ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

Copy  พยัคฆ์ฟ้าท่องยุทธ์จักร ตอนที่ 2 บทประพันธ์ ท่าน  nookylove

เริ่มโดย areja, พฤศจิกายน 13, 2012, 10:32:47 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

areja

   12.00    12.00
พยัคฆ์ฟ้าท่องยุทธ์จักรตอนที่ 2 บทประพันธ์ท่าน nookylove


หลังจากมีประกาศจับบรรดาโจรลักเล็กขโมยน้อยแล้วทหารของทางการในเมืองหยางโจวก็กวาดต้อนเหล่าขอทาน คนจรจัดนักล้วงภายในเมืองไปจนแทบหมดสิ้นแล้วนำตัวไปสอบสวนในที่ว่าการของเจ้าเมืองแม้จะทราบภายหลังว่าของที่ทางการต้องการนั้นไม่ได้อยู่กับคนเหล่านี้แต่เจ้าเมืองก็ยังสั่งขังผู้คนจำนวนมากนี้ไว้ในคุกเพราะเห็นว่าชีวิตอันต่ำต้อยของพวกมันอยู่ไปรังแต่จะขวางหูขวางตาสู้กำจัดไปเสียเลยดีกว่า บ้างก็ถูกทรมาณจนตาย บ้างก็ถูกส่งไปใช้แรงงานหนักดังนั้นแม้ผู้ที่ถูกจับมีจำนวนนับร้อยชีวิตแต่กลับไม่มีใครได้กลับออกมาทางด้านเจ้าหน้าที่ของวังหลวงผู้ออกคำสั่งให้เจ้าเมืองจับบรรดาโจรลักเล็กขโมยน้อยเหล่านี้เมื่อทราบว่าของที่ตามหาอยู่นั้นไม่ได้อยู่ภายในเมืองแล้วจึงเร่งติดตามไป

ร่างสกปรกมอมแมมที่ปกติก็ไม่น่าดูอยู่แล้วแต่บัดนี้แลดูคล้ายกับมนุษย์ฝุ่นดิน ผมเผ้ายาวรุงรังกระเซอะกระเซิงเนื่องด้วยต้องคอยหลบหนีบรรดาทหารของทางการจนถึงตอนนี้มันกลับไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้วเมื่อความหิวกัดกร่อนกระเพาะจนตาลายมันจึงตัดสินใจแอบปีนกำแพงเข้าไปยังบ้านหลังหนึ่งในตอนที่ฟ้ามืดลงแล้ว เมื่อเข้ามาได้แล้วก็พบกับความใหญ่โตตระการตาของทั้งสวนหย่อมที่จัดไว้และตึกใหญ่ที่แลดูโอ่อ่าภูมิฐานมีตึกใหญ่ถึงสามหลังก็ต้องลอบปาดเหงื่อมันจะหาห้องครัวเจอหรือไม่ยังเป็นปัญหาอีกทั้งยังกลัวว่าบ้านนี้เลี้ยงสุนัขดุไว้หากเป็นเช่นนั้นครานี้มันคงประสบกับคราวเคราะห์ ดังนั้นมันจึงระวังตัวเต็มที่ค่อยๆย่องไปตามเงามืดจนเข้าใกล้ตัวตึกกลับไม่พบเห็นสุนัขตัวใดจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกเนื่องด้วยยังเป็นเวลาหัวค่ำอยู่จึงยังไม่สะดวกในการแอบเข้าไปหาของกินเมื่อพบห้องเก็บฟืนที่พอจะซ่อนตัวได้มันจึงรีบเข้าไป ครั้นยามดึกเมื่อคำนวณว่าปราศจากคนแล้วจึงแอบออกมาเสาะหาไม่นานก็พบห้องครัวใหญ่มันจึงรีบเข้าไปหาของกินขณะกำลังจัดการกับอาหารเหลือๆนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมกับแสงสว่างจะโคมไฟมาทางห้องครัวมันจึงรีบวางของกินแล้วเร่งซ่อนตัว เมื่อประตูเปิดออกร่างบอบบางก็ถือโคมก้าวเข้ามาพิศดูจากแสงโคมที่ส่องใบหน้าเป็นสตรีอายุเยาว์น่าจะไม่ถึงสิบแปดปีแต่งกายคล้ายสาวใช้ครั้นนางเห็นสภาพห้องครัวแล้วก็ต้องตระหนกเพราะแลดูคล้ายกับถูกสุนัขจรจัดเข้ามาคุ้ยเขี่ยหาอาหารขณะที่นางกำลังจะอ้าปากร้องเรียกคนให้แตกตื่น ก็ถูกมือปิดปากจากทางด้านหลังพร้อมกลิ่นเหม็นเปรี้ยวจนนางแทบอยากจะอาเจียรออกมา

" พี่สาวได้โปรดอย่าส่งเสียงข้าพเจ้ากินอิ่มแล้วจักจากไปเอง " น้ำเสียงฟังดูสุภาพนุ่มนวลจึงทำให้นางคลายใจลง จึงพยักหน้าเบาๆ มือจึงละออกจากใบหน้าของนางครั้นหันกายกลับมาเผชิญหน้ากับชายเจ้าของเสียงสุภาพทำให้นางแทบจะกรีดร้องอีกครั้งด้วยความตกใจในสภาพของชายร่างใหญ่เบื้องหน้าที่แลดูคล้ายมหาโจรปนสุนัขจรจัดยิ่งนัก พิศจากใบหน้าดุร้ายกับเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมขัดกับแววตาสัตย์ซื่อไม่มีท่าทีคุกคามเมื่อชายหนุ่มเห็นนางสงบลงแล้วจึงคว้าอาหารมาใส่ปากอีกครั้งโดยไม่สนใจสายตาของหญิงสาวที่มองด้วยความสงสารเมื่อเห็นอาการกินอย่างตะกละหิวโซนั้น กระทั่งติดคอจนได้นางจึงเร่งตักน้ำส่งให้ครั้นพออิ่มแล้วจึงทำท่าจะจากไป แต่ได้ยินเสียงเรียกไว้ก่อน

" เจ้ามีที่ไปหรือไม่ " หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความสงสารคำตอบที่ได้คือการส่ายหน้า

" เช่นนั้น ค้างที่นี่สักคืน รุ่งเช้าข้าพเจ้าจักลองคุยกับคุณหนูได้ยินว่าท่านพ่อบ้านอิง กำลังขาดคนงานบางทีอาจรับเจ้าเข้าทำงาน " นาง บอกอย่างมีน้ำใจอาจเพราะเห็นสภาพของมันแล้วรู้สึกเวทนาก็เป็นได้

" ขอบคุณพี่สาวมาก ขอบคุณๆ " มันเร่งประสานมือคารวะอย่างยินดี

" ว่าแต่เจ้ามีชื่อเรียกว่ากระไร ข้าพเจ้า ถิงถิง" หญิงสาวถามพร้อมบอกชื่อตนก่อนตามมารยาท

" ข้าพเจ้าแซ่ เอ่อ...เอี้ยน เรียกว่าเทียน"มันบอกแซ่ออกไปพลางบ่นอุบอิบบางอย่าง

" อืมเอี้ยนเทียนดูท่าพรุ่งนี้คงต้องพาเจ้าไปอาบน้ำก่อนไปพบท่านพ่อบ้านกระมัง อ๊าข้าพเจ้าลืมไปว่าต้องมาหยิบเครื่องปรุงให้คุณหนู เช่นนั้นข้าพเจ้าไปก่อน " นางเร่งหยิบขวดใส่เครื่องปรุง ก่อนจะชะงักแล้วหันมากล่าวว่า

" เจ้าคงพอนอนในห้องเก็บฟืนได้กระมังพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจักให้คนมาเรียก " พูดจบก็เร่งฝีเท้าจากไปมันจึงเดินกลับไปพักผ่อนที่ห้องเก็บฟืนโชคดีที่ไม่ใช่ฤดูหนาวไม่เช่นนั้นมันคงแข็งตายก่อนจะเช้า

เป็นอันว่าพ่อบ้านรับมันเข้าทำงานเป็นกุลีแบกหามกับใช้แรงงานทั่วไปต้องคอยรับใช้ตามคำสั่งพ่อบ้านและผู้รับใช้รุ่นพี่และมันเพิ่งจะรู้ว่าตึกใหญ่ที่มันแอบเข้ามาตอนแรกเป็นเพียงที่พักสำหรับคนงานโดยแยกเป็นคนงานชายและหญิงแบ่งออกเป็นสองปีกคือตึกซ้ายสำหรับบ่าวไพร่ชายตึกขวาสำหรับบ่าวสตรีด้านตึกที่ใหญ่ที่สุดตรงกลางนั้นไว้สำหรับนายของบ้านไว้สั่งงานทำการค้าและเป็นที่อาศัยของพ่อบ้านส่วนที่อาศัยของเจ้าของบ้านที่เรียกกันว่านายแซ่หลิวนั้นต้องผ่านสวนขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของตึกทำการ เข้าไปอีกก่อนจะพบสระน้ำมีสะพานข้ามและเก๋งหลังใหญ่อยู่กลางสระปลูกบัวสวยงามก่อนจะเป็นตึกโอ่อาใหญ่โตซึ่งมันเองก็ยังไม่เคยเห็นเพราะเป็นเพียงคนงานใหม่จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ไปยังที่นั้นจึงได้ยินเพียงคำกล่าวอ้างของรุ่นพี่เล่ากันว่าด้านหลังตึกใหญ่นั้นยังมีสวนดอกไม้ที่ปลูกไว้ให้กับบุตรีคนเดียวของเจ้าของบ้านนามหลิวอี้หลิง ลือกันว่าเป็นโฉมสะคราญเมืองหยางโจวแต่บ่าวรับใช้ต้อยต่ำเช่นมันไหนเลยจักได้มีวาสนายลโฉม กระทั่งหญิงรับใช้นาม ถิงถิงนับจากคืนนั้นมันก็ไม่ได้พบนางอีกเลยวันๆจึงได้แต่ทำงานตกเย็นก็พล่อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียเพื่อแลกกับที่พักและอาหารกับค่าแรงที่จ่ายให้หนึ่งตำลึงทุกๆสิบวันมันจึงไม่ค่อยได้แอบไปมอบความสุขให้แก่ซ้อเจินเหมือนเคยยิ่งต่อมารสชาตซาลาเปากระเดื่องดังจนไปเข้าหูหัวหน้าห้องเครื่องในวังหลวงจึงได้ตามตัวเถ้าแก่เจ้าของร้านเข้าไปในพระราชวังหลิงเจียงอันเป็นที่ประทับของสุยหยางตี้ในเมืองเจียงตู ซึ่งเป็นหนึ่งในสามเมืองใหญ่ของแผ่นดินภาคกลางเช่นนั้นเถ้าแก่ร้านพร้อมด้วยครอบครัวทั้งหมดรวมทั้งซ้อเจินจำต้องออกจากเมืองหยางโจวไปมันจึงไม่มีโอกาสได้พบซ้อเจินอีกเลยทั้งยังไม่ได้ยินข่าวคราวของสองสหายที่หายตัวไปในตอนมีประกาศจับของทางการ

กระทั่งวันหนึ่งในตอนเช้าระหว่างที่มันกำลังกวาดลานกว้างที่หน้าตึกบ่าวรับใช้ก็มีบุรุษหนุ่มสวมอาภรณ์ขาวขี่ม้าสีน้ำตาลพ่วงพีสูงใหญ่เข้ามาทางประตูใหญ่พร้อมด้วยคนติดตามสองคนทางด้านหลังบรรดาบ่าวไพร่ที่อยู่ใกล้เคียงเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปต้อนรับพิศดูเมื่อบุรุษอายุราวยี่สิบสี่ยี่สิบห้าผู้นั้นเดินผ่านเข้ามาใกล้บริเวณที่มันทำความสะอาดอยู่น่าจะมีความสำคัญไม่น้อยดูจากอาการพินบพิเทาของบ่าวของบ้านนี้คาดว่าคงมีความเป็นมาไม่ธรรมดาแลดูใบหน้าหล่อเหลา บุคลิกองอาจมั่นใจจากชุดที่ใส่น่าจะเป็นคุณชายในตระกูลใหญ่เมื่อขบวนของชายหนุ่มผู้นั้นผ่านไปแล้วมันจึงฉุดมือบ่าวรับใช้ที่อยู่มานานผู้หนึ่งไว้แล้วสอบถามดู ได้ความว่าผู้ที่มาเป็นคุณชายตระกูลเหอ นามเหอเสียน เป็นหลานชายของแม่ทัพรักษาเมืองหยางโจวลือกันว่าเป็นว่าที่คู่หมั้นคู่หมายของ คุณหนูอี้หลิงครานี้เดินทางกลับจากเมืองหลวงหลังไปรับตำแหน่งรองแม่ทัพรักษาเมืองหยางโจวเมื่อหลายเดือนก่อนคาดว่าคงไปวิ่งเต้นเพื่อให้ได้มาประจำที่เมืองนี้ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามขบวนของคุณชายเหอก็กลับออกมาหากแต่มีสตรีสองนางเดินออกมาด้วย หนึ่งในนั้นมันจำได้ว่าเป็นสาวใช้นาม ถิงถิงส่วนอีกนางที่เดินเคียงข้างบุรุษชุดขาวดูจากอาภรณ์เลิศหรูก็ทราบได้คาดว่าคงเป็นคุณหนูหลิวอี้หลิง ครั้นเมื่อนางก้าวเข้ามาจนแลเห็นใบหน้าชัดๆแล้วมันถึงทราบว่าความงามของนางสมกับเป็นสะคราญโฉมเมืองหยางโจวเพียงแต่มันไม่รู้จักไปเปรียบเทียบความงามกับผู้ใดนอกจากซ้อเจินกระนั้นมันก็ยังเห็นว่าซ้อเจินแลดูน่าใกล้ชิดกว่าเพราะท่าทางที่มีเมตตาส่วนคุณหนูผู้นี้ให้ความรู้สึกคล้ายดอกไม้งามที่มีหนามแหลมคมระหว่างที่มันคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้นจึงไม่ทันได้สังเกตุบรรดาบ่าวไพร่ต่างพากันก้มศีรษะไม่ได้จ้องมองผู้คนเช่นมันจากนั้นมันจึงได้ยินเสียงดัง "เฮอะ"

" ตัวบัดซบผู้นี้บังอาจนักกลับกล้าจ้องมองน้องอี้หลิง" เสียงตวาดดังมาจากบุรุษชุดขาวหรือคุณชายเหอเสียนนั่นเองบรรดาผู้ติดตามสองคนต่างก็ถลึงตาใส่มันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

" พี่เหอวันนี้วันดี เราอย่ามีเรื่องกันเลยข้าพเจ้าอยากไปชมตลาดแล้ว " หลิวอี้หลิงเอ่ยปากขึ้นเพราะกลัวจะเสียเวลาแม้จักไม่พอใจในตัวบ่าวผู้นี้อยู่บ้างก็ตาม

" เช่นนั้นก็ตามใจน้องอี้หลิง " เหอเสียน หันไปยิ้มกล่าวอย่างเอาใจ ส่วนอี้หลิงเพียงปรายตามองเอี้ยนเทียนเหมือนจักบอกให้ทราบว่า วันนี้เราจักไม่เอาความแต่อย่ามีครั้งหน้าฝ่ายเอี้ยนเทียนได้แต่ลอบปาดเหงื่อ แต่ดูเหมือนมันจักดีใจเร็วเกินไปเมื่อเหอเสียนซึ่งเดินไปสองสามก้าวแล้วหันกลับมาราวกลับนึกอะไรขึ้นได้

" อ่อ ข้าพเจ้าว่าให้มันไปกับเราด้วยเผื่อน้องอี้หลิงเจอของถูกใจจักได้ให้มันช่วยถือเห็นว่าไม่ได้ออกไปชมตลาดหลายเดือนคาดว่าต้องมีของใหม่ๆถูกใจน้องอี้หลิงมากมายเป็นแน่ " เหอเสียนหันกลับมาบอกซึ่งหลิวอี้หลิงก็พยักหน้าเห็นด้วยจากนั้นจึงพากันไปขึ้นรถม้าที่เตรียมไว้โดยมีผู้ติดตามของเหอเสียนขนาบข้างดังนั้นมันจึงต้องติดตามขบวนคนเหล่านี้ไป ซึ่งของที่หญิงสาวถูกใจก็มีมากมายจริงๆหลังจากลงจากรถม้าเพื่อเดินชมสินค้าแล้วของทุกชิ้นที่ถูกซื้อก็ตกอยู่ที่มันเป็นคนแบกครั้นพอได้เวลาเที่ยงกลับไม่ได้ให้มันกินอะไรเพียงใช้ให้มันเฝ้ารถม้าไว้ที่เหลือกลับเข้าเหลาสุราดื่มกินกันอย่างอิ่มหน่ำ แต่ยังดีที่ ถิงถิงลอบนำหมั่นโถวมาให้มันสองลูกด้วยความสงสาร เมื่อกลับบ้านสกุลหลิวแล้วเหอเสียนกลับยังไม่ยอมเลิกรา อ้างว่าลูกน้องของตนขาดคนซ้อมมือจึงได้สั่งให้ลงมือกับเอี้ยนเทียนโดยที่หลิวอี้หลิงก็ไม่ได้กล่าวคัดค้านอะไร เพียงหันไปสนใจของที่ซื้อมามากกว่าเย็นวันนั้นแทนที่จักเรียกว่าการซ้อมมือ สมควรเรียกว่าซ้อมมือเท้ามากกว่าเพราะเอี้ยนเทียน ต้องเป็นฝ่ายรับมือเท้าของผู้ติดตามเหอเสียนจนสะบักสะบอม กระทั่งลุกไม่ขึ้นแล้วพวกนั้นจึงยอมหยุดมือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับไม่มีใครกล้าห้ามปรามสักคนได้แต่ยืนมองด้วยความสังเวชหลังจากเหอเสียนและพวกกลับไปแล้วอาเหลาเพื่อนร่วมห้องของเอี้ยนเทียนก็หามร่างมันกลับไปที่ห้องพัก

" เฮ้อ นับว่าพวกมันทำเกินเลยไปจริงๆเพียงแค่มองหน้าเหตุใดต้องลงมือถึงหนักเพียงนี้ " อาเหลาพูดอย่างเห็นใจ

" ข้าพเจ้าจักไปขอยาจากท่านพ่อบ้านมาให้ท่าน "จากนั้นอาเหลาจึงเดินออกไปหลังจากอาเหลาออกไปแล้วเอี้ยนเทียนที่ใบหน้าปูดบวมขยับตัวอย่างอ่อนแรงด้วยความเจ็บปวดทั่วสรรพางค์กายในหัวคิดเพียงว่าเหตุใดเรื่องราวบัดซบเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นกับตนจากนั้นจึงเคลิ้มหลับไปด้วยความอ่อนเพลียระหว่างนั้นเองที่มันคล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่นก็ได้ยินเสียง

" เด็กน้อยโง่งมเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่อให้ผู้อื่นทุบตีเช่นนี้ " น้ำเสียงปราณีดังขึ้นในหัว

" นึกให้ออกว่าเจ้ากระทำสิ่งใดได้บ้างจงเดินไปในทางที่เจ้าปรารถนา หวังว่าคงไม่ทำให้เราผิดหวัง ฮ่าๆๆๆ " พูดจบเสียงหัวเราะก็ค่อยๆเลือนหายไป

รุ่งเช้าอาการของเอี้ยนเทียนก็ยังไม่ดีขึ้นพ่อบ้านที่ได้ทราบเรื่องราวเมื่อวานจากอาเหลาจึงให้มันหยุดงานเพื่อพักผ่อนแต่ก็ยังตำหนิมันที่เสียมารยาทจ้องมองคุณหนู ผ่านไปสองวันเอี้ยนเทียนถึงได้กลับมาทำงานได้โดยที่คนอื่นก็ยังแปลกใจที่มันกลับมาทำงานได้เร็วขนาดนี้แม้ใบหน้ายังคงรอยช้ำอยู่แต่ก็นับว่าดีขึ้นมากเข้าสู่ยามราตรีบรรดาบ่าวรับใช้ต่างก็หลับนอนกันหมดแล้วเอี้ยนเทียนกลับนั่งอยู่ในเงามืดใต้ต้นไม้ใหญ่ที่สวนด้านหน้ามันนั่งหลับตานึกถึงคำกล่าวของเสียงในหัวตอนนั้นพลันนึกถึงตอนที่แอบเข้าไปหาซ้อเจินในตอนแรกตอนที่มันใคร่ปรารถนาทุบตีเถ้าแก่เจ้าของร้านซาลาเปาสักหมัดตอนนั้นมันรู้สึกคล้ายตัวเองส่งหมัดเขาไปทุบเฒ่าชรานั้นจริงๆ

' เอ รึว่าจักเป็นพลังลมปราณ ' มันคิดในใจ แต่เมื่อลองสำรวจภายในร่างของตนก็ไม่พบลมปราณสุนัขอันใดมันจึงยิ่งดำดิ่งลงไปในห้วงสมาธิสรรพเสียงจากแมลงรอบตัวที่เคยดังอยู่ข้างหูค่อยๆเงียบเสียงลงครานี้มันกลับสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างแต่มิใช่มาจากภายในตัวของมันแต่เป็นจากสิ่งรอบกายแม้จักเพียงน้อยนิดแต่มันก็รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลอันไร้ขอบเขตนั้นทันใดนั้นมันก็ตระหนักได้ว่าผู้คนที่ฝึกยุทธหากหวังจะเป็นยอดฝีมือนั้นต้องฝึกตั้งแต่เยาว์วัยทั้งนี้เพราะต้องการสะสมลมปราณและขยายชีพจรเนื่องเพราะวัยเยาว์ที่การเจริญเติบโตยังไม่เต็มที่ผู้คนสามารถรับเอาสิ่งต่างๆได้มากมายชีพจรก็คล้ายถังน้ำว่างเปล่าพลังลมปราณก็คือน้ำ ผู้ใดสามารถเติมน้ำได้เท่าใดก็เท่านั้น เช่นนี้เมื่อเติบโตมาผู้ใดที่ สามารถขยายภาชนะของตนและเติมน้ำได้มากเท่าใดผู้นั้นยิ่งมีพลังฝีมือเก่งกล้าหากแต่ภายในตัวมนุษย์ผู้หนึ่งจักสะสมลมปราณได้สักเท่าใดถึงที่สุดแล้วย่อมมีขีดจำกัด แต่มันซึ่งสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลรอบกายในตอนนี้มิสู้ทำตนเสมือนหนึ่งตัวกลางชักนำพลังอันไร้ขีดจำกัดนั้นแล้วแปรเปลี่ยนให้ใช้ออกตามเจตจำนงแห่งตนบัดนี้เอี้ยนเทียนคล้ายชำระฝุ่นผงที่บังตาออกไป คล้ายตัวมันอยู่ในสภาวะรู้แจ้งมันจึงลืมตาขึ้นย้อนกลับไปทบทวนถึงคราวที่ทุบตีเถ้าแก่ร้านซาลาเปามันยื่นมือออกไปด้านหน้า รวบรวมสมาธิ จากจิต นำไปสู่จินตสร้างเป็นหัตถ์ไร้สภาพข้างหนึ่ง แปรเปลี่ยนเป็นเจตแห่งตนส่งหัตถ์ไร้สภาพนั้นหยิบก้อนหินขนาดผลพุทราที่อยู่ตรงหน้าห่างออกไปหนึ่งก้าวนั้นเรื่องมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นเมื่อหินก้อนนั้นลอยขึ้นเหนือพื้นเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นหยิบมันขึ้นมาเมื่อลองอีกครั้งกับหินขนาดใหญ่ขึ้นและเพิ่มระยะเป็นสองก้าวก็พบว่ารู้สึกกินแรงเป็นอย่างยิ่งสมองของมันอื้ออึงรู้สึกปวดราวกับโดนผู้ใดเอาไม้เคาะครั้นพอลองกับก้อนหินขนาดเท่าถังน้ำใบใหญ่ในระยะสามก้าว คราวนี้ไม่เพียงแค่ไม้เคาะแต่เหมือนโดนฟาดเข้าเต็มแรงเหงื่อกาฬชื้นไปทั้งร่างจนในที่สุดมันต้องยอมแพ้ปล่อยหินนั้นลงแล้วเอนหลังพิงต้นไม้อย่างอ่อนแรงรู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าแบกหามเสียอีกแต่กระนั้นมันก็ยังรู้สึกดีใจที่สามารถก้าวหน้าไปหนึ่งก้าวจากตัวบัดซบน่าสมเพชกลายเป็นตัวบัดซบที่หยิบจับสิ่งของได้ในระยะสามก้าวเช่นนั้นแล้วมันจึงตั้งนามให้ว่า " ลักษณะแห่งหัตถ์ "


ทุกครั้งที่ทราบว่าขบวนของเหอเสียนมาพบหลิวอี้หลิงพ่อบ้านจักสั่งให้มันออกไปแบกหามสินค้านอกบ้านเพื่อไม่ให้เป็นที่ขวางหูขวางตาและหาเหตุทุบตีมันอีกทำให้มันต้องไปขนสินค้าที่ท่าเรือนอกเมืองซึ่งก็นับว่าเป็นประโยชน์ต่อมันไม่น้อยเพราะสามารถได้ยินข่าวสารต่างๆทำให้มันทราบว่าบุคคลที่ทางการประกาศจับเมื่อหลายเดือนก่อนก็คือโค่วจงและฉีจื่อหลิงอีกทั้งพวกมันยังสามารถหนีรอดไปได้ด้วยฝีมือของยอดฝีมือจากโกกุเรียวแม้ต่อมายอดฝีมือผู้นั้นจักเสียชีวิตแต่ก็ทำให้ทั้งสองหนีรอดจากการจับกุมลือกันว่ายอดฝีมือนั้นเป็นสตรีและเป็นศิษย์ของสุดยอดฝีมือจากโกกุเรียวทำให้มันคิดฝันไว้ว่าสักวันจักต้องไปเยือนแดนเหลียวตงให้ได้ทุกคืนมันต้องเข้าฌานเพื่อฝึกจิตเนื่องด้วยพลังฝีมือของมันขึ้นอยู่กับจิตสมาธิมากกว่ากำลังภายนอกอีกทั้งการทำงานหนักในแต่ละวันก็เปรียบเหมือนการฝึกร่างกายอยู่แล้ว

กระทั่งวันหนึ่งขบวนของเหอเสียนกลับมาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าทำให้มันต้องเผชิญกับคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะรอยยิ้มที่มุมปากของเหอเสียนระหว่างที่เดินผ่านมันเพื่อเข้าไปยังตึกด้านในนั้นชวนให้ผู้คนรู้สึกว่าวันนี้ต้องเกิดเรื่องทุบตีขึ้นอีก และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆเพราะเหอเสียนหาข้ออ้างให้ผู้ติดตามของมันซ้อมมือกับเอี้ยนเทียนอีกโดยที่ครานี้คุณหนูของบ้านก็มารับชมด้วยสีหน้าตื่นเต้นที่จักได้พบเห็นการต่อสู้ระหว่างบุรุษโดยที่นางไม่รู้เลยว่าคราก่อนเอี้ยนเทียนสะบักสะบอมเพียงใด

ลานกว้างที่หน้าตึกใหญ่อันเป็นสถานที่ซ้อมมือบ่าวรับใช้ในบ้านไม่ใคร่จะสนใจเพราะคิดไว้แล้วว่าอย่างไรบ่าวรับใช้อย่างเอี้ยนเทียนก็ต้องถูกทุบตีอยู่ฝ่ายเดียวเช่นคราวก่อนเพราะอย่างน้อยผู้ติดตามของเหอเสียนซึ่งรั้งตำแหน่งรองแม่ทัพรักษาเมืองนั้นอย่างไรก็ต้องมีฝีมือสักท่าสองท่าเมื่อเปรียบกับบ่าวไพร่ไหนเลยจักเปรียบกันได้ฝ่ายเอี้ยนเทียนไม่ทราบว่ามันไปทำกระไรให้อีกฝ่ายโกรธเคืองหนักหนาถึงได้ไม่ยอมรามือง่ายๆเมื่อเหอเสียนให้สัญญาณหนึ่งในผู้ติดตามของมันนามหม่าสงชายผู้นี้อายุราวปลายยี่สิบ รูปร่างสูงใหญ่กำยำเสียยิ่งกว่าเอี้ยนเทียนก็ก้าวออกมาเพียงผู้เดียวผิดกับคราวก่อนที่มันกับพวกพากันระดมหมัดเท้าใส่เอี้ยนเทียนคาดว่าครานี้เป็นเพราะคุณหนูหลิวมานั่งชมด้วยเหอเสียนจึงไม่อยากให้นางว่าเอาได้ว่าใช้พวกมากกลุ้มรุมเพียงคนเดียวบุรุษแซ่หม่าเมื่อออกมาแล้วก็ตั้งท่าเตรียมจู่โจมส่วนเอี้ยนเทียนนั้นปราศจากกระบวนท่าใดๆ เพียงยืนอยู่กับที่หม่าสงเห็นดังนั้นก็แสยะยิ้มแล้วพุ่งเข้าหาตามด้วยล้มตัวใช้เท้าเตะกวาดไปที่ขาของเอี้ยนเทียนโดยหวังว่าจักให้มันลมลงแล้วจะได้ตามไปเหยียบซ้ำเหมือนเช่นเคยหากแต่ก็เป็นเพียงความคิดเมื่อเท้าที่เตะกวาดนั้นห่างจากขาของเอี้ยนเทียนเพียงหนึ่งศอกกลับหยุดนิ่งคล้ายกับถูกมือที่มองไม่เห็นจับเอาไว้เช่นนี้เลยกลายเป็นว่าตัวมันเองล้มลงให้เอี้ยนเทียนกระทืบเล่น

" บัดซะ..อ๊อก " หม่าสงสบถออกมายังไม่ทันสิ้นคำเท้าของเอี้ยนเทียนก็หวดใส่ใบหน้าของมันเต็มแรงไม่เพียงแค่นั้นร่างของมันกลับไม่กระเด็นไปตามแรงเตะเพราะขาของมันยังคงถูกตรึงไว้อยู่เอี้ยนเทียนจึงกระทึบไปที่ท้องน้อยของมันอีกครั้งเท้านี้แม้ปราศจากลมปราณใดๆแต่ก็หนักหน่วงจนทำให้หม่าสงกระอักเลือด

" หยุดมือ !!! " เหอเสียนตะโกนสั่งเมื่อเห็นว่าคนของตนเสียเปรียบเอี้ยนเทียนจึงจำเป็นต้องหยุดเมื่อบ่าวไพร่สกุลหลิวพากันยกร่างของหม่าส่งออกไปพยาบาลเหอเสียนซึ่งตอนนี้สีหน้าเดือดดาลจนแดงก่ำปรายตาไปทางผู้ติดตามอีกคนมันผู้นั้นจึงประสานมือรับคำสั่งแล้วก้าวออกไป

" เหตุใดคนของพี่เหอจึงมีฝีมือเพียงเท่านี้เช่นนั้นยามออกศึกไหนเลยจักช่วยป้องกันอันตรายให้ท่านได้ " หลิวอี้หลิงเอ่ยปากคำพูดฟังดูคล้ายเป็นห่วงแต่กลับแทงใจดำเหอเสียนยิ่งนักนี่เท่ากับว่านางกล่าวว่าพวกมันฝีมืออ่อนด้อยลำพังบ่าวไพร่ในบ้านของนางยังเอาชนะไม่ได้หลังจากที่พิชิตหม่าสงได้บรรดาบ่าวไพร่ต่างก็เข้ามาดูกันมากยิ่งขึ้นถึงกับแอบกระซิบกระซาบพนันขันต่อกันเลยทีเดียวฝ่ายหลิวอี้หลิงกลับจดจ้องมายังเอี้ยนเทียนในใจก็ภาคภูมิใจไม่น้อยอย่างไรเสียมันก็เป็นคนรับใช้ของบ้านนางส่วนถิงถิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ของคุณหนูนางถึงกับอมยิ้มและแอบสะใจเพราะรู้สึกหมั่นไส้พวกมันไม่น้อยจากท่าทีอันหยิ่งยะโสไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาทั้งบ่าวและนายอีกทั้งพวกมันยังมาเกาะแกะแทะโลมนางยามที่นางอยู่ห่างคุณหนูแต่ก็อดประหลาดใจในฝีมือของเอี้ยนเทียนไม่ได้เพราะคราวที่แล้วจากคำบอกเล่าของพ่อบ้านมันยังถูกทุบตีอยู่ฝ่ายเดียวเหตุใดผ่านไปไม่นานกลับเอาชนะคนผู้นี้ได้จนนางต้องแอบเอายาชั้นดีของบ้านไปมอบให้อาเหลาเพื่อใช้รักษามัน

" หม่าจิ้งอย่าได้ออมมืออีก " เหอเสียนร้องสั่ง ที่แท้ผู้ติดตามทั้งสองของเหอเสียนเป็นพี่น้องกันเมื่อเห็นน้องชายเสียทีมันจึงทั้งอับอายและโกรธแค้นเด็กน้อยตรงหน้าเมื่อเห็นความผิดพลาดของน้องชายแล้วมันจึงไม่บุ่มบ่ามค่อยๆสืบเท้าเข้าไปหาเมื่อได้ระยะจึงปล่อยหมัดออกใส่ใบหน้าอีกฝ่าย เอี้ยนเทียนจึงรีบเบี่ยงตัวหลบโดยคาดไม่ถึงว่าเป็นการจู่โจมหลอกท่าที่ตามก็คือหมุนตัวเตะเอี้ยนเทียนที่หลักไม่ดีอยู่แล้วแม้จะยกแขนขึ้นกันแต่ก็ต้องกระเด็นไปไกลสามวาหม่าจิ้งย่อมไม่ปล่อยให้มันตั้งตัวติดเร่งทะยานร่างหมายจะซ้ำก่อนที่เท้าของหม่าจิ้งจะเหยียบลงบนร่างของเอี้ยนเทียนก็เกิดเหตุการณ์เช่นคราวหม่าสงผู้น้องเท้าของมันพลันชะงักกลางอากาศก่อนได้สัมผัสร่างเอี้ยนเทียนฉวยโอกาสตวัดเท้าเตะตัดขาจนล้มลงแล้วทั้งคู่ก็เข้าตะลุมบอนราวสุนัขกัดกัน

" พอได้แล้ว !!! " เหอเสียนทนไม่ไหวร้องสั่งด้วยความกราดเกรี้ยวไม่พอใจอย่างยิ่งที่คนของตนต้องลงไปคลุกฝุ่นต่อยตีกับชนชั้นบ่าวไพร่อย่างหมดความโอ่อ่าสง่าผ่าเผยได้แต่สะบัดหน้าจากไปด้วยความขุ่นเคืองโดยยังไม่ลืมรำลาหลิวอี้หลิงแล้วจึงหันไปส่งสายตาอาฆาตเอี้ยนเทียนเมื่อคณะของเหอเสียนจากไปแล้วบรรดาบ่าวไพร่ที่ชมดูต่างโห่ร้องด้วยความยินดีแต่ก็มีบางคนที่หน้าเสียเพราะแพ้พนันส่วนคุณหนูหลิวเพียงหันไปกล่าวบางอย่างกับถิงถิงแล้วจึงกลับเข้าไปยังตึกใน

" เจ้าทำได้ดียิ่งสักครู่ข้าพเจ้าจักนำยามาให้ อ่อ คุณหนูเอ่ยชมเชยเจ้าด้วย " ถิงถิงกล่าวจบก็เดินกลับไปปล่อยให้บ่าวคนอื่นพยุงร่างที่เปื้อนทั้งฝุ่นและคราบเลือดของเอี้ยนเทียนกลับที่พักและครั้งนี้เองที่ทำให้เอี้ยนเทียนได้ประสบการในการต่อสู้เพิ่มขึ้นและรู้ถึงจุดอ่อนของตน........................จบตอนที่สอง

ตอนนี้ไม่มีเสียวเรื่องนี้แค่อยากแต่งขอบคุณทุกท่านที่ติดตามไม่รู้จะพาออกทะเลไปถึงไหนฮ่าๆ ขอบคุณพี่สาวครับ


*ก๊อป ไปอ่านได้  แต่ ห้าม ! นำไปเผยแพร่นะคะ เพราะ คุณ nookylove ฝากให้นำมาลงจ๊ะ*
   Normal  0          false  false  false    EN-US  X-NONE  TH                                          MicrosoftInternetExplorer4                                                                                                                                                                                                                                                                                                                            Normal  0          false  false  false    EN-US  X-NONE  TH                                          MicrosoftInternetExplorer4