้ แม่เทพธิดาจ๋า ได้โปรดหันหน้าให้ข้าได้ชมความงามของโคกหีนางด้วยเถอะ"

อู๋ซันกุ้ยครวญครางเสียงกระเส่า สายตาจับจ้องร่างเปลือยของเจาเหยินไม่ละสายตา รู้สึกน้ำเงี่ยนของตัวเองไหลซึมออกมา มืออันแข็งแกร่งบดขยี้รูดท่อนลำของตัวเองอย่างเมามัน

ขณะที่อู๋ซันกุ้ยกำลังเพลินอยู่กับการปลดเปลื้องความสุขของตัวเองอยู่นั้น พลันปรากฏดอกไม้เหลืองช่อหนึ่ง ยื่นเข้ามาบดบังสายตา ริมโสตแว่วเสียงหนึ่งดังว่า

"ท่านบังอาจนัก ที่ซึ่งองค์หญิงสรงสนาน ท่านกลับกล้าบุกรุกเข้ามา"

อู๋ซันกุ้ยสะดุ้งเฮือก ผลุดลุกขึ้นเหลียวขวับไปตามเสียง  เห็นเป็นแนเสี่ยวเชี่ยน ต้องรีบกล่าวว่า
"ขออภัย เราหาตั้งใจไม่"

พลันแนเสี่ยวเชี่ยนก็หน้าแดงวาบด้วยความอุทัจ ที่แท้อู๋ซันกุ้ยกำลังเกิดอารมณ์ใคร่ ท่อนควยของเขาถูกปลุกเร้าจนแข็งแกร่งเต็มที่จนดันเป้ากางเกงออกมาเป็นท่อนลำใหญ่จนเห็นได้ชัดเจน แนเสี่ยวเชี่ยนเคยเห็นแต่ของไทจือซึ่งยังมีขนาดเล็กเพราะอายุเยาว์ พอเห็นเป้ากางเกงของอู๋ซันกุ้ยที่ใหญ่มหึมาต้องอ้าปากค้าง
...อา ทำ ทำไม จึงใหญ่ขนาดนี้... หากสตรีโดนเข้าไป หีคงฉีกตายแน่แท้...

อู๋ซันกุ้ยเห็นนางจับจ้องมองท่อนลำของตัวเอง ก็ตกใจหน้าแดงด้วยความอาย รีบยกมือประสานร่ำร้องว่า
"ขออภัย แม่นางแน ข้า..."

แนเสี่ยวเชี่ยนระงับใจได้ ถลึงตาใส่ทั้งๆที่หน้ายังแดงซ่านว่า
"อย่างนั้นยังมิรีบไปอีก หากยังไม่ไป ข้าพเจ้าจะฟ้องร้องต่อองค์หญิงแล้ว"

อู๋ซันกุ้ยใจหายวูบ รีบล่าถอยจากมา แต่ภาพเรือนร่างอันงามรัดรึง ปทุมถันที่อวบอูมขาวผ่องสั่นระริกทั้งสองข้าง กลับตราตรึงในห้วงสมองสุดที่จะลืมเลือนได้...

แนเสี่ยวเชี่ยนเองก็ใจเต้นระทึก ภาพท่อนลำอันมหึมาสร้างความหวาดหวั่นและเสียวซ่านขึ้นมาในเวลาเดียวกัน นางปรารถนาจะไปหาไทจือให้ช่วยปลดเปลื้องความต้องการในเดี๋ยวนั้น  แต่ต้องระงับใจ เดินเข้าไปสมทบกับเฟยจินเอ๋อช่วยปรนนิบัติเจาเหยินกงจู้....

............................................................. .

วิกาลคล้อยดึก เฟยจินเอ๋อหิ้วตะกร้าใบหนึ่งเข้าสู่ห้องของฉางผิงกงจู้ กล่าวว่า
"องค์หญิงใหญ่ องค์หญิงรองใช้ข้าพเจ้าส่งเม็ดบัวชามนี้ให้กับท่าน นางบอกว่าเม็ดบัวมีสรรพคุณในการบำรุงรักษารูปโฉม"
พลางยกชามเม็ดบัวจากในตะกร้า วางลงโต๊ะตรงหน้าฉางผิงกงจู้

ยามนั้น พลันบังเกิดเสียงฝีเท้าเร่งร้อน โจวซื่อเสี่ยนเร่งรุดมาถึง กล่าวอย่างร้อนรน
"องค์หญิง ข้าพระองค์มีข่าวดีเรียนบอก"
ฉางผิงกงจู้ฉุกใจคิด สั่งให้นางกำนัลภายในห้องล่าถอยออกไป จากนั้นกล่าวกับเฟยจินเอ๋อว่า
"จินเอ๋อ เจ้าไปขอบใจน้องเราแทนเราด้วย"
เฟยจินเอ๋อรับคำ กล่าวลา
"องค์หญิงใหญ่ บ่าวขออำลา"
ถือตะกร้าเปล่าล่าถอยออกจากห้อง

โจวซื่อเสี่ยนรอจนเฟยจินเอ๋อออกจาห้อง ก็กล่าวกับฉางผิงกงจู้ว่า
"องค์หญิง แม่นางเอี๋ยนดำเนินการเป็นผลสำเร็จ เฉาฮั่วฉุนกำหนดไปไหว้พระที่วัดอู่เวี้ยในวันพรุ่งนี้"
ยามนั้นเฟยจินเอ๋อเพิ่งล่าถอยถึงหน้าประตู ดังนั้นได้ยินคำพูดเหล่านี้ชัดเจน ต้องฉุกใจคิด เร่งฝีเท้าจากไป

ฉางผิงกงจู้ก็รับฟังจนพลุ่งพล่านใจ กล่าวว่า
"เป็นความจริง? ท่านโจวไม่นำพาต่อความเป็นตายจริงๆ?"
"องค์หญิง มีผู้ใดไม่กลัวตาย แต่โจวซื่อเสี่ยนตกลงใจพลีชีพเพื่อชาติ ก็ไม่นำพาเรื่องอื่นใดอีก องค์หญิงหากยังเคลือบแคลงสงสัย ข้าพเจ้ายินดีสาบานต่อฟ้าดิน"

ฉางผิงกงจู้ไม่ตอบคำ หากแต่เบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง สีหน้าเคลือบคลุมด้วยแววละห้อยหดหู่ รู้สึกสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิต

โจวซื่อเสี่ยนกล่าวต่อ
"องค์หญิง ข้าพเจ้าจัดเตรียมดินระเบิดไว้ ห้าสิบชั่ง วันพรุ่งนี้จะฝังอยู่ในแท่นบูชา ขอเพียงเราจุดสายชนวน จะระเบิดขันทีโฉดเฉาฮั่วฉุนเป็นผุยผง"
ฉางผิงกงจู้กล่าวอย่างเศร้าหมอง
"เฉาฮั่วฉุนมีความผิดสมควรตาย แต่ต้องพลอยเสียสละท่านโจวด้วย ขอท่านโจวรับการกราบกรานจากฉางผิงสักครา"
กล่าวจบย่อตัวหมายกราบกรานจริงๆ

โจวซื่อเสี่ยนใจหายวูบ รีบยื่นมือประคองนางไว้ พริบตาที่กระทบกระทั่งถูกร่างกันและกัน ฉางผิงกงจู้อดหวั่นไหวใจมิได้ ได้ยินโจวซื่อเสี่ยนกล่าวว่า
"องค์หญิง ข้าพเจ้าสมควรแบ่งเบาความกังวลของท่าน"
ฉางผิงกงจู้หน้าแดงระเรื่อ ชักมือกลับมาช้าๆ กล่าวว่า
"น่าเสียดายที่เราร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถปลิดชีวิตขันทีโฉดนั้นกับมือ"
โจวซื่อเสี่ยนล้วงเทียบใบหนึ่งจากอกเสื้อ กล่าวว่า
"องค์หญิง ข้าพเจ้าเสาะพบแพทย์ผู้หนึ่งที่นอกเมือง มันมอบเทียบยาแก่ข้าพเจ้าใบหนึ่ง เชื่อว่ามีส่วนช่วยต่อโรคของท่าน"

ฉางผิงกงจู้รับเทียบยาใบนั้น แนบกับทรวงอกอวบอูมของตนเอง
โจวซื่อเสี่ยนเหม่อหมองฉางผิงกงจู้ ตัดใจกล่าวว่า
"องค์หญิง ท่านถนอมตัว"
พลางหันกายหมายจากไป ฉางผิงกงจู้ร้องโพล่งอย่างลืมตัว
"ท่านโจว ระวังให้มากไว้"
เอ่ยแล้วจึงฉุกใจได้คิด การจากลาครั้งนี้ โจวซื่อเสี่ยนคงไม่อาจกลับมาได้อีก อดมิได้ต้องหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความอาดูร

............................................................. .


ศึกสองนางพญา ตอนที่ 18 ดักฆ่ารายทาง
เหมียวคำราม


เฟยจินเอ๋อออกจากห้องฉางผิงกงจู้ รีบรุดไปรายงานเรื่องราวต่อเจาเหยินกงจู้ที่เก๋งพักร้อนกลางอุทยานหลวง
เจาเหยินกงจู้รับฟังจนถามโพล่งว่า
"เป็นความจริง"
เฟยจินเอ๋อรับคำว่า
"ถูกแล้ว วันพรุ่งนี้เฉาฮั่วฉุนจะไปไหว้พระวัดอู่เวี้ย"
แนเสี่ยวเชี่ยนที่ด้านข้างถามย้ำว่า
"ข่าวนี้เชื่อถือได้หรือไม่"
เฟยจินเอ๋อย้ำว่า
"เป็นข้าพเจ้าได้ยินกับหูเอง" จากนั้นจึงกล่าวกับองค์หญิงด้วยความกระตือรือร้น "องค์หญิง"
เจาเหยินกงจู้เน้นเสียงว่า
"เราจะปฎิบัติการด้วยตนเอง"
แนเสี่ยวเชี่ยนกล่าวว่า
"องค์หญิงรอง องค์หญิงใหญ่อาจมีแผนเป็นมั่นเหมาะ ท่านเคลื่อนไหวเช่นนี้ เกรงว่าไม่ดีนัก"
เฟยจินเอ๋อชิงกล่าวว่า
"กลัวอันใด องค์หญิงรอง พวกเราไยต้องปล่อยให้องค์หญิงใหญ่ลงมือก่อน"
เจาเหยินกงจู้ผงกศีรษะกล่าวว่า
"มิผิด พวกเราจะชิงซุ่มสังหารเฉาฮั่วฉุน มิให้มันตั้งตัวได้..."

............................................................. .

เช้าวันรุ่งขึ้น ที่วัดอู่เวี้ย

วัดอู่เวี้ยกินเนื้อที่กว้างไพศาล ใต้ป้ายประตูวัดอู่เวี้ยแขวนป้ายขวาง จารึกข้อความ "สนองทุกสิ่งสรรพ"
ภายในโบสถ์พระประธาน เสียงเคาะไม้บักฮื้อ เสียงสวดมนต์ดังระงม โจวซื่อเสี่ยนครองจีวรชุดเทา ศีรษะสวมหมวกหลวงจีน ยืนปะปนอยู่กับหลวงจีนในวัด
ทุกประการเป็นไปตามแผน ดินระเบิดจำนวนห้าสิบชั่งที่ถูกฝังอยู่ใต้แท่นบูชา ยามนี้โจวซื่อเสี่ยนเพียงสงบจิตใจ

............................................................. .

บนเส้นทางนอกเมือง เอี๋ยนอู๋ซวงเดินนำหน้า องครักษ์ชุดแดงสังกัดคฤหาสน์ตระกูลเฉาหลายสิบคนเดินตามหลัง ถัดมาเป็นหัวหน้าองครักษ์หลายคน คุ้มครองเกี้ยวหรูเลิศคันหนึ่งออกมา
ภายในเกี้ยวคือเฉาฮั่วฉุนเอง
อาทิตย์ลอยสูงขึ้น ขบวนคนและเกี้ยวผ่านหน้าดงไม้แถบหนึ่ง เหตุแปรเปลี่ยนพลันอุบัติ

ได้ยินเสียงชายเสื้อปะทะลมเร่งร้อนดังจากสามทิศทาง เงาร่างอ้อนแอ้นทั้งสามสาย หนึ่งสวมชุดสีชมพู อีกสองนางสวมชุดสีฟ้าสดใส ล้วนคลุมหน้าปกปิดรูปโฉมไว้ แต่ดูจากรูปกายที่อ้อนแอ้น ท่าร่างที่ปราดเปรียวดุจนางแอ่นเหิน แสดงว่าเป็นสตรีทั้งสิ้น
พวกนางมิใช่ใครอื่น คือเจาเหยินกงจู้ซึ่งอยู่ในชุดสีชมพู อีกสองนางเป็นกำนัลคู่ใจ นามแนเสี่ยวเชี่ยนและเฟยจินเอ๋อ

ในจำนวนนี้นับเจาเหยินกงจู้มีท่าร่างเร่งร้อนรวดเร็วที่สุด ร่างพอสาดพุ่งลง ก็ชักกระบี่ออกถือมั่น คุมกระบี่ทะลวงแทงใส่หลังคาเกี้ยวที่เฉาฮั่วฉุนนั่งโดยสาร

ประกายกระบี่อันกราดเกรี้ยว แทงทะลุหลังคาเกี้ยวในคราเดียว แหวกจู่โจมเฉาฮั่วฉุนภายในเกี้ยวดุจสายฟ้า
เฉาฮั่วฉุนหดตัวคราหนึ่ง กระบีจู่โจมสังหารนี้ก็ทิ่มแทงผิดพลาดไป

เจาเหยินกงจู้พลันถอนกระบี พลิกตัวคราหนึ่งทิ้งร่างลงสัมผัสพื้น ไม่ทันพลิกแพลงกระบวนท่าจู่โจมใส่เฉาฮั่วฉุนภายในเกี้ยว ก็ปรากฏทวนยาวหลายเลมแยกย้ายทิ่มแทงมาถึง
เจาเหยินกงจู้ได้แต่ตวัดกระบี่ต้านปะทะ ในเสียงโลหะปะทะ สามารถปัดป่ายทวนยาวรอบข้างเบนเบือน จากนั้นย่อตัวกวาดกระบี่ออก ก็คุกคามหัวหน้าองครักษ์ผู้หนึ่งกลิ้งตัวหลบเลี่ยง

ขณะเดียวกัน แนเสี่ยวเชี่ยนทั้งสองก็เกิดการปะทะกับเหล่าองครักษ์ชุดแดง
พวกนางล้วนมีวิทยายุทธสูงเยี่ยม แม้เผชิญศัตรูพวกมากยังไม่มีท่าทีเพลี่ยงพล้ำ แนเสี่ยวเชี่ยนร่ายรำกระบี่ปานจักรผันปะทะกับดาบทวนของเหล่าองครักษ์ พลันสะบัดประบี่ปิลดชีวิตองครักษ์ชุดแดงผู้หนึ่ง จากนั้นลอยตัวตีลังกาข้ามศีรษะเหล่าองครักษ์ เท้าพอแตะสัมผัสพื้น ก็หยิบยืมสภาวะดีดตัวขึ้นอีกครา หมุนควงร่างกลางอากาศดุจสว่านมหึมา ยื่นกระบี่นำหน้า แทงปราดใส่เกี้ยวหรูอย่างหักโหม

ได้ยินเสียงซ่า ประกายกระบี่แทงทะลุม่านเกี้ยวเข้าไปพุ่งจู่โจมใส่เฉาฮั่วฉุนอย่างว่องไว
เฉาฮั่วฉุนภายในเกี้ยวยกมือขวาปาดวูบ ก็ปัดป่ายปลายกระบี่ของเจาเหยินกงจู้เบนเบือน
แทบเป็นเวลาเดียวกัน เฟยจินเอ๋อเสือกกระบี่แทงจากด้านหน้าทะลุม่านเกี้ยวเข้าไป
เฉาฮั่วฉุนยืดอกขึ้น กลับใช้ทรวยงอกยันปลายกระบี่ไว้ กระบี่ที่คมกล้า ไม่สามารถระคายผิวของมันแม้แต่น้อย

แนเสี่ยวเชี่ยนลงมือประสานเสริม แทงกระบี่จากด้านข้างทะลุม่านเกี้ยวเข้าไป เฉาฮั่วฉุนกลับก้มศีรษะใช้ปลายคางกดกระบี่ไว้
เฉาฮั่วฉุนพลันตวาดก้อง เกร็งลมปราณแกร่งกร้าวบริสุทธิ์ ตวัดสองแขนกระแทกออก พลันบังเกิดเสียงคลืนคลั่น ปัง ปัง ดังกึกก้อง พลังลมปราณอันแกร่งกร้างร้อนรุนแรงราวกับเปลวเพลิงระเบิดออกจากสองแขนของเฉาฮั่วฉุน เห็นเป็นเปลวเพลิงสีฟ้าเป็นหมื่นๆสายพุ่งออกจากเกี้ยว
เจาเหยินกงจู้ทั้งสามล้วนเผชิญการกระแทกอย่างรุนแรง ร่างปลิวลิ่วไปคนละทิศละทาง

ทั้งสามนางกระเด็นลงไปเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้นเสื้อผ้าถูกลมปราณอันร้อนแรงกระแทกจนขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี!

โดยเฉพาะเฟยจินเอ๋อกับแนเสียวเชี่ยนแทบไม่มีเสือผ้าปกปิด ด้านบนมีเศษเอี๊ยมชิ้นเล็กๆปกปิดปทุมถันบางส่วนไว้เพียงเล็กน้อยเห็นผิวเนื้ออวบอูมสั่นกระเพื่อมรำไร ด้านล่างเป็นเพียงสายรัดเอวกับเศษกางเกงปกปิดส่วนสำคัญ ยามถูกลมพัดผ้าชิ้นน้อยปลิวสะบัดเผยให้เห็นสามเหลี่ยมสีดำตัดกับผิวเนื้อขาวผ่องต้องแสงแดดนวลเนียนดุจดังหยกขาว ทั้งงดงาม ทั้งน่าดู เหล่าทหารต่างพากันส่งเสียงซู๊ดซี๊ดดังลั่น ทั้งสองรีบเอามือไปปิดของสงวนไว้ทันที
ส่วนเจาเหยินกงจู้มีพลังฝีมือสูงสุด แต่กระนั้นเสื้อชั้นนอกของนางก็ถูกพลังลมปราณของเฉาฮั่วฉุนเผาไหม้จนขาดวิ่น เหลือเพียงตัวเอี๊ยมเท่านั้น กางเกงก็ขาดวิ่นจนเห็นผิวเนื้อขาวเนียนเป็นหย่อมๆ

เสียงฮือฮาหอบหายใจแรงของบรรทหารดังกันขรม กงจู้ทั้งสามรีบลุกขึ้นยืน หน้าร้อนวูบด้ายความอาย โดยเฉพาะสองนางกำนัล ร่างแทบจะเปลือยเปล่าเห็นผิวกายขาวผ่องประดุจหยกขาว อวดเรือนร่างที่งดงามสมบูรณ์อยู่ในวงล้อมของเหล่าองครักษ์ที่จ้องมองกันตาค้าง!

หัวหน้าทหารองครักษ์คนหนึ่งกล่าวลวนลามอย่างหื่นกระหาย
"แม่นางทั้งสามล้วนอวบอัด ผิวพรรณดี มิควรต่อสู้ให้ผิดผองหมองใจกัน มิสู้มาหลับนอนกับพวกเราเถิด "
ทหารผิวคล้ำอีกคน จ้องมองไปที่ทรวงอกที่มีผ้าปิดอยู่เล็กน้อย แล้วเลื่อนต่ำลงไปที่มือซึ่งประสานอยู่ที่ของสงวนของเฟยจินเอ๋อ แลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างหื่นกระหายพร้อมกับพูดจาลวนลามบ้าง
"หีของแม่นางท่านนี้อวบอูมปิดสนิทดูท่าคงมิเคยผ่านมือชายมาก่อน ขอเพียงลองทวนของเรา รับรองว่าจะสูดปากครวญครางมิยอมหยุด"

เหล่าองครักษ์ต่างหัวเราะชอบใจ กงจู้ทั้งสามบันดาลโทสะ ทะยานเข้าใส่บรรดาองครักษ์หื่น กระบี่ของเจาเหยินกงจู้สะบัดฟันอย่างคล่องแคล่ว ปลิดศีรษะทหารคนหนึ่งกระเด็นอย่างเหี้ยมโหด เสียงแผดร้องดังลั่น
หัวหน้าองครักษ์เห็นนางไล่ฟาดฟันทหารของตนบาดเจ็บล้มตายเป็นใบไม้ร่วงก็รีบโดดเข้ามาขวาง จี้ทวนยาวพุ่งเข้าใส่เป้ากางเกงของเจาเหยินกงจู้อย่างหยาบช้าลามกสร้างความอับอายจนหน้าแดงฉาน

หัวหน้าองครักษ์พูดเยาะเย้ย
"ฮา ฮา แม่นางไม่ต้องกลัว ส่วนนี้ของแม่นางเราไหนกล้าหักใจทำร้าย ไว้ต่อสู้เสร็จสิ้นเราจะใช้ทวนประจำตัวบุกทะลวงเข้าไปให้นางรับรู้รสชาติของผู้ชาย"
เจาเหยินกงจู้ไหนเลยเคยถูกใครลวนลามอย่างนี้มาก่อน พอฟังยิ่งโกรธจนตัวสั่น ร้องเพ้ย กระบี่ทวีความเกรี้ยวกราดมากขึ้น หัวหน้าองครักษ์รับจนมือไม้สั่นแต่ยังกล่าวลวนลามเหยียดหยามนางมิหยุด

เหล่าทหารองครักษ์เห็นหัวหน้าทำท่าจะเพี่ยงพล้ำ ก็ฮือเข้ามา ทวนยาวทิ่มแทงเข้าใส่ นางกำนัลทั้งสองไม่กล้าเสียเวลาปกปิดของสงวนของตัวเอง แม้จะรู้ว่าร่างกายโป๊เปลือย ก็จำต้องรีบสะบิดกระบี่ตอบโต้กับเหล่าองครักษ์ด้วยท่าร่างที่ปราดเปรียว

เจาเหยินกงจู้หงายร่างตีลังกาทอดแล้วทอดเล่าหลบหลีกจากทวนยาวที่โหมทิ่มแทงมา พลันหมุนตัวกวาดกระบี่ เข่นฆ่าสังหารเหล่าองครักษ์ชุดแดงฉกฉวยโอกาสลอยตัวข้ามองครักษ์อีกสองคนจะจู่โจมเข้าใส่เกี้ยวอีกครั้ง
แนเสี่ยวเชี่ยนกับเฟยจินเอ๋อเห็นดังนั้น รีบเร่งกระบี่หวังช่วยเหลือองค์หญิง แต่ถูกหัวหน้าองครักษ์ผู้หนึ่งเสือกแทงทวนเข้าสกัดขวัดขวางไว้ บรรดาทวนของเหล่าทหารล้วนจู่โจมเข้าใส่ตำแหน่งที่หยาบช้าลามก ถ้าไม่ใช่ที่ปทุมถันทั้งสองข้าง ก็เป็นที่หว่างขา
สองนางกำนัลต่างตวาดด่าทอด้วยความโกรธ โลดแล่นอยู่ในวงล้อมหมายฆ่าฟันทหารลามกให้หมดสิ้น จนใจที่ทหารเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนจากจั่วเหวินหลิง จู่โจมประสานกันอย่างรัดกุม ในเวลาอันสั้นยากที่จะสังหารหรือฝ่าวงล้อมออกมาได้

องค์หญิงเจาเหยินยังนับว่ามีพลังฝีมือสูงสุด หลังจากจู่โจมหัวหน้าองครักษ์ล่าถอย สังหารองครักษ์อีกหนึ่งคน แล้วเตรียมจะดีดตัวจู่โจมใส่เกี้ยว เฉาฮั่วฉุนพลันยกสองมือขึ้น หนึ่งอยู่ล่างหนึ่งอยู่บนทำท่าคล้ายโอบลูกหนังใบหนึ่ง พลันบังเกิดเสียงครืนครั่น เกี้ยวโดยสารถอยร่นไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว

เจาเหยินกงจู้ทั้งสามรวมทั้งบรรดาเหล่าหารต่างงงงันวูบ
ที่แท้เฉาฮั่วฉุนอาศัยวิชากำลังภายในอันแกร่งกร้าวบังคับเกี้ยวโดยสารถอยร่นไป

เกี้ยวโดยสารถอยร่นไประยะหนึ่ง เฉาฮั่วฉุนค่อยลดมือลงหันใจกลางฝ่ามือเข้าหากัน ควงฝ่ามือคราหนึ่งเกี้ยวหรูเลิศก็หมุนวนอย่างเร่งร้อน ก่อเกิดเป็นพลังลมทะลักทะลายออกรอบข้าง คุกคามเจาเหยินกงจู้ถอยห่างออกไป ขณะนั้นแนเสี่ยวเชี่ยนกับเฟยจินเอ๋อพลันฝ่าองครักษ์มาสมทบที่ข้างกายของเจาเหยิน ทั้งสามมองดูเกี้ยวหมุนวนด้วยความตระหนก

เกี้ยวหรูเลิศยังคงหมุนวนอยู่หลายรอบค่อยหยุดนิ่งลง เฉาฮั่วฉุนเลิกม่านก้าวออกมาจากเกี้ยว ชี้มือไปยังเจาเหยินกงจู้ทั้งสาม ตวาดสั่งว่า

"จับกุมพวกนางทั้งเป็น"




ศึกสองนางพญา ตอนที่ 19 แม่ชีเทพยดาเช็งเซียนจื้อ
เหมียวคำราม

เหล่าองครักษ์เสื้อแดงรับคำดังกระหึ่ม จัดรูปขบวนอย่างรวดเร็ว ขบวนแรกถือดาบวาววับ แถวที่สองถือทวนพู่แดง แต่ละแถวประกอบด้วยหัวหน้าองครักษ์ผู้หนึ่ง และองครักษ์ชุดแดงอีกหลายคน
เสียงตวาดดังสับสน ขบวนดาบแถวแรกดาหน้าเข้าหาเจาเหยินกงจู้ทั้งสาม ตวัดดาบฟาดฟันใส่
เจาเหยินกงจู้สะบัดกระบี่คู่มือ นำนางกำนัลคู่ใจทั้งสองรับมือศัตรู ขณะจะเร่งมือฆ่าฟัน พลันได้ยินเสียงชายเสื้อปะทะลมเร่งร้อน ขบวนทวนกระโดดลอยตัวเข้ามาแทนที่ กวัดแกว่งทวนยาวจู่โจมใส่พวกนาง

ขบวนดาบชุดแรกพากันถอนกำลังไป ปล่อยให้ขบวนทวนรุกไล่เจาเหยินกงจู้ทั้งสามแทน

ที่แท้พวกมันใช้กลยุทธผลัดเปลี่ยนกันกลุ้มรุมหวังให้กงจู้ทั้งสามสิ้นเรี่ยวแรงไปเอง ยังโชคดีที่นางกำนัลทั้งสองเนื้อตัวเปล่าเปลือยโลดแล่นอยู่ในวงทหาร ยามเคลื่อนย้ายปทุมถันไหวกระเพื่อม ช่วงขาที่เรียวงาม ตลอดจนโคกสวาทที่เต็มไปด้วยขนหมอยสีดำที่หว่างขาทำให้บรรดาเหล่าทหารเสียสมาธิไม่สามารถเผด็จศึกได้โดยเร็ว แถมยังถูกพวกนางสังหารเหล่าองครักษ์ล้มตายเป็นใบไม้ร่วง

หัวหน้าองครักษ์ใหญ่บรรดาโทสะ ตวาดว่า
"นางโสโครกทั้งสาม เอาเปรียบแก้ผ้าต่อสู้ทำให้บิดาเสียสมาธิ พวกเราถอดเสื้อผ้าออกสู้กับนางโสโครกเถิด"

เสียงรับคำดังกระหึ่ม บรรดาทหารที่รายล้อมพากันเปลื้องเสื้อผ้าออก แล้วผลัดเปลี่ยนกันจู่โจม ทหารชุดแรกก็ถอนตัวออกมาเปลื้องเสื้อผ้าจนเปล่าเปลือยล่อนจ้อนเช่นกัน

นับเป็นการต่อสู้ที่พิสดารที่สุดเท่าที่เคยมีมาในยุทธจักร!
เหล่ากงจู้ทั้งสามเปลื้องผ้าต่อสู้จำเดิมก็อับอายอยู่แล้ว ครั้นเห็นทหารพวกนี้เปลื้องผ้าอย่างน่าไม่อาย ลำทวนที่หว่างขาของพวกมันยามเคลื่อนไหวก็กวัดแกว่งโทงเทงไปมา ของบางคนตั้งลำใหญ่ราวกระบอกไม้ไผ่ก็กระอักกระอ่วน จะหลบสายตาก็ไม่กล้า เพราะอาวุธของพวกมันฟาดฟันเข้ามาตลอดเวลา สถานการณ์กลับแปรเปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม เพลงกระบี่ของสองนางกำนัลเริ่มสะเปะสะปะ ส่อแววพ่ายแพ้ให้เห็น หัวหน้าองครักษ์ผู้หนึ่งหัวเราะชอบใจ

"นังโสโครก หากไม่วางกระบี่ ร่างยั่วยวนกวนสวาทของพวกเจ้าทั้งสามคงต้องถูกบิดาฟันเป็นหมื่นๆชิ้นแล้ว" มันพูดพร้อมกับหัวเราะอย่างหยาบช้าลามก
"เพ้ย! เจ้าชาติสุนัข หากสังหารเจ้าไม่ได้เราไม่ขอเป็นคน" แนเสี่ยวเชี่ยนตวาดอย่างโกรธจัดโถมเข้าหา กองทวนพลันขยับสอดเข้าแทนที่ทำให้นางไม่สามารถรุกคืบหน้ามาได้แม้แต่ก้าวเดียว

ภายใต้กลยุทธผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนจู่โจมเช่นนี้ เห็นแน่ชัดว่าเจาเหยินกงจู้ทั้งสามต้องถูกคุกคามจนเหน็ดเหนื่อยสิ้นเรี่ยวแรงเพลี่ยงพล้ำตกเป็นเชลยแน่แล้ว

ในเสียงปะทะอาวุธเร่งร้อน พลันบังเกิดเสียงชายเสื้อปะทะลมดังขึ้นเหนือศีรษะ คนชุดดำผู้หนึ่งกถือดาบแวววับ กระโดดลงจากยอดไม่ข้างเคียง ทิ้งตัวลงที่ด้านหลังเหล่าองครักษ์ จากนั้นกระโดดลอยตัวอีกครา
หัวหน้าองครักษ์ผู้หนึ่งฟาดฟันดาบเข้าสกัด คนผู้นั้นพลันหยั่งเท้าแตะคันทวนด้ามหนึ่ง พลิกตัวตีลังกาหลบหลีกจากคมดาบ ร่างลอยลิ่วพลิ้วขึ้นบนฟ้าดุจปุยนุ่น พอดีทิ้งตัวลงที่เบื้องหน้าเจาเหยินกงจู้ นับเป็นสุดยอดวิชาตัวเบาที่สวยงามน่าดูอย่างยิ่ง

คนพอยืนหยัดจึงเห็นเป็นบุรษหนุ่มหน้าตมคมสัน คิ้วเรียวยาว ประกายตาเจิดจ้าบ่งบอกถึงวิทยายุทธที่สูงล้ำ

พลันได้ยินเสียงสดใสดังขึ้นว่า
"ชงยี้ ช่วยเหลือพวกนางออกมา"

คนทั้งหมดหันไปทางต้นเสียง เห็นเป็นแม่ชีสวมชุดขาวถือแส้ปัด ใบหน้างดงาม บุคลิกสูงล้ำจนสุดพรรณนา ก็ตกตะลึงหยุดมืออย่างลืมตัว
บุรุษชุดดำได้ยินก็รับคำ ตวาดใส่บรรดาทหารเปลือย
"ได้ยินหรือไม่ หลีกทางให้เราจะได้ไม่ต้องฆ่าฟันให้เป็นบาปกรรมต่อกัน"
องครักษ์ตวาดด้วยโทสะพาขบวนดาบฟาดฟันใส่ บุรุษชุดดำที่ถูกเรียกว่าชงยี้ร่ายรำดาบเข้าปะทะ เห็นประกายทวนแปลบปลาบ ชงยี้ตวัดดาบต้านปะทะคมทวน หมุนคว้างเข้าประชิดใกล้ พลิกตัวข้ามกลางหลังองครักษ์ชุดแดงผู้นั้นไป ปาดดาบวูบก็เชือดคอหอยองครักษ์ชุดแดงนั้นขาดสะบั้น

เจาเหยินกงจู้เห็นเหล่าทหารแตกฮือ ก็ลอยตัวคุมกระบี่เข้าหาเฉาฮั่วฉุนอีกครา
นางตั้งใจว่าต้องปลิดชีวิตขันทีโฉดผู้นี้กับมือให้จงได้

แม่ชีบุคลิกสูงล้ำผู้นั้นพลันตวาดว่า
"แม่นางน้อย ทำไม่ได้!"

ทว่ากระบี่เหินหาวของกงจู้พุ่งวาบดุจดาวตก แทงใส่ทรวงอกเฉาฮั่วฉุนอย่างแม่นยำ
มิคาดกระบี่นี้คล้ายแทงใส่ศิลาแลงอันแข็งแกร่ง เจาเหยินกงจู้กลับไม่อาจทิ่มแทงทำร้ายเฉาฮั่วฉุนได้!

เฉาฮั่วฉุนเกร็งกำลังภายในอึดหนึ่ง ตวัดสองมือวูบเจาเหยินกงจู้ก็ถูกกระแทกปลิวลิ่วไปดุจว่าวขาดป่าน จากนั้นเฉาฮั่วฉุนก็โถมทะยานตามหวังฟาดนางให้ตายในฝ่ามือเดียว พลันแม่ชีบุคลิกล้ำก็กระโดดเข้าขวาง ร่างอ้อนแอ้นพลิ้วเข้าใส่อย่างรวดเร็ว แส้สะบัดฟาดเข้าใส่ใบหน้าอ้วนฉุ เฉาฮั่วฉุนตวาดเสียงดังสะบัดฝ่ามือเข้าใส่ เสียงระเบิดดังกึกก้อง ร่างอ้วนฉุของเฉาฮั่วฉุนถูกฟาดลอยกลับอย่างรวดเร็ว ส่วนร่างอ้อนแอ้นของแม่ชีบุคลิกล้ำก็ลอยขึ้นไปบนต้นไม้ เท้าน้อยๆของนางเหยียบบนกิ่งไม้เล็กๆดีดตัวพุ่งกลับเข้าหาเฉาฮั่วฉุนอีกครั้งด้วยความเร็วที่ยิ่งกว่าเดิม

ฝ่ายเจาเหยินกงจู้ที่ปลิวลิ่ว เห็นแน่ชัดว่าต้องร่วงฟาดกับพื้นบาดเจ็บสาหัส พลันปรากฏเงาสีขาวสายหนึ่งสาดพุ่งจากด้านข้าง ยื่นมือขวาปราดออก ก็ประคองร่างอ้อนแอ้นของเจาเหยินกงจู้ไว้ ก่อนที่นางจะตกถึงพื้น

เจาเหยินกงจู้ระงับขวัญอันแตกตื่น พอเงยหน้าขึ้นก็ประสานสบกับสายตาที่เจิดจ้าดุจสายฟ้า และรอยยิ้มที่เฉื่อยชาไม่อนาทร
ผู้ที่ประคองนาง กลับเป็นบุรุษหนุ่มชุดขาวร่างสูงโปร่ง มือขวาถือพัดจีบผู้หนึ่ง
ผู้มาคือกระบี่ดอกท้อเหวียนยั่วเฟยเอง!
เจาเหยินกงจู้อดหวั่นไหวใจมิได้ พลันรู้สึกปวดแปลบที่ทรวงอกฝีเท้าซวนเซคราหนึ่ง
ที่แท้นางแม้ไม่ได้ร่วงฟาดบาดเจ็บบอบช้ำ แนเสี่ยวเชี่ยนที่ด้านข้างรีบถลันเข้ามาประคองนางไว้

บุรุษชุดดำชงยี้พลันย่อตัวลงวูบ ฟาดฟันดาบปลิดชีวิตองครักษ์ชุดแดงสองคน ร้องบอกต่อเฟยจินเอ๋อว่า
"พวกท่านรีบหนี"

ในเสียงร้อง กระโดดโลดแล่นเข้าหาเฉาฮั่วฉุนโหมฟาดฟันใส่สองดาบซ้อนๆ เฉาฮั่วฉุนชักเท้าหลบเลี่ยง ร่างอ้วนฉุพลันลอยขึ้นดุจเมฆดำหย่อมหนึ่ง ม้วนตัวตีลังกากลางอากาศเปลี่ยนเป็นศีรษะอยู่ล่างเท้าอยู่บน กดประทับสองมือลง พลังฝ่ามือกระแทกเข้าใส่ชงยี้อย่างรุนแรง
พลันได้ยินเสียงแส้ปัดดังซู่ซ่า แม่ชีบุคลิกสูงล้ำพลันสอดมือเข้ามา พลังแส้ปัดกระแทกพลังฝ่ามือของเฉาฮั่วฉุนเบนใส่บรรดาองครักษ์เปลือย ได้ยินเสียงร้องโอดโอย องครักษ์สองคนถูกพลังฝ่ามือกระแทกใส่อวัยวะภายในแหลกลาญนอนจมกองเลือดบนพี้น

เฉาฮั่วฉุนคำรามด้วยความโกรธ เหวียนยั่วเฟยตวัดมือวูบ ใช้พัดจีบกระแทบองครักษ์เปลือยผู้หนึ่งเซถอยไป คลี่พัดกวาดตามติดทำร้ายอีกผู้หนึ่ง ปากกล่าวว่า
"เป่าเอ๋อ นำพวกนางล่าถอยไป"

เป๋าเอ๋อรับคำ ร่วมกับเฟยจินเอ๋อฟาดฟันกระบี่ขับไล่องครักษ์ชุดแดงโดยมีแนเสี่ยวเชียนคุ้มครองเจาเหยินกงจู้ถอยตามไป

เหวียนยั่วเฟยคลี่พัดจีบออก ทำหน้าที่รั้งท้ายองครักษ์เปลือยจำนวนหนึ่งยังตามมา เหวียนยั่วเฟยพลันหุบพัดลงตวัดมือวูบ ใช้ก้านพัดกระแทกใส่องครักษ์ที่ทำหน้าที่ปลิวกระเด็น ยื่นมือซ้ายชิงทวนพู่แดงจากอีกฝ่ายมาถือไว้ กวาดทวนคราหนึ่งก็กระแทกองครักษ์ชุดแดงอีกผู้หนึ่งผงะหงายไป

ฝ่ามือนี้ทั้งเฉียบขาดฉับพลัน ทั้งรวบรัดชัดเจน องครักษ์ชุดแดงที่ด้านหลังอดชะงักงันมิได้

แม่ชีบุคลิกสูงล้ำกับศิษย์ชงยี้รุกไล่เฉาฮั่วฉุนจนไม่อาจปลีกตัวออก ครั้นเห็นทั้งหมดล่าถอยโดยปลอดภัย แม่ชีบุคลิกล้ำก็กล่าวว่า
"ชงยี้ ไม่มีเรื่องเราแล้ว ไปเถอะ"
บุรุษชุดดำรับคำดีดตัวหนีไปก่อน เฉาฮั่วฉุนตวาด ขณะจะฟาดฝ่ามือใส่พลันถูกแม่ชีใช้แส้พัวพันไว้ แล้วกล่าวเสียงนุ่มนวล
"ขออภัยท่านผู้นี้ เราเช็งเซียนจื้อขอตัวก่อน"
พูดจบก็ดีดตัวถอยตามบุรุษชุดดำชงยี้ไป ทิ้งให้เฉาฮั่วฉุนกับบริวารยืนตะลึงลานอยู่กับที่

............................................................. .

ภายในวัดอู่เวี้ย

เหล่าหลวงจีนประกอบวัตรเช้าเสร็จสิ้น  ภายในโบสถ์พระประธานเพียงหลงเหลือโจวซื่อเสี่ยนอยู่คนเดียว
อาทิตย์ลอยสูงขึ้น เอี๋ยนอู๋ซวงและเฉาฮั่วฉุนยังไม่เดินทางมาถึง
แสดงแน่ชัด ระหว่างทางคงเกิดเหตุเปลี่ยนแปรแล้ว

โจวซื่อเสี่ยนบังเกิดความผิดหวัง กระทืบเท้าอย่างขุ่นเคือง สะบัดหน้าออกจากโบสถ์พระประธาน

............................................................. .

ศึกสองนางพญา ตอนที่ 20 เผชิญนักพรตหื่นกาม
เหมียวคำราม

แนเสี่ยวเชี่ยนและเฟยจินเอ๋อแยกย้ายประคองเจาเหยินกงจู้ เด็กหญิงซุกซนเป่าเอ๋อคอยคุ้มครองเตลิดสู่ทุ่งรกร้าง จากนั้นก็หยุดพัก หยิบเสื้อคลุมยาวของเหวียนยั่วเฟยจากห่อผ้าแบ่งให้พวกกงจู้ทั้งสามสวมปิดร่างที่เปล่าเปลือย

พลันได้ยินเสียงฝีเท้าไล่หลัง ทั้งหมดพอเหลียวหน้าไป เห็นเหวียนยั่วเฟยถือพัดจีบ วิ่งปราดมาสมทบ
เป่าเอ๋อร้องเรียก "นายน้อย" ผละจากกงจู้ทั้งสามวิ่งถึงข้างกายเหวียนยั่วเฟย ขณะนั้นเสียงผีเท้าดังขึ้นอีก ที่แท้เป็นแม่ชีเทพยดาเช็งเซียนจือกับศิษย์ชงยี้ตามมาสมทบ

เฟยจินเอ๋อลอบมองใบหน้าของชงยี้ พวงแก้มเป็นสีแดงซ่าน รู้สึกบุรุษผู้นี้ช่างงามสง่าต่างจากบุรุษอื่น วงหน้าของชงยี้ถึงกับสวยหวานจนคล้ายสตรี อายุก็ราวจะอ่อนเยาว์กว่าตัวเองถึงสองสามปี หัวใจต้องเต้นระทึกอย่างไม่ทราบสาเหตุ ชงยี้เห็นนางมองมาก็มองตอบพร้อมกับส่งยิ้มอันชวนลุ่มหลงให้ เฟยจินเอ๋อถึงกับหลบตาด้วยความอาย

ยามนั้นแนเสี่ยวเชี่ยนพลันประสานมือกล่าวว่า
"ขอบคุณท่านทั้งสี่ที่ช่วยเหลือ มิทราบพวกท่านมีนามใด"
ชงยี้ประสานมือคารวะตอบ
"ข้าพเจ้าคือเอี้ยชง ส่วนอาจารย์ของข้าพเจ้าคือ แม่ชีเทพยดาเช็งเซียนจื้อ"
ทั้งหมดอุทานดังอา แม่ชีเทพยดาเช็งเซียนจื้อมีชื่อเสียงลือลั่นอยู่ในยุทธจักร พลังฝีมือสูงล้ำจนไม่อาจคำนวณ ดูจากรูปโฉมที่งามสะคราญกลับมีอายุไม่มากอย่างที่คิด ทุกคนรีบคารวะ จากนั้นเหวียนยั่วเฟยก็แนะนำตัวเอง
"ข้าพเจ้าคือเหวียนยั่วเฟย ส่วนเด็กซุกซนนี้คือเป่าเอ๋อ"
"ที่แท้คือกระบี่ดอกท้อ เราขอแนะนำต่อพวกท่าน ท่านนี้คือองค์หญิงเจาเหยิน ส่วนข้าพเจ้าคือแนเสี่ยวเชียน น้องผู้นั้นคือเฟยจินเอ๋อ"

เจาเหยินกงจู้ยกมือปลดแพรคลุมหน้าลงมา วงหน้าอันงามพิลาศล้ำ จึงปรากฏแก่สายตาของทั้งหมดชัดเจน
เหวียนยั่วเฟยกับเอี้ยชงล้วนประสานมือคารวะ
"น้อมพบองค์หญิงเจาเหยิน" หยุดเล็กน้อยจึงถามว่า "ผู้ที่พวกท่านคิดลอบสังหารนั้นเป็นใคร"
แนเสี่ยวเชี่ยนกล่าวว่า
"เป็นเฉาฮั่วฉุน"
เหวียนยั่วเฟยตาสาดประกายวูบ กล่าวว่า
"น่าเสียดายนัก ข้าพเจ้าหากทราบแต่แรกว่าเป็นมัน จะไม่ปล่อยปละละเว้นมันแล้ว"
เอ่ยถึงตอนนี้ กวาดมองเจาเหยินกงจู้แวบหนึ่ง ส่วนเอี้ยชงนั้นไม่เอ่ยปากอะไรเอาแต่จ้องหน้าแดงซ่านของเฟยจินเอ๋อ ซึ่งปกติเฟยจินเอ๋อจะเป็นคนช่างพูด แต่ยามนี้เอาแต่เงียบปล่อยให้แนเสี่ยวเชี่ยนเอ่ยปากแต่เพียงผู้เดียว แม่ชีเทพยดาเช็งเซียนจื้อสังเกตุเห็นท่าทีของทั้งคู่ ต้องขมวดคิ้วส่ายหน้าช้าๆแล้วกล่าวว่า
"องค์หญิงพวกเรา มีเรื่องต้องกระทำ ขออำลา"
เจาเหยินกงจู้เอ่ยคำ "เชิญ" เหวียนยั่วเฟยก็ประสานมือต่อเจาเหยินกงจู้เพื่ออำลาด้วย
"องค์หญิงเชิญ"
เจาเหยินกงจู้ก้มศีรษะเล็กน้อย ทั้งหมดจึงแยกย้ายกันจากไป
เจาเหยินกงจู้ใช้สายตาส่งเหวียนยั่วเฟยจนลับตา ไม่ทราบเพราะเหตุใด จิตใจบังเกิดความอ้างว้างเลื่อนลอยชนิดหนึ่ง

............................................................. .

ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับของฟ้า เช็งเซียนจื้อกับเอี้ยชงสองอาจารย์กับศิษย์จูงม้าเดินไปตามท้องถนน

ทั้งสอง หนึ่งเป็นบุรุษหนุ่มอายุเยาว์หน้างดงามหวานราวกับสตรี ท่าทีสำรวมเรียบร้อยดุจดั่งบัณฑิตคงแก่เรียน หนึ่งสวมชุดจีวรสีขาวนวล เค้าหน้าหมดจดงามสะคราญปานหยาดฟ้า ทุกส่วนสัดของรูปกายบ่งบอกความนุ่มนวลปราณีแต่เปี่ยมราศีสูงสง่า บุคลิกสูงล้ำราวกับนางเซียนน่าเลื่อมใส ทั้งสองเดินทางเข้ามาในเมือง ทำให้ผู้ที่สัญจรต่างหยุดเท้าเหลียวหน้ามาจ้องมองด้วยสายตาอันชื่นชมใคร่คบหา

มาถึงโรงเตี๊ยม ทั้งสองตกลงใจเข้ามาอาบน้ำชำระกายในห้องเสียก่อน ดังนั้น มอบม้าให้แก่ผู้รับใช้ที่มาต้อนรับ แล้วเดินเข้าประตูโรงเตี๊ยม ห้องพักของทั้งคู่อยู่ติดกัน เมื่อจัดเก็บสัมภาระและอาบน้ำอุ่นเสร็จแล้วก็ลงมารับประทานอาหารที่เหลาชั้นล่าง  เซี่ยวยี่(ผู้รับใช้)เห็นบุรุษหนุ่มสวมเสื้อผ้าราคาแพง และแม่ชีหน้าตาเปี่ยมราศีผิดแปลกไปจากนักสู้ผู้ห้าวหาญ จึงลนลานต้อนรับเชิญไปนั่งในส่วนที่จัดเป็นที่นั่งชั้นพิเศษ

ขณะนั้นที่เหลาสุรา มีผู้คนนั่งสนทนาจนเซ็งแซ่ต่างเงียบงันทันที เงียบงันจนไม่มีสุ้มเสียงสำเนียงใด คล้ายดั่งจับตามองดูผู้มาใหม่ เอี้ยชงเชิญอาจารย์ไปนั่งที่โต๊ะริมระเบียง แล้วจึงสั่งอาหารเจกับเซี่ยวยี่ ยามนั้นคนทั้งปวงในเหลาจึงได้ยกถ้วยสุราดื่มกินกันเป็นโกลาหลอีกครั้ง

เมื่อเซี่ยวยี่เดินออกไป เอี้ยชงจึงลอบสังเกตบรรดาผู้ที่นั่งตามโต๊ะต่างๆ  สายตาไปสะดุดอยู่ที่โต๊ะด้านหลังไม่ห่างกันนัก มีนักพรตสองคนที่มีอายุสูงวัยกว่าสี่สิบปี นักพรตคนแรกผอมแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก หน้าเสี้ยมคางหลิมตาลุกโพลง คนที่สองคิ้วหนาตากลมจมูกแบนใหญ่ ปากกว้าง มีหนวดกระจุกน้อยปกคลุม ใบหน้าเหี้ยมโหดอำมหิต บอกลักษณะชั่วร้ายเลวทรามอย่างเห็นได้ชัด ต้องขมวดคิ้วด้วยความชิงชังรังเกียจ

ยามนั้น เช็งเซียนจื้อกล่าวว่า
"ชงยี้   เมื่อกลางวันอาจารย์เห็นเจ้าเอาแต่จ้องมองแม่นางเฟยจินเอ๋อ เจ้าใช่สนใจนางหรือไม่"
เอี้ยชงได้ยินอาจารย์ถามตรงๆก็หน้าแดงฉาน ลนลานตอบว่า
"อาจารย์ ศิษย์..เปล่า"
เช็งเซียนจื้อเห็นท่าทีของเอี้ยชง ก็กล่าวเสียงเครียดว่า
"เอี้ยชง พวกเรามีภารกิจสำคัญต้องทำ หากเจ้าเริ่มต้นก็ลุ่มหลงในสตรี จะเป็นอุปสรรคต่องานของเรา"
เอี้ยชงก้มหน้ากล่าว
"อาจารย์ ชงยี้ทราบแล้ว ชงยี้จะไม่ทำให้อาจารย์ต้องผิดหวังเป็นอันขาด"
เช็งเซียนจื้อค่อยมีสีหน้านุ่มนวลปราณี กล่าวว่า
"เจ้าคิดได้ก็ดีแล้ว เจ้ายังมีอายุน้อย ยังจะได้พบปะกับโกวเนี้ยรูปงามอีกมาก เมื่อเสร็จเรื่องอาจารย์จะไม่บังคับเข้มงวดกับเจ้าอีก"

เอี้ยชงรับคำ ยามนั้นผู้รับใช้ก็เอาอาหารเจมาส่ง ทั้งสองต่างค่อยๆกินกันอย่างเงียบๆ ขณะกำลังรับประทานอาหารนักพรตผอมซูบหน้าตาอัปลักษณ์ก็เดินเข้ามาหา พร้อมกับกล่าวเสียงแหบห้าว
"แม่นางน้อยท่านนี้สวยงามนัก ไฉนไปบวชเป็นชีเสียเล่า"
เอี้ยชงได้ยินมันกล่าวแฝงความหมายลวนลามก็บันดาลโทสะ ขณะจะอาละวาด เช็งเซียนจื้อพลันส่ายหน้ายับยั้งไว้ แล้วกล่าวกับนักพรตเสียงนุ่มนวลว่า
"ท่านเป็นนักบวช มากล่าววาจาเช่นนี้ มิกลัวจะเป็นราคีเสื่อมความเคารพของคนทั่วไปดอกหรือ"
นักพรตผอมซูบยิ้มอย่างโฉดชั่วลามก กล่าวต่ออย่างคึกคะนองว่า
"เรามีปากอันไม่สะอาด ฟันที่ไม่บริสุทธิ์ แม่ชีน้อยมีหน้าตางามสะคราญทำให้เราสองเท้าอ่อนระทวยมิอาจจะเดินเหินได้ แม่ชีนางงาม ให้เราร่วมโต๊ะกับท่านดีหรือไม่"

เช็งเซียนจื้อขมวดคิ้ว นางมีอายุไม่น้อยแล้ว แต่เนื่องจากมีลมปราณบริสุทธิ์สูงล้ำ ทำให้ใบหน้าคงสภาพเนียนเต่งตึงผ่องใสคล้ายดรุณีวัยยี่สิบเศษ ซ้ำยังแฝงราศีสูงส่ง นักพรตทุศีลเห็นผิวเนื้อที่ขาวเนียนละเอียดประดุจหยกขาว แก้มเป็นสีแดง ระเรื่อ ครั้นกวาดตามองต่ำลงไปก็เห็นลำคอที่ขาวสะอาด ทรวงอกที่อวบอูม ถึงกับลุ่มหลงในความงาม กล่าวเสียงหื่นว่า
"แม่ชีนางงามออกบวชตั้งแต่อายุน้อย ช่างน่าเสียดายนัก มิสู้สึกออกมาแต่งงานกับเราเถอะ"

เอี้ยชงมาตรแม้นพยายามข่มกลั้นใจให้เยือกเย็น แต่เมื่อได้ยินวาจาหยาบช้าลามกก็ต้องขุ่นเคืองจนสั่นระริกหน้าตาเขียวคล้ำ จนใจที่อาจารย์ห้ามไม่สามารถอาละวาดออกมาได้
ยามนั้นเช็งเซียนจื้อร้อง อมิตพุทธ แล้วกล่าวว่า
"เต้าเฮียพร่ำกล่าวเหลวไหลเช่นนี้ ระวังจะต้องได้รับโทษทัณฑ์จากฟ้าดิน ถูกอัปเปหิเข้าสู่ขุมนรก ขอเชิญท่านกลับไปที่โต๊ะของท่านเถิด"
นักพรตผอมซูบหัวร่อฮาฮากล่าวว่า
"แม่ชีน้อยจะให้เต้าเอี้ยลงนรก แต่เต้าเอี้ยจะพาแม่ชีน้อยขึ้นสวรรค์ต่างหาก ฮาฮา ผิวของแมชีน้อยขาวละลานตา ให้เต้าเอี้ยทดลองดูว่าเนื้อนุ่มเพียงใด"
พูดจบก็ยื่นมือเข้าหา เช็งเซียนจื้อขมวดคิ้ว ยื่นสองนิ้วเข้าใส่ นักพรตผอมซูบพลันเบี่ยงมือเข้าหาทรวงอกอันอวบอูมอย่างหยาบช้า เอี้ยชงตวาดด้วยโทสะขณะจะสอดมือเข้าขัดขวาง มิคาดสองนิ้วของเช็งเซียนจื้อพลันพลิกแตะที่ข้อมือแห้งเล็กของนักพรตโฉด ได้ยินเสียงดังกร๊อบ พร้อมกับเสียงร้องโอดโอยโหยหวน

"โอ๊ยยยยย นังชีโสโครก เจ้า..."

นักพรตจมูกแบนใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างหลัง ได้ยินเสียงนักพรตผอมซูบร้องเสียงดัง ก็รีบลุกขึ้นจากโต๊ะเดินเข้ามา
"ซือตี๋(ศิษย์น้อง) เกิดอะไรขึ้น"
นักพรตผอมซูบข่มความเจ็บปวด ชี้ไปที่เช็งเซียนจื้อแล้วกล่าวว่า
"ซือเฮีย(ศิษย์พี่)  นังชีโสโครกนี่หักข้อมือเรา"
นักพรตจมูกแบนรู้สึกเดือดดาลและตกใจ นักพรตผอมซูบมีพลังฝีมือแตกต่างจากตนไม่มาก คาดไม่ถึงว่าจะถูกแม่ชีน้อยรูปงามหักข้อมืออย่างง่ายดาย ขณะจะอาละวาดพลันเห็นแส้ปัดของเช็งเซียนจื้อวางอยู่บนโต๊ะก็หน้าถอดสี น้อมตัวคารวะเช็งเซียนจื้อแล้วกล่าวว่า
"ขออภัยไต้ซือ ซือตี๋เราไม่รู้ความกล่าววาจาผิดพลาด ขออำลา"
นักพรตผอมซูบร่ำร้องว่า
"ซือเฮีย"
นักพรตจมูกแบนส่ายหน้าไม่ให้พูด แล้วรีบดึงแขนนักพรตผอมซูบเดินออกจากโรงเตี๊ยมไป

เอี้ยชงเดือดดาลจนตัวสั่นระริก
"อาจารย์ นักพรตทุศิลเช่นนี้ ทำไมไม่ฆ่ามันทิ้ง"
เช็งเซียนจื้อร้องสรรเสริญพุทธคุณแล้วกล่าวว่า
"บาปกรรม บาปกรรม ชงยี้ไฉนจึงกล่าววาจาดุร้ายถึงเพียงนี้"
"มันกล่าววาจาลามกลวนลามอาจารย์ แม้นไม่ฆ่าทิ้ง อย่างน้อยก็สมควรตัดมือมันเป็นการสั่งสอน ไม่ไห้ไปเกาะแกะลวนลามสตรีอื่นอีก"
เช็งเซียนจื้อส่ายหน้ากล่าวว่า
"เพียงกล่าววาจาผิดหูก็ถูกฆ่าถูกตัดมือ  หากเป็นเช่นนี้ชงยี้เจ้าไยมิใช่ต้องเข่นฆ่าจนเลือดนองแผ่นดินหรือ"
เอี้ยชงมีสีหน้าไม่ยินยอม เช็งเซียนจื้อกล่าวต่อว่า
"ชงยี้ เราหักข้อมือมันก็ถือเป็นการให้บทเรียนแล้ว เจ้ามีอารมณ์ร้องแรง หากไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ ฆ่าฟันคนอย่างง่ายดาย ก็จะสร้างบาปกรรมไม่รู้จักจบสิ้น ต่อไปอย่าได้คิดอย่างนี้อีก"
"ศิษย์ทราบแล้ว อาจารย์"
เช็งเซียนจื้อเห็นเอี้ยชงรับคำ แต่ท่าทีไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ก็ถอนใจ ทั้งสองกินอาหารกันอย่างเงียบๆ จากนั้นก็เรียกผู้รับใช้มาเก็บเงิน แล้วพากันขึ้นห้องพัก