🧡 XONLY 🧡

FICTION ZONE => เรื่องเล่าประสบกามเสียว => ผู้ประพันธ์ในตำนานใต้ดิน => หัวข้อที่ตั้งโดย: zaaaar65 เมื่อ พฤศจิกายน 19, 2015, 03:49:09 ก่อนเที่ยง

ชื่อ: With No Remorse Chapter 11
โดย: zaaaar65 เมื่อ พฤศจิกายน 19, 2015, 03:49:09 ก่อนเที่ยง

14.30 น. บ้านพัก เชียงใหม่รถเก๋งคันกะทัดรัดเลี้ยวตามถนนโรยกรวดเข้าจอดหน้าบ้านพักสองชั้นหลังย่อมรจนาเดินออกมาจากบ้านในชุดพยาบาล ขาวสะอาดตามาหยุดยืนที่หน้าประตูบ้านเธอเพิ่งจะกลับมาจากที่ทำงานได้ไม่นาน ในรถคันนั้นทำความประหลาดใจให้เธอด้วยว่าผู้โดยสารนั้นไม่ได้มีเพียงลุงการุณย์ของเธอเพียงผู้เดียวแต่มีผู้หญิงนั่งมาข้างๆ ด้วย ความสงสัยนั้นคงอยู่ไม่นาน เมื่อทั้งสองเปิดประตูลงมายืนรจนาเดินเข้าไปหาทั้งสองคน

"สวัสดีค่ะ คุณลุง สวัสดีค่ะคุณอากานดาไม่เห็นลุงบอกเลยว่าอากานดาจะมาวันนี้" คำสุดท้ายหันไปถามการุณย์

"ก็คุณกานดาเพิ่งบอกนี่แหละ เดี๋ยวนอนกับหนูรจแล้วกัน"

"ได้ค่ะคุณอามาก็ดีแล้ว จะได้ไปงานแต่งกับคุณลุงเลย" รจนาพูดยิ้มๆ

"อ๊ะไม่ได้หรอกจ๊ะอาไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าไปงานมาด้วย" กานดาตอบพร้อมกับเดินเข้าไปกอดรจนาอย่างสนิทสนมเธอรู้จักบุตรชายดีพอจะตระหนักได้ว่าลูกชายของเธอคงจะได้สาวน้อยหน้าตาคมคายคนนี้เป็นคู่ชีวิตและยิ่งเมื่อได้รู้จัก สาวน้อยมากขึ้นเธอก็เริ่มรักสาวน้อยคนนี้เสียเหมือนจะเป็นบุตรีคนหนึ่งไปด้วย

"คุณอารูปร่างพอ ๆ กับหนูลองของรจไหมคะ อาจจะเด็กไปหน่อย คุณอารังเกียจหรือเปล่าคะ" รจนากอดสาวใหญ่ อย่างสนิทสนมยิ่งกานดาเดินโอบเธอตรงเข้าบ้านไปนั้นอ้อมกอดของกานดาช่างอบอุ่นด้วยเธอนั้นสูญเสียมารดาไป เนิ่นนานแล้ว ยามนี้อ้อมกอดนั้นจึงแผ่ความรักความอบอุ่นมายังตัวเธอจนเธอต้องสูดจมูก

"ไม่รังเกียจหรอกจ๊ะ เอ๊ะหนูรจเป็นอะไร ร้องไห้ทำไมเนี่ย" กานดาหยุดเดินหันมาถามการุณย์ที่หิ้วกระเป๋าเดินทางของกานดาก็หยุดหันมามองอย่างสนใจเจือความกังวลห่วงใยหลานสาวที่เลี้ยงมากับมือ

"เปล่าค่ะคุณอา แต่รจ..เอ่อ แค่ คิดถึงแม่ขึ้นมาน่ะค่ะ" รจนาตอบพลางสูดจมูก จบคำว่าแม่หยาดน้ำใสก็ไหลลงมาเป็นทาง กานดาดึงร่างสาวน้อยเข้ามากอดแนบสนิท

"โอ๋ ไม่เป็นไรนะลูก" กานดาพูดอย่างไม่ได้คิดยามนั้นร่างบาง ๆ ของสาวน้อยในอ้อมกอดก็พลันสะท้านไหวด้วย แรงสะอื้น

"คิดถึงก็กอดอานะลูก ไม่เอาล่ะเดี๋ยวตาบวมไม่สวยนะลูก"

"ตายละยายรจ ขี้แยซะแล้ว" การุณย์พูดพลางเบี่ยงตัวเดินเข้าบ้านพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

"เอ๊ะ คุณต้นนี่มาหัวเราะหลานได้ยังไง" กานดาหันไปต่อว่าแล้วหันมากอดร่างบาง ๆ นั้นไว้พลางลูบหลังสาวน้อย อย่างปลอบประโลม

"แล้วนี่จะให้อาไปลองเสื้อไหมนี่เดี๋ยวจะได้แต่งตัวไปด้วยกัน ถ้าร้องมาก ๆ ตาบวมจะไม่สวยนะคะ" รจนาผละออกจากอ้อมกอด ปาดน้ำตาทั้ง ๆที่ยังสูดสมูกฟืดฟาด ยืนนิ่งเอนตัวตามมือของกานดาที่ดึงเข้าไปหอมแก้ม เบา ๆหมุนตัวเดินเข้าบ้านไปตามมือของกานดาที่ดึงข้อมือไปอย่างสนิทสนม

"ไปดูเสื้อหนูรจก่อนเถอะนะ" กานดาบอกแต่กลับยืนนิ่ง หันมาหารจนายิ้ม ๆ

"เจ้าของบ้านไม่นำแล้วอาจะไปถูกหรือจ๊ะ"

"ตายจริง รจลืมไปค่ะ คุณอาทางนี้เลยค่ะ" ยามนี้เธอเหมือนเป็นสาวน้อยที่ร่าเริงความรู้สึกข้างในที่ว่างเปล่าเพราะขาดแม่ มาแต่เด็กนั้นเหมือนเต็มปรี่ขึ้นมาเพียงด้วยอ้อมกอดและหอมของกานดาเธอเดินนำพร้อมกับดึงมือกานดาตามไปอย่ง สนิทสนม การุณย์เดินออกมาจากห้องครัวมือถือแก้วน้ำที่เย็นจนไอจับเป็นฝ้าออกมา

"คุณดา ดื่มน้ำก่อนไหมครับ" มือยกแก้วน้ำขึ้นชูให้กานดาที่หันมามอง

"เดี๋ยวก็ได้ค่ะ เดี๋ยวไปดูเสื้อผ้ากับหนูรจก่อน" ....................


17.05 น. ราวป่าในป่าทึบติดพรมแดนพม่าใต้ร่มไม้ทึบนั้น ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ฝึกการสังเกตมาอย่าโชกโชนหรือไม่มีอุปกรณ์ช่วยก็ไม่มีใครจะบอกได้ว่าในบริเวณนั้นมี คนกลุ่มหนึ่งแฝงตัวอยู่อย่างเงียบสงบโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใบไม้ในป่ารกเรื้อบดบังแสงแดดอ่อน ๆ ยามเย็นไปจนใต้ดงไม้นั้นเหลือเพียงแสงสลัวในคนกลุ่มนั้นส่วนใหญ่มีเพียงสองคนที่แต่งกายด้วยชุดสีดำสนิทในขณะที่อีกสิบกว่าคนที่เหลืออยู่ในชุดพรางทะมัดทะแมงแต่ที่ทุกคนเหมือนกันนั้นคือทั้งหมดทาใบหน้าและส่วนของร่างกายที่พ้นการปิดบังของเสื้อผ้าด้วยสีฝุ่นพรางสีดำยามนี้ทั้งหมดหันหน้าเข้าหาที่ว่างตรงกลางที่ศรัณย์ใช้นิ้วขีดวาดเป็นแผนผังพลางอธิบายทบทวนแผนปฏิบัติการอีกครั้งทั้งที่ได้ฝึกทำความเข้าใจกันมาเป็นสิบ ๆเที่ยวในหลายวันที่ผ่านมา สายตาทุกคู่ไม่ได้ ฉายแววเบื่อหน่ายแต่กลับมุ่งมั่นด้วยสำนึกในหน้าที่และขั้นตอนต่างๆ ที่ฝึกฝนกันมานานหลายปี บางครั้งหนึ่งหรือสองคนในนั้นก็ยืดตัวขึ้นสอดส่ายสายตาระวังระไวไปรอบ ๆหยุดมองตามแนวต้นไม้ที่เริ่มมืดจนเป็นเงาตะคุ่ม ๆ ศรัณย์จบคำพูดพร้อมกับวรวุฒิที่ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา คนอื่น ๆ ต่างยกนาฬิกาขึ้นมองแสงพรายน้ำสีเขียวเรืองส่องให้เห็นเหลี่ยมเงา ของใบหน้าที่พรางดำสนิทนั้นในความมืด

"เวลาเริ่มปฏิบัติ ยี่สิบเอ็ดยี่สิบ ขณะนี้เวลา สิบ เจ็ด สอง ศูนย์ อึ๊บ" วรวุฒิบอกพร้อมกับที่ทุกคนหมายเวลาตามนาฬิกาของตนพร้อมกับเสียงอึ๊บสั้น ๆ ทั้งหมดเริ่มขยับตัวแบ่งออกเป็นสองกลุ่มนำโดยชาติชายและศรัณย์

"ตรวจอาวุธ" สิ้นเสียงสั่งทุกคนก็ขยับอาวุธในมือขยับลูกเลื่อนเปิดออก ค่อย ๆดึงกระสุนที่ค้างในรังเพลิงออกมา แล้ว ดันลูกเลื่อนส่งกระสุนนัดใหม่เข้ารังเพลิงแล้วปลดซองกระสุนออกมายัดกระสุนนัดที่เพิ่งดึงออกกลับเข้าซองกระสุน แล้วเสียบกลับที่เดิมวรวุฒิเองเมื่อจัดการกับอาวุธคู่มือแล้วเงยหน้าขึ้นมองฝ่าแสงที่เกือบมืดสนิทเมื่อมองเห็นมือที่ยกนิ้ว หัวแม่มือชูขึ้นครบทุกคนแล้ว จึงหันไปรอบ ๆ

"วันนี้ เรามากัน สิบห้า และจะกลับไปทั้งสิบห้าทลายมันให้ราบ ตามแผน ทุกคนดูแลตัวเองและเพื่อน ๆ ด้วย พร้อมแล้ว ไปได้" สิ้นเสียงสั่งเรียบ ๆ นั้นทุกคนก็ขยับตัวออกเดินกันไปในความมืดอย่างเงียบกริบ ....................

18.30 น. โรงแรมทิพย์ช้าง ลำปางอากาศยามค่ำต้นหนาวเย็นสบายด้วยลมโชยระรื่นอาคารใหญ่ของโรงแรมหรูกลางเมืองลำปางสว่างไสวด้วยแสงไฟแรงสูง ที่ส่องกระทบตัวอาคารเห็นเด่นผงาดตัดฟ้ามืดที่ประดับด้วยดาราพราวพรายไฟราวที่ติดประดับตามไม้ใหญ่ไม่พุ่มเพิ่ม ความสวยงามสดใสละลานตาการุณย์แต่งชุดสากลดูภูมิฐานเดินเคียงคู่ไปกับกานดาที่อยู่ในชุดสีอิฐเรียบ ๆแต่ดูเหมาะสม กับวัยดั่งกับเป็นเสื้อผ้าของเธอเอง ส่วนรจนาที่อยู่ในชุดราตรีสั้นชมพูเดินมาข้างๆ เข้าสู่อาคารใหญ่ เลี้ยวเลาะตามผ่าน โถงรับแขกไปยังห้องโถงอีกห้องหนึ่งหน้าห้องนั้นเจ้าบ่าวในชุดราตรีสโมสรยืนเคียงกับเจ้าสาวในชุดขาวสะอาดตาสองข้างกระหนาบด้วยบิดามารดาที่ยืนคอยต้อนรับขับสู้ผู้มาร่วมงาน การุณย์พากานดาและรจนาเข้าไปทักทายบิดามารดาของบ่าวสาวคู่นั้นก่อนจะทักทายเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้วพาหลานสาวเข้าสู่ห้องโถงที่จัดเรียงด้วยโต๊ะปูผ้าขาวสะอาดชายวัย ไล่เรี่ยกับการุณย์สองสามคนที่นั่งอยู่ก่อนโบกมือเรียกทั้งสามคนเดินเข้าไปหาทักทายผู้ที่นั่งอยู่ในโต๊ะนั้น

"คุณกานดา มาเมื่อไรครับ" ชายคนหนึ่งในโต๊ะเอ่ยถามเมื่อเห็นกานดา

"มาเมื่อบ่ายนี้เองค่ะคุณต้นชวนมาเลยขอยืมเสื้อผ้าหลานใส่น่ะค่ะ สวัสดีค่ะ" กานดาตอบพร้อมกับทักทายผู้ที่นั่งอยู่ในโต๊ะนั้นด้วยทั้งหมดนั้นเป็นเพื่อนของการุณย์ที่เธอรู้จักมานานแล้วนั่นเอง

"เฮ้ย วันนี้ไอ้ต้นควงสองเลยเว้ยเฮ้ย" เพื่อนคนหนึ่งกระเซ้า

"เมื่อไรแจกการ์ดวะต้น"

"เฮ้ยจะพูดอะไรระวังปากมั่ง" การุณย์ตอบเพื่อนขณะที่ขยับเก้าอี้ให้กานดา

"ของใครล่ะ ของข้า หรือของหลาน" ทุกคนในโต๊ะหัวเราะกันครึกครื้นมีแต่เพียงกานดากับรจนาที่หน้าแดงซ่าน

"ของเอ็งแหละ เฮ้ย นี่หลานมีแฟนแล้วเหรอเนี่ยว้า.."

"ยังรอคำตอบอยู่ว่ะ" การุณย์ตอบยิ้ม ๆ กานดานั่งหน้าแดงระเรื่องพอ ๆกับรจนาที่ไม่แต่หน้าแดงแต่ยังมองผู้เป็นลุง อย่างเคือง ๆ นิด ๆ

"เอ็งก็ถามหลานเอาเองซิวะเรื่องนี้ข้าตอบแทนไม่ได้ว่ะ" เท่านั้นเองคราวนี้เหล่าบรรดาน้า อา ป้า ลุงทั้งหลายก็ถามรจนากันยกใหญ่ด้วยว่าเธอเองก็สนิทสนมกับเพื่อนการุณย์ครบทุกคนอยู่แล้ว เพื่อนการุณย์คนหนึ่งเอนหลังพิงกับเก้าอี้พลางบ่นออกมาดัง ๆ

"แหม เสียดายเว้ยนี่ว่าจะจองไว้ให้ลูกข้าเสียหน่อย ใครล่ะหนูรจ เชื่ออาเหอะลูกอาดีกว่า" พูดจบก็หัวเราะเรียกเสียงหัวเราะ ครื้นเครงกันขึ้นมา

"ไอ้ต้นไม่บอกคุณกานดาทราบไหมครับ"

"เอ้อดา.." กานดาอึกอักเพราะมือของรจนาที่เขย่าแขนเธอกานดาหันไปสบสายตาเขินอายของรจนา

"เขาบอกไม่ได้หรอกเว้ย" การุณย์พูดหัวเราะ"ก็ลุกชายเขานั่นแหละ"

"เฮ้ย.." คนที่ถามร้องตาเบิกโพลง

"ต๊าย..เหรอจ๊ะหนูรจ"

"คุณลุงนะ.." รจนาร้องหน้าแดง

"พวกกันเว้ย ยังงี้ต้องฉลอง.." เพื่อนการุณย์อีกคนพูดแซงขึ้นมา

"จริงเหรอคะ พี่ดา เจอกันเมื่อไรคะนี่หนูไม่รู้เรื่องเลยนะเนี่ย" ภรรยาของเพื่อนการุณย์คนที่นั่งติดกับกานดาถาม

"แล้วตัวมันทำไมไม่มา" คนถามร้องถามต่อ

"มันก็ไปทำงานของมันอยู่ซีวะ" การุณย์ตอบกลั้วหัวเราะการสนทนาดำเนินต่อไปโดยไม่มีใครจะคาดได้ว่าเบื้องนอกในลานจอดรถนั้นรถกระบะสีทึมจอดซุ่มรอที ภายในรถชายใบหน้ากร้านนั่งเงียบจับจ้องมองไปยังประตูโถงใหญ ของโรงแรม

"เดี๋ยวกว่ามันจะกลับคงราว ๆ สองชั่วโมงนี่ยังไม่ทุ่ม ผลัดกันไปหาอะไรกินก่อน อยู่แถว ๆ นี้ล่ะ" คนนั่งข้างคนขับหันไปสั่ง พวกพ้องที่ขยับตัวเปิดประตู

"มึงเอาผ้าคลุมปืนข้างหลังไว้ก่อนด้วยเดี๋ยวพ่อมึงมาเห็นเข้าจะยุ่ง" เจ้าคนที่นั่งแถวหลังหันเอี้ยวตัวไปยังพื้นที่เก็บของท้ายแค็บดึงผ้าใบมาคลุมอาวุธสงครามที่วางอยู่ก่อนจะลงจากรถไป ...........................

20.00 น. คฤหาสน์หรูในเชียงใหม่ "เฮียทำกับฉันอย่างนี้ เห็นชั้นเป็นอะไร" กิมลั้งสาวใหญ่ที่นั่งอยู่บนเตียงนอนฝังมุกขนาดใหญ่เอ่ยถามด้วยคราบน้ำตาเธอสวมชุดนอน ยาวกรอมเท้า สายคล้องไหล่เป็นเพียงเส้นเชือกเล็ก ๆ สองเส้นชุดนอนผ้าบางเบาจนมองทะลุลอดไป เห็นเต้าอวบที่กระเพื่อมไหวสายตาจับไปที่เสี่ยเล้งที่สวมเพียงกางเกงแพรนั่งจิบวิสกี้บนเก้าอี้ในห้องนอนเย็นฉ่ำ

"ตั้งหลายวันแล้วยังไม่หายโกรธเฮียอีกเหรอ" เสี่ยใหญ่แกว่งแก้วเหล้าในมือ

"ชั้นไม่ใช่ผู้หญิงหากินนี่เฮีย"

"ถ้าเธอเป็นกะหรี่จะไม่ได้เข้ามาอยู่บ้านนี้หรอก" เสี่ยใหญ่พูดเรื่อยๆ

"นึกว่าช่วยกันทำมาหากินน่ากิมลั้ง ถ้าเป็นสาว ๆก็ว่าไปอย่าง"

"แต่เฮียวางยาชั้นทำไมล่ะ"

"ก็บอกดี ๆ เธอจะยอมเหรอ" เสี่ยใหญ่พูดอย่างอารมณ์ดี

"เออน่า แล้วไปแล้วน่า"

"แต่เฮียมา เอ่อ มา.." สาวใหญ่เม้มปากอย่างขัดเขินจนหน้าแดง

"มาเอาก้นฉัน" "ยังไม่หายเจ็บเหรอ กิมลั้ง เฮียเห็นแล้วมันอดไม่ไหวน่ะ"

เสี่ยเล้งจิบเหล้าคั่นจังหวะ"ไปหาหมอไหมล่ะ"

"หายเจ็บแล้วจะบ้าเหรอ แล้วจะบอกหมอว่ายังไง" เธอแหวใส่

"ก้อบอกไปตรง ๆ ว่าสามีเสยเอา" เสี่ยวางแก้วเหล้า ลุกเดินเข้ามานั่งข้าง ๆยกแขนขึ้นโอบไหล่เปลือยนอกแขนเสื้อนอน

"น่า เลิกโกรธเฮียเถอะพรุ่งนี้เฮียพาไปซื้อสร้อยสักสองเส้นแล้วกันนะ"

กิมลั้งหรือพัชราภาสาวใหญ่พอได้ยินเรื่องสร้อยก็แทบจะหายโกรธแต่ยังทำทีเป็นปั้นปึ่งค้อนสามีขวับ

"สามเส้นก็ได้น่า เลิกโกรธเฮียเถอะ" เสี่ยใหญ่ทำทีออดอ้อนลูบแขนเปลือยเบา ๆ

"เส้นละสองแสนนะเฮีย" "สองแสนก็สองแสน

" เสี่ยใหญ่ตอบพร้อมกับลูบเอาสายรั้งไหล่ของชุดนอนหลุดออกไป"ตอนนี้มาให้เฮียเรียกขวัญคืนก่อนกิมลั้ง" พูดพร้อมกับสายรั้งไหล่อีกข้างหลุดออกไปปล่อยให้เสื้อนอนหลุดไปกองที่เอวนิ้วสั่น ๆ ของเสี่ยเล้งยกขึ้นกำกุมนวดเต้าอวบของเมียจนจะงอยหัวนมตั้งชัน

"ไม่เอาก้นแล้วนะเฮีย ฉันเจ็บ" สาวใหญ่บอกพร้อมกับร่างที่เอนลงหงายตามมือสามีที่ดันเบาๆ แล้วดึงรั้งชุดนอนหลุด ไปทางปลายเท้า

"ไม่เอาซี วันนั้นน่ะทางนี้มันไม่ว่างนี่นา" เสี่ยใหญ่เอามือลูบโคกเนื้อหนั่นแล้วไชนิ้วลงลูบเม็ดติ่งเนื้อในจนสาวใหญ่สูดปากแอ่นสะโพกตามแรงลูบ

"ก็เฮียวางยาชั้นให้ท่านเอาอยู่นี่" เธอผงกหัวขึ้นมองสามีที่ยันกายขึ้นปลดกางเกงแพรให้มันเลื่อนไหลลงกองกับพื้นลำท่อนเอ็นอ้วนตันตั้งเด่นขึ้นมาส่ายหัวไปมา

"อืมม ของท่านยาวกว่าเฮียอีกชอบไหมล่ะ" เสี่ยเล้งคู้เข่าลงกลางขาอวบของเธอที่อ้าออกรับยอกมือขึ้นแหวกกลีบเนื้อ แบะอ้า นิ้วมืออวบ ๆอีกข้างก็จรดปลายลงกับติ่งเม็ดเนื้อเขี่ยพลางสลับบี้บดวนคลึงจนเธอเสียววาบ ๆคูหาอุ่นนุ่มขมิบ ตามจังหวะ หลั่งน้ำหล่อลื่นออกมาปริ่มปากถ้ำ

"ไม่มีหวงเมียเลยนะเฮีย อู๊ยยยย เสียยววววว" เธอผงกหัวขึ้นต่อว่าแล้วก็เหยียดหน้าแหงนเมื่อสามีก้มลงดูดเม็ดเนื้อจังๆ ...........................

20.50 น. ในป่าทึบติดพรมแดนพม่าในสุมทุมพุ่มไม้ที่รกเรื้อนั้น ชายในชุดรัดกุมขยับเคลื่อนตัวแฝงเงามืดของต้นไม้ใหญ่น้อยผ่านป่าเข้ามาอย่างเงียบกริบก้าวย่างที่เชื่องช้ามั่นคงพาร่างของทั้งกลุ่มขยับกันเข้าวางตัวหมอบลงกับโคนไม้ในบริเวณนั้นสองคนวางตัวหมอบลงกับ โคนไม้ใหญ่กระชับปืนเอ็ม 4 ที่ติดศูนย์เล็งACOG Reflex เครื่องลดเสียงและเครื่องช่วยเล็งด้วยลำแสงเลเซอร์ เขามองซ้ายขวาจับตาดูพรรคพวกที่ขยับตัวลงหมอบกับพื้น ศรัณย์กระชับปืน เอ็ช เค 417 ที่ติดกล้องเล็งในเวลากลางคืน พร้อมเครื่องลดเสียงหมอบลงข้าง ๆ ทุกคนกวาดสายตาไปเบื้องหน้า ที่เป็นพื้นที่กว้างที่ถากถางจนแทบโล่งแสงไฟ จากตะเกียงส่องสาดลอดช่องหน้าต่างของโรงเรือนที่สร้างอย่างง่าย ๆออกมากระทบคนที่เดินอยู่รายรอบ เสียงความ เคลื่อนไหวภายที่ได้ยินแว่ว ๆฝ่าความเงียบยามราตรีมากระทบหูนั้นเป็นเสียงของเครื่องยนต์ขนาดเล็กและเสียงโลหะกระทบกันเป็นจังหวะ ทั้งสองคนมองกลุ่มโรงเรือนนั้น

"เวลาเริ่ม สาม ศูนย์ นาที" ชายคนแรกย้ำเมื่อได้รับสัญญาณมือว่าเข้าใจเรียบร้อยเขาก็ผละลุกขึ้นแล้วหมุนตัวจากไปอย่างเงียบกริบ ชายในชุดพรางเหล่านั้นคือชุดรบพิเศษของร้อยเอกวรวุฒินั่นเองยามนี้พวกเขาทั้งหกคนวางตัวซุ่มเงียบ ในระยะที่เอื้อมมือถึงกันการสื่อสารสั่งการยามนี้เพียงใช้สัญญาณมือที่ฝึกปรือทำความเข้าใจกันมาอย่างขึ้นใจแล้วรอบข้างจึงมีแต่ความเงียบสงบศรัณย์เคลื่อนตัวไปในความมืดลัดเลาะไปตามพุ่มไม้สลับกับหยุดนิ่งเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวโดยรอบเป็นครั้งคราวจนถึงจุดที่วางตัว ก็ค่อย ๆ หมอบลงกับพื้นจัดท่านอนให้มั่นคงกดปุ่มปลดล๊อกขาทรายกางออกแล้ววางปืนพาดเข้าที่ ทดลอง เล็งเป้ากวาดไปมาสายตามองช่องเล็งที่ปรากฏภาพเป็นสีเขียวเรืองของโรงเรือนในลานโล่งนั้นแสงที่ส่องลอดหน้าต่างออกมาเห็นเป็นสีเขียวอ่อนใสเช่นเดียวกับใบหน้าและมือของกลุ่มค้ายาที่เดินเพ่นพ่านไปมาศรัณย์ลดปืนลงยกข้อมือขึ้น ดูพรายน้ำของนาฬิกาแล้วคลำสายปากพูดหูฟังขนาดเล็กที่หน้าอก

"ฉลามสอง ประจำที่เรียบร้อย" เสียงที่กรอกลงไปไม่ดังกว่าเสียงกระซิบ

"ทราบ ทุกหน่วยเข้าที่พร้อม" เสียงในหูฟังตอบออกมา

"เวลาเริ่ม สาม ศูนย์ นาที"

"พยัคฆ์หนึ่งทราบสาม ศูนย์ นาที"

"พยัคฆ์สองทราบ สาม ศูนย์ นาที"

"ฉลามหนึ่งทราบ สาม ศูนย์ นาที"

"ฉลามสองทราบสาม ศูนย์ นาที"

ศรัณย์กรอกเสียงลงไปเป็นคนสุดท้าย ผ่อนลมหายใจยกปืนขึ้นประทับ ........................... 21.05 น.โรงแรมทิพย์ช้าง ลำปาง "