GhostWriter ภาคเวนิสพิศวาส ตอนที่ 3 Padova & Venezia (Copy kankan)-------------------------
ผมสะดุ้งตื่นเมื่อมีเสียงปลุกจากโทรศัพท์ที่สั่งให้โรงแรมปลุก โมยังนอนนิ่งอิงแอบอยู่ข้างไหล่ ผมผงกหัวขึ้นจูบหน้าผากโหนก ยกหูโทรรับทราบ..เฮ่อ..เจ็ดโมงแล้วซิ พยายามรวบรวมสติให้กลับคืนมาโดยเร็ว ผมกับโมเหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงทั้งอาบน้ำ ทานอาหารเช้า และต้องรีบเดินทางไปสถานีรถไฟให้ทัน เป้าหมายต่อไปของเรา คือ ปาโดวา หรือ ปาดัว (Padova)
"โม...ตื่นเถอะ..." ผมกระซิบพร้อมจูบแก้มหอมเธอ โมขยับตัวแต่ไม่ลืมตา
"เช้าแล้วเหรอ..พี่กาญจน์..." เสียงงัวเงียอ้อแอ้แบบอยากนอนต่อ
"อื้อ..." ผมตอบ..แต่โมก็ยังนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะกิ๊ก ๆ ออกมา แล้วพูดว่า
"หึ ๆ..เมื่อคืนอดเลย..."
"ไว้คืนนี้เถอะไม่รอดแน่...โมเตรียมตัวเถอะ..." ผมพูดแล้วแกล้งขบเขี้ยวเคี่ยวฟันแบบหื่น ๆ ข้างหูเธอ โมลืมตาขึ้นมาดูแล้วหัวเราะแล้วพูดแบบเด็ก ๆ ว่า
"ม่าย..กลัว...ม่าย..กลัว...อิอิ..." แล้วผงกหัวจูบตรงหัวนมผมแล้วถามว่า "มีเวลาปล่าว...พี่กาญจน์..." ผมส่ายหน้าแล้วพูดว่า
"เหลืออีกไม่ถึงชั่วโมงเราต้องรีบอาบน้ำทานอาหารแล้วเดินทางไปขึ้นรถไฟไปปาโดวา..."
โมมองหน้าผมแล้วยิ้มพรายตาเป็นประกายเหมือนดวงดาว
"ไม่โทษโมนะ...?"
"โทษไง...เมื่อคืนโมก็สุดยอดแล้ว..." โมขยับตัวขึ้นมาจูบแก้มผมแล้วรีบลุกขึ้นโชว์ร่างขาวเนียนผ่องไปทั้งตัว
ผมมองร่างงามแล้วอดนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้ ว่ามันน่าแขกกะโหลกตัวเองที่ปล่อยเสียวจนม่อยหลับไปได้ยังไงก็ไม่รู้ ???
โมอาบน้ำเสร็จเดินออกมาผมเข้าไปสวมกอดเธอทันที
"มีเวลาหรือเปล่าละพี่กาญจน์..." ผมส่ายหน้าเพราะเข้าใจในสัญญาณของเธอ โมจึงหัวเราะแล้วดันตัวผมเข้าไปในห้องน้ำ ไม่มีกี่นาทีผมอาบเสร็จออกมาช่วยจัดกระเป๋าและไม่ลืมรวบเอา Ferragamo ไปด้วย โมหันมาเห็นแล้วยิ้ม
"โมกำลังคิดว่าเดี่ยวจะเข้าไปเก็บ...หอมดีจัง..."
ผมจัดการแจ้งให้ทางโรงแรมเสริฟอาหาร สเต๊กชนิดมีเดียมที่เนื้อด้านในเป็นสีชมพูอ่อนเรื่อ สุดยอดของความหวานนุ่ม ชุ่มสุด ๆ ใจ เคียงมาด้วยขนมปัง สลัดผักและซุปอีกสองชนิด ผมกับโมทานกันอย่างเอร็ดอร่อยจนหมดเกลี้ยงทุกจาน โมเงยหน้าขึ้นยิ้มแก้มใสแล้วพูดว่า
"ไม่เคยกินสเต๊กที่ไหนที่อร่อยสุด ๆ แบบนี้มาก่อนเลย กินที่กรุงเทพจานละเป็นพันยังไม่ได้ครึ่งเลย..."
"นั่นซิพี่ติดใจมาก..มาทีไรก็ต้องมาพักที่นี่แหละ..."
เมื่อเราเช็คเอ้าท์เรียบร้อยก็ให้ทางโรงแรมเรียกแท็กซี่ให้จากโรงแรมถึงสถานีรถไฟใช้เวลาไม่นาน แล้วรีบไป Validate ตั๋วให้เรียบร้อย ไม่ถึงสิบนาทีที่เรานั่ง รถไฟเริ่มเคลื่อนออกจากสถานีมุ่งสู่เมืองปาโดวาทันที
ปาโดวา หรือ ปาดัว เป็นเมืองใหญ่ ใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก ถึงสถานีปลายทางเหมือนเดิม ผมจัดการฝากกระเป๋ากับซุ้มรับฝากกระเป๋า เป้าหมายที่ผมพาโมมาที่นี่คือร้าน 'Caffe Pedrocchi' ที่เปิดมาตั้งแต่ ค.ศ.1831 ตัวร้านอยู่ในอาคารเก่าแก่ สวยงามและคลาสสิคเหลือกำลัง
(https://s30.postimg.org/dzsuuviwt/image.jpg) (https://postimg.org/image/dzsuuviwt/)
ผมสั่งคาปูชิโน ส่วนโมสั่งช็อคโกแลตร้อนเข้มข้นแต่นุ่มนวล เราจิบกันอย่างอ้อยสร้อย เพราะยังเหลือเวลาอีกมาก โมชี้ชวนให้ผมมองหนุ่มสาวอิลาเลียนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาดสดใส
"พี่กาญจน์ชอบแบบนั้นหรือเปล่า..." ผมพยักหน้าแล้วพูดว่า
"ช่วงนี้อากาศไม่หนาวมาก โมเห็นปล่าวว่าพวกเราไม่ได้ใส่ตัวหนา ๆ กัน" โมจิบช็อคโกแลตพร้อมกับใช้สายตาสำรวจตรวจตราทั้งผู้คนและเครื่องแต่งกาย
ออกจากร้านกาแฟเก่าคลาสสิค ผมจูงมือโมพาเธอเดินเลี้ยวขวาไปยังจัตุรัส Della Frutta
(https://s23.postimg.org/fy1mvk7hj/02_Della_Frutta.jpg) (https://postimg.org/image/fy1mvk7hj/)
เดินไปเรื่อย ๆ เพื่อดูร้านรวงและผู้คนหลากหลาย แต่ไม่เจอคนไทยเลย เราเดินผ่าน Della Frutta จนถึงจัตุรัส Signori ที่อยู่ถัดไป
"โม..เดี่ยว ๆ ไปเราแวะไปดูอาคารยักษ์ที่ชื่อ Palazzo della Ragione
(https://s23.postimg.org/xm0o0ocfb/03_Palazzo_Della_Ragione.jpg) (https://postimg.org/image/xm0o0ocfb/)
สถานที่นี้เคยเป็นศาลในยุคกลาง และมีภาพ fresco (ภาพวาดปูนเปียก) ที่สวยเหมือนกัน
(https://s23.postimg.org/dygzl7wdz/04_Fresco.jpg) (https://postimg.org/image/dygzl7wdz/)
เข้าไปภายในโมดึงให้ผมหยุดดูเป็นระยะ ๆ ผมคอยอธิบายไปเรื่อยตามที่พอทราบจนมาถึงประตูทางออก
"พี่กาญจน์นี่น่าจะเป็นไกด์ทัวร์นะ...ข้อมูลละเอียดมาก ๆ" โมหันมาพูดแล้วหัวเราะ ผมส่ายหน้าช้า ๆ
"เป็นไกด์ของโมคนเดียวนะ..."
"พี่กาญจน์จำรายละเอียดแม่นจัง..."
"จะไม่ให้จำแม่นได้ไง...โมลืมแล้วเหรอ ซีรีย์ชุด 'รักในเวนิส' เมื่อสองปีก่อนไง..." โมเบิกตาโตแล้วพยักหน้า
"เขียนชุดนั้นพี่อ่านและค้นข้อมูลตั้งแต่อดีต-ปัจจุบันจนทะลุปรุโปร่ง เขียนจนรักเวนิสแล้วอยากมานอนที่เวนิสนี่ไง..."
"อื้อ..จริง..โมลืมไป ชุดเวลานิสของพี่กาญจน์มันสามเล่มใหญ่เลยนี่..." โมเอียงศีรษะมาอิงกับไหล่ผม "นั่นซิ..ดูดีกว่าไกด์อีกโมว่า..."
ออกมาเราไม่ต้องรีบเร่งเดินสบาย ๆ ดูซุ้มโค้ง และกรอบหน้าต่างโค้งสวยสอดรับกลมกลืนและสวยงาม ทะลุตรอกไปโผล่ที่ Signori ผมชี้ให้โมดูหอนาฬิกา Palazzo Del Capitano
(https://s28.postimg.org/fraszb1dl/05_Palazzo_Del_Capitano.jpg) (https://postimg.org/image/fraszb1dl/)
พอโมเห็นเจ้าตัวนาฬิกาชัด ๆ เท่านั้นเธอถึงอุทานออกมาเสียงดัง
"โห..พี่กาญจน์...สวยจังเลย..."
"ถึงพามาดูไง...นี่นาฬิกาดาราศาสตร์นะ แสดงเส้นทางดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ อีกอย่างนะโมมันสร้างเมือ ค.ศ.1344 กี่ปีแล้วโม ?"
ผมหันไปถามเธอยิ้ม ๆ โมนิ่งไปนิดนึงแล้วตอบวา
"โห...นี่ก็..ก้อ..ก็หกร้อยหกสิบห้าปีเข้าไปแล้ว...?" โมเงยขึ้นมองนาฬิกาอีกครั้งอย่างตะลึงและพิศวง "มันยังเดินดีอยู่เลย..."
"แปลกไหมละ สมัยนั้นเขายังสร้างได้ถึงขนาดนี้...น่าพิศวงจริง ๆ" โมพยักหน้าเห็นด้วย
ผมโอบเอวโมเดินต่อไปเรื่อย ๆ แวะดูโน่นดูนี่ไปจนถึงโบสถ์เก่าประจำเมืองที่แสนจะโด่งดัง โบสถ์ใหญ่นี้ชื่อ Duomo ประวัติว่าสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงความเก่า ภายนอกตัวโบสถ์ดูเรียบ ๆ ธรรมดา แต่ภายในมีภาพวาด fresco แบบยุคกลางวาดโดย Menabuoi ซึ่งวาดรูปพระเยซูและเหล่านักบุญล้อมรอบเป็นชั้น ๆ ในวงกลม
(https://s28.postimg.org/x6rh56i6x/image.jpg) (https://postimg.org/image/x6rh56i6x/)
(https://s28.postimg.org/nzc38eeh5/image.jpg) (https://postimg.org/image/nzc38eeh5/)
ภายในตัวโบสถ์ Duomo สำหรับคนรักศิลปะอย่างผมกับโม การได้เข้าไปดูมันเต็มอิ่มและแช่มชื่นอย่างบอกไม่ถูก เดินคลอเคลียดูมุมโน้นมุมนี้ ไม่เหมือนตอนที่ผมมาดูคนเดียวที่ยืนนิ่งเพิ่งพินิจเพื่อซึมซับภาพเข้ามาในใจมีความสุขแต่เหงาอย่างบอกไม่ถูก
จากนั้นผมจูงโมเดินไปดูวิหาร Cappella Degli Scrovegni พาไปที่นี่ก็เพียงให้โมได้ดูฝีมือของนาย Giotto di Bondone ผู้มีประวัติชีวิตอันน่าอัศจรรย์ วิหาร Cappella เรียกกันทั่วไปว่า 'วิหารสีฟ้าของ Giotto' ถือว่าเป็นสุดยอดที่ต้องยกนิ้วโป้งให้แบบไม่ต้องนับ
(https://s28.postimg.org/c091brtex/image.jpg) (https://postimg.org/image/c091brtex/)
การเข้าไปดูมีพิธีการพอสมควร
ทางเข้าเขาสร้างเป็นอาคารทันสมัยใช้กระกระจกเป็นผนัง ตอนผมกับโมยืนรออยู่หน้าประตูที่ปิดสนิท
"ข้างในเขาทำอะไรกันนะ...?" โมถามผมงง ๆ ที่เห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็ก ๆ ก่อนหน้าถูกขังอยู่ภายใน
"เขาแบ่งนักท่องเที่ยวออกเป็นลุ่มเล็ก ๆ ไม่ให้เกิน 20 คน เพราะภาพในวิหารนี้เก่าแก่มากและประเมินคุณค่าไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาและพบว่าลมหายใจของคนก็เป็นอันตรายต่อภาพเขียน
ทางการจึงต้องให้คนที่อยากจะเข้าชมต้องหยุดพักรอเพื่อปรับลมหายใจก่อน เลยมีจัดที่มิดชิดให้นั่งรอและชมประวัติของวิหาร ภายในห้องจะมีการปล่อยอากาศพิเศษพ่นออกมา มีผลให้คนเข้าชมรู้สึกผ่อนคลาย ลมหายสม่ำเสมอสดชื่นและสำคัญคือลมหายใจจะบริสุทธิ์ขึ้น ทุกคนก่อนเข้าต้องอยู่ในห้องนี้ประมาณยี่สิบนาที" โมพยักหน้าหงึก ๆ มองอย่างทึ่ง ๆ
ต่อมาอีกครู่ใหญ่ประตูเข้าวิหารก็เลื่อนเปิดให้คนกลุ่มที่นั่งดูสารคดีจบเข้าไปภายใน จากนั้นประตูที่กั้นก็เปิดออกปล่อยผมกับโมและคนอื่น ๆ ได้เข้าไปนั่งชมสารคดีแทนชุดเข้าไปชมภายใน สารคดีที่ฉายเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติการสร้างวิหารและคุณค่าที่ควรอนุรักษ์เอาไว้ให้กับอนุชนรุ่นหลังดูจนสารคดีจบประตูทางเข้าวิหารก็เปิดปล่อยให้เข้าไปชมภายใน
แค่ย่างเท้าเข้าไปเท่านั้น ผมเห็นโมยืนตะลึงนิ่งมองโถงเพดานสูง มีแต่สีฟ้าเกลื่อนตา โดยเฉพาะหลังคานี่นาย Giotto เอาธรรมชาติเข้ามาไว้ในภาพด้วย โดยแกจำลองท้องฟ้า สวรรค์ ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ลำธารให้มาอยู่รวมกัน และนายคนนี้ได้ชื่อว่าเป็นคนแรกที่เขียนภาพแบบ Perspective ที่มีความลึกแบบสมัยใหม่ เราเดินดูความงามของวิหารอย่างอ้อยอิ่งจนหมดรอบจึงต้องอำลาวิหารสีฟ้าของนาย Giotto อย่างแสนเสียดาย
ผมโอบเอวโมเดินกลับไปยังสถานีรถไฟอีกครั้ง เราจะได้เดินทางไปเป้าหมายสุดท้าย คือ Venice หรือเวนิสพิศวาสของเราสอง จาก Padova นั่งรถไฟสาย Venezia ก็คือเวนิสนั่นแหละ สถานีรถไฟปลายทางของเวนิสคือซานตาลูเซีย ขนาดไม่ใหญ่โตนักเมื่อเทียบกับหัวลำโพง
ระหว่างทางที่รถไฟจะไปเวนิสมีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีทางวิ่งข้ามทะเลไปยังเกาะ ผมเห็นโมเหมือนจะเคลิ้ม ๆ จึงสะกิดให้เธอตื่นขึ้นมาดูช่วงที่รถไฟวิ่งผ่านทะเล
"พี่กาญจน์คล้าย ๆ กับที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เลยนะพี่..."
ผมพยักหน้ารับเพราะครั้งแรกที่ผมเห็นก็คิดแบบเดียวกับเธอเหมือนกัน
ไม่นานรถไฟก็เทียบชานชาลา โมจับมือผมแน่นมองซ้ายมองขวาอย่างตื่นเต้นกับจุดหมายสุดท้ายของเรา เราเดินช่วยกันลากกระเป๋ามานิดเดียวก็ถึงทางออกและได้เห็นคลองของเวนิสอยู่ตรงหน้า "คลอง..." โมอุทานเบา ๆ หัวเราะเหมือนเด็ก ๆ
ผมรีบพาโมเดินไปซื้อตั๋วเรือ Water Bus สาย Actv โดยซื้อแบบเหมาจ่ายเจ็ดสิบสองชั่วโมง ราคาค่าตั๋วสามสิบยูโรต่อคน ได้ตั๋วแล้วผมจูงมือเธอเดินลากกระเป๋ามาออกประตู จากนั้นเดินตรงไปสู่ลานริมคลอง มองไปจะเห็นโป๊ะเรียงกันไปหลายโป๊ะ
"โมเรานั่งเรือสายหนึ่งนะ คอยดูป้ายให้พี่ด้วย" ผมบอกเธอเบา ๆ
"สายหนึ่งหรือพี่กาญจน์ ? โน่นไง..." โมชี้ให้ผมดูป้ายที่ติดตรงเสาแล้วหัวเราะเสียงใส
"สายนี้จะวิ่งเข้าคลองใหญ่ ที่สำคัญคือเรือจอดทุกป้าย โมจะได้เห็นวิวสองฝั่งคลองชัด ๆ เลยแหละ"
โมพยักหน้ารับสายตาเธอวาวโรจน์เปี่ยมฝันจนผมเองก็ใจพองโตไปกับเธอด้วย
เราเดินผ่านที่โป๊ะเรือสายสองก่อนแล้วผ่านไปยังโป๊ะเรือสายหนึ่งที่อยู่ทางขวามือ โมหยุดดูป้ายขนาดใหญ่ที่แสดงเส้นทางเดินเรือ ผมชี้นิ้วไล่ให้โมดูว่าเรือสายนี้ผ่านสะพานริอัลโต จัตุรัสซานมาร์โค รวมทั้งผ่านชุมชนเก่าแก่ในเวนิสทุกแห่ง ไม่ว่าจะพักที่โรงแรมไหนบนเกาะเวนิสเรือสายนี้จะพาไปถึงได้ทั้งหมด เรือจะมาสุดปลายทางที่จัตุรัสโรมา (Piazza Roma)
โมช่วยผมขนกระเป๋าเพื่อขึ้นเรือ รอไม่นานเรือก็เล่นออกจากท่า ช่วงแรกเรือตีวงจากทะเลอาเดรียตริกเข้าสู่คลองที่เรียกกันว่า Grand Canal ก่อน คลองนี้ตัดผ่านเกาะเวนิสจากทิศเหนือลงไปทางทิศใต้ คลองคดไปมานิดหน่อย ที่สำคัญที่สุดคลองนี้ตัดผ่านย่านชุมชนแล้วทะลุออกมาที่ชายฝั่งอีกด้านของจัตุรัสซานมาโคศูนย์กลางเมือง
บนเกาะเวนิสอาคารบ้านเรือนทั้งหมดอยู่เลียบริมคลองตลอดแนวชายฝั่ง ส่วนพื้นดินตัดเป็นตรอกซอกซอยลัดเลาะไปทั่วทั้งเกาะ ที่เหลือก็มีคลองเล็กคลองน้อยไขว้กันไปมามากมาย คลองเองก็มีทั้งขนาดใหญ่และเล็กแตกต่างกันไป คลองเล็กเรือใหญ่วิ่งเข้าไปไม่ได้ก็จะมีเรือ Water Taxi แทน หรือไม่ก็อาศัยเรือกอนโดล่า
"กอนโดล่า..พี่กาญจน์ สวยจังเลย...." โมชี้ให้ผมดูเมื่อเธอเห็นเรือกอนโดล่าแจวผ่านไป
"แล้วเราจะไปนั่งเล่นกัน..." โมหันมามองผมแล้วหรี่ตาพูดว่า
"ทำไมต้องนั่งเล่นด้วย นอนเล่นไม่ได้เหรอ..." พูดออกมาแล้วก็เขินหน้าแดงทำเอาผมหัวเราะคิดถึงภาพเมื่อคืน โมมองสบตาผมครู่หนึ่ง เมินหนีแล้วหันมากระซิบถามที่ข้างแก้มว่า
"คิดไรอยู่โมรู้นะ...."
"รู้ก็ดีแล้ว...เดี่ยวเข้าโรงแรมก่อนเถอะ.."
แก้มโมยิ่งเข้มขึ้นจนไล่มาถึงคอ เธอไม่ตอบแต่เปลี่ยนเรื่อง ชี้ให้ผมดูตึกเก่า ๆ แทน
ตึกพวกนี้เก่าจริง ๆ ไม่ใช่สร้างใหม่แล้วย้อมแมวให้เป็นของเก่า แต่ละหลังมีประวัติและอายุหลายร้อยปี เวนิสเป็นเมืองเก่าคลาสสิคจนได้รับฉายานามต่าง ๆ มากมาย เช่น 'ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก' (Queen of the Adriatic) 'เมืองแห่งสายน้ำ' (City of Water) 'เมืองแห่งสะพาน' (City of Bridges) และ 'เมืองแห่งแสงสว่าง' (The City of Light) ในแต่ละปีผู้คนจากทั่วโลกหลั่งไหลมาเวนิสเพื่อดูตึกเก่า ลำคลอง และบรรยากาศของอดีตหลายล้านคน
โมอุทานเป็นระยะ ๆ กับวิวริมน้ำ ตึกส่วนมากเคยเป็นวังโบราณของเจ้านายทางยุโรป แต่ปัจจุบันกลายเป็นโรงแรมหรู และหลายแห่งได้กลายเป็นแกลลอรี่แสดงภาพ ตึกริมน้ำนี่แหละที่เป็นมนเสน่ห์สะกดจิตตรึงใจคนให้วนเวียนกันมาดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ หนึ่งในนั้นก็คือผม ตอนนี้ก็คงโมที่แสนจะตื่นตาตื่นใจ เห็นแบบนี้แล้วก็อดจะรู้สึกหดหู่กับคลองเล็กคลองน้อยบ้านเราไม่ได้
เรือเมล์ล่องไปตาม Canal Grande จอตามป้ายที่ได้กำหนดเอาไว้ไปเรื่อย ๆ เริ่มตั้งแต่ต้นคลองจนจรดปลายคลอง โมกระซิบบอกผมว่า
"พี่กาญจน์..โมนับท่าเรือทั้งหมดที่ผ่านมามีสิบห้าท่า รวมทั้งท่าเรือริมทะเลด้วยก็เป็นสิบหกท่า"
ผมพยักหน้าแล้วหัวเราะ
"เก่งจัง..พี่นั่งเรือนี้มาเป็นสิบ ๆ รอบแล้วไม่เคยคิดจะนับเลย มัวแต่ชมวิว"
"อิอิ...ชมวิวหรือชมสาวอิตาเลี่ยน..." เธอหันมายิ้มยั่วผมจนตาหยี ผมยื่นนิ้วชี้ไปจิ้มตรงหน้าผากแล้วพูดว่า
"พี่ว่าคนที่ทำให้พี่มองจนหลง..น่าจะเป็นคนนี้มากกว่า..." โมยื่นมือมาลูบคางผมเบา ๆ
"ปากหวานเป็นเหมือนกันนะนี่..นึกว่าเขียนบทรักบทหวานในหนังสือเป็นอย่างเดียว.." แล้วก็หัวเราะ
"ว่าไงที่พี่ถามว่าเดี่ยวเราเข้าโรงแรมกันนะ...?"
"แถวนี้มีม่านรูดด้วยเหรอพี่กาญจน์..." เธอหันมองซ้ายมองขวาจนผมหัวเราะแล้วส่ายหน้าไปมา
"ไม่ใช่ม่านรูด..แต่เป็นโรงแรมที่เราจะไปพัก...แต่พี่ขอพักตลอดบ่ายแล้วค่อยออกมาดูพระอาทิตย์ตก"
โมเอาปลายนิ้วจิ้มตรงแก้มแล้วเขี่ยเบา ๆ
"กะว่าทั้งวันจะให้โมนอนตาลอยมองเพดานอย่างเดียวละซิท่าาา..." พูดจบเอียงศีรษะมาซบไหล่ ผมก้มลงกระซิบกระซาบแผ่วเบา
"ใครบอก..ผลัดการนอนตาลอยมองเพดานดีกว่า..."
"พี่กาญจน์บ้า..." ผมฟังเสียงแผ่ว ๆ เหมือนกลัวคนอื่นได้ยินของเธอแล้วอยากให้เรือมันถึงท่าเสียเร็ว ๆ ไม่ได้ พี่กาญจน์...โมดูไม่เบื่อเลย...." เธอเอียงตัวมองไปด้านข้างแล้วชี้ให้ผมดูโบสถ์หลังใหญ่สวยแปลกตา
"พี่กาญจน์นั่นโบสถ์อะไรนะ..สวยจัง...?"
ผมหันไปดูตามมือชี้ของเธอแล้วอธิบายว่า
"โบสถ์ Church of The Scaizi"
(https://s24.postimg.org/6jf99ndg1/09_Church_Scalzi.jpg) (https://postimg.org/image/6jf99ndg1/)
"สวย..สวยมากจริง ๆ..." โมอุทานอย่างตื่นเต้น
ผมมองสายตาของโมที่มองปฏิมากรรมรายเรียงไปตามจุดต่าง ๆ มีแม้กระทั่งบนหลังคา
"ดูเสาโรมันที่ตั้งเรียงกันเป็นคู่ ๆ ซิ จากชั้นล่างต่อเนื่องไปถึงชั้นสองเลย" โมพยักหน้ารับ แม้เรือผ่านไปเธอยังหันกลับไปมองอย่างสนใจ
เรือเล่นมาถึงสะพานข้ามคลองแห่งแรก สะพาน คือ Ponte สะพานนี้ชื่อ Ponte Degli Scaizi
"สะพานในเวนิสจะมีขนาดเล็กสร้างข้ามคลอง ออกแบบเพื่อให้คนเดินข้ามอย่างเดียว แต่ความโดดเด่นก็คือมัน...แก่.." ผมอธิบายให้เธอฟังไปเรื่อย ๆ พอถึงตรงนี้โมหันมาสวนทันที
"สะพาน..แก่..."
"อ้าว..ไม่แก่ได้ยังไง..มันแก่ซิโม อายุของพวกมันแต่ละสะพานระหว่างสามร้อยถึงสี่ร้อยปีเป็นอย่างน้อย ไม่แก่รึไง..." พูดจบผมหลิ่วตาให้เธอข้างหนึ่ง เป็นเงินล้อเลียน โมหัวเราะแล้วทุบไหล่ผมตุ๊บจนร้องอุ๊ย
โมเงยหน้าขึ้นมองตอนเรือลอดใต้สะพาน เรือเริ่มเข้าเขตชุมชนของเป็นเมือง ยิ่งเข้าลึกไปในเขตเมืองก็จะยิ่งสัมผัสกับมนต์ขลังของเวนิส โลกใบนี้อาจจะมีเมืองเก่า ๆ หลายเมือง แต่เมืองเก่าที่มีแต่คลองคงมีแต่เวนิสแห่งเดียว ทำให้ผมนึกถึงกรุงเทพอีกแล้ว เราถมคลองเป็นถนน บ้านเก่า ๆ เราทุบทิ้งสร้างตึกทรงสี่เหลี่ยมน่าเกลียด เราสร้างคอนโดหลายสิบชั้นริมแม่น้ำแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้คนเขาเรียกเราว่าเจริญหรือทันสมัย ประเทศไทยของเรา จึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่รกตาเมืองหนึ่งของโลกใบนี้
เรือล่องไปอีกไม่นานโมก็ร้อง "ว้าว.." ข้างหูผม
(https://s27.postimg.org/wizumo7f3/image.jpg) (https://postimg.org/image/wizumo7f3/)
"พี่กาญจน์..เรือกอนโดล่าแจวมาแล้ว..สวยจังเลย..."
เรือกอนโดล่าจะเป็นแบบเดียวกันทั้งหมดตัวเรือสีดำ ทรงยาวหัวงอนท้ายงอนใช้แรงคนพายหรือแจว
"พี่ว่า..ถ้าอยู่บ้านเราก็เรือแจวนั่นแหละโม...." โมหัวเราะแล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับผม
ตัวเรือกอนโดล่าแคบพอให้คนนั่งเรียงกันได้สองคนเท่านั้นแต่ราคาเรือลำละเป็นล้าน
(https://s30.postimg.org/66psjr5l9/image.jpg) (https://postimg.org/image/66psjr5l9/)
หนุ่มสาวหลายคู่นั่งอยู่บนเรือโบกไม้โบกมือทักทายพวกเรา โมโบกมือตอบพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างสดใสร่าเริง
ผ่านกลุ่มเรือมาก็เห็นวังเก่าอีกแห่ง ถ้าผมจำไม่ผิดวังนี้ชื่อว่า Palazzo vendramin calergi
(https://s23.postimg.org/y96gsr687/image.jpg) (https://postimg.org/image/y96gsr687/)
ตัวอาคารทาสีขาวชั้นสองมีระเบียงยื่นออกมาประดับด้วยหน้าต่างเว้าทรงสูง อายุของตัววังว่ากันว่ามากกว่าห้าร้อยปีขึ้นไป วังนี้ตามที่ผมเคยสืบค้นประวัติ บอกเอาไว้ว่าเป็นอยู่สุดท้ายของนาย Wagner ผู้ประพันธ์เพลงชาวเยอรมัน
"โมชอบอีตา Wagner คนนี้ไม่ใช่เหรอ ?" ผมถามเธอเบา ๆ โมพยักหน้ารับแล้วพูดต่อว่า
"อีตา Wagner เจ้าของเพลง Wedding March มาตายที่วังนี้เหรอ ? คงตายตาหลับนะพี่กาญจน์นะ..."
"พี่ก็ว่างั้นแหละโม...."
****************
เรือเมล์แวะรับและส่งคนเป็นระยะ ๆ จนมาเจออาคารหน้าตาแปลก ๆ อีกหลัง โมหันมาหาแล้วถามทันที
"พี่กาญจน์หลังนี้ประหลาดจัง..." ผมหันไปมองก็จำได้จึงตอบเธอไปว่า
"นี่คือ Fondaco dei Turchi"
"เป็นวังอีกเหรอพี่กาญจน์ ?"
ผมส่ายหน้าหัวเราะกิ๊กแล้วบอกว่า
"โม..มันเป็นโกดัง Fondco เขาแปลว่าโกดังจ๊ะ..."
"โกดังนี่อ๊ะ..." โมทวนคำแล้วหัวเราะร่วน "โกดังยังมีเสาโรมันเรียงรายเลย จากชั้นหนึ่งขึ้นไปจนถึงชั้นสองและชั้นสาม น่าอิจฉาจัง..."
(https://s27.postimg.org/5w8tidb73/image.jpg) (https://postimg.org/image/5w8tidb73/)
"ในหนังสือเค้าบอกว่าสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 แนะ ตอนสร้างออกแบบเป็นบ้านของเศรษฐี แต่สุดท้ายดันล้มละลายไปซะก่อน ต่อมาก็เลยกลายมาเป็นโกดัง..."
"มิน่าละ..โมว่ามันสวยเกินกว่าจะเป็นโกดัง..."
เราก็มาถึงสะพานอันสุดแสนบรรเจิดแห่งนครเวนิสชื่อ Ponte di Rialto เจ้าสะพานนี่นะโด่งดังเพราะว่ามันเชื่อมจุดศูนย์กลางชุมชน และเป็นจุดที่ Grand Canel สิ้นสุดตรงจุดนี้ สะพานนี้มีอายุเบาะ ๆ ประมาณเจ็ดร้อยปี
"พี่เคยบอกโมใช่เปล่าว่า Ponte แปลว่า 'สะพาน' นะ" โมพยักหน้ามองผมแบบงง ๆ จนผมหัวเราะแล้วบอกเธอว่า
"ก็มาจากคนสร้างสะพานนี้แหละ ตาคนนี้ชื่อ Antonio da Ponte คำว่า Ponte ก็มาจากเค้านี่แหละ" โมหัวเราะร่วนแล้วพูดแบบขำ ๆ มั่งว่า
"สมัยนั้นคงยิ่งใหญ่น่าดูซิท่า..." ผมพยักหน้า
"โมลองคิดดูซิเจ็ดร้อยปีก่อนเขาออกแบบให้สะพานกว้าง แถมเน้นฐานริมตลิ่งให้หนา ตรงกลางบางหน่อยเพื่อเฉลี่ยน้ำหนักให้ไปตกที่ฐาน ไม่ต้องสร้างเสาตอม่อให้เกะกะกลางคลองแม้แต่ต้นเดียว เรือลอดไปมาได้สะดวก..สุดยอดแค่ไหน ?"
(https://s24.postimg.org/jgu65qj41/image.jpg) (https://postimg.org/image/jgu65qj41/)
"ข้างบนสะพานมีร้านขายของด้วยนะ" ผมกระซิบบอกโมเบา ๆ จนโมตาลุกวาว
"เราต้องมาเดินบนสะพานให้ได้นะพี่กาญจน์"
"แน่นอน..ต้องไปอยู่แล้ว..เอาเป็นตอนใกล้ค่ำหน่อย เปิดไฟแล้วจะยิ่งสวยกว่านี้อีกหลายเท่า"
"แล้ววันนี้...เวลาที่เหลือละ..."
"นอนในโรงแรม..." ผมพูดยิ้ม ๆ แล้วแกล้งทำเฉยไม่รู้ไม่ชี้ โมเงียบไปครู่แล้วเอียงศีรษะมาพิงไหล่พูดลอย ๆ ว่า
"คิดอยู่ตลอดละซิ...ที่เสียท่าเมื่อคืน...อิอิ" ผมเองหัวเราะกับน้ำเสียงเย้ายั่วของเธอไม่ได้ แต่ไม่พูดอะไรต่อ
เลยสะพาน Rialto มา บ้านเรือนแต่ละหลังยิ่งสวย พวกวังเจ้าเก่า ๆ เพียบเลย ไม่ไกลเรามาเจออีกสะพานที่ชื่อ Ponte Dell' Accademia เป็นสะพานสุดท้ายก่อนออกทะเลทางด้านใต้ ตัวสะพานทำด้วยเหล็กตอนแรกจะสร้างสะพานหินแต่ก็ทำไม่ได้เนื่องจากคลองช่วงนี้กว้างเกินไป
(https://s24.postimg.org/af5cbjci9/image.jpg) (https://postimg.org/image/af5cbjci9/)
ชื่อสะพานนี้เป็นชื่อเดียวกับแกลลอรีที่เป็นพิพิธภัณฑ์สำคัญที่สุดของเวนิส
พอใกล้ถึงปากแม่น้ำผมชี้ให้โมดูวังเก่าชื่อดัง Palazzo Barbaro และ Palazzo Dario ทั้งสองวังสร้างในศตวรรษที่ 15 สวยงามมาก แล้วยังเป็นที่ที่ Monet เคยมาพักเขียนรูปที่นี่ด้วย "โมเนต์หรือพี่กาญจน์ แกคงมานั่งเขียนภาพ Venice Twilight นะซิ" ผมพยักหน้า
(https://s28.postimg.org/9f9hidk55/17_venice_twilight.jpg) (https://postimg.org/image/9f9hidk55/)
"โมนี่ชอบงานศิลป์จริง ๆ จัง ๆ เลยนะ พี่ว่าโมเป็นผู้รู้คนหนึ่งได้แล้ว..." ผมหันไปมองหน้าเธอแล้วยิ้มอย่างชื่นชม
"โมนี่..ไม่ใช่โมเนต์นะ วาดไม่เป็นแต่ชอบดูอย่างเดียว..แล้วก็ชอบ..โมนี่ชอบงานศิลป์มาก ๆ"
"งั้นพี่เปลี่ยนชื่อให้ใหม่เลยดีกว่า..." โมขมวดคิ้วสงสัย ผมเลยพูดต่อว่า
"อ้าว...ก็ชื่อ 'โมนี่' ไง..ดีกว่าโมเฉย ๆ..." โมหัวเราะดวงตาเป็นประกายสดใส
"แต่ถ้าเป็นโมเฉย ๆ แล้วคงแย่เลย....ก็โมไม่เฉย ๆ นี่นา...." พูดแล้วก็ขำกิ๊ก ๆ หน้าแดงทำให้ผมอยากปล้ำเต็มที
ยิ่งใกล้ปากแม่น้ำเราจะเห็นวิวที่เป็นฉากหลังรูปโดมขนาดยักษ์ของโบสถ์ Santa Maria della Salute
(https://s29.postimg.org/9m5qjt3xf/18_salute.jpg) (https://postimg.org/image/9m5qjt3xf/)
โบสถ์หลังนี้สร้างมาเพื่อบูชาพระแม่มาดอนนา ต่อมามีการแต่งเติมเสร็จจนสมบูรณ์สวยงานเช่นทุกวันนี้
จากนั้นเรือเล่นผ่านปากคลองพาเราออกสู่ทะเล Adriatic (อะเดรียติก) คนละด้านจากที่เราขึ้นเรือ
น้ำไม่ได้ใสแจ๋วเป็นสีฟ้าเหมือนทะเลที่มัลดีฟส์หรอกนะ สีมันขุ่นเหมือนสีน้ำคลองบ้านเรา เรือเริ่มหันหัวเข้าสู่ฝั่งอันเป็นเขตจัตุรัส San Marco ก่อนถึงจะมีเกาะเล็ก ๆ ขวางหน้าอยู่
"เกาะอะไร..เล็กนิดเดียวแต่มีโบสถ์ด้วย...?"
"เกาะชื่อ Isola di S. Giorgio Maggiore ส่วนโบสถ์ชื่อ S. Giorgio Maggiore"
(https://s29.postimg.org/r8qk2azmb/image.jpg) (https://postimg.org/image/r8qk2azmb/)
"พี่กาญจน์โบสถ์นี้นี่เองที่อยู่ในภาพ Venice Twilight ของโมเนต์..ชัดเลย..." ผมพยักหน้า
"ใช่แล้ว..โมนี่..." โมนี่หันมาค้อนให้ผมวงใหญ่ เออ..ตั้งแต่เดินทางร่วมกันมาผมยังไม่เห็นวงค้อนของโมเลยจนถึงตอนนี้ โมเห็นผมมองนิ่งเลยหัวเราะร่วนแล้วพูดว่า
"อ้าว...โมนี่ก็โมนี่..ท่าจะชอบใจมาก..." แล้วยื่นริมฝีปากมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่ "โมนี่...ให้รางวัล..."
ความจริงคนแถวยุโรปนี่การหอมการจูบกันเป็นเรื่องธรรมดามากจนเห็นกันได้ทั่วไป ผมยื่นแขนโอบไหล่โมเอาไว้แล้วก้มลงจูบเรือนผมแล้วคลอเคลียอยู่อย่างนั้น
"เหม็นสาบเปล่า ?...ไม่ได้สระผมเลย..."
"หอมออก...." โมกอดผมเอาไว้แน่น
***************
เรือเริ่มเบนหัวเข้าเทียบท่าหน้าจัตุรัสที่ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ ท่าเรือตรงจัตุรัสมีด้วยกันสองแห่ง ท่าแห่งแรกชื่อ San Marco จะอยู่ก่อนถึงจัตุรัสนิดหน่อย ผมบอกให้โมเตรียมตัวเราจะขึ้นที่ท่านี้เพื่อไปเช็คอินเข้าโรงแรม พอลงเรือก็ช่วยกันลากกระเป๋าเดินตรงเข้าตรอก ตรงหัวมุมจะมีร้านชื่อ Harry's Bar อันแสนโด่งดัง
เล่ากันว่าปู่เฮอร์มิงเวย์เคยมานั่งร่ำสุรา (ไม่แน่ใจว่านารีแดงด้วยหรือเปล่า ?) แกนั่งชมวิวแล้วเอาไปเขียนหนังสือที่ร้านนี้
เราช่วยกันลากกระเป๋ากุก ๆ กัก ๆ เข้าไปในโรงแรมหรูที่ปูด้วยพรมสีแดง ไปหยุดยืนหน้าเคาน์เตอร์ไม้สีเข้มแดงเกือบดำเก่าคลาสสิค คุณลุงผมขาวร่างท้วมใส่ชุดเต็มยศหรูระดับชาติยืนต้อนรับจนเราออกจะเขิน ๆ
โรงแรมแห่งนี้แม้ผมจะมาพักหลายครั้งเป็นโรงแรมหรูเริดคลาสสิคสมราคาที่แสนแพงจริง ๆ
คุณลุงแกจะยืนทำหน้าขรึมอยู่ตลอดเวลา แต่พอเห็นโมของผมยืนทำหน้าบ๊องแบ๊วผมเห็นแกแอบอมยิ้มด้วยความเอ็นดู
"พี่กาญจน์นี่มันโรงแรมไรหว่า..หรูโครต...???" โมพูดเสียงตื่น ๆ
"อึม..โรงแรมชื่อ Gritti Palace จ้า..."
"อยู่ตรงข้ามกับโบสถ์ Santa Maria เลย..." ผมพยักหน้า
"แหม..โมนี่จำแม่นเหมือนกันนะพี่บอกชื่อเพียงครั้งเดียวเอง..." โมหัวเราะแล้วตอบผมว่า
"ก็โมนั่งมองอยู่นานนี่คะ..เลยยังจำได้...ดีป๊ะ..."
"ดี..."
(https://s24.postimg.org/b5bqq1ykh/19_1_Gritti_Palace_Hotel.jpg) (https://postimg.org/image/b5bqq1ykh/)
(มุมมองจากโรงแรม)
(https://s23.postimg.org/kop4j8alz/19_0_Gritti_Palace_Hotel.jpg) (https://postimg.org/image/kop4j8alz/)
เราหันมาคุยกันปล่อยให้พนักงานโรงแรมจัดการกับรายละเอียดต่าง ๆ จนเรียบร้อย
จากนั้นคุณลุงใจดีก็ช่วยโมลากกระเป๋าพาเราไปยังห้องพักบนชั้นสาม
"โมนี่..อย่าลืมทิปให้ลุงด้วยนะ..." ผมกระซิบบอกโมแล้วแอบยัดเงินยูโรให้เธอตอนเดินตามหลังมายังห้องพัก คุณลุงจัดการเปิดประตูแล้วช่วยเราเอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้อง รับทิปจากหนูโมนี่แล้วโค้งให้อย่างงดงามก่อนออกจากห้อง
โมหันไปสำรวจรอบ ๆ ห้อง ส่วนผมเดินไปเปิดผ้าม่านแล้วยืนมองภาพโบสถ์สวยที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
"ห้องสวยจังพี่กาญจน์..." โมเดินมาโอบเอวผมเอาไว้แน่น
"ตอนเย็น ๆ เราจะเห็นเรือเล็กเรือใหญ่วิ่งกันไปมาเยอะเชียว..."
"เหมือนอยู่ในฝันเลยนะพี่กาญจน์..."
"ฝันของใครละคราวนี้โม..."
"คราวที่แล้วเป็นฝันของจูเลียตคนสวย..แต่คราวนี้เป็นฝันของโม.."
"ฝันของโมนี่..." ผมเสริมพร้อมก้มลงจูบเรือนผมของเธอ
โมเงยหน้าขึ้นสบตาผมประกายตาไปด้วยความสุขและดื่มด่ำ
ผมก้มลงจูบตรงหน้าผากโมอีกครั้งไล้มาที่แก้มนวล
"หอมชื่นใจจัง...." ผมกระซิบริมหูเธอเบา ๆ โมเงยหน้าขึ้นยื่นริมฝีปากขึ้นมาปะกบจูบริมฝีปากของผม
ผมเลยก้มลงจูบเธอในท่าของ The Kiss อีกที จูบบดริมฝีปาก แล้วตามด้วยลิ้นตวัดเข้าหากัน ไม่รู้หละ ผมจูบเธอไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าโมเริ่มยืนโอนเอนไปมา เลยสอดมือเข้าไปอุ้มเธอยกขึ้นแล้วเดินไปวางไว้บนเตียงที่ปูผ้าคลุมเตียงสีขาว ตึงเรียบ บรรยากาศภายในห้องตกแต่งหรูหราคลาสสิค
ปล่อยร่างโมลงบนเตียงสะโพกเธอหนุนอยู่กับขอบเตียงขาทั้งสองห้อยลงมาบนพื้น โมปรือตามองผมนิ่ง สายตาไล่มองใบหน้าสีเข้ม แววตาหวานซึ้ง ริมฝีปากเหมือนจะแย้มยั่ว
มองลงมาที่อกภายในเสื้อไหมพรมหนา ไล่สายตาถึงหน้าท้องแล้วมายังกางเกงสีดำผ้าเนื้อดี
ผมโน้มตัวก้มลงจูบตรงยอดอกของเธอนอกเสื้อแล้วขยี้ใบหน้าเฟ้นฟอนเหมือนกระหาย โมขยับตัวนิด ๆ อาจเพราะจั๊กจี้แล้วหัวเราะเบา ๆ ยื่นมือข้างหนึ่งมาคล้องคอผมเอาไว้ ใช้อีกข้างยันที่นอนดันตัวขึ้นนั่งจนผมต้องยืนตัวตรง ผมก้มลงจับชายเสื้อไหมพรมของเธอแล้วรูดออกจากแขน
บราสีฟ้าอ่อนปิดเต้าอวบกลมเนื้อขาวผ่องล้นออกมา ผมสอดมือไปด้านหลังเพื่อจะควานไปปลดตะขอ
โมจับมือผมดึงมาวางยังตรงร่องอก
"ตะขออยู่ตรงนี้..พี่กาญจน์..." เธอบอกผมเสียงแผ่ว
ผมพยายามปลดยังไง ๆ มือมันสั่น นานจนโมหัวเราะแล้วพูดว่า
"โมปลดให้เองดีกว่านะ..." พูดแล้วโมใช้นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือกดยังไงก็ไม่รู้ครอบเต้าแต่ละข้างของเธอดีดผึงออกจากกันทันที เต้านมนวลขาวกลางความสว่างยามฟ้าใสช่วงเที่ยงกว่า ๆ ทำให้ผมเห็นชัดจนละลานตา หัวนมโมเม็ดเล็กจิ๋วสีเข้มประดับบนป้านนมสีไม่ต่างแต่ขนาดโตกว่าเหรียญสิบเล็กน้อย
ผมคุกเข่าลงกับพื้นพรมจมูกผมตรงกับยอดอกที่อวดท้าทายพอดี โมแอ่นอกให้หัวนมของเธอเขี่ยไปมาตรงปลายจมูกและแก้มผม กลิ่นนวลเนื้อของโมช่างหอมกรุ่นรัญจวนเกินห้ามใจจริง ๆ
ผมพยายามขยี้จมูกไล่ตามหัวนม แต่โมก็อยากเล่นเขี่ยปลายจมูกและแก้มของผมต่อไป ประสาทสัมผัสที่ได้รับจากผิวหนังถ่ายทอดเข้าสู่สมองและจิตใจทำเอาผมพล่านได้อย่างน่าอัศจรรย์ "ช้า ๆ นะพี่กาญจน์นะ..ใจเย็น ๆ..." โมบอกผมเสียงกระเส่า ผมไม่ตอบแต่ชักสนุกกับการที่พยายามใช้จมูกไล่ดมหัวนมของเธอ ถูกบ้างผิดบ้างลุ้นดี
แต่ในที่สุดโมโน้มตัวลงนิดนึงใช้มือประคองเต้านมแล้วป้อนหัวนมจ่อตรงริมฝีปากผม
ผมเงยหน้าขึ้นมองเธอเหมือนจะถามว่าไม่อยากเล่นแล้วเหรอ
"ให้รางวัลไง...."
ผมเผยอให้หัวนมสอดเข้าไป เม้มริมฝีปากบีบหัวนมแล้วใช้ปลายลิ้นตวัดเลีย ทำเอาโมสะท้านจนห่อไหล่ ส่งเสียงร้อง "อูววว" ออกมาจากปากให้ยินชัดเจน
ผมเลยอมหัวนมของเธอเข้าไปในอุ้งปากจนลึก ให้ริมฝีปากหนาประกบป้านนมของเธอจนเกือบหมด
เริ่มดูดเน้นหนัก ๆ จนแก้มตอบ โมแอ่นอกหราครางซี้ด ๆ เหมือนกินของเผ็ด
"ซี้ดดดดด....อาาาา....ววววว....."
ผมยิ่งเน้นการดูดให้หนักขึ้นแต่ควบคุมจังหวะให้เป็นช่วง ๆ พอถอนปากออกโมก็ป้อนหัวนมอีกข้างของเธอใส่มาในปากให้ผมดูด ผมก็เลยดูดหัวนมซ้ายทีขวาทีอยู่แบบนั้นอย่าง โดยไม่สนใจว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ โมผวาแอ่นอกหราหน้าเชิดบดเนื้อนมกับปากผม ปากส่งเสียงซี้ดกระเส่าเร้าอารมณ์ไม่หยุดหย่อน
โมดึงเต้านมของเธอจนผมปล่อยหัวนมออกจากปากอย่างแสนเสียดาย เงยขึ้นมองหน้าโมที่ก้มลงมองด้วยแววตาเช๊กส์เปิดเผยอารมณ์อย่างล่อนจ้อน
"ดูด..จน..โม..เสียว..จัง..อิอิ..."
"ก็หัวนมโมหอมแล้วหวานเหลือเกินนี่นา...อดใจไม่ไหว..."
"แล้วดูดจนอิ่มยังละ..." ผมส่ายหน้าแล้วหัวเราะ
"อิ่มอะไร..ยิ่งดูดก็ยิ่งหิวนมหนักขึ้นไปอีก..." พูดจบผมก้มหน้าลงหอมกลางอกแล้วไล่จมูกปากลงมาจนถึงท้องน้อย โมรีบดันผมแล้วกระซิบบอกเสียงแผ่ว ๆ
"ให้โมไปห้องน้ำก่อน..เดี่ยว..เดี่ยว...ไม่ไหว..." ผมก็งง ๆ อยู่เหมือนกัน โมผลักผมออก รีบพลิกตัวหนีลงจากเตียงแล้ววิ่งไปเข้าห้องน้ำทันที
"เป็นไร..โม...."
"ปวดฉี่...." เธอตอบแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำ
ผมนั่งคุกเข่านิ่งอยู่กับพื้นพรมนุ่ม สูดหายใจเข้ายาวเพื่อระงับอารมณ์ที่ถูกเบรค จากนั้นลุกขึ้นยืนจัดการถอดเสื้อกางเกงของตัวเองพาดไว้ด้านข้าง เหลือแต่กางเกงในสีขาวตัวเดียว น้องชายสุดท้องของผมผงาดแข็งจนตุงกางเกงในออกมา ผมเดินไปรูดผ้าม่านผืนบางปิดหน้าต่างบานสูงซึ่งทำหน้าที่เพียงกรองแสงให้สลัวรางลงบ้างเท่านั้น เดินไปหยิบผ้าขนหนูมานุ่งไม่ให้ประเจิดประเจ้อนัก แล้วกระหยิ่มยิ้มย่องกับตัวเอง
เสียงกดน้ำของโมดัง ผมหันไปมองเห็นโมเปิดประตูเดินออกมา โมนุ่งผ้าขนหนูกระโจมอกเดินมาหาผมที่นั่งรออยู่ริมเตียง ผมอ้าขาออกให้เธอเดินเข้ามายืนจนชิดแล้วยื่นปลดผ้าขนหนูออกจากร่าง มองสำรวจนวลเนื้ออย่างใกล้ชิดตั้งแต่เต้านมไล่ลงไปที่หน้าท้องแบนราบเอวกิ่วคอย ไปจนถึงเนินโหนกใหญ่เกลี่ยด้วยกลุ่มไหมดำบาง ๆ ที่มองจากมุมสูง โมถอดกางเกงในให้ผมเรียบร้อยแล้ว ผมเงยหน้าขึ้นแล้วโน้มคอเธอลงมาจูบ
พอถอนปากออกผมรีบถามเธอว่า
"โมให้พี่ใช้ลิ้นทำให้อีกหรือเปล่า...?" โมดันตัวออกนิดนึงแล้วส่ายหน้าแล้วพูดแผ่ว ๆ
"กลัวจะถึงเสียก่อน..โมไม่ยอมด้วย..พี่อยากกับโมเหรอ....??"
"พี่อยากซิจ๊ะ...อยากใจจะขาด..อยากเย็ดโมที่สุดเลย..."
"งั้นทำเลยซิ...โมอยากถึงพร้อมกับพี่กันนะ..." เธอกระซิบออดอ้อนแล้วกอดผมแน่น
"โมนอนลงให้พี่หอมต่อซิ...."
"อยากหอมโมเหรอ...?"
"อื้อ..อยากหอมให้ทั่วทั้งตัวเลย..หอมไม่เว้นซักกะที่...."
"อิอิ...อยากทำมานานแล้วซิ..."
"อื้อ..เคยฝันแบบนั้น..แต่เมื่อคืนพลาดไป.."
"หือ..พลาดไง..ก็หอมหีจนเสียวขนาดนั้น...?"
"ก็เผลอหลับไปไง...?"
"โมก็หลับ....มันสบายตัวจริง ๆ นะพี่กาญจน์"
"พี่ก็เหมือนโม...ถ้าพี่ไม่ครอก ๆ ไปเสียก่อน ได้ลักหลับโมแน่เมื่อคืน..." พูดแล้วก็หัวเราะ โมเองก็หัวเราะเต็มเสียง
"ก็พี่กาญจน์ทั้งดูดทั้งเลียขนาดนั้น โมฟิวส์ขาด...หมดเรี่ยวหมดแรงไปเลย..."
"โมก็ทั้งอมทั้งดูดของพี่แบบสุด ๆ เหมือนกันนี่นา..."
"ดีป๊ะ...." เธอขยับมาจูบซอกคอผม
"อื้อ...แต่อย่าทำแบบนั้นบ่อย อยากทำอย่างบ้าง..."
"อยากทำไร...???"
"พี่อยากเย็ดโมซิ...." ผมสารภาพเต็มเสียง "อยากเย็ดให้โมเสียวสุด ๆ ไปเลย"
"แล้วพี่กาญจน์ละจะสุด ๆ กับโมด้วยหรือเปล่า...?"
"เดี่ยวรู้...." ผมเอนหลังดึงตัวเธอลงมาคร่อมตัวผมไว้
"ของพี่กาญจน์แข็งกว่ามื่อคืนอีก...."
"มันคงอยากจัดนะโม...."
โมขยับตัวคร่อมผมแล้วเธอก็แลบลิ้นเลียตรงหัวนมของผมแผล๊บ ๆ แรก ๆ ก็แค่จั๊กจี้ดี แต่พอนานเข้าปลายลิ้นโมขยี้หัวนมแล้วปาดลิ้นเลีย หลาย ๆ ครั้งเข้าทำให้ผมรู้ซึ้งเลยจริง ๆ ตอนที่โมถูกผมดูดหัวนม เลียหัวนม ป้านนม เธอถึงกับสั่นสะท้าน มันเสียวแบบนี้และมากกว่านี้เพราะหัวนมเธอใหญ่กว่าทำให้ผมดูดได้แรงกว่า ผมผงกหัวขึ้นมองการกระทำของโมปรีเปรม เธอตวัดลิ้นเลียปาดไปปาดมา สลับกับเม้มริมฝีปากดูดหัวนมเล็กจิ๋ว เออหนอ..ผมเพิ่งเคยถูกผู้หญิงเลียและดูดหัวนมเป็นครั้งแรกในชีวิตทำเอาเกร็งไปเหมือนกัน
"โมป้อนนมให้พี่ดูดให้มั่งซิ..." โมเงยหน้าขึ้นมองผมตาหยาดเยิ้ม
"ตะกี้ไม่อิ่มเหรอ..." ผมพยักหน้าแต่โมก็ไม่ยอมป้อนนมใส่ปากผม เธอกลับขยับตัวเลื่อนลงไปแล้วถอดกางเกงในผมออก ท่อนควยแข็งของผมผงาดตั้งฉากแบบเก้าสิบองศาจนโมหัวเราะ
"โห..คงอยากมากซิ...."
เธอเขี่ยนิ้วตรงหัวทำเอาผมเสียวจนต้องขยับแอ่นตูดลอยขึ้นมา โมหัวเราะใหญ่แล้วพูดว่า
"พี่กาญจน์นอนเฉย ๆ ก่อนนะ ให้โมเล่นกับมันสักหน่อยก่อน..."
"ไม่ดูดแล้วนะ...กลัว...." โมหัวเราะ "พี่กลัวไม่ได้เย็ดโม..เหมือนเมื่อคืน..." โมยิ่งหัวเราะใหญ่
"แหม..โมไม่ได้ดูดให้ซักหน่อย...แค่อยากทำแบบนี้...."
โมขยับคร่อมตรงหน้าขาผม เธอขยับอ้าขาออกกว้างให้ร่องแคมวางทาบกับแนวสันด้านล่างของลำควย พอนาบได้ที่โมก็ขยับก้นยิก ๆ ผมมองการกระทำของโมด้วยสายตาลุกวาว แคมอวบใหญ่แต่ละข้างแตกอ้าเมื่อขยับขา แล้วใช้มือกดท่อนหัวของผมให้นอนราบลงกับหน้าท้อง
โมบดร่องแคมของเธอไปมาจนได้ที่ เธอจึงเงยขึ้นมองสบตาผม
"ดีจังพี่กาญจน์...." ผมพยักหน้าแล้วพูดว่า
"ทำเรื่อย ๆ นะ...รูดแบบนี้พี่เสียวจัง" โมหัวเราะ
"นี่...แค่เริ่มต้นความมันเท่านั่นนะพี่กาญจน์..."
"ท่านี้โมเซ็กส์จังเลย...."
โมไม่ตอบขยับโยกเอวรูดร่องแคมกับลำควยของผมไปเรื่อย ๆ ไม่เร็วนัก พักเดียวผมรู้สึกได้ถึงความลื่นจากสิ่งที่โมหลั่งออกมามากมาย โมหน้าเชิดหลับตาพริ้ม แต่พอเสียวมาก ๆ เข้าก็ห่อปากซู๊ดดัง ๆ เต้านมกลมกระเพื่อมไปมาตามจังหวะที่ขยับเอวรูดแรง ๆ น่าดูเหลือเกิน
ผมเอื้อมมือเคล้าคลึงเต้านมสลับกับให้นิ้วบีบบี้หัวนมเพิ่มอารมณ์ให้เธอทั้งสองข้าง โมแอ่นอกหราขยับเอวรูดขึ้นลงเร็วและแรงขึ้นด้วยความเสียว พอโมรูดแรง ๆ ร่องเนินของเธอที่ลื่นได้ที่ก็ทำให้ลำควยของผมเป็นมันปลาบไปด้วย แคมอวบอูมคาบลำควยผมเอาไว้เหมือนไส้กรอกในขนมปังแซนวิช จังหวะที่โมรูดลง ผมเห็นหัวควยโผล่หัวแดงออกมา แต่พอโมรูดร่องแคมขึ้นมาเนินอวบของเธอก็ขยับขึ้นสูงหัวแดงของผมกูผลุบหายไปอยู่น่าจะแถว ๆ เม็ดเสียวของเธอ
และที่สำคัญก็ตอนที่โมรูดขึ้นมาสูง ๆ นี่แหละ (มันเหลือเกิน) เมื่อเธอขยับขึ้นมาสูงมากปลายควบควยของผมรูดปรื๊ดลงไปต่ำจนน่าจะถึงปากรูเสียว แล้วพอเธอไถเนินข้นมาหัวมู่ทู่ก็ขยับไถปากรูและครูดตามร่องมาชนกับเม็ดเสียวตรง ๆ จนโมต้องหยุดห่อปากครางลั่น
"ซี๊ดดด...โอ๊วววววว...อาาาาาา...."
ผมเองก็รู้สึกวาบไปทั้งลำควยที่ถูกแรงเสียดสีของร่องแคมจนตาลอยกันฟันกรอด ๆ เหมือนกัน
โมรูดร่องแคมเร็วและแรงขึ้นเรื่อย ๆ เธอขยับลากขึ้นมาสูงมากและตอนลงก็กดลงไปต่ำมาก ๆ เช่นกัน รูดไปรูดมาผมนะเสียวและเกร็งก็เลยเริ่มยักย้ายส่ายก้นร่อน ทำให้ปลายควยผมจ๊ะเอ๋จ่อตรงปากรูพอดิบพอดี พอโมขยับเข่าชันยกขึ้นนิด ๆ เหมือนจะนั่งยอง ๆ แล้วขยับเนินรูดร่องเนินเสยขึ้นมาแรง ๆ ผมเสียววาบตรงหัวควยเหมือนถูกบีบรัดแน่น จนต้องครางซี้ดเบา ๆ
โมเองกลับซี้ดปากลั่นโน้มตัวลงมาใช้มือยันยอดอกผม แล้วโน้มใบหน้าลงขยับก้นกดเนินเนื้ออวบลงมาทันที หัวควยของผมเข้าไปมิดเงี่ยง แล้วที่เหลือก็กำลังตามเข้าไปในรูเสียวของเธอ โมขยับก้นยิก ๆ กลืนท่อนลำให้ค่อย ๆ จมหายเข้าไปทีละน้อย โมขยับโยกเอวยักย้ายส่ายเป็นปั๊กเป้าเบิกทางให้ท่อนลำของผมเข้าไป ปากก็ครางซี้ด ๆ ผมเองซู๊ดปากซี้ดถี่ ๆ เหมือนกินพริกเข้าไปเป็นกำ ๆ
"อูยยยยย...พี่..กาญจน์...โม...จะ..ไม่..ไหว...โอ๊ววววววว...."
โมร้องออกมาเสียงดังแล้วฟุบหน้าลงกับอก ผมยกมือขึ้นโอบร่างขาวผ่องของโมเอาไว้แน่นแล้วพยายามดันตัวพลิกให้เธอลงนอนหงายกับที่นอน ขยับสองสามทีก็เริ่มเข้าที่ท่อนเนื้อของผมถูกอัดจนฝังเข้าไปจนมิดด้าม
ผมยันตัวขึ้นมาจับโคนขาโมดันให้อ้าออกกว้าง ช่องสวาทของโมบีบกระชับลำควยผมอย่างแรงจนทำให้ผมเสียวจนหน้าเหยเก ผมก้มลงมองแคมทั้งคู่ของโมที่แตกอ้าจนเห็นปากรูเสียวสีสดของเธอรัดรอบโคนควยของผมเอาไว้แน่น ผมจับขาโมพาดกับแขนแล้วขยับตัวไปข้างหน้า ปรับท่าให้สาวท่อนควยได้ถนัดและต่อเนื่องไม่ขาดตอน
ผมก้มลงดูโคกหีสวยของโมอีกครั้งก่อนที่จะชักลำควยออกมานิดเดียวแล้วกระเด้า แคมอวบอูมทั้งสองของโมขยายออกตอนผมชักออก และย่นยู่ยุบเข้าไปตอนผมกระเด้าควยเย็ด เป็นภาพที่ดูแล้วแสนรัญจวนใจจริง ๆ โมหลับตาพริ้มห่อปากครางด้วยความเสียว ยิ่งผมขยับดึงออกมายาว ๆ แคมก็แตกอ้าออกจนเห็นปากรูเสียวชัดมันช่างงดงามเหลือเกิน
ผมสุดทนที่จะทำช้า ๆ ต่อไปได้อีกแล้ว ก็เลยเริ่มสาวลำควยเข้าออกยาวและเร็วขึ้น โมเสียวจี๊ด ๆ จนต้องแอ่นก้นร่อนเนินรุกรับกับลำควยผมจนก้นลอยแทบไม่ติดที่นอน ผมแอ่นหลังเงยหน้าเชิดขึ้นก้นขยับกระทุ้งท่อนควยพรีดลงเต็มแรงลงไปจนมิดยันโคน
"อูยยยยยย...โม...เสียวววว...เหลือ..เกิน...พี่...กาญจน์....อู๊ยยยยสสส"
ผมบดอัดโคนควยผมกับแคมอวบของเธออย่างเมามัน หมอยเส้นหยาบใหญ่เสียดสีกับหมอยเส้นละเอียดของโมจนแทบแยกไม่ออกว่าเป็นของใคร โมแอ่นเอวดันสะโพกเธอลอยขึ้น ส่วนขาก็ถูกไหล่ผมดันโล้ไปข้างหน้า
พอผมขยับถอยลงมาโมก็สอดมือเกี่ยวข้อพับเพื่อรั้งขาของเธอให้อ้าเอาไว้แทน ผมสอดมือลงไปยันที่นอนขยับสะโพกชักท่อนลำออกมายาว ๆ โมร่อนเนินตามมาเหมือนกลัวว่าผมจะชักออกมาจนหลุดจากรูสวาทของเธอ เหมือนปั๊กเป้าที่ต้องลมบนส่ายระรี้ระริก ทำให้ผมเสียวจนกัดฟันกรอด ๆ กระแทกท่อนลำพรืดลงไปเต็มแรง
บางครั้งผมชักออกมาแค่หมิ่น ๆ จนเงี่ยงหลุดออกมาจากรูเสียว รอจังหวะให้โมร่อนโคกเธอขึ้นมาแล้วกระสวนกลับลงจนสุดตอบดเป็นวงแล้วชักออกมาให้เกือบสุดแล้วกระแทกกลับไปอีก โมครางซู๊ด ๆ ไม่ขาดปาก ผมเองก็ไม่ดีไปกว่าเธอสักเท่าไหร่หรอกมันเสียวจริง ๆ
"พิ..พี่...พี่...กาญจน์...โม..โม...ม้าาายยย...หวาย...โอยยยยย....."
ผมหลับตากระเด้าเนินโคกเธอถี่ยิบจนเธอร้อง "อ๊าาาาากกกกก......" ยาวแล้วถึงจุดสุดยอดไปก่อนผม
ตัวผมเองก็ฉิวเฉียดเจียนอยู่เจียนไปเหมือนกัน พยายามเกร็งเอาไว้เต็มที่อัดแนบกับใหญ่นูนของเธอคานิ่ง ๆ ไม่กล้าขยับ โมกระดกเนินของเธอยิก ๆ อย่างสุดเสียว หายใจกระชั้นรัว หลับตาพริ้มอย่างเปี่ยมสุข ผมมองตุ่มเสียวที่ตรงป้านฐานหัวนมของโมที่ปูดเป็นเม็ดเล็กขึ้นมาชัดเจน ขนตามตัวก็ดูเหมือนจะลุกเกรียว
"โอ๊ววววว....อื่มมมม...." โมเผยอปากครางแผ่วเครือด้วยอารมณ์กระสัน
ผมหยุดเพียงครู่เดียวก็เริ่มขยับดึงท่อนควยของผมออกมาหนึ่งในสี่และสวนลงไปช้า ๆ
"อ๊าาาาาาา......" โมครางออกมายาว
ผมขยับซอยเย็ดเธอไปเรื่อย ๆ ในจังหวะสั้น ๆ อีกครั้ง ตัวผมเองก็ต้องห่อปากครางซี๊ด ๆ แทบไม่หยุดเหมือนกัน ภายในของโมทั้งแน่นทั้งดูด เธอขมิบแต่ละทีน้ำผมแทบเล็ด
"เต็ม..เต็มที่...เลย..พี่..กาญจน์..." โมปรือตาหยาดเยิ้มมองสบตาผมนิ่ง
ผมจึงขยับชักออกมายาว ๆ จนเกือบสุดอีกครั้งแล้วกระแทกพรืดเต็มแรงจนดัง "ปั๊บ ๆ" ชัดเจน เข่าทั้งสองของโมขยับอ้าออกเปิดฐานหน้าเนินกว้างของเธอออกเต็มที่ เสียงของเนื้อต่อเนื้อประสานกับเสียงครวญครางด้วยอารมณ์ทั้งของผมและของเธอดุจเสียงสวรรค์
ผมเองเสียวสุดขีดแต่ยังพยายามเกร็งรั้งเอาไว้เต็มที่ สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้มันกระฉูดก่อนที่โมจะถึงอีกรอบเด็ดขาด แม้โพรงเนื้อของเธอจะขมิบตอดท่อนลำของผมแรงสักเพียงไหนก็ตาม
"โอ๊วววว....ดี..ดี...พี่..กาญจน์ เย็ด..เก๋ง..จัง...เก๋ง....อู๊ยยยยยสสสส" เนื้อตัวของโมสั่นริกกล้ามเนื้อหน้าท้องเกร็งหนุนกันเป็นลอนลูกคลื่น เต้านมทั้งสองกระเพื่อมขึ้นลงสวนทางแรงกระแทกเย็ดของผม
ในที่สุดแล้วผมเกร็งสุดตัว ความหนาวสั่นสะท้านแผ่นซ่านขึ้นมาตั้งแต่ปลายก้นกบวิ่งตามกระดูก สันหลัง ผมกระแทกหนัก ๆ แบบไม่ยั้งอีกแล้ว ในที่สุดก็ผวาลงกอดโมเอาไว้แน่น..กอดให้แน่นสุดชีวิต โมยกขาตวัดรัดเอวไว้ ส่วนมือก็กอดผมเอาไว้แน่นเช่นกัน อยากจะให้ร่างของเราละลายเป็นเนื้อเดียวกัน อยากประร่างทั้งสองให้เป็นร่างเดียวกัน ไม่ใช่แค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง ผมรีบประกบริมฝีปากจูบโมอย่างกระหายและรุนแรงอย่างไม่อาจห้ามใจ โมก็จูบตอบและเล่นลิ้นกันอย่างปล่อยใจเต็มที่
โลกและสวรรค์ล้วนว่างเปล่า เบาหวิวไปทั้งใจและกาย อยากอยู่นิ่งไม่อยากรับรู้รับทราบอะไรทั้งนั้น
เรานอนกอดกระชับกับแน่นอยู่แบบนั้น ปล่อยให้ห้วงเวลานาทีอยู่ส่วนของมัน ไม่เกี่ยวกับเราทั้งสอง
ให้พายุอารมณ์ที่โหมกระหน่ำอย่างหนำใจ เรานอนหอบหายใจ เร็ว ยาว แรง เนื้อตัวเบาหวิว นุ่มเหมือนปุยนุ่น แล้วยังเหมือนนอนอยู่บนปุยเมฆ โมรู้สึกไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ เธอนอนหลับตาพริ้ม ผมขยับหนังตาที่หนักเหมือนถ่วงหิน มองริมฝีปากยิ้มพรายของเธออย่างแสนอิ่มเอม ผมขยับตัวไปจูบแก้มผ่องของเธอเป็นการขอบคุณ แล้วนอนหลับตานิ่งปล่อยให้ใจล่องลอยไปสวรรค์วิมานแมนแดนสรวง
****************
เราปล่อยให้อยู่ในท่านั้นนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้จนของผมอ่อนและหลุดออกจากของเธอ ผมได้ยินเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ
"ขำเหรอโม....??" ผมกระซิบที่ข้างหู
"พี่กาญจน์นี่เยี่ยมมากเลย..."
"เยี่ยมไง..?" ผมถามเพราะอยากรู้คำว่าเยี่ยมของเธอนะหมายถึงอะไร
"ก็...ก็...เย็ดเก่งไง...โมเสียวเกือบขาดใจ..."
"เหรอ..โมชอบป๊ะ...?"
"อึม...." แล้วโมก็นอนเงียบไป
****************
เรื่องตอนค่ำ ๆ เอาไว้ก่อนเถอะ...อยากหลับตานอนพักกับโมก่อน
****************
.............
ด้วยความขอบคุณ kankan
 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน
บรรยายได้ดีมากครับ ทำให้เห็นภาพเลยครับ อ่านแล้วอยากไปเลยครับ ขอบคุณกับนิยายดีๆแบบนี้ครับ
กาญจน์กะโมทำกันสุดแสนจะโรแมนติกจริงๆ เหมือนๆกับตัวเองหลุดเข้าไปทำแบบนั้นเลย บวกกับบรรยากาศที่แสนอบอุ่นและสวย(ในจินตนาการ)ช่างเป็นอะไรที่ครบรสจริงๆ รูป รส กลิ่น เสียง สุดๆเลยครับ คิดถึงแฟนจัง
เหมือนได้ไปด้วยเลยมีภาพประกอบด้วยอยากไปอยู่ตรงนั้นบ้าง สนุกมาก ติดตามนะครับ
ซีรี่ย์นี้เป็นเรื่องที่ชอบที่สุดเลยครับ ทั้งการบรรยาย บทสวาท เนื้อหาท่องเที่ยว ทุกอย่างลงตัว
แซ่บมากครับ น้องโม อ่านแล้วได้อารมณ์มาก ผู้เขียนบรรยาย แล้วเห็นภาพเลยครับ
วันนี้ถือว่าเสร็จสมอารมณ์หมาย หลังจากคืนที่ผ่านมาพลาดไปหน่อย เรื่องนี้เหมือนได้ไปท่องเที่ยวด้วยเลย