ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_err

จอมไสยสาว ภาคพิเศษ   อาจอง ตอนที่ 2 (จบ)

เริ่มโดย err, พฤศจิกายน 09, 2010, 09:54:38 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

err

ข้ารอเวลา 7 วันด้วยใจระทึกและกระวนกระวาย
...
...
ในที่สุดวันเวลาสำคัญก็มาถึง
คืนที่ 6 ข้าแต่งกายด้วยชุดดำสนิทลักลอบออกจากวังไปที่บ้านอาจารย์บานอง
คนสนิทของข้าได้เตรียมม้าเอาไว้ให้เรียบร้อย
ไม่นานเราทั้ง 3 คนก็ควบม้าออกจากเมืองไปยังบ้านอาจารย์บานอง

....ก๊อก ๆ ๆ.....
"มากันแล้วเหรอ..."
"ใช่อาจารย์..ข้าเอง..."
"ขึ้นมา..."

ข้าให้คนสนิทของข้าทั้งเตรียมอาวุธพร้อมมือ..เฝ้าอยู่ใต้ถุนบ้านของอาจารย์บานอง
ส่วนตัวข้ารีบขึ้นบันไดแล้วเปิดประตูเข้าไปภายในบ้าน
อาจารย์บานองนุ่งขาวห่มขาวนั่งอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชาที่มีเทวรูปต่าง ๆ จำนวนมากมาย
ข้าเดินเข่าเข้าไปหาแล้วพูดว่า
"ทำพิธีได้เลย..ท่านอาจารย์"
อาจารย์บานองหัวเราะร่าก่อนพูดว่า
"องค์ชาย..พิธีนี้เรียกว่า..แปลงรูปถอดร่าง.."
ข้าพยักหน้า
"งั้นเริ่มเลยนะองค์ชาย...องค์ชายเอาชุดของพระเชษฐามาสวมได้เลย"

ข้าหยิบเอาชุดที่ได้ขโมยเอาไว้ก่อนออกมาแล้วเดินไปเปลี่ยนชุดทันที
ชุดของข้าแตกต่างจากชุดของพี่สัญชัยตรงที่ปลายแขนมีปีกสีทองยื่นออกมาเป็นการแสดงยศเท่านั้น
เมื่อสวมชุดของพี่สัญชัยเรียบร้อย ข้ารีบเข้าไปนั่งขัดสมาธิตรงหน้าอาจารย์บานอง
สำหรับขาบริกรรมอาคมที่ได้รับการถ่ายทอดมาให้

ถ้าไม่ใช่การกำชับอย่างหนักแน่นว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามลืมตาเด็ดขาด
ข้าคงทนไม่ได้ เพราะความรู้สึกในตัวเหมือนมีเปลวไฟวิ่งวนไปทั่วร่าง
มันร้อนมากจนเหมือนว่ากระดูกของข้าจะแตกทำลาย
แต่จะยังไงก็ตามข้าก็ยังอดทนหลับตาบริกรรมอาคมไปเรื่อย ๆ

จากความร้อนรุ่มกลายเป็นความเย็นซ่า แล้วก็หนาวเหน็บ
ข้าสั่นสะท้านไปทั้งร่างอย่างไม่อาจข่มกลั้นเอาไว้ได้
ร่างของข้ากระตุกจนลอยขึ้นสูงจากพื้นห้อง
แต่จะยังไงก็ตามข้าก็ยังหลับตาบริกรรมอาคมไม่หยุด
แต่จะยิ่งกลายเป็นบริกรรมถี่เร็วขึ้นอย่างไม่หายใจหายคอ

เสียงบริกรรมของอาจารย์บานองค่อย ๆ แผ่วเบาลงจนหายไป
ตัวข้าเองก็หยุดบริกรรมเหมือนกัน
แต่ก็ยังหลับตานิ่ง

"องค์ชาย..ลืมตาได้แล้ว..."
ข้ารีบลืมตาขึ้น ตอนแรกก็เบลอ ๆ
ข้ามองไปรอบ ๆ ห้องทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรที่แปลกแตกต่างออกไป

"มีอะไรหรืออาจารย์บานอง..."
ข้าถามอย่างสงสัย
"ตอนนี้องค์ชายก็คือพระเชษฐาสัญชัยแล้วละ..."
แม้ข้าจะรู้มาก่อนแต่ก็อดหวั่นไหวในใจไม่ได้
อาจารย์บานองเอาแผ่นทองเหลืองที่ถูกขัดจนขึ้นเงาส่งให้ข้า

"ดูเสียซิ...องค์ชาย..."
อาจารย์บานองหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

ปกติใบหน้าข้าก็มีแววประพิมประพายคล้ายกับพี่สัญชัยอยู่แล้ว
แต่ภาพที่ข้าเห็นในเงาสะท้อนของแผ่นทองเหลือง
นี่ไม่ใช่ข้า..เพราะข้าย่อมรู้ความแตกต่างระหว่างเราได้ดี
แต่ที่ข้าเห็นนี่...เป็นรูปลักษณ์ของพี่สัญชัย..แน่นอน...

"อะ..อา...อา...ฮา...ฮา....."
ข้าหัวเราะด้วยความสะใจ
"อาจารย์..ขอบคุณอาจารย์เหลือเกิน..."
ข้าก้มลงกราบอาจารย์บานองด้วยความสำนึกบุญคุณเปี่ยมล้น

"องค์ชายต้องระมัดระวังเรื่องการพูด..."
"อึม..ข้าเตรียมซ้อม ๆ เอาไว้แล้วท่านอาจารย์..."
"อีกอย่าง..องค์ชายต้องระวังให้มากคือ เมื่อไหร่ที่แม่นางมนตราแยกออก
ว่าท่านไม่ใช่องค์ชายสัญชัย ท่านจะคืนร่างเดิม..."
"ข้าเหมือน..ขนาดนี้...นางไม่มีทางแยกออกหรอกอาจารย์ อย่าห่วงเลย..."


แผนการณ์ของข้าเริ่มต้นขึ้น

เช้าวันใหม่............
ข้าแสร้งว่าเดินทางด้วยความอ่อนระโหยเนื่องจากกรากกรำในการตามหาแก้วพญานาค
พอเข้าประตูเมืองมารีบบอกให้ทหารที่รักษาเมืองให้พาเข้าเฝ้าเสด็จแม่ทันที

"เสด็จแม่...ลูก ๆ พยายามเต็มความสามารถแล้ว"
"โอ๋...ลูกลำบากเสียเหลือเกิน..."
"ลูกได้แก้วพญานาคแล้วพระเจ้าข้า.."
ข้าล้วงมือเข้าไปในอกหยิบเอาลูกแก้วที่ข้าได้มาก่อนส่งให้เสด็จแม่

เสด็จแม่ยื่นมารับด้วยความตื่นเต้น
"โอ่...นี่เหรอ..นี่...แก้วพญานาค..."
ข้าพยักหน้าแล้วพูด
"ใช่แล้วเสด็จแม่ ลูกลงไปงมที่ก้นแม่น้ำโขง ลึกมากเหลือเกิน คนที่ลูกพาไปด้วยตายกันหมดเลย"
"เหรอ...โชคดีมากเลยที่ลูกปลอดภัย..."
"แก้วนี่ค่าควรเมืองจริง ๆ ใสสว่างและกระจายแสงเป็นสีรุ้งไปทั่วห้องเลย...สวยจริง ๆ"
"ของมีค่า..ย่อมเหมาะสมกับเบญจกัลยาณีพระเจ้าข้า"
"ใช่...แม่ให้ท่านโหราจารย์กำหนดฤกษ์เมื่อจะได้ทำพิธีหมั้นและแต่งงานให้กับเจ้าเลย"

....................

อีก 7 วันถัดมา
พิธีอภิเสกสมรสระหว่าง เจ้าชายสัญชัย กับ แม่นางมนตรา ธิดาของอัครมหาเสนาบดีคลังก็เริ่มขึ้น
เป็นที่แซ่ซ้องกันไปทั่วทั้งแผ่นดินถึงความเหมาะสมของทั้งสอง

ข้าที่สวมรอยในฐานะของพระเชษฐา
ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะรู้ว่าคนที่ยืนอยู่นี่ไม่ใช่ตัวจริง
ไม่รู้แม้แต่แม่นางมนตรา...
จะมีอะไรที่น่ากระหยิ่มใจไปมากกว่านี้อีกละหรือ

ราชพิธีจะต้องสมบูรณ์ตามโบราณกาล
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ข้ากับอาจารย์บางนองได้วางไว้
ประชาชนทั่วทุกสารทิศแซ่ซร้องสรรเสริญ
มองไปทางไหนก็มีแต่ธงทิวที่มีเครื่องหมายราชวงศ์ปักไว้ตรงกลางพลิ้วสบัด

ฮะ..ฮะ...ฮา....คืนนี้แล้วซินะ..ฮะ..ฮา...คืนที่ข้าจะได้สมหวัง
ข้าลิงโลกยินดีเป็นเท่าทวีคูณ
ราชพิธีสำหรับการส่งตัวเข้าหอจะเป็นอย่างไรข้าไม่สนใจ
ตัวข้าถูกเก็บตัวเอาไว้ในห้องอีกห้องหนึ่ง
จนกระทั้งได้เวลาตามฤกษ์ที่ท่านโหราจารย์กำหนด
ข้าถูกนำตัวไปส่งให้กับเจ้าสาว
แต่ละก้าวที่ข้าเดินหัวใจของข้าเต้น ตึ๊ก ตั๊ก ๆ จนแทบกระดอนออกจากอก
ข้ากำหมัดแน่นเพื่อปิดบังความตื่นเต้น
กลางฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อ

บานประตูที่เป็นสีแดงมีลายเถาวัลย์สลักเป็นสีทองสุกสะกาวล้อแสงไฟ
พราหม์เจ้าพิธีเปิดประตูช้า ๆ เสียงเอี๊ยดของการเสียดสีเนื้อไม้แว่วเข้าโสตประสาทข้า
พราหม์จะพูดจะกล่าวอะไรข้าได้ยินเสียงแผ่วเบาเหมือนลอยมาจากที่ห่างไกล

เมื่อจบพิธีการต่าง ๆ ท่านพราหม์ได้จูงมือข้าพาเดินเข้ามาในห้องที่มีผ้าม่านสีแดงเพลิงขวางอยู่
แล้วพราหม์ก็กล่าวขึ้นว่า
"เทพ พรหม ฟ้าและดินต่างก็เป็นสักขีพยานของการอภิเสกสมรสของเจ้าชายแล้วพยาคะ"
"โอม..."
เสียงสรรเสริญก้องสะท้อนไปทั่ว จากนั้นพราหม์ก็ผายมือให้ข้าเดินผ่านผ้าม่านนั้นเข้าไป

ข้ายอมรับว่าข้าสั่นไปหมด
แต่ละก้าวที่ก้าวออกไปเหมือนโลกทั้งโลกจะหยุดหมุน
ก้าวไปได้เพียงสามก้าวข้าก็ได้ยินเสียงปิดประตูแล้วลงสลักดาน
ข้าเดินไปยังผ้าม่านขั้นที่สองที่เป็นสีเขียวอ่อน
ยื่นมือสั่นจนเกินควบคุมไปแหวกผ้าม่านช้า ๆ

หญิงงามที่สุดในชุดสีเขียวอ่อนนั่งอยู่หน้าโต๊ะที่มีกระจกเงาทองเหลืองบานใหญ่
ข้าเห็นเงาวงหน้าที่สะท้อนผ่านมาให้เห็นว่านางก้มหน้าลงปิดเปลืองตานิ่ง
เพียงเท่านั้นเองก็สุดที่อดกลั้น
รีบเดินไปยืนอยู่เบื้องหลังนาง

"มนตรา...ของพี่...."
ข้าไม่สนใจหรอกว่าพี่สัญชัยจะเรียกนางว่าอะไร
นางยังก้มหน้านิ่ง
ข้าเลยโน้มตัวลงหอมเรือนผมที่ยังมีมงกุฏครอบอยู่
"ช่างหอมเหลือเกิน...มนตรา..."
ข้ารำพึงรำพันอย่างเกินที่จะอดกลั้นเอาไว้ได้

นางก็ยังนั่งนิ่งเหมือนเดิม
ข้าค่อย ๆ แกะมงกุฎที่อยู่บนเรือนผมเธอออก
มนตรายื่นมือมารับจากมือข้าแล้วเอาไปวางไว้บนโต๊ะ
ข้าบรรจงถอดเครื่องประดับนา ๆ ที่อยู่บนเรือนผมและใบหน้านางออกทีละชิ้น ๆ กจนหมด

"มนตรา...ๆ ๆ"
ข้ารำพึงปานละเมอ....
นางยังสงบนิ่ง..ดูเหมือนนางจะควบคุมตัวเองได้มากกว่าข้าเสียอีก

ข้ายื่นมือจับไหล่ของนางแล้วดึงให้ลุกขึ้น
มนตราลุกขึ้นยืนแล้วหันหน้ามาหาข้าอย่างช้า ๆ
ข้าก้มหน้าลงจุมพิตที่พวงแก้มอิ่มสีชมพูระเรือ
จากพวงแก้มก็ไล่ลงมาเรื่อย ๆ จนพบกับริมฝีปากงาม
ข้าปะกบจูบริมฝีปากนิ่งและนาน

ข้า..รู้แล้ว..ภาพฉากนี้เองที่ไปอยู่ในนิมิตรของวิสาระในขณะที่ข้าพยายามที่จะเข้าสู่ความฝันของเธอ
แต่ข้าไม่ต้องการให้วิสาระเห็นใบหน้าของข้า จึงใช้มิติอำพรางเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง
ขณะที่ข้าเองกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับฝันหวานที่ข้าสร้างให้แก่นางนั้น
เจตสิกเหล็กไหลของเธอก็พุ่งจู่โจมจนข้าต้องถอยร่นออกจากบ้านนั้น

.............

suriyamahajit