🧡 XONLY 🧡

FICTION ZONE => เรื่องเล่าประสบกามเสียว => ผู้ประพันธ์ในตำนานใต้ดิน => หัวข้อที่ตั้งโดย: fhonman เมื่อ มกราคม 06, 2016, 09:19:00 หลังเที่ยง

ชื่อ: เล่ห์สวาท เพลิงราคะ ตอน 20 by TIS
โดย: fhonman เมื่อ มกราคม 06, 2016, 09:19:00 หลังเที่ยง
 ขอมอบให้คุณsuckzeedนําไปremadeให้คุณอรชาตัวเอกของเรื่องมีบทพิสวาทเยอะ


ประโยคสุดท้าย อรชาคำนึงในใจ เธอหวังเช่นนั้นจริงๆ
.....................................................................................

อากาศยามเช้าในบริเวณโดยรอบ"ปางห้วยสัก"เต็มไปด้วยความเยือกเย็นร่มรื่นย์ หมอกที่จับอยู่เรี่ยพื้นดินในช่วงย่ำรุ่งเพิ่งค่อยๆ สลายตัวไปไม่นาน รถบัสคันใหญ่ก็พาคณะของกองประกวดมีสยูนิเวอร์ซิตี้เลี้ยวเข้ามาในบริเวณ อาณาเขตอันไพศาลร่มไปด้วยเงาไม้ของปางห้วยสัก คนที่มายืนคอยต้อนรับเป็นสตรีกลางคนที่แต่งกายด้วยเสื้อไหมผ้าซิ่นใบหน้า ยิ้มแย้มท่าทางใจดี ด้านหลังยังมีเด็กสาวถือพานมีช่อดอกไม้ป่าร้อยเป็นพวงไว้ต้อนรับคณะกอง ประกวด

"สวัสดีเจ้า ปางห้วยสักยินดีต้อนรับเจ้า"

แม่บ้านอุ่นเรือนซึ่งเป็นคนดูแลความเรียบร้อยของปางแห่งนี้กล่าวทักทายต้อน รับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส คณะกองประกวดจึงยิ้มหน้าบานไปตามๆ กันด้วยความรู้สึกยินดีต่อการต้อนรับอันอบอุ่นนั้น ซึ่งบรรดานักศึกษาสาวต่างหัวเราะต่อกระซิก ยิ้มแย้มแจ่มใสต่อคิวกันเข้าไปรับช่อดอกไม้ที่เด็กสาวในชุดพื้นเมืองช่วยกัน ยื่นส่งให้ไปคล้องคอ สีสรรอันแพรวพราวนั้นขับให้กลุ่มของเด็กสาวนักศึกษาที่มาจากทั่วทุกภาคต่าง นั้นแลดูสวยงามจำเริญตาเป็นอย่างยิ่ง หนุ่มๆ หลายในบริเวณนั้นถึงกับอ้าปากตาค้างกันไปก็หลายคน

เสียงจ้อกแจจอดังดังกิ๊วก๊าวไปทั่วปางที่ปรกติจะค่อนข้างสงบเงียบ เมื่อคณะกองประกวดเดินกันไปตามพื้นที่ คนที่มีอายุหน่อยซึ่งเป็นคณะกรรมการการประกวดก็เดินตามแม่บ้านอุ่นเรือนไป พร้อมกับซักถามถึงความเป็นไปของปางห้วยสัก โดยที่แม่บ้านอุ่นเรือนตอบคำถามเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนเย็นละมุนละม่อม ฟังสบายหู

ส่วนบรรดาสาวๆ ก็เดินจับกลุ่มพูดคุยหัวเราะต่อกระซิก ชี้มือชี้ไม้ไปยังทิวทัศน์รอบด้านอย่างสนุกสนานสำราญใจ เสียงโห่ฮิ้วดังมาเป็นระยะๆ เมื่อใครสักคนพูดอะไรออกมาได้ถูกใจคนฟัง กว่าจะรวบรวมฝูงผึ้งสาวที่แตกรังนั้นเข้าไปรวมพลกันในศาลาเรือนไทยที่ค่อน ข้างกว้างที่จัดเตรียมเก้าอี้ไว้รองรับอยู่แต่แรก ก็ทำเอาคณะทำงานเหน็ดเหนื่อยกันไปพอควร แต่กระนั้นเสียงหัวเราะก็ยังได้ยินกันสับสนเจี๊ยวจ๊าว เล่นเอาบรรดาคุณป้าที่มากับกองประกวดถึงกับค้อนจนตาคว่ำไปก็หลายคน มีแต่เจ๊แต๋วที่ค่อนข้างหัวสมัยใหม่ กล่าวกับพรรคพวกที่เป็นตัวแทนมาจากมหาวิยทยาลัยอื่นๆ

"โธ่ ปล่อยพวกเด็กๆ ไปเถอะค่ะ สนุกร่าเริงอย่างนี้น่ารักออกจะตาย"

กรองกนกพูดยิ้มๆ ตอนนั้นสายตาเหลือบไปยังอรนุชที่นั่งคุยหัวเราะจนตาหยีกับเพื่อนใหม่ที่ เพิ่งมารู้จักกันในกองประกวด เข้าแกงค์สาวซ่าสี่คนด้วยกัน ซึ่งถือว่าเป็นแกงค์ที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุด พอกวาดตาไปนั้นพี่แต๋วก็นึกในใจอย่างกระหยิ่ม

"สวยๆ น่ารักกันจั๊ง แต่ขอโทษ อิอิ รัศมีของน้องนุชเด๊นเด่นกินขาด งานนี้เสร็จแต๋วแน่"

คุณป้าคนหนึ่งใส่แว่นใบหน้าอูมขาว ชื่อกานตาซึ่งรู้จักสนิทสนมกับพี่แต๋วดี มองตาของพี่แต๋วแล้วก็พออ่านออกได้ เอียงหน้ามากระซิบ

"นี่แต๋วไม่ต้องแสดงความรู้สึกจนออกนอกหน้าขนาดนั้นก็ได้ ฉันรู้น่ะว่าหนูนุชของเธอน่ะสวยเด่นกว่าใคร แต่จะบอกให้นะยะ หนูนิดของฉันน่ะก็ใช่ย่อย พูดได้สี่ภาษาไม่รวมไทยนะจ๊ะ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และญี่ปุ่น รอเอาไว้ถึงตอนประกวดความสามารถพิเศษก่อนเถอะย่ะ"

กานตาพูดพลางพยักเพยิดไปยังเด็กสาวหน้าใสที่นั่งติดกับอรนุชซึ่งเป็นรูมเมท ของเด็กสาวร่างเล็กบางด้วย ชื่อนิรัชราชื่อเล่นนิดเป็นตัวแทนจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ของป้ากานตา ตอนนั้นกรองกนกค้อนขวับใส่เพื่อนที่คบค้ากันมานาน พลางบ่นพึมพำในใจ

"น้องนุชน๊า..น้องนุช..เป็นผู้หญิงยิงเรือ ไม่รู้จักฝึกอะไรที่ผู้หญิงควรฝึกกัน"

ตอนที่กำลังเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับการแสดงความสามารถพิเศษ กรองกนกแทบจะเป็นลมเพราะอรนุชแจงความสามารถของเธอเสียงแจ๋ว

"ความสามารถพิเศษหรือคะ..โอ๊ย..สบายมาก นุชมีเยอะแยะ..จะเอาอะไรบ้างล่ะคะ ขี่ม้า เทควันโด้ ยูโด ฟันดาบ รึจะเอามวยไทย คิกคิก ยิงปืนก็ได้ค่ะ"

ไม่ว่าพี่แต๋วจะเฟ้นแล้วเฟ้นอีก ล้วงลึกถามไปจนถึงว่าเด็กสาวเคยไปเรียนอะไรที่ผู้หญิงเขาเรียนบ้าง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปแสดงดี ท้าย ที่สุดก็เลยไปลงที่รำดาบไทย ซึ่งดูๆแล้วในบรรดารายการที่อรนุชพูดมาพอจะเข้าท่าที่สุด แต่ถึงกระนั้นกรองกนกก็กำกับการฝึกไปบ่นกระปอด กระแปดไป

ขณะที่อรนุชเป็นครั้งแรกในช่วงของการซ้อมเตรียมประกวด เธอไม่เคยบ่นเรื่องฝึกเลยแม้แต่น้อย กระตือรือร้นในการควงดาบในมือให้ตรงกับจังหวะตามตำรารำดาบไทยให้เป็นเรื่อง เป็นราวนั้นด้วยความสนุกสนาน จนครูฝึกจากโรงเรียนนาฎศิลปที่เชี่ยวชาญในการรำดาบถึงกับชมเปาะว่าอรนุชนั้น เก่งเหลือขนาด สอนแป๊ปเดียวก็จำได้หมด

ทันใดนั้นเองใบหน้าที่กำลังยิ้มหัวเราะจนตายิบหยีของอรนุชก็มีอันต้องอ้าปาก ตาค้างราวกับถูกผีหลอกกลางวัน ขณะที่ร่างกำยำสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งเดินยิ้มๆ เข้ามาในศาลาไทย ขณะที่สาวๆ ตบมือกราวใหญ่ จ้องมองไปยังร่างสูงสมส่วนใบหน้าคร้ามคมที่มีเคราเต็มหน้านั้นด้วยดวงตาที่ มีประกายพราว

"อุ๊ย..tall dark and handsome ตรงเสปคเลย"

กิ๊ก รัชนี สาวสวยจอมเซี้ยวตัวแทนจากม.ขอนแก่นกระซิบให้กับก๊วนสาวซ่าที่นั่งสุมกันอยู่ เสียงหัวเราะกิ๊วก๊าวดังครืนใหญ่ นิรัชราหันมายังอรนุชสะกิดยิ้มๆ

"คนนี้ไง ที่เขาว่าเป็นเจ้าของปางแห่งนี้และสวนไม้สักทั้งหมด โอ้โห เท่ห์ระเบิดอย่าบอกใครเชียว..นะ..นุช..นะ"

อรนุชผู้ไม่เคยสนใจที่จะไถ่ถามอะไร ใครให้มาทำอะไรก็ทำ สนุกเพลินไปกับการพูดคุยกับเพื่อนๆ เสียมากกว่าเลยตกข่าวเด็ด ไม่ได้รู้เลยว่าใครเป็นใคร ณ ที่แห่งนี้ ในเวลานั้นดวงตาประกายเหล็กมีร่องรอยของความรื่นรมย์แพรวพราว ขณะกวาดมองไปรอบๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แว่บหนึ่งที่แลผ่านใบหน้าบางใสที่ยังอ้าปากค้าง จ้องมองมายังเขาด้วยดวงตากลมแป๋วนั้น ทำให้ดวงตาประกายเหล็กมีประกายวูบวาบขึ้นมาแว่บหนึ่งอย่างสนุกสนาน แต่เพียงแว่บเดียวเท่านั้นไม่มีใครทันสังเกตเห็น นอกจากดวงตากลมโตที่จ้องมองมาอยู่แล้ว ตอนนั้นเด็กสาวแทบจะลุกขึ้นเต้นร้องกรี๊ดๆๆๆๆ ให้สุดเสียง

"นายนายสิงห์ อีตาบ้าบ้าบ้าซุปเปอร์บ้า..อี๊ย..ขัดใจจริงเชียวทำตาหลอกเราด้วย..อี๊ย..อี๊ย..โอ๊ย..อยากฆ่าคน"

ใบหน้างามนั้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เท้าเล็กๆ ขยับไปมาบนพื้น นั่งบิดไปบิดมาอย่างอยู่ไม่สุข นิรัชราหันมาทำหน้าแปลกๆ

"นุชเป็นอะไรไปเปล่า นั่งยุกยิกๆ"

อรนุชยิ้มออกมาอย่างแห้งแล้งสุดเฝื่อนเต็มที ส่ายหน้าไปมา กล่าวอุบอิบอย่างเข่นเขี้ยว

"ไม่มีอะไรมดมันกัดน่ะ"
"ต๊าย..เหรอไหนๆๆ"

สาวสวยหน้าใสทำท่ากลัว ยกแข้งขาเป็นพัลวัล หันซ้ายหันขวา อรนุชปรายตาไปยังร่างสูงที่กำลังยืนถือไมโครโฟนกล่าวต้อนรับคณะกองประกวด แล้วกระซิบเสียงฮึ่มๆ ในลำคอ

"นิดไม่ต้องกลัว แค่มดหน้าหมีตัวหนึ่งน่ะ นุชเหยียบมันตายไปแล้ว"

นิรัชราค่อยโล่งอก ก่อนจะนึกขึ้นได้ถามด้วยเสียงขำๆ

"มดอะไรของนุชน่ะชื่อแปลกๆ"

ดวงตากลมโตขุ่นเขียว มองไปยังร่างสูงที่พูดแจ้วๆ แค่นหัวเราะออกมา

"อ๋อ..มดเจ้าเล่ห์น่ะมดพันธุ์นี้ร้ายกาจเหลือเกิน นิดจำไว้นะเจอทีไรต้องฆ่าให้ตายฆ่าให้ตาย"

คนที่กำลังจีบปากจิ๊บๆนั้นพูดไปพลางขยี้เท้าไปพลาง ท่า ทางคันไม้คันมือ นิรัชรานึกว่าเพื่อนพูดเล่นเลยหัวเราะกิ๊ก ยกมือขึ้นตีไปที่แขนของอีกฝ่ายเบาๆ

"บ๊องส์ใหญ่แล้วนุชเนี่ย"

จากนั้นสาวน้อยผู้มาจากเชียงใหม่ก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก นั่งทำตาปรอยๆฟังเสียงทุ้มๆของร่างสูงที่กำลังเล่าความเป็นมาเป็นไปของปาง ห้วยสักอย่างสนใจ ขณะที่อรนุชอยากจะวิ่งออกไปจากศาลาหลังนั้นแทบขาดใจแต่ก็ไม่กล้า เลยแกล้งนั่งหลับตาทำท่าหลับไปทันที มิไยที่นิรัชราจะหามาทำตาโตสะกิดเรียก เด็กสาวร่างบางก็ไม่สนใจ ทำเสียง ฮื้อ น่าเบื่อจะตาย ง่วงจะนอน จนเพื่อนอ่อนใจได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

ตอนหนึ่งของการพูดของเจ้าของปางห้วยสัก ที่เบื้องหน้าของคนทั้งหมดมีแผ่นกระดานใหญ่ที่แปะรูปถ่ายทางอากาศถึงสภาพ ภูมิประเทศของเทือกเขาโดยรอบ คมศรชี้มือไปยังภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นสภาพของป่าไม้ที่ถูกโค่นล้มอย่างผิด กฏหมายจนเตียนโล่งไปหมด

"อย่างที่เห็นน่ะครับ ถึงแม้ว่าเราจะพยายามอนุรักษ์ธรรมชาติกันไว้อย่างเต็มที่ แต่ผืนป่ามันก็ลดน้อยลงไปเยอะ ผมจึงเห็นด้วยกับแนวความคิดของอาจารย์ทั้งหลายจริงๆ ครับที่จัดให้มีกิจกรรมปลูกป่าครั้งนี้ และให้น้องๆ ที่น่ารักมาร่วมกิจกรรม"

คำพูดทุ้มนุ่มนวลนั้นทำเอาคุณลุงคุณป้าทั้งหลายยิ้มแก้มแทบปริ ขณะที่สาวๆ ร้องกิ๊วก๊าวกันเป็นการใหญ่ จะมีก็แต่เพียงอรนุชคนเดียวในที่นั้นที่ลืมตาจากการแกล้งหลับมาทำหน้าตูม ค้อนควักดินฟ้าอากาศไปตามเรื่องตามราว เบะปากงามอย่างหมิ่นๆพึมพำ

"เช๊อะ น่ารักตายล่ะ ให้คนอื่นมาเหนื่อยปลูกต้นไม้ในพื้นที่ของตัว แต่ตัวเอาไปใช้ประโยชน์หาเงินเข้ากระเป๋า อี่โธ่เอ๊ย ไปหลอกเด็กอมมือเถอะ"

นิรัชราได้ยินแว่วๆ หันมาทำตาโต ดุเพื่อนที่เธอสนิทที่สุดในบรรดาตัวแทนจากนักศึกษาทั่วประเทศ

"ตายแล้วนุชจ๋า ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะจ๊ะ พื้นที่ที่เราจะไปปลูกป่าไม่ใช่พื้นที่ของคุณคมศรสักหน่อย ปางห้วยสักของคุณคมศรนี่เขาเป็นกันชนกับพวกตัดไม้ทำลายป่า พื้นที่ที่เราจะเข้าไปปลูกน่ะอยู่เลยเข้าไปทางป่าสงวนที่ถูกลักลอบตัดจ้า"

อรนุชหันรีหันขวางอย่างหงุดหงิด ก่อนจะโพล่งออกไป

"แต่ แต่ นายนี่ก็ได้ประโยชน์อยู่ดี ได้หน้าไง พวกเราสิเหนื่อย"

สาวน้อยหน้าใสจากเชียงใหม่ ยิ้มน่ารัก ส่ายศีรษะอย่างระอาใจ กล่าวว่า

"โธ่ คุณคมศรเขาจัดการทุกอย่าง ลงทุนลงแรง กล้าไม้ที่เตรียมเอาไว้เขาลงทุนเป็นเงินหลักแสนเชียวนะ ยังเปิดห้องพักให้พวกเราพักฟรี เที่ยวฟรี เลี้ยงฟรี ไม่ต้องมีของตอบแทน นักข่าวอะไรก็ไม่ต้องขอมาให้ทำข่าว อย่างนี้นุชจะว่าอะไรเขาอีกจ๊ะ"

อรนุชอยากจะร้องกรี๊ดออกมาดังๆ..โอ๊ย..อะไรกันเนี่ยทำไมใครๆ..ก็เข้าข้างนายหน้าหมีนี่กันหมด

"แหม นิดนี่รู้ดีจริงนะ ละเอียดยิบเชียว"

สาวน้อยร่างเล็กค่อนให้ ใบหน้างอนๆ นิรัชราหัวเราะคิกคัก

"อะไรกันจ๊ะ เขาพูดกันออกแซ่ด นุชต่างหากไปอยู่ไหนมา ตกข่าวใหญ่แล้วเราน่ะ"

ตอนนั้นเองที่การบรรยายอย่างสั้นๆ รวบรัดได้ใจความก็จบลงพร้อมกับเสียงปรบมือกราวใหญ่ นิรัชราเลยละความสนใจกับอรนุชไปแค่นั้น ผสมโรงตบมือแปะๆๆๆๆ ไปกับพรรคพวกที่นอกจากจะปรบมือแล้วยังส่งเสียงกิ๊วก๊าวกันแสบแก้วหู คมศรยิ้มกว้างก้มศีรษะรับการปรบมือ สายตาแลไปเรื่อยๆ ก็แลเห็นร่างเล็กนั่งจุ้มปุ้กหน้างออยู่คนเดียว ใบหน้าคร้ามคมนั้นยิ่งฉีกยิ้มกว้างขึ้นไปอีก ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังๆ ตอนนั้นกล่าวเชื้อเชิญ

"ผมว่าได้เวลาแล้วครับ เราลงมือกันดีกว่า ยังต้องนั่งรถเล็กเข้าไปอีกเป็นระยะพอสมควร แดดร้อนมากไปจะทำงานไม่สนุก"

ร่างสูงกำยำพูดจบก็ก้มศีรษะให้อีกครั้งก่อนจะเดินนำออกไป โดยมีคณะกองประกวดเฮโลตามไปเป็นพรวน ซึ่งนิรัชราก็หันมาจูงข้อมือเล็กบางของอรนุชที่นั่งหน้างออยู่

"เอ้าไปกันได้แล้ว เอ ทำไมเช้านี้นุชแปลกๆ เฮี้ยวใครกันจ๊ะ"

อรนุชได้แต่ถอนหายใจเฮือกๆ ปล่อยให้เพื่อนเดินจูงมือตามคณะไป พร้อมๆ กับ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจ ฝากไว้ก่อนเถอะ นายหน้าหมี ฉันจะเอาคืนให้สาสม เสี่ยเซี้ยงนั่งยิ้มกระหยิ่มอย่างใจเย็น ขณะที่เสี่ยทองที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามภายในห้องรับแขกของบ้านเสี่ยโฉด ตอนนั้นผู้มาเยือนมีสีหน้าร้อนรน ใบหน้าอูมนั้นมีวี่แววคาดหวัง หลังจากผ่านการครุ่นคิดมาทั้งคืน เสี่ยร่างอ้วนก็โทรเข้ามาขอนัดพบกับจ้าของบ้าน โดยรอจังหวะให้คันธรสนั้นออกไปทำงานแล้ว

"เสี่ยเซี้ยงเราไม่ใช่คนอื่นคนไกล ผมเดือดร้อนจริงๆ เสี่ยเห็นใจผมหน่อยสิครับ"

Hew โพสเมื่อ 2011-2-1 08:15
ร่างใหญ่กำยำนั้นสั่นไปตามแรงหัวเราะที่ดังร่วนอารมณ์เหลือเกิน

"เสี่ยทอง ไอ้เรื่องที่เสี่ยขอผมน่ะมันใช่เรื่องเล็กๆ ที่ไหนกันล่ะครับ เสี่ยลองคิดดู ถ้าเป็นเสี่ยเองล่ะ มีคนขอให้เสี่ยประเคนแฟนตัวเองใส่พานให้ผู้ชายคนอื่น จะให้ตัดสินใจง่ายๆ เลยหรือครับ ฮ่ะฮ่ะ"

เสี่ยหน้าอูม ทำใบหน้าปั้นยาก คิดในใจ ไอ้เซี้ยงทำมาเป็นเล่นลิ้น ถ้ามึงหวงจริงป่านนี้ไล่กูออกไปนอกบ้านนานแล้ว ไม่ใช่มานั่งหัวเราะเหมือนไอ้บ้าอย่างนี้หรอก ชะ แม่งเล่นตัวเรียกร้องค่าตอบแทนล่ะสิ

"ผมเดือดร้อนจริงๆ กำลังเข้าตาจน ไม่งั้นผมไมบากหน้ามากวนเสี่ยอย่างนี้หรอกครับ"

ต่อหน้าเสี่ยทองได้แต่พยายามระงับอารมณ์ขอร้อง ขณะที่เสี่ยเซี้ยงกระหยิ่มยิ้มในใจ เพราะอ่านสายตาของอีกฝ่ายออกว่ามันกำลังร้อนรุ่มเพียงไร ชะ ไอ้ทอง จะให้กูช่วยมันก็ต้องมีของแลกเปลี่ยนเนื้อๆ หน่อยสิวะ แต่เนื้อแท้ที่จริงแล้วนอกเหนือจากผลประโยชน์ที่กำลังจะตักตวงได้จากโอกาส ตรงหน้านั้น

เสี่ยโฉดกำลังลิงโลดใจสุดๆ เพราะแผนการที่เสี่ยร่างอ้วนมาเผยให้ฟัง มันทะลุปรุโปร่งในกลมสันดานอันเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย แผนการณ์ต่อเนื่องเป็นฉากๆ ตามติดมายิ่งต่อเนื่องไปมากกว่าตัวเสี่ยทองคนต้นคิดเสียอีก ใบหน้าของเสี่ยโฉดที่กระหยิ่มยินดีสุดๆ นั้นจึงเป็นทั้งแรงบวกกับผล ประโยชน์เบื้องหน้า กับรางวัลอันล้ำค่าที่รอคอยอยู่ในอนาคตอันใกล้ ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เสี่ยเซี้ยงตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น อูว์ สุดยอด ขอบใจเว้ยไอ้ทองที่เสนอแผนเด็ดๆ ให้กับกู ตอนนั้นเสี่ยร่างอ้วนมีใบหน้าตัดใจ กัดฟันพูด

"ถ้าเสี่ยยอมช่วย ผมให้หุ้นของโรงแรมผมเป็นค่าตอบแทนเสี่ย ห้าเปอร์เซ็นต์"

ในบรรดาผู้ที่ถือหุ้นหลายรายที่ร่วมกันกับเสี่ยทองก่อตั้งบริษัทโรงแรมใน เครือปาร์ลมบีช เสี่ยทองนับเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่มีหุ้นในมือกว่าหกสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ตอนนั้นเพื่อเป็นการต่อชีวิตให้กับกิจการของตนเอง เสี่ยร่างอ้วนจึงยอมตัดใจยกหุ้นห้าเปอร์เซ็นต์ให้กับอีกฝ่ายเป็นข้อแลก เปลี่ยน ซึ่งในความคิดของเสี่ยทองนับว่าตัดใจอย่างมากแล้ว แต่ปฏิกิริยาของเสี่ยเซี้ยงนั้นแค่เลิกคิ้ว เหยียดริมฝีปาก

"ผมหูฝาดไปหรือเปล่า เสี่ยทอง เสี่ยคิดว่าคนระดับคุณคันธรสไฮโซสาวชื่อดังควรจะมีค่าเท่าไหร่กัน"

เสี่ยทองพยายามระงับใจที่พล่านดาลเดือด ฝืนยิ้มแห้งแล้งกล่าวว่า

"ผมแค่ต้องการได้รูปไปแบล็กเมล์ไอ้ปานเทพ คุณรสก็คงไม่ได้สึกหรอไปสักเท่าไหร่ ห้าเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าหุ้นมันมากแล้วนะครับ เสี่ยเซี้ยง"

เสี่ยโฉดหัวเราะกระหยิ่ม ยื่นมือแบออกไปตรงหน้าทั้งคู่ เสี่ยทองตาเบิกโพลง กล่าวเสียงตะกุกตะกัก

"เสี่ย เสี่ยหมายความว่า"
"สิบเปอร์เซ็นต์ ไม่มีการต่อรอง"

เสี่ยเซี้ยงกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย เสี่ยทองตัวสั่นเทิ้ม เขามีหุ้นในมือหกสิบห้า ถ้าตัดไปสิบเหลือแค่ห้าสิบห้า มันหมิ่นเหม่ต่อการสูญเสียอำนาจในการบริหารไปเหลือเกิน

"เสี่ยเซี้ยงขอให้เห็นแก่ไมตรีของเรา ผมกับเสี่ยคบกันมานานนะครับ"

เสี่ยโฉดยิ้มกริ่ม

"ผมยอมให้ก็เพราะเห็นแก่มิตรภาพของเรานะครับเสี่ยทอง ถ้าไม่อย่างนั้นผมคงไล่ตะเพิดเสี่ยไปแล้วล่ะ"

เสี่ยอ้วนแผดด่าโคตรเหง้าของเสี่ยเซี้ยงอยู่ในใจ ดวงตานั้นพล่านไปด้วยความเกรี้ยวกราด แต่เพราะตกอยู่ในสภาพไม่อาจต่อรองได้มากนัก สมองอันเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายครุ่นคิดวูบวาบอย่างหนัก เอาวะ กูขอให้ผ่านตอนนี้ไปก่อน ค่อยหาทางเอาคืนทีหลังก็ได้ และความคิดหนึ่งที่สว่างวาบขึ้นมา ดวงตานั้นทอประกายหื่นกระหาย ใบหน้าอูมนั้นก็ตัดใจว่า

"ผมยอม แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่ง"

เสี่ยเซี้ยงหัวเราะ

"อะไรหรือเสี่ยทอง"

เสี่ยอ้วนใบหน้าอูมนั้นมีแววอันกระหาย แลบลิ้นเลียปาก

"ผมขอกับ คุณรสด้วย"

เสี่ยโฉดครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็หัวเราะก๊ากใหญ่

"ฮ่าฮ่า ก็อย่างที่เสี่ยพูด เราคบกันมาตั้งนาน นิดๆ หน่อยๆ ทำไมจะช่วยกันไม่ได้ล่ะครับ ฮ่าฮ่า"

เสี่ยทองผสมโรงหัวเราะด้วย เพราะอย่างน้อยแผนการณ์ก็เดินมาตามที่ตั้งใจ แม้จะต้องตัดใจสูญเสียค่าตอบแทนที่เกินกว่าที่คิด แต่กระนั้นก็ไม่ถึงกับขาดทุนซะทั้งหมด ท่ามกลางเสียงหัวเราะอันเต็มไปด้วยความชั่วร้ายของสองเสี่ยโฉด ดวงตาสองคู่ในเวลานั้นมันเต็มไปด้วยประกายอันกระหายหิวในตัณหาราคะ!!!

เนื่องเพราะกว่าจะได้หลับก็เกือบใกล้รุ่งแล้ว ทำให้กว่าที่อรอุษาจะตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาเกือบเก้าโมงเช้า ดีที่ว่าวันนี้เธอไม่ต้องไปสอน แต่ถึงกระนั้นพอสะดุ้งตื่นเด็กสาวก็รีบลุกขึ้นไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาทันที หลังจากอาบน้ำเสร็จพอเห็นใบหน้าตัวเองในกระจกที่โต๊ะแป้ง เด็กสาวก็ต้องแลบลิ้นออกมาอย่างตกใจ เพราะตอนนั้นดวงตาคู่งามของเธอค่อนข้างช้ำอันเนื่องมาจากฝันร้ายเมื่อคืนวาน

เนื่องจากรู้ว่าถ้าลงไปสภาพนี้คงไม่พ้นถูกซักจากป้าเอียดแน่ๆ ทำให้อรอุษาตัดสินใจเปิดลิ้นชักหยิบตลับคอนซีลเลอร์ขึ้นมาแต้มที่ใต้ตาก่อน จะโรยแป้งปัดๆ จนรอยหมองคล้ำนั้นจางไปเยอะ ก่อนจะพยายามทำตัวให้สดใสขึ้นโดยการเลือกเสื้ออยู่กับบ้านสีเหลืองอ่อนๆ แขนกุดที่อวดผิวผ่องของเธอตรงหัวไหล่กลมมนไล่ไปตามต้นแขนอันบอบบางยาวเรียว งามนั้นจนกระจ่างตา หลังจากสำรวจดูความเรียบร้อยของหน้าตาจนแน่ใจว่าจะไม่มีร่องรอยอะไรแล้ว เด็กสาวค่อยเดินออกไปจากห้อง

ป้าละเอียดได้ยินเสียงกุกๆ กักๆ ในห้องของเด็กสาวอยู่นานแล้ว เลยมายืนรอรับตรงบันไดชั้นล่าง ซึ่งอรอุษาเดินแกมวิ่งมาพร้อมกับออกตัว

"เมื่อคืนดูหนังสือดึกไปหน่อยค่ะ วันนี้ษาเลยนอนตื่นสาย"

ป้าละเอียดยื่นมือไปกุมข้อมือบางของเด็กสาว ยิ้มให้

"วันนี้คุณษาไม่ต้องไปสอนไม่ใช่หรือคะ ตื่นสายหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร แล้วนี่หิวหรือยังคะ เช้านี้ป้าทำข้าวต้มทรงเครื่องไว้ให้ค่ะ"

อรอุษายิ้มน่ารักพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ข้างในด้วยสีหน้าอัน แจ่มใส เดินเกาะตัวของแม่บ้านไปอย่างประจบตรงไปยังห้องอาหาร

"แหมแค่ได้ยิน ษาก็ท้องร้องแล้ว"

ป้าละเอียดได้ยินก็ชื่นใจ รีบส่งเสียงไปก่อนตัว

"เอ้า เด็กๆ เตรียมโต๊ะได้ คุณษาจะรับข้าวต้มแล้ว แหม เสียดายจังคุณนุชไม่อยู่ รายนั้นชอบข้าวต้มทรงเครื่องที่สุด"

อรอุษาที่เดินไปพลางยิ้มไปพลาง ได้ยินคำพูดนั้น ส่งผลให้ดวงตาคู่งามหม่นประกายวูบขึ้นทันที แต่ป้าละเอียดที่กำลังคุมเด็กๆ จัดโต๊ะไม่ทันได้เห็น ทานข้าวเช้าเสร็จ ขณะที่ป้าเอียดง่วนไปกับงานบ้านอื่นๆ เด็กสาวที่กำลังเบื่อๆ ไม่มีอะไรทำก็เดินไปนั่งที่เรือนกล้วยไม้ หยิบตำรามาเตรียมการสอนไปแกนๆ แต่ในใจนั้นไม่มีสมาธิความพร้อมในงานตรงหน้าเลย บ่อยครั้งที่ดวงตากลมโตนั้นเหม่อมองใจลอย และเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นแทรกภวังค์แห่งความเหม่อลอยนั้นเอง ทำให้อรอุษาสะดุ้งสุดตัว เอื้อมมือไปรับ พบว่าเป็นเบอร์ใครแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เอ พี่ไอซ์โทรมาทำไม

"พี่ไอซ์หรือคะ ษาพูดค่ะ"

เสียงใสของพริตตี้สาวดังมาจากอีกด้านหนึ่ง

"อ้าว วันนี้ษาไม่ได้มาที่มหาลัยหรือจ๊ะ"
"ค่ะ พอดีวันนี้ไม่มีสอน พรุ่งนี้ก็ไม่มีนะคะ จะไปอีกทีก็วันมะรืน ไม่ทราบว่าษาจะช่วยอะไรพี่ไอซ์ได้บ้างหรือเปล่าคะ"

อรอุษากรอกเสียงอ่อนหวานลงไป เด็กสาวยังจำได้เสมอว่าอีกฝ่ายนั้นเคยช่วยขับรถมาส่งเธอที่บ้านอยู่ช่วง หนึ่ง ถ้าเธอจะตอบแทนอะไรได้บ้างอรอุษาก็ยินดี

"ไม่มีหรอกจ้ะ วันนี้พี่ได้ตั๋วคอนเสริต์มาสองใบ เลยอยากจะชวนษาไปฟังเปียโนกัน คณะนี้เขามีชื่อมากเลยนะ"

พริตตี้สาวเอ่ยนามคณะดนตรีคณะหนึ่งที่กำลังเดินทางมาเปิดคอนเสริต์รอบพิเศษ ให้กับสภากาชาดเพื่อหารายได้สมทบทุนให้กับมูลนิธิสายใจไทย ซึ่งอรอุษาเองเป็นผู้ใฝ่ในการดนตรีอยู่ก่อนแล้ว แค่ฐิติพรรณเอ่ยปากเธอก็รู้ว่าเป็นคณะดนตรีคณะไหนกำลังมาเปิดคอนเสริต์ที่ เมืองไทย ดวงตากลมโตของอรอุษาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น ความเหงาที่เกาะกินใจ ทำให้เธอรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาทันที อย่าว่าแต่งานแสดงดนตรีเป็นกิจกรรมโปรดของเด็กสาวตลอดมา

"เหรอคะ..แหม..ดีจัง..ษากำลังเบื่อๆอยู่พอดี อยากไปจังค่ะ..อุ๊ย..แต่..แต่ไม่เป็นการรบกวนพี่ไอซ์นะคะ..ษาเกรงใจจัง"

พอรู้ตัวว่าแสดงความยินดีจนเกินงามทำให้เด็กสาวหน้าแดง ตอนท้ายต้องรีบออกตัวอย่างขัดเขิน ก่อนจะค่อยคลายใจลง เพราะเสียงหัวเราะใสของฐิติพรรณดังตอบมา

"โธ่ ถ้าพี่คิดว่ารบกวนแล้วจะมาชวนษาหรือจ๊ะ ตกลงไปนะ คอนเสริต์เริ่มบ่ายโมงตรง เดี๋ยวพี่ไปรับที่บ้านนะจ๊ะ เราไปหาอะไรกินอร่อยๆ กันก่อนแล้วค่อยไปฟังคอนเสริต์กัน"
"ค่ะ..ษาจะรอ..ขอบคุณพี่ไอซ์มากค่ะ"

อรอุษากล่าวเสียงอ่อนหวาน ก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้าไปที่บ้านด้วยอาการที่ร่าเริงทางด้านฐิติพรรณที่วางหู ลงนั้น ดวงตาคู่งามของเด็กสาวสาดประกายวาววับ

"นังเด็กหน้าซื่อ อยากมาสะเออเรื่องฉันนัก โทษทัณฑ์ที่พี่เธอต้องได้รับ เธอก็มาเอาไปแทนให้สาสมกับความงี่เง่าที่รนแส่หาเรื่องของเธอเองก็แล้วกัน"

ในโสตประสาทของพริตตี้สาวยังก้องคำพูดของชายตัวโตที่เข้ามาแทรกกลางขัดแผนการณ์ของเธอที่ล่อลวงอรนุชไปให้ชิดกับพวกรุมโทรมในวันนั้น

'โดยเฉพาะน้องสาวคุณ ต้องขอบคุณเขาให้มาก ถ้าไม่ได้เขา ผมก็คงตามมาหาคุณไม่ทัน'

ดวงตาของฐิติพรรณวาวโรจน์ เมื่อได้ยินเสียงตอบจากปลาย ทางเมื่อเธอต่อสายไปยังอีกเบอร์หนึ่งโดยทันทีหลังจากวางสายจากอรอุษา

"ไอซ์หรือจ๊ะ แหมพี่ดีใจจัง ไม่นึกว่าน้องไอซ์จะโทรมาหา"

ปากงามของฐิติพรรณเหยียดยิ้มอย่างเหยียดหยาม แต่เสียงที่กรอกลงไปนั้นหวานใส

"พี่ศักหรือคะ ไอซ์โทรมากวนหรือเปล่าคะ?"
"โอว์..ไม่..ไม่เลย..พี่ดีใจเหลือเกินต่างหากที่น้องไอซ์ยังนึกถึงพี่อยู่"

เสียงของจิ้งจอกสวาทดังมาอย่างระรื่น ขณะที่ดวงตาของพริตตี้สาวลุกโชติช่วงราวกับมีเปลวเพลิงอยู่ภายใน ปากบางของเธอกลับกรีดเสียงลงไปอย่างอ่อนหวาน

"ไอซ์มีเรื่องรบกวนหน่อยค่ะ"

ความขัดกันระว่างน้ำเสียงกับสีหน้าแววตานั้น มันเปล่งประกายแผ่ซ่านอะไรบางอย่างออกมาจากเรือนร่างที่ควรจะงามยวนใจสำหรับ คนที่มีโอกาสมองเห็น แต่ ณ วินาทีนั้นความเยือกเย็นอำมหิตที่ปกคลุมสีหน้าแววตาของเธอมันได้บดบังภาพ แห่งความสดใสไปจนหมดสิ้น หลงเหลือไว้แต่เพียงความกลิ่นอายของความน่าหวาดหวั่นน่าสะพรึงกลัวเท่า นั้น!!!

ดวงตาของเสี่ยคิ้มเปล่งประกายวูบวาบอย่างสะใจ ขณะที่กรอกเสียงตอบลงไปอย่างกระตือรือร้น

"โอว์..ไม่เป็นไร ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณน้องไอซ์"

เสียงของฐิติพรรณดังกังวานใสตอบมา

"แล้วไอซ์จะติดต่อเสี่ยกลับมาอีกทีนะคะ เรื่องคงคืบหน้าไปเร็วๆ นี้แหล่ะค่ะ"
"ครับ ผมจะรอฟังข่าวดีจากน้องไอซ์"

เสี่ยคิ้มกระซุ่นตอบ ใบหน้าที่ไว้เคราคางแพะเต็มไปด้วยประกายแห่งความสาสมใจ ที่เวลาแห่งความแค้นที่อัดอั้นตันใจกำลังจะได้รับการสะสางแล้ว หลัง จากวางสายจากพริตตี้สาวไปแล้วเสี่ยนักค้าทองและอัญมณีก็นั่งครุ่นคิดอยู่ภาย ในอพาต์เมนท์ที่พักของตนเองอีกครู่หนึ่ง ดวงตานั้นเปล่งประกายวูบวาบน่ากลัว ก่อนที่จะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

"ตามไอ้ตี๋กับไอ้ชดมากรุงเทพให้ฉันด่วน ให้บินมาเลย เข้าใจไหม"

เสียงรับอย่างนอบน้อมทางปลายสายก่อนที่เสี่ยคิ้มจะวางหูไป ดวงตาคู่นั้นวาวโรจน์ ไอ้ศักดา คราวนี้แกหนีไม่พ้นมือฉันแน่ ในเวลานั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของเสี่ยคิ้มก็ดังขึ้นอีก เสี่ยตัณหากลับมองดูที่สายเรียกเข้า แล้วต้องขมวดคิ้ว ส่งเสียงออกไป

"เสี่ยทอง มีธุระอะไรกับผมหรือ"

เสียงเสี่ยอ้วนดังระรื่นมา วาจาสั้นๆ รวบรัดได้ใจความประโยคถัดๆ มานั้นแค่ไม่กี่ประโยคก็ทำให้ใบหน้าของเสี่ยคิ้มแดงซ่านไปด้วยเพลิงปรารนา ริมฝีปากสั่นระริก เมื่อกรอกเสียงถามอย่างร้อนรน

"โอว์..เมื่อไร..เมื่อไรครับ..ยอดจริงๆ..ขอบคุณเสี่ยเหลือเกิน..อ๊ะ..แน่ นอนๆ ผมต้องตอบแทนเสี่ยอย่างจั๋งหนับแน่นอน ฮ่าฮ่า แล้วเจอกันครับ"

เสี่ยคิ้มดวงตาซ่านไปด้วยเพลิงกระสัน ควยอวบอ้วนกระดิกตุงเป้า เสี่ยตัณหากลับแลบลิ้นเลียปาก กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างกระหาย ภาพดวงหน้าที่สวยบาดตาของคันธรสลอยเข้ามาในห้วงความคิด อา เรือนร่างอันขาวผ่องเนียนงามไปทั่วตัว ทรวงอกที่อิ่มอวบเป็นเต้าขาวน่าเฟ้นหน้าลงไปคลอเคลีย หน้าท้องที่ผ่องละออตาราบเรียบไร้ไขมันส่วนเกินแม้แต่น้อยนิด และเนินนูนที่ปกคลุมไปด้วยขนละเอียดดำล่อตาล่อใจให้เข้าไปขยำขยี้ อย่างกระหาย ภาพเหล่านั้นในครั้งก่อนๆ ที่เขาทำได้แค่มองดู พร้อมกับถอกควยตัวเองเปลื้องความใคร่ แต่คราวนี้ แค่ในความคิด ก็ทำให้ความกระสันของเสี่ยคิ้มพล่านพลุ่งไปทุกอณูแห่งความรู้สึก ขนทั่วกายของเสี่ยตัณหากลับลุกชันอย่างกระหายหื่น

บริเวณที่ถูกจัดเอาไว้เป็นพื้นที่ปลูกป่านั้น ลึกเข้าไปในพื้นที่ของป่าสงวนซึ่งเส้นทางการเดินทางนั้นรถบัสใหญ่เข้าไปไม่ ได้ เหล่าคณะกองประกวดจึงต้องขนย้ายกันไปขึ้นรถบรรทุกที่เล็กกว่า แล่นผ่านถนนขรุขระเข้าไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบริเวณลานกว้างๆ ที่หลงเหลือต้นไม้ยืนต้นเอาไว้ไม่กี่ต้น นอกนั้นเป็นตอไม้ที่แสดงให้เห็นชัดถึงการถูกคนเข้ามาบุกรุกถากถาง

ทางปางห้วยสักตั้งเต๊นท์อำนวยการอยู่ก่อนแล้ว ข้างในมีที่นั่ง อาหาร เครื่องดื่มเอาไว้รับรองคณะผู้มาเยือน พร้อมกับบริเวณที่กั้นเอาไว้ฉุกเฉินเผื่อเกิดมีใครประสบอุบัติเหตุไม่คาดคิด แสดงถึงการเตรียมการเอาไว้อย่างพรักพร้อมของเจ้าของสถานที่ เมื่อทั้งหมดลงจากรถบรรทุก ต่างก็เข้าไปฟังการสรุปบรรยายสั้นๆ เกี่ยวกับวิธีการทำกิจกรรมร่วมกันในครั้งนี้ บรรดาสาวน้อยทั้งหลายที่แต่งตัวทะมัดทะแมง ทุกคนสวมหมวกปีกกว้างยืนฟังคนร่างสูงสาธยายวิธีการเกลี่ยพื้นที่ ขุดหลุดม และลงกล้าไม้กันตาแป๋ว ใบหน้าคร้ามคมของคมศรมีร่องรอยยิ้มแย้ม เมื่อมองเห็นสีหน้าของสาวน้อยบางคนเริ่มมีสีหน้าท้อใจ เมื่อมองเห็นพื้นที่อันกว้างขวาง และวิธีการที่ตนเองแสดง

"ไม่ต้องห่วงนะครับ เราค่อยๆ ทำกันไปไม่ต้องรีบร้อน เหนื่อยนักก็เข้ามาพักกันก่อน งานหนักๆ จริงก็คือการเกลี่ยดินและขุดหลุม จะมีคนของทางปางห้วยสักดำเนินงานในส่วนนี้ ส่วนน้องๆ ก็ช่วยขุดบ้างก็ไม่เป็นไรครับ ให้เน้นไปที่วางเอากล้าไม้ออกจากเรือนไปเพาะก็แล้วกันครับ เอาล่ะครับถ้าทุกคนเข้าใจแล้วเราก็เริ่มงานกันได้ ทำไปจนถึงประมาณสักสิบเอ็ดโมงก็พอ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น ที่เหลือทางปางจะจัดการต่อเองครับ"

บรรดาคุณป้าคุณลุงที่เป็นผู้ใหญ่ผงกศีรษะยิ้มแย้ม ส่วนกลุ่มคณะสาวน้อยก็เฮโลกันไปรับเครื่องไม้เครื่องมือสีหน้าครึกครื้นแจ่ม ใส จะมีก็แต่อรนุชที่งอนตุ๊ปป่อง แต่ก็ไม่กล้าออกฤทธิ์อะไรให้เป็นที่สังเกตเห็นความผิดปกติ เดินหน้างอตามนิรัชราไปที่บริเวณที่ถูกจัดเตรียมกล้าไม้โดยมีเต็นท์เตี้ยๆ คลุมด้วยตาข่ายสีดำ ซึ่งกล้าไม้ที่ถูกนำมามีหลากหลายพรรณตั้งแต่สัก ประดู่ มะค่าโมง และอื่นๆ อีก โดยมีเจ้าหน้าที่ของปางเป็นคนแนะนำวิธีการกระจายพรรณไม่สลับกันไปให้กับ บรรดาคณะกองประกวดนำไปปลูก

นิรัชรากับอรนุชเดินอุ้มกล้าไม้จากเต๊นท์เดินไปตามแนวที่บางส่วนเห็นได้ชัด ว่าคนของทางปางห้วยสักได้มีเกลี่ยพื้นที่ ถากถางหญ้าไปก่อนแล้วทำให้งานง่ายขึ้นเยอะ แค่เซาะดินให้ร่วน และขุดหลุมลงไป ก่อนจะนำกล้าไม้ออกจากถุงดำวางเข้าไปในหลุมและกลบดิน แต่ถึงกระนั้นพอเริ่มทำไปได้สักพัก งานที่ทีแรกคิดว่าง่ายก็ไม่ง่ายอย่างคิด ถึงแม้จะมีเจ้าหน้าที่บางส่วนช่วยในเรื่องขุดหลุม แต่คนก็ยังไม่พอ บรรดาสาวๆ หลายคนที่ทีแรกทะมัดทะแมงขุดหลุมกันเอง

พอเวลาผ่านไปก็ชักไม่ไหว หน้ามันย่อง บ่นอู้กันไปตามๆ กัน หลายๆ คนเริ่มหมดแรงเดินตุปัดตุเป๋กลับเข้าไปนั่งในเต๊นท์ บรรดาพี่เลี้ยงของแต่ละคน ต่างเข้ามาช่วยดูแลกันวุ่นวายหาน้ำท่ามาให้ แต่สปีริตของคณะนักศึกษาสาวก็นับว่าใช้ได้ เพราะไม่มีใครกินแรงเพื่อน พอนั่งพักคุยกระจุ๋งกระจิ๋งกันให้พอหายเหนื่อยจากนั้นก็พากันเดินกลับออกไป อีก คณะนักศึกษาทำงานกันง่วน สนุกเพลิด เพลินกันไปอย่างดีจนกระทั่งสายๆ หลายคนหมุนเวียนกันไปพักหลายรอบแล้ว นิรัชราเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน ใบหน้าใสนั้นแดงก่ำชวนอรนุชไปพักบ้างก็หลายครั้ง แต่เด็กสาวที่ดูร่างเล็กบางแต่ทะมัดทะแมงทรหดกว่าใครตอบยิ้มๆ ขณะใช้จอบในมือโกยดินออกมาจากหลุม เตรียมฝังกล้าไม้

"ไม่เป็นไร นิดไปพักก่อนเถอะ เดี๋ยวนุชเอากล้าไม้พวกนี้ลงเสร็จแล้วจะตามไป"
"ถ้างั้นนิดขอถอยก่อนล่ะ ไม่ไหวเหนื่อยเหลือเกิน หิวน้ำด้วย นุชก็อย่าหักโหมมากไปนะจ๊ะ พักบ้างก็ได้ แถวของเราน่ะปลูกไปมากกว่าคนอื่นเขาอยู่แล้ว"

สาวน้อยจากม.เชียงใหม่ว่าแล้วก็เดินกลับไปที่เต๊นท์ ถอดหมวกปีกกว้างนั้นมากระพือไล่ความร้อน เลือดที่ไหลเวียนจนแดงก่ำบวกกับอาการ