ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

รักยม ตอนที่ 54 – กุญแจ by assasin008

เริ่มโดย zebe, พฤศจิกายน 17, 2011, 04:38:43 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

zebe

คุยก่อนอ่าน ตาหวานก่อนหลับ :P

ไม่ต้องแปลกใจที่งวดนี้ส่งการบ้านเร็วกว่าปกตินะครับ
เพราะว่าช่วงนี้ต้องหลบน้ัำท่วมจากกรุงเทพ มาอยู่ที่เชียงราย
ก็เลยพอมีเวลาอู้งาน มาเขียนเรื่องได้เรื่อย ๆ วันละชั่วโมงสองชั่วโมง
ก็เลยมีการบ้านมาส่งให้ท่านอาจารย์ทั้งหลายลองอ่านและให้คะแนนดู

จริง ๆ ตอนแรกตั้งใจเอาไว้ว่า ตอนนี้จะเข้าโหมดโลลิ -*-
แต่พอดีว่าออกทะเลจนจบไม่ลง ก็เลยร่ายยาวต่อก่อน แล้วค่อยไปเป็นโหมดโลลิ + ดาราสาว ในตอนหน้าแทน
ส่วนดาราสาวที่ว่า จะเป็นใครก็ลองดูกันนะครับ ^ ^

และสำหรับตอนนี้ก็จะเน้นขยายความเนื้อเรื่องมากหน่อย บทเสียวน้อยหน่อย
เพราะออกทะเลมีแต่บทเสียวมาสองสามตอนแล้ว

* หากผิดพลาดประการใด ก็กราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

รักยม ตอนที่ 54 – กุญแจ
Assasin008 03/11/2011
...

"คุณหญิงแก้วกานดา วรผกาวรรณ ... อีเปงใครวะ ทำไมต้องสืบหาเชื้อสายของอีด้วยวะไอ้แสง"

ชายวัยกลางคนผิวขาวอ้วนลงพุงเชื้อสายจีนผู้มีตำแหน่งเป็นถึงรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่เงยหน้าจากรายงานกองใหญ่ขึ้นมามองสบตากับสายตาเจ้าเล่ห์ยากจะอ่านออกของคู่สนทนา

"คุณหญิงแก้วกานดา ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลวรผกาวรรณ ตระกูลที่เป็นผู้ปิดตายประตูสู่เหล็กไหลที่แท้จริงเมื่อหลายร้อยปีก่อน ... ทายาทตระกูลนี้เป็นผู้เก็บรักษากุญแจหนึ่งในสองดอกที่จะเข้าสู่ถ้ำเหล็กไหล ... ถ้าไม่มีกุญแจทั้งสองดอกพวกเราก็จะเข้าไปเอาเหล็กไหลไม่ได้ครับท่าน"

ไอ้แสง ชายวัยกลางคนในชุดสูทหรูหราเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

"อ้าว ต้องมีกุญแจด้วยเรอะ อั๊วะนึกว่าอีหมอเสือมังกำลังไปหาเหล็กไหลอยู่ไม่ใช่รึงาย"

"หมอเสือกำลังตามหาเหล็กไหลถูกแล้วครับท่าน เพียงแต่ว่ามันเป็นเหล็กไหลธรรมดาที่ทำหน้าที่เป็นกุญแจ คุณสมบัติของมันคนละเรื่องกับเหล็กไหลที่แท้จริง ... ตอนนี้เราต้องหากุญแจให้ได้ทั้งสองดอก จากนั้นค่อยหาว่าถ้ำเหล็กไหลอยู่ที่ไหน"

"อืม อืม มีเหก มีผง ... ว่าแต่อีน่าจะตายไปตั้งนานแล้ว อั๊วจะไปหาเจอได้ไง แล้วจะรู้ได้ไงว่ากุญแจมังอยู่ที่ไหน"

"ที่ผมมารบกวนท่าน ก็เพราะว่าเรื่องนี้ต้องใช้ข้อมูลมหาศาล ผมพยายามค้นหามาได้แค่นี้ มาทางตันตรงที่คุณหญิงแก้วกานดา เพราะเหมือนว่า คุณหญิงคนนี้จะไม่ได้แต่งงานมีลูกมีเต้า แต่อยู่ ๆ ก็หายไปจากบันทึกเสียเฉย ๆ ตอนนี้ก็เลยต้องให้ท่านสั่งการให้พวกผู้เชี่ยวชาญช่วยกันรื้อค้นหาข้อมูล เผื่อว่าเราจะได้เบาะแสว่าคุณหญิงเคยพักอยู่ที่ไหน และกุญแจก็น่าจะถูกเก็บซ่อนอยู่ที่นั่น"

"อืม อืม ล่าย ๆ ไม่ยาก เดี๋ยวอั๊วะจะสั่งไอ้พวกลิ่วล้อไปหาให้เอง แล้วจะอั๊วะจะบอกลื้ออีกที ถ้าได้ข้อมูลมาแล้ว ... ว่าแต่เรื่องที่อั๊วะสั่งไปเป็นยังไง อีนางเอกนมโตคนนั้นน่ะ?"

รัฐมนตรีร่างอ้วนพยักหน้าอือออ ก่อนหยิบเอาแก้วไวน์ราคาแพงมาซดพรวดเดียวหมดทั้งแก้วเสียงกิริยาอันน่าเกลียด

"ผมยื่นข้อเสนอราคาแพงที่สุดเท่าที่เราเคยเสนอไป ให้กับเธอ แต่เธอปฎิเสธครับนาย ..."

"อีกะหรี่เอ๊ย ทำเปงเล่งตัว ไม่รู้หรือไงว่าอั๊วะเปงรัฐมนตรีนะโว้ย"

รัฐมนตรีร่างอ้วนที่กำลังโกรธจัดเหวี่ยงมือกระแทกแก้วไวน์ลงกับพื้นเสียงดังแก๊งจนแก้วร้าว ศรีษะล้านเลี่ยนสั่นเทิ้มจนเส้นเลือดปูดโปน

"ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผล ท่านอยากทำยังไงครับ ให้ผมฉุดมาให้ท่านข่มขืน หรือว่า จะให้เอาน้ำมันพรายของมหาเดโชไปโปะดี"

ไอ้แสง พูดน้ำเสียงเย็นเยียบด้วยหน้าตาอันเฉยเมย ที่ดูเหมือนว่ามันเคยทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้มาเป็นประจำ

"อืมมม อีนี่ มังเปงดาราดังช่ายเล่ง ฉุกมาจะเปงข่าวใหญ่ แต่แล้วแต่ลื้อล่ะกัง อั๊วไว้ใจลื้อ"

"ได้ครับนาย งั้นผมจะรีบลงมือเลย อีกไม่เกินสามวัน ผมจะพา กระแต ดาราสาวที่ท่านชื่นชอบมาให้ท่านจัดการ"

สิ้นคำของไอ้แสง เสียงหัวเราะร่วนอันหื่นกระหายของรัฐมนตรีร่างอ้วนก็ดังลั่นจนกระหึ่มไปทั่วทั้งห้อง
...

ชายหนุ่มลืมตาโพลงตื่นขึ้นในห้องอันมืดสลัว เพลิงไฟแดงฉานที่ลามเลียไปทั่วทุกสรรพสิ่ง และภาพอันน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงในความฝันทำเอาเขาถึงกับหอบหายใจระรัวเร็ว เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นมาตามผิวกายจนร่างกำยำล่ำสันเปียกชุ่ม สองมือบีบกำเข้าหากันแน่นราวพร้อมจะเปิดฉากสู้รบปรบมือกับใครสักคนได้ในทุกวินาที หากแต่เมื่อสายตาของชายหนุ่มมองเห็นเงาร่างของตนเองสะท้อนไหวอยู่ในกระจกเงาบานใหญ่ที่แขวนติดอยู่บนเพดานห้อง เขาก็ตระหนักได้ว่า ... นั่นเป็นเพียงความฝัน

ชายหนุ่มค่อย ๆ รู้สึกคลายใจจากอาการตื่นตระหนก ร่างอันแข็งแกร่งสมชายชาตรีเริ่มผ่อนคลายจากความเคร่งเครียดอย่างช้า ๆ จนกระทั่งเสียงลมหายใจอันหนักหน่วงของเขาค่อย ๆ แผ่วลง ... แผ่วลง ... แผ่วลงจนเสียงลมหายใจค่อย ๆ ผสานเป็นจังหวะกับเสียงหายใจแผ่วเบาของหญิงสาวสวยอีกสี่นางที่นอนสลบไสลด้วยใบหน้าสุขสมอิ่มเอมอยู่รอบกาย

นักศึกษาสาวสุดสวยดาวมหาลัยอย่างน้องหญิงกำลังนอนอิงแอบแนบกอดเขาอยู่ที่ด้านขวามือ ศรีษะกลมสวยของเธออิงซบอยู่บนลำแขนและหัวไหล่ของเขา ร่างบอบบางแต่อวบอิ่มน่าฟัดเบียดแนบชิดอยู่กับสีข้างจนรู้สึกได้ถึงเสียงเต้นตึกตักของหัวใจดวงน้อย ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในทรวงอกอวบใหญ่

ส่วนทางด้านซ้ายมือของเขานั้นก็เป็นน้องฟ้า นักศึกษาสาวหมวยหมัดหนักที่มีนิสัยเป็นแม่เสือสาวไม่ยอมแพ้ใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาพวกผู้ชายทั้งหลาย หากแต่วันนี้สาวหมวยกลับแปลงร่างเป็นนางแมวเหมียวขี้อ้อนไปเสียอย่างงั้น สาวหมวยนอนตะแคงจับจองกอดแขนซ้ายของเขาเอาไว้อย่างแนบสนิทด้วยท่าทางออดอ้อน แขนท่อนบนของเขาจึงเบียดอยู่ตรงกลางระหว่างทรวงอกอวบทั้งสองข้างของเธอ ในขณะที่ฝ่ามือของเขานั้นก็โดนหนีบซุกอยู่ตรงกลางหว่างขาแนบอยู่กับโคกสวาทของเธอ

ทางด้านหัวเตียงมีร่างที่ขาวผ่องกว่าใครนอนขวางอยู่ ฝ้าย พยาบาลสาวหน้าหวานนอนตะแคงในแนวขวาง กอดประคองศรีษะของชายหนุ่มให้ซุกแนบอยู่กับหน้าท้องและเนินนมในท่วงท่าคล้ายมารดาปลอบประโลมลูกน้อย สองเต้าขาวเนียนจึงเบียดแนบเป็นหมอนให้ใบหน้าของเขาได้แอบอิง

และสำหรับสาวสวยคนสุดท้าย ฝน พริตตี้สุดเซ็กส์ เธอนอนคว่ำหน้าอยู่ตรงกลางหว่างขาของเขา ใบหน้าสวยเฉี่ยวที่เปรอะเลอะไปด้วยคราบน้ำกามนอนแน่นิ่งอิงแอบอยู่กับต้นขาของเขา ริมฝีปากบางที่เปื้อนยิ้มแนบจุมพิตอยู่กับความเป็นชายที่แข็งแกร่งของเขา ดูคล้ายเด็กน้อยที่เผลอหลับไหลทั้งที่ยังมีขนมคาอยู่เต็มปาก

ความนุ่มนิ่ม อบอุ่น ของเรือนกายสี่สาวที่เบียดกระแซะอยู่รอบกายทำให้ชายหนุ่มค่อยยิ้มออกมาได้ ชายหนุ่ม ๆ ค่อย ๆ ชื่นชมภาพอันงามวิจิตรของเรือนกายอวบอิ่มเปลือยเปล่าทั้งสี่ร่างที่สะท้อนอยู่ในกระจกบานใหญ่บนเพดานห้องด้วยความรู้สึกอิ่มเอมอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เพราะนับตั้งแต่ได้รักยมมาอยู่กับเขาด้วยแล้ว นี่เป็นครั้งแรกเลยทีเดียว ที่เขาได้ปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศที่มีอยู่อย่างล้นเหลือออกมาได้อย่างเต็มเหนี่ยวจนหมดเรี่ยวหมดแรงสลบเหมือดคาเต้า

เข็มสั้นของนาฬิกาบนผนังตอนนี้บ่งบอกว่าเพิ่งจะเลยเวลาเที่ยงคืนไปเล็กน้อย ซึ่งหากเขาจำไม่ผิดแล้วล่ะก็เขาได้เข้ามาในโรงแรมม่านรูดแห่งนี้นานกว่าแปดชั่วโมงแล้ว และดูเหมือนว่าเขาจะเพิ่งหมดแรงสลบเหมือดนอนหลับซบเต้าน้องหญิงไปเมื่อตอนราว ๆ สี่ทุ่ม มันจึงเป็นความภูมิใจในฐานะบุรุษเพศอย่างล้นเหลือ ที่สามารถโรมรันร่วมรักอย่างร้อนแรงกับสาวสวยถึงสี่นางได้นานนับหลายชั่วโมง
ซ้ำยังสามารถส่งพวกเธอไปถึงสวรรค์ไปแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ

หากแต่เขาก็รู้ดีว่าหากเอาเรื่องนี้ไปพูดให้ใครฟัง ก็คงโดนต้องโดนด่าว่าเขาโม้โอ้อวดเป็นแน่ เพราะหากไร้ซึ่งอำนาจพลังพิเศษแห่งรักยมแล้วล่ะก็ ชายหนุ่มธรรมดา ๆ คนหนึ่งอย่างเก่งแล้วคงปลดปล่อยออกมาได้อย่างมากก็ 4-5 รอบ หลังจากนั้นก็ไม่แคล้วต้องเหน็ดเหนื่อยจนคางเหลืองฟ้าเหลืองไปเลยทีเดียว หากแต่สำหรับเขาในตอนนี้ นอกจากจะมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือให้กระหน่ำรักใส่สี่สาวจนสลบเหมือดได้แล้ว พอเขาตื่นขึ้นมาใหม่ในวงล้อมอันนุ่มนิ่มของสี่สาว แม้จะรู้สึกเพลียอยู่บ้าง แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของเขานั้นฟื้นตัว และเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชาพร้อมที่จะสู้รบปรบมือกับสาว ๆ ได้เท่าที่ใจต้องการ

ด้วยความรู้สึกอยากขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เอก ค่อย ๆ ขยับร่างออกจากวงล้อมอันนุ่มนิ่มของดอกไม้งามทั้งสี่อย่างช้า ๆ สองมือค่อย ๆ โอบประคองศรีษะ แขน ขา และร่างของสาว ๆ ทีละนางอย่างทะนุถนอมและเชื่องช้า เสียงครางอืออืมอย่างขัดใจแว่วดังขึ้นเป็นระยะเมื่อโดนเขาหลีกหนีจากอ้อมกอด ซึ่งหากมิใช่ว่าสี่สาวหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรงเหนี่ยวรั้ง และต่างพากันหลับไหลลึกล้ำอยู่ในฝันอันแสนหวานแล้วล่ะก็พวกเธอคงไม่ยอมปล่อยชายหนุ่มสุดรักให้ห่างหายจากกายเป็นแน่

กว่าจะหลุดจากพันธนาการแห่งเนื้อสาวออกมาได้ ความรู้สึกวาบหวิวที่ได้เบียดเสียดสีกับเนื้อนางอันอบอุ่นเนียนนิ่ม ก็ทำเอาชายหนุ่มเริ่มรู้สึกอยากจะเปลี่ยนใจหันกลับไปกอดรัดนัวเนียกับบรรดาสาว ๆ อีกสักยกสองยกให้หายมันเขี้ยว ด้วยรู้สึกอยากให้สี่สาวได้นอนพักเสียบ้าง ชายหนุ่มจึงกลั้นใจหยิบเอาผ้าห่มสีขาวผืนใหญ่มาห่มคลุมร่างของสี่สาวเพื่อปิดภาพแห่งความวาบหวามเอาไว้เสียก่อนที่เขาจะรู้สึกตื่นตัวจนห้ามใจตัวเองไม่อยู่ จากนั้นจึงหยิบเอาผ้าขนหนูมาพันรอบเอวตัวเองเอาไว้แบบลวก ๆ แล้วเดินย่ำพื้นพรมฝ่าความมืดสลัวออกไปที่ระเบียงของห้อง ... ก่อนจะเริ่มรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไปของตัวเอง

ความรู้สึกแปลกประหลาดประดังเทเข้ามาจนชายหนุ่มรู้สึกงุนงง ภาพเบื้องหน้าของเขาคือป่าไม้ไร้บ้านเรือนในยามดึก ไม่มีแสงไฟจากหลอดนีออนหรือแสงใด ๆ สาดส่อง ยกเว้นแต่เพียงแสงจันทราจากฟากฟ้า แต่กระนั้นดวงตาของเขากลับสามารถมองเห็นค้างคาวตัวหนึ่งกำลังบินโฉบอยู่เหนือต้นไม้ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งเมื่อเขาเปลี่ยนเป้าหมายมองลึกเข้าไปในบริเวณดงไม้อันมืดทึบเขากลับมองเห็นได้แม้แต่แมลงตัวเล็ก ๆ ที่กำลังเกาะอยู่ตามเปลือกไม้ที่ผุเน่า

ดวงตาดวงเดิมคล้ายจะมองเห็นสีสันแปลกใหม่อันวิจิตรแห่งธรรมชาติที่ไม่เคยได้พบเห็น อีกทั้งเขายังมองเห็นได้ถึงร่างแห่งดวงไฟโปร่งใสสีเขียวบ้าง แดงบ้าง ขาวบ้าง ลอยวนเวียนไปมาอยู่ในป่า ดวงไฟแต่ละดวงส่องแสงจ้าไม่เท่ากัน บางดวงก็เป็นเพียงแสงบางเบาเหมือนหิ่งห้อยตัวน้อยที่คล้ายจะสูญสลายในเร็ววัน หากแต่บางดวงก็สว่างจ้าเหมือนกลุ่มแสงขนาดใหญ่กว่าตัวคน

ดวงแสงสีเขียวที่มองแล้วไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษดูจะมีจำนวนมากกว่าสีอื่นอย่างเห็นได้ชัด รองลงมาก็จะเป็นดวงแสงสีแดงที่ให้ความรู้สึกอึดอัดน่าหวาดหวั่นเมื่อได้มองดู และสำหรับดวงแสงสีสุดท้ายนั้นมีน้อยมากจนแทบนับได้ มันเป็นดวงแสงสีขาวระเรื่อ ที่เมื่อมองดูแล้วให้บังเกิดความรู้สึกสบายใจ ซึ่งแม้จะไม่เข้าใจว่าสีต่าง ๆ นั้นหมายถึงอะไร แต่เขาก็พอจะรับรู้ด้วยสัญชาตญาณได้ว่าสิ่งที่เขาเห็นนั่นต้องไม่แคล้วเป็นดวงวิญญาณของคนตายอย่างแน่นอน

แม้จะคุ้นชินกับรักยม และนางตะเคียน ที่เป็นดวงวิญญาณเหมือนกัน แต่เมื่อได้เห็นด้วยตาตนเองว่ามีดวงวิญญาณลอยล่องไปมาอยู่มากมายถึงเพียงนี้ ก็ให้บังเกิดความรู้สึกหนาวเหน็บเสียดแทงไปทั่วร่างจนขนลุกชัน ความรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงฉุดดึงวูบให้แข้งขาอ่อนเปลี้ยจนร่างกำยำเซถลาคล้ายจะล้มลง หากแต่ในทันใดสายลมอันอบอุ่นวูบใหญ่ก็พัดผ่านมาจากทางด้านหลังช่วยดันประคองให้ร่างกำยำของเขาไม่ให้เสียหลัก

แม้นเป็นเวลาเพียงชั่วพริบตา ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเป็นมิตรอันอบอุ่นจากสายลมหอบใหญ่ก่อนที่มันจะหายไป ทิ้งไว้แต่เพียงสายลมอ่อน ๆ ที่ไหลวนโชยปลอบประโลมอยู่รอบกาย ความรู้สึกสบายใจอย่างแปลกประหลาดท่วมท้นเข้ามาในจิตใจราวกับมีสายลมและอากาศรอบข้างที่พร้อมจะช่วยเหลือเขาทุกเมื่อที่ต้องการ

ชายหนุ่มหลับตาลง ก่อนกางมือ กางแขน ออกกว้างเพื่อรับสัมผัสอันอบอุ่นแห่งสายลมที่โชยผ่าน ผิวหนังรอบกายคล้ายสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่เป็นมากกว่าอากาศและสายลม มันเหมือนกับมีสิ่งมีชีวิตเล็กกระจ้อยที่มองไม่เห็นวนเวียนกระโดดโลดเต้นหยอกล้อสัมผัสไปมาอยู่กับผิวกาย อีกทั้งยังสัมผัสอย่างชัดแจ้งได้ถึงอารมณ์เบิกบานสุนทรีย์ที่แผ่ออกมาจากจิตวิญญาณแห่งสายลมที่โชยผ่าน

เมื่อเขาสะบัดมือไปเบื้องหน้าก็รู้สึกเหมือนว่าได้ผลักดันมวลอากาศที่ได้สัมผัสจนกลายเป็นสายลมวูบใหญ่ที่พัดครืนผ่านเข้าไปในป่าจนต้นไม้ใหญ่น้อยเอนลู่ไหวไปตามแรงลมที่เขาบงการ ด้วยความรู้สึกที่มิต่างใด ๆ กับเด็กน้อยที่ได้พบเจอของเล่นอันถูกใจ ชายหนุ่มสะบัดมือสะบัดไม้ครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งสายลมวูบวาบอ่อนบ้างแรงบ้างเข้าไปในป่าจนต้นไม้ใหญ่สั่นคลอนเอนวูบไหวไปมาเหมือนเจอเข้ากับพายุฝน

และเมื่อเขาหยุดนิ่งและหงายฝ่ามือขึ้นมาดู ก็พบว่ามีลมหมุนคล้ายพายุลูกเล็ก ๆ ลอยวนอยู่บนเหนือฝ่ามือทั้งสองข้าง จิตวิญญาณที่อัดแน่นอยู่ในลมหมุนเหมือนเด็กน้อยที่กำลังกระโดดโลดเต้นร้องรำด้วยความคึกคะนอง เสียงหวีดหวิวของสายลมที่มิเคยมีผู้ใดฟังเข้าใจ บัดนี้ชายหนุ่มรู้แจ้งได้ว่ามันเป็นเสียงเพลงแห่งธรรมชาติของสายลมที่กำลังเฉลิมฉลอง ความรู้สึกดื่มด่ำเบิกบานเอ่อล้นประดังเข้ามาจนชายหนุ่มอดไม่ได้ต้องขยับมือขยับไม้คล้ายจะเต้นระบำร่วมกันไปกับจังหวะเสียงเพลงแห่งสายลม

... เสียงเพลงที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกแห่งอิสระเสรี ....

...

"พี่เอก ?? ทำอะไรอยู่คะ ???"

เสียงหวานใสที่ดังขึ้น ทำเอาชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งตื่นจากภวังค์แห่งความดื่มด่ำ และพร้อมกันนั้นสายลมหมุนที่กำลังละเล่นหมุนวนอยู่รอบกายก็มลายสลายหายไป ทีแรกเขาเองก็รู้สึกตกใจไม่น้อย เมื่อสายตาหันไปเจอเข้ากับเรือนร่างงามดุจนางฟ้าของน้องหญิงที่เดินเข้ามาหา หากแต่เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณสีเขียวที่โอบล้อมร่างของน้องหญิงเอาไว้ก็ให้รู้สึกคลายใจ ก่อนเผยรอยยิ้มอย่างรู้ทัน
ให้กับร่างบางของแฟนสาวที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนเล็กห่อหุ้มพันรอบตัวเอาไว้

"... พี่สาวตะเคียน ... จะแกล้งเล่นอะไรอีกล่ะ ?"

"ฮึ ... ตัวข้าก็ลืมไปเสียได้ ว่าเจ้ามิใช่หนุ่มน้อยธรรมดา แต่เป็นถึงผู้ที่มีตบะแห่งเวทย์อันยิ่งใหญ่ไม่แพ้หมอผีอันรือนาม"

ใบหน้าแสนหวานของน้องหญิงขมวดเล็กน้อยด้วยรู้สึกขัดใจ ก่อนที่แววตาอันสดใสจะเปล่งประกายสีเขียวอ่อนแวบวาบออกมา

"พี่ตะเคียนสุดสวย คิดจะเล่นอะไรล่ะ ถึงได้แอบไปสิงร่างของน้องหญิงแบบนี้ "

เอก เอ่ยถามขณะหันหน้ามองไปทางป่าหลังโรงแรมม่านรูด พลางยกมือยกไม้ขึ้นรับสัมผัสอันอบอุ่นแห่งสายลมต่อ

"คิก คิก ข้าก็เพียงต้องการรางวัลของข้าบ้างมิได้หรือ ว่าแต่เจ้ามิตระหนกหรือไร ที่เราชิงร่างนางเมียของเจ้ามาเสียแล้ว"

นางตะเคียน ในร่างของน้องหญิง หัวเราะพร้อมกับเดินกรีดกรายด้วยมาดของหญิงสาวสูงศักดิ์มายืนเกาะรั้วอยู่ข้าง ๆ เอก

"ผมไม่กลัวหรอก พี่สาวไม่ใช่คนแบบนั้น พี่สาวเป็นคนดี เอ้ย ผีที่ดี เพราะถ้าพี่สาวจะทำล่ะก็ คงจะทำไปนานแล้ว"

"ฮึ ช่างร้ายเหลือ ... ว่าแต่เจ้าตระหนักได้อย่างไร ว่านี่คือตัวข้า มิใช่นางเมียคนสวยของเจ้า"

นางตะเคียนยิ้มน้อย ๆ คล้ายจะรู้สึกพอใจที่ชายหนุ่มไว้ใจและมองเห็นความดีของตน

"... เพราะท่าทางของน้องหญิงดูไม่เหมือนเดิม ... และที่สำคัญ ผมเห็นจิตวิญญาณสีเขียวของพี่สาวโอบล้อมร่างของน้องหญิงเอาไว้ ... คราวนี้มันดูไม่เหมือนร่างโปร่งใสที่ผมเคยเห็นในทีแรก แต่มันชัดกว่า ดูมีตัวตนมากกว่า ..."

"นั่นเพราะเจ้าบรรลุได้แล้วซึ่งระดับแห่งหมอผีที่ต้องฝึกฝีมือบำเพ็ญเพียรไม่น้อยกว่า 50 ขวบปี เจ้าจึงมองเห็น และสัมผัสได้ถึงกายละเอียดของจิตวิญญาณ ผิดแผกจากก่อนหน้าที่เจ้ามองเห็นตัวข้า หรือสองเด็กน้อยรักยม เพราะพวกข้าตั้งใจแสดงตัวให้เจ้าเห็น ... แต่เพลานี้แม้นว่าวิญญาณอย่างเราจะคิดหลบซ่อน ก็คงมิอาจผ่านพ้นสายตาแห่งเจ้าได้"

"... แล้วทำไมอยู่ ๆ ผมถึงได้มีพลังขนาดนี้ได้ล่ะ ? "

"ยังมิได้แก่ตัว เจ้าก็เป็นโรคขี้หลงขี้ลืมเสียแล้วหรือไร ข้าเคยเอ่ยวาจาบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ว่าตัวเจ้านั้นได้บรรลุเข้าสู่ขอบเขตแห่งวิชาที่พ่อมดหมอผีทั่วหล้าใฝ่หา เจ้าได้บรรลุถึงสิ่งที่เรียกว่า เวทย์เป็นตายฟื้นคืน ... เวทย์ที่ว่าด้วยการยอมให้ตนเองตายตก เพื่อได้สัมผัสกับพลังแห่งจิตวิญญาณ อีกทั้งมนตราแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ผู้ผ่านวิชานี้เพียงหนึ่งครั้งจักได้รับพลังดุจบำเพ็ญเพียรสะสมตบะยาวนานถึงครึ่งชีวิต หากแต่นี่เจ้ากลับผ่านมันมาถึงสองครั้งสองคราพลังอาคมแห่งเจ้าจึงมากมายมหาศาลยิ่งกว่าหมอผีใด ๆ อีกทั้งยังมีสายลมนั่นอีกเล่า จักมีผู้ใดในโลกหล้าที่บงการสายลมเฉกเช่นเจ้าได้"

นางตะเคียนอธิบายไปพลาง หลับตาดื่มด่ำถึงสัมผัสแห่งสายลมที่ปะทะเข้ากับร่างที่มีเลือดเนื้อด้วยความรู้สึกเป็นสุขไปพลาง เธอแทบลืมมันไปเสียแล้ว ว่าความรู้สึกที่ได้สัมผัสสายลมด้วยผิวหนังตอนมีชีวิตเป็นยังไง

"... แปลว่า ... ผมสามารถมองเห็นผีได้ พูดคุยกับผีได้ ... แบบนี้ก็แย่น่ะซิ ต้องเห็นของแบบนี้ทุกวัน หลอนตายพอดี"

เอก ทำหน้าย่น ขณะหันไปมองร่างวิญญาณสีเขียวที่เดินแกว่งไปแกว่งมาอยู่ริมรั้วโรงแรมชั้นล่าง หากต้องเห็นสภาพผีที่หัวแบะ เลือดอาบเต็มตัวแบบนี้ตลอดเวลา สงสัยจะได้บ้าก่อนแน่ ๆ

"คิก คิก ... เด็กน้อยเอย เจ้าหาต้องหวาดหวั่นไม่ ... เจ้าเพียงศึกษาคาถาปิดเนตร แล เปิดเนตร ก็เป็นอันใช้ได้ เมื่อเจ้ามิต้องการมองเห็นก็เพียงปิดเนตร หากต้องการมองเห็นก็เปิดเนตรเสีย"

"ถ้าแบบนั้นก็โอเคหน่อย ... ว่าแต่ดวงวิญญาณทำไมมีสีต่าง ๆ กันด้วย สีเขียววนไปมาเต็มป่าเลย สีแดงน้อยกว่าแต่ดูน่ากลัว ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ส่วนสีขาวก็น้อยยิ่งกว่าน้อย ... มันมีสีอื่น ๆ อีกมั้ยเนี่ย"

เอก ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

"ดวงวิญญาณสีเขียวนั้น คือจิตวิญญาณที่มีบ่วงกรรมหลงเหลืออยู่ พวกเขาเพียงรอคอยเพื่อไปเกิดใหม่ในภพหน้า โดยส่วนมากมิได้มีพิษมีภัยอันใดต่อผู้คน หากแต่สีแดงนั้นเล่าคือจิตวิญญาณของบรรดาผีตายโหงที่เปี่ยมด้วยแรงแค้น วันดีคืนดีหากพวกมันสั่งสมพลังได้เพียงพอ พวกมันก็จะก่อกรรมระบายความเจ็บแค้นให้แก่ผู้เคราะห์ร้ายที่ได้พบเจอ ... ส่วนสีขาวนั้นไซร้ คือจิตวิญญาณที่เปี่ยมด้วยกุศลอันดีงาม ส่วนมากแล้วมักเป็นเจ้าที่เจ้าทาง หรือจิตวิญญาณแห่งรุกขเทวดา"

นางตะเคียนเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทราบนฟากฟ้า แล้วพูดต่อ

"อย่างตัวข้านั้น อยู่กึ่งกลางระหว่างเขียวและขาว จึงมีร่างจิตสีเขียวอ่อน ตัวข้ามีบ่วงกรรมผูกพันธ์กับภพภูมินี้ หากแต่ก็กอปรกรรมดีมามากเพียงพอ มิได้ระรานทำอันตรายผู้ใด ผู้มีพลังระดับเจ้าหากพบเจอผีตายโหงก็สามารถต่อกรกับพวกมันได้มิยากลำบากนัก... แต่หากวันใดที่เจ้าพบเจอจิตวิญญาณสีดำมืดแล้วไซร้จงรีบหลีกหนีไปให้พ้นทางเสีย พวกมันเป็นดั่งฝันร้ายในยามค่ำคืน เป็นปีศาจที่ถูกกักขังอยู่ในนรกอันสุดลึกล้ำ ด้วยกอปรกรรมอันโหดร้ายจนมิอาจนับ อีกทั้งยังทรงด้วยเวทย์มนต์คาถามืดอันร้ายกาจ"

"พี่สาว ... ภาพที่ผมเห็นผู้หญิงนอนจมกองเลือด อยู่ในกองไฟนั่น ... ผู้หญิงคนนั้นคือใคร แล้วเธอจะเป็นอะไรมั้ย?"

เอก กำมือกับราวเหล็กที่เป็นรั้วกั้นจนแน่น ภาพอันหวาดหวั่นในกองเพลิงสีแดงฉานทำเอาเขารู้สึกหนาวเหน็บไปถึงหัวใจในทุกคราที่นึกถึง แม้จะไม่ได้มองเห็นหน้าแต่แผ่นหลังของหญิงสาวผู้นั้นก็ทำให้เขารู้สึกห่วงหาอย่างน่าประหลาด เขาได้แต่แอบภาวนาว่า ผู้หญิงคนนั้นจะต้องไม่ใช่คนที่เขารักมากที่สุดอย่างน้องหญิง ...

"ดวงตาพิสุทธ์แห่งข้าจักสะท้อนแต่เพียงเงาแห่งความเป็นจริงเท่านั้น ข้าเห็นเฉกเช่นเดียวที่เจ้าเห็น ข้ามิอาจรู้ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือผู้ใด และข้าก็มิอาจรู้ได้ว่าเรื่องราวจะจบลงเช่นใด สิ่งที่ข้ารู้ก็เพียง มันจะต้องเกิดขึ้นในเพลาอีกไม่นานนี้อย่างแม่นมั่น ... ว่าแต่เจ้าถามถึงเพียงผู้อื่น มิคิดห่วงอนาคตตนเองบ้างหรือไร?"

นางตะเคียนหันไปมองชายหนุ่มด้วยสายตาทึ่งระคนแปลกใจ เขาดูจะไม่สนใจความเป็นตายของตนเองสักเท่าไหร่นักกลับเอาแต่ถามถึงความปลอดภัยของหญิงสาวที่อยู่ในสภาพนิมิตเพียงฝ่ายเดียว

"... ถ้าผมเก่งกว่านี้ เก่งจนมีพลังวิชาอาคมไม่แพ้ใคร ... ผมจะปกป้องคนที่ผมรักได้หรือเปล่า ?"

เอก หันมาจับหัวไหล่ทั้งสองข้างของนางตะเคียนในร่างของน้องหญิงเอาไว้แน่น สายตาของเขาที่จับจ้องมองมาดูจริงจังแน่วแน่อย่างที่สุด กิริยาที่แสดงออกถึงความรู้สึกอยากปกป้องคนรักของชายหนุ่ม ทำเอานางตะเคียนถึงกับหน้าแดงวูบวาบ ใจเต้นตึกตัก จนต้องแอบคิดไปว่าหากได้เป็นคนรักของเขา และได้รับการปกป้องเยี่ยงนี้เธอคงยินดีพลีกายเป็นหญิงสาวที่บาดเจ็บปางตายในภาพนิมิตให้เขาอย่างเต็มอกเต็มใจเลยทีเดียว

"เรามิอาจบอกได้ว่าเจ้าจักปกป้องผู้อื่นได้หรือไม่ แต่หากเจ้าตั้งจิตแน่วแน่ มิยอมแพ้ซึ่งความยากลำบาก เรากล้าสัญญาต่อเบื้องหน้าเทพาอารักษ์ทั้งหลายว่า เรา และ รักยม ของเจ้าสามารถที่จะทำให้เจ้าก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งหมอผีที่มีวิชาอาคมแก่กล้าจนมิแพ้พ่ายต่อผู้ใดได้ในเวลามิช้านาน"

นางตะเคียนเอ่ยตอบเขาด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ เธอมองเขาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นบุรุษเพศของเขาอย่างสุดหัวใจ อีกทั้งความรู้สึกวาบหวามก็แล่นพล่านวูบวาบไหวในกายจนมิอาจหักห้ามใจซบหน้าลงไปบนแผงอกของเขา พร้อมกับเอ่ยคำวาบหวาม

"... แต่ก่อนอื่นใด เจ้ามีสิ่งสำคัญต้องทำก่อนมิใข่หรือ ... หรือเจ้าได้ลืมสัญญาที่ให้ไว้แก่เราเสียแล้ว ..."

ชายหนุ่มไม่ตอบคำของนางตะเคียน ความรู้สึกกังวลใจคลายลงไปไม่น้อยเมื่อรู้สึกได้ว่าเขามีหนทางแก้ไขอันตรายเบื้องหน้าอีกทั้งเมื่อมีเรือนร่างโค้งเว้าอันงดงามสมบูรณ์แบบของน้องหญิงกอดกระชับอยู่ข้างกายด้วยแล้ว ความรู้สึกตื่นตัวแห่งบุรุษเพศก็เริ่มทำงานขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

เอก สวมกอดร่างของน้องหญิงที่มีนางตะเคียนสิงสู่อยู่ด้วยความรู้สึกผิดแผก ร่างเนื้อร่างเดิม แต่ร่างจิตที่เปลี่ยนไปก็ให้อารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างไปไม่น้อย มันเป็นเหมือนความรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจที่จะได้ร่วมรักเสพสมกับผู้หญิงแปลกหน้าสักคน เพียงแต่ว่าเป็นร่างของหญิงสาวที่เขาคุ้นเคยก็เพียงเท่านั้น

เขาเริ่มรุกเร้าด้วยการใช้มือลูบไล้ไปตามหัวไหล่กลมมน และท่อนขาขาวเรียว ก่อนค่อย ๆ ซุกมือลอดผ้าขนหนูขึ้นมาบีบคลึงแก้มก้นกลมดิกอย่างเบามือ จนอีกฝ่ายบิดตัวไปมาด้วยความสยิว จากนั้นจึงใช้มือเชิดคางของหญิงสาวขึ้นมา แล้วจูบบดขยี้กับริมฝีปากบางอย่างร้อนแรง

"อืมมมม อืออออ"

นางตะเคียนร้องครวญครางในลำคอด้วยความสุขอันล้นเหลือ แม้จะเคยสัมผัสรสจูบอันร้อนแรงของเขามาแล้วตอนที่อยู่ในร่างวิญญาณ แต่นั่นก็เป็นเพียงร่างนิมิตรที่เสกสรรค์ปั้นแต่งขึนมาด้วยเวทย์มนต์คาถา หากแต่ครานี้ทุกรสสัมผัส ล้วนแล้วแต่มาจากเนื้อหนังมังสาที่สัมผัสสื่อกันโดยตรง รสชาติอันหอมหวานของจูบจึงแผ่ซ่านไปทั่วทั้งสรรพางค์กายจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

ผ้าขนหนูที่พันรอบกายสาวสวยค่อย ๆ หลุดออกจากร่างอย่างช้า ๆ จนเผยให้เห็นร่างงามสมบูรณ์แบบที่ยืนอาบแสงจันทราได้อย่างชัดเจน เอกกอดกระชับร่างงามเอาไว้แน่นก่อนซุกไซร้ใบหน้าลงไปตามซอกคอ และก้มหน้าลงไปดูดกินความหอมหวานของทรวงอกอวบอิ่มด้วยกิริยาอันหิวโหย ลีลาลิ้นอันพลิกพลิ้วของชายหนุ่มที่โลมเลียไปทั่วเนื้อนุ่มนิ่มเต่งตึงของสองเต้า ทำเอาสาวสวยแอ่นเด้งอกไหวไปมาจนแทบหายใจหายคอไม่ทัน

"อือออออ อืมมมมม อูววว เจ้าหนุ่มน้อยของข้า อูยยยยยย อือออ"

นางตะเคียนที่อ่อนหัดในเชิงกาม ร้องคราง สั่นระริกไหวไปมาประหนึ่งจะแตกสลาย ความกระสันเสียวที่หนักหน่วงเกินทานทนนั้นแผ่ซ่านไปทั่วร่างเหมือนเพลิงไฟที่แผดเผาร้อนแรง ใบหน้าสวยนั้นบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความหฤหรรษ์อย่างสุดแสน ความเสียวแปลบปลาบที่โดนดูดทิ้งปลายถันเร่งเร้าอารมณ์เสียจนจิตวิญญาณของนางตะเคียนแทบจะเตลิดหลุดออกจากร่างที่มีเลือดเนื้อของน้องหญิงเลยทีเดียว

ขณะที่นางตะเคียนปล่อยตัวหงายไปเบื้องหลังแอ่นอกอวบให้เขาฟอนเฟ้นได้อย่างเต็มที่ เอก ก็ซุกไซร้ใบหน้า พร้อมกับใช้ทั้งมือและปากบีบเคล้นละเลงใส่หน้าอกอวบมโหฬารจนแทบแหลกเละ เนื้อขาวนวลเนียนเต่งเด้งจึงโดนทั้งบีบ ทึ้งดึง ทั้งทึ้ง และดูดกัดจนปทุมถันที่เด้งเต่งงดงามแดงช้ำเป็นรอยจ้ำอย่างถ้วนทั่ว

"อะ โอออววววว หนุ่มน้อย อูวววว ว...."

ยิ่งเขารุกเร้ารุนแรง นางตะเคียนก็ยิ่งกระเจิดกระเจิงจนแทบคลั่ง มันเป็นทั้งความสุขสม และความทรมาณอัดอั้นที่ไม่เคยได้รู้สึกสัมผัสมาก่อน ยามเต้านมของร่างที่เธอสิงสู่โดนบีบขยำแรง ๆ  เธอก็เสียวแปล๊บจนตัวงอ แต่พอเขาใช้ลิ้นและปากดูดเลียอย่างนุ่มนวล เธอก็เสียววูบจนน้ำลายสอ ความหฤหรรษ์อันแสนสยิวเติมความสุขอันล้นเหลือให้แก่เรือนร่าง หากกระนั้นมันก็ตามมาด้วยความทรมาณอัดอั้นที่บริเวณท้องน้อย ด้วยรู้สึกอยากจะสัมผัสกับความร้อนแรงแห่งเพศชายแบบเต็มเหนี่ยวเสียที

"อูววว หนุ่มน้อยยอดรักของข้า ... สามีของข้า ... ได้โปรดเถิด ... ข้า ... ข้าต้องการ"

นางตะเคียนออกแรงผลักไสใบหน้าของชายหนุ่มให้ผละออกจากทรวงอก ก่อนส่งเสียงร้องอย่างเว้าวอนด้วยใบหน้าอันแดงก่ำชายหนุ่มมองอาการร่านสวาทของนางตะเคียนในร่างของน้องหญิงด้วยความรู้สึกสาแก่ใจ ก่อนใช้มือกระตุกปลดผ้าขนหนูที่รอบเอวของตัวเองออกจนท่อนเอ็นที่แข็งปั๋งเต็มที่ดีดเด้งออกมาแสดงตัวตระหง่านชี้เด่ไปทางร่างเปลือยอันแสนอวบอัดน่าฟัด

ชายหนุ่มดึงร่างอวบจนแผ่นหลังเรียบเนียนเบียดชิดกับผนังระเบียงที่เป็นปูนพื้นเรียบ ก่อนขยับตัวเข้าไปเบียดแทรกช้อนสองขาของสาวสวยให้ขึ้นมาเกี่ยวกระหวัดไว้ที่สะโพกของเขา จากนั้นก็ใช้สองมือตะปบจับประคองที่แก้มก้นกลมกลึง แล้วดันร่างเข้าไปแนบประชิด พร้อมกับแอ่นเอวดันท่อนเอ็นที่กำลังร้อนผ่าวมุดแทรกเข้าไปในโพรงสวาทอันเปียกเยิ้มจนอีกฝ่ายสะท้านเฮือก

"โออออออ .... อูววววววว .... อืออออออออออ"

นางตะเคียนสั่นระริกไปทั้งร่าง แม้ว่าเจ้าของร่างอย่างน้องหญิงจะเคยผ่านเกมกามกับเขามาไม่น้อยแล้ว หากแต่สำหรับจิตวิญญาณของนางตะเคียนที่กำลังสิงสู่ควบคุมร่างอยู่นั้นเล่าไม่ต่างใด ๆ กับเด็กสาวไร้ประสบการณ์ เมื่อมาโดนเขาจู่โจมเข้าถึงใจกลางจุดยุทธศาสตร์ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวแบบนี้ นางตะเคียนก็ถึงกับจุกในความเสียวอย่างไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เธอรู้แต่เพียงว่านับจากนี้ไปเธอคงจะไม่สามารถห่างหายจากรสสวาทอันแสนลึกล้ำนี้ได้อย่างแน่นอน

"โอววววววว .... อูววววววว .... อือออ โอววววว"

ความหฤหรรษ์ที่ยากจะทานทนยิ่งทวีความร้อนแรงอีกนับสิบๆ เท่า เมื่อเขาเริ่มขยับบั้นเอวกระชากเอาความแข็งแกร่งออกไปก่อนที่จะอัดเด้งมันกลับเข้ามา ความสุขกระสันต์แห่งไฟสีดำมืดที่แผดเผาเร้าอารมณ์รอบแล้วรอบเล่า ทำเอานางตะเคียนคล้ายเมามายคล้ายหลับไหลอยู่ในความฝันแสนหวานที่ไม่อยากลืมตาตื่น เธอได้แต่สูดปากร้องส่งเสียงครวญครางจนก้องเข้าไปในป่าจนกิ่งไม้ใบหญ้าสั่นไหว

"หนุ่มน้อย หนุ่มน้อย ๆ โออ ซี้ดดดสสส สุดที่รัก อูววว สามีของข้า ... ข้า ... ข้า ... อะ อ๊ายยยยยย"

นางตะเคียนที่มิอาจจะทานทนกระแสแห่งความเสียวซ่านอันเชี่ยวกราก ส่งเสียงกรีดร้องลั่นขณะที่เด้งไหวร่างทั้งร่างไปมาอย่างร้อนแรง เสียงแห่งความสุขสมที่แฝงด้วยพลังแห่งเจ้าพฤกษาคล้ายจะแว่วดังไปทั่วผืนป่าที่อยู่ด้านหลังโรงแรมม่านรูด จนต้นไม้ใบหญ้าน้อยใหญ่ต่างพาสั่นไหว รวมไปถึงเหล่าแมลงที่หากินกลางคืนที่ต่างพากันส่งเสียงเซ็งแซ่ และหิ่งห้อยที่กำลังเปล่งแสงเรืองรองอยู่ในป่านับร้อยตัวต่างก็พากันบินวนเข้ามาใกล้ร่างเปลือยเปล่าทั้งสองร่างจนแลดูคล้ายว่าเขาและเธอกำลังดื่มด่ำร่วมรักกันอยู่บนหมู่ดาวก็มิปาน

....................................................................................................

"... หนุ่มน้อยยอดรัก ... เจ้ารู้หรือไม่ ว่าตัวข้าใฝ่หาสิ่งใดตลอดมา นับตั้งแต่ถูกจองจำอยู่กับต้นตะเคียนมาหลายร้อยปี ..."

นางตะเคียน เผยอปากเอ่ยเสียงวาบหวามแผ่วกระซิบขณะซบหน้าใบหน้าชุ่มเหงื่ออยู่บนหัวไหล่ของชายหนุ่ม รสสวาทอันแสนสุขสันต์คราแรกจากชายหนุ่มที่เธอมีใจใฝ่รักนับแต่รอคอยมาหลายร้อยปีคล้ายจะแผดเผาเรี่ยวแรงแห่งดวงจิตของเธอไปเสียจนเกือบหมด

"... น่าจะเป็น ความอิสระ "

ชายหนุ่มตอบแบบไม่ต้องคิดมาก ขณะยังคงยืนหยัดประคองดันร่างอวบเปลือยของสาวสวยชิดอยู่กับฝาผนัง

"มิผิด ... ข้าใฝ่ฝันมานานนัก ว่าจักสลัดบ่วงกรรม แล้วเดินทางท่องโลกหล้าเสาะหาสิ่งแปลกใหม่ให้เบิกบานใจ .. หรือไม่แล้ว ก็ไปเกิดใหม่เสียสักครา"

"ตอนนี้พี่สาวก็เป็นอิสระแล้ว อยากจะทำอะไรก็ได้"

เอก เอ่ยกระซิบพลางพรมจูบไปที่แก้มและใบหูของอีกฝ่าย

"เจ้าเป็นคนปลดปล่อยข้า เจ้าคิดว่า ข้าควรทำสิ่งใดกับอิสระเสรีที่ข้ามีดีเล่า ให้ข้าไปท่องเที่ยวอย่างเดียวดายหรือไปเกิดใหม่แล้วลืมให้สิ้นซึ่งเรื่องราวที่ผ่านมา หรือจักให้ข้าทำสิ่งใด"

นางตะเคียน ยันตัวขึ้นมาจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่ม คำถามนั้นเหมือนไม่มีอะไรตามแบบฉบับของสตรีเพศ หากแต่เบื้องลึกแล้วชายหนุ่มกลับรู้สึกได้ว่าตอนนี้นางตะเคียนไม่ได้ต้องการทำทั้งสองอย่างที่พูดออกมา

"ไม่เห็นจะยากเลย ถ้าพี่สาวยังคิดไม่ออกก็อยู่กับผมไปก่อน เพราะผมก็อยากให้พี่สาวอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว แล้วพอวันไหนที่พี่สาวคิดออกว่าอยากทำอะไร พี่สาวก็ค่อยทำตามใจตัวเอง"

สิ้นเสียงตอบของชายหนุ่ม นางตะเคียนก็รีบฟุบหน้ากลับลงมาบนหัวไหล่ของชายหนุ่มอีกครั้งเพื่อซุกซ่อนรอยยิ้มหวานมิยอมให้ใครได้เห็น ก่อนส่งเสียงหวานออดอ้อนออกมา ซึ่งแม้ว่าเธอจะมีความลังเลใจอยู่บ้างว่าจะทำสิ่งใดต่อไป แต่เพียงแค่เขาบอกว่าเขาต้องการให้เธออยู่กับเขาต่อไป เธอก็ได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ว่าเธอจะทำอย่างไรกับอิสระเสรีที่เธอได้รับมา

"เจ้าจะอยากให้ตัวข้าอยู่ด้วยกับเจ้าไปใยเล่า ข้าเป็นเพียงผีสาวที่ไร้ซึ่งเนื้อหนัง มิเหมือนเช่นบรรดาผู้หญิงของเจ้า"

"ไม่เห็นจะต้องมีเหตผลอะไรเลย ผมก็แค่อยากอยู่ด้วยกันกับผู้หญิงที่ผมรู้สึกรัก รู้สึกผูกพันธ์"

นางตะเคียนแอบยิ้มอยู่บนไหล่เขาจนแก้มแทบปริ เธอกอดรัดร่างของเขาแน่นขึ้นด้วยความรู้สึกวาบหวามอิ่มเอมในความสุขที่เอ่อล้นออกมาจนเหลือคณานับ เพียงได้ยินคำว่ารักออกมาจากปากของเขา เธอก็รู้แล้วว่าหากไร้ซึ่งผู้ชายคนนี้เธอก็คงไม่มีทางไปที่ไหนได้อีกแล้ว

"เจ้าหนุ่มน้อยมากรัก ... แต่เอาเถิด ... ในเมื่อเจ้าอยากให้ข้าอยู่ด้วย ข้าก็จักอยู่ด้วยกับตัวเจ้า ... เช่นนั้น จงรับข้าเป็นหนึ่งในผีบริวารแห่งเจ้าเถิด ตัวข้าจักได้สามารถติดสอยห้อยตาม คอยคุ้มครองดูแลเด็กน้อยอย่างเจ้าได้"

"ผีบริวาร ?"

ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัย

"ผีบริวารก็เฉกเช่นเดียวกับรักยมของเจ้าอย่างไรเล่า หากมิได้เป็นผีบริวารตัวข้าก็มิอาจติดตามเจ้าไปได้ในทุกที่ อีกทั้งหากตัวข้าหมดสิ้นซึ่งพลัง ข้าก็จักสามารถกลับมาหลับไหลพักฟื้นอยู่ในวัตถุอาคมกับเจ้าได้ เช่นเดียวกับรักยม ที่พวกมันก็สิงสถิตย์อยู่ภายใต้ตุ๊กตาไม้ลงอาคม และที่สำคัญที่สุด หากข้ามีนายแล้ว หมอผีอื่นใด ก็มิอาจจะบังคับให้ข้าเป็นข้าทาสบริวารของพวกมันได้"

"วัตถุลงอาคม ? ผมมีซะที่ไหนล่ะ แล้วพี่สาวจะสิงอยู่ในอะไร? "

"จงรับกุญแจนี้ไว้ และเก็บรักษามันไว้กับตัวเจ้า"

นางตะเคียนยิ้มตอบ ขณะยื่นมือส่งอะไรบางอย่างให้กับเขา ซึ่งเมื่อเขายื่นมือมารับก็พบว่ามันเป็นจี้ห้อยคอมากกว่าจะเป็นกุญแจ อย่างที่นางตะเคียนบอก ที่ตัวเชือกคล้ายเป็นสายสิญจน์สีขาวหม่น แต่ส่วนตัวจี้ หรือตัวกุญแจตามที่นางตะเคียนบอกนั้นมีรูปร่างคล้ายหยดน้ำสีเงินแวววาวที่สะท้อนแสงคล้ายโลหะ หากสัมผัสที่มือก็ไม่เย็นเยียบกระด้างเฉกเช่นโลหะทั่วไป มันอุ่นวูบวาบ มีพลังแห่งมนตราไหลวนไปมาคล้ายเหมือนมีชีวิตอันทรงพลังอาศัยอยู่ภายใน อีกทั้งยังความแวววาวนั้นก็ช่างดึงดูดสายตาของเขาให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มจนแทบมิอาจวางตา

"นี่เป็นสมบัติที่ข้า และต้นตระกูลของข้าเก็บรักษาไว้มาแสนนาน ... ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่ง มันจะมีประโยชน์ต่อตัวเจ้ามิใช่น้อย ... แต่สำหรับเพลานี้ หากเจ้าต้องการรับผีตนใดเข้าเป็นบริวาร ก็ให้พวกมันเข้ามาอยู่ในสิ่งนี้เช่นเดียวกับตัวข้าได้ ... จงจำไว้ ยิ่งเจ้ามีบริวารที่เก่งกาจเพียงใด เจ้าก็ยิ่งเก่งกาจมากเพียงนั้น"

นางตะเคียนยิ้มน้อย ๆ ในท่าทีที่คาดเอาไว้แล้วของเขา เธอหยิบเอาจี้ห้อยคอรูปหยดน้ำออกจากมือของชายหนุ่ม ก่อนนำไปคล้องคอให้กับเขา

"ถ้างั้นมีผีบริวารเยอะก็มีแต่ข้อดีน่ะซิ ?"

เอก เอ่ยถาม แต่สายตาก็ยังไม่อาจละไปจากความรู้สึกพิศวงของจี้ห้อยคอที่รูปร่างเหมือนหยดน้ำนั้นได้

"มิอาจกล่าวเช่นนั้นได้ ... การมีผีบริวาร หมายความว่า ยอมรับให้วิญญาณเหล่านั้นแบ่งใช้พลังเวทย์แห่งผู้ถือครอง ซึ่งหากผู้ถือครองมิมีพลังเวทย์เพียงพอ ก็อาจจะถูกดูดกินพลังจนสิ้นชีวีได้ อืมมม อีกทั้งเจ้าของจักต้องคอยดูแลเอาใจใส่ผีบริวารด้วย อย่างเช่น รักยมเจ้าก็ต้องหาขนม หาของเล่นเซ่นไหว้ให้พวกมัน ดังนั้นเจ้าควรเลือกเฟ้นหาเฉพาะผีที่มีฝีมือพอตัว... แต่ข้าว่าสำหรับตัวเจ้าที่มีพลังขนาดนี้ คงเลี้ยงผีสาวไว้ได้สักร้อยตนกระมัง"

นางตะเคียนแอบกล่าวแขวะชายหนุ่มทิ้งท้าย

"ว่าแต่เลี้ยงรักยมต้องเลี้ยงด้วยขนมกับของเล่น แล้วเลี้ยงพี่สาวตะเคียน จะต้องเลี้ยงด้วยอะไรล่ะ ... ถ้าเลี้ยงแบบเมื่อกี้นี้ก็สบายรับรองได้ว่าจะเลี้ยงให้เต็มอิ่มทุกวันเลย"

เอกไม่สนใจคำค่อนแคะ แถมยังแอบหยอกนางตะเคียนกลับอีกต่างหาก

"ฮึ ให้มันจริงดังปากว่าเถิด ถ้าเจ้ามิทำให้ตัวเราพอใจ เราจะหนีไปอยู่ที่อื่นเสียให้ดู ... เอาเถิด เพลานี้เราอ่อนแรงเต็มทีแล้ว สมควรต้องพักผ่อนเสียบ้าง ... หากเจ้าอยู่ในภยันตราย หรือต้องการเรียกใช้เรา จงเอ่ยชื่อแห่งเรา แล้วเราจะออกมาต่อหน้าเจ้า"

"ชื่องั้นเหรอ ... ลืมไปเลย มัวแต่เรียกว่าพี่สาว แล้วพี่สาวตะเคียนชื่ออะไรล่ะ"

นางตะเคียนไม่ได้ตอบคำถามใด เธอเพียงหลับตาพริ้มลงก่อนที่ร่างวิญญาณสีเขียวโปร่งใสจะค่อย ๆ ลอยออกมาจากร่างเนื้อของน้องหญิง จนร่างของน้องหญิงฟุบลงกับไหล่ของเขา จากนั้นร่างวิญญาณจึงแปรสภาพเป็นเหมือนควันลอยล่องหายเข้าไปในจี้ห้อยคอของเขา และเมื่อกลุ่มควันได้หายวับเข้าไปในโลหะสีเงินวาวรูปร่างคล้ายหยดน้ำนั้นแล้ว ก็แว่วเสียงของนางตะเคียนดังออกมา

"แก้วกานดา ... ผู้คนเคยเรียกหานามของข้าว่า ท่านหญิงแก้วกานดา วรผกาวรรณ"

....................................................................................................


kerdsopa


series120

ต่อเนื่อง 8 ชั่วโมง คงไม่ไหว แต่ถ้าพักทุก 30 นาที ก็พอได้อยู่...มันจะผิดกฎพลังแห่งหมอผีมั้ยหนอ   ::HoHo::