🧡 XONLY 🧡

LIGHT ZONE => ห้องนั่งเล่น => หัวข้อที่ตั้งโดย: 02766132 เมื่อ พฤษภาคม 06, 2010, 06:20:07 ก่อนเที่ยง

ชื่อ: "ลูกรอดจมน้ำ" แค่ "ว่ายเป็น" เพียงพอหรือไม่!
โดย: 02766132 เมื่อ พฤษภาคม 06, 2010, 06:20:07 ก่อนเที่ยง
เมื่อพูดถึง "เด็ก" กับ "การเล่นน้ำ" ดูจะเป็นของคู่กัน แต่สิ่งที่พ่อแม่พึงระวังจากความสนุกแบบเปียกๆ นี้คือ "ความสูญเสีย" ที่อาจะเกิดขึ้นได้เพียง เสี้ยววินาที จากสถิติพบว่า "อุบัติเหตุจมน้ำ" เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของเด็กไทย ซึ่งสูงมากกว่าการเสียชีวิตจากโรคติดต่อและสูงเป็น 2 เท่าของอุบัติเหตุจราจร ทำให้พ่อแม่กังวลและเป็นห่วง จึงส่งลูกไปเรียนว่ายน้ำ เพื่อให้ลูกเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุทางน้ำที่อาจเกิดขึ้น
       
       ...การว่ายน้ำเป็นอย่างเดียว เพียงพอหรือไม่สำหรับเด็ก??? เป็นคำถามที่น่าฉุกคิด โดย "พ.อ.อดิศักดิ์ สุวรรณประกร" หรือ "ครูอุ๋ย" ผู้ช่วยเลขาธิการสมาคมเพื่อช่วยชีวิตทางน้ำ และโค้ชว่ายน้ำที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปี อีกทั้งเป็นผู้คิดค้นหลักสูตรการว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด (Survival Swimming) ให้ข้อมูลว่า
       
       การเรียนการสอนว่ายน้ำในประเทศไทย ยังไม่มีหลักสูตรที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่เป็นระบบ ไม่มีสถาบันรับรอง และเน้นให้ว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์ ท่ากบ ท่ากรรเชียง และท่าผีเสื้อ ซึ่งเป็นท่าว่ายน้ำ 4 ท่ามาตรฐานที่ใช้สำหรับการแข่งขัน โดยไม่ได้สอนเรื่องความปลอดภัยทางน้ำ การเอาชีวิตรอดจากอุบัติภัยทางน้ำ การช่วยคนตกน้ำ ทำให้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงเป็นคำตอบว่าทำไมเด็กไทยส่วนใหญ่ เอาชีวิตรอดจากการจมน้ำไม่ได้
       
       "ผู้ใหญ่ปัจจุบัน ที่เป็นเด็กสมัยก่อนไม่ได้เตรียมการเพื่อการป้องกัน คิดให้ลูกเรียนว่ายน้ำเป็นพอแล้ว แต่ไม่มองภาพความจริงว่า ถ้าเรือเกิดล่ม ไกลจากฝั่ง 3 กิโลเมตร ลูกจะว่ายน้ำเข้าฝั่งได้อย่างไร เพราะเด็กปัจจุบันเรียนว่ายน้ำในระยะทาง 200-300 เมตร โดยขาดทักษะการเอาชีวิตรอด โดยเฉพาะการลอยตัวในน้ำให้ได้นาน" ครูอุ๋ยเผยถึงปัญหา
       
       นอกจากนี้ การช่วยชีวิตคนจมน้ำ ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาการจมน้ำของเด็ก เนื่องจากคนที่ว่ายน้ำเก่ง เวลาเห็นเพื่อนตกน้ำก็จะลงไปช่วย แต่ไม่มีทักษะการช่วยชีวิตคนจมน้ำ ทำให้ถูกคนจมน้ำกอดและกดให้จมไปด้วยกัน ถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก อีกทั้งยังขาดความรู้การช่วยชีวิตคนจมน้ำหลังจากขึ้นจากน้ำ เช่น การผายปอด ดังนั้นโอกาสรอดของคนจมน้ำจึงไม่มีคนทำ ต้องรอความหวังจากหมอเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ดี การเรียนว่ายน้ำให้ได้ผลนั้น ครูอุ๋ยบอกว่า ควรให้ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยทางน้ำ โดยสอนเรื่องอุบัติภัยทางน้ำเกิดขึ้นได้อย่างไร จะได้เตรียมการป้องกันไว้ก่อนเพื่อลดโอกาสการเกิดอุบัติภัยทางน้ำ การเอาชีวิตรอด ได้แก่ สอนทักษะการว่ายน้ำท่าต่างๆ และเพิ่มทักษะการลอยตัวแบบนอนหงาย-นอนคว่ำ ปัจจุบันใช้เวลาเรียนไม่เกิน 3 ชม. นอกจากนี้ ควรสอนให้ความรู้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ำที่ถูกต้องและปลอดภัยด้วย พร้อมกับเพิ่มความรู้ด้านการปฐมพยาบาล การผายปอด และนวดหัวใจ รวมทั้งการช่วยผู้ประสบภัยที่มีสิ่งแปลกปลอมอุดตันหลอดลม
       
       สำหรับอายุที่เหมาะสมในการเรียนว่ายน้ำ ครูอุ๋ยได้แยกเป็น 2 ส่วน คือ พ่อแม่ควรหาโอกาสให้ลูกคุ้นกับน้ำ เริ่มตั้งแต่ 6 เดือน แต่ทั้งนี้ควรระวังลูกสำลักด้วย เช่น พาลูกลงเล่นกับอ่างอาบน้ำ พอลูก 3 ขวบ เริ่มพาเด็กลงสระว่ายน้ำ ซึ่งต้องเลือกสระที่มีคลอลีนไม่มาก กระทั่ง 4 ขวบ หรืออย่างช้าที่สุด 6 ขวบ ลูกควรจะได้เรียนว่ายน้ำ โดยไม่เน้นท่าที่เร็วเกินไป แต่ควรให้ลูกมั่นใจที่จะลงน้ำ รวมถึงลอยตัวในน้ำให้ดีเสียก่อน
       
       ทั้งนี้ พ่อแม่ไม่ควรเร่งลูก หรือครู อย่างน้อย 1 วัน ควรให้ลูกเล่นประมาณ 1 ชม. หลังเรียนเสร็จควรปล่อยให้ลูกเล่นอย่างอิสระประมาณ 10 นาที ก่อนขึ้นสระ เพราะเด็กจะฝึกทักษะของตัวเด็กเอง ช่วยทบทวน และเสริมทักษะให้เด็กได้ดีไม่น้อย ปัจจุบันมีบางโรงเรียนได้นำหลักสูตรการเอาชีวิตรอดจากการจมน้ำไปใช้แล้ว ได้แก่ โรงเรียนสวนกุหลาบนวิทยาลัย (นนทบุรี) โรงเรียนสตรีวิทยา 2 และโรงเรียนเพลินพัฒนา ซึ่งโรงเรียนหลังได้นำหลักสูตรนี้ไปใช้เต็มรูปแบบ
       
       สำหรับการสอนลูกเบื้องต้นให้รู้เท่าทันเรื่องการเล่นน้ำง่ายๆ ครูอุ๋ยทิ้งท้ายว่า "พ่อแม่ควรสอนให้ลูกรู้จักเลือกสถานที่เล่นน้ำ โดยสังเกตว่า ตรง ไหนน้ำลึก ตื้น หรือมีน้ำวน และเมื่อต้องเดินทางไปท่องเที่ยวใกล้แหล่งน้ำ ควรสอนให้สังเกตคำเตือน เช่น ไปเที่ยวน้ำตก การจะลงน้ำ ต้องเตรียมกางเกงว่ายน้ำที่เหมาะสมไปด้วย ไม่ควรใส่กางเกงยีนส์ลงเล่น โดยเฉพาะน้ำตก เพราะน้ำมันเย็น และกางเกงยีนส์พอเปียกน้ำ จะแข็ง และหนัก ทำให้ว่ายไม่ถนัด
       
       รวมทั้งควรเตรียมอุปกรณ์ช่วยชีวิตคนตกน้ำ เช่น ขัน แกลลอนน้ำมันเปล่าๆ เชือก ไม้ ซึ่งการช่วยไม่จำเป็นต้องกระโดดลงไป แต่ควรยื่น หรือโยนอุปกรณ์ลอยน้ำให้จับ เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งเด็กว่ายน้ำไม่เป็น ก็สามารถช่วยชีวิตเพื่อนได้"
"เสียงกังวลพ่อแม่ ถึงปัญหาเด็กจมน้ำ
       
       จากข้อมูลสถิติเด็กจมน้ำที่มีอย่างต่อเนื่อง "เปล่งสุรีย์ จิตต์เทอดไทย" หรือ "คุณแม่แอร์" อายุ 47 ปี มีลูกสาววัย 13 ปี และลูกชายวัย 9 ขวบ ซึ่ง มีความกังวลกับเรื่องการเล่นน้ำมาก เนื่องจากครอบครัวของเธอ จะใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปเที่ยวนอกบ้านด้วยกัน โดยเฉพาะทะเล ซึ่งบางครั้งใจหาย และเป็นห่วงลูก เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา กลัวว่าลูกจะเอาตัวรอดจากน้ำไม่ได้ ซึ่งลำพังเพียงว่ายน้ำเป็นอย่างเดียวคงไม่พออีกต่อไปแล้ว จึงให้ลูกลงเรียนหลักสูตรการว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด ถือเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ลูกรอดพ้นจากการจมน้ำได้สูง อย่างน้อยลูกมั่นใจ และมีสติในการช่วยชีวิตตัวเองจากอุบัติเหตุทางน้ำ หนึ่งในทักษะดังกล่าวนั้นคือ ลอยตัวอยู่ในน้ำได้นานๆ เมื่อมีทักษะด้านนี้ ในฐานะพ่อแม่ก็หมดห่วง และเที่ยวได้อย่างสบายใจมากขึ้น
       
       เช่นเดียวกับ "ธัญลักษณ์ แสนโม่" หรือ "คุณแม่เล็ก" อายุ 43 ปี คุณแม่บ้านลูกหนึ่ง เล่าความกังวลว่า เวลาลูกเดินทางไปโรงเรียน หรือแอบไป เที่ยวเล่นนอกบ้าน รู้สึกเป็นห่วงมาก โดยเฉพาะเรื่องการตกน้ำ แต่เมื่อมีข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนว่ายน้ำมากขึ้น ทำให้ทราบว่า การว่ายน้ำเป็นอย่างเดียวไม่เพียงพอที่ลูกจะเอาชีวิตรอดจากการจมน้ำได้ เนื่องจากตัวพ่อแม่ หรือลูกไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าจะตกน้ำไกลจากฝั่งมากน้อยแค่ไหน ซึ่งถ้าไกลจนว่ายกลับมาไม่ได้ อย่างน้อยสามารถลอยตัวเป็น และลอยได้นานพอที่จะรอให้คนมาช่วยเหลือได้ เมื่อมีทักษะดังกล่าวดีแล้ว การให้ลูกเรียนว่ายน้ำในท่าต่างๆ ก็ยังไม่สายเกินไป แต่พื้นฐานการเอาตัวรอดเป็นสิ่งจำเป็นที่เด็กทุกคนควรจะต้องมี เวลาตกน้ำ ก็จะได้ไม่จม
       
       อ่านถึงตรงนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนคงเริ่มสนใจในความปลอดภัยของบุตรหลานกรณีภัยทางน้ำบ้างแล้ว โดยรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถเข้า ไปดูได้ในเว็บไซต์ของสมาคมเพื่อช่วยชีวิตคนทางน้ำที่ //www.thailifesaving.org