ตอนนี้ไม่มีอะไรมากครับ เน้นผูกเรื่องล้วนๆ
ส่วนใครที่อยากรำลึกตอนเก่าๆสามารถกดดูลายแทงงานต่างๆของผมได้ทางด้านล่างครับ (หรือในลายเซ็นต์)
หากอยากให้กำลังใจก็สามารถทำได้ง่ายๆโดยคอมเม้นต์ติชมได้ตามสะดวกครับ
หรือจะเข้าไปพูดคุยกันได้ที่เพจ
(FACEBOOK PAGE) (https://www.facebook.com/GodersouI)
และยังสนับสนุนให้กำลังใจเพิ่มเติมได้ตามช่องทางดังนี้ครับ
(Fictionlog) (https://fictionlog.co/u/godersoul)
(ธัญวลัย) (http://www.tunwalai.com/profile/1400787/godersoul?page=1)
(readAwrite) (https://www.readawrite.com/?action=search_article&tab=all&page_no=1&key=godersoul&end=0&chap=0)
ซ่อนแค่รูปเหมือนเดิม คอมเม้นต์เยอะ ตอนใหม่ก็มาไวครับ----------------------------------------------
กริ้ง กริ้ง กริ้งเสียงกระดิ่งแกว่งตัวไปมาตามบานกระจกขณะกำลังถูกผู้มาเยือนผลักอ้าออก
แม้ขณะนี้จะมีป้าย 'งดให้บริการ' แขวนอยู่หน้าห้อง แต่เธอผู้มาใหม่ก็ไม่ได้สนใจนัก
ยังคงพาร่างเพรียวได้ส่วนสัดตรงมายังเคาน์เตอร์ต้อนรับอย่างรวดเร็ว
"ตอนนี้เป็นเวลาเลิกงานฝ่ายทะเบียนงดให้บริการแล้วนะคะ" เสียงเนื่อยๆดังออกมาจากเคาน์เตอร์ต้อนรับตรงกลางห้องเอ่ยทักทันที
หากแต่เจ้าของรองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นยังไม่หยุดก้าวเดิน ทำเอาพนักงานสาวเจ้าของเสียงซึ่งนั่งอยู่เพียงลำพังต้องละสายตาจากจอสมาร์ทโฟนขึ้นมองอย่างเบื่อหน่าย
"อะ อ้าว สวัสดีค่ะรองผกา มีอะไรให้หนูช่วยไหมคะ" เมื่อเห็นว่าเป็นใคร สาวพนักงานก็รีบนั่งตัวตรงเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน
ผกาวรรณ 
"คือชั้นอยากจะขอค้นข้อมูลทะเบียนของนักศึกษาบางคนหน่อย" รองคณะสาวแสนสวยตอบห้วนๆอย่างไว้ท่าที
"อ้อ..ได้สิคะ งั้นรองจดชื่อนามสกุลของนักศึกษาที่ต้องการให้หนูได้เลยนะคะ เดี๋ยวหนูจัดการให้เอง"
พนักงานสาวหยิบกระดาษปากกาสำหรับจดชื่อยื่นให้ แต่ทว่ารองสาวกลับไม่รับมันไว้ เธอไม่แม้แต่จะสนใจ
"คุณเต้...ไม่ได้บอกเธอไว้ล่วงหน้าเหรอ?" ผกาเอ่ยเรียบๆ
"เอ่อ.. ไม่นะคะ หัวหน้าไม่ได้บอกอะไรหนูไว้"
"อืม... งั้นไม่เป็นไร คือชั้นมีได้โทรขออนุญาตเค้าไว้แล้วว่าจะขอหาข้อมูลเอง จะได้ไม่รบกวนเวลาเธอหลังเลิกงาน ยังไงเธอช่วยพาชั้นไปที่เครื่องหน่อยนะ"
"อ..เอออ เดี๋ยวก่อนนะคะรอง ขอหนูโทรถามหัวหน้าก่อนนะคะ" พนักงานสาวออกจะแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยิน
เพราะตามปกติแล้ว หัวหน้าขี้โมโหของเธอมักจะไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายกับอุปกรณ์ภายในแผนกมากนัก
แต่ยังไม่ทันจะต่อสาย ผกาวรรณก็ขัดขึ้นก่อน
"เธอไม่เชื่อคำพูดของรองคณะอย่างชั้นเหรอ" รองสาววางมาดขึงขังขึ้นมาทันใดพลางหันมองสำรวจไปรอบๆห้อง
"ป..เปล่านะคะ ไม่ใช่ว่าหนูไม่เชื่อ แต่หนูแค่ต้องยืนยันให้แน่ใจก่อน ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาหนูจะแย่เอาค่ะ" พนักงานสาวยืนยันคำเดิมก่อนจะเริ่มกดมือถือ
แต่จู่ๆรองผกาก็เดินอ้อมเคาน์เตอร์เข้ามาด้านในอย่างรวดเร็วก่อนจะจับแขนข้างหนึ่งของพนักงานสาวบีบน้อยๆเป็นเชิงห้าม
"ถ้าเธอไม่เชื่อ เราเข้าไปดูในห้องหัวหน้าเธอด้วยกันก็ได้" ผกาวรรณบอกพร้อมกับฉุดแขนเธอขึ้นเบาๆ
"แต่...หัวหน้ากลับไปแล้วนะคะตอนนี้" พนักงานสาวกระอักกระอ่วน
"ดีนะที่ชั้นคิดไว้แล้วว่าอาจจะเจอคนที่ไม่รู้เรื่องแบบเธอ ชั้นเลยบอกให้คุณเต้เขียนโน๊ตทิ้งไว้ให้ในห้องทำงาน ถ้าเธอไม่เชื่อชั้น อย่างน้อยลายมือของหัวหน้าเธอก็จะเป็นเครื่องยืนยันได้"
รองสาวเอ่ยพร้อมจ้องมองพนักงานสาวด้วยประกายตาสีน้ำเงินอันลึกลับ
"แต่หนู..." พนักงานสาวลังเล แต่ก็ไม่อาจทนกับสายตาเข้มสวยคู่นั้นได้ จำต้องลุกขึ้นเดินตามรองสาวไปแต่โดยดี
ห้องทำงานของหัวหน้าแผนกทะเบียนนักศึกษามีขนาดกว้างประมาณสี่ตารางเมตร
เป็นห้องหับอันมิดชิดซึ่งมักถูกใช้คุยเป็นการส่วนตัวกับนักศึกษาที่ค้างค่าเทอมอยู่เป็นประจำ
ภายในจึงมีชุดโซฟาอย่างดีวางไว้เพื่อรับรองแขกหรื่ออยู่ด้วย
ทำให้รองสาวที่เห็นเข้าถึงกับพึงพอใจจนปรากฏรอยยิ้มน้อยๆขึ้นที่มุมปาก
"นึกว่าจะต้องลำบากซะแล้ว มีที่ให้นอนแบบนี้ก็ง่ายขึ้นเยอะ" เธอเอ่ยเบาๆกับตัวเองก่อนจะหันไปหาพนักงานสาว
"มาตรงนี้สิ" ผกาวรรณบอกพลางจูงมือพนักงานสาวไปนั่งที่โซฟา
"เอ่อ... ไหนโน๊ตของหัวหน้าคะ?" สาวพนักงานถามงงๆ
รองคณะสาวหมุนตัวเดินกลับไปล็อกห้องก่อนจะหันมา
"ชั้นคิดว่าเธอต้องชอบคำตอบของชั้นแน่ๆ..." ผกาวรรณตอบคำด้วยทีท่ายั่วยวนผิดแผกจากเมื่อครู่
พลางเดินนวยนาดตรงเข้าหาพนักงานสาวที่ขณะนี้ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
"เดี๋ยวค่ะรอง อะไรกันคะ อะ อุ๊ฟ!"
รองภาคสาวไม่พูดพร่ำทำเพลงจู่ๆก็ยื่นหน้าเข้าประกบปากจูบพนักงานสาวทันที
อารามตกใจและไม่ทันตั้งตัวทำให้ลิ้นเรียวนุ่มถูกส่งเข้ามาตวัดฉวัดเฉวียนในโพรงปากของเธอได้โดยง่าย
และแม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไรและทำไม แต่รสสัมผัสอันซาบซ่านที่เริ่มครอบงำเธออย่างช้าๆก็มลายความรู้สึกสงสัยของเธอให้หายไปทีละน้อย
เพียงไม่นานนัก ผกาก็ถอนปากออกดื้อๆ ก่อนจะจ้องมองพนักงานสาวซึ่งขณะนี้กำลังประสานสายตาหยาดเยิ้มตอบกลับพร้อมด้วยลมหายใจฟืดฟาด
"เธอชื่ออะไรน่ะ" รองภาคถามพลางยื่นมือเข้าปลดกระดุมเสื้อของสาวตรงหน้าออกทีละเม็ด ละเม็ด
"ห..หวานค่ะ อ..อึ้ยยยส์ ระ..รองงงงง" ถึงตอนนี้เสียงของพนักงานสาวเริ่มเบาลงเรื่อยๆ
เนื่องด้วยผกาวรรณสอดมือนุ่มเข้าเคล้นคลึงทรวงอกหยุ่นเบาๆ สลับกันกับการสะกิดปลายถันจนมันแข็งเป็นไต
ในขณะเดียวกันมืออีกข้างก็ไม่ว่างเว้นไว้เฉยๆ เธอใช้มันลูบไล้เรียวขาผ่องของพนักงานสาวไปมา พลางเลื่อนสูงขึ้น สูงขึ้น
จนในที่สุด กระโปรงทรงเอของสาวหวานก็ถูกเธอถลกขึ้นจนเห็นกางเกงในสีชมพูอ่อนซึ่งขณะนี้บริเวณเป้าเปียกชุ่มเป็นดวงใหญ่
"ร..รองจะทำอะไรหวานคะ หยุดเถอะค่ะ ถ...ถ้าใครมาเห็นเข้า ม..มันจะไม่ดีนะคะ"
แม้จะพึงใจในรสสัมผัสที่ได้รับจากรองสาวที่ขึ้นชื่อว่าสวยเป็นเบอร์ต้นๆของมหาลัย
แต่หวานก็ไม่ได้ชอบพอที่จะมีสัมพันธ์สวาทกับเพศเดียวกันนัก
และยิ่งผิดที่ผิดทางแบบนี้ จะอย่างไรเธอก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง
"หยุดทำไมล่ะ เธอไม่ชอบมันเหรอหวานจ๊ะ หืมมม?" ผกาถามเสียงสูงพร้อมกับเริ่มซุกไซร้ซอกคอของเหยื่อสาว
"อื้อออ ม..ไม่ใช่ค่ะ ต...แต่ว่า.. อู้ยยยยส์" ไม่ทันจบประโยคดี
ร่างของหวานก็ถูกรองสาวดันจนนอนเอนราบลงกับโซฟาพร้อมกับการรุกเร้าของสองมือที่ยังวนเวียนนวดคลึงปทุมถันและหว่างขา
สร้างความรู้สึกอันไม่เคยได้รับจากชายใดจนสุขสมล่องลอย
แล้วรองสาวสวยก็โน้มตัวขึ้นกระซิบเบาๆที่ข้างหู
"ชั้นจะพาเธอไปสู่โลกใหม่เอง เธอจะเปิดใจและยอมรับมันไหมจ๊ะ หวาน"
นัยน์ตาของผกาวรรณแวววับไปด้วยประกายสีน้ำเงินพร้อมกับปลายนิ้วที่เริ่มแทรกผ่านกางเกงในตัวจิ๋วเข้าไป
และทันทีที่หวานตอบตกลง ดวงตาของเธอก็ฉาบทับไปด้วยประกายสีน้ำเงินเฉกเช่นเดียวกัน....
----------------------------------------------
ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที สองสาวที่หายเงียบไปในห้องก็พากันเดินกลับออกมา
เสื้อผ้าของสาวหวานขณะนี้หลุดหลุ่ยและยับยู่ยี่
ผมเผ้าที่เคยตรงสลวยบัดนี้กลับกระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง
แถมลิปสติกตรงปากยังเปื้อนเลอะเทอะอยู่ทั่วหน้าเต็มไปหมด
พนักงานสาวเดินนำมาก่อนด้วยท่าทางไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมพร้อมกับเขียนอะไรยุกยิกใส่กระดาษ
"เขียนไหวใช่ไหม" รองสาวซึ่งเดินตามหลังมาในสภาพปกติถามยิ้มๆ
"ไหวซิคะ อูยย..ย.ยส์ ยังเสียวไม่หายเลยคะ นี่ไอดีกับพาสคะรองขา เครื่องคอมรองไปใช้เครื่องด้านในสุดได้เลยนะคะ เผื่อถ้าใครมาจะได้สังเกตเห็นยากหน่อย ส่วนหนูม่ายหวายแล้วว.ว.ว"
หวานยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้ผกาวรรณ
ก่อนเธอจะฟุบหัวงีบหลับลงบนโต๊ะประจำตัวอย่างเหนื่อยอ่อนโดยไม่สนว่าใครจะเห็นเธอในสภาพนี้หรือไม่
"คิกๆ ว่าง่ายๆแบบนี้สิ เดี๋ยววันหลังชั้นจะมาต่อให้ก็แล้วกัน"
ผกาวรรณเอ่ยขำๆหลังรับกระดาษที่พนักงานสาวส่งให้
ก่อนรองคณะสาวจะรีบเดินไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ที่พนักงานสาวบอกไว้
แม้จะเป็นยามเย็นของมหาลัยที่ดูไร้ผู้คน เหมาะแก่การที่ผกาวรรณจะได้ใช้เวลาจัดการกับจุดประสงค์ของเธออย่างเหลือเฟือ
แต่เป็นธรรมดาที่ในมหาวิทยาลัยมักจะมีนักศึกษาหรือบุคลากรอื่นๆอยู่โยงล่วงเวลาจนมืดค่ำ
รองสาวจึงนั่งลงอย่างเร่งรีบพลางเสียบธัมป์ไดร์ฟที่พกมาเข้ากับเครื่อง
หมายจะทำตามเป้าหมายให้เรียบร้อยเร็วที่สุดก่อนจะบังเอิญมีใครมาพบเข้า...
----------------------------------------------
บนทางด่วนขาเข้ายามย่ำค่ำ
รถหรูยี่ห้อดังคันหนึ่ง แล่นฉิวตัดแสงไฟทางพลางเลี้ยวหลบหลีกเพื่อนร่วมถนนมุ่งสู่ใจกลางกรุงไปด้วยความรวดเร็ว
เจ้าของรถคันแรงขับมันอยู่เพียงลำพังพลางจ่อมจมอยู่ในภวังค์คิด
พลันเสียงดนตรีคลาสสิกที่เปิดคลอไว้เบาๆกลับถูกเสียงเรียกเข้าจากมือถือราคาแพงดังกลบขึ้น
เจ้าของรถละสายตาจากถนนชั่วครู่เพื่ออ่านชื่อผู้ที่ติดต่อเข้ามาตรงคอนโซลรถ
และเมื่อเห็นว่าเป็นใคร เขาก็กดปุ่มรับสายที่พวงมาลัยทันที
"ว่าไงครับผกา...." เสียงของพลนุ่มลึกมีอำนาจแตกต่างจากที่เขาใช้พูดยามปกติ
"ผกาได้ข้อมูลมาเรียบร้อยแล้วค่ะพล"
"ดีมากครับ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ใช่ไหมครับ"
"แน่นอนค่ะ จะมีก็แค่พนักงานสาวคนหนึ่ง แต่ผกาจัดการเรียบร้อยแล้วค่ะ"
"อืม...ผมสัมผัสได้แล้วล่ะ ว่ามีพวกเราเพิ่มขึ้น ว่าแต่...ได้คนที่เข้าข่ายมากี่คนครับ" เขาถามอย่างคาดหวัง
"สิบคนค่ะ ซึ่งถ้านับแค่คนที่เราสามารถเข้าถึงได้เลย ผกาคิดว่าคงจะเหลือแค่ประมาณสี่ถึงห้าคนค่ะ"
"เยอะกว่าที่ผมคิดไว้นะ อืมม...งั้นเดี๋ยวผกาส่งข้อมูลมาให้ผมได้เลยครับ และสำหรับรายไหนที่ใช้ตำแหน่งของผกาให้เป็นประโยชน์ได้ก็จัดการไปตามสมควรหรือเลยนะครับ เรื่องนี้ยิ่งเร็วยิ่งดี"
"ค่ะพล ผกาจะจัดการให้ตามที่บอกค่ะ เอ่ออ.. พลคะ ผกาจัดการให้ตามที่ขอแล้ว พลมีอะไรอยากจะได้จากผกาอีกไหมคะ"
เสียงออดอ้อนถามมาอย่างมีหวัง ทำให้ชายหนุ่มที่ได้ยินต้องลอบขำในใจ
"ไม่มีอะไรแล้วครับ เก่งมาก ขอบคุณมาก ถ้าไม่มีผกาผมคงลำบากกว่านี้แน่นอน แต่ตอนนี้ผมมีอะไรต้องคิดนิดหน่อย แค่นี้ก่อนนะครับ" เขาตอบอย่างอารมณ์ดี
"อะ อ้าาา...ค่ะ" ปลายสายรับคำสั้นๆอย่างเสียดายก่อนจะวางสายไป
"แหมม ถามแบบนี้มันน่าจะเลี้ยวรถกลับไปจัดให้อีกสักชุด" พลอดอมยิ้มให้กับคว่ามฉลาดพูดของสาวกคนใหม่ไม่ได้
เธอทั้งสวยและเก่งมากจริงๆ สมกับที่จบปริญญาเอกมาตั้งแต่อายุยังน้อย และเรื่องนี้จริงๆเธอก็เป็นคนแนะนำหลังจากรับรู้แผนของเขาด้วย
แต่ยิ้มได้เพียงไม่นาน ชายหนุ่มก็กลับมาตีหน้าขรึมดั่งเดิม
ตอนนี้แผนเขากำลังเริ่มเป็นรูปร่าง หากจะมัวแต่ลุ่มหลงในพลังที่ได้รับและใช้ชีวิตเสพสุขไปวันๆคงจะไม่เข้าทีนัก
เพราะหลังจากที่เขายอมเสียเวลาเก็บตัวทดลองและศึกษาข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับพลังแห่งบาปนี้อยู่นาน
ตอนนี้เขาก็พร้อมแล้วที่จะเริ่มขยายกำลังอำนาจเพื่อต่อกรกับตัวแทนแห่งบาปคนอื่นๆเสียที
พลเลือกมหาวิทยาลัยที่เขาต้องเข้าเรียนอยู่แล้วเป็นจุดเริ่มต้นของแผน
ด้วยเพราะนักศึกษาวัยอยากรู้อยากลองในสมัยปัจจุบันนั้นเป็นตัวเลือกที่ง่ายและสะดวกมากในการหาสาวก
หลังจากลองลงมือเองด้วยความบังเอิญในเคสของจ๋าและหยา เขาก็กลับไปเล็งเป้าแรกอย่างผกาวรรณทันที
เพราะขอเพียงเขามีสาวกเป็นระดับผู้บริหารองค์กรใดๆได้สักคน
การจะเพิ่มจำนวนสาวกหรือการทดลองอะไรใหม่ๆก็จะง่ายขึ้นสำหรับเขามาก
ด้วยความที่ผกาวรรณมีตำแหน่งเป็นถึงรองคณะ พลจึงสั่งให้เธอไปหาข้อมูลของนักศึกษาที่มีฐานะร่ำรวยในมหาลัยมาทันที
หากจะทำเป้าหมายของเขาให้สำเร็จ ทุนรอนจำนวนมากเป็นสิ่งหนึ่งที่พลจะขาดไปเสียไม่ได้
จริงอยู่ที่ตัวของเขาเองนั้นมีฐานะที่ร่ำรวยในระดับหนึ่ง หากแต่ตัวแทนคนแรกที่เขารู้จักและถือเป็นศัตรูก็เป็นถึงเจ้าของกิจการระดับพันล้านเสียแล้ว
ถ้าแค่ในเรื่องเงินทองยังสู้ไม่ได้ เรื่องอำนาจอิทธิพลอื่นๆก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ไม่นานนักข้อมูลจากรองสาวก็ถูกส่งเข้ามาในมือถือ
แต่พลยังคงไม่สนใจมันเท่าไหร่นักในตอนนี้ อีกไม่ช้าชายหนุ่มก็จะขับรถถึงที่หมายแล้ว
ใบหน้าของพลเริ่มกลับมายิ้มอีกครั้ง เพราะเขากำลังจะได้ทำเรื่องสนุกๆจากการแก้แค้นเล็กๆที่ค้างคามานานแล้ว
----------------------------------------------
"ทาาา ด้าา ดาาาา ทาา ดา ด้าาาา" เสียงฮัมเพลงเปล่งออกจากปากทรงกระจับงามได้รูปอย่างอารมณ์ดี
ขณะเจ้าของเสียงง่วนกับการจับชุดเดรสสั้นสีเหลืองอ่อนทาบทับกับร่างของตน
"เว้าสะดือหน่อยๆ ดูเซ็กซี่กำลังดีโอเค เอาชุดนี้แหละ"
หญิงสาวบอกกับตัวเองพลางหมุนตัวเอียงไปมาอยู่หน้าบานกระจกใหญ่ก่อนจะสวมชุดนั้นใส่ตัว
แต่ดูเหมือนมันจะติดขัดอยู่บ้างตรงร่างท่อนบนของเธอ
"โอ๊ยยย คับอีกแล้วเหรอเนี่ย" เธอก้มมองหน้าอกหน้าใจของตน
"ไปเอาออกได้มั้ยเนี่ย หนักชะมัด" ว่าพลางใช้สองมือช้อนสองเต้าพยายามขยับจัดทรงให้สวยงาม
แต่ไม่ว่าจะทำยังไงมันก็ดูรัดคับตึงเสียเหลือเกิน พาเอาคนอื่นที่เห็นอาจจะหายใจไม่ออกตามไปด้วย
มิ้นต์ในชุดเดรส 
พลันมือถือส่วนตัวซึ่งวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งก็ส่งเสียงขึ้น แต่หญิงสาวกำลังง่วนอยู่กับการจัดแต่งทรงผม
พอเห็นว่าใครโทรมาเธอจึงเพียงแค่รับสายพร้อมกดเปิดลำโพงส่งๆ และแต่งตัวต่อ
"นี่! ยัยมิ้นต์ ใกล้เวลนัดแล้วนะ แกยังแต่งตัวไม่เสร็จอีกเหรอ" เสียงเพื่อนสาวที่ดังเร่งเร้าออกมาทำให้มิ้นต์อดยิ้มที่มุมปากไม่ได้
"กะแล้วว่าต้องโทรมาบ่น หึ! ยัยจ๋า! แกโทรมาบอกก็ปาเข้าไปบ่ายโมงแล้ว แถมชั้นไม่ได้เจอพลตั้งแต่ที่โรงบาล ยังไงวันนี้ชั้นก็ต้องแต่งสวยๆหน่อย แล้วแกไปเจอพลมาตอนไหนเนี่ย ยังไม่ได้เล่าให้ฟังเลย"
มิ้นต์ถามขณะแต่งหน้าทาตาด้วยเครื่องสำอางที่ดีที่สุดที่เธอมี
วันนี้เธอปัดหน้าทาลิปในโทนชมพูอ่อนๆรับกับผมสีทองอมน้ำตาลแดงดูเข้ากันมากกับชุดที่สวมใส่
แม้จะเป็นนัดกินข้าวมื้อเย็นธรรมดาๆ แต่หญิงสาวก็อยากจะให้ตัวเองดูดีน่าประทับใจในสายตาพล
อีกทั้งยังเป็นในช่วงที่เธอกำลังเดือดร้อนเช่นตอนนี้ด้วย
"ก็ถ้าแกมาเรียนตั้งแต่วันแรกก็คงได้เจอกันไปแล้ว พลน่ะเรียนคณะเดียวกันกับพวกเราด้วยเธอรู้ไหม ไม่รู้ว่าลงเรียนตามใครมารึเปล่าน้าาา" ปลายสายลากเสียงหยอกเพื่อนสาว
"ไม่ต้องมาแซวชั้นเลยยัยบ้า! รีบๆเล่ามาเถอะ"
"โอเคๆ เพราะเรียนคณะเดียวกัน ชั้นก็เลยได้ไปเจอพลตั้งแต่คาบแรกเลย แต่พลน่าจะลงคนละเอกนะ เพราะเราไม่เจอพลอีกในคาบที่สอง
พอพลเห็นชั้น เรียนเสร็จเค้าก็รีบเดินมาหาชั้นเลย แล้วก็ถามถึงแต่เรื่องแก!! มิ้นต์อย่างโน้น มิ้นต์อย่างนี้ หึ! แกก็รู้ดีว่าพลรู้สึกยังไงกับแก
พอชั้นบอกว่าติดต่อแกได้ พลเลยให้ชั้นรีบนัดวันนี้เลยนี่ไง ว่าแต่แกเถอะยัยมิ้นต์ หลายวันมานี้หายไปไหนมา ติดต่อก็ไม่ได้ ยัยอายก็อีกคน เปิดเทอมมาหลายวันแล้วนะ เดี๋ยวก็เรียนไม่ทันกันหรอก"
จ๋าร่ายเสียยาวยึดแถมยังบ่นใส่เธออีก ซึ่งปกติหากโดนบ่นแบบนี้ มิ้นต์คงจะแอบเบะปากและต่อปากต่อคำกลับตามประสาเพื่อนสาว
หากแต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป เพราะใบหน้าสวยของมิ้นต์ขณะนี้กลับเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม
"เอ่ออ...ไม่มีอะไรหรอก ก็...เรื่องเดิมๆ นั่นแหละ เดี๋ยวไว้ว่างๆ จะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน"
มิ้นต์ตอบกลับแผ่วๆก่อนจะปรับน้ำเสียงแหย่เพื่อนสาวกลับโดยปิดซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
"แต่ตอนนี้คุณลูกแต่งตัวเสร็จแล้ว คุณแม่มีอะไรจะดุจะว่าคุณลูกอีกไหมคะ คุณลูกจะได้ฤกษ์ออกจากบ้านซะทีค้าาาา"
"หึ! ตอบแบบนี้สงสัยจะเรื่องไอ้คุณพี่ตั้มอีกแล้วล่ะสิ โอเคๆ รีบๆออกมาเเถอะ เดี๋ยวพลจะรอนาน"
"ดูแกจะเร่งชั้นมากกว่าคนนัดอีกนะ มีอะไรรึเปล่าเนี่ย" มิ้นต์ถามขำๆ ขณะเลือกหยิบส้นสูงจากชั้นวางมาสวมใส่ แต่จู่ๆ ปลายสายกลับชะงักเล็กน้อย
"ป..เปล่าๆ ก็เห็นไม่ได้เจอกันนานเฉยๆ กลัวจะไปไม่ตรงเวลานัด อืมๆ แค่นี้แหละ ชั้นวางแล้ว" แล้วสายก็ตัดไปดื้อๆทำเอามิ้นต์งงเล็กๆ
"วันนี้ยัยจ๋าทำไมทำตัวแปลกๆ" หญิงสาวส่ายหัวเบาๆไล่ความสงสัย พลางหันไปมองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ข้างประตูห้อง
เธอจ้องดูชุดสวยที่บรรจงเลือกใส่เพื่อโชว์ส่วนเว้าโค้งอันได้รูปของตนด้วยแววตาอันเศร้าสร้อย
"หวังว่า...นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราต้องทำอะไรแบบนี้นะ" มิ้นต์พูดกับตัวเองก่อนก้าวออกจากห้อง
----------------------------------------------
ใช้เวลาไม่นานนักจากห้องพักส่วนตัว หญิงสาวก็พาตัวเองก้าวลงจากแท็กซี่มาหยุดยืนอยู่ยังทางเท้าใกล้ที่หมาย
ห่างออกไปตรงหน้าไม่กี่สิบก้าว คือทางเข้าอันเปิดโล่งไปยังหนึ่งในโรงแรมที่หรูหร่าโออ่าที่สุดในย่านใจกลางเมือง
โรงแรมซึ่งเป็นถึงหนึ่งในสาขาของแบรนด์โรงแรมชื่อก้องระดับโลก อีกทั้งยังตั้งอยู่ใกล้ชิดกับห้างสรรพสินค้าใหญ่ชื่อดังไม่แพ้กัน
จึงไม่แปลกนักหากจะพบผู้คนพากันเดินอยู่ขวักไขว่ทั้งไทยและเทศอยู่รอบกายมิ้นต์เต็มไปหมด
และสถานที่นัดดินเนอร์กับพลที่จ๋าบอกเธอเอาไว้ ก็คือร้านอาหารแบบเปิดโล่งซึ่งมีทำเลอยู่บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมสูงหกสิบห้าชั้นตรงหน้านั่นเอง
หลังจ่ายค่าโดยสารเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็หันกลับมามองสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างรวดเร็ว
นี่ก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มซึ่งเป็นเวลานัดแล้ว แม้มิ้นต์จะตั้งใจมาก่อนเพื่อเป็นฝ่ายรอ
แต่จากประสบการณ์การถูกตามจีบอยู่บ่อยครั้ง
หญิงสาวจึงยังไม่อยากสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกเซอร์ไพรส์ด้วยดอกไม้ช่อใหญ่แสนอลังการที่จนเผลอทำท่าทางน่าเกลียดหมดสวยให้คนอื่นๆได้เห็น
แต่ถึงจะพยายามสอดส่ายสายตามองหาเพียงใด
เธอก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของพล นั่นทำให้เธออดหัวเสียน้อยๆจนอดบ่นพึมพำกับตัวเองไม่ได้
"อะไรเนี่ย..นัดซะกระชั้นแต่กลับปล่อยให้ผู้หญิงรอ เดี๋ยวจะสั่งอาหารให้กระเป๋าแบนเลยค่อยดู" บ่นก็ส่วนบ่น
แต่มิ้นต์ก็รู้ดีว่าต่อให้วันนี้เธอนึกครึ้มสั่งชาโตปี 05' มาดื่มสักแก้วสองแก้ว หรือสังทรัฟเฟิ้ลขาวมากินเล่นอีกสักสองสามร้อยกรัม มันก็ไม่ได้ระคายเคืองกระเป๋าผู้นัดเลยสักนิด
พลเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มินต์รู้ว่าฐานะทางบ้านของเขาร่ำรวยจริงๆ ไม่ได้รวยแต่เปลือกหรือทำตัวรวย
ดูเอาจากสถานที่นัดในวันนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี แถมเขายังไม่เคยโอ้อวดในเรื่องนี้กับใครเลยเสียด้วย
ทว่าพลก็มีข้อเสียใหญ่ๆซึ่งทำให้ที่ผ่านมามิ้นต์ไม่คิดจะสนใจ
นั่นก็คือรูปร่างหน้าตาที่เป็นไปในลักษณะของเด็กติดเกม ไม่หล่อ ไม่ดูแลตัวเอง ไม่รู้จักแต่งตัว
พ่วงมากับการทำตัวตามใจน่าเบื่อหน่ายขั้นสุดในบรรดาผู้ชายที่ตามหลงใหลเธอ
สาวสวยสูดหายใจลึก ไล่ความหงุดหงิดไม่เป็นเรื่องออกจากหัว
บางทีพลอาจจะรอเธออยู่ภายในโถงใหญ่ของโรงแรมก็ได้ เธอนึกก่อนจะตัดสินใจออกเดินไปยังโรงแรม
แต่ขณะที่มิ้นต์กำลังพาร่างของตัวเองตรงไปยังประตูทางเข้า
เธอก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินสวนออกมาจากด้านในโรงแรม
ร่างสูงนั้นสวมใส่ชุดสูทดำสนิทตัดกับสีผิวขาวเหลืองของเขา ในมือถือช่อดอกไม้สีชมพูหอบใหญ่
กำลังเดินด้วยท่าทีไม่เร่งรีบคล้ายจะมุ่งตรงมายังเธอ
เขาคนนี้ช่างดูดีไปเสียทุกส่วนสัดทั้งรูปร่างภาพลักษณ์
มากพอที่จะทำให้เธอเผลอหยุดเดินไปโดยไม่รู้ตัวทั้งๆที่ประตูโรงแรมห่างไม่ถึงสิบก้าว
สาวๆในบริเวณนั้นต่างพากันกระซิบกระซาบคิกคัก
พลันดวงตาของมิ้นต์ก็เบิกออกกว้าง เมื่อเธอจำเค้าหน้าของเขาได้ชัดเจน
"นั่น...พล...เหรอ" มิ้นต์พึมพำกับตัวเองเบาๆด้วยความตื่นตะลึง
และไม่กี่อึดใจ เขาก็ก้าวมาหยุดอยู่ข้างหน้า
ยิ่งใกล้ก็ยิ่งชัด เป็นพลจริงๆ พลที่เฝ้าพะนอเอาอกเอาใจเธอ คนที่เธอไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา
แต่ทำไมตอนนี้เขาช่างหล่อและดูดีมากขนาดนี้นะ พร้อมกันกับความคิดนั้น ร่างกายของหญิงสาวพลันเกิดการตอบสนองโดยไม่รู้ตัว
ใจเธอเต้นระรัว ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด เธอกำลังเขิน เขินพลคนที่เธอไม่มีวันคิดว่าจะรู้สึกแบบนี้ด้วยได้
"สวัสดีครับ... มิ้นต์" พลกล่าวเสียงนุ่มก่อนจะยื่นช่อดอกไม้ที่ถือมาให้
แม้จะเป็นฉากเดิมๆประโยคเดิมๆเฉกเช่นเดียวกันกับที่ออกจากปากผู้ชายนับสิบที่เธอเคยผ่าน
ตามปกติแล้วเธอมักจะปั้นหน้ายิ้มพร้อมตอบขอบคุณกลับไปพอเป็นพิธี
แต่ครานี้มิ้นต์กลับไม่ตอบคำใดๆ อีกทั้งยังก้มหน้างุดๆด้วยความอายพลางรับช่อดอกไม้ช่อใหญ่นั้นมาถือไว้
'นี่ชั้นเป็นอะไรไปเนี่ย กับพลเนี่ยนะ! ไม่! ไม่มีทาง' เธอนึกค้านในใจ
"ผมดีใจมากเลยนะครับ ที่มิ้นต์ยอมรับนัดผมวันนี้และมาคนเดียว" ชายหนุ่มยิ้มกว้าง เพราะที่ผ่านมามิ้นต์มักจะพกเพื่อนมาด้วยเสมอ
"ผมจองร้านไว้แล้ว เรารีบเข้าไปด้านในกันเถอะครับ เดี๋ยวจะไม่ทัน ทานได้ไม่ครบคอร์ส" พลผายมือเป็นเชิงเชิญ
มิ้นต์จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกสติ ก่อนจะเดินนำเขาเข้าลิฟต์เข้าไป
ด้วยความที่เป็นอาคารสูง ลิฟต์ที่ติดตั้งไว้จึงมีความรวดเร็วเป็นอย่างมากเพื่อไม่ให้ใช้เวลานานนักในการขึ้นลงแต่ละชั้น
เพียงพริบตาเดียว ทั้งคู่ก็บรรลุถึงชั้นดาดฟ้า และเมื่อประตูลิฟต์เปิดอ้าออก
ภาพที่ปรากฎตรงหน้าของหญิงสาว ก็ดูราวกับเป็นฉากหนึ่งในนิยาย
 
หลังคาคือผืนนภากว้างยามค่ำอันระยิบระยับไปด้วยหมู่ดาว พื้นทั่วทั้งบริเวณของดาดฟ้ากลับถูกตกแต่งไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้นานาพรรณ
อีกทั้งยังถูกประดับไปด้วยหลอดไฟสีนวลดวงเล็กๆ ดูแล้วสวยงามไม่ต่างจากภาพวาด
โต๊ะอาหารเพียงโต๊ะเดียวถูกจัดเตรียมเอาไว้รอพวกเขาทั้งสอง มันตั้งอยู่ใต้ซุ้มซึ่งตกแต่งไปด้วยพุดซ้อนขาวบริสุทธิ์
ด้านล่างรายล้อมไปด้วยแท่งเทียนน้อยใหญ่ที่ส่งแสงสว่างเหลืองนวล
บนโต๊ะปูด้วยผ้าขาวครบครันไปด้วยภาชนะหรูดูเข้ากันกับเชิงเทียนสีทองคำซึ่งตั้งไว้ที่กึ่งกลางโต๊ะ
ประกอบกับเสียงดนตรีบรรเลงจากลำโพงที่ถูกซ่อนไว้ลอยคลอเคล้าช่วยเสริมบรรยากาศ
"นี่มัน...ทำไมถึงมีแค่โต๊ะเดียว"
มิ้นต์พึมพำกับตัวเองราวละเมอเพราะภาพที่เห็นต่างกับที่คิดไว้ไปไกลโข ร้านนี้จริงๆแล้วเธอเองก็รู้จักและเคยมา
ซึ่งตามปกติที่นี่เคยมีโต๊ะเกือบยี่สิบโต๊ะเพื่อให้เพียงพอต่อแขกจำนวนมากที่จองคิวมาใช้บริการ
แต่ในวันนี้มันกลับหายไปไหนหมด
"วันนี้ผมเหมาและให้ร้านจัดที่ไว้สำหรับนัดของเราครับ จะได้ไม่มีใครมากวน"
พลตอบพร้อมกับจูงมือพามิ้นต์ที่กำลังเหม่อให้เดินไปนั่ง ก่อนจะส่งสัญญาณกับบริกรเพื่อเริ่มคอร์ส
"หวังว่ามิ้นต์จะชอบนะครับ ทานให้เต็มที่เลย ผมจ่ายเองทั้งหมดครับ" พลกล่าวพร้อมรอยยิ้มอันมีเลศนัย
หลังจากตื่นเต้นกับสถานที่ไปแล้ว มิ้นต์ก็ยังต้องตะลึงยิ่งกว่าเก่าเมื่อได้เห็นบรรดาอาหารที่พลสั่งเอาไว้
เพราะเมื่ออาหารถูกนำมาวาง บริกรก็จะอธิบายถึงวัตถุดิบและขั้นตอนการเตรียมของอาหารนั้นๆให้กับทั้งคู่ฟัง
ไม่ว่าจะเป็นไวน์ชั้นดีหายากเอย เสต็กเนื้อวัวเกรดพรีเมี่ยมเอย ทรัฟเฟิลเอย คาเวียร์เอย และอื่นๆที่หญิงสาวเคยได้ยินแต่ชื่อต่างถูกทยอยนำมาเสิร์ฟเรื่อยๆ
'หมอนี่รวยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน' มิ้นต์นึกขณะตักอาหารกินเงียบๆ
'เท่าที่รู้ไม่น่าจะรวยขนาดนี้นี่นา แต่ถ้ารวยขนาดนี้...เราก็ไม่รู้สึกผิดแล้ว' หญิงสาวนึกถึงปัญหาหนักอกแล้วก็เผลอถอนหายใจ
"อาหารไม่อร่อยเหรอครับ" ชายหนุ่มเอ่ยถามหลังสังเกตเห็น แม้จะมีพลังแห่งบาป แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาอ่านใจใครได้
"อ.อ้อ เปล่าคะ อร่อยมากเลยมิ้นต์ไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ต้องขอบคุณพลมากนะคะ" เธอตอบหลังซับปากเบาๆ
สมกับเป็นเครื่องสำอางราคาแพง ริมฝีปากสีชมพูของเธอไม่ได้จางลงเลยแม้แต่น้อย
"วันนี้...มิ้นต์ดูสวยกว่าที่ผมคิดไว้อีกนะครับ ผมชอบมากเลย" จู่ๆพลก็เอ่ยขึ้นมาเฉยๆ เล่นเอาหน้าของมิ้นต์ขึ้นสี
"ข..ขอบคุณ ค..ค่ะ" มิ้นต์ตอบอึกอัก นอกจากพี่ตั้ม เธอก็ไม่เคยเขินใครแบบนี้เลย
ทั้งความหล่อและความรวยของพลในตอนนี้ ทำให้หญิงสาวเริ่มมีใจให้กับพลโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว
"ทำไมจู่ๆพลถึงอยากเจอมิ้นต์อีกล่ะคะ หลังจากที่โรงพยาบาลวันนั้นมิ้นต์จะกลับไปเยี่ยมอีกก็ไม่เจอ แถมพลก็ไม่ติดต่อมิ้นต์มาเหมือนอย่างที่เคยอีกเลย ในเกมก็ไม่เห็น"
มิ้นต์ถามเรื่องที่เธอสงสัยมานาน
พลนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพลางใช้ซ้อมเขี่ยคาเวียร์บนแครกเกอร์เล่นไปมาก่อนจะตอบกลับ
"พอดีผมย้ายมารักษาตัวต่อที่บ้านน่ะครับ แล้วก็พักฟื้นยาวเลย พอหายก็ต้องมาจัดการเรื่องรับช่วงต่อธุรกิจของที่บ้านจนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นเลย มือถือก็พังตอนเกิดอุบัติเหตุจนเบอร์หายหมด ผมไม่ได้ติดต่อไปขอโทษด้วยนะครับ" พลปั้นเรื่องโกหกอย่างแนบเนียนเท่าที่เขาจะนึกออก
อันที่จริงเขายังไม่ได้รับช่วงต่อกิจการอะไรทั้งนั้น
สำหรับคนทั่วไป ตัวเลขหกหลักสำหรับค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่ได้รับจากพ่อแม่อาจจะมองดูเยอะ
แต่มันก็ไม่ได้มากมายพอที่เขาจะเอามาใช้ในแผนการหรือแม้กระทั่งมื้ออาหารหรูในวันนี้
โชคดีที่ผกาวรรณเคยเป็นคู่ขาของเจ้าของโรงแรมอยู่พักหนึ่ง พลจึงให้เธอไป 'จัดการ' ขอใช้สถานที่เป็นกรณีพิเศษ
แล้วผลก็ออกมาเป็นอย่างที่เห็นโดยที่เขาแทบจะไม่เสียเงินสักแดงเดียว
แถมคล้ายๆตอนนี้เขายังจะเป็นเจ้าของลับๆของโรงแรมนี้ไปอีกแล้วด้วย
"อ้ออ ไม่เป็นไรค่ะ แค่ได้มาเจอกันวันนี้ มิ้นต์ก็ดีใจแล้ว" หญิงสาวรู้สึกโล่งอกจนเผลอยิ้มออกมา
หลังจากได้เห็นแววตาของพลที่โรงพยาบาลในวันนั้น เธอก็คิดว่าชายหนุ่มอาจจะหมดความสนใจในตัวเธอไปแล้ว
เขาหายไปจนเธอรู้สึกเสียดาย เพราะแม้จะมีผู้ชายที่รวยและพร้อมจะเปย์เธอแบบพลเข้ามาขายขนมจีบอยู่หลายราย
แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเข้ามาเพราะหวังในรูปลักษณ์หน้าตาของเธอทั้งสิ้น
หญิงสาวคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจอะไรได้
วันนี้พลทำให้เธอรู้สักอบอุ่นหัวใจเหลือเกิน
สีหน้าของเธอแน่วแน่เม้มปากเน้น
ก่อนจะเริ่มเอ่ยคำถามที่คิดไตร่ตรองมาดีแล้วออกไปด้วยใจเต้นแรง
"ทานอาหารเสร็จแล้ว เราจะไปไหนต่อกันดีคะ"
"....."
พลออกจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เพราะแม้เรื่องนี้จะตรงตามแผนที่เขาบรรจงวางไว้ เขาก็ไม่คิดว่ามิ้นต์จะเป็นฝ่ายเอ่ยชวนด้วยตัวเองรวดเร็วเช่นนี้
แต่ไหนแต่ไรเมื่อเสร็จกิจกรรมเธอก็มักจะขอตัวกลับแทบจะทันทีตลอด
อีกทั้งจนถึงตอนนี้ พลก็ยังไม่ได้ใช้พลังแห่งราคะเลยสักนิด
จะมีก็แค่เศษพลังบางเบาที่อาจจะกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้บ้าง แต่ก็เล็กน้อยเท่านั้น
"อืมมม..ผมก็ไม่ได้มีแพลนจะพามิ้นต์ไปไหนต่อหรอกครับ เพราะปกติมิ้นต์ก็จะขอกลับก่อนทุกที และอันที่จริง วันนี้ผมก็หวังแค่จะได้เจอได้คุยกับมิ้นต์กับมิ้นต์ผมก็พอใจแล้วครับ แต่ถ้ามิ้นต์อยากจะไปต่อ งั้นเอาเป็น เราไปหาหนังดูกันสักเรื่องดีไหมครับ มีโรงหนังอยู่ใกล้ๆนี่เอง" ชายหนุ่มเสนอ
"ได้สิคะ ตอนนี้มิ้นต์ก็เริ่มอิ่มแล้วด้วย" มิ้นลูบหน้าท้องแบนราบของตนเบาๆขณะพูดพลางหัวเราะแห้งๆ มื้อนี้เธอกินไปไม่น้อยเลย
"งั้นเราไปกันเลยก็ได้นะคะ"
แม้ดูหนังจะเป็นตัวเลือกที่น่าเบื่อสำหรับการเดต แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจนัก
ตอนนี้ขอเพียงให้มีโอกาสใกล้ชิดกับพลให้มากเข้าไว้ก็พอแล้ว
"โอเคครับ งั้นเดี๋ยวผมจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายแล้วเราไปกันเลย มิ้นต์อยากดูเรื่องอะไรลองหาดูก่อนก็ได้นะครับ" พูดจบเขาก็หันไปเรียกบริกรให้มาที่โต๊ะทันที
ระหว่างรอ มิ้นต์จึงหยิบมือถือขึ้นมาตั้งใจจะหาข้อมูลหนังตามที่พลบอก
แต่แล้วเธอก็สะดุดเข้ากับการแจ้งเตือนจากข้อความแชทจำนวนมาก
เมื่อกดเปิดอ่าน มือของหญิงสาวก็สั่นเบาๆอย่างคุมไม่ได้
"เอ่อออ..พล..เดี๋ยวมินต์ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ" จู่ๆหญิงสาวตรงหน้าผุดลุกขึ้นไปทันที
แม้จะดูปุบปับไปหน่อยแต่พลก็ไม่ได้แปลกใจอะไรนัก เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้หญิงอาจจะอยากเติมหน้าหรือเธออาจต้องการเข้าห้องน้ำจริงๆก็ได้
ตำแหน่งของห้องน้ำยังคงอยู่ที่เดิมทำให้มิ้นต์พอจะคลำทางมาได้ถูก
หญิงสาวมองซ้ายขวาสำรวจรอบข้างจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใคร เธอก็รีบพุ่งเข้าห้องน้ำด้านในสุดทันที
หลังหย่อนสะโพกสวยนั่งลงบนฝาชักโครก มิ้นติ์ก็รีบควักมือถือขึ้นมาเปิดดูอย่างร้อนรน
ตืดดดดด ตืดดดดด พอดีกันนั้น สายเรียกเข้าที่เธอไม่อยากรับก็โทรเข้ามา
มิ้นต์ใจสั่น มือไม้เย็นเฉียบไปหมด 'ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วยนะ' เธอนึกก่อนจะกดรับสาย
"มิ้นต์ไม่ตอบข้อความพี่เลยนะคะ ทำอะไรอยู่เอย" ปลายสายถามขึ้นแทบจะทันที
"ข..ขอโทษค่ะพี่ตั้ม พอดีมิ้นต์ออกมาหาเพื่อนข้างนอก"
"เหรอ..อีกไม่กี่วันจะถึงกำหนดแล้วน้องมิ้นต์รู้ใช่ไหมครับ ครั้งนี้ถ้าพี่ไม่มีเงินให้พวกมัน พวกมันเอาพี่ตายแน่ แล้วน้องมิ้นต์สุดที่รักของพี่ยังจะมีกะจิตกะใจไปหาเพื่อนอีกเหรอคะ" เสียงตั้มเย็นยะเยียบ
"มิ้นต์มา...เอ่ออ.. ออกมายืมเงินเพื่อนค่ะ"
"ดี! ดีมาก! คนเก่งของพี่ น่ารักที่สุด!" ตั้มดีใจจนรู้สึกได้ชัดเจนผ่านเสียง ก่อนจะแผ่วลงราวกระซิบเหมือนกลัวผิดหวัง
"แล้วเพื่อนของมิ้นต์มีพอให้ยืมใช่ไหมคะ เผื่อน้องมิ้นต์คนดีของพี่จะลืม ครั้งนี้จำนวนมันไม่ใช่น้อยๆเลยนะคะ"
"น..น่าจะพอคะ เพื่อนมินต์คนนี้รวยมาก"
"ดีมากค่ะ" คำตอบของมิ้นต์ทำให้ตั้มโล่งใจ แต่เพื่อความไม่ประมาทตั้มจึงกล่าวสำทับ
"ฟังดูแล้วน่าจะรวยกว่าเสี่ยอ้นอีกเนอะ แต่ถ้าไม่พอยังไง...เสี่ยอ้นยังพร้อมรอเจอน้องมิ้นต์อยู่นะคะ"
"ม..ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร มิ้นต์จัดการได้ค่ะพี่ตั้ม" มิ้นใจหายวูบตอบกลับอย่างลุกลี้ลุกลนเมื่อความทรงจำอันเลวร้ายผุดขึ้นมาหลังได้ยินชื่อนั้น
"ว่าแต่พี่ตั้มคะ..."
"ว่ายังไงคะสุดที่รักของพี่" ตั้มตอบเสียงหวาน
"พี่ตั้มอย่าลืมสัญญานะคะ ว่าครั้งนี้...จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว" หญิงสาวเสียงสั่นเครือ
"ค่ะ พี่รับปาก" ตั้มตอบหนักแน่น "งั้นพี่ไม่กวนมิ้นต์แล้ว หวังว่าพรุ่งนี้พี่จะได้ยินข่าวดีนะคะ" สิ้นเสียง สายก็ถูกตัดไป
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่รู้สึกวิงเวียนจนต้องกุมขมับ หางตาเรียวสวยเริ่มมีหยาดน้ำใสซึมขึ้นมาคลอ
"ยัยมิ้นต์บ้า ทำไมต้องยังรักคนแบบนี้อยู่ด้วยนะ" เธอกล่าวกับตัวเองเบาๆ รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกคล้ายโดนเข็มทิ่มแทง...
----------------------------------------------
"ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวจะไม่ทันหนังรอบสุดท้าย" พลเอ่ยพร้อมลุกขึ้นเมื่อเห็นมิ้นต์เดินกลับมาจากห้องน้ำ
สาวสวยจึงส่งยิ้มน้อยๆให้เป็นคำตอบก่อนทั้งคู่จะเดินเข้าลิฟต์กลับลงไปด้วยกัน
เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดพล มิ้นต์ก็กลับมารู้สึกอบอุ่นหัวใจอีกครั้ง
เธอจึงตกลงใจจะโยนเรื่องราวอันหนักหัวเมื่อครู่ทิ้งไปช่วครู่เพื่อซึมซับความสุขตรงหน้านี้
เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอก็เอนตัวไปพิงไหล่กว้างของชายหนุ่มข้างๆ
'พลสูงขึ้นรึเปล่านะ รู้สึกสบายใจจังเลย' มิ้นต์นึก
'อือหื้อ' พลนึกอุทานในใจหลังเหลือไปมองสาวสวยข้างกาย
ด้วยมุมอันเหมาะเจาะ ทำให้สองเต้าอันอวบใหญ่ของมิ้นต์แทบจะโผล่ออกมาให้เขาเห็นทั้งยวง
มันทั้งเนียน ทั้งขาวราวกับเอาซาลาเปาสองลูกใหญ่มายัดไว้
'ว่าแต่ทำไม่วันนี้เธอดูอ่อยเราแปลกๆกันนะ' ชายหนุ่มครุ่นคิด
แม้พลังที่ได้รับจะช่วยเพิ่มเสน่ห์และความหล่อเหลาของเขาขึ้น
แต่หากไม่ใช้พลังเข้าช่วย พลก็มั่นใจว่าคนปกติธรรมดาไม่มีทางที่จะยอมเสนอตัวให้เขาง่ายๆแบบนี้แน่
ยิ่งกับมิ้นต์ที่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนและหลอกใช้เขามาตลอด
สุดท้ายชายหนุ่มก็เลิกคิดมาก
ไม่ว่ามิ้นต์จะมีจุดประสงค์หรือแผนการอะไรก็ตาม
อีกไม่นาน เธอนั่นแหละจะเป็นผู้สารภาพให้เขารับรู้ด้วยตัวเองอย่างถึงพริกถึงขิง....
----------------------------------------------
อยากจะบอกสั้นๆก่อนจะพบกันอีกในตอนหน้าครับ
i'll be back ทุกท่านสามารถเข้าไปแนะนำติชมเพิ่มเติม หรืออ่านเรื่องอื่นๆได้ที่นี่My living room [GoderSoul]... (https://xonly8.com/index.php?topic=164679.0)
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน
หายไปนานมาเลยครับ นึกว่าจะไม่มีตอนต่อไปแล้ว มาถึงตอนนี้สงสารมิ้นต์เหมือนกันนะครับที่ไปรักพี่ตั้ม
นี่มันเรื่องในตำนานเลยนะครับเนี่่ย ตามตั้งแต่ก่อน rewrite rewrite มาก็ตามอยู่ :)
แอบไปดู"ฟล์ที่เคยแชร์ให้ไม่กี่อาทิตย์ยังเท่าเดิมอยู่เลย แสดงว่าฮึดปั่นไม่นานนี้แน่ๆ ดีครับผมจะได้ปั่นของผมบ้าง 5555555 ดองจนไม่รู้จะดองยังไงแล้ว
ยินดีที่ได้อ่านอีกครั้งนะครับ อ่านตอนนี้แล้วก็สงสารน้องมิ้นต์อยู่เหมือนกันแต่เหมือนน้องมิ้นต์จะโดนเสี่ยอ้นไปแล้วสินะ
มีพลิกล็อกเล็กๆ ด้วยนะครับ ต่างฝ่ายต่างเตรียมหาประโยชน์จากอีกฝ่าย แต่ตอนต่อไป ถ้าจะสมประโยชน์กันหลายยกเลยนะครับ หวังว่าจะไม่มีคู่กัดมาขัดขวางอีก
ขอบคุณครับ
อืม มินต์ดูแก่กว่าผกาอีกนะครับ สงสัยผกากินเด็กบ่อย ส่วนมินต์กินแต่แก่ๆ 555
รอมานาน วางโครงเรื่องไว้น่าสนใจมาก ค่อยๆ ไปทีละภาคก็ได้ครับ แต่อยากให้ไปจนจบ
ยินดีต้อนรับการกลับมาครับผม การเขียนยังทำให้อ่านไหลลื่นดีเหมือนเคยเลยครับ ขอบคุณครับ ::Thankyou::
ตัวละครผกาวรรณนี่น่าจะมีบทบาทต่อไปได้มากเลยนะครับในความเห็นผม เพราะมีอิทธิพลที่สาวคนอื่นไม่มี
ต้องแก้แค้นด้วยความดีถึงจะชนะทั้งหมดแก้แค้นายต้ำจัดไปขอดราม้าเพิ่มอีกน้องมิ้นต์คงต้องตกเป็นทาสต่อไป
น้องมินท์ก็น่าสงสารเหมือนกันนะ ต่างทำร้ายกันไปมา มันจะจบตรงไหนนี่..
ใครจะเสร็จใครกันแน่ นี่ขนาดมิ้นยั่วๆ และหลอกพลมาตลอด พลยังหลงหัวปักหัวปำขนาดนี้