ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

copy บันทึกคำภีร์มหัศจรรย์ ตอนที่5 อสูรที่หลงรักนางฟ้า นางฟ้าที่หลงรักอสูร...บทประพันธ์ nookylove

เริ่มโดย areja, มีนาคม 07, 2012, 01:42:52 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

areja

.......copy บันทึกคำภีร์มหัศจรรย์ ตอนที่5 อสูรที่หลงรักนางฟ้า นางฟ้าที่หลงรักอสูร...บทประพันธ์ nookylove

......................ท่าน nookylove บันทึกคัมภีร์มหัศจรรย์ ตอนที่5 อสูรที่หลงรักนางฟ้า นางฟ้าที่หลงรักอสูร

...............หลังจากได้ยินเสียงทรงอำนาจนั้นแล้ว ทุกคืนชายหนุ่มต้องฝันประหลาดราวกับอยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วย คืน นี้ก็เช่นกัน .............
เขายืนอยู่ในห้องโอ่อ่า วิจิตรงดงาม ผนังคล้ายถูกฉาบไปด้วยทองส่องแสงแวววาวจับตา แม้แต่ผ้าม่านยังทักทอด้วยทอง มองลงไปเห็นผู้คนภายในเมืองยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ล่ะคนหน้าตาหล่อเหลางดงาม แต่งกายด้วยเสื้อผ้าประณีต ตามร่างกายประด้วยเครื่องประดับสูงค่า อาคารบ้านเรือนก็ก่อสร้างอย่างเลิศหรู แทบไม่มีพื้นที่ไหนที่ไม่ประดับด้วยทองและอัญมณี ทอดตามองไกลออกไปก็มองเห็นสระน้ำขนาดใหญ่ กว้างสุดลูกหูลูกตาแลดูคล้ายทะเลสาปมากกว่า ภายในสระมีดอกบัวแลพืชน้ำสวยงามกระจายไปทั่ว ริมสระก็มีสวนพฤษชาติร่มรื่นมีพันธุ์ไม้ออกดอกละลานตา ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ขนาดที่เขายืนอยู่ยังรับรู้ได้ เหล่าปักษาขนสีสด งามประหลาดตาบินเล่นลมอย่างเสรี จนชายหนุ่มรู้สึกว่าที่นี่คืนแดนสวรรค์มากกว่าแดนมนุษย์ แลมองเลยสระน้ำกว้างไปอีกก็จะพบปราสาทราชวังสีทองอร่ามตาท้าแสงสุริยะ ขณะกำลังชื่นชมความงามของบรรยากาศอยู่นั้นเอง พลัน ได้ยินเสียงหวีดร้องก้องเข้ามาในโสตประสาท หลังจากกำหนดจิตจับทิศทางของเสียงได้แล้ว ร่างของชายหนุ่มก็เลือนหายไปจากห้อง
ภาพต่อมา เขาก็พบเห็นเหล่าบุรุษสี่ตนรูปกายกำยำ ผิวดำหยาบกระด้าง ดวงตาโปดปูน ผมสั้นหยิกขอด ติดหนังหัว มีเขี้ยวใหญ่โง้งออกมาจากปากหนาเตอะ กำลังรุมล้อมอิสตรีนางหนึ่ง ทั้งสี่หัวเราะอย่างชั่วช้าลามก หนึ่งในพุ่งเข้าประชิดตัวจากทางด้านหลัง "วันนี้ช่างเป็นบุญ มีนางฟ้าหลงทางมาให้เชยชมถึงที่" เสียงแหบพร่าเปล่งออกมาจากริมฝีปากหนา เรียกเสียงหัวเราะดังสนั่นจากพวกมันที่เหลือยิ่งสตรีนางนั้นดิ้นรนเท่าไหร่ พวกมันยิ่งหัวเราะชอบใจ อีกสามตนที่เหลือ ก็เริ่มกรูกันเข้าไปฉีกทิ้งอาภรณ์สวยงามของนาง เผยให้เห็นปทุมถันสองเต้าขาวสล่าง ปลายยอดสีชมพูชูชันท้าสายตา พวกมันยิ่งกระหายในเรือนร่างนางเป็นทวีคูณ มือหยาบหนาหลายคู่ตะโบมอย่างรุนแรง ไปที่ร่างกายขาวผ่องจนเจ้าของร่างบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่ริมฝีปากหนาๆของพวกมันจะได้ลิ้มชิมรสจากผิดเนื้อเนียนละเอียดนั้น ให้แปดเปื้อนราคีคาวไปมากกว่านี้ หนึ่งในพวกมัน ชะงักค้างแล้วร่างก็ลอยละลิ่วขึ้นไปบนฟ้าเหมือนถูกมือยักษ์ที่มองไม่เห็นจับโยนขึ้นไป จนลับสายตา จากนั้นเพียงอึดใจก็ตกลงมากระแทกพื้นร่างแหลกเหลว แล้วเศษเนื้อนั้นก็เลือนหายไปตามวรรณเผ่าพันธุ์ พวกที่เหลืออีกสามตนก็ชะงัก เหลียวหลังมามองผู้ที่พิฆาตสหายร่วมหนทางแห่งความชั่ว ก็พบร่างสูงใหญ่ ผมยาวสยาย ผิวกายสีทองแดง ในชุดเกราะนักรบ พวกมันทั้งสามสบตากันชั่วครู่แล้วต่างก็แยกย้ายกันกระโจนเข้ารุมล้อมผู้มาใหม่ หนึ่งนั้นที่อยู่ใกล้สุด ก็กางกรงเล็บสีดำสกปรก เต็มไปด้วยพิษร้ายแม้เพียงถากผิวกายเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้เจ็บปวดร้อนลนดั่งเพลิงกาฬเผาพลาญ
แต่มันไม่ทันได้กระทบถูกส่วนใดของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ก็พุ่งเลยผ่านไป ขณะกำลังวกกลับมาเพื่อโจมตีอีกรอบ หัวโตเทอะทะ ก็แยกออกจากลำคอ ส่งผลให้ร่างหยาบหนาเดินอีกเพียงสามก้าวก็ล้มลงสลายหายไปในที่สุด ที่เหลืออีกสองตน ตนหนึ่งถือตะบอง ตนหนึ่งชื่อดาบยาวโง้ง เห็นเพื่อนล้มหายตายจากก็เกิดอาการลังเล
หน้าซีดปากสั่น ความดุร้ายคึกคะนองปลิวหายไป ความขลาดเขลาเข้ามาแทน ทั้งคู่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก แล้วทิ้งอาวุธคุกเข่ายอมจำนน "ตามข้า กลับไปรับโทษแต่โดยดี" บุรุษหนุ่มในชุดเกราะ เอ่ยเสียงดังกังวาล "ท่านก็เป็นอสูร ผู้ทรงฤทธี เหตุใดจึงมาเป็นข้ารับใช้เมืองยักษ์" แม้จะยอมจำนน แต่ยังไม่วายยุแยงตามสันดานพาล ชายหนุ่มไม่ตอบคำ เพียงสะบัดมือ โซ่ตรวนที่มองไม่เห็นก็รัดตรึงร่างทั้งสองตนกับพื้นดิน จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาร่างบอบบางที่ทรุดตัวลงนั่งกอดอกเพื่อปิดบังปทุมถันทั้งสองด้วยความสั่นเทา ชายหนุ่มเพียงหงายมือขึ้นผ้าคลุมผืนใหญ่ก็ปรากฏ จากนั้นจึงเดินเข้าไปคลี่คลุมร่างหญิงสาวอย่างอ่อนโยน แล้วจึงช้อนร่างงามนั้นขึ้นแนบอก แล้วพริ้วกายดุจสายลมหอบหนึ่งเข้าเมืองไป
ภายในห้องโถงที่ตกแต่งอย่างวิจิตร อันเป็นที่พำนัก ชายหนุ่มนั่งอยู่บนตั่งเพื่อรอสอบถามหญิงสาวที่ตนช่วยเหลือไว้ รอชั่วครู่ ร่างบอบบางก็ก้าวออกมาจากห้องพร้อมหอบกลิ่นบุปผาโชยมาแตะโสดนาสิก " ข้าคือ อนิลสูร ผู้ดูแล ยุคลธรราชธานี ในเบื้องพระบาทองค์อุดรมหาราชแห่งจาตุมหาราชิกา " ชายหนุ่มแนะนำตัว
" ข้าพเจ้า ทิพย์อัปสร มีหน้าที่ส่งสารจากดาวดึงส์เพื่อเชิญ ท้าวอุดรมหาราช ขึ้นไปฟังธรรมจากองค์พระผู้มีพระภาคเจ้า " ร่างงดงามเอ่ยขึ้นบ้าง
"อ้อ นางฟ้าจากดาวดึงส์ แล้วท่านไปทำอะไรนอกเขตยุคลธร ไม่รู้หรือว่าเป็นที่อยู่ของบรรดายักษ์แลอสูรชั้นต่ำ ที่ยังไม่เคยลิ้มรสพระธรรมจึงมีสันดานดิบเถื่อนเยี่ยงที่ท่านประสบมา" เขาพูดตักเตือน ส่งผลให้ใบหน้างามงอง้ำอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก เหตุเพราะนางมาจากสวรรค์ชั้นสูงกว่า จึงคล้ายถูกผู้ด้อยกว่าสั่งสอนทำให้รู้สึกเสียศักดิ์ศรี โดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มสูงใหญ่ตรงหน้านั้น การจะขึ้นไปยังดาวดึงส์นั้นลำบากเพียงแค่กระพริบตา เพราะเขาอยู่มาตั้งแต่เกิดสงครามระหว่างเทพแลอสูร เทวบุตรแลเทพผู้ทรงฤทธิ์หลายผู้ได้ดับสูญไปในเงื้อมมือของเขา จนกระทั่งเขาได้ฟังธรรมจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ความเกรี้ยวกราดโหดร้ายในกมลสันดานลดน้อยลง เริ่มเบื่อหน่ายสงคราม จึงอาสาดูแลรักษาความสงบราชธานีแห่งนี้ แต่เดิมผู้ที่อาศัยในจาตุมหาราชิกานี้ มีอายุขัย 500 ปีสวรรค์ หากไม่บำเพ็ญเพียรเพื่อต่ออายุแล้ว ก็จะจุติลงไปเวียนว่ายตามวัฏสงสารตามแต่ผลบุญที่สร้างไว้ ส่วนตัวเขานั้นเป็นข้อยกเว้นเพราะไม่ได้อุบัติ ที่สวรรค์ชั้นนี้ จึงไม่มีข้อจำกัดเรื่องอายุขัยเว้นเสียแต่ว่าอยากจะจุติลงไปเอง ชายหนุ่มเพียงมองนางอัปสรจากดาวดึงส์เงียบๆ ก็ประเมินได้ว่า นางคงเพิ่งอุบัติ มาได้ไม่นานจึงไม่รู้แม้กระทั่งที่ที่ไม่ควรไปหวนคิดไปถึงท่าทีสั่นกลัวดุจวิหกน้อยพลัดตกจากรังเมื่อหลายเพลาก่อน กับตอนนี้ที่ท่าทีเฉิดฉายราวกับนางพญาทำให้เขานึกขันจนเผลอหัวเราะออกมา
"ท่านขันข้าพเจ้าด้วยเหตุอันใด" นางอัปสรกล่าวอย่างไม่พอใจ "ข้าจะบังอาจขันนางฟ้าจากดาวดึงส์ได้เยี่ยงไรเล่า" ชายหนุ่มพูดโดยที่ยังมีรอยยิ้มยั่วเย้า นัยตาพราวระยับ "เมื่อไม่มีเหตุอันใดแล้ว ข้าพเจ้าขอลาไปทำหน้าที่ต่อ" นางฟ้าเชิดหน้าขึ้นเอ่ยคำ แล้วสะบัดหน้าจากไปไม่ยอมเป็นตัวตลกให้เขาขำขันอีกต่อไป ยิ่งทำให้ใบหน้าคมเข้มมีรอยยิ้มกว้างขึ้นไปอีกกับจริตของสตรีแม้จะเป็นถึงนางอัปสรก็ตาม 'ชาวดาวดึงส์ปฏิบัติกับผู้มีพระคุณเช่นนี้หรือ' ชายหนุ่มกล่าวผ่านสายลมไล่หลังเงาร่างบอบบางไปอย่างหยอกเย้า

...........................
หลังจากนั้นทั้งนางและเขา ก็มีโอกาสพบกันอีกหลายครั้งเมื่อยามเข้าเฝ้าท้าวอุดรมหาราช ซึ่งก็เป็นชายหนุ่มที่ยั่วให้นางโกรธกลับไปทุกครั้ง จนกระทั่ง เมื่อนางฟ้าทิพย์อัปสร พาใครคนหนึ่งมาด้วย ก็ทำให้อกชายหนุ่มร้อนรุ่มไปด้วยเพลิงแห่งรัก ที่นับแต่อุบัติมาเขายังไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกนี้มาก่อน แต่เมื่อได้ยลพักตร์นางเพียงแรกเห็นหัวใจชายหนุ่มก็มอบไว้ในอุ้งมือนาง 'มณีอัปสร' นางฟ้าผู้งามดั่งอัญมณีเลอค่า นางอัปสรผู้ส่งสารแด่มหาราชแห่งบูรพาทิศ นั่นทำให้เขาหาเหตุเพื่อจะได้ยลโฉมนางทุกครั้งที่มีโอกาส จนมีโอกาสได้เจรจาปราศรัย ซึ่งนางก็คล้ายมีท่าทีมีใจ แต่บางเวลาก็เย็นชาจนชายหนุ่มสัมผัสได้ จนเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้วงล้อแห่งโชคชะตาเริ่มหมุน
"ท่าน อนิลสูร ข้าพเจ้าได้ยินมาว่า ท่านมหาราชแห่งประจิมทิศ มีสระสุวรรณปทุมมา ข้าพเจ้าใคร่จะยลโฉม ดอกปทุมสีทองที่เลืองลือไปถึงดาวดึงส์ถึงความงดงาม ยามที่ท่านมหาราช นำไปสักการะ พระเกศแก้วจุฬามณี ท่านสามารถนำมาให้ข้าพเจ้าได้ยลหรือไม่" นางมณีอัปสร กล่าวขึ้นในวันหนึ่งที่เขาไปเยี่ยมนางที่ บูรพาราชธานี ยิ่งเห็นท่าทีกระตือรือร้นใคร่รู้ของนาง ครั้นจะปฏิเสธก็กลัวว่านางจะเสียใจ ชายหนุ่มจึงยอมกระทำเรื่องที่แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าผิด เพียงเพื่อแลกมาซึ่งรอยยิ้ม ของนางในดวงใจ เหตุเพราะสระสุวรรณปทุมมา ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน ไม่ว่าบุรุษใดก็ไม่สามารถเข้าไปได้ ยกเว้นเพียงแต่องค์มหาราชเองที่มีสิทธิ แต่หากก็ไม่เกินความสามารถของเขา "อนิลสูร" อสูร ผู้เป็น จ้าวแห่งวาตะ มีอิสระสามารถไปได้ทุกที่ในไตรภพ และที่นั่นเองทำให้เขาล่วงเกิน พระธิดานาคี แห่งมหาราชประจิมทิศ โดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นจึงรีบกลับมามอบให้นางผู้เป็นที่รัก เพียงแต่ไม่ควรเลยที่จะได้ยิน
"ท่านว่า อนิลสูร จะนำสุวรรณปทุมมา มามอบให้ท่านเช่นนั้นหรือ ข้าพเจ้าว่าเป็นไปไม่ได้ที่บุรุษผู้นั้นจะกระทำการ เขลาเบาปัญญาเช่นนั้น" ผู้พูดเป็น ชายหนุ่มงามสง่าผิวพันอร่ามดั่งทอง นาม นิรุฬเทวบุตร เป็นเทพบุตร คนสนิท มีหน้าที่ขับกล่อมการดนตรีถวายแด่ บูรพามหาราช
"ท่านข้าพเจ้า เชื่อว่า เขาจะนำมาให้ข้าพเจ้าได้ และท่านต้องขับกล่อมดนตรีให้ข้าพเจ้าตามที่สัญญาเอาไว้" มณีอัปสร แย้มยิ้มด้วยความมั่นใจ ส่วนผู้ที่ถูกพูดถึงนั้น
ยืนนิ่งราวกับถูกองค์มหาเทพสาปให้กลายเป็นหิน คิดทบทวนคำพูดของนางผู้เป็นที่รัก ' ช่างน่าขัน ความรักของข้ามีค่าแค่เพลงบทเดียว ' เขารำพันอย่างเย้ยหยันในความเขลาของตัวเอง แต่ลูกผู้ชายเมื่อรับปากแล้วต้องทำตาม เขาจึงเดินเข้าไปมอบ ดอกบัวทอง ให้นางตามที่สัญญาไว้ แลกกับรอยยิ้มเพียงเล็กน้อยจากโฉมงาม และรอยยิ้มหยันจากหนุ่มรูปงามข้างกายนาง ซึ่งคาดว่า อนิลสูร คงได้ยินที่ทั้งคู่คุยกัน ขณะจะกลับ อุดรทิศ ยังไม่วายได้ยินเสียงเย้ยหยันลอยมาตามลม
' เป็นเพียงอสูร ริอาจเกี้ยวพานางฟ้า
หลังจากนั้นไม่นาน องค์มหาราชแห่งประจิมทิศก็ทราบว่ามีผู้แอบเข้ามาขโมย สุวรรณปทุมมา ถึงในพระราชฐานชั้นใน จึงแจ้งมหาราชแห่งอุดรทิศ ซึ่ง เป็นใหญ่ในจาตุมหาราชิกา ให้ช่วยตัดสิน แต่มีผู้มาแจ้งข่าวว่า เหตุที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับนางฟ้าจากดาวดึงส์ จึงต้องขึ้นไปให้พระอินทร์ซึ่งปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นผู้ตัดสิน ซึ่งพระองค์ตัดสินให้ มณีอัปสร และ นิรุฬเทวบุตร จุติมายังโลกมนุษย์ ส่วน อนิลสูร ให้ มหาราชแห่งอุดรทิศเป็นผู้ตัดสิน
ภายในท้องพระโรงอันตระการตา บุรุษร่างสูงใหญ่ยืนนิ่งรอคำตัดสิน จนเสียงก้องกังวาลทรงอำนาจ แห่งผู้เป็นใหญ่ใน จาตุมหาราชิกาตรัสขึ้น
" อนิลสูรเอ๋ย เหตุใดจึงกระทำการเยี่ยงคนเขลาเช่นนั้น "
"เพราะความรักพระเจ้าข้า มหาบพิตร" ชายหนุ่มตอบเรียบๆ
"รักนะหรือ เราว่าเจ้ากำลังหลงมากกว่า" ทรงแย้มพระสรวล
"เจ้ามิได้ อุบัติ ขึ้นมาในจาตุมหาราชิกานี้ ฉะนั้น เราจึงไม่มีสิทธิ์ ตัดสินเจ้า" ถ้อยความนี้ ทำเอาเหล่าเสนาอำมาตย์ส่งเสียงอื้ออึง แม้ มหาราชแห่งประจิมทิศยังลุกขึ้นแล้วจากไปด้วยความโมโห เมื่อทรงโบกพระหัตถ์ให้เงียบแล้วจึงดำรัสต่อ
"เราจะให้เจ้า เลือกทางเดินเอง " ทรงดำรัสด้วยความปราณี
"ข้าฯ พระองค์ขอพระราชทานอนุญาติ จุติยังโลกมนุษย์" ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยความแน่วแน่
"เจ้าจะไปตามหานางเพื่อ พิสูจน์ ความรักหรือ ก็ได้ อสูรแห่งวาตะ เอ๋ย เราอนุญาต แต่เมื่อขึ้นกาลอันสมควร เราจะเรียกเจ้ากลับมาทำหน้าที่เดิม" เมื่อทรงอนุญาต เขาจึงกราบลา ในใจก็รู้อยู่ว่าพระองค์เอ็นดูเขาไม่น้อย ถึงขนาดยอมมีเรื่องหมองใจกับมหาราชแห่งประจิม แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือยังมีอีกผู้หนึ่ง ขอพระราชทานอนุญาติ
จุติ จากดาวดึงส์ตาม อนิลสูร ลงไปด้วย นั่นคือ ทิพย์อัปสร ซึ่ง นางมีใจให้ชายหนุ่มแล้วตั้งแต่ที่เขาให้การช่วยเหลือ เพียงแต่นางยังไม่รู้ตัว อีกทั้ง นางเป็นนางฟ้าจากดาวดึงส์มาหลงรักอสูร ก็ออกจะ เสียเกียรติ์ไปบ้างจึงมีท่าทีปั้นปึงกับเขาเรื่อยมา จนกระทั่งชายหนุ่มไปหลงรัก มณีอัปสร นางถึงรู้ตัวยิ่งเห็นเขาชายหนุ่ม ทำดี เอาใจใส่แก่มณีอัปสรมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรักเขามากขึ้น เพราะ เห็นในท่าทีที่อ่อนโยนจริงใจและมั่นคง ทำให้นางสัญญากับตัวเองว่าหากตนมีโอกาสแม้เพียงนิดที่จะทำให้ชายหนุ่มหันกลับมามองนางบ้าง นางจะไม่ลังเลเลย พอเกิดเหตุการณ์ขึ้น คนที่กราบทูลองค์อินทร์ก็คือนาง ดังนั้นเมื่อรู้ว่า เขาจุติมายังโลกมนุษย์จึงขอจุติลงมาด้วย.............
ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะฝันประหลาดนี้แท้ๆ ในฝันคล้ายจะเหมือนเหตุการณ์จริง แต่พอลืมตาตื่นขึ้นมาก็คล้ายจะลืมเลือน เขาทำได้เพียงสะบัดหน้าไล่ความมึนงง แล้วมองไปยังร่างงามข้างกาย ใบหน้าเนียนแสนงดงาม ดวงตาหลับพริ้ม ริมฝีปากอิ่มสวยยิ้มนิดอย่างมีความสุขคล้ายตกอยู่ในห้วงฝันอันสวยงาม
เกือบเดือนแล้วที่เขากับเธออยู่ด้วยกัน ซึ่งตอนนี้หญิงสาวไม่ใช่เพียงวิญญาณที่เขามองเห็นและสัมผัสได้เท่านั้น เวลานี้เธอสามารถหยิบจับสิ่งของและปรากฏร่างให้คนอื่นเห็นได้ด้วย เป็นผลมาจากการฝึกจิต นั่งกรรมฐานตามบันทึกมนตรา เหมือนที่ปู่บอกไว้จิตที่มั่นคงแน่วแน่ทำให้เกิดศรัทธา ศรัทธาทำให้เกิดปาฏิหาริย์ และไม่เพียงบันทึกมนตรา เขายังศึกษาบันทึกสมุนไพร เรื่องว่านกระทิงหนุ่ม ว่านเกล็ดนาคา ตอนนี้ได้เวลาที่ชายหนุ่มต้องฝึกกรรมฐานแล้ว จึงก้มลงจูบริมฝีปากอิ่มสวยเบาๆและปล่อยให้เธอนิทราอย่างมีความสุขต่อไปเพราะเมื่อหัวค่ำนี้ เขารุนแรงกับเธอไม่น้อยด้วยแรงอารมณ์ ซึ่งเกิดจากแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรักของหญิงสาวทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะมอบความสุขให้เธออย่างหนักหน่วง ก่อนอารมณ์จะครอบงำให้จัดการลักหลับสาวงามตรงหน้า จึงรีบลุกจากเตียงเพื่อออกไปฝึกกรรมฐาน.
...........จบตอน ตอนที่5 อสูรที่หลงรักนางฟ้า นางฟ้าที่หลงรักอสูร


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมาโดยตลอดครับ ขอบคุณพี่สาวแว่นที่ช่วยให้กำลังใจและเผยแพร่ผลงานมากครับ เอ่อ ที่จริงตอนนี้ ตอนแรกว่าจะเริ่มที่คุณหนูพลอยไปๆมาๆตะลุยแดนสวรรค์ซะงั้น เป็นตอนที่มาแบบงงๆ อีกตอนนึงฮ่าๆ เขียนแล้วไปของมันเอง ตอนนี้ไม่มีเสียวนะครับ มีแต่เศร้า ตอนหน้าแน่นอนคุณหนูพลอยมาจริงๆล่ะ ที่จริงตอนนี้เสร็จตั้งแต่เที่ยงคืนแต่มีปัญหานิดหน่อยมาช้าไม่ว่ากันนะครับ credit ภาพสวยๆ จากgoogle


 

                *ก๊อป ไปอ่านได้  แต่ ห้าม ! นำไปเผยแพร่นะคะ เพราะ nookylove ฝากให้นำมาลงจ๊ะ*