ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

XO ตอนที่ 9 - กำเนิดเทพธนู

เริ่มโดย assasin008, เมษายน 04, 2015, 01:33:48 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

assasin008

คุยเรื่อยเปื่อย

แวะเวียนมาส่งตอนใหม่กันอีกครั้ง
อ่านแล้วคิดเห็นประการใด ก็บอกกล่าวกันได้นะครับ
หากมีข้อแนะนำติชมอย่างไร จะได้นำไปพัฒนางานเขียนให้ดียิ่งขึ้น

XO ตอนที่ 9 - กำเนิดเทพธนู
............................................
Assasin008 04/04/2558

   ช่วงเวลาสองชั่วโมงแห่งความสุขสมในห้องสารภาพบาปผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย กระนั้นแม้ว่าเวลาจะแสนสั้น แต่แม็กก็ได้ใช้ร่างของเผ่าพันธุ์ปีศาจซึ่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง ทั้งยังได้ใช้งานร่างของเผ่าเทพซึ่งมากด้วยมนตราอย่างคุ้มค่าที่สุด

   เขาไม่ทราบว่าเหตุใดร่างของเขาจึงเปลี่ยนสลับไปมาระหว่างเทพและมาร รู้เพียงแต่ว่เมื่ออยู่ในร่างเผ่าปีศาจ เขาสามารถใช้ทั้งแขนและปีกทรงพลังจับยึดพลิกร่างงามของนักบวชสาวแองจี้สลับท่วงท่าไปมาราวกับตุ๊กตาตัวน้อย และเสพสมอย่างอิ่มเอมเปรมปรีย์ ซึ่งร่างมารนี้ดูจะสามารถกระตุ้นอารมณ์ใคร่อันดิบเถื่อนของแองจี้ออกมาได้ดีกว่า

   เมื่อเปลี่ยนร่างจากเผ่ามารไปเป็นเผ่าเทพ เขาก็ใช้มนตราแห่งแสงช่วยฟื้นฟูสภาพคลายความเหนื่อยล้าให้แก่ร่างกายของเธอและของเขาเอง แองจี้ก็ตอบสนองด้วยอารมณ์ที่แตกต่างไป แววตาที่ฉ่ำเยิ้มด้วยความใคร่อันดำมืด กลับกลายเป็นสุกใสอบอุ่นไปด้วยความรักแสนหวาน

   น่าเสียดายที่เวลาหมดเสียก่อนขณะที่เขากำลังเมามันส์ เขาและเธอต่างก็อยากกระทำต่อ แต่ก็ต้องแยกจากกันชั่วคราว เพราะประตูห้องสารภาพบาปได้เปิดออกเมื่อหมดเวลา และเธอมีภารกิจของนักบวชที่ต้องกระทำ ส่วนเขานั้นเมื่อได้ระบายอารมณ์ไปแล้วส่วนหนึ่ง และได้เธอมาเป็นทาสแล้วก็ไม่มีข้อขัดข้องแต่อย่างใด

   ยังดีที่นี่เป็นเกม แองจี้จึงยังมีเสื้อผ้าสำรองในช่องเก็บของ เมื่อประตูห้องใกล้เปิดออก เธอจึงสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วรีบฝืนทนความเจ็บหน่วงที่กลางหว่างขา เดินออกไปยืนคอยทำหน้านิ่งคุยกับนักบวชฝึกหัดคนอื่นอยู่ด้านนอก ส่วนเขาเองก็โชคดีที่ร่างเผ่าปีศาจหายไปทันเวลา จึงสามารถเดินตัวปลิวออกมาจากวิหารได้โดยไม่โดนเหล่านักบวชรุมสังหารเสียก่อน

   สำหรับเขาแล้ว การมาเยือนวิหารอำนวยพรในครั้งนี้ ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยผลกำไร จากที่ตั้งใจแค่จะหาวิธีเติมธาตุแสงให้กับจิตวิญญาณของอะโฟรไดที เขากลับโชคดีได้ฟันนักบวชสาวสวยผมทองอย่างแองจี้ อีกทั้งยังได้เธอเป็นทาสอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้เขายังได้เรียนรู้อักขระทั้งหกสิบสี่ตัวเพื่อนำไปใช้เป็นส่วนประกอบของเวทย์ธาตุแสงระดับสูงอีกต่อหนึ่ง

   นี่ยังไม่ได้นับรวมถึงเรื่องที่ว่า เขาได้รับอาชีพนักบวชคลาส 6 ที่เรียกกันว่า Angelus (ตัวแทนเทวฑูต) มาอย่างงง ๆ เพราะไม่ได้สนใจเท่ากับการได้แองจี้เป็นทาส

   ถึงแม้จะมีไม่มีนักบวชฝึกสอนช่วยประกอบพิธีให้ตามขนบธรรมเนียม แต่ว่าทางระบบก็ยึดถือว่าเขาผ่านการทดสอบแล้ว จึงประกาศมอบอาชีพนักบวชคลาสหกที่ยังไม่เคยมีผู้เล่นไหนได้มาให้

   นอกจากนี้ยังมีของรางวัล และสิทธิพิเศษอีกหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น เงินรางวัล หรือการขอตัวนักบวชในวิหารทุกแห่งเพื่อไปช่วยทำภารกิจ ซึ่งแน่ล่ะว่าเขาแอบเล็งขอตัวแองจี้ไปใช้ทั้งงานในและนอกเตียงตั้งแต่แรก แล้ว

   เขาปฏิเสธการทำงานในวิหารที่ซิสเตอร์มาเรียเสนอให้โดยไม่ต้องคิด แม้จะประทับใจต่อท่าทีแตกตื่นชื่นชมแฝงแววตาเคารพศรัทธาของแม่ชีสูงวัยมากเพียงใด แต่นี่มิใช่วิสัยของเขา เขาจึงปฏิเสธได้โดยไม่รู้สึกลังเลแม้แต่น้อย

   ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ เรื่องราวเกี่ยวกับตัวอักษรที่หกสิบห้า ซึ่งซิสเตอร์มาเรียถึงกับปากอ้าตาค้างเมื่อเขาและแองจี้เล่าให้ฟัง

   แม่ชีสูงวัยยืนนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะยอมเปิดปากเล่าตำนานที่ไม่ได้ถูกยืนยันเรื่องหนึ่งว่า ตัวอักษรที่หกสิบห้านั้น คือความฝันของเหล่านักบวช หรือก็คือการหลุดพ้นจากร่างมนุษย์ แล้วกลายเป็นเผ่าพันธุ์เทพอันสูงส่ง หรือพูดอีกความหมายก็คือนั่นเป็นการกระตุ้นจิตแห่งความศักดิ์สิทธิ์ให้เปล่งฤทธาจนถึงขีดสุดนั่นเอง

   นั่นอธิบายได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเขาในห้องสารภาพบาป เพราะแม้จะสัมผัสได้แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ แต่เขาก็ยังถูกกระตุ้นจนกลายร่างเป็นเผ่าเทพขึ้นมาได้ ส่วนร่างเผ่ามารที่สลับปรากฎกับเผ่าเทพกลับไปกลับมานั้นนั้น เขาและแองจี้ตัดสินใจไม่บอกออกไป เพราะเกรงว่าจะโดนต่อต้าน

   อย่างไรก็ตาม แองจี้ได้ให้สมมติฐานอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องการสลับร่างของเผ่าเทพและมารออกมาว่า อักขระตัวสุดท้ายอาจจะไม่ได้แค่เพียงกระตุ้นจิตแห่งแสงเท่านั้น หากแต่สามารถกระตุ้นจิตอื่น ๆ ที่แอบแฝงอยู่ด้วย ดังนั้นเธอจึงคาดเดาออกมาว่าว่าแม็กนั้นมีจิตแห่งเทพและมารแอบแฝงอยู่ในร่าง และแน่นอนว่าแม็กยังไม่ได้เอ่ยปากยืนยันเรื่องนี้ให้เธอทราบขณะแยกจากกันชั่วคราว

   'พรแบ่งปัน จากเทพีอะโฟรไดทีทำงาน - ท่านได้รับทักษะเย็บปักถักร้อยระดับ Master จากผู้เล่นแองจี้'
   'พรดึงดูด จากปีศาจราคะแอสโมดิอุสทำงาน - ท่านได้รับทักษะทำอาหารระดับ Master จากผู้เล่นแองจี้'
   'ท่านได้รับการยอมรับให้เป็นนักบวชคลาสหนึ่ง Acolyte (สาวก) '
   'ท่านได้รับการยอมรับให้เป็นนักบวชคลาสสอง Priest (นักบวช) '
   'ท่านได้รับการยอมรับให้เป็นนักบวชคลาสสาม High Priest (นักบวชระดับสูง) '
   'ท่านได้รับการยอมรับให้เป็นนักบวชคลาสสี่ Bishop (บาทหลวง) '
   'ท่านได้รับการยอมรับให้เป็นนักบวชคลาสห้า Arch Bishop (บาทหลวงระดับสูง) '
   'ท่านได้รับการยอมรับให้เป็นนักบวชคลาสหก Angelus (ตัวแทนเทวฑูต) '
   'ท่านได้รับเงินรางวัลจากการสอบผ่านอาชีพนักบวชเป็นจำนวน ...'
   'ท่านได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาระดับสูงประจำวิหารอำนวยพร'
   'ท่านได้รับห้องพักประจำตำแหน่งในวิหารอำนวยพร'
   'ท่านได้รับผู้เล่น แองจี้ เป็นทาส'
   'ท่านได้รับ ...'

   นี่คือข้อความของระบบที่เขาอ่านแทบไม่หมด เพราะมันยาวเหยียดเกินไป แต่โดยสรุปก็คือ เขาได้อาชีพนักบวชระดับหก ได้ตำแหน่งในวิหารอำนวยพร ได้แองจี้นักบวชสาวสุดสวยมาเป็นทาส และได้ทักษะเล็ก ๆ น้อย ๆ จากแองจี้ ซึ่งเขาก็ยังไม่ทราบว่าจะเอาไปทำอะไร

   "... เอาไงต่อดี?"

   แม็กบ่นพึมพำกับตัวเอง ขณะเปิดดูข้อมูลพื้นฐานของตัวละครเล่น ๆ หลังจากผ่านเหตุการณ์แปลกประหลาดพิศดารมา เขาก็เริ่มรู้สึกสับสนและลืมเลือนไปว่าเขามีเป้าหมายอะไรบ้าง แต่เมื่อได้ลองหยุดคิด เขาก็ค่อยนึกได้ว่าเวลานี้เขามีเป้าหมายใหญ่สองอย่าง

   อย่างแรกก็คือการมอบพลังให้กับสองสาวโฟร์มด เพื่อที่พวกเธอจะได้ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ ส่วนเรื่องที่สองก็คือการช่วยเหลือหมิวเรื่องที่โดนกล่าวหาว่าขโมยของในวังหลวง

   ข้อมูลพื้นฐาน
   ชื่อ : Guyver      เผ่าพันธ์ : มนุษย์        ระดับ : 1   
   ทรัพย์สิน: 28,980 เหรียญทอง - 10 เหรียญเงิน - 1,000 เหรียญทองแดง
   พลังชีวิต : 10,000 / 10,000 (class limited)       
   พลังเวทย์ :         0 / 10,000 (class limited)
   พลังจิต:    10,000 / 10,000 (class limited)         
   พลังปราณ: 10,000 / 10,000 (class limited)
   ความแข็งแกร่ง : 100 (class limited)
   ความคล่องแคล่ว : 100 (class limited)
   ความอดทน : 100 (class limited)
   ความฉลาด : 100 (class limited)
   ความแม่นยำ : 100 (class limited)
   ความโชคดี : 100 (class limited)
   อาชีพ : Angelus (นักบวช คลาส 6)

   ภารกิจแรกนั้นเขาลงมือไปแล้วทั้งยังลงมืออยู่ ด้วยการใช้เวทย์มนตร์ Holy Seal (ผนึกศักดิ์สิทธิ์ ) ค้างไว้ในมือซ้ายที่ถือการ์ดดวงจิตของอะโฟรไดทีตลอดเวลา เขาแปลงพลังเวทย์ทั้งหมดที่มีให้กลายเป็นธาตุแสงเข้มข้นแล้วผนึกใส่เข้าไปในการ์ด เมื่อพลังเวทย์สะสมกระดิกขึ้นมา มือของเขาก็ทอแสงแวบและส่งพลังเข้าไปให้ ก่อนจะดับลงเมื่อพลังเวทย์เหลือศูนย์หน่วย และสว่างวาบสลับกับดับวูบเป็นระยะ

   ค่าพลังเวทย์สะสมในตอนนี้ของเขาจึงแทบไม่เหลือ แต่ก็ถือว่าได้เห็นผลลัพธ์ขึ้นมาบ้าง เพราะค่าพลังงานสะสมของอะโฟรไดทีกระดิกขึ้นมาที่ 0.12% เวลานี้เขาจึงลังเล ระหว่างการไปสุสานมืดเพื่อเรียนรู้เวทย์สายมืด จะได้ช่วยประจุพลังให้แอสโมดิอุส หรือว่าจะไปหาเกตเพื่อนของหมิวซึ่งมีอาชีพเป็นนักหาข่าว เพื่อประสานงานช่วยเหลือเรื่องประกาศจับ

   "ยังไงพลังเวทย์ก็ขึ้นไม่ทันอยู่แล้ว ... ลองไปคุยเรื่องช่วยหมิวก่อนดีกว่า"

   แม็กยืนตัดสินใจอยู่หน้าวิหารอำนวยพรไม่นาน ก็เริ่มเดินไปทางฟากตะวันออกของเมืองเพื่อหาเพื่อนของหมิว ซึ่งมีอาชีพเป็นนักข่าวในเกม ทั้งนี้เพื่อจะได้สอบถามข้อมูลและหาทางช่วยแก้ต่างให้กับหมิวร่วมกัน เพราะหมิวบอกว่าเกตเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็กของเธอ

   เขาใช้เวลาเดินนานพอประมาณ เนื่องจากไม่ทราบตำแหน่งที่แน่ชัด และต้องหยุดชมดูอาคารรูปทรงแปลกประหลาดสวยงามหลายต่อหลายครั้ง ทั้งยังต้องเดินทางพลางถามทางไปพลาง กว่าจะถึงสำนักหาข่าวสไลม์สีชมพูของเพื่อนหมิว ก็กินเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็มทั้งที่ไม่ได้อยู่ไกลอะไรมากมาย

   ซึ่งความจริงแล้วสำนักหาข่าวสไลม์สีชมพูก็เป็นเพียงแค่ห้องขนาดเล็กบนชั้นสามในตึกทรุดโทรม แม็กจึงต้องเดินผ่านบันไดหนีไฟขึ้นไปด้านบนพร้อมกับความสงสัยว่า สำนักข่าวที่ดูทรุดโทรมแบบนี้จะหาลูกค้ามาจากไหน?

   เขาผลักประตูไม้ผุเก่าเข้าไปด้านใน จากนั้นเขาก็ต้องชะงักไปชั่วขณะ เพราะในห้องขนาดสี่ตารางเมตรที่ถูกประดับไปด้วยวอลล์เปเปอร์สีชมพูหวานแหววนั้น มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังยืนกอดจูบกันอยู่ข้างโต๊ะไม้ตัวหนึ่ง

   ทั้งคู่ดูเหมือนจะยังอยู่ในวัยเด็กมหาลัย ฝ่ายชายตัดผมเกรียนสั้น ผิวคล้ำเล็กน้อย แขนขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเหมือนพวกนักกีฬาที่ต้องใช้เรี่ยวแรง ชายคนนั้นกำลังกอดจูบซุกไซร้ตะปบมือบีบขยำไปตามเนื้อตัวของสาวแว่นหน้าตาสะอาดหมดจดคนหนึ่ง และดูเหมือนว่าเธอจะพยายามดิ้นรนต่อต้านไม่ยินยอมต่อการกระทำของเขานัก

   หญิงสาวคนนั้นหน้าแดงก่ำ เสื้อผ้าโดนถลกถอดอวดผิวขาวละลานตา เสื้อยืดสีชมพูโดนถลกขึ้นไปกองเหนือเต้า เปิดเผยให้เห็นทรวงอกที่กำลังโดนฝ่ามือข้างหนึ่งบีบขยี้จากด้านนอกยกทรงสีเดียวกับเสื้อ ส่วนด้านล่างนั้นกางเกงยีนส์สีเดียวกันก็โดนแกะกระดุมออก ส่วนเอวของกางเกงโดนดึงลงไปด้านล่างเล็กน้อยจนเห็นกางเกงในสีชมพูสวยซึ่งมีมือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปขยับยุกยิก

   สองมือเล็กบอบบางพยายามปัดป่ายมือของชายหนุ่มออกอย่างจริงจัง ทั้งยังส่งเสียงร้องห้ามขัดขืนขอร้อง แต่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดย่อมไม่อาจทำอย่างไรต่อชายกลัดมันกล้ามใหญ่คนนั้นไปได้

   การปรากฎตัวของแม็กไม่ได้ทำให้การปลุกปล้ำหยุดลง ชายหัวเกรียนคนนั้นยังคงลวนลามอย่างกลัดมันไปอีกพักใหญ่ จนสาวแว่นเริ่มส่งเสียงครางอูยสะท้านทำท่าเหมือนจะยอมแพ้หมดแรงดิ้นรน ชายหัวเกรียนจึงเริ่มหัวเราะแล้วขยับยกมือที่ซุกขยับยุกยิกอยู่ในกางเกงในออกมาด้านนอก เพื่อชมดูความเปียกชุ่มของน้ำหล่อลื่นของสาวแว่นที่หลั่งไหลออกมาติดเลอะอยู่บนฝ่ามือ

   "อย่านะ ไม่เอา พอแล้ว ไหนบอกว่าจะแค่จูบกันเฉย ๆ ไง แบบนี้มันหลอกให้ตอบอนุญาตกันนี่นา"

   "เอาน่ามาสนุกกัน เราคบเป็นแฟนกันมาตั้งหลายเดือนแล้วนะ เงี่ยนอยากฟันเกตจะแย่แล้ว ไม่ได้ในโลกจริง อย่างน้อยขอในนี้ก็ยังดี"

   "อย่ามามั่วนะ เราเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่ นายตั้งใจมาจีบยัยหมิวตะหาก แต่พอยัยหมิวไม่เล่นด้วย ถึงค่อยหันมาทำหื่นใส่เกตอีก"

   เมื่อไม่ได้โดนกระตุ้นต่อเนื่อง สาวแว่นก็มีเรี่ยวแรงส่งเสียงต่อว่าออกมาชุดใหญ่ เธอพยายามดึงชายเสื้อยืดของตัวเองลงมาเพื่อปิดบังเนื้อตัว แต่ว่าชายผมเกรียนหัวเราะหึหึไม่ยินยอม ทั้งยังออกแรงกระชากจนยกทรงสีชมพูสวยขาดวิ่น สองเต้าขาวเนียนจึงเด้งผึงออกมาให้มือหยาบกร้านทั้งสองข้างคว้าไปขยำอย่างเมามันอีกรอบ

   "อ๊ายยย อย่านะ ไม่เอา พอแล้ว อย่าทำบ้า ๆ นะไอ้บ้า มันเสียวรู้มั้ย อูยยสสส ... อย่า ... อ๊ะ!!! คะ ... ใครน่ะ!!!"

   สาวแว่นหลับตาปี๋ตัวกระตุกสะท้านเมื่อโดนขยำเต้าแบบเน้น ๆ แต่เมื่อเธอปรือตาขึ้นมองเห็นแม็กยืนอยู่หน้าประตู ก็เกิดอาการชะงักนิ่งไปขณะหนึ่ง เจ้าหนุ่มกลัดมันเหมือนจะยังไม่ทันสังเกตเห็น จึงจัดการออกแรงกระชากดึงกางเกงยีนส์กับกางเกงในหลุดพรวดลงไปด้านล่างพร้อมกันในคราวเดียว สาวแว่นจึงอยู่ในสภาพเกือบเปลือยกายอวดเรือนร่างให้แม็กได้เห็นอย่างไม่ตั้งใจ

   จากนั้นชายผมเกรียนจึงค่อยหันมาเห็นว่ามีบุคคลที่สาม สองหนุ่มจึงกลายเป็นนิ่งเงียบ สาวแว่นก็ชะงัก ทุกอย่างอยู่ในความเงียบกริบอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงร้องกรี๊ดโวยวาย แม็กจึงต้องรีบก้าวถอยหลัง ปิดประตูแล้วยืนรอคอยพร้อมกับหัวเราะอยู่ในใจ

   "ฮ่า ฮ่า เห็นของดีเข้าแล้วซิ หุ่นใช้ได้เลย แต่สู้แองจี้ไม่ได้ ... อืม เทียบกันแล้ว น่าจะสวยอึ๋มน้อยกว่าหมิวสักหน่อยล่ะมั้ง เอาไปสักหกคะแนนเต็มสิบก็แล้วกัน ... แต่ไอ้หนุ่มนั่นลีลาอ่อนไปหน่อย ท่าทางจะมืใหม่ นี่ถ้าเป็นเราได้ล้วงขนาดนั้นแม่สาวแว่นคงหมดแรงดิ้นไปตั้งนานแล้ว"

   เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง เพราะเผลอมองสำรวจรูปร่างทรวดทรงหน้าตาไปแล้วตามความเคยชิน และเขาสรุปให้คะแนนได้ว่าสาวแว่นคนนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสาวสวยน่าฟัดคนหนึ่ง เพียงแต่ไม่ได้สวยเด่นเหมือนหมิว และยิ่งเทียบชั้นกับแองจี้ที่สวยเหมือนนางฟ้าไม่ได้

   ส่วนไอ้หนุ่มคนนั้นดูเหมือนจะเป็นพวกไก่อ่อนไร้ประสบการณ์ เพราะไม่มีลีลาปลุกเร้าอารมณ์สาว เอาแต่ขยำเอาสะใจเข้าว่าอยู่ฝ่ายเดียว ไม่รู้จักกระตุ้นจุดสำคัญแม้แต่นิดเดียว

   "สวัสดีค่ะ ... เอ่อ ... สำนักข่าวสไลม์สีชมพูยินดีต้อนรับค่ะ ไม่ทราบว่าคุณมาติดต่อเรื่องอะไรคะ?"

   รอคอยไม่นานนัก สาวแว่นคนนั้นก็เปิดประตูออกมาในชุดเสื้อยืดและกางเกงยีนส์สีชมพูท่าทางทะมัดทะแมง ใบหน้าของเธอแดงซ่านเล็กน้อยแต่พยายามตีหน้าขึงขังเหมือนจะบอกใบ้เขาว่าอย่าได้พูดถึงเรื่องที่เพิ่งได้เห็นเด็ดขาด

   "ผมมาหาคุณเกตครับ"

   "หาเกตเหรอคะ?"

   เธอแสดงสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ซึ่งนั่นก็ไม่แปลก เพราะว่าภายในเกมนั้นเธอใช้อีกชื่อหนึ่ง ดังนั้นคนที่รู้ว่าเธอชื่อเกต จะต้องเป็นเพื่อนในโลกข้างนอก หากทว่าเธอพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ว่าเธอรู้จักมักคุ้นกับหนุ่มสุดหล่อตาสีฟ้าน่าหลงไหลคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

   พร้อมกันนั้นหนุ่มผมเกรียนที่สวมใส่เสื้อเกราะนักรบสีดำเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกมา เขาทำท่าจะโอบไหล่ของสาวแว่น และมองไปทางแม็กด้วยสายตาแฝงอารมณ์โกรธหงุดหงิดเพราะโดนขัดจังหวะเสียว แต่สาวแว่นเหมือนจะไม่ยินยอม เธอจึงถอยหนีออกมาทางประตูสำนักงานจนมือที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อข้างนั้นคว้าวืดได้แต่อากาศธาตุ หนุ่มผมเกรียนจึงหันมาถลึงตามองพูดกระชากเสียงระบายความหงุดหงิดใส่แม็กที่ยืนเป็นเป้านิ่งอยู่แทน

   "แกเป็นใครวะ? มาทำอะไรที่นี่? ขวางความสุขคนอื่น มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลยไป"

   ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของหนุ่มเกรียนนั้นราวกับจะฆ่าแกงใครสักคน แต่แม็กเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนยอมคน ทั้งยังทราบว่าในเกมนี้หากอยู่ในเขตเมืองแล้วจะค่อนข้างปลอดภัยจากฆ่าฟันในระดับหนึ่ง เพราะหากใครลงมือก่อนก็จะโดนลงโทษทันที เขาจึงมองหนุ่มเกรียนด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วหันไปพูดกับสาวแว่นเสมือนว่าหนุ่มผมเกรียนไม่มีตัวตน

   "นี่คุณเกตหรือเปล่า?"

   "เอ่อ ... ใช่ค่ะ ... เกตเป็นเจ้าของสำนักข่าวสไลม์สีชมพูนี่ค่ะ จะติดต่อเรื่องงานหรือเปล่าคะ?"

   "ผมเป็นเพื่อนหมิวน่ะครับ"

   "... เพื่อนหมิวเหรอ ... เอ๊ะ หรือว่าคุณจะเป็นแม็ก หนุ่มหล่อประจำมหาลัยที่ควงกับยัยหมิวอยู่!!!"

   "ใช่ครับ ผมแม็ก สรุปว่าคุณชื่อเกตซินะ?"

   "คะ? ... ค่ะ ... ใช่ค่ะ เกตเองค่ะ ... ส่วนคนนี้คือ ... เอ่อ ... เป็นเพื่อนของเกตค่ะ ชื่อวายุ"

   หลังจากแนะนำตัวเล็กน้อย สาวแว่นก็เริ่มคาดเดาออกว่าเขาเป็นใคร เธอแนะนำตัวเองตามมารยาทอันดี ทั้งยังหันไปแนะนำชายผมเกรียนที่อยู่ด้านข้างเหมือนไม่เต็มใจนัก จากนั้นแววที่ทอประกายวิบวับเหมือนพวกคลั่งไคล้ดาราก็จับจ้องมอง และสำรวจเขาอย่างละเอียดมากกว่าเดิม

   "ไม่ใช่เพื่อน พวกเราเป็นแฟนกัน ข้าสตรอง หมัดป่นหินผา ไอ้หน้าอ่อนอย่างแกเนี่ยนะเป็นแฟนหมิว ใครเชื่อก็บ้าแล้ว จะไปไหนก็รีบไปเลยไป ที่นี่ไม่ต้อนรับ อ้อ ลืมบอกไป ที่โลกข้างนอกข้าเป็นนักมวยมัดหนักนะโว้ยจะบอกให้"

   พร้อมกันนั้นหนุ่มผมเกรียนก็หันมาส่งสายตาเกรี้ยวกราดริษยามองดูแม็กราวกับศัตรูตั้งแต่ชาติปางก่อน และอาการนั้นดูเหมือนจะเป็นเพราะประโยคที่บอกว่าแม็กกำลังคบกับหมิว ดังนั้นแม็กจึงพอจะเดาได้ไม่ยากว่า นายผมเกรียนคนนี้น่าจะแอบเล็งดาวมหาลัยคนสวยอย่างหมิวไว้ แต่คงจีบไม่ติดจึงเบนเข็มมาที่เกตแทน และเมื่อเขาชิงหมิวไปเสียก่อน วายุจึงมองแม็กด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก

   "นี่เป็นสำนักงานของเกต และเกตมีธุระกับคุณแม็ก นายนั่นแหละ ไอ้สตรองบ้ากล้าม จะไปไหนก็รีบไปเลยไป คุณแม็กเข้ามาคุยธุระกันข้างในก่อนดีกว่าค่ะ อยู่ข้างนอกเดี๋ยวโดนหมาบ้ากัด"

   เกตเหมือนจะไม่พอใจกับท่าทีหาเรื่องของสตรอง เธอจึงรีบพูดเชิญและยกมือผลักสตรองที่ยืนขวางประตูออกไปด้านข้าง แล้วเดินนำแม็กเข้าไปด้านใน หากทว่าเมื่อแม็กหันหน้าไปมองเกต และทำท่าจะเดินตามเข้าไป สตรองก็ถลึงตากราดเกรี้ยว พร้อมกับเหวี่ยงหมัดขวาแหวกอากาศดังฟุ่บเล็งใส่บริเวณเบ้าตาของแม็กจากมุมอับของสายตา

   เกตเบิกตากว้างด้วยความตื่นตกใจ เธอเห็นเหตการณ์ตั้งแต่เขาเริ่มขยับแขนออกหมัดจากด้านข้าง หากทว่านั่นรวดเร็วเกินไป เธอจึงได้แต่มองโดยไม่สามารถส่งเสียงร้องห้ามหรือช่วยเหลืออันใดได้ทันท่วงที

   "เอ๊ะ!!!"

   เสียงถัดมาที่ดังขึ้นกลับไม่ใช่เสียงหมัดกระแทกกับใบหน้า หากทว่าเป็นเสียงอุทานดังเอ๊ะของสตรองซึ่งเป็นคนออกหมัดก่อน เพราะกำปั้นที่ต่อยออกด้วยความเร็วจากมุมอับสายตานั้นพลาดเป้าไปอย่างน่าเหลือเชื่อ หรือถ้าหากพูดให้ถูกต้องก็คือหมัดไม่ได้พลาดเป้าที่เล็งไว้ เพียงแต่เป้าหมายขยับหลบไปเสียก่อนนั่นเอง

   "จะทำอะไร อยากโดนแบนหรือไง?"

   "เฮอะ เก่งเหมือนกันนี่หว่า เลเวลน่าจะเกินร้อยแล้วใช่มั้ย แต่ทะเลาะกันแค่นี้ไม่โดนแบนหรอกโว้ย ข้ามีแต้มความดีสะสมให้ลบทิ้งเหลือเฟือ เอาแค่ไม่ให้ตายก็พอ เอาไปอีก"

    หนุ่มบ้ากล้ามเลือดร้อนอย่างสตรองไม่สนคำโต้แย้งอันใด จากที่ตั้งใจจะสั่งสอนเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยการใช้แรงส่วนเดียวทำร้ายร่างกายแลกกับการโดนหักแต้มความดีพอเป็นพิธี กลับกลายเป็นความอับอายและโทสะเพราะอีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้ ดังนั้นหมัดที่สองจึงสะบัดฝ่าอากาศดังฟุ่บด้วยความรวดเร็วและรุนแรงกว่าเดิม จนมีอานุภาพเพียงพอจะฆ่าฟันผู้เล่นเลเวลต่ำได้ในหมัดเดียว

   หากทว่าหมัดที่สองซึ่งเล็งเป้าหมายไปที่บริเวณขมับของแม็กกลับพลาดเป้าอีกครั้ง แม็กเพียงโยกหัวหลบไปด้านหลังเล็กน้อย ก็หลบหลีกการโจมตีของสตรองได้อย่างสมบูรณ์แบบราวกับว่าการจู่โจมนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย

   เมื่อเป็นเช่นนี้สตรองจึงค่อยฉุกใจคิดขึ้นมาว่าอีกฝ่ายนั้นมีฝีมือพอสมควร กำปั้นที่แกร่งดั่งเหล็กทั้งสองข้างจึงสะบัดต่อยสลับไปมาเป็นชุด หมัดที่สามเป็นหมัดซ้ายต่อยฮุคเฉียงจากล่างขึ้นบนเป้าหมายคือปลายคาง แต่แล้วเป้าหมายกลับถอยหลังไปครึ่งก้าว กำปั้นทรงพลังจึงทำได้แค่เฉียดผ่านปลายจมูกไป

   หมัดที่สี่ของสตรองเป็นหมัดขวายิงตรงใส่กลางใบหน้า แต่ว่าแม็กกลับสามารถโยกศีรษะเล็กน้อยแล้วหลบหลีกไปได้อย่างสวยงามยิ่ง จากนั้นสตรองก็ระดมหมัดรัวใส่จากทุกทิศทุกทาง ทั้งหมัดตรงทั้งหมัดโค้งและหมัดหลอกล่อ หากทว่าทุกการโจมตีทำได้แค่เฉียดผ่านเป้าหมายโดยไม่อาจทำอันตรายอันใดได้

   กระทั่งเมื่อโหมรัวหมัดอีกหลายสิบหมัดจนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งนาที สตรองจึงค่อยหยุดโจมตีและยืนหอบเหนื่อยด้วยดวงตาโกรธเกรี้ยวผสมกับความแตกตื่น เพราะว่าสตรองมิใช่ผู้เล่นมือใหม่อ่อนด้อย เขาเป็นผู้เล่นมีชื่อเสียงในด้านการโจมตีประชิดตัวคนหนึ่ง

   ถึงแม้จะไม่ใช่พวกมีความเร็วสูง แต่เขามีพลังทำลายล้างสูง ในระดับที่เรียกได้ว่าหมัดเดียวคว่ำ ทั้งยังประกอบไปด้วยเทคนิคแพรวพราวจากการชกมวย ทั้งรู้จักการต่อยหลอกล่อ โดยเฉพาะการโจมตีจากมุมอับสายตาซึ่งคู่ต่อสู้ส่วนใหญ่มองไม่เห็น หากทว่าเทคนิคมวยระดับสูงเหล่านี้กลับไม่สามารถทำอย่างไรกับคู่ต่อสู้คนหนึ่งได้

   ที่แตกตื่นกว่าคือเกตที่ยืนชมอยู่ด้านข้าง แม้จะไม่ถนัดด้านการต่อสู้ แต่เนื่องด้วยเธอมีอาชีพสายนักข่าว ทำให้มีสายตาที่เฉียบคมในระดับหนึ่ง ทั้งยังมีทักษะที่สามารถค้นหาข้อมูลโดยประมาณบางอย่างจากผู้คนได้ เธอจึงสืบทราบตั้งแต่แรกว่าแม็กนั้นมีเลเวลไม่เกินสิบเท่านั้น ซึ่งนี่ก็เหมาะสมกับคำบอกเล่าของหมิวที่ว่าแม็กเพิ่งเข้ามาในเกม และไม่ได้ตั้งใจมาเล่นเกม

   เมื่อเห็นเขายังเป็นมือใหม่ เธอจึงคิดจะโผเข้าไปห้ามทัพเพราะห่วงความปลอดภัยของแฟนเพื่อน แต่เมื่อเห็นเขาสามารถขยับหลบเลี่ยงการโจมตีอันรุนแรงเหล่านั้นได้อย่างหมดจดสวยงาม เธอก็โดนสะกดจนรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเข้าไปห้ามปรามแต่อย่างใด

   กระนั้นท่าทีการหลบหลีกของแม็กกลับทำให้เธอเกิดคำถามขึ้นมา เพราะนั่นไม่ใช่การหลบหลีกอย่างมีชั้นเชิงของนักสู้ระดับสูง โดยเฉพาะเมื่อสายตาของแม็กไม่ได้จับจ้องมองสังเกตการโจมตีที่พุ่งมาจากมุมอับ เขาจึงไม่สมควรมองเห็นวิถีการโจมตี หากทว่าเขากลับสามารถขยับหลบหลีกได้

   ส่วนท่าทางการขยับโยกหลบของเขานั้นก็ยังเต็มไปด้วยความเงอะงะฉาบฉวยหวุดหวิดจวนเจียนเหมือนไม่คุ้นชินกับการเคลื่อนไหวเพื่อต่อสู้ป้องกันตัวเอง นั่นทำให้เธอเกิดความคิดประหลาด ๆ ขึ้นมาว่า เขาอาจจะสามารถรู้ล่วงหน้าว่าจะโดนโจมตีที่ตำแหน่งใดก็เป็นได้

   "ไอ้แมลงสาปเอ๊ย หลบเก่งนักเหรอวะ งั้นเอาท่าไม้ตายไปกินเลยไป ... Slam Punch (หมัดคลื่นกระแทก)!!!"

   เสียงตะโกนด้วยความขุ่นแค้นของสตรองทำให้เกตสะดุ้งโหยง เพราะเธอไม่คิดว่าสตรองจะงัดเอาทักษะท่าไม้ตายซึ่งมีพลังทำลายกินพื้นที่กว้างมาใช้ เธอจึงไม่อาจห้ามปรามได้ทัน เพียงแค่ปรายตามองไปเธอก็เห็นเขาตั้งท่าเบ่งกล้ามจนตัวพองพร้อมกับเหวี่ยงหมัดเหล็กทั้งสองข้างเข้ากระแทกกันแล้ว วินาทีนั้นเธอจึงได้แต่รีบกระโดดหลบปราดไปด้านหลัง ด้วยหวังเพียงว่าสามารถใช้ผนังกำแพงของสำนักงานช่วยป้องกันตนเองได้บ้าง

   ตูม!!! เสียงหนักทึบเหมือนระเบิดดังสนั่น เวลานั้นเธอมองไม่เห็นและไม่สนใจแล้วว่าแม็กจะเป็นอย่างไร จากนั้นอากาศรอบกายของสตรองก็เกิดการบิดเบี้ยวไปวูบหนึ่ง แล้วค่อยเกิดคลื่นกระแทกอันหนักหน่วงจนร่างของเธอปลิวลิ่วไปด้านหลังกระแทกเข้ากับผนังกำแพงอีกด้านหนึ่งจนต้องร้องโอดโอย

   พลังทำลายทำให้ผนังกำแพงและพื้นที่สร้างจากหินแกร่งเกิดรอยปริแตก ก่อนจะแตกถล่มพังครืนอย่างง่ายดายราวกับสร้างจากมาจากเม็ดทราย ฝุ่นควันสีขาวแผ่ฟุ้งกระจัดกระจาย ตามมาด้วยเสียงเซ็งแซ่ของเหล่าผู้คนที่ตามมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น

   "ไอ้บ้าสตรอง!!!"

   หลังจากสำลักฝุ่นควันจนไอค่อกแค่กไปหลายรอบ เกตก็ลุกขึ้นสะบัดมือไล่ฝุ่นควัน แล้วกัดฟันกรอดส่งเสียงสบถด่าสตรองอย่างหัวเสีย เพราะว่าอาคารสำนักงานสีชมพูหวานแหววของเธอพังเละเทะไปกว่าครึ่ง แม้แต่โต๊ะทำงานก็โดนพลังอัดกระแทกจนหักกลาง ทั้งยังกระเด็นไปติดฝาผนังอีกข้างหนึ่ง

   หลังจากเบิกตามองสภาพความเสียหาย และปัดฝุ่นที่เกาะตามตัวออกไป เกตก็เดินกระแทกเท้าตั้งใจจะไปต่อว่าสตรองซึ่งกำลังยืนนิ่งอยู่ที่ชั้นล่างสุด เนื่องจากพื้นตึกโดนแรงกระแทกทำลายจนแตกหักและยุบตัวลงไปด้านล่าง

   "ไอ้บ้า คิดจะทำอะไรยะ นี่มันจะเกินไปแล้วนะ ทำลายสำนักงานของชั้นซะเละเทะ แบบนี้สะสมแต้มความดีเอาไว้เท่าไหร่ก็ไม่พอให้หักหรอก แถมยังฆ่า ... เอ๊ะ"

   เสียงต่อว่าชะงักลงไปทันทีเมื่อเห็นสตรองยืนแยกเขี้ยวกัดฟันกรอดแหงนหน้ามองขึ้นไปทางตึกฝั่งตรงข้าม และเมื่อเธอมองตามไปยังทิศทางนั้น เธอก็พบว่าคนที่สมควรตายกลับยังไม่ตาย ทั้งยังยืนปัดฝุ่นสบายใจอยู่บนหลังคาของตึกสามชั้นที่อยู่อีกฟากถนนโดยไม่มีวี่แววของอาการบาดเจ็บแม้แต่น้อย

   สมองของเกตชะงักไปวูบหนึ่ง เพราะเริ่มคาดเดาเหตุการณ์ไม่ถูก เมื่อครู่ตอนที่สตรองใช้ท่าไม้ตายนั้นเธอไม่ทันเห็นว่าแม็กรับมือหรือหลบเลี่ยงอย่างไร แต่เธอเชื่อว่าเขาน่าจะไม่มีทางหลบหลีกได้พ้น หากทว่าดูแล้วเขาเหมือนจะยังปลอดภัยไร้เรื่องราวเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากคลื่นพลังทำลายเมื่อครู่

   เหตุการณ์เบื้องหน้ากลับมีความไม่สมเหตุสมผลมากเกินไปจนเธองุนงง หากจะบอกว่าเขาโดนคลื่นพลังกระแทกใส่จนลอยข้ามถนนไปอีกฟากก็ดูจะเหลือเชื่อเกินไป เพราะถนนนั้นกว้างถึงสิบเมตร แรงกระแทกไม่สมควรจะรุนแรงขนาดนั้น และหากว่าเขาโดนแรงกระแทกนั้นเข้าไปจริง ๆ อย่างน้อยก็ต้องมีอาการบาดเจ็บอยู่บ้าง หรือไม่เขาก็ควรกระแทกกับหลังคาจนยุบพังลงไปด้านล่างบ้ง

   แต่หากจะบอกว่าเขากระโดดตีลังกากลับหลังเพื่อหลบไปเองจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นก็ออกจะเป็นพลังตัวเบาที่เก่งกาจเหลือเชื่อเกินไปสำหรับผู้เล่นเริ่มต้น เพราะนั่นต้องหมายความว่าเขาอ่านการโจมตีออก และคาดคำนวณได้ว่าไม่สามารถหลบแบบธรรมดาได้ ทั้งยังต้องมีแรงกระโดดระดับยอดฝีมือด้วยอีกทาง

   ครุ่นคิดในใจได้ไม่นานนัก เสียงของคนมุงดูก็เริ่มจะดังขึ้น ทุกคนเหมือนจะรู้จักสตรองเป็นอย่างดี เพราะสตรอง หมัดป่นหินผานั้นนับได้ว่าเป็นผู้เล่นชื่อดังในเมืองนี้ แต่เมื่อหันไปมองดูแม็กที่ยืนอยู่บนหลังคาของตึกฝั่งตรงข้ามแล้ว สายตาของทุกคนกลับเต็มไปด้วยคำถาม

   แม้จะไม่ทราบว่าคู่ต่อสู้ของสตรองคือใคร แต่เมื่อเห็นสภาพการพังทลายของตึก และสภาพเปรอะเปื้อนฝุ่นของสตรอง โดยที่ชายหนุ่มตาสีฟ้าไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ทุกคนจึงพากันคิดไปเองว่าสตรองน่าจะกำลังย่ำแย่ ทั้งยังเกิดความสงสัยว่าคู่ต่อสู้ของสตรองเป็นผู้ยิ่งใหญ่มาจากสารทิศไหน

   "ไอ้แมลงวันเอ๊ย จะหนีไปไหนวะ"

   สตรองส่งเสียงตวาดดุเดือด คนใจร้อนอย่างสตรองย่อมไม่สนใจสายตาของผู้คนที่มุงดู เพียงแต่สายตาที่จับจ้องมองดูคู่ต่อสู้กลับแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะเริ่มแรกนั้นเขามองอีกฝ่ายเป็นเหมือนมดปลวกไร้ค่า แต่เมื่ออีกฝ่ายสามารถหลบการโจมตีชุดใหญ่ได้อย่างหมดจด ความมั่นใจที่มากเกินพอดีก็เริ่มหวั่นไหวจนแสดงอาการหงุดหงิดออกมาภายนอก และยิ่งได้เห็นอาการหงุดหงิดเช่นนี้ เหล่าผู้ชมก็ยิ่งปักใจเชื่อว่าสตรองกำลังตกเป็นรองแล้ว

   สิ้นเสียงตวาดนั้น ชายหนุ่มตาสีฟ้าก็มองมาด้วยสายตาเย็นชา และที่เปลี่ยนไปก็คือในมือของเขาปรากฎคันธนูสีดำมะเมื่อมพร้อมด้วยลูกศรดอกหนึ่ง

   ภายใต้คมธนูซึ่งเล็งเป้ามานั้น สตรองพยายามแค่นเสียงหัวเราะปลุกใจตัวเองว่าลูกธนูแค่นี้ไม่น่าจะทำอะไรเขาได้ หากทว่าภายใต้แรงกดดันของดวงตาสีฟ้าที่จับจ้องมองมา เสียงหัวเราะกลับจุกอยู่ในลำคอไม่สามารถเปล่งออกมาได้ จิตใจจึงเริ่มบังเกิดความลังเล

   สตรองย่อมสำนึกตัวว่าไม่สามารถกระโดดข้ามถนนขึ้นไปรุกไล่ฆ่าฟันบนหลังคาตึกอีกฝั่งได้ จึงไม่คิดทำเพื่อสร้างความขายหน้าให้แก่ตัวเอง สตรองจึงต้องเลือกระหว่างยืนปักหลักปัดป้องลูกธนูอย่างเช่นที่เคยกระทำ หรือว่าขยับตัววิ่งหลอกล่อหาเป้ากำบังเพื่อไม่ให้เป็นเป้านิ่งตามวิธีการมาตรฐาน

   การวิ่งหลบหลีกหาเป้ากำบังนั้นถือว่าเป็นมาตรการที่ปลอดภัยที่สุดเสมอมา เพราะอีกฝ่ายจะไม่สามารถเล็งเป้าได้ง่าย หากทว่าในสายตายอดฝีมือแล้ว นั่นนับเป็นวิธีการที่อาจทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งนี้เขาเป็นคนเริ่มเปิดศึกก่อน ดังนั้นสตรองจึงไม่คิดขยับหลบ และยืนกรานจะปักหลักสู้กับลูกธนูดูสักครา อย่างน้อยเขาก็ใส่เกราะระดับห้าดาวคุ้มกันส่วนสำคัญเอาไว้แล้ว ขอเพียงแค่เกร็งกำลังไว้ ต่อให้ปัดป้องไม่ได้ก็คงไม่บาดเจ็บอะไรมากมาย

   อาการเคร่งเครียดเกินควรของสตรอง และท่าทางเงียบขรึมของหนุ่มตาสีฟ้าทำให้บรรยากาศเงียบกริบได้อย่างน่าประหลาด ไม่ทราบว่าเป็นเหตุบังเอิญหรืออย่างไร หากทว่าผู้คนนับร้อยที่ชมดูกลับพากันเงียบเสียงจนเกิดเป็นบรรยากาศหลอนวังเวงประการหนึ่ง ย่านตลาดที่สมควรจะเต็มไปด้วยเสียงผู้คนจึงหลงเหลือแต่เพียงเสียงลมพัดบางเบา

   เวลานี้สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมองดูลูกศรและพากันคาดการต่าง ๆ นา แต่ส่วนใหญ่เหมือนจะคิดเห็นตรงกัน ก็คือไม่ได้เห็นผลเลิศจากนักธนูตาสีฟ้าคนนี้ เนื่องจากนี่ไม่ใช่ธนูลับที่ปิดบังแหล่งที่มา อีกทั้งยังสามารถคาดเดาได้ว่าเป้าหมายคือที่สตรอง แม้ว่าระยะห่างสิบกว่าเมตรจะเป็นระยะที่ธนูได้เปรียบกว่า แต่ก็ไม่น่าจะทำอะไรต่อสตรองซึ่งกำลังตั้งท่าป้องกันรัดกุมดั่งปราการเหล็กได้

   กระนั้นสตรองซึ่งตกเป็นเป้าธนูกลับคิดไปอีกแบบหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องตกเป็นเป้าธนู แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่รู้สึกถึงจิตฆ่าฟันจากคู่ต่อสู้ นี่ให้ความรู้สึกคล้ายกับว่าคู่ต่อสู้มองข้ามและไม่ได้แยแสให้ความสนใจ หากทว่าปลายศรที่ชี้เขม็งตรงมาแน่วนิ่งกลับดลบันดาลให้เกิดความรู้สึกเย็นชาน่าหวาดหวั่นขึ้นมา

   ความหวาดหวั่นที่ไม่สามารถอธิบายได้ทำให้สตรองต้องลอบผนึกพลังเต็มกำลัง เขาเร่งเร้าพลังปราณระฆังทองของวัดเส้าหลินขึ้นผนึกทั่วตัว ทั้งยังแบ่งปันไปสร้างเป็นสภาวะกำแพงไร้สภาพที่เบื้องหน้าอย่างเงียบงัน แม้จะต้องสิ้นเปลืองพลังปราณไปอักโข แต่เมื่อมีปราณขวางกั้นไว้สองชั้น และมีเกราะเหล็กห่อหุ้มตัวอีกชั้นหนึ่งสตรองจึงค่อยรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง

   ผู้เล่นส่วนใหญ่อาจสังเกตรายละเอียดการป้องกันอันแข็งแกร่งของสตรองไม่ออก หากทว่าเหล่าผู้เล่นระดับสูงที่มีสายตาแหลมคมต่างคิดเห็นตรงกันว่าการปล่อยให้สตรองสร้างปราการตั้งรับเช่นนี้ได้ ย่อมหมายถึงความผิดพลาดอันโง่เขลาของนักธนูตาสีฟ้าแล้ว

   อย่างไรก็ตามขณะที่ทุกคนไม่คิดว่าสตรองจะเพลี่ยงพล้ำนั้น นักธนูตาสีฟ้ากลับขยับเท้าเล็กน้อย จากนั้นหลังคากระเบื้องที่เขายืนอยู่ก็ถล่มยุบตัวลงไปด้านล่าง ร่างของนักธนูตาสีฟ้าจึงร่วงหล่นหายวับลงไปด้านล่างอย่างน่าฉงน

   การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้สภาวะการตั้งรับของสตรองกระเพื่อมไหว เพราะกำลังแค่นเสียงหัวเราะเยาะต่อคู่ต่อสู้ที่โชคร้ายร่วงหล่นลงไปตามการพังทลายของของหลังคา หากทว่าเสียงหัวเราะยังไม่ทันหลุดออกจากปาก ก็ปรากฎแสงสีเงินพุ่งวาบทะลวงกระจกออกมาจากห้องหับที่อยู่ใต้หลังคาตรงดิ่งเข้าหาสตรองเสียแล้ว

    การจู่โจมที่เหนือความคาดหมายนี้ ทำให้สตรองไม่อาจกระทำอย่างไรได้ เขาผนึกปราณสร้างกำแพงไร้สภาพไว้เพื่อป้องกันชะลอความเร็วของลูกศรจากมุมบน หากทว่าการโจมตีนี้กลับพุ่งมาจากด้านล่างทำให้กำแพงไร้สภาพที่สร้างไว้ไร้ประโยชน์ อีกทั้งลูกศรยังพุ่งตัวด้วยความรวดเร็วกว่าที่คาดคำนวณ สตรองจึงได้แต่ยืนนิ่งเบิ่งตามองดูลูกศรปะทะเข้ากับร่างของตน

   แกร๊ง!!! เสียงแหลมสูงบาดหูของโลหะกระแทกกันดังกึกก้อง ลูกศรซึ่งทำจากโลหะกลับแฝงพลังทำลายล้างสูงยิ่ง จึงสามารถแหวกทะลวงปราณระฆังทองเข้าไปได้ อีกทั้งยังสามารถเจาะผ่านเกราะเหล็กที่ขวางอยู่อีกชั้นทะลวงเข้าไปในเลือดเนื้อของสตรองได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

   "อุ๊กกก!!!"

   สตรองส่งเสียงร้องโหยหวนเจ็บปวดมาคำหนึ่ง ก่อนจะงอตัวลงไปนั่งทรุดอย่างเชื่องช้าและพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว เพราะลูกศรอันเฉียบคมได้ปักลึกเข้าไปตรงบริเวณเป้ากางเกงตรงจุดยุทธศาสตร์อย่างแม่นยำยิ่ง เหล่าผู้ชมที่เป็นบุรุษซึ่งเห็นเหตุการณ์ต่างพากันทำหน้าแหยง เพราะเข้าใจความเจ็บปวดรวดร้าวเช่นนี้เป็นอย่างดี ทั้งยังรีบขยับมือไปปกปิดเป้ากางเกงของตัวเองด้วยความรู้สึกหนาววูบราวกับว่าตนเองเป็นผู้โดนโจมตีก็มิปาน   
 
   หากร่ำลือออกไปคงไม่มีผู้ใดเชื่อ สตรองหมัดป่นภูผาผู้แข็งแกร่งยิ่งกลับได้แต่นอนงอตัวหมดสภาพ ไม่อาจต้านทานลูกธนูได้แม้เพียงดอกเดียว แต่ว่าผู้คนในเหตุการณ์กลับเห็นตรงกันว่าสตรองไม่ใช่อ่อนด้อย หากทว่าการโจมตีของนักธนูตาสีฟ้านั่นต่างหากที่ยอดเยี่ยมเกินไป

   ยุทธการนี้เริ่มจากสร้างแรงกดดันจากมุมสูง ทำให้สตรองต้องเร่งเร้าพลังปราณสร้างกำแพงขึ้นป้องกัน แต่แล้วนักธนูนั้นกลับเจตนาทำให้หลังคาที่ยืนอยู่ถล่มลงไปเบื้องล่าง ทำให้การป้องกันของสตรองลดทอนลง

   จากนั้นในสภาวะที่ร่วงหล่นลงไปด้านล่าง นักธนูตาสีฟ้ากลับสามารถยิงทะลุกระจกหน้าต่างชั้นล่างออกมาได้อย่างรวดเร็ว และเข้าจุดอ่อนได้อย่างเลือดเย็น ทั้งยังทรงพลังจนสามารถเจาะทะลวงพลังระฆังทองซึ่งขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งทางด้านการป้องกันได้

   หลังจากมองดูสภาพของสตรองซึ่งกำลังนอนงอตัวดิ้นพราด ๆ ไปมาด้วยความเสียววาบราวกับโดนด้วยตนเอง ทุกคนจึงค่อยพากันหันไปมองดูทางหน้าต่างซึ่งลูกธนูถูกยิงทะลวงออกมาด้วยความชื่นชมนับถือ ทุกคนต่างกำลังรอคอย ด้วยรู้สึกว่าอยากเห็นหน้าค่าตาของเทพธนูตาสีฟ้าอีกสักครั้ง

   อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทุกคนไม่ได้รับทราบก็คือ ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเทพธนูนั้นกำลังนอนจมอยู่กับเศษซากหลังคาซึ่งร่วงหล่นลงมาทับถมอย่างหมดท่า ทั้งยังพร่ำสบถโอดโอยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า

   "โอย จะซวยไปถึงไหน จะยิงธนูก็ยิงไม่ออก ไอ้ธนูบ้านี่เล่นดูดพลังเวทย์ออกไปจนเกลี้ยง แถมหลังคายังมาพังซะอีก โอย แบบนี้โดนไอ้บ้ากล้ามนั่นหัวเราะขำตายชัก"

.............................................
เวปส่วนตัว - http://www.novel008.com
Discord - https://discord.gg/DkT2Mf8q

ssplug

ติดตามครับ ผู้แต่ง แต่งได้ดีงามมากครับ สนุกทุกเรื่อง ขอบคุณครับ  ::DookDig::

kasor7

สนุกมากมาย  นึกว่าจะน่าเบื่อ  อ่านไปอ่านมา สนุกไปอีกแบบ  โดยไม่คาดหวัง

newautonomous

ขอบคุณครับ เริ่มโกงเหมือนริวละ...

tawatsr