ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

เทพมารสะท้านทรวง ตอนที่ 3 - เฒ่าวิปลาส

เริ่มโดย assasin008, มีนาคม 12, 2015, 11:08:29 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

assasin008

เทพมารสะท้านทรวง ตอนที่ 3 - เฒ่าวิปลาส
...................................................................
Assasin008 2012-12-09
 
อี่เทียนฟง หอบหายใจหนักหน่วงขณะหยิบฉวยอาภรณ์สีชมพูสดใสเข้าทับคลุมสวมใส่ให้กับเรือนร่าง
เปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยสัดส่วนโค้งเว้าแสนรัดรึงใจ ความงามแสนยั่วเย้าทรงเสน่ห์ของเฉินเหม่ยลี่
แห่งหอบุปผาลับที่ยืนเด่นอยู่ตรงขอบผาแทบทำให้มันคิดเปลี่ยนใจอยากโยนเสื้อผ้าอาภรณ์ของนาง
ทิ้งลงไปหุบเหวแล้วเอื้อมมือคว้าโอบเอวอ้อนแอ้นของเด็กสาวมาสวมกอดโลมไล้ร่วมรักอย่างหักโหม
อีกสักครา

เบื้องหลังของเด็กสาววัยสิบหกคือโลกหล้าและหุบเขาที่โดนเกล็ดหิมะขาวโพลนโปรยปรายทับถมจน
สว่างกระจ่างงดงามเฉิดฉันดั่งผืนวิมานบนสรวงสวรรค์ ที่แห่งนั้นใบหน้าอันงดงาม และเรือนกายอันอวบ
เต่งแน่นเกินวัยของเหม่ยลี่จึงเพ่งพิศได้ดั่งนางฟ้าโฉมสะคราญที่แวะผ่านลงมาเยือนแดนดินถิ่นโลกา
 
"อี่เกอเกอ (พี่ชายแซ่อี่) ท่านยังมิรู้สึกอิ่มหนำอีกหรือไร จ้องมองผู้อื่นเช่นนี้ ผู้อื่นขัดเขินแย่แล้ว"

เหม่ยลี่ กล่าวด้วยน้ำเสียงไพเราะสดใส ขณะยืนบิดเอวแอ่นทรวงอกเปิดเผยเรือนร่างอันเปลือยเปล่า
งดงามยั่วเย้าให้ชายคนรักเพ่งมองด้วยอารมณ์ลุ่มหลงจนแทบเพ้อละเมอ ดวงตาสวยหยาดเยิ้มจับจ้อง
มองเทียนฟงด้วยท่าทีกึ่งขัดเขินเอียงอายกึ่งพร้อมเสนอสนอง

"เพราะเม่ยเม่ย(น้องสาว)ของข้าพเจ้างดงามดุจดั่งนางสวรรค์เช่นนี้อย่างไรเล่า ข้าพเจ้าจึงกลับกลาย
เป็นผีราคะที่มิเคยรู้จักอิ่มหนำ"

"คิก คิก ท่านจึงสมควรเป็นผีราคะยิ่ง อากาศเหน็บหนาวจนปากซีดตัวสั่นถึงเพียงนี้ หากมังกรน้อยของ
ท่านพี่กลับยังคงคึกคักแข็งแรงมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย"

เด็กสาวแสนสวยกล่าวพลางหัวเราะคิกคักขณะมองต่ำลงไปตรงท้องน้อยของเด็กชายคู่รัก สิ่งนั้นยังคง
ผงกหัวอย่างแข็งแกร่งตระหง่านโดยมิยอมพ่ายแพ้ต่อความหนาวเหน็บแม้เพียงน้อยนิด และนั่นก็ทำให้
เด็กสาวที่เพิ่งสำเร็จความใคร่ไปแล้วถึงสามครั้งเริ่มบังเกิดอารมณ์อันร้อนแรงวูบไหวขึันมาอีกระลอกหนึ่ง

"เม่ยเม่ยของข้าพเจ้ากลับกล่าววาจาท้าทายถึงเพียงนี้ หากมิใช่ว่าสถานที่และเวลามิเอื้ออำนวย ข้าพเจ้า
จักใช้หัวมังกรของข้าพเจ้าปิดปากน้อย ๆ ของเม่ยเม่ยเสียให้สนิทแล้ว"

อี่เทียนฟง กล่าวพลางตัดใจรีบดึงรั้งอาภรณ์สีชมพูสดใสเข้าสวมใส่ห่มคลุมเรือนร่างอันงามงดของเหม่ยลี่
ซึ่งหากมิใช่เกรงกลัวว่าหญิงงามจะเจ็บไข้ได้ป่วยเพราะอากาศอันหนาวเหน็บ และทำให้ส่งผลต่อการฝึก
วรยุทธ์อันเข้มงวดของสำนักแล้วล่ะก็ เทียนฟงคงมิยอมหยุดยั้งตัวเองอยู่เพียงแค่นี้เป็นแน่

อีกทั้งสัมพันธ์สวาทระหว่างเทียนฟงที่เป็นเพียงเด็กผ่าฟืนและเหม่ยลี่ที่มีศักดิ์ฐานะเป็นถึงศิษย์อันดับสี่
ของสำนักนั้นก็เป็นความลับที่มิอาจเปิดเผยได้ เทียนฟงจึงมิอาจเสี่ยงนำพาเด็กสาวไปร่วมสมสู่อภิรมย์
ในสถานที่อื่นใดได้ในเวลากลางวัน ซึ่งช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นเหม่ยลี่ก็เป็นผู้แอบลอบไปหาเขาถึงในห้อง
เก็บฟืน ทั้งคู่จึงสามารถร่วมรักกันได้โดยมิมีผู้ใดล่วงรู้ นอกจากแม่บ้านแซ่ฉู่ผู้เป็นชู้รักอีกหนึ่งนาง

"เกอเกอกลับดีต่อข้าพเจ้าถึงเพียงนี้ หากแต่ท่านจะทานทนได้หรือ เพราะค่ำคืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็ม
ดวง ข้าพเจ้าต้องไปฝึกวิชากับอาจารย์และคงมิอาจไปหาเกอเกอได้ อีกทั้งท่านเองก็มีหน้าที่ต้องออก
เดินทางยามค่ำคืนไปถอนเก็บโสมจันทราด้วยใช่หรือไม่"

"ข้าพเจ้าหาได้ลืมเลือนไม่ ..."

เทียนฟงกล่าวขณะผูกผ้าสีขาวอันเป็นอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายเข้ารัดเอวอ้อนแอ้นของเด็กสาว ก่อนโอบมือ
คว้ากอดรัดร่างของหญิงงามในอาภรณ์สีชมพูเฉิดฉันท์เข้ามาในอ้อมอก แล้วใช้ปากประกบจูบดูดริมฝี
ปากสีชมพูอ่อนอันหอมหวานของเด็กสาว พลางลูบไล้ไปตามเนื้อตัวอันเต่งตึงเด้งสะท้อนของนาง
อย่างเร่าร้อนหิวโหยจนเด็กสาวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

จูบนั้นร้อนแรงและยาวนานจนเด็กสาวจมดิ่งลึกลงไปในห้วงแห่งความฝันอันวาบหวาม เลือดในกาย
สูบฉีดจนผิวกายแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครา หากทว่าเทียนฟงกลับถอนตัวปลดปล่อยริมฝีปากและเลือด
เนื้ออวบอิ่มเต่งตึงที่กำลังร้อนรุ่มของเด็กสาวไปเสียก่อน

"เช่นนี้ข้าพเจ้าก็มิได้เป็นฝ่ายที่ต้องทนอดอยากอยู่เพียงฝ่ายเดียวแล้ว ..."

กล่าวจบเด็กชายก็ทำหน้าทะเล้นใส่เด็กสาว แล้วก็รีบขยับตัวถอยห่างออกมายืนยิ้มกริ่มปล่อยให้เด็ก
สาวแสนสวยได้แต่ยืนงุนงงในสภาวะอารมณ์อันรุ่มร้อนปั่นป่วน

"เกอเกอ ท่านชอบกลั่นแกล้งผู้คนยิ่ง"

เหม่ยลี่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วด่าทอเทียนฟงไปเมื่อได้รู้ตัวว่าโดนเด็กชายกลั่นแกล้งปั่นป่วนอารมณ์จนบังเกิด
ความต้องการแล้วปล่อยให้เธออยู่กับอารมณ์อันแสนอัดอั้นนี้

"เอ๊ะ ผู้ใด ?"

เด็กสาวที่เพิ่งสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ พลิกหงายฝ่ามือคราหนึ่ง ก่อนจะปรากฎอาวุธลับรูปวงแหวนแผ่น
บางคมกล้าสีเงินขนาดเท่าฝ่ามือสี่ชิ้นหนีบอยู่ระหว่างปลายนิ้วทั้งห้าของเหม่ยลี่ จากนั้นก็สะบัดซัดอาวุธ
ลับทั้งสี่ชิ้นตีวงโค้งร่อนอ้อมขอบผาด้วยวิถีทิศทางและความเร็วที่แตกต่างกันไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียง
ผิดปกติ ซึ่งมิเพียงพริบตาจากนั้นก็ปรากฎเสียงติงตังของอาวุธลับที่กระทบกระแทกเข้ากับโลหะ

อาวุธลับเพิ่งจะร่วงหล่นลงกระแทกพื้น ร่างอ้อนแอ้นของเหม่ยหลี่ก็ใช้วิชาตัวเบาโผพุ่งทะยานอย่างแคล่ว
คล่องว่องไวตามไปถึงตำแหน่งนั้นเสียแล้ว กระนั้นเมื่อตามไปถึง สิ่งที่เด็กสาวมองเห็นก็มีแต่เพียงชาย
อาภรณ์สีขาวที่สะบัดพริ้วไหวอยู่ห่างไกลออกไปจนมิอาจทราบได้ว่าเมื่อครู่คือผู้ใดที่แอบซุ่มดู สิ่งที่นาง
ทราบมีเพียงว่าคนผู้นั้นมีวิชาตัวเบาสูงล้ำกว่าตนเองอย่างน้อยหนึ่งขั้น

"เกิดสิ่งใดขึ้น"

ผ่านไปครู่หนึ่ง เทียนฟงจึงค่อยวิ่งมาหาด้วบใบหน้าตื่นตระหนก และเมื่อมาถึงก็ได้แต่ยืนงุนงงอยู่ข้างเหม่ยลี่
เพราะเด็กสาวนั้นกำลังหยิบเอาอาวุธลับทั้งสี่ชิ้นที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาพินิจพิเคราะห์ด้วยใบหน้าอันเคร่ง
เครียด และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่เทียนฟงอดรู้สึกทึ่งและชื่นชมคู่รักของตนมิได้

มิใช่เพียงแค่วิชาฝีมือในการซัดอาวุธลับที่แม่นยำรวดเร็ว หากทว่าปริศนาที่เทียนฟงมิเคยไขได้ก็คือ ไม่ทราบ
ว่าเหม่ยลี่นั้นแอบเก็บซ่อนอาวุธลับเหล่านั้นไว้ตรงส่วนใดของเสื้อผ้าอาภรณ์หรือร่างกาย เพราะเมื่อครู่นั้นก็
เป็นอีกครั้งที่เที่ยนฟงแอบลอบใช้มือลูบคลำสำรวจไปตามอาภรณ์ของเหม่ยลี่แล้ว แต่ก็มิได้พบเจอเลยว่า
จะมีอาวุธลับแอบซ่อนอยู่ตรงที่ใด

"มิทราบเป็นผู้ใด หากแต่มีฝีมือสูงส่งมิใช่น้อย เมื่อครู่ข้าพเจ้าซัดวงแหวนเหินหาวถึงสี่ชิ้นพร้อมกัน แต่กลับ
ปรากฎเสียงกระแทกเพียงครั้งเดียว นั่นย่อมแสดงว่าคนผู้นั้นปัดป้องอาวุธลับของข้าพเจ้าได้ทั้งสี่ชิ้นภายใน
กระบวนท่าเดียวเท่านั้น อีกทั้งวิชาตัวเบายังเหนือกว่าข้าพเจ้าอย่างน้อยหนึ่งขั้น ข้าพเจ้าเห็นเพียงอาภรณ์
สีขาวลอยหายเข้าไปในโขดหินเบื้องหน้า"

"ว่าแต่เม่ยเม่ยเจ้าลงมือหนักหน่วงไปหรือไม่ ใช้อาวุธลับถึงสี่ชิ้นเช่นนี้ หากอีกฝ่ายปัดป้องมิได้คงต้องถึง
แก่ชีวิตเป็นแน่"

"หากลงมือต้องโหดเหี้ยมไร้ไมตรี เกอเกอ ท่านมิเข้าใจหรือไรว่าหากมีผู้คนนำเรื่องของพวกเราไปบอก
เบื้องบน เกอเกอท่านอาจโดนลงโทษสถานหนักถึงเพียงใด"

"ข้าพเจ้าเข้าใจ ... เพียงแต่ ... จะอย่างไรก็สมควรพูดคุยกันได้มิใช่หรือไร"

เทียนฟงทอดถอนหายใจ เมื่อต้องเผชิญกับแววตาอันหนักแน่นมั่นคงของเหม่ยลี่ จะอย่างไรนางก็เป็น
ศิษย์ที่ถูกสั่งสอนจากสำนักมารฟ้าตั้งแต่ยังเยาว์วัย ความรู้สึกนึกคิดในการสังหารฆ่าฟันจึงแฝงอยู่ใน
ความคิดอย่างมิอาจแบ่งแยกออก หากนางมิได้ลงมือก็แล้วไป แต่หากต้องลงมือนางจะกระทำอย่าง
เต็มที่เต็มความสามารถโดยแทบมิมีจิตเมตตา ซึ่งนั่นออกจะขัดกับแนวความคิดพื้นฐานของมันมิใช่
น้อย

"เช่นนั้นก็แล้วไปเถอะ ว่าแต่เป็นปีศาจราคะจากที่ใดกัน จึงกล้ามาลอบแองมองดูพวกเราร่วมรักกัน
อืมมม ... มีกลิ่นหอมอ่อนเย็นของบุปผาชนิดหนึ่ง ...อืมมม สมควรเป็นกลิ่นหอมของบุปผาหิมะที่หา
ได้มิง่ายนัก"

"ที่แท้เกอเกอ กลับมีจมูกที่ไวยิ่ง ข้าพเจ้ากลับมิได้รู้สึกถึงกลิ่นอันใดแม้แต่น้อย"

"ข้าพเจ้าลอบอ่านเรียนรู้เรื่องราวของสมุนไพรและเครื่องหอมต่าง ๆ มาไม่น้อย จึงพอแยกแยะออกได้
อยู่บ้าง ยกตัวอย่างเช่น เม่ยเม่ยที่แสนน่ารักของข้าพเจ้านั้นใช้เครื่องหอมจากดอกกุ้ยฮวา (หอมหมื่นลี้)
ที่ได้จากเมืองกุ้ยหลิน กลิ่นหอมของมันให้ความรู้สึกอบอุ่นสดชื่นราวกับยืนมองทัศนียภาพของทะเล
สาปในฤดูร้อนก็มิปาน"

"เกอเกอ !!! ท่านกลับลอบสำรวจกลิ่นกายข้าพเจ้าถึงเพียงนี้"

เหม่ยลี่ กล่าวต่อว่าพลางขยับร่างถอยห่างเทียนฟงด้วยความมธุรสเอียงอาย ด้านเด็กชายกลับโถมตัว
เข้าหาก่อนโน้มหน้าลงไปจูบอย่างแผ่วเบาที่พวงแก้มแดงระเรื่อของเด็กสาวก่อนกล่าวว่า

"เอียงอายอันใดกัน ข้าพเจ้ากลับชื่นชอบในความหอมหวานเย้ายวนของกลิ่นกายเม่ยเม่ยยิ่ง"

"อย่าได้เอาเปรียบผู้อื่นแล้ว เกอเกอท่านต้องรีบไปมิใช่หรือไร"

"โอ ใช่แล้ว ข้าพเจ้ายังต้องรีบเร่งนำไม้ฟืนไปให้ห้องครัว จากนั้นต้องจัดเตรียมอาหารไปให้ตาเฒ่าวิปลาส
ก่อนเดินทางไปค้นหาโสมจันทรายามค่ำคืน ... ข้าพเจ้าต้องไปแล้ว เม่ยเม่ยรักษาตัวด้วย"

เทียนฟง ยกเอากำปั้นทุบฝ่ามือตนเองคราหนึ่งเหมือนเพิ่งนึกเรื่องราวขึ้นได้ ก่อนรีบโน้มใบหน้าไปหอม
พวงแก้มอีกข้างของเด็กสาว แล้ววิ่งแจ้นกระโดดลัดเลาะไปตามทางเดินอันแคบเล็กบนขอบผาจนหาย
ลับตาไป

.....................................................................

 

อี่เทียนฟง เดินย่ำเท้าไปตามความมืดมิดและอับชื้นของโพรงถ้ำ มือหนึ่งถือคบเพลิงที่เป็นสิ่งให้แสงสว่าง
เพียงหนึ่งเดียวในโพรงถ้ำที่ลึกและซับซ้อนนี้ ด้านอีกมือหนึ่งนั้นก็ถือตะกร้าใส่หมูเห็ดเป็ดไก่อย่างดีสำรับ
หนึ่ง

ความลึกล้ำของโพรงถ้ำอันมืดมิดคล้ายไม่มีจุดจบสิ้นของเส้นทางไปยังคุกใต้ดินนี้เคยสร้างความหวาดผวา
ให้แก่เทียนฟง ตอนที่มันอายุหกขวบจนแทบมิกล้าทำหน้าที่นำอาหารไปให้นักโทษเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกจอง
จำในคุกนรกของสำนัก ซึ่งแม้ว่านักโทษผู้นั้นจะเป็นบุรุษเพศอีกคนที่อยู่ในสำนักมารฟ้าแห่งนี้ กระนั้นด้วยศักดิ์
ฐานะนักโทษก็คงมิอาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้อยู่อาศัยในสำนักเช่นตัวมัน

เป็นเวลาสิบปีแล้วที่เทียนฟงต้องเป็นผู้จัดหาอาหารมาให้นักโทษผู้นี้ตามคำสั่งของเจ้าสำนักมารฟ้า และที่น่า
แปลกใจกว่าสิ่งใดก็คือคำสั่งที่ว่าให้หุงหาอาหารและสุราชั้นดีมาส่งให้นักโทษผู้นี้ทุกสามวันแทนที่จะให้อาหาร
ชั้นต่ำเช่นที่ควรกระทำกับนักโทษทั่วไป

เทียนฟงสะบัดคบเพลิงในมือไปมาเมื่อปรากฎเสียงร้องกรี๊ดของเงาหลายสิบสายของนกสีดำที่บินลอยวูบผ่าน
ตัวมันไป จวบจนทุกสิ่งเงียบสงบลงจนได้ยินเสียงหยดน้ำกระทบลงบนโขดหิน เทียนฟงจึงค่อยพ่นลมหายใจ
ออกมาคราหนึ่งก่อนเดินย่ำเท้าไปตามทางเดินต่อไป ที่แท้แล้วเงาดำเหล่านั้นก็คือค้างคาวที่ชอบหลบอาศัย
อยู่ในที่มืดมิดนั่นเอง

เสียงแกร๊งของโลหะกระทบกันดังขึ้นคราหนึ่ง เมื่อเทียนฟงหยุดที่หน้าบานประตูเหล็กแล้วหยิบเอาพวงกุญแจ
ขึ้นมาไขประตูโลหะบานใหญ่ เสียงแอ๊ดแหลมเล็กคล้ายปีศาจร้ายดังกระหึ่มขึ้นในโพรงถ้ำเมื่อเทียนฟงดึงบาน
ประตูที่ค่อนข้างฝืดจนอ้าเปิดออกได้สำเร็จ

กลิ่นอากาศอันอับชื้น และเสียงฟืดฟาดสูดดมกลิ่นดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงอันแหบพร่าของเฒ่าสูงอายุดังแว่ว
มาจากมุมมืดด้านในห้องขัง


"ไก่ต้ม ... หมูย่าง ... อืมมม สุราจันทราหอมชั้นดี เยี่ยมมาก หลานรัก"

"อย่าได้กล่าวแล้ว ข้าพเจ้ามิเคยกราบกรานผู้เฒ่าท่านเป็นแหยแย(ปู่)ของข้าพเจ้าแต่อย่างใด ว่าแต่วิชาจมูก
สุนัขของท่านกลับถดถอยแล้วกระมัง จึงมิได้กลิ่นอาหารอีกอย่างที่ข้าพเจ้านำมาให้"

เทียนฟงกล่าววาจาหยอกล้อค่อนขอดขณะวางตะกร้าอาหารลงบนพื้น ก่อนหันเดินเอาคบเพลิงไปจุดบนคบ
เพลิงที่ห้อยแขวนอยู่บนฝาผนังคุกเพื่อเพิ่มความสว่างในห้อง เมื่อสิ้นเสียงวาจาค่อนขอด ก็ปรากฎเสียงสูดดม
จมูกฟุดฟิดดังออกมาจากทางผู้เฒ่าที่อยู่กลางห้องอีกหลายครั้งครา

"ฮา เจ้าเด็กร้ายกาจ กลับกล้าลองดี เอาหม่านโถวซุกซ่อนไว้ใต้หมูย่าง ทำให้ข้าแทบมิได้กลิ่น ... ว่าแต่หาก
นี่คือวิชาจมูกสุนัข ตัวข้าก็คือสุนัขหรือไร ฮ่า ฮ่า ถ้าเช่นนั้นเจ้าที่แอบร่ำเรียนวิชาข้าไปก็คงเป็นเจ้าสุนัขน้อย
กระมัง ปู่ก็สุนัข หลานก็สุนัขฮา พวกเราเป็นครอบครัวสุนัขหรือไร ประเสริฐ ประเสริฐ"

เฒ่าชราส่งเสียงหัวเราะโพล่งออกมาเสียงดังเมื่อเมื่อสูดดมได้กลิ่นหม่านโถวอันบางเบาออกมาจากตะกร้านั้น
และเป็นดั่งที่มันว่าไว้ เพราะเทียนฟงนั้นแอบซุกซ่อนหม่านโถวเพื่อลองดีวิชาสูดดมกลิ่นของเฒ่าชราจริง และ
นั่นก็เป็นอีกครั้งที่ฝีมือของเฒ่าชราสร้างความฉงนสนเท่ห์ให้แก่เทียนฟง

"ผู้ใดเป็นครอบครัวเดียวกับท่านกัน แม้ว่าข้าพเจ้าจะมิทราบว่าผู้ใดคือบิดามารดา แต่ข้าพเจ้าก็หาได้ยอมกราบ
กรานเฒ่าวิปลาสเช่นท่านเป็นแหยแหยข้าพเจ้าไม่ ... รีบรับประทานเถอะ ข้าพเจ้าอยากฟังนิทานหลอกเด็กของ
ตาเฒ่าหิวโหยเช่นท่านสักเรื่องราว"

เทียนฟงหยิบยื่นตะกร้าอาหารให้ พลางส่ายหน้ากล่าววาจาเสียงแข็งไม่ยอมรับความสัมพันธ์เช่นปู่หลานกับ
เฒ่าวิปลาสผู้นี้ หากเมื่อแสงสว่างจากคบเพลิงมากพอ ดวงตาที่จับจ้องมองไปยังเฒ่าชรากลับคลับแฝงความ
เคารพนับถือคล้ายสายตาของเด็กน้อยที่เพ่งมองญาติผู้ใหญ่ผู้หนึ่งอยู่ก็มิปาน และในดวงตาเดียวกันนั้นก็แอบ
แฝงความรู้สึกโศกเศร้าเห็นใจในสภาพอันโหดร้ายของนักโทษชราผู้นี้อย่างจับใจ

เฒ่าชราผู้นี้อายุราว 70 ปี ผมเผ้าหนวดเคราสีขาวยาวเฟิ้ม ร่องรอยบาดแผลจากมีดดาบนับร้อยปรากฎอยู่บนร่าง
ที่ผอมแห้งจนเหลือแต่กระดูก แววตาเลื่อนลอยกลอกกลิ้งไปมา ชอบพูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอยคล้ายคนเสียสติ
และนั่นก็มิได้แปลกอะไร หากมองว่าเฒ่าชราคนนี้ต้องทุกข์ทนทรมาณอยู่กับสุดยอดการลงฑัณฑ์แห่งสำนักมาร
ฟ้านามว่า มนุษย์ต้นไม้ มาอย่างต่อเนื่องยาวนานถึงสิบกว่าปีเช่นนี้

ดวงตาของเทียนฟงทอแววโศกเศร้า สงสาร และหวาดกลัวจับใจขึ้นมาอีกครา เมื่อกวาดตามองผ่านร่างกายท่อน
บนผอมเกร็งของเฒ่าชราต่ำลงไปเบื้องล่าง ที่แท้แล้วตั้งแต่ทรวงอกลงไปถึงปลายเท้านั้น ร่างกายของเฒ่าชรา
กลับมิได้หลงเหลือเค้าสภาพของร่างกายที่เรียกได้ว่าเป็นมนุษย์เลยแม้แต่น้อย  

บริเวณที่ควรจะเป็นเนื้อหนังของมนุษย์นั้นบัดนี้แข็งตัวเป็นเปลือกไม้สีแดงสด สำหรับที่ควรจะเป็นท้องน้อยปรากฎ
รากไม้ชอนไชเจาะเข้าไปในร่างจนเห็นเป็นรูกลวงใหญ่ หากที่แห่งนั้นก็หาได้มีเลือดหรือสิ่งใดไหลรินออกมาเลย
แม้แต่น้อย


ตั้งแต่เทียนฟงจำความได้ มันก็มีหน้าที่ต้องนำอาหารมาให้ตาเฒ่าผู้นี้มาโดยตลอด เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว มันยังจำ
ภาพที่ขาทั้งสองข้างตั้งแต่เข่าลงไปของตาเฒ่ากลายเป็นต้นไม้สีแดงได้อย่างติดตาจนเก็บไปฝันร้ายอยู่หลายค่ำ
คืน และยิ่งเวลาผ่าน ต้นไม้สีแดงนั้นก็มีแต่ยิ่งเจริญเติบโตสูบเลือดสูบเนื้อของตาเฒ่ามากขึ้นและมากขึ้น

มาตรว่ามิมีความผูกพันธ์ทางสายเลือด หากแต่เฒ่าชราที่มันได้พูดคุยมาอย่างยาวนานนับสิบปีก็สร้างความสนิท
ชิดเชื้อจนเทียนฟงมองเห็นเป็นเช่นญาติผู้ใหญ่ผู้หนึ่ง และนี่เป็นสาเหตหนึ่งที่มันเพียรพยายามอ่านตำรานานับ
ประการเพื่อหาทางช่วยเหลือเฒ่าวิปลาสผู้นี้ กระนั้นไม่ว่าจะเพียรพยายามอ่านตำราของแพทย์ท่านใด มิว่าจะ
ตำรับแพทย์ทั้งสิบสี่บทของหมอเทวดาฮูโต๋ หรือตำรายาที่ใด ก็มิมีผู้ใดมีวิธีการรักษาฑันฑ์มนุษย์ต้นไม้อันน่า
หวาดหวั่นเช่นนี้ได้

มันเคยคิดอย่างมักง่ายว่า หากยอมเสียสละตัดสองเท้าทิ้งจักเป็นเช่นไร หากแต่เมื่อได้ค้นคว้าตำรับตำราเพิ่ม
เติม มันกลับพบว่านั่นกลับจะยิ่งทำให้เลวร้ายยิ่งขึ้น เพราะพิษต้นไม้โลหิตนั้นมิได้แพร่กระจายมาจากปลายเท้า
แท้ที่จริงแล้วพิษของมันไหลเวียนอยู่ในกระแสโลหิต หากแต่จะออกฤทธ์ทรมาณแปลงสภาพร่างกายให้เป็น
ต้นไม้เริ่มจากเบื้องล่างขึ้นมาอย่างเชื่องช้ายาวนาน แต่หากคิดกระทำการเชือดเฉือนส่วนหนึ่งส่วนใดทิ้ง จะเป็น
การกระตุ้นทำให้พิษนั้นรุนแรงกว่าเดิม และอาจถึงแก่ชีวิตในเฉียบพลันได้เลยทีเดียว

"ฮา สุราดี อาหารเยี่ยม ได้เสพสุขเช่นนี้ก่อนตาย ตาแก่เช่นข้าก็ตายตาหลับแล้ว"

เสียงเรอและคำกล่าววาจาของตาเฒ่าวิปลาสปลุกเทียนฟงจนตื่นขึ้นจากภวังค์ เมื่อรู้สึกตัวอาหารในตะกร้าก็
โดนเฒ่าชราสวาปามลงกระเพาะไปจนหมดสิ้นแล้ว

"เสพสุขก่อนตายเช่นไร ข้าพเจ้ากลับเห็นท่านกล่าวเช่นนี้มานานนับสิบปีแล้ว ในความเห็นข้าพเจ้าเฒ่าตายยาก
เช่นท่านคงมีอายุอีกราวร้อยปีพันปี"

"ฮา ที่แท้หลานรักของข้า กลับยังเป็นห่วงมิอยากให้ข้าตายใช่หรือไม่ เหตใดจึงมิเรียกข้าว่าแหยแหยสักคำ แล้ว
แหยแหยจะถ่ายทอดสุดยอดวรยุทธ์ในใต้หล้าให้หลานรักสักครา"

"ผู้ใดจะอยากร่ำเรียนกับท่านกัน หากท่านเก่งกล้าจริงสักหนึ่งส่วนดั่งที่ได้โอ้อวดไว้ คงมิโดนนางเฒ่าโสโครก
จับมาขังคุกเช่นนี้แล้ว"

เทียนฟงกล่าวปฎิเสธ ซึ่งแม้นว่าความจริงแล้ว มันอยากจะเรียนรู้วรยุทธ์แทบแย่ กระนั้นมันมีเหตผลถึงสามประการ
ที่ทำให้มิต้องการเอ่ยปากร่ำเรียนวิชาจากเฒ่าชราผู้นี้ หนึ่งนั้นมันมิเชื่อถือเท่าไหร่นักว่าเฒ่าวิปลาสผู้นี้มีวิชาฝีมือจริง
สองนั้นมันมิต้องการเอ่ยปากเรียกผู้ใดเป็นแหยแหย ซึ่งหากให้คำนับเป็นอาจารย์แล้วคงมิเป็นไร ทว่าเฒ่าชรากลับ
ยืนยันว่าจะสอนให้เฉพาะลูกหลานเท่านั้น และสำหรับข้อที่สามนั้นสำคัญที่สุด เพราะมันเกรงว่าหากเฒ่าชราสั่งสอน
วิชาฝีมือให้แก่มันแล้ว เฒ่าชราอาจโดนนางเฒ่าเจ้าสำนักทำร้ายถึงแก่ชีวิตได้

"กล่าวได้ประเสริฐ นางเฒ่าโสโครก นางเฒ่าโสโครก ฮ่า ฮ่า หากมิใช่นางเฒ่าเจ้าสำนักของเจ้าใช้เสน่ห์เล่ห์กล
มารยาของอิสสตรีเข้าหลอกล่อ ข้า อวี้เหย่าเหลียน มหาโจรภูตพรายคงมิถึงกับพลาดพลั้งเสียทีเช่นนี้แล้ว เจ้า
อยากฟังเรื่องราวตอนนี้หรือไม่"

"ข้าพเจ้ากลับฟังท่านเล่านิทานหลอกเด็กตอนนี้ไปแล้วนับร้อยรอบ ท่านอ้างว่าท่านสามารถโขมยบันทึกมารฟ้า
จากนางเฒ่าโสโครกได้สำเร็จ หากแต่กลับหลงรักจนต้องกลับมาเสียท่าโดนพลังมารฟ้าดูดวิญญาณของนางเฒ่า
โสโครกเล่นงานใช่หรือไม่"

"หลานรักของข้ามีสติปัญญาความจำดียิ่ง อืม เช่นนั้น ให้ข้าเล่าตอนบุกวังหลวงชิงม้วนภาพเทพประยุทธ์ต่อหน้า
พระพักต์องค์ฮ่องเต้เป็นอย่างไร หรือ ตอนลอบแฝงตัวไปหยิบยืมตำรากระบี่เมตรไตรยดีหรือไม่ หรือมิเช่นนั้นก็ตอน
ที่ข้าใช้ปัญญาสืบเสาะหาจนค้นพบเคล็ดวิชาอมตะที่สองยอดวีรบุรุษฝังดินเก็บไว้เป็นเช่นไร"

"ข้าพเจ้าชื่นชอบนิทานหลอกเด็กตอนที่ท่านหลบหนีจากองค์ฮ่องเต้ที่แปลงกายเป็นมังกรฟ้าจนหัวซุกหัวซุนยิ่ง
แต่นั่นข้าพเจ้าก็รับฟังมานับร้อยรอบแล้วเช่นกัน ... ท่านมีนิทานหลอกเด็กเรื่องอื่นหรือไม่"

 "ฮา หลานของข้ากลับจุกจิกเรื่องมากดั่งสตรีถึงเพียงนี้  ... เช่นนั้น รับฟังเรื่องนี้ดีหรือไม่ ... ราวหกสิบปีที่แล้ว มี
เด็กน้อยผู้หนึ่งเติบโตมาในครอบครัวยากจนแร้นแค้นยิ่ง ... กระนั้นเด็กน้อยอย่างมันกลับมีจิตปณิธานอันกล้าแข็ง
อย่างมิมีใครเหมือน ...  มันแอบลอบมองดูบ้านเรือนข้างเคียงที่เป็นสำนักหมัดมวย และแอบฝึกปรือวิชาของค่าย
สำนักหมัดมวยนั้นอย่างมิขาด ... กระทั่งครูหมัดมวยเห็นอัจฉิรยะภาพของมัน ก็รับมันไปร่ำเรียนโดยมิต้องเสียค่า
เล่าเรียน จากนั้นมันก็กลายเป็นศิษย์ที่เก่งกล้าที่สุดในสำนัก ภายในเวลาไม่นาน ... เมื่อร่ำเรียนวิชาจนหมดสิ้น
เด็กน้อยผู้นั้นกลับรู้สึกว่ายังมิเพียงพอต่อความอยากรู้ของตน ... มันจึงล่ำราอาจารย์และไปฝึกปรือวิชาที่วัดเส้า
หลิน ... เด็กน้อยผู้นั้น เมื่อพบว่าวัดเส้าหลิน มีสรรพวิชามากมายหลายร้อยแขนง มันก็หัวใจพองโตราวกับได้พบ
ขุมทรัพย์ในท้องพระคลังหลวง มันตั้งมั่นไว้ว่าจะฝึกสรรพวิชาทุกแขนงให้แตกฉาน ... แต่อนิจจา ..."

เฒ่าชราหยุดเว้นจังหวะช่วยคราว ก่อนยกเอาขวดเหล้าขึ้นมาดื่ม และเมื่อพบว่าเด็กน้อยเทียนฟงกำลังลืมตาโต
ตั้งอกตั้งใจรับฟังเรื่องราวอย่างเต็มที่ เฒ่าชราก็หัวเราะฮาออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวต่อ

"อนิจจา ... ที่มันมิอาจกระทำได้ดั่งที่มันวาดฝันไว้ ..."


"เหตใด จึงทำมิได้ พวกหลวงจีนทุศีลมิยอมรับมันเป็นศิษย์หรือไร"

"มิได้ ... ที่แท้แล้วหลวงจีนที่เป็นครูหมัดมวยต่างมองเห็นพรสวรรค์อันล้ำเลิศในสัดส่วนร่างกายของเด็กชาย
ผู้นั้น จึงพยายามถ่ายทอดสรรพวิชาให้แก่เด็กน้อยอย่างเต็มที่ ... กระนั้น ... เมื่อเด็กน้อยเริ่มฝึกปรือวิชากรง
เล็บมังกรได้ถึงขั้นหนึ่ง แล้วหันไปศึกษาท่าเท้าพยัคฆ์ เด็กน้อยผู้นั้นกลับมิอาจโคจรพลังตามหลักของท่าเท้า
พยัคฆ์ได้แม้แต่เพียงขั้นที่หนึ่ง ... แต่ด้วยความไม่ยอมท้อถอยของมัน มันกลับยอมสลายวรยุทธ์เดิมที่ฝึกปรือ
มาก่อนหน้า เพื่อฝึกท่าเท้าพยัคฆ์โดยเฉพาะ ... และสุดท้ายมันก็สามารถร่ำเรียนท่าเท้าพยัคฆ์ได้สำเร็จถึงแปด
ส่วนในวัยไม่ถึงยี่สิบ ... แต่กระนั้น ..."

"กระนั้นเป็นเช่นไร ... ท่านอย่าได้หยุดเล่ากลั่นแกล้งข้าพเจ้าแล้ว"

"กระนั้น ... ความโลภในวิชาของมันทำให้ เด็กน้อยผู้นั้นลองหวนกลับไปร่ำเรียนวิชากรงเล็บมังกรอีกครั้ง ก่อน
จะพบว่ามันมิอาจโคจรกำลังภายในตามแบบฉบับของวิชากรงเล็บมังกรได้ เพราะทิศทางของลมปราณขัดแย้ง
กับท่าเท้าพยัคฆ์ที่มันฝึกปรือมา ... และหนทางเดียวที่มันจะสามารถฝึกวิชากรงเล็บมังกรได้ ก็คือการสลาย
วรยุทธ์ท่าเท้าพยัคฆ์นั่นเอง ... เมื่อได้ตระหนักถึงความจริงเช่นนี้เด็กน้อยที่น่าสงสารผู้นั้นก็เซื่องซึมมิยอมฝึก
ปรือวิชาฝีมืออันใดอีก เพราะมันเริ่มรับรู้ได้แล้วว่าความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ของมันไม่มีทางเป็นจริงได้ ...."

"เด็กน้อยผู้นั้นกลับละโมบโลภมากอย่างยิ่ง ว่าแต่ความใฝ่ฝันของมันคือสิ่งใด"

"เด็กน้อยเจ้าฟังเรื่องราวของแหยแหยให้จบก่อนได้หรือไม่ ... เมื่อมันมิพบหนทาง เด็กหนุ่มเช่นมันจึงยุติการ
ฝึกปรือทุกอย่างและลงจากวัดเส้าหลินอย่างไร้ความหวัง ... กระนั้นหลังจากนั้นมิเนิ่นนานนัก เด็กน้อยผู้นั้นกลับ
ได้รับข่าวสารที่่จุดประกายความหวังของมันขึ้นมาอีกครา ... มันได้ยินเรื่องราวที่ว่ามีเจ้าสำนักฝ่ายอธรรมผู้หนึ่ง
นามเฒ่าไร้วิญญาณ เฒ่าผู้นั้นสามารถใช้สรรพวิชาของฝ่ายอธรรมได้นับร้อยนับพันวิชาอย่างน่าแตกตื่นเหลือ
เชื่อ ... นับจากวันนั้นเด็กน้อยผู้นั้นจึงตามหาเฒ่าไร้วิญญาณ มันอ้อนวอนขอร้องจนเฒ่าไร้วิญญาณรับมันเป็น
ศิษย์ดั่งที่มันต้องการ... หากแต่น่าเสียดาย ... น่าเสียดาย ..."

"น่าเสียดายอันใด คงมิใช่ว่าเฒ่าผู้นั้นเป็นนักต้มตุ๋นผู้คนกระมัง"

"ต้มตุ๋น ต้มตุ๋น ฮา คำต้มตุ๋นอันประเสริฐ ... อาจกล่าวได้เช่นนั้น และมิอาจกล่าวเช่นนั้น ... พลังฝีมืออันเหนือล้ำ
ของเฒ่าไร้วิญญาณเป็นสิ่งเที่ยงแท้มิใช่สิ่งแปลกปลอม มันนับได้ว่าเป็นหนึ่งในสิบมารร้ายของฝ่ายอธรรม จุด
เด่นของมันคือสามารถลอกเลียนแบบวิชาของคู่ต่อสู้ได้อย่างกลมกลืน หากอีกฝ่ายใช้กรงเล็บ มันก็ใช้กรงเล็บ
หากอีกฝ่ายใช้กระบี่ มันก็ใช้กระบี่ ซึ่งนี่ก็มิใช่การต้มตุ๋น ... เจ้าเข้าใจหรือไม่"

"ตาเฒ่าท่านกลับกล่าววาจาสับสนเลอะเลือนยิ่ง ที่แท้ใช่ต้มตุ๋นหรือมิใช่อย่างไร?"

"เจ้าใช้วิชาใดสู้กับมัน มันก็ใช้วิชานั้นสู้กับเจ้า นั่นจึงมิใช่ต้มตุ๋น หากนั่นเป็นเพียงภาพลักษณ์ภายนอก ซึ่งแท้
จริงแล้วมันเพียงเลียนแบบกระบวนท่าภายนอก หากแต่ก็มิอาจลอกเลียนแบบเคล็ดการโคจรกำลังภายในของ
คู่ต่อสู้ได้ ... น่าเสียดาย น่าเสียดาย ... น่าเสียดายที่กว่าเด็กน้อยผู้นั้นจะได้รับรู้ความจริงข้อนี้ เวลาก็ล่วงเลย
ผ่านพ้นไปแล้วถึงสิบปี เวลานั้นเด็กน้อยมิใช่เด็กน้อยแล้ว มันเติบใหญ่เป็นยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้หนึ่ง พลังฝีมือ
นับว่าด้อยกว่าเฒ่าไร้วิญญาณผู้เป็นอาจารย์เพียงสองส่วน"

"ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว มาตรว่ามิอาจเลียนแบบภายใน หากแต่ก็สามารถเลียนแบบภายนอกได้ เช่นนั้นเด็กน้อย
ผู้นั้นคงพอใจแล้วกระมัง"

"เมื่อเติบใหญ่ขึ้น เด็กน้อยก็มีความคิดมากขึ้น ... มันเริ่มตระหนักถึงข้อจำกัดของธรรมชาติร่างกายมนุษย์ที่มิ
อาจรองรับสรรพวิชาทั่วหล้าเอาไว้ได้ มารย่อมมิอาจฝึกปรือเคล็ดแห่งธรรมได้ฉันใด ฝ่ายธรรมะก็ย่อมมิอาจ
ฝึกฝนเคล็ดวิชาของฝ่ายอธรรมได้ฉันนั้น ในเย็นมิอาจมีร้อน ในร้อนมิอาจมีเย็น ยามค่ำคืนมิอาจมีดวงตะวัน
โอ ... กระนั้นตระหนักรู้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง เพราะเด็กน้อยผู้นั้นกลับมิอาจทำใจรับฟังความจริงข้อนี้ได้"

"ที่แท้มันผู้นั้นกลับมีความฝันอันเพ้อเจ้อถึงเพียงนี้ มันต้องการรวบรวมฝึกปรือทุกสรรพวิชาในใต้หล้า
ไม่ว่าจะเป็นของฝ่ายธรรมมะ หรืออธรรม ใช่หรือไม่เล่าตาเฒ่า"

เทียนฟงกล่าววาจาประชดประชันเรื่องราวที่มันเชื่อว่าเป็นนิทานหลอกเด็กของเฒ่าวิปลาสด้วยรอยยิ้ม กระนั้น
ดวงตาอันเหม่อลอยของเฒ่าชรากลับทอประกายขื่นขมโศกเศร้าจริงจังขึ้นมาคราหนึ่งก่อนจะกล่าวเล่าเรื่อง
ราวต่อไป จนมันเองเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่านี่เป็นเพียงนิทานหลอกเด็กอย่างที่มันคิดเข้าใจหรือไม่

"เจ้ากล่าวมิผิดแล้ว มันเป็นความฝันอันเพ้อเจ้อยิ่ง ... กระนั้นมันผู้นั้นแม้จะตระหนักว่ามิอาจทำได้ แต่มันก็
ยังยินยอมจมจ่อมอยู่ในความฝันของมันต่อไป ... มาตรว่ามิอาจฝึกปรือสรรพวิชาดั่งที่มันใฝ่ฝัน แต่มันก็เริ่ม
ใช้พลังฝีมือที่มันมีออกตระเวณลักโขมยตำราวิชาของสำนักน้อยใหญ่โดยมิสนใจว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะ หรือ
อธรรม ... ผู้คนทั่วหล้าต่างออกล่าตามหาตัวมัน หากมันกลับสามารถซุกซ่อนร่องรอย ทั้งยังสามารถลักโขมย
ยอดวิชาได้จนแทบหมดสิ้น ... ไม่ว่าจะเป็นกระบี่ไท้เก๊กของบู๊ตึ๊ง เคล็ดเปลี่ยนเส้นเอ็นของเส้าหลิน หรือแม้
แต่สุดยอดสี่คัมภีร์พิศดารก็ล้วนแล้วแต่สามารถลักโขมยมาได้จนหมดสิ้น ... และไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใดที่
ชื่อเสียงของมันคนนั้นโด่งดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งยุทธภพ ... ผู้คนต่างร่ำลือเรียกขานมันว่า มหาโจรภูตพราย
อวี้เย่าเหลียน
"

............................................................................................
เวปส่วนตัว - http://www.novel008.com
Discord - https://discord.gg/DkT2Mf8q