ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

แค่นิยาย ตอนที่ 18 City of angels

เริ่มโดย CarNaGE, สิงหาคม 29, 2011, 07:21:21 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

CarNaGE

 เวโรนิก้าพุ่งทะยานไปบนฟ้าด้วยความเร็วสูง โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ปราสาทหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ในทิศตะวันตกของอาณาจักรแวมไพร์ ปราสาทแห่งนี้นั้นมีชื่อว่า แอสการ์ด ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตามแบบแปลนที่ถูกร่างโดย ทีโอดอร์ บุตรชายแห่งเลอเซอโร่ ผู้ที่จะเป็นราชาแวมไพร์คนต่อไป แอสการ์ดนั้นประกอบด้วยปราสาทขนาดใหญ่เป็นศูนย์กลาง แวดล้อมด้วยอาคารใหญ่น้อยมากมาย แต่ละอาคารก็มีทางเชื่อมถึงตัวปราสาทตามลักษะโครงข่ายใยแมงมุม และล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่เป็นวงกลมโดยรอบ

และเพราะเป็นปราสาทที่ทีโอดอร์สร้างขึ้นเองกับมือ ภายในจึงมีแต่นักรบแวมไพร์ฝีมือดีที่ตัวทีโอดอร์เป็นคนคัดเลือกด้วยตัวเองทั้งสิ้น ขนาดที่ว่าแวมไพร์ชั้นต่ำสุดของที่นี่ ก็สามารถใช้เวทย์เลเวล 7 ได้แล้ว ที่นี่จึงมีแต่เฉพาะแวมไพร์ชั้นขุนพลเต็มไปหมด และด้วยความที่ที่นี่เป็นปราสาทส่วนตัวของทีโอดอร์ จึงไม่ง่ายนักที่ให้คนนอกจะย่างกายเข้ามา อย่างตัวเวโรนิก้าเองก็เคยมาแค่ 2-3 ครั้ง และมาแค่ในฐานะผู้ติดตามของขุนพลลินคอร์นเท่านั้น

"ใครใช้ให้เจ้ามาเสนอหน้าที่นี่ นังสวะ" ทันทีที่เวโรนิก้าร่อนลงถึงพื้นก็ได้รับการต้อนรับเสียแล้ว แวมไพร์ทหารที่ทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าประตูชั้นนอกตวาดลั่น แวมไพร์ผู้นี้สามารถใช้เวทย์ได้เลเวล 7 แล้ว มันจึงไม่เกรงกลัวใดๆในตัวเวโรนิก้าเลย

จะว่าไปในแอสการ์ดแห่งนี้มีโรคระบาดอย่างหนึ่ง ที่มีสาเหตุมาจากแวมไพร์ในแอสการ์ด มีแต่แวมไพร์แท้ อีกทั้งเพราะถูกเลือกโดยทีโอดอร์ พวกมันจึงลำพองในตนเองยิ่งกว่าแวมไพร์แท้ทั่วไปหลายเท่า ส่งผลให้พวกมันมีทัศนคติชอบหยามเหยียดแวมไพร์ตีตราอย่างเวโรนิก้ามากเป็นพิเศษ แม้แต่แวมไพร์ทหารยามธรรมดาก็ยังดูถูกเวโรนิก้าเช่นกัน นี่เป็นสิ่งที่เธอคาดไว้อยู่แล้ว แวมไพร์สาวจึงไม่สนใจและเดินผ่านมันไปอย่างไม่ใยดี

"ใครใช้ให้มึงเข้าไปว่ะ อีกระหรี่" เจ้าแวมไพร์ทหารยามตวาดลั่น ก่อนจะคว้าเข้าไปที่ไหล่เธอทันที ถ้าเป็นเมื่อก่อนเวโรนิก้าอาจจะสู้มันไม่ได้ แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนไปแล้ว ทำให้ทันทีที่เจ้าแวมไพร์ทหารยามสัมผัสถูกร่างเธอ ก็เกิดเปลวไฟที่ร้อนแรงมหาศาลลุกท่วมร่างของมัน เจ้าแวมไพร์ร้องลั่นอย่างเจ็บปวดก่อนจะล้มลงไปดิ้นทุรนทุราย และสิ้นใจในเวลาต่อมา

แต่ฉับพลันที่มีแวมไพร์ตัวหนึ่งโดนสังหาร แวมไพร์ตัวอื่นๆในปราสาทก็ต่างกันกรูออกมาทันที ไม่นานนักก็มีแวมไพร์จำนวนมากมาล้อมกรอบเธอเต็มไปหมด ในจำนวนนี้มีกลุ่มแวมไพร์ที่ไม่ชอบหน้าเธอก็เยอะ แต่มีคนนึงที่เธอจำได้ดี แวมไพร์สาวที่ชือว่าชอลลี่ ที่เคยออกปฏิบัติภารกิจช่วงแรกๆในเวลาไล่เลี่ยกับเธอ และไม่เคยทำผลงานสู้เธอได้ ชอลลี่เลยผูกใจเจ็บและคอยริษยาเธออยู่ห่างๆ

"อย่ามาขวางข้าชอลลี่ ข้าต้องการพบท่านทีโอดอร์" เวโรนิก้าเอ่ยขึ้นก่อน

"หุบปาก !! หัดเจียมกะลาหัวซะบ้าง ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่แกจะมาเสนอหน้า นังขยะ" แต่อีกฝ่ายกลับตวาดลั่น

"อาห่ะ .... ปากร้ายไม่เปลี่ยนเลยน่ะชอลลี่ ที่จริงเจ้าควรจะใจเย็นและมีสัมมาคารวะกว่านี้น่ะ โดยเฉพาะกลับคนที่เหนือกว่า"

"เวโรนิก้า !!" ชอลลี่ตวาดลั่นเมื่อโดนจี้ใจดำ "แก !! .... นังหมูตัวเมีย แกมันก็แค่หมู ที่มีคนเขาสวมปลอกคอให้เท่านั้นแหละ แต่แกกลับมาทำเสนอหน้าชูคอปากดีอย่างน่าทุเรศ แก .... นังหมูตัวเมีย ไปตายซะ !!" สิ้นคำประกาศ แวมไพร์ตนอื่นที่ล้อมกรอบอยู่ก็ลุกฮือ เตรียมเข้าจัดการเวโรนิก้าทันที

"อย่าน่ะ !!" เวโรนิก้าตวาดลั่นจนแวมไพร์ตัวอื่นพากันหยุดชะงัก "ถ้าใครกล้าเข้ามาอีกก้าวเดียว ข้าจะไม่เกรงใจแล้วน่ะ"

"แล้วจะทำไมเวโรนิก้า !! อย่าคิดว่าตัวเองจะแน่ได้คนเดียวน่ะ ตั้งแต่ข้ามาอยู่เป็นสนมให้ท่านทีโอดอร์ ข้าก็ได้รับพลังจนตอนนี้ข้าเข้าสู่จุดสูงสุดของแวมไพร์แห่งน้ำแล้ว"

"ร่างจำแลง เทพโคงคา !!" ชอลลี่ร่ายเวทย์ดังลั่น เมื่อสิ้นคำร่ายร่างของเธอก็เกิดการเปลี่ยนแปลง จากร่างเนื้อปกติเป็นร่างแห่งน้ำ ก่อนที่ร่างน้ำนั้นจะขยายตัวขึ้น จนสูงใหญ่หลายสิบเมตร จนดูเหมือนเทพอสูรก็ไม่ปาน ร่างน้ำนี้จัดเป็นเวทย์ธาตุน้ำเลเวล 9 ที่ร้ายกาจเวทย์หนึ่ง เพราะมีอานุภาพโดนเด่นทั้งรุกและรับ ด้านรุกนั้นด้วยร่างกายที่สูงใหญ่จึงสามารถโจมตีได้ในวงกว้าง และเพราะร่างกายสูงใหญ่นี่เองจึงทนทานต่อการโจมตีจากพลังเวทย์ศัตรูๆได้สบายๆ

"ย๊ากกกกกกกกกกกกกกก" ทันทีที่ร่ายเวทย์เสร็จ ชอลลี่ก็เปิดฉากจู่โจมทันที แวมไพร์สาวปล่อยหมัดยักษ์ของตนเข้าใส่เป้าหมายของตนตรงหน้า จนทำให้พื้นดินบริเวณนั้นสั่นสะเทือนอย่างแรงก่อนจะกลายเป็นหลุมยุบขนาดใหญ่ แต่เวโรนิก้าก็ยังไวพอ เธอสามารถกระโจนหลบได้ทันท่วงที

แต่การโจมตีของชอลลี่ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะทันทีที่หมัดน้ำกระทบพื้น น้ำเหล่านั้นก็จะกระจายออกกลายเป็นคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าโจมตีเวโรนิก้าอีกระรอก โชคยังดีที่เวโรนิก้ารู้เวทย์ธาตุลม ทำให้เธอพุ่งทะยานหลบคลื่นน้ำได้อย่างหวุดหวิด แต่เมื่อชอลลี่เปิดฉากโจมตีแล้ว แวมไพร์ตนอื่นก็เปิดฉากโจมตีเช่นกัน ทุกตนต่างพุ่งเข้าใส่เวโรนิก้าทันที

.
.

"ดินแดนเพลิงพระกาฬ"

.
.

ชั่วพริบตานั้นเวโรนิก้าก็ร่ายเวทย์ขึ้นมาบทหนึ่ง เวทย์บทนี้เป็นเวทย์ที่เธอได้มาหลังจากสังหารพาลาดินคู่แค้น เวทย์บทนี้เป็นเวทย์เพลิงที่มีอานุภาพทำลายรุนแรงมหาศาล แวมไพร์ตนอื่นที่พุ่งเข้ามาโจมตีเธออย่างไม่ระวัง จึงโดนเวทย์ไฟบทนี้เผาร่างจนมอดไหม้กลายเป็นจุล

"ลูกแก้วกลืนตะวัน" หลังจากร่ายเวทย์ชุดแรกไปแล้ว เวโรนิก้าก็ร่ายเวทย์อีกชุดตามทันที ลูกแก้วสีแดงถูกปล่อยถึงบนฟ้า เพื่อดูดไฟเวทย์จากเวทย์ชุดแรกที่กำลังลามไปทั่วแอสการ์ด ขึ้นมารวมไว้บนฟ้าจนกลายเป็นลูกไฟขนาดมหึมา

"ดินแดนเพลิงพระกาฬ รวมศูนย์" เท่านั้นไม่พอ เวโรนิก้ายังร่ายเวทย์อีกชุดเป็นชุดสุดท้าย จนเกิดเป็นลูกไฟขนาดย่อมที่มีอานุภาพรุนแรงที่สุดในหมู่เวทย์เพลิงเลเวล 9 ด้วยกัน ก่อนจะเหวี่ยงลูกไฟนี้ขึ้นไปบนฟ้า เพื่อรวมเข้ากับลูกแก้วพลังเวทย์ จนกลายเป็นลูกไฟขนาดยักษ์ที่มีอานุภาพเหนือชั้นเข้าไปอีก พร้อมกับหันหน้าไปยังเป้าหมายเบื้องหน้า

"ชอลลี่ !!" เวโรนิก้าตวาดลั่น ก่อนจะใช้มือควบคุม สั่งการให้ลูกไฟยักษ์นั่นพุ่งเข้าใส่ร่างน้ำของชอลลี่เต็มๆ จนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ลูกไฟยักษ์ที่เกิดจากการคอมโบเวทย์ 3 ชุดนั้นมีอานุภาพรุนแรงมหาศาล จนขนาดร่างน้ำยักษ์ของชอลลี่ก็ยังไม่อาจทนไหว แวมไพร์ชอลลี่ร้องโหยหวนลั่นก่อนที่ร่างน้ำนั้นจะสลายไป

แต่ก่อนที่จะมีการต่อสู้อีกครั้ง ชั่วขณะนั้นท้องฟ้าที่เคยสว่างก็เกิดมืดมิด พร้อมกับหยาดฝนจำนวนมากตกลงไม่ขาดสาย ไม่แค่นั้นหยาดฝนเหล่านี้ยังดับไฟเวทย์ของเวโรนิก้าที่กำลังลุกไหม้ให้มอบดับลงในทันที บ่งบอกว่าฝนพวกนี้ไม่ใช่ฝนธรรมดา มันเป็นฝนเวทย์ที่ผู้ใช้มีพลังแกร่งกล้าเหนือกว่าเธอเสียอีก

"นึกว่าใครมามาอาละวาดในปราสาทของข้า เจ้าเองเหรอ เวโรนิก้า" เสียงพูดเรียบๆแต่แฝงไว้ด้วยพลังอำนาจมหาศาลดังขึ้น ก่อนที่ผู้พูดจะก้าวเดิมมาช้าๆ ชายผู้นี้มีลักษณะสูงโปร่งสง่างาม อีกทั้งมีเส้นผมที่ยาวสลวยสีทองเปล่งประกาย จนดูคล้ายกับเจ้าชายในเทพนิยายก็ไม่ปาน แต่ที่พิเศษก็คือชายคนนี้มีพลังมาน่าอัดแน่นอยู่มหาศาล จนเห็นเป็นไอสีเขียวเข้มพวยพุ่งออกมาจากร่าง และหนาแน่นจนขนาดฝนที่กำลังตกอย่างหนัก ไม่อาจจะสัมผัสกายเขาได้เลย

"ขอประทานอภัยเพคะ เจ้าชายทีโอดอร์" เวโรนิก้าคุกเข่าลงอย่างนอบน้อมต่อชายตรงหน้า ชายผู้ซึ่งเป็นเจ้าชายแห่งแวมไพร์ ชายผู้ที่จะกลายเป็นราชาในอนาคต

"หวังว่าเจ้าคงมีเหตุผลดีๆน่ะเวโรนิก้า เพราะถึงแม้เจ้าจะเป็นลูกศิษย์คนโปรดของอาจารย์ข้า ก็ไม่ได้หมายความว่าข้า จะสังหารเจ้าตรงนี้ไม่ได้" อันที่จริงทีโอดอร์กับเวโรนิก้ามีสายสัมพันธ์ที่แปลกประหลาด เพราะเวโรนิก้าถูกทำให้เป็นแวมไพร์โดยพ่อของทีโอดอร์ ราชาแวมไพร์เลอเซอโร่ อีกทั้งทั้งคู่ก็ยังมีอาจารย์คนเดียวกันซึ่งก็คือ ขุนพลแวมไพร์ลินคอร์นนั่นเอง

"หม่อมฉันมาด้วยเรื่องชิงตัวร่างกำเนิดใหม่ของท่านอาลูคาร์ดเพคะ ........ ตอนนี้ทั้งอาณาจักรเรามีแต่ท่านทีโอดอร์เท่านั้นที่สามารถชิงตัวได้"

"ชิงตัว ?? จากแซงจูรี่ย์นี่น่ะนะ"

"เพคะ หม่อมฉันมีแผนการมานำเสนอ"

"แผน ?? แผนที่สามารถชิงตัวร่างกำเนิดใหม่ของอาลูคาร์ดจากแซงจูรี่ย์นี่น่ะนะ" ทีโอดอร์พูดขึ้นอย่างไม่เชื่อหู ก่อนที่เขาจะเค้นเสียงเข้ม "ถ้าแผนนี้ฟังไม่เข้าท่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ารู้ไหม เวโรนิก้า !!"

.
.
.

เวโรนิก้าเดินตามหลังเจ้าชายแวมไพร์ไปช้าๆ โดยที่เธอจะต้องทิ้งระยะห่างจากเขาอยู่หลายเมตร เพราะถ้าขืนเธอเข้าใกล้เขามากกว่านี้ ไอมาน่าสีเขียวเข้มที่เขาปล่อยอยู่ตลอดเวลานั้น คงจะทำให้เธอเงี่ยนจนสิ้นสติไปเป็นแน่

"ถึงแล้ว" เจ้าชายแวมไพร์เอ่ยขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่เดินตามทางมาได้สักพัก ก่อนจะผลักประตูบานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเปิดเข้าไป

'ห้องสรงน้ำ ??' เวโรนิก้าเอ่ยร้องในใจอย่างสงสัย เพราะทีแรกเธอนึกว่าเจ้าชายแวมไพร์ผู้นี้จะพาเธอไปท้องพระโรงหรือห้องทรงงานมากกว่า เธอคาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าชายทีโอดอร์จะพาเธอมาห้องสรงน้ำ ที่แวดล้อมไปด้วยเหล่านางสนมที่เปลือยเปล่าในสระน้ำอยู่มากมาย แต่ไม่ทันที่เธอจะคิดอะไรต่อ เจ้าชายแวมไพร์ก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าตัวเองออกจนหมด ก่อนจะลงไปแหวกว่ายในสระโดยที่นางสนมที่รออยู่รอบด้าน จะว่ายเข้ามาเพื่อปรนนิบัติเจ้าชายผู้นี้อย่างใกล้ชิด

"แปลกใจล่ะสิ ที่ข้าพาเจ้ามาห้องนี้ แทนที่จะเป็นพวกท้องพระโรงอะไรพวกนั้น" ทีโอดอร์เอ่ยขึ้น "ก็ต้องโทษเจ้าที่มาขัดจังหวะข้าอาบน้ำเมื่อกี้ ข้าก็แค่มาจัดการต่อให้เสร็จแค่นั้น ส่วนพวกแวมไพร์สาวเหล่านี้ แม้พวกนางจะเป็นนางสนมของข้า แต่พวกนางก็เป็นทหารชั้นดีที่เชี่ยวชาญการทำสงครามเช่นกัน พูดต่อหน้าพวกนาง ก็ไม่ต่างอะไรกับพูดต่อหน้าขุนพลทั่วไปหรอก"

"แต่พูดถึงตัวเจ้าเวโรนิก้า ข้าเองก็ได้ยินเรื่องของเจ้ามาไม่น้อย" ทีโอดอร์พูดพลางเอนหลังพิงขอบสระ กางแขนออกอย่างสบายอารมณ์ ปล่อยให้เหล่านางสนมเข้ามาปรนนิบัติ "แวมไพร์ตีตราสาวที่เป็นผลงานชิ้นเอกของอาจารย์ข้า เป็นแวมไพร์ที่สร้างผลงานไว้มากมายที่สุดในช่วงหลัง อีกทั้งพลังมาน่าของเจ้าก็มีมหาศาล ชนิดที่ว่าถ้าเจ้าฝึกพลังธาตุแค่ 2 สาย ปานนี้เจ้าคงเป็นแวมไพร์ชั้นขุนพลไปแล้ว"

"แค่ 2 สายมันน้อยเกินไปนี่คะ"

"งั้นเหรอ ...... แต่จะว่าไปข้าก็สงสัยมาตลอด แวมไพร์ตีตราอย่างพวกเจ้า จะคิดถึงช่วงหนึ่งที่เคยเป็นมนุษย์หรือเปล่า"

"ข้าทิ้งชีวิตมนุษย์ไปแล้วเพคะท่านทีโอดอร์"

"งั้นเหรอออออ !!" เสียงแวมไพร์สาวนางหนึ่งดังแหวดขึ้นมา เป็นแวมไพร์ชอลลี่นี่เอง ที่เดินเข้ามาในสภาพที่บาดเจ็บแค่เพียงเล็กน้อย นับว่าเวทย์ประจำตัวของนางกล้าแข็งไม่น้อย เพราะแม้นางจะพึ่งพ่ายแพ้มา แต่ก็ได้รับบาดเจ็บแค่เพียงนิดเดียว

"เสื้อผ้าที่เจ้าใส่อยู่มันของหญิงสาวชาวมนุษย์ไม่ใช่เหรอ" ชอลลี่เอ่ยขึ้น "เห็นแบบนี้ข้าว่า เจ้านี่ดูยังไงก็เหมือนมนุษย์มากกว่าแวมไพร์อยู่ดี ดังนั้นอย่าเชิดให้มากเวโรนิก้า เจ้ามันก็แค่นังหมูตัวเมีย ที่โดนพวกเราจับใส่ปลอกคอเท่านั้นแหละ"

"งั้นเหรอชอลลี่ งั้นช่วยบอกข้าทีได้ไหมว่าเจ้ารู้สึกยังไง ตอนที่พ่ายแพ้นังหมูตัวเมียแบบข้า" เวโรนิก้าหันมาตอบกลับใส่ชอลลี่อย่างเผ็ดร้อน ส่งผลในนางเลือดขึ้นหน้าเงื้อมือหมายจะจู่โจมทันที แต่ไม่ทันที่นางจะทำอะไร ทีโอดอร์ก็ตวาดลั่นเสียก่อน นางจึงต้องหยุดมือไปแค่นั้น

"เอาล่ะมาเข้าเรื่องเราดีกว่า เวโรนิก้า ..... เจ้าบอกว่าเจ้ามีแผนชิงตัวร่างกำเนิดใหม่ของอาลูคาร์ดใช่ไหม งั้นเจ้าบอกข้ามาสิ ว่าเจ้าจะลอบเข้าเมืองแซงจูรี่ย์ได้อย่างไง" ทีโอดอร์เอ่ยถาม

"แผนของข้าไม่ใช่ลอบเข้าเมืองเพคะ ..... แต่เราจะบุกโจมตีเมืองแซงจูนี่ย์โดยตรง !!"

สิ้นคำของเวโรนิก้า เหล่าแวมไพร์ในห้องก็ต่างหันมาจับจ้องที่ตัวนางเป็นตาเดียว ก่อนที่ชอลลี่จะเป็นแวมไพร์ตนแรกหัวเราะดังลั่น ก่อนจะเอ่ยเย้ยหยันเวโรนิก้าในทันที "ฮ่าๆๆๆ นี่น่ะเหรอแผนที่เจ้าจะมาเสนอ สิ้นคิดจริงๆ"

"เจ้ารู้หรือเปล่าว่าตัวเจ้าพูดอะไรออกมา" แวมไพร์สาวที่ซุกกายอยู่ใต้วงแขนของทีโอดอร์เอ่ยขึ้น นางชื่อวิคตอเรีย เป็นนางสนมที่ทีโอดอร์โปรดปรานมากที่สุด เพราะนางเพียบพร้อมไปทั้งรูปโฉมที่งดงามเกินใคร อีกทั้งยังเป็นแวมไพร์ชั้นขุนพลที่ฝีมือดีที่สุดคนหนึ่งอีกด้วย

"แซงจูรี่ย์เป็นเสมือนจุดศูนย์กลางของเหล่าพรีส ที่นั่นมีพรีสอาศัยอยู่นับหมื่น อีกทั้งการป้องกันของพวกมันก็แน่นหนา ชนิดที่ว่าต่อให้ยกแวมไพร์มาทั้งมิดแลนด์ก็ไม่อาจจะโจมตีได้ ทำให้ตลอดพันปีที่ผ่านมา นครแห่งนี้ไม่เคยถูกโจมตีสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว แล้วเจ้าจะมั่นใจได้ยังไงเวโรนิก้า ว่าครั้งนี้เราจะโจมตีสำเร็จ"

"เพราะตอนนี้เรามีของอยู่ 3 สิ่งที่จะทำให้มันสำเร็จยังไงล่ะ ...... และนี่คือสิ่งแรก" เวโรนิก้าพูดเสร็จก็หยิบของบางอย่างออกมา เป็น CD แผ่นหนึ่งที่มีขนาดเล็กกว่า CD ปกติเล็กน้อย สิ่งนี้ถูกเรียกว่า CD บันทึกความจำ ใช้สำหรับการถ่ายทอดความจำของตนให้ผู้อื่นได้รับทราบ และหลังจากนั้น แวมไพร์สาวก็นำแผ่น CD นี้ใส่ลงไปในเครื่องเล่นที่ตั้งอยู่ภายในห้อง จากนั้นภาพในแผ่น CD ก็ปรากฏ มันเป็นภาพของตัวเมือง แผนผังอย่างละเอียดทุกจุดทั่วทั้งเมืองแซงจูรี่ย์ แถมด้วยภาพสไลด์ ที่แสดงข้อมูลภายในต่างๆอันได้แก่ข้อมูลเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย รวมไปถึงข้อมูลเคลื่อนย้ายกำลังพลล่วงหน้า

"นี่เป็นข้อมูลอย่างละเอียดของเมืองแซงจูรี่ย์ ที่ข้าได้มาหลังจากดูดความทรงจำของพวกพาลาดิน" แวมไพร์สาวเอ่ยขึ้น และมันก็สร้างความตกตะลึงแก่แวมไพร์ทุกตนในห้องอย่างที่นางคาดไว้ "การหาข่าวของพวกวอร์ริเออร์นั้นแม่นยำที่สุดแล้ว โดยเฉพาะนี่เป็นข้อมูลที่หาโดยหน่วยที่เก่งที่สุดของพวกมันอย่างพวกพาลาดินอีก ข้อมูลนี้จึงมีความน่าเชื่อถือสูงมาก .... เจ้าชายเพคะ ข้อมูลที่ท่านเห็นตรงหน้านี้ เป็นข้อมูลละเอียดที่สุดของเมืองแซงจูรี่ย์ที่ออกมายังโลกภายนอกในรอบหลายพันปี"

"ของจริงเหรอนี่" ทีโอดอร์เอ่ยขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นยืนกลางสระอย่างไม่รู้ตัว "ว่าต่อไปเวโรนิก้า"

"ก่อนมานี่ข้าได้ศึกษาข้อมูลเหล่านี้อย่างละเอียด แผนผังของเมืองแซงจูรี่ย์นี้ถูกวางโครงสร้างมาเป็นอย่างดี มีทั้งความสลับซับซ้อน และสามารถเชื่อมโยงถึงกันเหมือนโครงสร้างใยแมงมุม อีกทั้งระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ก็มีความละเอียดสูง จนยากที่คนนอกจะลอบเข้าไปได้เลย จนพวกพรีสมันเรียกเมืองนี้ว่า นครแห่งเทพยดา ที่มารร้ายอย่างพวกเราไม่สามารถย่างกรายเข้าไปได้"

"แต่สุดท้ายแล้วเมืองนี้ก็เป็นเมืองของมนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่เมืองของเทพอย่างที่พวกมันกล่าวอ้าง เพราะที่สุดแล้ว แซงจูรี่ย์ก็ยังมีจุดอ่อนอยู่" เวโรนิก้าพูดจบก็ชี้ไปที่ท้องฟ้าเหนือเมือง "ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่มีระยะทำการสูงสุดก็คือ 10000 เมตรรอบเมือง 360 องศา ด้วยการป้องกันระดับนี้จึงทำให้ไม่มีใครสามารถบุกโจมตีได้ เว้นแต่ว่า จะมีของบางอย่างที่สามารถลอยได้ในระยะ 10000 เมตรเหนือผิวดิน ลอยขึ้นไปอยู่เหนือเมืองนี้พอดี จากนั้นก็ทิ้งตัวด้วยความเร็วสูง จนสัญญาณเตือนของพวกพรีสไม่อาจจะเตือนได้ทัน นั่นก็จะทำให้เราสามารถฝ่าแนวรับ และเข้าโจมตีพวกมันอย่างไม่ทันตั้งตัว"

"และนั่นก็คือของที่เราต้องใช้อย่างที่ 2 เพคะเจ้าชาย ...... วังแอสการ์ด !!"

"เจ้ารู้เรื่องแอสการ์ดของเราได้ยังไงเวโรนิก้า !!!" ชอลลี่ตวาดดังลั่น แต่เวโรนิก้าก็ตอบคำถามนั้นด้วยการยิ้มเยาะน้อยๆเท่านั้นเอง

"แต่ถึงแม้เราจะบุกระยะประชิดเมืองแซงจูรี่ย์ได้ แต่ปัญหามันก็ยังไม่จบ" วิคตอเรียเอ่ยเสียงเรียบ "เพราะในตอนนั้นแอสการ์ดก็ต้องเผชิญหน้ากับพรีสนับหมื่น ถึงตอนนั้นฝ่ายที่จะเสียหายยิ่งกว่าก็คือตัวแอสการ์ดเอง"

"3000 คน" เวโรนิก้าเอ่ยตอบ "แท้จริงแล้วภายในแซงจูรี่ย์มีพรีสไม่มากนักหรอก นั่นก็เพราะพวกมันเชื่อถือในตัวเมืองมากเกินไป แถมใน 3 วันข้างหน้านี้จะเป็นช่วงเวลาสับเปลี่ยนกำลังพล จะเป็นวันที่แซงจูรี่ย์จะมีพรีสประจำการอยู่น้อยที่สุดไม่เกิน 3000 นอกนั้นก็เป็นพรีสฝึกหัดที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ ซึ่งนั่นก็เป็นจำนวนที่ฝ่ายเราไม่เสียเปรียบนัก วันนั้นจึงเป็นวันที่ดีที่สุดในการโจมตี"

"แต่ถึงแม้จะมีแค่ 3000 คน พอเกิดการปะทะกันขึ้นมาจริงๆ มันก็จะกลายเป็นสงครามใหญ่ได้ไม่ยาก ดังนั้นเราจึงต้องใช้อาวุธอย่างหนึ่งมาช่วย และนั่นก็คือของที่เราจะใช้อย่างที่ 3 อนุภาคลูบินนอฟ"

สิ้นคำของเวโรนิก้า เหล่าแวมไพร์ทั้งหมดก็หันมาจ้องเขม็งที่ตัวเธอเป็นจุดเดียว เพราะจะว่าไปแล้ว 'อนุภาคลูบินนอฟ' นั้นเป็นความลับยิ่งกว่าเรื่องวังแอสการ์ดเสียอีก แต่แวมไพร์สาวก็ไม่สนใจสายตาเหล่านั้น เธอหันไปอธิบายสไลด์ต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน

"อนุภาคลูบินนอฟ เป็นอาวุธที่พวกท่านพัฒนาขึ้นอย่างลับๆ ความสามารถของมันสามารถหยุดยั้งการใช้เวทย์มนต์ได้อย่างสมบูรณ์ และจากที่ข้าได้ทราบมา มันได้ผ่านการทดสอบในขั้นสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่เพียงนำมาใช้ในการสู้รบจริงเท่านั้น ซึ่งข้าว่ามันถึงเวลาแล้ว"

"พวกพรีสมีจุดอ่อนอย่างร้ายแรงอยู่ นั่นก็คือพวกมันละเลยการฝึกการต่อสู้ทางกายภาพ พวกมันมุ่งเน้นแต่การฝึกฝนการใช้เวทย์มนต์เพียงอย่างเดียว ถ้าเราสามารถหยุดยั้งการใช้เวทย์มนต์ของพวกมันได้ พวกมันก็จะไม่ต่างกับโดนตัดแขนตัดขา และโอกาสชนะก็จะเป็นของเราทันที"

"พอได้แล้วเวโรนิก้า !!" วิคตอเรียตวาดลั่นก่อนจะลุกขึ้นยืนกลางสระ "ที่เจ้าพูดมาเหมือนจะฟังดูดี แต่มันก็มีจุดบอด .... เจ้ารู้ได้ยังไงว่าแผนผังในแผ่น CD ของเจ้าเป็นของจริง !! ไม่ใช่เล่ห์กลที่พวกมนุษย์มันทำขึ้นมาหลอกเจ้า ถ้าเจ้าจะให้พวกเราทำตามแผนพวกนั้นของเจ้า เจ้าก็ต้องให้เราตรวจสอบข้อมูลใน CD เสียก่อน"

"กว่าจะตรวจเสร็จมันก็เลย 3 วันนั้นไปแล้ว !! และถ้าเลย 3 วันข้างหน้านี้ไป ข้าก็ไม่รู้แล้วว่าจะบุกตีได้อีกเมื่อไหร่" เวโรนิก้าหันมาโต้ตอบอย่างเผ็ดร้อน "จริงอยู่ที่ข้อมูลนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ 100 % แต่ถ้ามันเป็นของจริงล่ะ ถ้าเรามาลังเลแบบนี้เจ้าชายจะพลาดโอกาสแสดงผลงานครั้งใหญ่ เจ้าชายเพคะ เชื่อข้าเถอะค่ะ ถ้าครั้งนี้เราทำสำเร็จ ทุกอย่างจะเป็นผลดีต่อตัวท่าน รวมไปถึงตำแหน่งรัชทายาทของท่านด้วย"

"หุบปากเดี้ยวนี้นังแวมไพร์ขยะ !! เจ้าอย่าบังอาจมาสามหาวใส่เจ้าชายน่ะ" วิคตอเรียตะโกนอย่างเดือดดาด "ลำพังแค่เจ้ารู้ข้อมูลลับของพวกเรา เจ้าก็มีโทษมหันต์แล้ว ถ้าขืนเจ้ายังกล้ามาสามหาวใส่เจ้าชายอีก ข้าจะสังหารเจ้าเสียเดี้ยวนี้"

"พอได้แล้ววิคตอเรีย" แต่แล้วเสียงทรงพลังก็เอ่ยขึ้น ก่อนที่เจ้าของเสียจะยืนขึ้นแล้ววางมือไว้บนบ่าของแวมไพร์สาวตรงหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้วิคตอเรียจึงไม่กล่าวอะไรต่อ และต้องนั่งคุกเข่าลงไป

"จริงอยู่ที่ในมิดแลนด์จะมีเพียงข้าและท่านพ่อเท่านั้นที่มีพลังเวทย์ถึงเลเวล 12 แต่ข้าก็ยังไม่ได้รับการยอมรับในตำแหน่งรัชทายาทจากสภาสูงอยู่ดี แม้ต่อหน้าพวกนั้นจะทำเป็นนอบน้อมข้า แต่ลับหลังพวกมันก็ค่อนขอดว่าข้ายังเยาว์เกินไปมั่งล่ะ หรือแม้แต่ข้ายังไม่มีผลงานที่สมกับเป็นรัชทายาทมั่งล่ะ ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป วันใดที่ข้าได้ครองบัลลัง มิดแลนด์แห่งนี้ก็จะเกิดปัญหา"

"เจ้าชาย ....." วิคตอเรียเอ่ยเสียงอย่างแผ่วเบา

 "อย่างที่เจ้าพูดมา สิ่งที่ข้าต้องการที่สุดก็คือโอกาสที่จะสร้างผลงาน และสิ่งที่เจ้านำมาเสนอ มันก็หอมหวนจนข้าไม่อาจจะปฏิเสธได้ ถ้าศึกครั้งนี้ข้าทำสำเร็จ ไม่เพียงแค่จะลบคำครหา แต่ชื่อเสียงของข้าก็จะเลื่องลืมไปทั่วทั้ง wonderland"

"ข้าจะทำตามเจ้า เวโรนิก้า !!" เจ้าชายแห่งแวมไพร์ประกาศเสียงดังกึกก้อง

"แต่เจ้าชายเพคะ ข้อมูลของนางยังไม่ได้รับการยืนยัน โอกาสผิดพลาดมันก็...."

"ข้าตัดสินใจแล้ว วิคตอเรีย !!" ทีโอดอร์มันมาจ้องตาแวมไพร์สาวอย่างดุดัน จนนางต้องเงียบลงในทันที โชคดีที่นางเป็นสนมคนโปรดของเจ้าชาย ไม่งั้นนางอาจจะคอขาดไปแล้วก็ได้

"แล้วเรื่องที่นางนี่มันรู้ข้อมูลลับของเราล่ะคะ" ชอลลี่เอ่ยเสียงเกรงๆ

"เรื่องนั้นไม่จำเป็น !!" ทีโอดอร์พูดเสร็จก็ประกาศคำสั่งเสียงดังลั่น "พวกเจ้าทั้งหมดจงฟัง จงแยกย้ายไปประกาศให้เหล่านักรบในแอสการ์ดเข้าประจำที่ แล้วแจ้งเรื่องการรบครั้งนี้ด้วย !! วิคตอเรีย ติดต่อห้องขับเคลื่อน อีก 5 นาทีข้าจะไปถึง"

"เวโรนิก้า เจ้าไปกับข้า"

.
.
.

เนื่องจากตัวทีโอดอร์เองไม่ได้ศึกษาเวทย์ธาตุลม ทำให้เขาไม่มีเวทย์บทไหนท่าจะช่วยเรื่องการเคลื่อนที่ย่นระยะได้ ดังนั้นตอนสร้างแอสการ์ด เขาจึงวางระบบ ลิฟต์แก้ว เอาไว้ใช้ทดแทน ลิฟต์แก้วนี้ จึงเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวก ให้แก่เขาเป็นอย่างมาก เพราะมันทำให้เขา สามารถเดินไปยังห้องขับเคลื่อน ที่อยู่ใจกลางของปราสาทได้ ในเวลาไม่กี่นาที

สำหรับเวโรนิก้า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอ ได้เห็นห้องขับเคลื่อนเต็มสองตา ภายในประกอบด้วยเครื่องมือที่ได้มาจากการนำองค์ความรู้ต่างๆ ในแต่ล่ะมิติมาประยุกต์ใช้ เข้าด้วยกัน จนกลายเป็นเครื่องมือแบบใหม่ ที่มีความทันสมัยล้ำยุคไปไกลมาก แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่า ก็คือบุคลากรภายใน ที่ล้วนแล้วแต่เป็นวิศวกรชั้นหัวกระทิของมิดแลนด์ทั้งนั้น เพราะมีทั้งเครื่องมือและบุคลากรเช่นนี้นี่เอง แอสการ์ดแห่งนี้จึงสามารถสร้างสิ่งที่เหลือเชื่อ อย่างปราสาทลอยฟ้า และอนุภาคที่ปิดกั้นพลังเวทย์ออกมาได้

และการได้ติดตาม เจ้าชายแวมไพร์ เข้ามาในห้องขับเคลื่อนนี้ ทำให้เวโรนิก้า ได้เห็นความลับของปราสาทลอยฟ้า !! ลึกลงไปภายใต้แอสการ์ดแห่งนี้ มีเตาพลังงานขนาดใหญ่ ที่สามารถส่งพลังงานความร้อน ไปยังท่อไอพ่นน้อยใหญ่นับร้อยโดยรอบ ให้สามารถยกปราสาทแห่งนี้ให้ลอยขึ้นฟ้า แต่การจะทำให้เตาพลังงานนี้ทำงานได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าจำนวนมหาศาล เพื่อเป็นตัวจุดระเบิด เหล่าวิศวกรของแอสการ์ดจึงแท่นทรงกลมที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ ที่จะสามารถรับพลังไฟฟ้าจำนวนมหาศาลนี้ได้ และผู้ที่จะส่งพลังงานนั้นได้ ก็มีเพียงเจ้าชายแวมไพร์ ทีโอดอร์ ผู้นี้เพียงคนเดียว

และบัดนี้ เจ้าชายได้มายืนอยู่ตรงใจกลางแท่นรับพลังทองคำนี้แล้ว เขาหลับตาลงช้าเพื่อๆตั้งสมาธิก่อนจะใช้พลังมาน่าดึงดูดพลังธาตุสายฟ้าจำนวนมาก ที่อยู่รอบด้านเข้ามารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว จนแม้แต่ธรรมชาติยังต้องสั่นสะเทือน เกิดเสียงฟ้าร้องลั่นคำรามอย่างกึกก้อง ก่อนจะปล่อยอัสนีบาตรนับร้อยสายฟาดลงมายังพื้นราวกับห่าฝน จนแผ่นดินรอบด้านของตัวปราสาทต้องสั่นสะท้านราวกับผจญแผ่นดินไหวขนาดยักษ์ แต่ทั้งหมดนี้กินเวลาแค่เพียงชั่วลมหายใจ เพราะทันทีที่ทีโอดอร์รวบรวมพลังธาตุได้ เขาก็ตวาดลั่น

"ราชันย์นาคราช !!!!!"

ราชันย์นาคราชเป็นเวทย์สายฟ้าระดับเลเวล 12  และเมื่อเวทย์สูงสุดแห่งสายฟ้าถูกร่ายออก ก็บังเกิดเสียงคำรามดังลั่น พลังสายฟ้ามหาศาลเหลือคณานับถูกฟาดเข้าที่กลางแท่นทองคำ ก่อนที่พลังนี้จะถูกส่งต่อไปยังเตาพลังงาน ทันใดนั้น ตัวปราสาทก็สั่นสะท้านเล็กน้อย ก่อนที่ปราสาทจะค่อยๆทะยานขึ้นไปในอากาศ เท่ากับว่า กระบวนการลอยฟ้าครั้งนี้ ดำเนินการเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์

.
.
.

"เป็นยังไงเวโรนิก้า ที่เจ้าได้เห็นเมื่อครู่ เป็นขั้นตอนการทะยานขึ้นฟ้าของแอสการ์ด นี่เป็นข้อมูลลับสุดยอดของข้าที่ไม่เคยเผยแพร่แก่คนนอกมาก่อน แม้แต่คนที่ให้ข้อมูลแก่เจ้า ท่านผู้นั้นก็ไม่รู้เรื่องนี้" และเมื่อทุกอย่างดำเนินการเรียบร้อย ทีโอดอร์จึงมีโอกาสพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับแวมไพร์สาวเสียที และจากคำพูดประโยคนี้ ทำให้แวมไพร์สาวต้องประหลาดใจ เมื่อเจ้าชายตรงหน้า ทราบมาตลอดว่าเธอได้ข้อมูลแอสการ์ด กับ อนุภาคลูบินนอฟมาจากใคร

"ใช่ ถ้ารู้แต่แรกแล้ว ว่าคนที่ให้ข้อมูลแก่เจ้าคือท่านอาจารย์ ของข้า ท่านลินคอร์น" ทีโอดอร์พูดขึ้นพร้อมกับใช้สายตาตำรวจเรือนร่างแวมไพร์สาวตรงหน้าไปพลาง "ข้ายอมรับว่าในคราแรกข้าก็ประหลาดใจ ที่ท่านลินคอร์นให้ข้อมูลลับนี้แก่เจ้า ทั้งที่เจ้าเป็นแค่แวมไพร์ตีตราเท่านั้น"

"แต่เมื่อข้าได้พิจารณาตัวเจ้าข้าก็ได้เห็น ทั้งทักษะการต่อสู้ที่เจ้าสามารถเอาชนะนางสนมของข้าอย่างง่ายดาย ทั้งที่สายเวทย์ของเจ้าแพ้ทางแท้ๆ หรือด้านปัญญาที่สามารถโน้มน้าวแม้แต่ตัวข้า ให้ยอมเดิมเกมส์ตามหมากของเจ้า"

"เพราะเหตุนี้ ข้าจึงสนใจในตัวเจ้า และอยากให้เจ้า มาเข้ากับแอสการ์ดของข้า !!"

เมื่อเป็นเช่นนี้ แวมไพร์สาวก็เข้าใจในทันที เพราะเหตุใดเจ้าชายแวมไพร์ผู้นี้จึงได้พาตัวเธอเข้าไปเห็นข้อมูลลับสุดยอดอย่างการทำงานของแอสการ์ด เพราะเขาอยากได้ตัวเธอมาไว้ครอบครอง และถ้าเธอปฏิเสธ เธอก็จะโดนสังหารในข้อหารู้ความลับนี้ทันที แวมไพร์สาวจึงลังเลขึ้นมาในทันที ตัวเธอเป็นแวมไพร์ในสังกัดของท่านลินคอร์น จึงไม่อาจจะเข้าร่วมกับแวมไพร์ในกลุ่มอื่นได้ แต่ถ้าเธอไม่ยอม เธอก็ต้องโดนสังหารจากเจ้าชายแวมไพร์ตรงหน้า

"ถ้าเจ้าลังเลเพราะเรื่องท่านลินคอร์น งั้นข้าจะบอกข่าวร้ายแก่เจ้าเรื่องหนึ่ง" ทีโอดอร์เอ่ยขึ้น "ท่านลินคอร์น สิ้นชีพแล้ว !!"

.
.
.
.
.

ในขณะที่อันตรายกำลังคืบคลานเข้ามา แต่ผู้คนในนครแซงจูรี่ย์กลับไม่มีใครร่วงรู้ถึงภัยร้ายนั้นเลย ทุกๆคนยังใช้ชีวิตอยู่เหมือนเดิมไม่ต่างจากวันก่อนๆ วิเวียนก็เช่นกัน ในแต่ล่ะวันเธอต้องฝึกฝนการใช้เวทย์ในศูนย์ฝึกซ้อมที่ 1 ที่เป็นศูนย์ฝึกซ้อมที่ใหญ่ที่สุด นั่นก็เพราะเวทย์ที่เธอใช้เป็นเวทย์ธาตุแสง ที่ทั่วทั้งอาณาจักรมีเธอใช้อยู่คนเดียว ดังนั้นจึงไม่มีพรีสอาวุโสคนไหนมาให้คำแนะนำได้เลย ดังนั้นการที่เธอจะใช้เวทย์ชุดนี้ได้เต็มที่ จึงต้องให้เธอฝึกฝนและเรียนรู้ทำความเข้าใจด้วยตนเอง

"พร้อมหรือยังวิเวียน นี่จะเป็นการทดสอบจริงแล้วน่ะ" แต่การฝึกซ้อมทั้งหมดของวิเวียนนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมดูแล โบน ผู้ที่มีสถานะเป็นอาจารย์ของเธอ โดยตลอด และในตอนนี้ตัวเขาก็ลงมาเป็นคู่ซ้อมให้เธอด้วยตนเอง

"พร้อมค่ะ" วิเวียนเอ่ยรับพร้อมกับโคจรพลังมาน่าในร่างกายเต็มที่ ไอสีเขียวเข้มพวยพุ่งไหลทะลักออกจากร่างกายเธอขึ้นไปสูงเสียดฟ้า เล่นเอาพรีสใหญ่น้อยที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณนั้นควยลุกเป็นแถบๆ บางคนที่มีพลังไม่มากพอก็ถึงกลับน้ำแตกทะลักสิ้นเรี่ยวแรงไปในทันที ไม่เว้นแม้แต่โบนก็เช่นกัน ท่อนเอ็นของเขาก็ตั้งลำจนปวดไปหมด

"นี่นะเหรอพลังมาน่าที่ได้มาจากลินคอร์น นี่มันมีปริมาณมหาศาลเกินกว่าแวมไพร์ชั้นขุนพลไปแล้ว เทียบได้กับแวมไพร์ชั้นราชาแล้วมั่งน่ะ" โบนเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึงไม่น้อย เมื่อได้เห็นปริมาณพลังมาน่าในกายพริสสาวอย่างเต็มตา

ชั่วเวลาไม่นานวิเวียนก็โคจรพลังเสร็จ ตอนนี้ไอมาน่าสีเขียวเข้มจางหายไปแล้ว นั่นก็แปลว่าในตอนนี้เธอสามารถผ่านบททดสอบการควบคุมพลังมาน่าอันมหาศาลในกายของเธอได้แล้วนั่นเอง แต่จากนี้ต่างหากที่คือบททดสอบที่แท้จริง บททดสอบเรื่องการใช้เวทย์ธาตุแสงในระดับเลเวล 9

"ฮ่าห์...." โบนเอ่ยร้องเบาๆเพื่อรวบรวมพลังธาตุลมที่ไหลเวียนรอบกายเข้ามาอย่างเต็มที่ จนเห็นเป็นลมหมุนม้วนวนอยู่รอบหมัด แรงลมนี้รุนแรงมหาศาลเล่นสิ่งของที่อยู่รอบด่นโดนลมพัดกระเด็นราวกับโดนพายุซัดก็ไม่ปาก ก่อนเขาจะร่ายเวทย์ไม้ตายที่รุนแรงที่สุดของตนออกมา "หัตถ์อสูรลมสะบั้น !!!"

 โบนตวาดลั่นก่อนจะซัดหมัดออกไปเบื้องหน้า แรงลมมหาศาลถูกซัดออกก่อนจะดูดเอาฝุ่นทรายรอยด้านเข้ามารวมกันจนกลายรูปเป็นหมัดลมขนาดใหญ่พุ่งเข้าไปหาพรีสสาว ซึ่งเธอก็ที่รู้ซึ้งถึงอานุภาพเวทย์บทนี้ดี เพราะเวทย์บทนี้เป็นเวทย์ที่รุนแรงที่สุดของเวทย์ลมในระดับเลเวล 9 ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะส่วนมากเวทย์ลมจะแบ่งการโจมตีออกเป็นสองสายนั่นก็คือสายอัดกระแทกกับสายฉีกกระชาก แต่เวทย์ 'หัตถ์อสูรลมสะบั้น' นี้กลับพิเศษยิ่งกว่าเนื่องจากเป็นเวทย์ที่รวมการโจมตีทั้งสองแบบเข้าไว้ด้วยกัน ดังนั้นการที่เธอจะรับเวทย์ชุดนี้ได้ เธอจะต้องไม่ประมาทและทุ่มเทพลังให้สุดตัว ซึ่งนี่แหละที่เป็นจุดประสงค์ของอาจารย์ของเธอ

"กระจกเงาหมื่นดารา !!" วิเวียนตวาดลั่นพร้อมกับร่ายเวทย์รับมือในทันที พลังธาตุแสงที่อยู่รอบด้านถูกเธอดึงดูดเข้ามารวมกับจนเกิดเป็นประกายแสงสว่างวาบขึ้นเบื้องหน้า และเมื่อแสงสว่างนั้นจางลง ก็ปรากฏเป็นกระจกเงาบานใสขนาดใหญ่ขึ้นเบื้องหน้า ก่อนที่เธอจ

sunshine9

"กระจกเงาหมื่นดารา !!" วิเวียนตวาดลั่นพร้อมกับร่ายเวทย์รับมือในทันที พลังธาตุแสงที่อยู่รอบด้านถูกเธอดึงดูดเข้ามารวมกับจนเกิดเป็นประกายแสง สว่างวาบขึ้นเบื้องหน้า และเมื่อแสงสว่างนั้นจางลง ก็ปรากฏเป็นกระจกเงาบานใสขนาดใหญ่ขึ้นเบื้องหน้า ก่อนที่เธอจะผลักกระจกบานนี้เข้ารับหมัดลมที่พุ่งเข้ามาทันที !!

"เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงง !!" ทันทีที่เวทย์สองบทเข้าปะทะกันเสียงร้องก็ดังคำรามสนั่นไปทั่ว แต่ฉับพลันก็เกิดเรื่องประหลาด หมัดลมยักษ์ที่กำลังพรุ่งเข้าหาวิเวียน เมื่อกระทบเข้ากับกระจกเงาบานนั้น หมัดลมก็กลับเปลี่ยนทิศมุ่งเข้าใส่ร่างของโบนแทน สิ่งนี้นี่เองที่เป็นอานุภาพของเวทย์ 'กระจกเงาหมื่นดารา' เพราะถ้ากระจกเงาทั่วไปสามารถสะท้อนแสงได้ 100 % เช่นไร เวทย์กระจกนี้ก็สามารถสะท้อนเวทย์อื่นๆได้ 100 % เชกเช่นเดียวกัน

"ย๊ากกกกกกก" เมื่อเวทย์ของตนถูกสะท้อนกลับมาในทันทีเช่นนี้ มันจึงยากที่โบนจะปัดป้องหรือหลบหลีกออกไปได้ ดังนั้นทางเดียวที่เขาจะทำได้ก็คือปล่อย 'หัตถ์อสูรลมสะบั้น' ออกไปอีกครั้งเพื่อสกัดเวทย์ชุดแรกของตน หมัดลมยักษ์ทั้งสองลูกจึงพุ่งเข้าปะทะกันกลางอากาศจนเกิดเสียงระเบิดดังกึก ก้องไปทั่วบริเวณ !! นับว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่ทำให้ตัวเขาสามารถรอดพ้นจากเวทย์ของ ตนเองมาได้ แต่แรงระเบิดที่ตามก็ยังมีอัดมหาศาล จนมันกระแทกตัวเขากระเด็นออกไปไกล

"คุณโบน !!!" วิเวียนร้องเสียงหลงก่อนจะวิ่งเข้าไปดูอาการของอาจารย์เธอทันที แม้แรงระเบิดเมื่อครู่จะทำเอาพรีสเฒ่าปวดระบมไปทั้งร่าง แต่เขาก็ยังกัดฟันโบกมือไปมาเพื่อจะบอกว่าตนเองไม่เป็นอะไร

"สำเร็จแล้วน่ะวิเวียน ตอนนี้ก็เท่ากับว่าเจ้าสามารถควบคุมเวทย์ธาตุแสงระดับเลเวล 9 ได้สมบูรณ์แล้ว" โบนเอ่ยขึ้นก่อนจะเอามือขยี้ผมของหญิงสาวไปมา ทำให้สามารถเรียกรอยยิ้มจากหญิงสาวออกมาได้ "วันนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตัวเจ้าไปพักก่อนเถอะ เพราะวันข้างหน้าเจ้าจะต้องการฝึกที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่านี้"

"คะ ??" วิเวียนเอ่ยรับด้วยความสงสัย

"พลังมาน่าที่เจ้าได้มาจากลินคอร์นนั้นวิเศษมาก ปริมาณของมันเทียบเท่าแวมไพร์ชั้นราชาเลยทีเดียว ดังนั้นข้าว่าถึงเวลาแล้ว ที่เจ้าจะได้เรียนเวทย์แห่งแสงระดับเลเวล 10" ชายชราเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามเสียหนักแน่น "เจ้าพร้อมไหมวิเวียน"

"พร้อมสิค่ะ คุณโบน" แม้จะรู้ว่าการฝึกเวทย์แห่งแสงในเลเวล 10 นั้นจะยากเย็นยิ่งกว่า แต่วิเวียนเองเธอไม่เคยรู้สึกย่อท้อเลยสักนิด เพราะเธอรู้ดีกว่า เมื่อฝึกสำเร็จฝันของเธอก็จะใกล้ความเป็นจริงไปอีกก้าว ฝัน ที่ว่าเธอจะต้องเป็นพรีสที่เก่งกาจสามารถปกป้องทุกคน

และแน่นอนที่ว่าความฝันนี้ผู้เป็นอาจารย์อย่างโบนก็รู้ดี แม้ความฝันนี้จะเป็นปณิธานหลักของพรีสทุกคน แต่น้อยคนนักที่มุ่งหวังที่จะทำให้ปณิธานนี้เป็นจริง เพราะแต่ล่ะคนที่เข้ามาเป็นพรีส ต่างก็เพื่อหวังใน เกียรติยศ เงินทอง ด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อเจอผู้ที่มีความฝันเช่นนี้ มันจึงเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดของเขา ที่จะทำฝันของเธอให้เป็นจริง

.
.
.

"อาร์ตตตตตตต วิเวียนกลับมาแล้ว" หญิงสาวเอ่ยอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง แต่น่าแปลกเพราะในห้องกลับว่างเปล่าไม่มีผู้ใดอยู่เลย หญิงสาวหน้านิ่วเล็กน้อยที่ชายคนรักหายไป เธอจึงลองมองหาตามจุดต่างๆ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่า กำลังมีใครบางคน กำลังย่องเข้าหาเธอจากด้านหลัง

"จับได้แล้ววววววว" นายอาร์ตนั่นเองที่แอบซุ่มอยู่ และพอได้จังหวะ เขาก็กระโดดกอดเธอจากด้านหลัง จนเขาทั้งคู่ล้มลงไปกับพื้น

"อาร์ตเล่นอะไรอ่ะ" วิเวียนหันมาดุชายหนุ่มก่อนจะเอื้อมมือมาตีเขาเบาๆ และนั่นมันก็ทำให้เธอพบว่า นายอาร์ตในตอนนี้อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า

"อุยยยยยย" อยู่ๆวิเวียนก็ร้องเสียงหลงเมื่อนายอาร์ตไซร้ไปที่ซอกคอสวยๆของเธอ นั่นมันก็เพียงพอให้เธอรู้สึกขนลุกขึ้นมาเบาๆ

"รู้ไหม ผมชอบชุดพรีสของวิเวียนตรงไหน" นายอาร์ตพูดจบก็จับท่อนเอ็นไปจ่อกับเนินสวาท "ก็ตรงที่วิเวียนไม่ได้ใส่กางเกงในไงล่ะ

"อืออออออออ" วิเวียนครางออกมาช้าๆ เมื่อเจอนายอาร์ตเปิดเกมส์รุก จับเอาท่อนเสียวเขี่ยไปที่เม็ดติ่งเบาๆ

"อย่าค่ะอาร์ต วิเวียนพึ่งกลับมาเหนื่อยๆน่ะ" วิเวียนหันมาดุชายคนรัก

"ปากบอกว่าอย่า แล้วนี่มันน้ำอะไรจ๊ะ" นายอาร์ตแหย่เธออีกที ก่อนที่จะเอานิ้วแหย่เข้าไป เพื่อล้วงเอาน้ำรักที่เปียกเยิ้มออกมาให้ดู

"น้ำอะไรที่ไหน นั่นมัน ว๊ายยยยย" วิเวียนหันมาเถียงแต่ยังไม่ทันที่จะพูดจบ นายอาร์ตก็กระแทกท่อนเอ็นสวนเข้าไปทันที ถึงตอนนี้พรีสสาวแสนสวยไม่สามารถส่งเสียงร้องอะไรออกมาได้อีกแล้ว เพราะท้องน้อยของเธอในตอนนี้มันคับแน่น จุกเสียดไปหมด

นายอาร์ตกระแทกเบาๆอีก 2-3 ที เพื่อส่งให้ท่อนเอ็นเข้าไปในโพรงสวาทได้ถนัดๆ และเมื่อมันจมลึกลงไปจนสุดโคนแล้ว เขาก็เริ่มสาวเอวช้าๆ

"ซี๊ดดดดดดดดดดด" พรีสสาวเอ่ยร้องอย่างสุดเสียว เธอแปลกใจตัวเองไม่น้อยที่ตัวเองกลายเป็นผู้หญิงร่านราคะไปแล้ว ไม่ต้องเล้าโลม ไม่ต้องโดนสะกด แค่โดนท่อนเอ็นเขี่ยเบาๆ น้ำรักของเธอก็ไหลทะลักพร้อมกับการเย็ดถึงเพียงนี้เลยเหรอ และเมื่อโดนซอย มันก็เหมือนมีแรงอะไรบางอย่างมาสั่งเธอให้หยุดไม่ได้ ต้องกระแทกรับและขมิบควยตอบโต้

แต่ความเปลี่ยนแปลงนี้เหมือนนายอาร์ตจะรู้ดี ระหว่างเย็ดเขาก็จัดท่าทางอีกเล็กน้อย จนพวกเขาอยู่ในท่าหมา แต่แทนที่เขาจะสาวเอวต่อ เขาก็หยุดดื้อๆ ทำเอาพรีสสาวที่กำลังอร่อยกับท่อนเอ็นเพลินๆถึงกลับอารมณ์ค้าง ต้องหันมามองค้อนเป็นการใหญ่ แต่เมื่อเห็นชายหนุ่ม ค้างไว้อยู่อย่างนั้นไม่ยอมขยับเสีย หญิงสาวก็ทนไม่ไหว ต้องเป็นฝ่ายกระแทกโพรงสวาทเข้าใส่ด้วยตัวเอง

นายอาร์ตหัวเราะออกมาอย่างพอใจที่ได้แกล้งหญิงสาว เขาในตอนนี้ไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อย ยังอยู่ในท่าคุกเข่านิ่งๆ ทิ้งให้หญิงสาวที่กำลังคลานสี่ขาเหมือนสุนัข ต้องเป็นฝ่ายกระแทกเข้าใส่อย่างเอาเป็นเอาตาย แถมนอกจากเขาจะไม่ขยับเอวช่วยแล้ว เขายังแกล้งเธอด้วยการเอื้อมมือไปนวดเค้นเต้างามทั้งสองตรงหน้า ราวกับอยากจะให้เธอเสียวจนขาดใจตาย

"โอยยยยยยย" วิเวียนครางเบาๆเมื่อโดนนายอาร์ตเล้าโลมไปบนยอดปทุมถัน แม้เธอในตอนนี้จะอยู่ในชุดพรีสเต็มตัว แต่เพราะชุดนี้เนื้อผ้าบางเบา อีกทั้งตรงหน้าอกเธอก็ไม่ได้ใส่บรา เมื่อโดนนายอาร์ตลูบไล้ มันจึงเสียวสุดๆอย่างบอกไม่ถูก ทำเอาวิเวียนทนไม่ไหวต้องหันไปแลกลิ้นอย่างดูดดื่มกับนายอาร์ตเพื่อดับความ ร้อนร่าน

หลังจากปล่อยให้หญิงสาวเป็นฝ่ายกระแทกบั้นเอวอยู่นาน นายอาร์ตก็เอื้อมมือไปกอดรัดรอบเอวบางๆของหญิงสาว ก่อนจะช้อนร่างเธอขึ้นโดยระวังไม่ให้ท่อนเอ็นหลุดออก ก่อนจะค่อยๆถอยหลังแล้วทิ้งตัวลงโซฟาอย่างแรง ทำให้น้ำหนักตัวของหญิงสาวโถมเข้าใส่ท่อนเอ็นอย่างจัง ท่อนเอ็นเสียแน่นอยู่แล้ว ก็เลยแทงทะลุไปถึงหมดลูกของเธอเลยทีเดียว

"อ๊า.........." เสียงหญิงสาวร้องดังลั่น ความรู้สึกของเธอในตอนนี้มันคับแน่นไป จนจุกเสียดไปทั่วท้อง แถมชายหนุ่มก็ไม่เปิดโอกาสให้เธอได้พักหายใจ มือข้างหนึ่งของเขาคว้าหมับไปที่เต้างามคู่สวยพร้อมกับเขี่ยเค้นไปที่ยอด ปทุมถัน ส่วนอีกข้าง ก็เอื้อมมาด้านล่าง พร้อมกับขยี้ติ่งเสียวอีกทาง เมื่อโดนปลุกเร้าติดๆกันเช่นนี้ ไฟราคะของเธอก็พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด สติที่มีของเธอก็เลือนหาย จนเธอกลายสภาพเป็นพรีสสาวร่านสวาท ที่ขาดท่อนเอ็นไม่ได้ไปเสียแล้ว

และทันทีที่เธอหายจุกเสียด หญิงสาวก็เริ่มเป็นฝ่ายคุมเกมส์ทันที เธอพลิกตัวเป็นหันหน้าเข้าหาชายหนุ่ม พร้อมกับปลดชุดพรีสของเธอออก ชุดพรีสที่มีลักษณะเป็นเดรสเกาะอกจึงหลุดไปกองบนเอวเผยให้เห็นเต้างามคู่สวย ที่ชูชันเต็มที่ ทำเอานายอาร์ตอดใจไม่ไหว ต้องดูดเข้าปากอย่างหื่นกระหาย

"อ๊ายยยยยยย" วิเวียนร้องลั่นอย่างสุขสม ก่อนที่จะขย่มบั้นเอวให้ท่อนเอ็นนั้นอย่างหนักหน่วงไม่ยอมหยุด ยิ่งเธอกระแทกแรงเท่าไหร่ ท่อนเอ็นก็ยิ่งเข้าไปลึกจนกระทบถึงมดลูกจนเจ็บไปหมด และนั่นก็ยิ่งเป็นตัวทำให้เธอยิ่งบ้าคลั่ง กระแทกเข้าไปอย่างไม่หยุดยั้งราวกับความเจ็บปวดที่ได้รับ มันช่างสุขสันต์เหลือเกิน

"อะ ... โอ๊ยยยยยยย" คราวนี้เป็นนายอาร์ตที่ร้องบ้าง เมื่อเขาเจอการกระแทกที่เร่าร้อนเช่นนี้ มันก็เกินกว่าที่เขาจะทานไหว น้ำรักที่มีอยู่ในร่างกาย ถูกสูบฉีดให้ไหลมารวมกันที่ท่อนเอ็น จะท่อนเอ็นลำใหญ่ของเขาบวมโตจนน่ากลัว ก่อนที่มันจะไม่อาจรับไหว น้ำรักทั้งหมดแตกทะลักพุ่งฉีดเข้าใส่โพรงสวาทอย่างรุนแรง ทำเอาหญิงสาวก็หวีดร้องออกมาเช่นกัน ก่อนจะกระแทกอัดอีกครั้ง พร้อมกับบดเนินสวาทแน่นราวกับไม่อยากให้น้ำรักไหลออกมาเลยสักหยด

หลังจากเกมส์กามที่เร่าร้อนจบลง วิเวียนก็ค่อยๆลุกขึ้นจากร่างนายอาร์ตอย่างอ่อนแรง ก่อนจะไปสำรวจตัวเองที่หน้ากระจก เธอในตอนนี้ผมเผ้ายุ่งเหยิง ชุดพรีสที่สวมอยู่ก่อนหลุดไปกองเละเทะ ทำให้เธอต้องเสียเวลามากพอดูในการจัดมันให้เข้าที่ ในขณะที่นายอาร์ตที่เป็นตัวการค่อยๆลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาเธอช้าๆ

"เหนื่อยไหมจ๊ะวันนี้" นายอาร์ตเอ่ยขึ้นก่อนจะเข้าไปสวมกอดหญิงสาวจากด้านหลัง พร้อมกับกระชับร่างบางตรงหน้าเข้ามาแนบกาย

"ฝึกไม่เหนื่อยหรอกคะ ... แต่จะเหนื่อยเพราะไอ้นี่นี่แหละ" วิเวียนเอ่ยตอบก่อนจะคว้าหมับไปที่เป้ากางเกงนายอาร์ตอย่างแรง จนชายหนุ่มถึงกับร้องเสียงหลง จำต้องปล่อยมือออกจากเธอ

"บีบอย่างนี้ เอามีดมาแทงเลยดีกว่า" ชายหนุ่มเอ่ยต่อว่าแต่พรีสสาวก็ไม่สนใจ ยังหัวเราะขบขันในท่าทางของเขา ก่อนที่เธอจะเงียบเสียงลงแล้วเอ่ยถามขึ้นมา

"เบื่อไหม วันๆอยู่แต่ในห้องนี้นะ"

"ไม่เบื่อหรอก" ชายหนุ่มเอ่ยตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้ ทำให้วิเวียนอดใจไม่ไหวต้องเดินเข้ามาหาเขาช้าๆ

"โกหก !!" พูดจบเธอก็บีบจมูกชายหนุ่มทันที ก่อนจะหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งเขาอีกครั้ง

"อาร์ตไปแต่งตัวดีกว่า เดี๋ยววิเวียนจะพาไปเที่ยวข้างนอก"

.
.
.

"เราจะขับเจ้านี่ไปจริงๆเหรอ" นายอาร์ตเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ เพราะเมื่อครู่วิเวียนบอกเองว่าจะพาเขาออกไปข้างนอก เขาก็เลยจินตนาการไปก่อนแล้วว่าเขาคงต้องใช้รถม้าเป็นพาหนะเป็นแน่ แต่เอาเข้าจริงพาหนะที่เขาเห็นกลับเป็นรถยนต์รูปร่างประหลาด คล้ายรถเปิดประทุนของบ้านเรา แต่ผิดกันก็ตรงเจ้ารถนี้ไม่มีล้อ

"ขึ้นไปเถอะน่า" วิเวียนไม่ยอมตอบอะไรมาก แถมยังดันหลังชายหนุ่มขึ้นไปนั่งบนรถ ก่อนจะอ้อมไปขึ้นอีกด้าน จากนั้นเธอก็กดป้อมรหัสบนแป้นพวงมาลัย จากนั้นเจ้ารถก็เดินเครื่องทันที ไอน้ำจำนวนมากถูกปล่อยออกมาจากท้องรถ ก่อนที่รถจะลอยขึ้นมาเหนือพื้น

"เจ้านี่มันก็เหมือนรถยนต์บนโลกของอาร์ตนั่นแหละ แต่มันขับง่ายกว่ามาก แต่เราคอยคุมพวงมาลัยอย่างเดียวก็พอ" วิเวียนหันมาตอบ

"ยอดเลยวิเวียน" ชายหนุ่มเอ่ยอย่างตื่นเต้นพร้อมกับลูบเจ้ารถเหาะไปมา "อย่างกับหนังอวกาศเลย ที่ wonderland นี่มีอะไรที่ผมไม่อยากเชื่อเยอะแยะเลยน่ะ"

"ที่ wonderland ไม่ได้มีแต่เวทย์มนต์น่ะค่ะอาร์ต" พรีสสาวเอ่ยตอบก่อนจะโยกพวงมาลัยเข้าหาตัว เจ้ารถเหาะก็เลยแล่นเดินหน้าออกจากโบสถ์คาดินัลล์ไปตามทางบนถนน "เพราะการที่เราสามารถเดินทาข้ามมิติได้ ทำให้เราได้เรียนรู้วิทยาการของโลกมิติต่างๆมากมาย ก่อนที่จะนำมาปรับใช้ อย่างเจ้ารถนี่ก็เหมือนกัน ตอนนี้เหลือแค่ปรับแต่งให้มันสามารถผลิตเป็นจำนวนมากได้ ถึงตอนนั้นอาร์ตก็จะเห็นมันเล่นอยู่เต็มเมืองเลย"

"หืมมมม พูดแบบนี้ก็แปลว่าวิเวียนอยากให้ผมอยู่ด้วยนานๆงั้นสิ" ชายหนุ่มได้ทีก็เลยรีบแหย่เธอทันที วิเวียนหันมายิ้มให้อยากหมันไส้ ก่อนจะเร่งความเร็วรถขึ้นทันที ทำเอาชายหนุ่มผวารีบจับเบาะแน่น โดยมีเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของหญิงสาวดังลั่นตามมาหลังจากแกล้งเขา สำเร็จ

เจ้ารถเหาะ พาพวกเข้าพุ่งทะยานไปตามทาง ลัดเลาะออกมาจากจุดศูนย์กลางของเมืองมุ่งหน้าไปสู่เขตเมืองโซนนอก ไม่นานนักพรีสสาวก็พาเขามาถึงจุดหมาย ดูดจากภายนอกมันก็เหมือนอาคารที่ดูเรียบง่ายทั่วไป แต่เมื่อพรีสสาวพาเขาเข้าไปด้านใน เขาจึงพบว่าที่แท้มันก็คือร้านอาหารนี่เอง

"นี่เป็นร้านที่เจ๋งที่สุดในแซงจูรี่ย์เลยน๊า" วิเวียนเอ่ยบอกก่อนที่จะพาเขาเข้าไปนั่ง ก่อนที่เธอจะเป็นคนสั่งอาหาร ไม่นานนักอาหารที่สั่งไปก็ถูกวางเรียงนายขึ้นเต็มโต๊ะ "อาร์ตลองชิมสิค่ะว่ารสชาติเป็นไง"

"อร่อยนี่วิเวียน" แม้เขาจะไม่ใช้คนที่เรื่องมากในเรื่องอาหารแต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าอาหารใน ร้านนี้อร่อยที่สุดเท่าที่เขาเคยชิมมา และเมื่อมองไปรอบร้าน เขาก็พบว่าร้านนี้เน้นการตกแต่งแบบเรียบง่ายสบายตา อีกทั้งด้านหน้ามีเครื่องดนตรีต่างๆวางเรียงราย เหมือนกับร้านอาหารกึ่งผับทั่วๆไป แต่ด้วยรสชาติขนาดนี้ ถ้ามาอยู่ในโลกของเขา คงเป็นร้านดังได้ไม่ยาก

"แหม นึกว่าใครมา ที่แท้ก็ลูกสาวคนสวยของเจ๊นี่เอง .... แล้วพ่อรูปหล่อนี่ใครล่ะ" แต่หลังจากที่เขารับประทานอาหารได้ไม่นาน เสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น แม้เธอจะดูมีอายุแล้ว แต่จากการดูแลรูปร่างที่ดีทำให้เธอยังดูสาวและสวยอ่อนกว่าวัยไปมา จนเธอสามารถแต่งตัวเซ็กซี่อวดผิวกายก็ยังได้

วิเวียนยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนจะรีบแนะนำให้นายอาร์ตรู้จัก ที่แท้หญิงสาวคนนี้ก็คือมาร์กาเร็ต ผู้ที่เป็นเจ้าของร้านและเป็นแม่ครัวที่ทำอาหารให้เมื่อครู่นั่นเอง แถมมาร์กาเร็ตนั้นก็เคยเห็นวิเวียนมาตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอจึงรักพรีสสาวไม่ต่างกับลูก และเรียกเธอว่าลูกตลอดมา

"ที่ผ่านมาเจ๊คิดว่าลูกสาวคนนี้จะไม่ตกลงปรงใจกลับใครซะอีก เพราะเห็นมีผู้ชายตั้งมากมายเข้ามาขายขนมจีบ แต่เธอก็ไม่สน ทีแท้ก็รอพ่อหนุ่มคนนี้นี่เอง" มาร์กาเร็ตเอ่ยเสียงหวานก่อนที่จะนั่งลงบนตักนายอาร์ตแล้วโอบคอเขาไว้ เล่นเอาตัวเขาทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

"เมื่อก่อนวิเวียนมีคนจีบเยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ" ชายหนุ่มเอ่ยถาม

"อาร์ตอย่าไปเชื่อ ไม่จริงหรอก" วิเวียนปฏิเสธเสียงแข็ง

"ไม่จริงอะไรย่ะ .... ถ้าพ่อหนุ่มไม่เชื่อลองมองไปรอบๆสิ" พอมาร์กาเร็ตพูดจบนายอาร์ตก็เลยมองไปรอบๆอย่างงงๆ แต่ก็เข้าใจในที่สุด เพราะสายตาทุกคู่ของชายหนุ่มในร้าน ต่างก็ชำเลืองมองมาที่วิเวียนเป็นจุดเดียว ที่จริงเขาก็รู้สึกว่าวิเวียนเป็นเป้าสายตาตั้งแต่เข้ามาในร้านแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้เอะใจอะไรมาก จนมาชัดเจนเอาก็ตอนที่เจ๊เจ้าของร้านเอ่ยบอกนี่แหละ

"คู่แข่งเยอะขนาดนี้พ่อหนุ่มต้องทำคะแนนมากๆแล้วรู้ไหม" มาร์กาเร็ตแอบกระชิบเบาๆข้างหูนายอาร์ต ทำให้ชายหนุ่มชุกคิดอะไรบางอย่าง ที่ผ่านมาเขาได้ชื่อว่าเป็นคาสโนวาที่ฟันสาวไปทั่วมหาลัย แต่ในความเป็นจริงฉายานี้ได้มาก็เพราะเขาใช้พลังมาน่าสะกดผู้หญิงเหล่านั้น มาทั้งนั้น ทำให้เขาละเลยเรื่องง่ายๆอย่างการสร้างความประทับใจให้ผู้หญิงอยู่เสมอ กับวิเวียนก็เช่นกัน จะว่าไปเขาก็เลยเคยทำอะไรให้เธอเลย

"ทำคะแนน .... ได้ครับคุณมาร์กาเร็ต" ด้วยความที่นายอาร์ตเป็นคนยุง่ายซะด้วย แค่คำพูดไม่กี่คำของมาร์กาเร็ตก็ทำเขาฮึดขึ้นมาทันที ชายหนุ่มหันรีหันขวางไปมาก่อนที่สายตาจะจับจ้องไปยังเครื่องดนตรีต่างๆบน เวที ถ้าอยู่ๆเขาขึ้นไปเล่นดนตรีเพื่อวิเวียน เธอจะต้องประทับใจแน่ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นนายอาร์ตก็เลยขอขึ้นเวทีที่ร้านด้วยหัวใจที่ฮึกเหิมสุดขีด

.
.

แต่เขาก็ลืมอะไรไปอย่าง โลกนี้ไม่ใช่โลกของเขา มันเป็นโลก wonderland ดังนั้นเครื่องดนตรีที่นี่ก็เป็นเครื่องดนตรีของ wonderland ที่เขาเล่นไม่เป็นทั้งนั้น แต่กว่าเขาจะรู้ตัว เขาก็ไปยืนอยู่บนเวทีซะแล้ว

.
.

แต่เหมือนโชคดีในโชคร้าย สายตาเขามองไปเห็นเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่ง ที่ดูหน้าตาภายนอกมันอาจจะไม่คุ้นนัก แต่เมื่อดูการเรียงสายดีๆมันก็เหมือนกับกีตาร์โปร่งบ้านเรานี่เอง ชายหนุ่มจึงลองนำมันขึ้นมาแล้วลองจับคอร์ดแบบกีตาร์ เพียงเท่านี้เสียงหัวเราะก็ดังลั่นร้าน ดูท่าเขาคงเล่นผิดวิธีแน่ๆ แต่ชายหนุ่มไม่สนใจเขาลองตีคอร์ดดู ปรากฏว่าเกิดเสียงดังกังวานออกมาไม่ต่างกับเสียงกีตาร์เลยแม้แต่น้อย

"ใช้ได้" นายอาร์ตเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ ก่อนที่จะนั่งลงแล้วตีคอร์ดอีก 2-3 คอร์ด เป็นเพลงปรากฏว่าเสียงที่ออกมาไม่ต่างกับเพลงที่เล่นด้วยกีตาร์เลยแม้แต่ น้อย เมื่อวอร์มเครื่องจนได้ที่แล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มเล่นเพลงทันที

"จะทำทุกทุกอย่าง จะทำทุกทุกทาง มันทำให้ฉันนั้นรู้ดีว่า จะเป็นเช่นไร" ว่าแล้วชายหนุ่มก็เล่นเพลง ทุกอย่าง ของ scrubb ทันที ซึ่งเพลงนี้ก็เป็นเพลงหากินของเขาพอดี

"พ่อหนุ่มนั่นเล่น 'ปาจีร์' โดยไม่ใช้ไม้สีได้ยังไงเนี่ย" มาร์กาเร็ตเองก็ทึ่งไม่น้อย แถมชายหนุ่มยังโชว์การเล่นเครื่องดนตรีที่เธอคุ้นตาอีกแบบ ทำให้ได้เสียงต่างออกไป แต่ความไพเราะไม่ได้ลดลงเลย แต่ขณะที่เธอฟังเพลินๆ อยู่ๆก็มีเสียงนึงแทรกขึ้น

"ถึงกับตะลึงไปเลยเหรอจ๊ะ ระวังเถอะ ยิ่งแก่ๆอยู่เดี๋ยวจะหัวใจวายไปซะก่อน"

"คุณโบน !! มาได้ไงค่ะเนี่ย" วิเวียนร้องอย่างดีใจ ที่แท้เสียงบุคคลที่สามที่แทรกเข้ามาก็คือโบนนี่เอง

"เอ้าถามมาได้ !! ลืมไปแล้วเหรอว่าเจ้าของร้านร้านนี้เป็นเด็กใคร" โบนเอ่ยอย่างอารมณ์ดี แต่ไม่วายหันไปหยอกมาร์กาเร็ต ที่แท้ทั้งคู่เคยเป็นคนรักเก่ากันมาก่อนที่ต่อมาต้องเลิกรากันไป แต่กระนั้นเมื่อเจอหน้า โบนก็ยังชอบแซวเธออยู่ดี มาร์กาเร็ตหันมาค้อน ก่อนจะลุกหนีไปดูนายอาร์ตดีดปาจีร์ที่โต๊ะด้านหน้า

โบนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปมองวิเวียนที่นั่งอยู่ด้านข้าง สีหน้าของเธอในตอนนี้เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม อีกทั้งยังโบกมือให้กำลังใจชายหนุ่มที่เล่นดนตรีบนเวทีอย่างมีความสุข มันเป็นความสุข ที่ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่มีครั้งไหนเทียบกับความสุขที่เธอมีในตอนนี้ได้เลย

"เจ้ามีความสุขมากขนาดนี้เลยเหรอวิเวียน" พรีสชราเอ่ยถาม

"ค่ะ ??" วิเวียนสงสัยเล็กน้อยกับคำถามที่ได้ยิน แต่เธอก็ตอบเขาด้วยรอยยิ้มแทนคำตอบ

"เจ้าว่าความสุขของเจ้า จะอยู่ได้นานสักเท่าไหร่" เขาถามกลับด้วยสีหน้าที่จริงจัง "ตอนนี้เจ้ายังมีความสุขได้อยู่ก็เพราะเรื่องของพ่อหนุ่มนั่นยังไม่โดยเปิด เผย แต่ถ้าวันใดที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกมาล่ะ เจ้าว่าคนอื่นจะคิดยังไง เจ้าก็รู้นี่วิเวียน ว่าทุกคนหวาดกลัวอาลูคาร์ด แม้แต่มาร์กาเร็ตก็เช่นกัน ถ้าเธอรู้เข้า เจ้าว่าเธอจะหวาดกลัวพ่อหนุ่มนั่นไหม ถ้าทุกคนในเมืองเป็นศัตรูกับเขา เจ้าจะยังมีความสุขได้เหรอ"

"เรื่องนี้ ...." วิเวียนสีหน้าสลดลงทันที

"วิเวียนเข้าใจนะค่ะ ว่าทุกคนหวาดกลัวอาลูคาร์ดกันแค่ไหน" พรีสสาวตอบขึ้นมาเบาๆ "แต่อาร์ลูคาร์ดก็คืออาร์ลูคาร์ด อาร์ตก็คืออาร์ต เขาทั้งคู่ยังไงก็เป็นคนละคนกัน และที่สำคัญ อาร์ตในตอนนี้ก็เป็นมนุษย์ไม่ใช่แวมไพร์ ดังนั้นถ้าเราดูแลเขาไว้ที่นี่ เขาก็ไม่มีทางที่จะกลับไปเป็นอาร์ลูคาร์ดได้หรอก"

"ถ้าต่อไปเรื่องนี้มันถูกเปิดเผยขึ้นมา วิเวียนเชื่อว่าวิเวียนจะชี้แจงให้พวกเขาจะเข้าใจแน่นอน"

"แค่คำพูดไม่กี่คำของเจ้า คิดว่าจะเปลี่ยนความคิดคนอื่นๆให้ยอมรับตัวนายอาร์ตให้อยู่ในเมืองนี้ได้ งั้นเหรอ !!" โบนเอ่ยเสียงเข้ม แต่วิเวียนก็ไม่หวั่นไหว เธอจ้องตาเขาไม่กระพริบราวกับจะบอกถึงความมุ่งมั่นที่อยู่ในภายใน

"ค่ะ"

ใสซื่อ ใสซื่อเกินไป !! โบนร่ำร้องอยู่ภายในใจ เพราะทั้งหมดมันเป็นความผิดของเขาเอง ที่ผ่านมา แม้เขาจะฝึกฝนพรีสสาวตรงหน้าอย่างหนักจนเธอกลายเป็นพรีสที่เก่งกาจ แต่ได้ด้านอื่นเขากลับทำได้ไม่ดีเอาซะเลย ตัวเขาบ่มเพราะแต่สิ่งที่ดีงาม และปิดกั้นเธอจากเรื่องเลวร้าย ผลก็คือทำให้เธอกลายเป็นคนรู้จักโลกแค่เพียงด้านเดียว รู้จักมองโลกแต่ในแง่ดีเท่านั้น

อย่างเช่นเรื่องนี้ เธอคิดเอาง่ายๆว่า เธอจะสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยคำพูดแค่ไม่กี่คำได้ วิเวียนเอ๋ยเจ้าคิดอะไรง่ายเกินไปแล้ว เพราะถ้าคำพูดของเจ้าสามารถทำให้คนเปลี่ยนความคิดได้จริง สังฆราชสูงสุดอย่างเจ้ารอส คงไม่ออกคำสั่งลับ ให้แองเจลล่าสังหารนายอาร์ตหรอก นี่คงถึงเวลาแล้วเสียที ที่เขาจะทำให้เธอได้รู้จักโลกแห่งความเป็นจริง โลกที่ไม่ได้งดงามอย่างที่เธอเห็น โลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย และความเห็นแก่ตัว

"วิเวียนฟังข้าให้ดี" เขาตัดสินใจแล้วที่จะบอกเธอถึงคำสั่งลับที่ออกมานั้น แม้เขาจะคาดเดาไม่ออกเลยว่าถ้าเขาบอกเรื่องนี้กับเธอไปแล้ว เรื่องราวมันจะเป็นเช่นไรต่อไป แต่เขาก็อยากจะบอกเธอ เพราะอย่างน้อย เธอจะได้หาทางแก้ปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ได้ทัน

"มันมีคำสั่งลับลงมา เกี่ยวกับเรื่อง ..."

.
.

เพล๊ง .......... !

.
.

เสี้ยววินาทีนั้น กรอบรูปที่ประดับร้านก็ตกลงมา ไม่ใช่แค่เพียงกรอบเดียว แต่กรอบอื่นๆนับสิบบานก็ร่วงกราวลงมาเช่นกัน ไม่แค่นั้น แก้วน้ำหรือจานชามที่วางเรียงราย ต่างก็ร่วงกระทบพื้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมๆกับแรงสั่นสะเทือนมหาศาล ที่มากจนสั่นร้านทั้งร้านให้สะเทือนอย่างรุนแรง จนแถบจะพังถล่มลงมา ทำให้คนที่อยู่ภายในร้านต่างหวีดร้องกันอย่างโกลาหล

"อย่าตกใจ มันแค่แผ่นดินไหว หมอบลงใต้โต๊ะ" โบนตวาดลั่น ซึ่งก็ได้ผล คนในร้านต่างหลบลงใต้โต๊ะตามกันไป แต่แรงสั่นสะเทือนนี้ก็แค่เพียงไม่นาน ร้านทั้งร้านก็สงบลง เหลือเพียงคราบความเสียหายที่หลงเหลือเอาไว้

"วิเวียนเป็นอย่างไรบ้าง" นายอาร์ตเอ่ยร้องพร้อมกับพยามแหวกผู้คนเข้ามาหา

"ไม่เป็นไรค่ะ" วิเวียนเอ่ยตอบก่อนที่จะจับมือนายอาร์ตพยุงตัวขึ้นมา

"ออกไปข้างนอกก่อนดีกว่า" โบนเอ่ยเตือนคนทั้งคู่ เพราะแม้แผ่นดินไหวจะหยุดแล้ว แต่ก็อาจจะมี Aftershock ตามมาได้

แต่เมื่อออกไปด้านนอก พวกเขาก็ต้องประหลาดใจ เพราะทั้งๆที่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพลบค่ำ แต่เมืองทั้งเมืองก็มืดมิดราวกับยามค่ำคืน แต่เมื่อพวกเขามองไปยังบนท้องฟ้า เขาก็ต้องตกตะลึงยิ่งกว่า

.
.

เพราะบนท้องฟ้า มีปราสาทขนาดยักษ์ลอยอยู่เหนือเมือง !!!

.

นี่เองที่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมตอนนี้เมืองทั้งเมืองถึงได้มืดมิด เพราะเงาของปราสาทยักษ์ที่ทอดยาวลงมา มันสามารถปกคลุมได้ทั้งเมือง

แต่ทั้งๆที่พวกเขายังตกตะลึงไม่ทันไร เขาก็พบว่ามีร่างเงาหลายสายจำนวนมาก รวมไปถึงกระสวยขนาดพอดีคนพุ่งทะยานลงมาจากปราสาท โดยมีจุดหลายอยู่ตรงด้านหน้าของโบสถ์คาดินัลล์

แต่ในสำกระสวยที่พุ่งออกมานั้น บางลำก็พุ่งพลาดเป้า อย่างลำนึงที่แทนจะพุ่งลงไปหน้าโบสถ์ แต่มันกลับพุ่งลงมายังพวกเขา !!

ตูมมมมมมมมม ! เสียงกระสวยลงกระแทกพื้นอย่างแรงจนควันตลบ แต่ควันเหล่านั้นก็ค่อยๆจางลงพร้อมกับกระสวยที่เปิดออกมา

เผยให้เห็นผู้ที่อยู่ข้างใน เขาเป็นชายร่างผอมสูง แต่เมื่อเขาได้ก้าวออกมาสัมผัสพื้นเบื้องหน้า เขาก็แยกเขี้ยวใส่อย่างดุร้าย

"พวกแวมไพร์ !!!"


<จบตอน>