ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

XO ตอนที่ 19 - ท้าประลอง

เริ่มโดย assasin008, กันยายน 19, 2015, 06:07:17 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 2 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

assasin008

XO ตอนที่ 19 - ท้าประลอง
...............................
Assasin008 2015-09-19

   'ขายศิลปะและการร้องรำ ไม่ขายเรือนร่าง'

   อิสตรีในหอนางโลมไม่น้อยที่พยายามดำเนินตามแนวทางนี้ หากทว่านั่นมิใช่เรื่องง่ายอย่างที่หญิงสาวแต่ละนางคาดคิดไว้ เพราะเมื่อขึ้นชื่อว่าหอนางโลม นั่นย่อมหมายความถึงสถานที่ซึ่งเหล่าบุรุษกลัดมันหมายมั่นเข้าไปเพื่อปลดเปลื้องกามารมณ์ หากท่านต้อนรับยั่วเย้าบุรุษแต่กลับไม่ยินยอมให้เขาปลดเปลื้อง นั่นเป็นไปได้หรือ

   หากบุรุษเหล่านั้นมีเงินตรามากมายมามอบให้ สตรีในหอนางโลมจะอดใจได้หรือ หากบุรุษเหล่านั้นมากมีด้วยพลังอำนาจ เหล่าสตรีจะไม่โอนอ่อนให้ได้หรือ หากบุรุษมากด้วยคารมหอมหวาน สตรีจะไม่คล้อยตามได้หรือ

   การกล่าวด้วยถ้อยคำสวยหรู สตรีคนไหนก็สามารถกระทำได้ หากทว่าแท้จริงแล้วมีเพียงน้อยนิดที่สามารถปฏิบัติตามแนวทางที่ตั้งเอาไว้ได้โดยไม่สูญเสียความตั้งใจไปเสียก่อน แม้แต่เหล่านางงามทั้งแปดเหล่านี้ก็ยังผ่านหนทางเหล่านี้มาได้อย่างยากลำบาก

   จากการสนทนากับนางงามทั้งแปดนั้น ทำให้แม็กทราบถึงปูมหลังของพวกเธอมาไม่น้อย เริ่มจากนางงามสกุลเทียนทั้งเจ็ด พวกเธอไม่ได้เป็นพี่น้องกันโดยสายเลือด หากทว่าถูกกว้านซื้อจากบ้านชนบทตั้งแต่เยาว์วัยในช่วงสงครามกลียุค

   พวกเธอถูกไปฝึกฝนคัดเลือกในหอนางโลมชื่อดังแห่งเมืองหลวงของทวีปไชนี่ จากนั้นเมื่อเติบใหญ่ขึ้นมา รูปโฉมโนมพรรณอันงดงามที่เปล่งประกายเฉิดฉายก็ได้ทำให้พวกเธอได้รับสมญานามว่าเจ็ดนางฟ้าแห่งหอโคมแดง

   นับตั้งแต่แตกเนื้อสาว แต่ละวันไม่ทราบว่าพวกเธอต้องผ่านการป้อยอจากหนุ่มน้อยใหญ่มากถึงเพียงไหน แต่พวกเธอก็ยังสามารถเก็บความบริสุทธิ์ผุดผ่องเอาไว้ได้ ทั้งที่โดนหว่านล้อมด้วยเงินตรา หรือไม่ก็อำนาจมืด หากทว่าพวกเธอก็ยังเอาตัวรอดมาได้ ดังนั้นอย่าได้คิดว่าพวกเธอเป็นเพียงหญิงสาวไร้เดียงสาที่ไร้ความคิดอ่าน

   ด้านเตียวเสี้ยนแม้จะไม่ใช่หญิงสาวในหอนางโลมแดนโลกีย์ แต่ก็นับว่าแขวนอยู่บนเส้นด้ายยิ่งกว่า จากชีวิตสาวใช้ที่ไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยม เธอโดนผู้เป็นนายซึ่งเธอเคารพรักร้องขอให้ใช้ความงามเฉิดฉันท์ เพื่อสร้างความแตกแยกระหว่างตั้งโต๊ะมหาอุปราชขมังเวทย์ และลิโป้แม่ทัพไร้พ่ายอันดับหนึ่งแห่งทวีปไชนี่

   ทั้งสองต่างมากมีด้วยพลังอำนาจที่สามารถกำหนดความเป็นตายให้ตัวเธอได้ในทุกขณะ แต่เธอก็ยังสามารถเอาตัวรอดมาได้ ทั้งยังสร้างความแตกแยกให้กับสองทรราชย์ได้สำเร็จ ดังนั้นอย่าได้มองว่าเธอเป็นเพียงหญิงงามที่อ่อนแอไร้พิษสงนางหนึ่ง

   ข้อมูลมากมายเหล่านี้หลั่งไหลเข้ามาในการวิเคราะห์ของแม็กขณะนั่งดื่มสุรากินกับแกล้ม สาวงามทั้งแปดแม้ดูเหมือนแสดงท่าทางยั่วเย้าหยอกล้อสนทนากับเขาอย่างสนุกสนาน หากทว่าเขาทราบดีว่านั่นเป็นเพียงการแสดงแต่เปลือกนอกอย่างหนึ่ง พวกเธอเพียงต้องการเอาอกเอาใจเพื่อขอบคุณเขาก่อนจากกันเท่านั้น มิได้มีความคิดที่จะยั่วเย้าเกลือกกลั้วประสาชายหญิงอย่างที่เขาใคร่ปราถนา

   หากเป็นบุรุษทั่วไปคงได้แต่ก้มหน้าทำใจยอมรับว่าได้เพียงแค่นี้ก็ยอดเยี่ยมแล้ว แต่สำหรับแม็กซึ่งมีบางอย่างที่พิเศษกว่าคนอื่นย่อมไม่คิดเช่นนั้น ตอนนี้เขามีเวลาเพียงถึงเที่ยงของอีกวันก่อนจะโดนบังคับออฟไลน์ และนั่นคงจะต้องใช้คำว่าเป็นไปไม่ได้ หากว่าเขาไม่มีทักษะเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ สุดพิเศษที่ได้จากอะโฟรไดทีและแอสโมดิอุสไว้ช่วยเหลือ

   'เทียนชู ระดับความใคร่ 16%  ระดับความรัก 12%'
   'เทียนหยาง ระดับความใคร่ 12%  ระดับความรัก 14%'
   'เทียนซาง ระดับความใคร่ 17%  ระดับความรัก 13%'
   'เทียนหวิง ระดับความใคร่ 12%  ระดับความรัก 15%'
   'เทียนเซิง ระดับความใคร่ 16%  ระดับความรัก 16%'
   'เทียนซิ่ง ระดับความใคร่ 18%  ระดับความรัก 13%'
   'เทียนอวี้ ระดับความใคร่ 13%  ระดับความรัก 10%'
   'เตียวเสี้ยน ระดับความใคร่ 17%  ระดับความรัก 12%'

   อย่างไรก็ตามทักษะที่เขาฝากความหวังเอาไว้นั้นกลับไม่ส่งผลกระทบกับนางงามทั้งแปดเท่าที่คาดหวัง ถึงแม้จะได้เห็นผลลัพธ์จากหน้าจอระบบบอกว่าระดับความรักและใคร่เพิ่มจากศูนย์เป็นสิบกว่ากันทุกคน แต่ตัวเลขแค่นี้ยังไม่สามารถทำให้นางงามทั้งแปดแสดงความร้อนร่านออกมาได้ พวกเธอเพียงสนใจมองเขามากกว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้น

   'ทำไมหว่า ปกติพออยู่ใกล้ใครนาน ๆ ค่าพวกนี้มันก็จะขึ้นพรวด ๆ เลยนี่นา ทำไมคราวนี้ตั้งสามชั่วโมงแล้ว ยังขึ้นมาแค่คนละนิดเดียวเอง'

   แม็กที่เปลือกนอกยิ้มแย้มแอบบ่นรำพึงกับตัวเองอย่างเงียบ ๆ เวลานี้เขากำลังใช้มือลูบขนเว้าแหว่งของเจ้าลูกเจี๊ยบเฟิ่งหวง สลับกับฟังเทียนอวี้เล่าเรื่องราวของตนเองอย่างละเอียดทุกถ้อยคำ เพราะต้องนำมาใช้ประกอบการครุ่นคิดถึงแผนการณ์ที่จะทำให้พวกเธอแสดงความร้อนร่านออกมา

   ด้วยความสามารถทางด้านเอาใจผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นการพูด การฟัง และหน้าตาที่หล่อเหลา ทำให้เขาสนิทสนมกับสาวงามทั้งแปดได้พอสมควร พวกเธอเริ่มพูดจาเล่นหัวกับเขามากขึ้น ทำให้เขาทราบข้อมูลและลักษณะนิสัยใจคอของพวกเธอแต่ละคนมาไม่น้อย กระนั้นข้อมูลเหล่านี้ก็ยังยากจะหาทางใช้ออก

   ความขาวโพลนของเรือนร่างโค้งเว้าในอาภรณ์รัดรึงบางเบาทั้งแปดร่างกำลังทำให้เขาแทบจะหมดความอดทน ยิ่งมีกลิ่นกายสาวที่อบอวลไปทั่วห้องรับรอง และกิริยายั่วเย้าแสร้งเปิดอวดเนื้อหนังมังสาบ้างเป็นจังหวะของแปดสาว เขาก็ยิ่งรู้สึกลำคอแห้งผากอยากสวมบทบาดโจรร้ายจับพวกเธอปลุกปล้ำเสียให้สมอยาก โดยเฉพาะกับเตียวเสี้ยนที่งดงามกว่าใคร

   นางงามสกุลเทียนทั้งเจ็ดนั้นว่างดงามแล้ว แต่เตียวเสี้ยนกลับงามงดหยดย้อยยิ่งกว่าหลายขั้น ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าที่สวยหวาน หรือเรือนกายที่อวบอิ่มเต่งแน่นที่ดันเนื้อผ้าออกจนคับตึง ความงามที่สามารถหลอมละลายใจบุรุษได้ทุกคนนั้นทำให้เขาเผลอยกแก้วสุราขึ้นดื่มไปไม่น้อย

   เมื่อผนวกกับการคะยั้นคะยอป้อนถ้วยสุราจากนางงามทั้งแปดที่ไม่อาจปฏิเสธ ทำให้เขาดื่มลงไปเยอะยิ่งกว่าที่พวกเธอดื่มรวมกันเสียอีก เวลานี้เขาจึงเริ่มตระหนักแล้วว่าพวกเธอกำลังจะมอมให้เขาเมาหลับ เพื่อที่จะได้ปิดฉากงานเลี้ยงอันครื้นเครงอย่างแนบเนียน

   'แผนสูงกันจริงแฮะ กะจะมอมให้เราหลับล่ะซิ ... อืม แต่ทำไมเราไม่เมาเลยหว่า?'

   แม็กยิ้มฝืน ๆ พลางครุ่นคิดในใจ สำหรับนางงามทั้งแปดแล้ว นี่คงเป็นแผนที่พวกเธอใช้มาบ่อยครั้ง การหลอกให้ลูกค้าดื่มจนเมามายหลับไป ทำให้พวกเธอลดความเสี่ยงที่จะเปลืองเนื้อเปลืองตัวลงไป ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเสียท่าเล็กน้อย แต่ไม่ได้หงุดหงิดโกรธเคือง เพราะมองว่านี่เป็นการแข่งขันชนิดหนึ่ง หากเขาพลาดท่าก็ถือว่าเขาอ่อนด้อยเอง

   ที่แม็กยังไม่รู้ก็คือเวลานี้นางงามต่างรู้สึกแปลกประหลาดใจยิ่ง เพราะปริมาณของสุราร้อนแรงที่เขาดื่มเข้าไปนั้นเรียกได้ว่ามากกว่าที่บุรุษคนใดสามารถดื่มกินได้ แต่แม็กกลับยังไม่ได้ล้มพับลงไปก่อน ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะค่าพลังกายภาพที่สูงไม่น้อย ผสมผสานกับเผ่าพันธุ์ไททันที่มีความสามารถปรับตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์ เขาจึงเพียงรู้สึกเมาอยู่บ้างในช่วงแรก แต่เมื่อร่างกายปรับตัวได้ก็ไม่รู้สึกถึงความมึนเมาอีกเลย

   "ม่ายหวายแล้ว ขอไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะ ... ห้องน้ำอยู่ที่ไหน?"

   แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองไม่เมา แต่เมื่อพวกเธอวางแผนมา เขาก็วางแผนตอบ ด้วยการแกล้งพูดเสียงเหมือนคนเมา แล้วพยายามฝืนโซซัดโซเซลุกขึ้นยืนส่ายโงนเงนเหมือนจะล้มลงได้ในทุกวินาที ตอนนี้เขายังคิดอะไรไม่ออกจึงอยากถอยไปพักยกเล็กน้อย แล้วค่อยกลับมาประลองฝีมือกับสาวงามทั้งแปดใหม่

   นางงามทั้งแปดลอบสบตากันเล็กน้อยด้วยความยินดีเมื่อเห็นอาการของเขา เพราะถึงแม้จะรู้สึกดีกับชายหนุ่มคนนี้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่หมายความว่าพวกเธอจะยอมทอดกายให้เขาเชยชมแต่อย่างใด ดังนั้นหากสามารถตอบแทนให้เขาดื่มกินอย่างมีความสุขราวกับพระราชาจนหลับไหล ก็ถือว่าพวกเธอได้ทดแทนแล้ว

   "ให้ข้าเตียวเสี้ยนนำทางไปเถอะ"

   "แค่บอกทางก็พอแล้วมั้ง"

   "ไม่เป็นอะไรหรอก ให้ข้านำพาไปเถอะ ... อืม ราตรีนี้นภาดาวงดงามนัก พวกเราเปลี่ยนสถานที่ไปนั่งดื่มสุราชมจันทร์ที่ป่าไผ่ริมน้ำดีหรือไม่?"

   เตียวเสี้ยนสาวงามที่สุดในกลุ่มยิ้มแย้มและลุกขึ้นมาช่วยประคองแขนเขาพาเดินออกไปด้านนอก ก่อนจะหันเข้าไปเสนอความคิดย้ายสถานที่ ซึ่งนางงามสกุลเทียนทั้งเจ็ดก็ส่งเสียงตอบรับว่าจะตามไปพบเจอกันที่ป่าไผ่ริมน้ำ

   แม็กเองก็เห็นด้วยกับการเปลี่ยนสถานที่บ้าง เพราะทิวทัศน์ในนี้สวยงาม แต่ยังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เตียวเสี้ยนซึ่งงามสง่าเหมือนพญาหงส์อันสูงส่งจะขันอาสาพาเขาไปห้องน้ำ ทั้งที่พวกเธอสามารถเรียกหาสาวใช้มาทำแทนได้ แต่เขาก็ยินดีที่เธอหยิบยื่นไมตรีให้ จึงค่อย ๆ แกล้งเดินส่ายโงนเงนตามแต่เธอจะนำพาไป

   สายลมยามดึกที่ด้านนอกหอจันทราซ่อนทำให้สติของแม็กแจ่มใสขึ้นมาเล็กน้อย เขาแวะยืนนิ่งที่ริมระเบียงเหม่อมองดูผืนน้ำที่สะท้อนเงาจันทร์เต็มดวงด้วยความชื่นชม นี่ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นดวงจันทร์ หากทว่าสิ่งก่อสร้างแบบจีนโบราณในที่นี้ทำให้ภาพของดวงจันทร์งดงามมากขึ้นเป็นพิเศษ

   "ดวงตาของเจ้าบ่งบอกว่าชื่นชอบความงามของธรรมชาติไม่น้อย"

   เมื่อดวงจันทร์เริ่มโดนก้อนเมฆบดบัง เตียวเสี้ยนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เอ่ยทักด้วยน้ำเสียงหวานชวนฟัง แม็กจึงหันไปมองใบหน้าด้านข้างที่งามงดประหนึ่งเทพีแห่งสรวงสวรรค์ แล้วเก๊กหน้าหล่อพูดป้อยอตามปกติที่เขาทำต่อผู้หญิงทั้งหลายที่เขาจีบ

   "พระจันทร์ว่างดงามแล้ว แต่น่าเสียดายเมื่อเทียบกับเตียวเสี้ยน พระจันทร์ยังต้องหลบให้"

   คำชมหวานหูจะอย่างไรก็เป็นที่ชื่นชอบของสตรี หากทว่าสายตามากประสบการณ์ของแม็กนั้นทราบดีว่า เตียวเสี้ยนเพียงแค่ยิ้มตอบพอเป็นพิธีเท่านั้น ดวงตาของเธอไม่ได้ยิ้มแย้มตามไปด้วย และนั่นแสดงว่าคำชมของเขาไม่ได้สร้างความประทับใจอะไรให้เธอเป็นพิเศษแม้แต่นิดเดียว นี่จึงนับเป็นการป้อยอที่ไม่ตรงจุด

   "หน้าโง่ ... พูดสอพลอเสียงชัดเจนแบบนี้ ไม่แกล้งเมาต่อแล้วหรือไง?"

   "อ้าว ... รู้กันหมดแล้วเหรอว่าแกล้งเมา"

   คำเปิดโปงของของเตียวเสี้ยนทำให้แม็กรีบหุบรอยยิ้มลง เพราะเขาคิดว่าแสดงได้แนบเนียนพอสมควรแล้ว จึงไม่นึกว่าจะโดนจับได้โดยง่ายแบบนี้

   "คิก คิก พวกนางไม่รู้หรอก พวกนางถึงได้ตื่นตกใจในความคอแข็งของเจ้า แต่ว่าข้ารู้ เอาเป็นว่าเจ้าแกล้งต่อไปเถอะ ข้ารับรองว่าจะไม่บอกพวกนางแม้สักครึ่งคำ"

   "ทำไมล่ะ?"

   "ไม่มีอะไรนี่ ข้าก็แค่อยากเห็นความสนุกสนาน พวกนางคิดมอมสุราให้เจ้าเมามาย แต่เจ้าพาลดื่มกินไม่จบสิ้นราวกับปีศาจสุรา ข้าก็แค่อยากรู้ว่าพวกนางจะทำอย่างไรต่อ และเจ้าจะแกล้งเมาไปเพื่ออะไร"

   "ยอมรับแล้วเหรอว่าแกล้งมอม?"

   "ยอมรับแล้วเป็นอย่างไร ไม่ยอมรับแล้วเป็นอย่างไร พวกเราไม่ได้ทำผิดศีลธรรมอะไร พวกเราเพียงแค่อยากตอบแทนพระคุณของเจ้า ด้วยการให้เจ้าดื่มกินจนหลับไหลเยี่ยงราชาเท่านั้น เจ้าต่างหากที่กำลังคิดอกุศลวางแผนครอบครองสาวงาม"

   แม็กพยายามคาดคั้นเอาผิดที่คิดมอมเขา แต่กลายเป็นว่าโดนตอกกลับจนหน้าหงายกลับมาแทน เพราะหากพูดกันตามเหตผลแล้ว สาวงามทั้งแปดไม่ได้ทำผิดอะไรเลยที่พยายามมอมให้เขาหลับ เป็นเขาเองเสียด้วยซ้ำที่วางแผนไม่ดีคิดลิ้มลองรสสวาทของเหล่านางงาม

   "อะแฮ่ม ... ก็นะ ผู้ชายคนไหนไม่คิดก็แปลกล่ะ อยู่กับสาวสวยเหมือนนางฟ้าตั้งแปดคนแบบนี้"

   "คิก คิก ช่างหน้าโง่และไร้ยางอายเสียจริง ยอมรับเรื่องแบบนี้ได้อย่างไม่สะทกสะท้าน"

   เขายิ้มแห้ง ๆ ด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย แล้วตอบกลับไปตามความเป็นจริง เพราะจะอย่างไรเตียวเสี้ยนก็ดูจะเฉลียวฉลาดไม่น้อย เธอคงดูเรื่องพวกนี้ออกหมดแล้ว หากเขาพยายามฝืนโกหกก็คงจะทำให้เสียภาพลักษณ์เสียเปล่า ๆ

   หลังจากการสารภาพผิด เตียวเสี้ยนก็มองมาทางเขาด้วยดวงตาเป็นประกายที่ทำให้เขาถึงกับเหม่อลอย เธอส่งเสียงหัวเราะและยิ้มแย้มอย่างแท้จริง ไม่ได้แค่ยิ้มด้วยใบหน้าพอเป็นพิธีอย่างเช่นก่อนหน้านี้

   "เอาเถอะ ตราบใดที่เจ้าไม่ได้ใช้กำลังฝืนบังคับ หรือใช้แผนชั่วช้า ข้าก็จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวอะไรด้วย ขอเพียงพวกนางเต็มใจก็พอ แต่ข้าคิดว่าคงจะเป็นไปไม่ได้"

   "ทำไมล่ะ? หรือว่าพวกเธอไม่ชอบผู้ชาย? แต่ชอบผู้หญิงด้วยกันเอง?"

   "คิก คิก เจ้านี่มันช่างสัปดนนัก ... ไม่ใช่หรอก พวกนางไม่ได้รักชอบกันเอง พวกนางก็มองหาบุรุษที่คู่ควร เพียงแต่ยังไม่ใช่เวลานี้ เพราะพวกนางมีความฝันที่จะเดินทางเผยแพร่การแสดงไปทั่วหล้า หากพวกนางจะมีบุรุษสักคน ก็ต้องเป็นบุรุษที่สามารถช่วยคุ้มครองและสานฝันของพวกนางได้"

   เตียวเสี้ยนหัวเราะเสียงใสอีกครั้ง จากนั้นเธอก็พูดประโยคแฝงความนัยออก ซึ่งหากฟังแบบไม่คิดอะไร ก็คงไม่มีอะไรพิเศษ หากทว่าสำหรับแม็กที่พยายามวิเคราะห์ในทุกคำพูดแล้ว เขาพบว่าเตียวเสี้ยนกำลังบอกบางอย่างกับเขาอย่างอ้อมค้อม

   เธอไม่ได้บอกปัดว่าเขาไม่มีหวังกับสาวงามทั้งเจ็ด แต่ในขณะเดียวกันก็บอกกล่าวกับเขาอย่างอ้อมค้อมว่า หากคิดจริงจังเขาก็สามารถทำได้ โดยการช่วยสานฝันพานางงามทั้งเจ็ดออกเดินทางไปทั่วหล้าเพื่อแสดงศิลปะการร้องรำอันงดงาม แต่ก็แฝงคำเตือนเอาไว้ว่าหากไม่จริงจัง ก็ไม่สมควรไปฉุดรั้งทำลายความฝันของนางงามทั้งเจ็ด

   แม็กรับฟังด้วยความรู้สึกละอายเล็ก ๆ เพราะเขาไม่ได้มีความสนใจในความฝันของนางงามทั้งเจ็ดแม้แต่น้อย ความฝันของเขานั้นก็แค่การสร้างฮาเร็มรวบรวมสุดยอดสาวงามมาครอบครองก็เท่านั้น

   'เตียวเสี้ยน ระดับความใคร่ 23%  ระดับความรัก 27%'

   หลังจากแสดงสีหน้ารู้สึกผิดออกไป เตียวเสี้ยนก็ยิ้มเล็กน้อยขณะมองดูใบหน้าของเขา แล้วข้อความของระบบก็รายงานตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของเตียวเสี้ยน ซึ่งแม้ว่านั่นจะยังไม่มากนัก แต่เมื่อเทียบกับอัตราก่อนหน้าแล้ว ตอนนี้ตัวเลขดูจะขยับเร็วกว่าเดิมหลายเท่าทีเดียว

   'หรือเพราะว่าก่อนหน้านี้มีกันหลายคน ก็เลยเฉลี่ยกันไป แต่ตอนนี้มีเตียวเสี้ยนคนเดียว ก็เลยรับผลของทักษะไปเต็ม ๆ คนเดียวหรือเปล่าหว่า?'

   เมื่อมองเห็นโอกาส สมองของแม็กก็ทำงานเร็วจี๋ เขาคิดว่าคำอธิบายนี้สมเหตุสมผลที่สุดเกี่ยวกับทักษะด้านรัก ๆ ใคร่ ๆ ของเขา ซึ่งนั่นก็ถือเป็นข้อเท็จจริง เพราะก่อนหน้านี้เขาพบผู้หญิงทีละคน พวกเธอจึงโดนผลกระทบเต็มที่ แต่เมื่อมาอยู่ร่วมกับนางงามทั้งแปดในสถานที่เดียวกัน ผลของทักษะก็ถูกเฉลี่ยกระจายออกไป

   ส่วนที่เขายังไม่รู้ก็คือ ทักษะเหล่านี้จะแสดงผลง่ายขึ้น หากผู้หญิงรู้สึกดีต่อการกระทำของเขาในแง่ของความรัก หรือความใคร่ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อครู่เขาแสดงสีหน้ารู้สึกผิดเมื่อเตียวเสี้ยนพูดเตือนอย่างอ้อมค้อม เธอจึงรู้สึกดีที่เขาไม่ได้เป็นตัวเลวร้ายไม่รู้สึกรู้สาอะไร จิตใจของเธอจึงเปิดรับออกมาเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้ทักษะพิเศษทำงานช่วยเพิ่มขยายผลออกมาอีกหลายเท่า

   แม็กยืนเหม่ออยู่นานเพราะกำลังครุ่นคิดวางแผน แต่เตียวเสี้ยนกลับเข้าใจว่าเขากำลังรู้สึกผิดที่โดนเธอตักเตือน เธอจึงปล่อยให้เขาได้คิดครู่ใหญ่ แล้วจึงค่อยส่งเสียงทักท้วงเรียกสติของแม็กกลับคืนมา

   "หน้าโง่ คิดอะไรไม่ต้องการเข้าห้องน้ำแล้วหรือ?"

   "ห้องน้ำ? ... อืม ใช่ ลืมไปเลย ... ไปซิ"

   ท่าทีงุนงงของแม็กทำให้เตียวเสี้ยนมองค้อนเล็กน้อย เพราะนั่นหมายความว่าแม็กไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำตั้งแต่แรกจึงถึงกับลืมเรื่องนี้ไป กระนั้นเธอก็ไม่ได้กล่าวเปิดโปงแต่อย่างใด เพียงเดินนำพาเขาอ้อมผ่านป่าไผ่ที่ปิดมิดชิดไปยังห้องน้ำด้านหลังเรือนจันทราซ่อนอย่างเงียบงัน

   แม็กเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วยืนเกาศีรษะด้วยความงุนงง ความจริงเขาไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำแต่อย่างใด และเมื่อเดินเข้ามาในห้องที่ปิดมิดชิดแล้ว เขาก็ยิ่งต้องงุนงงเข้าไปอีก เพราะว่าในห้องน้ำนั้นนอกจากรูนั่งตรงกลางห้องซึ่งน่าจะเป็นที่ถ่ายหนักแล้ว ยังมีโถทองเหลืองที่ไม่ทราบไว้ทำอะไรอีกหลายชิ้นด้วยกัน

   เขาลองเดินไปหยิบเอาโถทองเหลืองขึ้นมามองสำรวจ แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากความว่างเปล่า พอลองดมกลิ่นดูก็ไม่ได้กลิ่นอะไร จึงหยิบวางลงไปที่เดิม และเวลานี้เองที่เขารู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเบา ๆ ออกมาจากกระเป๋ามิติสำหรับเก็บของที่ระบบเกมให้มา

   แม็กทดลองล้วงมือลงไปหยิบ ๆ ล้วง ๆ ก่อนจะจับเอาสิ่งที่เหมือนกับไม้กระดานแบนราบกว้างยาวขนาดสองเท่าของฝ่ามือขึ้นมา และได้พบว่ามีข้อความบางอย่างปรากฎอยู่บนไม้กระดานนั้น

   "หากต้องการครอบครองแปดนางงาม    จงยื่นท้าสามประลองตั้งเดิมพัน
     หากชนะสามครั้งต้องเป็นทาส    แม้แพ้พ่ายจักได้รับลำนำสวรรค์
     เริ่มจากสู้หนึ่งต่อแปดวัดพลัง    ใช้ไม้ตายก้นหีบอย่าได้ลืม
     สองประชันขันแข่งด้วยดนตรี    ของดีมีให้แล้วจงหยิบใช้
     รอบที่สามจงแสร้งปล่อยให้โอกาส    ไม่มีพลาดได้ครอบครองสมประสงค์
     ขอเพียงจำว่าพวกนางหยิ่งทะนง    ไม่ยอมลงให้กับการบังคับกัน"

   ข้อความสีทองที่ปรากฎบนแผ่นไม้นั้นแจ่มชัดโดดเด่นวูบหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไปอย่างเชื่องช้าเมื่อเขาอ่านจบ แม็กได้แต่ยืนนิ่งด้วยความงุนงงยิ่งกว่าเดิม เขาเพิ่งนึกออกว่าเขาเคยอ่านข้อความนี้มาแล้วในค่ำคืนก่อนแยกทางจากคาร่าและมีอา แต่ว่าตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจว่าแปดนางงามคือใคร ทั้งยังตั้งอกตั้งใจระเริงรักกับสองสาวชาวเผ่าจึงไม่ได้คิดสนใจวิเคราะห์ข้อความนี้มากนัก

   สิ่งที่อยู่มือของเขานี้คือแผ่นไม้กระดานคำทำนายที่แม่หมอคาร่าฝากไว้ให้ คาร่าบอกว่าเธอได้พยากรณ์เหตุการณ์เก้าสิบเก้าอย่างในอนาคตไว้ล่วงหน้าเพื่อช่วยเหลือเขา โดยฝากข้อความทิ้งไว้บนไม้กระดานที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษแผ่นหนึ่ง

   โดยหลักการแล้วข้อความจะปรากฎขึ้นให้เห็นล่วงหน้าก่อนเวลาของเหตุการณ์ แล้วจะเลือนหายไปเมื่อใกล้พ้นช่วงเวลาของคำทำนาย ก่อนจะแทนที่ด้วยข้อความคำทำนายใหม่ที่ยังไม่ถึงเวลา ซึ่งเวลานี้คำทำนายแรกเขาก็ยังตีความได้ไม่ชัดเจน แต่ก็มีข้อความใหม่ที่สั้นกระชับปรากฎขึ้นมาแล้ว และเขาก็ยังคงไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในอนาคตกันแน่

   "สตรีน้ำแข็งถูกกักขังไว้ในคุกลับใต้ปราสาท"

   ใครคือสตรีน้ำแข็ง? แล้วทำไมจึงถูกซ่อนในคุกลับ? แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา? และมันจะเกิดขึ้นตอนไหน? ปัญหาเหล่านี้เขานึกไม่ออกแม้แต่น้อย แต่เขาก็ไม่อยากสนใจมากนัก เพราะทราบว่าเหตุการณ์ในคำทำนายนี้ยังมาไม่ถึง ตอนนี้เขาจึงหันมาสนใจคำทำนายแรกเสียก่อน

   จากประโยคก่อนหน้านี้ เขาค่อนข้างแน่ใจว่าหมายถึงนางงามทั้งแปด และนั่นทำให้เขารู้สึกทึ่งไปกับระบบคำพยากรณ์ไม่น้อย เขาไม่ทราบว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ระบบสามารถทำนายได้ว่าเขาจะได้พบกับพวกเธอ ทั้งที่ข้อความนี้ปรากฎขึ้นมาล่วงหน้ามากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงเสียอีก

   อย่างไรก็ตามเขาพยายามละทิ้งความทึ่งไปก่อน แล้วหันมาตีความกับประโยคทำนายแรก ซึ่งประโยคนั้นน่าจะหมายถึงการให้เขายื่นท้าประลองกับนางงามทั้งแปด โดยให้เดิมพันถึงสถานะความเป็นทาส แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักในรายละเอียดของคำทำนาย

   "หากชนะสามครั้งต้องเป็นทาส แม้แพ้พ่ายจักได้รับลำนำสวรรค์ ... คืออะไรหว่า?"

   แม็กพยายามนึกคำทำนาย ซึ่งก็น่าแปลกที่เขาสามารถจดจำมันได้แทบทุกประโยคอย่างแม่นยำ เหลือก็แต่แปลความหมายออกมาเท่านั้น ซึ่งเขาคิดว่าควรจะยื่นท้าประลองสามรอบ โดยเดิมพันว่าเขาต้องชนะให้หมดทั้งสามรอบ หากแพ้แม้แต่รอบเดียวให้ถือว่าแพ้

   ข้อความนี้พูดไปก็ออกจะดูเหมือนเอารัดเอาเปรียบอยู่บ้าง แต่เมื่อเขาลองคิดถึงของรางวัลแล้วก็นับว่าเหมาะสมอยู่ เพราะมองจากมุมนางงามทั้งแปดแล้ว พวกเธอไม่จำเป็นต้องเปลืองตัวเอาอิสระภาพมาเดิมพันโดยไม่สมควร ดังนั้นการตั้งเงื่อนไขให้พวกเธอดูได้เปรียบย่อมจะยั่วยวนใจได้ดีกว่า ส่วนคำว่าลำนำสวรรค์นั้น แม็กนึกออกแล้วว่ามันคือสิ่งที่คาร่าให้ไว้ก่อนจากกัน เพียงแต่ยังไม่แน่ใจว่าของสิ่งนั้นมีคุณค่ากับแปดนางงามมากพอที่จะใช้เดิมพันได้จริงหรือไม่

   "เริ่มจากสู้หนึ่งต่อแปดวัดพลัง ใช้ไม้ตายก้นหีบอย่าได้ลืม ... รอบแรกให้สู้กันซินะ จะสู้ไหวป่าวหว่าแปดต่อหนึ่ง พวกเธอดูจะเก่งซะด้วยซิ แล้วไอ้ไม้ตายก้นหีบคืออะไร? หรือว่าหมายถึงไอ้นั่น?"

   เมื่อพอจะเข้าใจความหมายของประโยคท่อนแรก แม็กก็เริ่มใคร่ครวญประโยคถัดมา และเขาก็ต้องรู้สึกหนักใจอยู่บ้าง เพราะจากการแสดงร่ายรำนั้นทำให้เขาทราบว่านางงามทั้งแปด มีพลังฝีมือที่ไม่ธรรมดา ซึ่งก็คงเป็นเช่นนั้น ไม่เช่นนั้นพวกเธอคงเอาตัวรอดมาถึงตอนนี้ไม่ได้ ดังนั้นปัญหาถัดมาก็คือเขาจะเอาชนะพวกเธอได้หรือเปล่า

   ถึงแม้จะผ่านการฝึกฝนมาพอสมควร แต่จะอย่างไรเขาก็ยังคงเป็นมือใหม่ทางด้านการต่อสู้ จึงไม่แปลกที่จะไม่มีความมั่นใจ จนกระทั่งเมื่อนึกได้ว่าไม้ตายก้นหีบที่คาร่าบอกใบ้มานั้นคืออะไร เขาจึงยิ้มน้อย ๆ ด้วยความมั่นใจ ว่าเจ้าของสิ่งนั้นจะต้องสามารถใช้จัดการกับนางงามทั้งแปดได้อย่างแน่นอน

   "สองประชันขันแข่งด้วยดนตรี ของดีมีให้แล้วจงหยิบใช้ ... ของดีมีให้แล้ว? เดี๋ยวนะ ที่คาร่าให้มา มีไม้กระดานคำทำนาย แล้วก็ ... ลำนำสวรรค์? น่าจะใช่ล่ะมั้ง คาร่าสอนวิธีใช้ให้แล้ว แต่ยังไม่เคยลองใช้เลยนี่นา"

  คำทำนายที่ดูจะเข้าใจยากในคราวแรกที่ได้อ่านนั้น เมื่อลองขบคิดให้ดีกลับพบว่ามันไม่ได้ยุ่งยากจนไม่สามารถเข้าใจได้ เพียงแต่ต้องอาศัยการครุ่นคิดทำความเข้าใจอยู่ครู่ใหญ่ จวบจนกระทั่งเมื่อแม็กได้ทดลองขบคิดใจความที่มีอยู่ในทุกประโยคได้จบสิ้น เขาก็ยิ้มยินดี และได้ตัดสินใจวางแผนการณ์แผนหนึ่งขึ้นมา และแผนนั้นมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า 'เดิมพันลำนำสวรรค์'

.......................................

   แม็กเดินออกไปจากห้องน้ำ แล้วได้พบว่าเตียวเสี้ยนและนางงามทั้งเจ็ดได้ย้ายมานั่งดื่มกินในป่าไผ่แล้ว เขาจึงหันไปสำรวจมองดูความงามของพวกเธอ เขามองดูใบหน้าสวยซึ้งด้วยความชื่นชม ก่อนจะไล่สายตากวาดมองดูลำคองามระหง แล้วไล่ต่ำลงไปที่หน้าอกอวบอูมซึ่งดันผ้าแพรรัดรูปตามแบบฉบับของหญิงสาวชาวจีนออกมาเป็นก้อนกลม จากนั้นจึงค่อยก้มลงไปมองดูสะโพกผึ่งผายที่น่าลูบไล้ด้วยดวงตากระหายวาววับ

   "หน้าโง่ มัวแต่ลอบมองดูผู้อื่นอยู่ได้ ไม่เบื่อหน่ายบ้างหรืออย่างไร?"

   เตียวเสี้ยนคล้ายจะรู้ตัวตั้งแต่แรก เธอชายตาหันมามองเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อว่า ในขณะที่เจ็ดนางงามพากันส่งเสียงหัวเราะคิกคัก แม็กจึงค่อย ๆ ละสายตาจากสะโพกกลมกลึง แล้วหันไปยิ้มกริ่มมองดูใบหน้าสวยประหนึ่งเทพนิรมิตของเตียวเสี้ยนด้วยแววตาคล้ายผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า

   "ถ้าเบื่อก็คงไม่มองหรอก"

   "ผีราคะ!!! ... เจ้าคิดอะไร"

   เธอพูดด่าทอด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีอารมณ์โกรธเคือง เพียงแต่หันมามองดูแม็กด้วยสายตาเหมือนแปลกใจต่อท่าทีซึ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อยของแม็กอยู่บ้าง สายตานั้นคล้ายกับขุนพลที่เปี่ยมความมั่นใจในสนามรบผู้หนึ่ง

   "เตียวเสี้ยน ... พวกเธอชอบเล่นดนตรีมากใช่มั้ย?"

   "อืมม ดนตรีนับเป็นชีวิตจิตใจของพวกเรา"

   "... แล้วพวกเธอรู้จักขลุ่ยลำนำสวรรค์หรือเปล่า?"

   แม็กตัดสินใจลองโยนก้อนหินถามทางก่อน เพราะต่อให้เขาจะเชื่อมั่นในคำทำนายของคาร่า แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความสงสัยเลย เขาจึงยังแค่ทดลองหยั่งเชิงปฏิกิริยาของเตียวเสี้ยนและนางงามที่เหลือเสียก่อน แล้วจึงค่อยดำเนินตามแผนการที่ได้วางไว้

   "ขลุ่ยลำนำสวรรค์!!"

   การหยั่งเชิงแบบอ้อมค้อมของแม็กกลับสร้างปฏิกิริยารุนแรงต่อพวกเธอทั้งแปดโดยไม่คาดฝัน พวกเธอต่างหยุดทุกการกระทำ แล้วลืมตากลมโตหันมามองดูเขาด้วยความตื่นตระหนกราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดถึงนั้นเป็นเรื่องคอขาดบาดตายก็มิปาน และนั่นทำให้แม็กเริ่มมั่นใจว่าสำหรับเหล่านางงามแล้ว ขลุ่ยลำนำสวรรค์ที่เขามองไม่เห็นค่า จะต้องเป็นอะไรที่สำคัญกับพวกเธอมากทีเดียว

   เวลานี้สายตาของสาวงามทั้งแปดต่างจับจ้องมองดูเขาแปลกประหลาดกว่าเดิม แววตานั้นคล้ายกับคนหลงทางในทะเลทรายจนแทบเจียนตายมองเห็นแหล่งน้ำ แต่พวกเธอก็ยังคงใจเย็นพอที่จะรักษาภาพ เลือกนั่งนิ่ง ๆ ปล่อยให้เตียวเสี้ยนเป็นผู้เจรจาพาที

   "หน้าโง่ เมื่อครู่เจ้าพูดถึงขลุ่ยลำนำสวรรค์งั้นหรือ?"

   "ใช่ ขลุ่ยลำนำสวรรค์ ทำไมต้องตกใจด้วยล่ะ?"

   "เจ้ารู้จักมันด้วยหรือไง?"

   "อืม ... ก็แนวนั้น สรุปว่ารู้จักซินะ"

   "ทำไมจะไม่รู้จักล่ะ นั่นเป็นหนึ่งในสุดยอดเครื่องดนตรีในตำนาน มันนับเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทรงคุณค่าที่สุดสำหรับผู้รักและหลงไหลในเสียงดนตรี และที่พวกเราทั้งแปดยอมเป็นทาสเดินทางมายังทวีปแห่งนี้นั้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อที่จะได้เดินทางตามหาสิ่งนี้ ... และที่ข้ากำลังสงสัยก็คือเจ้าพูดถึงมันทำไม?"

   "มันยอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยเหรอ?"

   แม็กรับฟังสุ้มเสียงแฝงอารมณ์ตื่นเต้นของเตียวเสี้ยนแล้วก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย เพราะนั่นหมายความว่าสิ่งต่อรองของเขานั้นดูจะมีคุณค่ายิ่งกว่าที่เขาคิดเสียอีก

   "มันคืออุปกรณ์ดนตรีเพียงชิ้นเดียวที่เหล่าเทพทิ้งไว้ให้มวลมนุษย์ เจ้าคิดว่ามันสำคัญหรือไม่?"

   "ไม่รู้ซิ พอดีไม่ค่อยถนัดเรื่องเสียงเพลง งั้นเปรียบเทียบง่าย ๆ ล่ะกัน ถ้ามีคนเสนอขาย จะให้ราคาเท่าไหร่?"

   "หากมีคนซื้อขายสิ่งนั้นจริง ต่อให้ราคาสูงถึงพันล้านเหรียญทอง พวกข้าก็ยินดีที่จะขวนขวายหาเงินทองมาเพื่อซื้อหา แต่นั่นเป็นไปไม่ได้ มันมีเพียงหนึ่งเดียวจึงไม่สามารถประเมินคุณค่าเป็นเงินทองได้"

   "ขนาดนั้นเลยเหรอ ... อืม งั้นถ้ามีข้อแลกเปลี่ยนกับขลุ่ยลำนำสวรรค์ แต่ต้องแลกด้วยชีวิตล่ะ จะเอามั้ย?"

   "แน่นอน เพื่อสิ่งนั้นข้ายอมแลกด้วยชีวิตไร้ค่าของข้า ... เจ้าอย่าอมพะนำได้หรือไม่ เจ้ามีเบาะแสของลำนำสวรรค์งั้นหรือ?"

   เตียวเสี้ยนและเหล่านางงามเริ่มแสดงท่าทีกระวนกระวายใจออกมา ดูเหมือนพวกเธอจะคาดเดาได้แล้วว่าแม็กรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับลำนำสวรรค์ที่พวกเธอตามหามานานแสนนาน

   "ถ้ามีเบาะแส แล้วจะได้อะไรเป็นรางวัลล่ะ?"

   แม็กที่ถือไพ่เหนือกว่ายิ้มกริ่ม พลางขยับเข้าไปนั่งบนเสื่อใกล้กับเตียวเสี้ยน ใช้ไหล่ชนไหล่เธอเบา ๆ แล้วมองดูสัดส่วนอวบอัดโค้งเว้าของเตียวเสี้ยนด้วยสายตาลวนลาม ราวกับจะสื่อให้เธอรู้ว่าเขาต้องการสิ่งใดเป็นรางวัล แต่เตียวเสี้ยนเองก็มิได้แสดงท่าทีหวั่นเกรง เธอยังคงยืนนิ่งเช่นเดิมด้วยมาดของนางพญา และจับจ้องมองเขาด้วยสายตาคาดคั้น จากนั้นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นของเธอก็สงบลง แล้วยิ้มน้อย ๆ เหมือนไม่สะทกสะท้าน

   "คิก คิก เจ้าคงจะพูดจาอวดโอ่ไปเรื่อยมากกว่า เจ้าเป็นใครถึงจะรู้เบาะแสของลำนำสวรรค์"

   "อืม งั้นเหรอ งั้นก็ช่างมันก็แล้วกันนะ ถือว่าลืม ๆ มันไปนะ"

   แม็กแอบยิ้มเยาะในใจ แล้วหันไปหยิบเอาจอกสุราจอกหนึ่งขึ้นมาดื่มกินด้วยท่าทางไม่รู้สึกรู้สา เขามองเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเตียวเสี้ยนเพิ่งได้สติกลับมาจากความตื่นเต้น และตอนนี้เธอกำลังพยายามเบี่ยงเบนประเด็นเพื่อทำให้เขาคิดว่าลำนำสวรรค์ไม่ได้มีความสำคัญมากมายนัก เขาจึงย้อนกลับด้วยทำท่าทางเอื่อยเฉื่อยเพื่อแข่งความอดทนกับเธอ

   เตียวเสี้ยนแสร้งยืนนิ่งได้เพียงไม่นานก็ต้องหันไปมองสายตาคาดคั้นของนางงามทั้งเจ็ดที่กำลังนั่งไม่ติดที่ พวกเธอกำลังแสดงความร้อนรนออกมาโดยไม่อาจเก็บงำ การแข่งความอดทนในครั้งนี้จึงสมควรทราบผลตั้งแต่แรกแล้ว

  แม็กมีข้อมูลมากพอที่จะใจเย็นได้ ในขณะที่เตียวเสี้ยนและพรรคพวกนั้นขลุ่ยลำนำสวรรค์เป็นเสมือนสมบัติล้ำค่าที่สุดที่พวกเธอพยายามควานหา และเมื่อเบาะแสของสิ่งในตำนานอยู่เบื้องหน้า ต่อให้เธอใจเย็นกว่านี้ก็ยังไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้

   "... เจ้า ... เอาเถอะ ถือว่าข้ายอมแพ้ ข้าขอร้องก็แล้วกัน ได้โปรดบอกเบาะแสให้แก่ข้าเถอะ ขลุ่ยลำนำสวรรค์นั้นมีความสำคัญสำหรับพวกข้ามาก"

   "... เมื่อยไหล่จังเลยน้า ... ถ้ามีใครใจดีนวดให้ก็ดีซิ"

   แม้จะถูกอ้อนวอนขอร้อง แต่แม็กก็ยังเล่นตัวปิดปากเงียบ ทั้งยังแสร้งหยอกเย้านางงามทั้งแปดเล่น เทียนชูและเทียนหยางสองในเจ็ดพี่น้องสกุลเทียนที่ต้องการทราบข่าวสารโดยเร็วจึงรีบลุกขึ้นมาปรนนิบัตินวดบ่านวดไหล่ให้เขาคนละข้าง ด้วยหวังว่าเขาจะยอมเปิดปากเสียที

   "คุณชายอารมณ์ดีขึ้นหรือยังคะ"

   หญิงงามชุดแดงนามเทียนชูผู้เป็นพี่ใหญ่ของพี่น้องสกุลเทียนบีบนวดบ่าของเขาอย่างเอาอกเอาใจ พลางโน้มหน้าลงมาพูดกระซิบกระซาบยั่วเย้าที่ข้างใบหูจนแม็กรู้สึกหวิววูบเคลิบเคลิ้ม ด้านเทียนหยางนางงามชุดสีฟ้าที่อยู่อีกข้างก็กระทำแบบเดียวกัน หากทว่ายังรุกหนักกว่าด้วยการใช้ริมฝีปากขบที่ใบหูของเขาแผ่วเบา และใช้ลมหายใจราดรดใส่โดยไม่พูดอะไรแม้สักครึ่งคำ

   "นี่ถ้ามีคนป้อนน้ำป้อนอาหารสักหน่อยก็คงจะดีขึ้นนะ"

   แม้จะรู้สึกเคลิบเคลิ้มเบาหวิว แต่แม็กก็ยังถือโอกาสเอารัดเอาเปรียบต่อไปอีกหน่อย เนื่องจากมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าถือไพ่เหนือกว่า และความมั่นใจของเขาก็ไม่ผิดเพี้ยน เพราะเมื่อเขาเอ่ยปาก เตียวเสี้ยนก็แสดงสีหน้าแง่งอนมองค้อนเขาด้วยความงามหยดย้อย ก่อนจะขยับเอื้อมมือไปหยิบกับแกล้มอย่างหนึ่งขึ้นมาป้อนเขาถึงปาก

   แม็กอ้าปากงับรับประทานอย่างสุขสมอารมณ์หมาย แล้วจึงค่อยอ้าปากงับดื่มจอกสุราที่นางงามชุดเขียวยื่นให้ ซึ่งหากจำไม่ผิดเธอคนนี้น่าจะเป็นน้องเล็กชื่อเทียนอวี้ ส่วนนางงามอีกสามนางที่เหลืออยู่ก็ไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่า พวกเธอพากันห้อมล้อมเข้ามานวดแขนนวดขาให้ประหนึ่งนางสนมปรนนิบัตรต่อองค์จักรพรรดิ์ผู้หนึ่ง

   "ขลุ่ยลำนำสวรรค์ เป็นหนึ่งในเจ็ดเครื่องดนตรีแห่งสรวงสวรรค์ ที่แกะสลักจากหยกสวรรค์หมื่นปี ร่ำลือกันว่าเครื่องดนตรีหกชิ้นยังคงอยู่บนสรวงสวรรค์ แต่มีเทพผู้หนึ่งพาขลุ่ยลำนำสวรรค์ลงมาเผยแพร่ดนตรีแห่งสวรรค์ให้กับมนุษย์โลก และสืบทอดหลงเหลือเอาไว้ในการครอบครองของชนเผ่าที่ใกล้ชิดกับสวรรค์ที่สุดเผ่าหนึ่ง"

   แม็กทราบว่าเอารัดเอาเปรียบนางงามทั้งแปดพอสมควรแล้ว จึงเริ่มเอ่ยปากเปิดข้อมูลบางส่วนออกมาบ้าง และนั่นก็ทำให้นางงามทั้งแปดหันไปมองหน้ากัน และเริ่มรู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่าเขาน่าจะมีข้อมูลสำคัญบางอย่างจริง ๆ

   "ขลุ่ยลำนำสวรรค์ เป็นขลุ่ยหยกสีขาวใสไม่มีสีอื่นปนเปื้อน คนธรรมดาไม่สามารถบรรเลงบทเพลงได้ ต้องเป็นผู้เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์เทพ และมีพลังแห่งแสงอันบริสุทธิ์ในการบรรเลง ว่ากันว่าบทเพลงที่บรรเลงออกมานั้น สามารถชำระล้างความชั่วช้าได้ทั้งมวล"

   "โอ ท่านรู้จักมันจริง ๆ ... รีบบอกออกมาเถอะ ว่ามันอยู่ที่ใด"

   ข้อมูลที่บ่งบอกออกมานั้นเป็นความจริงมากกว่าที่บรรดานางงามทั้งแปดรับรู้ พวกเธอจึงบังเกิดความตื่นเต้นสุดระงับ สองนางงามเทียนชูและเทียนหยางที่นวดเฟ้นด้านหลังอยู่ ถึงกับลงทุนเปลืองเนื้อเปลืองตัวกดเบียดแนบทรวงอกเต่งแน่นลงบนแผ่นหลังของเขาไปด้วยอีกทาง

   หากเป็นบุรุษทั่วไปเมื่อเจอการปรนนิบัตเช่นนี้ คงไม่แคล้วต้องยอมเปิดปากบอกออกมาทุกสิ่งแล้ว หากยังดีที่แม็กพอจะมีภูมิคุ้นกันด้านนี้พอสมควร อีกทั้งเขายังตั้งเป้าหมายที่สูงกว่านี้จึงไม่ถึงกับยอมเปิดเผยทุกสิ่งอย่างออกไปโดยง่าย

   "บอกง่าย ๆ ก็ไม่สนุกซิ เรามาเดิมพันกันดีกว่า"

   "... คุณชายจะเดิมพันกับอะไรหรือ?"

   "เรามาแข่งกันสามอย่าง ผมเป็นคนเสนอหัวข้อทั้งสามอย่าง แข่งกับพวกเธอทั้งแปดคน ถ้าผมแพ้แม้แต่ครั้งเดียว ผมจะหาขลุ่ยลำนำสวรรค์มาให้"

   นางงามทั้งแปดต่างส่งเสียงร้องโอออกมาอย่างพร้อมเพรียง นั่นเพราะพวกเธอเพียงคิดว่า ขอเพียงได้ข่าวสารเกี่ยวกับลำนำสวรรค์สักเล็กน้อยก็ยอดเยี่ยมแล้ว หากทว่าเขากลับพูดว่าจะนำเอาสิ่งที่เป็นเหมือนกับตำนานชิ้นนั้นมาให้พวกเธอ เวลานี้พวกเธอจึงยังรู้สึกสุดที่จะเชื่ออยู่บ้าง

   "ท่านบอกว่าจะนำขลุ่ยลำนำสวรรค์มาให้พวกเรางั้นหรือ? หรือว่าเป็นเพียงแค่เบาะแสกันแน่? ข้าไม่แน่ใจ"

   "ถ้าแข่งกันแล้วผมแพ้สักครั้งในสามรอบ ผมจะหาขลุ่ยมาให้ ฟังไม่ผิดหรอก"

   "คุณชายท่านไม่ได้หยอกล้อพวกเราเล่นกระมัง"

   "ผมขอสาบานว่าไม่ได้พูดเล่น ผมหาขลุ่ยลำนำสวรรค์มาให้ได้จริง ๆ"


   เหล่านางงามแม้จะตื่นตระหนกยินดี หากทว่ายังไม่ได้เชื่อถือโดยสนิทใจ เพราะสิ่งนั้นทรงคุณค่าเกินไปที่คนธรรมดาคนหนึ่งจะสามารถมีไว้ในครอบครองได้ หากเป็นระดับเจ้าแห่งอาณาจักรสักแห่งพวกเธอคงจะเชื่อถือกว่านี้ แต่จะอย่างไรพวกเธอก็เลือกที่จะลองเชื่อดูก่อน อย่างน้อยหากเงื่อนไขไม่เลวร้ายนักก็อาจจะพอยอมรับได้

   "... เช่นนั้นแล้ว คุณชายต้องการสิ่งใด หากว่าท่านชนะการแข่งขันหมดทั้งสามรอบ?"

   "ขลุ่ยลำนำสวรรค์ เดิมพันกับสาวงามทั้งแปด ถ้าชนะสามรอบ พวกคุณทั้งหมดต้องมาเป็นทาสของผม"

   แม็กบอกอย่างตรงไปตรงมา พลางกวาดสายตามองดูนางงามทั้งแปดด้วยแววตาหมายมาด พวกเธอบ้างแสดงท่าทีเอียงอาย บ้างมองค้อนไม่ยอมหลบสายตา แต่ที่เหมือนกันก็คือพวกเธอไม่ได้มีท่าทีตำหนีติเตียนในเชิงลบ และดูจะมีท่าทียอมรับการเดิมพันครั้งนี้

   "ช่างเป็นปีศาจราคะที่น่าตายนัก ... ว่าแต่เจ้าต้องการเพียงแค่นี้หรือ พวกเราทั้งแปด เดิมพันกับสิ่งของในตำนานอย่างขลุ่ยลำนำสวรรค์นั่น หากเจ้าต้องการอะไรมากกว่านั้น ก็จงรีบบอกกล่าวออกมา เผื่อว่าพวกเราจะไม่สามารถวางเดิมพันสู้ได้"

   เตียวเสี้ยนและพวกชะงักไปวูบหนึ่ง คล้ายจะรอคอยรับฟังว่าเขามีข้อเรียกร้องอะไรอีก แต่เมื่อแม็กนิ่งเงียบ เตียวเสี้ยนจึงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย เวลานี้แม็กจึงต้องกลายเป็นฝ่ายงุนงงบ้าง เพราะเขาคิดว่าขลุ่ยลำนำสวรรค์ไม่น่าจะมีค่าขนาดเดิมพันกับสาวงามทั้งแปดได้ แต่พวกเธอกลับแสดงท่าทีราวกับว่าพวกเธอทั้งแปดคนต่างหากที่มีคุณค่าไม่เทียบเท่าขลุ่ยหยกชิ้นหนึ่ง

   "... เอ่อ ... ไม่หรอกเตียวเสี้ยน แบบนี้เหมาะสมแล้ว ขลุ่ยวิเศษในตำนาน เดิมพันกับนางฟ้าทั้งแปด"

   "เช่นนั้นก็ลองเสนอหัวข้อมาเถอะ ขอแค่เพียงไม่ใช่หัวข้อเอารัดเอาเปรียบเกินไป พวกเรายินดีรับเดิมพันครั้งนี้"

   ในขณะที่แม็กยังไม่เข้าใจถึงคุณค่าของสิ่งของ และบอกว่าขลุ่ยลำนำสวรรค์มีค่าเทียบเคียงกับพวกเธอทั้งแปด สตรีทั้งหมดก็พากันแย้มยิ้มพึงพอใจจนเขาตะลึงลาน รอยยิ้มนั้นดูงดงามและจริงใจยิ่งกว่าครั้งใด ราวกับไม่มีคำชมอันใดอีกแล้วที่จะควรค่าเท่าคำชมนี้ และนั่นทำให้เขายิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดขลุ่ยนั้นจึงมีคุณค่าอย่างยิ่งยวดในสายตานางงามทั้งแปด

   "อะแฮ่ม หัวข้อไม่เอาเปรียบแน่นอน พวกเธอเสียอีกที่จะได้เปรียบ หัวข้อแรกคือการประลองต่อสู้แบบหนึ่งต่อแปด หัวข้อที่สองคือการประชันด้วยดนตรี ส่วนหัวข้อที่สามขอเก็บไว้ก่อน"

   คราวนี้เหล่าสตรีทั้งแปดต่างก็แสดงท่าทีงุนงงสงสัยอย่างเห็นได้ชัด หัวข้อที่เสนอมาทั้งสองหัวข้อนั้นกล่าวได้ว่าพวกเธอได้เปรียบทั้งสิ้น พวกเธอทั้งแปดต่างก็มีวรยุทธ์ในระดับสูง อีกทั้งยังมีมากถึงแปดคน จึงสามารถก่อตั้งค่ายกลที่ถนัดได้

   ส่วนการประชันทางดนตรีนั้น พวกเธอแต่ละคนนับได้ว่าเป็นผู้นำทางดนตรีกาลในทวีปไชนี่ที่ไม่มีใครเทียบติด ส่วนหัวข้อที่สามแม้จะยังไม่บอกกล่าวออกมา แต่พวกเธอก็มั่นใจยิ่งว่าพวกเธอจะต้องชนะในสองหัวข้อแรกอย่างไม่ต้องสงสัย

   "ความจริงแล้วหัวข้อเหล่านี้ นับว่าเป็นประโยชน์ต่อพวกข้ายิ่ง แต่ข้าคงต้องบอกกล่าวให้เจ้าเข้าใจเสียก่อน ว่าพวกเรามิใช่สตรีอ่อนแอไร้กำลัง พวกเราแต่ละคนล้วนแล้วแต่เชี่ยวชาญในเชิงวรยุทธ์ไม่แพ้ลำนำกวีหรือดนตรีกาล ข้าเพียงอยากตักเตือนว่าที่เจ้าเสนอเช่นนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับให้เจ้ายกสิ่งของให้โดยไม่ต้องแข่งขัน"

   เตียวเสี้ยนกล่าวพลางส่ายหน้ายิ้มแย้มราวกับกำลังมองดูคนโง่งม จากนั้นเมื่อพูดจบร่างงามในอาภรณ์สีชมพูก็ลอยล่องขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับหยิบฉวยสิ่งที่คล้ายกับผ้ารัดเอวออกมา แล้วสะบัดออกกลายเป็นกระบี่อ่อนสีขาวที่พลิกพลิ้วไปมาราวกับใบไผ่

   เธอหมุนตัวตีลังกาเหมือนไม่มีแรงโน้มถ่วงของโลกปิดกั้น ยื่นเท้าไปแตะสัมผัสกับยอดไผ่สูงราวสี่เมตร แล้วนิ่งค้างอยู่ในสภาพคว่ำหน้าร่างขนานกับพื้นยื่นกระบี่ชี้และแย้มยิ้มมองลงมาเบื้องล่างราวกับเล่นมายากล

   นางงามยิ้มหวานละไมเมื่อเห็นความแตกตื่นในแววตาของชายหนุ่ม จากนั้นร่างงามก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้ายามราตรี ฝ่ามือขาวผ่องขยับวาดไปมาให้ความรู้สึกแลดูเชื่องช้าลึกลับหลอกหลอน หากทว่าการเคลื่อนไหวนั้นกลับทำให้เกิดประกายกระบี่สีเงินยวงแลบแปลบครอบคลุมไปทั่วบริเวณราวกับสายฝนที่เทกระหน่ำ เงากระบี่สะท้อนสะท้านแสงจันทร์และแสงจากโคมไฟด้านล่างเป็นประกายระยิบระยับพร่างพราวราวกับหมู่ดาวบนทางช้างเผือก

   กระบี่อ่อนในมือเตียวเสี้ยนแสดงความเปลี่ยนแปลงนานับประการสุดหยั่ง บ้างวิ่งเป็นเส้นโค้ง บ้างเส้นตรง บ้างวกไปวนมายากจะคาดเดาเส้นทางได้ และความพิศดารที่น่าตื่นตาตื่นใจเริ่มปรากฎให้เห็นมากขึ้น เมื่อใบไผ่บนต้นนับร้อยใบต่างพากันร่วงหล่นโปรยปลิวลงมา เพราะโดนวิถีกระบี่ของเตียวเสี้ยนตัดเข้าที่ขั้วใบอย่างแม่นยำ

   แม็กนั้นตื่นตกใจจนแทบจะอ้าปากค้างอยู่แล้ว เขาคิดว่าพวกเตียวเสี้ยนน่าจะเก่งกาจในระดับหนึ่ง เพียงแต่ไม่ได้คาดคิดว่าเธอจะเก่งกาจในระดับน่าตื่นตาตื่นใจถึงขนาดนี้ และประการสำคัญที่เขายังไม่ทราบก็คือ เหล่านางงามพี่น้องตระกูลเทียนอีกเจ็ดนางจะมีฝีมือในระดับที่ทัดเทียมกันกับเตียวเสี้ยนหรือไม่

   "นี่เรียกว่ากระบี่มารหมื่นแปร หนึ่งในเจ็ดวิถีปราณของเคล็ดวิชามารฟ้า พี่น้องของข้าแม้จะไม่เหนือล้ำกว่านี้ แต่ก็มีพลังฝีมือสามารถเทียบเคียงกับข้าได้ ... เจ้ายังคงแน่ใจในสิ่งที่เจ้าเดิมพันหรือไม่ เจ้าหน้าโง่"

   เตียวเสี้ยนกล่าวราวกับจะเตือนสติ ขณะค่อย ๆ ลอยล่องลงมาจากท้องฟ้ายามรัตติกาล และความงดงามของท่วงท่ากิริยาเหล่านั้นก็เทียบเทียมได้กับการจุติของนางฟ้าที่เหินร่อนลงมาสู่แดนดิน
   
   สิ่งที่เธอเพิ่งสำแดงออกมานั้น เป็นหนึ่งในสิบสุดยอดเคล็ดวิชาปราณในตำนานแห่งทวีปไชนี่ ซึ่งหากให้เทียบเป็นระดับของทักษะปราณแล้ว นี่นับได้ว่าเป็นปราณระดับแปดดาว ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีผู้เล่นคนไหนมีไว้ในครอบครอง ดังนั้นในเรื่องของระดับฝีมือแล้ว อาจกล่าวได้ว่าเตียวเสี้ยนนั้นอาจจะเก่งกาจติดหนึ่งร้อยอันดับแรกของทวีปไชนี่ก็คงไม่ผิดเพี้ยนนัก

   คำเตือนด้วยหวังดีของเตียวเสี้ยน ทำให้นางงามสกุลเทียนทั้งเจ็ดรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง เพราะพวกเธอคาดหวังอย่างยิ่งว่าจะได้รับเบาะแส หรือได้ครอบครองขลุ่ยลำนำสวรรค์ ดังนั้นหากแม็กเกิดไม่แน่ใจและยกเลิกการเดิมพัน พวกเธออาจจะพลาดจากสิ่งที่ตามหามานานก็เป็นได้

   "แน่ใจ ... เริ่มกันเลยมั้ย เข้ามาเลย ทั้งเจ็ดคนนั้นแหละ บอกก่อนนะ ว่าผมไม่ออมมือให้แน่ ดังนั้นลงมือให้เต็มที่ล่ะ"

   แม็กกล่าวพลางเอาสองมือไพร่หลังเดินนำไปยังพื้นที่โล่งแถบหนึ่งในป่าไผ่ ตั้งใจแสร้งทำเป็นเชื่อมั่นให้เหมือนกับจอมยุทธ์ผู้หนึ่งในภาพยนตร์จีนกำลังภายใน ทั้งที่ความจริงแล้วในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความลังเลไม่แน่ใจ พลังฝีมือของเตียวเสี้ยนทำให้เขาไม่เชื่อมั่น แต่ว่าเขาปักใจเชื่อในคำพยากรณ์ของคาร่ามากกว่า ดังนั้นหากคาร่าบอกว่าเขาสามารถเอาชนะได้ด้วยสิ่งของที่มีอยู่ เขาก็จะเชื่อเช่นนั้น

   อย่างไรก็ตาม ท่าทางที่แม็กตั้งให้ดูดีนั้น เมื่อปรากฎต่อสายตาของหญิงงามทั้งแปดกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง สำหรับพวกเธอที่มีวรยุทธ์ระดับหนึ่งนั้น เพียงปรายตามองการเคลื่อนไหวเล็กน้อยเช่นการเหยียบย่างเท้าก็พอจะคาดเดาพลังฝีมือของอีกฝ่ายในระดับหนึ่งได้ และท่าทางการเดินของเขานั้นมองอย่างไรก็คล้ายคนที่ไม่มีวรยุทธ์

   ฝ่าเท้าเหยียบย่ำลงไปบนพื้นดินเต็มที่คล้ายไม่มีวิชาตัวเบา ลักษณะของการเหยียบย่างก็ไม่ได้แฝงเคล็ดวิชาอันใด แม้แต่เศษเสี้ยวของพลังปราณก็ไม่สามารถสัมผัสได้ พวกเธอจึงไม่แน่ใจนักว่าที่แท้แล้วเขาไม่มีวรยุทธ์ หรือว่าสามารถหลอกลวงตบตาพวกเธอได้อย่างแนบเนียนกันแน่

   กระนั้นเมื่อครุ่นคิดต่อไป พวกเธอก็เริ่มคิดว่าเขาอาจไม่ใช่นักสู้สายปราณ แต่อาจจะเป็นนักสู้สายพลังจิตหรือเวทย์มนตร์ก็เป็นได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อพวกเธออยู่ร่วมกันถึงแปดคน กลับไม่เห็นว่าเขาจะทำอย่างไรได้

   เช้ง!!! เสียงอาวุธที่แตกต่างดังขึ้น หญิงงามทั้งแปดที่ยังไม่แน่ใจในพลังฝีมือของอีกฝ่าย เลือกที่จะไม่ประมาท พวกเธอต่างหยิบฉวยคว้าเอาอาวุธประจำกายที่แตกต่างกันออกมาเตรียมต่อสู้ ทั้งยังขยับเคลื่อนไหวโอบคลุมตามหลักการของค่ายกลมารฟ้าเจ็ดดาวเหนือ ทุกท่วงท่าแฝงความงดงามลี้ลับราวกับร่ายรำ

   นอกจากเตียวเสี้ยนที่ถือกระบี่อ่อนแล้ว สาวงามที่เหลือต่างก็ใช้งานอาวุธคนละแบบคนละประเภท ได้แก่ ดาบโค้ง กระบี่ยาว มีดสั้นสองมือ แส้ สนับแขน ทวน และอาวุธลับ อีกทั้งยังตั้งท่าในลักษณะที่แตกต่างราวกับมาจากคนละสำนักที่ไม่เกี่ยวข้องกัน

   พี่น้องสกุลเทียนทั้งเจ็ดขยับเคลื่อนไหวตามตำแหน่งของหมู่ดาว ในขณะที่เตียวเสี้ยนนั้นเพียงเดินไปมาอย่างเชื่องช้าคล้ายไม่เกี่ยวข้องอันใดกับการเคลื่อนไหวของค่ายกล หากทว่าในความเรียบง่ายนั้นกลับแอบแฝงปรัชญาอันลึกล้ำที่สนับสนุนค่ายกลเจ็ดดาวเหนือให้ทรงพลังขึ้นอีกขั้นหนึ่ง และค่ายกลนี้เอง ที่ทำให้พวกเธอสามารถต่อกรกับลิโป้ยอดขุนพลในตำนานของทวีปไชนี่และเหล่าลูกสมุนจนหนีรอดออกมาได้

   หากเป็นจอมยุทธ์ระดับสูงจะอย่างไรก็ต้องสัมผัสได้ถึงความล้ำลึกของค่ายกลจนต้องเคร่งเครียด กระแสปราณของนางงามทั้งแปดถูกค่ายกลหล่อหลอมราวกับปราณที่มีชีวิตขุมหนึ่ง

   ปราณเหล่านั้นส่งผลต่อประสาทสัมผัสทำให้เกิดความรู้สึกหลอกหลอน ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็นของดวงตา การรับฟังเสียงของใบหู การได้กลิ่นของจมูก หรือแม้แต่การสัมผัสพลังปราณก็ยังเกิดการผิดเพี้ยน

   หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป เพียงมองดูการเคลื่อนไหวของเหล่านางงามก็จะบังเกิดความรู้สึกหลอกหลอนราวกับมองเห็นนางงามผู้เลอโฉมทำการร่ายรำ หากเป็นจอมยุทธ์ทั่วไปเมื่อโดนภาพหลอนก็แทบไม่สามารถสู้รบต่อได้  แม้แต่ลิโป้ก็ยังโดนบิดเบือนประสาทสัมผัสจนแทบสิ้นชีพใต้ค่ายกลนี้มาแล้ว

   อย่างไรก็ตามแม็กที่ไม่มีความรู้เรื่องพลังปราณนั้นกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เขาเพียงสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างในค่ายกล แต่ไม่ทราบในรายละเอียด ทั้งยังไม่โดนค่ายกลหลอกหลอนจนประสาทสัมผัสสับสนแม้แต่น้อย เพราะว่าเขาสามารถรับรู้สภาพรอบข้างได้จากสัมผัสของกาลเวลาที่ล้ำลึกยิ่งกว่าค่ายกลมารฟ้าเจ็ดดาวเหนือ เวลานี้เขาจึงเพียงยืนมองดูท่วงท่าอันอ่อนช้อยงดงามราวกับร่ายรำของสาวงามโดยไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอันใด

   'หรือว่าเขาจะฝึกปรือถึงขั้นผสานเข้ากับลมปราณธรรมชาติแรกเริ่มแล้ว จึงไม่รู้สึกรู้สาอะไร?'

   นางงามทั้งแปดต่างแปลกใจจนเผลอคิดแบบเดียวกัน เวลานี้พวกเธอต่างเชื่อว่าแม็กไม่ใช่ชาวบ้านที่ไร้วรยุทธ์ เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ตกสู่ภวังค์จากอิทธิพลของค่ายกล พวกเธอจึงเผลอมองเขาสูงส่งไปถึงระดับขั้นสุดยอดแห่งพลังลมปราณ ทั้งที่ความจริงแล้วกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

   พวกเธอเริ่มรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะจากการประเมินเบื้องต้นนั้นชายหนุ่มที่ดูไร้พิษสงคนนี้ดูจะตึงมือกว่าที่คาดคิด แต่จะอย่างไรพวกเธอก็ยังเชื่อมั่นในค่ายกลของตนเอง เพราะแม้แต่ลิโป้ขุนพลในตำนานก็ยังต้องย่ำแย่เพราะค่ายกลนี้ อีกทั้งเวลานี้พวกเธอยังอยู่ในพื้นที่พิเศษอย่างเรือนจันทราซ่อน ที่ทำให้ค่าพลังปราณสูงสุด และการฟื้นฟูเพิ่มขึ้นสิบเท่า นักรบสายปราณเช่นพวกเธอจึงถือว่าได้เปรียบกว่าสายอื่น

   เทียนอวี้น้องเจ็ดในชุดอาภรณ์สีเขียวหลิ่วตาให้กับเทียนซางน้องสี่ในชุดดำ ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มขยับฝ่ามือเรียวงามวูบไหวไปมาเพื่อโจมตีหยั่งเชิงจากระยะไกล เทียนอวี้ขยับซัดอาวุธลับขนาดเล็กรูปร่างคล้ายเข็มสองชิ้นพุ่งแหวกฝ่าอากาศโดยไร้เสียง ในขณะที่เทียนซิ่งสะบัดแส้ในมือขวาแหวกอากาศดังฟุ่บเพื่อดึงดูดความสนใจจากด้านหน้า

   หนึ่งจู่โจมจากด้านหน้าอย่างเปิดเผย ในขณะที่อีกหนึ่งใช้อาวุธลับที่ไร้เสียงจากด้านหลัง เพียงการโจมตีเริ่มต้นก็เพียงพอที่จะทำให้นักสู้ระดับกลางพ่ายแพ้แล้ว หรือแม้แต่ยอดขุนพลอย่างลิโป้เองก็ยังต้องรับมือด้วยความยากลำบาก หากทว่าคู่ต่อสู้ของพวกเธอในวันนี้กลับสามารถรับมือได้ง่ายดายจนพวกเธอต้องตื่นตระหนก

   เพียงแค่พวกเธอเริ่มทำการจู่โจม ก็พลันปรากฎโซ่สีเงินระยิบระยับลื่นไหลออกมากแขนเสื้อทั้งสองข้างของแม็ก การเคลื่อนไหวของโซ่นั้นเต็มไปด้วยความสง่างามจนแลดูคล้ายเชื่องช้า หากทว่าในเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาทีนั้น ปลายโซ่กลับยืดยาวออกมาข้างละเกือบสองวาราวปฏิหารย์แล้วสะบัดวูบจนเห็นเป็นเงาสีเงินพร่างพราวงดงาม

   เคร้ง!! โซ่ในมือขวาของเขาสะบัดมาด้านหลังกระแทกปะทะเข้าใส่เข็มบินทั้งสองเล่ม ในขณะที่โซ่ในมือซ้ายขยับเลื้อยควงสว่านราวกับพญาอสรพิษเข้ารัดพัวพันกับแส้สีดำที่โดนฟาดหวดมาจากด้านหน้า การโจมตีของสองนามงามจึงไร้ผลโดยสิ้นเชิง

   ที่ย่ำแย่กว่าก็คือในการรับนั้นกลับแฝงด้วยการรุกอันน่าสะพรึง เข็มบินที่โดนกระแทกใส่ลอยลิ่วกลับไปหาเทียนอวี้น้องเจ็ดด้วยความเร็วยิ่งกว่าขามา ส่วนด้านหน้านั้นโซ่สีเงินเลื้อยพัวพันไล่ล่วงลึกไปจนเกือบถึงข้อมือขาวผ่องของเทียนซางน้องสี่ของพี่น้องสกุลเทียนแล้ว

   ย่าห์!!! ขณะที่สองนางงามกำลังย่ำแย่ นางงามอีกสองที่อยู่ในตำแหน่งสนับสนุนของค่ายกลก็รีบเร่งเคลื่อนไหว เทียนซิ่งน้องหกในชุดเหลืองสะบัดทวนแหวกอากาศดังฟุ่บ พุ่งส่วนปลายอันแหลมคมเข้าปะทะกระแทกกับปลายโซ่ที่ทำท่าเหมือนจะฉกใส่ข้อมือของนางงามใช้แส้

   เทียนเซิงน้องห้าขยับมือวูบไหวราวกับร่ายรำ เธอใช้สนับมือและสนับแขนเข้ากระแทกปะทะเบี่ยงเบนเข็มบินที่พุ่งกลับไปหาเทียนอวี้ที่ใช้อาวุธลับ

   เสียงปะทะสามเสียงดังขึ้นแทบจะพร้อมเพรียง เทียนซิ่งสามารถสะบัดทวนกระแทกใส่ปลายโซ่ได้สำเร็จ แต่ก็รับรู้ได้ถึงแรงปะทะที่แฝงมากับปลายโซ่จนข้อมือชาด้าน พลังปราณภายในปั่นป่วนรวนเรสับสน ร่างงามถึงกับปลิวลิ่วไปปะทะเข้ากับสตรีที่ใช้แส้จนทั้งคู่ถอยกรูดไปด้านหลังห้าถึงหกก้าว

   ด้านเทียนเซิงที่ใช้สนับมือและแขนเข้ารับเข็มบินก็หนักแรงไม่แพ้กัน เข็มบินที่เบาหวิวควรไร้พลังกระแทกกลับหนักหน่วงราวกับค้อนทุบ สนับแขนชั้นดีถึงกับแตกร้าวเพราะปลายเข็มจิ้มทะลุเข้าไปได้ส่วนหนึ่ง แขนทั้งสองข้างถึงกับชาด้าน ร่างงามลอยละลิ่วไปเบื้องหลังปะทะเข้ากับน้องเจ็ดที่อาวุธลับจนปลิวลิ่วไปพร้อมกัน

   เพียงเริ่มโจมตีสี่ในเจ็ดพี่น้องก็เริ่มเพลี่ยงพล้ำ เหล่านางงามที่เหลือแม้จะแตกตื่น แต่ก็ยังมีสติรีบเร่งกู้สถานการณ์กลับคืน เทียนชูพี่ใหญ่ควงดาบโค้งวูบไหวพุ่งเข้าหาจากด้านข้าง เทียนหยางพี่รองสะบัดกระบี่ยาวในมือพุ่งเข้าหาจากอีกด้านหนึ่ง เทียนหวิงพี่สามควงมีดสั้นสองมือเข้าหา กลายสภาพเป็นสามคนพุ่งเข้าใส่จากสามด้านพร้อมกัน เหลือแต่เพียงเตียวเสี้ยนที่คุมเชิงอยู่ด้านนอก

   เงาดาบ เงากระบี่ และเงามีดสั้น แผ่ครอบคลุมราวกับสายฝนซัดสาด ทุกแง่มุมต่างปรากฎเงาดาบกระบี่เกลื่อนกลาดจนแม้แต่แมลงสักตัวก็ไม่อาจหลบรอด อีกทั้งอานุภาพของพลังปราณที่แฝงมากับคมดาบคมกระบี่ในแต่ละท่วงท่าก็ยอดเยี่ยมจนสามารถผ่าท่อนไม้ได้ราวกับหั่นเต้าหู้

   "Ruler (ผู้ควบคุม)"

   ชายหนุ่มที่เป็นเป้าหมายกลับยังคงยืนด้วยความสงบนิ่ง เขาเพียงส่งเสียงเรียกใช้ทักษะโดยไม่มีใครทราบ และนั่นคือทักษะระดับสิบดาวที่ได้รับมา มันคือทักษะที่สามารถเพิ่มพลังให้ตนเอง 100% เพิ่มให้พันธมิตร 50% และลดพลังของผู้อื่นลง 25%

   พริบตานั้นพลกำลังของเหล่านางงามก็หายสาปสูญไปถึงหนึ่งในสี่ส่วน กระบวนท่าที่แลดูสมบูรณ์พร้อมจึงเกิดการชะงักงันเผยให้เห็นช่องโหว่ที่ไม่สมควรมี ขณะเดียวกันโซ่ทิวากาลสีเงินยวงก็แผ่พลังที่เข้มข้นกว่าเดิมอีกเท่าตัวออกมา พร้อมกับการแผ่ขยายยืดยาวคล้ายกับพญาอสรพิษตัวใหญ่

   เคร้ง เคร้ง เคร้ง ... เสียงโลหะปะทะกระแทกกันถี่ยิบในเสี้ยววินาที สะเก็ดไฟแลบแปลบไปทั่วบริเวณ และนั่นทำให้เหล่านางงามพากันตื่นตกใจยิ่งกว่าเดิม เพราะการเกิดสะเก็ดไฟขณะปะทะกันนั้น แสดงให้เห็นว่าเนื้อโลหะของอาวุธถูกทำลายจนบิ่นหักเสียหาย และความชำนาญในเชิงยุทธ์ทำให้พวกเธอทราบดีว่าความเสียหายนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับอีกฝ่าย แต่เกิดขึ้นกับอาวุธคู่มือของตนเอง

   ภายหลังเสียงปะทะนางงามพี่ใหญ่ พี่รอง และพี่สามก็ปลิวลิ่วไปด้านหลัง ดาบใหญ่ กระบี่ยาว และมีดสั้นคู่ ล้วนแล้วแต่บังเกิดรอยบิ่นถี่ยิบ ซึ่งนี่ไม่ใช่เพราะอาวุธของพวกเธอเป็นของไม่ดี อาวุธของพวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นอาวุธหกดาวในระดับสูง เพียงแต่ที่พวกเธอไม่รู้ก็คือ พวกเธอต้องปะทะกับโซ่ทิวากาลที่เป็นถึงอาวุธระดับแปดดาวที่เกือบจะเป็นเก้าดาว

   ความต่างชั้นของอาวุธ เพียงระดับเดียวก็ย่ำแย่แล้ว แต่นี่กลับต่างกันถึงสองระดับ อีกทั้งพลังของอีกฝ่ายยังถูกเสริมขึ้นไปเท่าตัว ในขณะที่ตัวเองโดนลดพลัง การปะทะครั้งนี้เพียงครั้งเดียวจึงทำให้นางงามทั้งสามลมปราณปั่นป่วนแทบหมดสภาพไป

   "ที่แท้เจ้าไม่ใช่หน้าโง่ แต่เป็นถึงปรมาจารย์ยุทธ์ ช่างซุกซ่อนตัวตนได้ยอดเยี่ยมนัก ... รับมือ!!!"       

   เตียวเสี้ยนยิ้มที่มุมปากขณะเหินร่างขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับกระบี่อ่อนสองเล่มในมือซ้ายและขวา แววตาของเธอที่มองดูแม็กเปลี่ยนไปเล็กน้อย คล้ายกับชื่นชมพอใจในสิ่งที่เห็น แต่เรื่องชื่นชมก็ส่วนชื่นชม เรื่องท้าประลองก็ส่วนท้าประลอง

   "เคล็ดจันทราดับสูญ หนึ่งในเจ็ดเคล็ดวิถีแห่งวิถีมารฟ้า"

   เธอบ่งบอกชื่อวิชา พลางวาดกระบี่อ่อนสองเล่มเป็นวงกลมขนาดแตกต่างสองวงซ้อนทับกัน จากนั้นเรื่องราวแปลกประหลาดก็พลันบังเกิดขึ้น วงกลมที่ซ้อนทับกันนั้นกลับแฝงแรงดึงดูด กลายสภาพเป็นสิ่งที่คล้ายกับหลุมดำหลุมหนึ่ง และแรงดูดนั้นก็มากพอที่จะทำให้ร่างของแม็กเริ่มลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อย อย่าว่าแต่สรรพสิ่งรอบด้านที่กำลังลอยคว้างขึ้นไปบนอากาศ

   แม็กเบิกตามองรอบด้านด้วยความตื่นเต้นสงสัยเป็นครั้งแรก เพราะพลังฝีมือของเตียวเสี้ยนดูจะสูงส่งกว่าเจ็ดพี่น้องราวสองถึงสามขั้น และหากว่าเขาต้องสู้ด้วยตัวเองแล้ว คงต้องพ่ายแพ้ไร้ทางสู้อย่างไม่ต้องสงสัย

   เวลานั้นโซ่แห่งทิวากาลสะบัดกระแทกกับพื้นอย่างไม่มีความหมายครั้งหนึ่ง แต่แม็กแปลความหมายออกว่ามันกำลังเรียกร้องความสนใจ เหมือนเด็กน้อยที่กำลังจะสำแดงอะไรที่สุดยอดยิ่งกว่าให้พ่อแม่เห็น และเมื่อเขาหันไปมองดูก็พบว่าเขาคิดถูกต้อง

   เมื่อปรายตามองไป เจ้าโซ่ทิวากาลก็ขยับวูบไหวไปมาด้วยท่วงท่าแปลกประหลาด มันหมุนคว้างเป็นวงก้นหอยชี้ปลายไปยังหลุมดำเบื้องหน้าของเตียวเสี้ยน จากนั้นพลังปราณในร่างของแม็กที่เจ้าตัวใช้ไม่เป็นก็ถูกรีดเร้นออกมาใช้งานโดยโซ่ทิวากาล

   การหมุนคว้างนั้นสร้างวงกลมย่อยที่ต่อกันเป็นเส้นตรงหลายวง จวบจนกระทั่งเมื่อเสร็จเรียบร้อย กระแสปราณก็พุ่งวาบผ่านวงกลมย่อยไปทีละวง เริ่มจากพลังปราณเพียงเล็กน้อยในช่วงแรก เมื่อผ่านวงกลมหนึ่งวงก็ถูกขยายขึ้นมาเกือบสิบเท่า และเมื่อกระแสปราณพุ่งผ่านวงกลมสุดท้าย สิ่งที่ปรากฎออกมากลับแลดูราวกับมังกรสายฟ้าขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง

   คราวนี้กลับเป็นเตียวเสี้ยนและนางงามสกุลเทียนที่ต้องเบิกตาค้างตื่นตะลึง เจ้ามังกรสายฟ้าคล้ายไม่แยแสสนใจต่อหลุมดำที่สร้างขึ้นจากเคล็ดจันทราดับสูญแม้แต่น้อย มันพุ่งวาบเข้าไปในใจกลางของหลุมดำ ก่อนจะปรากฎแสงและสายฟ้าแลบแปลบกระจายออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง

   เตียวเสี้ยนพยายามรีดเร้นลมปราณเพื่อคงสภาพหลุมดำเอาไว้ หากทว่านั่นคล้ายกับการยืนรับหินยักษ์ที่ถล่มจากยอดเขา เพียงไม่กี่วินาที หลุมดำก็ปรากฎรอยแตกร้าวแล้วระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ในขณะที่เตียวเสี้ยนนั้นถึงกับต้องกระอักเลือดร่วงหล่นลงมาจากด้านบนโดยไร้การควบคุม

   เจ็ดพี่น้องสกุลเทียนต่างเบิกตาค้างเพราะไม่สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้ทัน แต่ว่าโซ่สีเงินที่คล้ายมีชีวิตนั้นก็ขยับวูบมารองรับร่างของเตียวเสี้ยน แล้วปล่อยวางให้เธอนอนหอบหายใจหนักหน่วงบนพื้นโดยไร้ซึ่งอันตรายอันใด

   เวลานี้หกในแปดนางงามต่างก็ตกอยู่ในสภาวะลมปราณปั่นป่วนหมดทางสู้ไหว โดยเฉพาะเตียวเสี้ยนที่บาดเจ็บภายในหนักที่สุด เหลือก็แต่เพียงเทียนอวี้น้องเล็กที่ใช้อาวุธลับ และเทียนซางน้องสี่ที่ใช้แส้

   สองสาวงามสบตากันวูบหนึ่ง และตกลงกันว่าจะไม่ยอมแพ้ แต่เมื่อเห็นกับตาว่าการต่อสู้ในระยะประชิดนั้นไม่มีทางสู้ พวกเธอทั้งสองจึงใช้วิชาตัวเบาทิ้งระยะห่างออกไป แล้วทำการโจมตีจากระยะไกลเพื่อเสียงโชค

   การโจมตีเพียงนี้ย่อมทำอะไรไม่ได้ แต่ถอยห่างคล้ายหลบหนีของสองสาวงามทำให้เจ้าโซ่ทิวากาลหงุดหงิดอยู่บ้าง เพราะระยะทำการของมันไม่ได้ไกลถึงเพียงนั้น สุดท้ายเจ้าโซ่จึงตวัดไปเกี่ยวกับยอดไผ่ แล้วออกแรงกระชากร่างเจ้าของให้ลอยลิ่วตามเหยื่อที่เหลือไปจนเจ้าตัวร้องเหวอ

   แม็กส่งเสียงอุทานออกมาโดยไม่ได้ตั้งตัว เพราะเวลานี้ร่างของเขาลอยลิ่วอยู่เหนือป่าไผ่ราวห้าเมตร ก่อนจะหล่นวูบลงไปจนท้องน้อยเบาหวิวแล้วลอยลิ่วขึ้นมาใหม่ เวลานี้เจ้าโซ่ทิวากาลเพียงสนใจการไล่ล่า ไม่ได้สนใจความเป็นอยู่ของเขานัก จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นโซ่ที่ใช้คน ไม่ใช่คนใช้โซ่

   อย่างไรก็ตาม การไล่ล่าก็ดำเนินไปไม่เนิ่นนานนัก แม้การเคลื่อนไหวของแม็กจะดูทุลักทุเล แต่ก็ยังสามารถตามทันการเคลื่อนไหวด้วยวิชาตัวเบาของเทียนอวี้และเทียนซางได้ หลังจากวิ่งห่างออกมาจากป่าไผ่ได้สักระยะแขนสี่ข้างของสองสาวก็โดนรวบชี้ขึ้นฟ้า  ในสภาพหันหน้าเข้าหากัน สองขาที่ลอยเหนือพื้นก็โดนล่ามติดกันจนแทบกระดุกกระดิกร่างไม่ได้

   "ทำได้ดีมากเจ้าโซ่สุดเทพ ... ยอมแพ้หรือยังจ๊ะสาว ๆ"

   แม็กเดินเข้าไปหาสองสาวด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ พร้อมกันนั้นเขาก็ใช้มือลูบเจ้าโซ่ทิวากาลที่ขยับปลายส่วนหนึ่งเข้ามาใกล้ ก่อนจะพบว่าเจ้าโซ่ชิ้นนี้กำลังระริกด้วยความดีใจเหมือนลูกหมาตัวน้อยที่ได้รับคำชมจากเจ้าของ

   "คุณชายช่างเจ้าเล่ห์นัก ที่แท้ก็แสร้งอ่อนแอเก็บงำฝีมือ"

   "ยอมแพ้ก็ได้ค่ะคุณชาย ปล่อยพวกเราก่อนได้หรือไม่"

   เทียนซางนางงามชุดดำเบะปากเล็กน้อย คล้ายกับเสียหน้าที่ประเมินเขาผิดไป ส่วนเทียนอวี้น้องเล็กชุดเขียวนั้นกลับหันมากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแฝงความขัดเขินอยู่บ้าง

   ท่าทางขัดเขินของเทียนอวี้ทำให้แม็กต้องหันไปมองดูสองสาวที่โดนขึงพืดอยู่ด้วยความสนใจกว่าเดิม และเขาก็ได้พบว่าเวลานี้ร่างงามสองร่างถูกบีบรัดให้เบียดเสียดเข้าหากัน ทรวงอกอวบอิ่มที่ใหญ่โตไม่น้อยสองคู่เบียดเข้าหากันอย่างแนบแน่นน่าดูชม

   สายตาวาววับของแม็กที่มองดูทำให้สองสาวงามหน้าแดงก่ำ แม้จะยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่การผ่านโลกมาเยอะทำให้พวกเธอรู้ว่าสายตาเช่นนั้นหมายความเช่นไร และที่น่าแปลกก็คือนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเธอมีอารมณ์ตอบสนองต่อสายตาหื่นกระหายของบุรุษ

   'เทียนซาง ระดับความใคร่ 77%  ระดับความรัก 53%'
   'เทียนอวี้ ระดับความใคร่ 82%  ระดับความรัก 62%'

   แม้ว่าสีหน้าท่าทางจะแสดงอารมณ์ออกมาแล้วส่วนหนึ่ง แต่ข้อความจากระบบที่เด้งขึ้นมาบอกแม็ก ก็ยิ่งเป็นการเปิดเผยความคิดของสองสาวงามออกมาจนหมดสิ้น พวกเธอกำลังมีอารมณ์ตอบสนองต่อสายตาของเขาแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้แทบไม่มีอะไรก้าวหน้าเลย

   "ทำไมบทจะขึ้นก็ขึ้นกันง่าย ๆ เลยหว่า ไอ้ตัวเลขพวกนี้?"

   แม็กบ่นพึมพำเบา ๆ ด้วยความงุนงงไม่เข้าใจ ซึ่งความจริงแล้วผลของทักษะรัก ๆ ใคร่ ๆ นั้นก็ไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรมากมายนัก ขอเพียงแค่เพศตรงข้ามให้ความสนใจไม่ว่าในแง่ใดก็ตาม ความรู้สึกนั้นก็จะถูกกระตุ้นขยายมากขึ้นตามการสุ่ม ยิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามสนใจมาก ก็ยิ่งส่งผลรุนแรง

   ยกตัวอย่างเช่นในกรณีนี้ เทียนอวี้และเทียนซางเคยลอบสาบานตนว่าสามีของพวกเธอจะต้องแข็งแกร่งสามารถเอาชนะพวกเธอเจ็ดพี่น้องได้ และเมื่อแม็กสามารถทำได้ อารมณ์ความรู้สึกจึงเปิดรับแล้วส่วนหนึ่ง เมื่อเจอเข้ากับทักษะรัก ๆ ใคร่ ๆ ที่ถูกขยายด้วยทักษะ Ruler อีกต่อหนึ่งก็เลยกลายเป็นการก้าวหน้าครั้งใหญ่

   สำหรับตัวเลขระดับความรักและใคร่นั้น คนทั่วไปจะเริ่มที่ศูนย์ หากมีความสนิทสนมคบหากันฉันท์คนรักในระดับทั่วไป ก็อาจจะอยู่ที่ระดับไม่เกิน 30% ในระดับนี้อารมณ์จะยังไม่อยู่เหนือสติมากนัก แต่หากเมื่อตัวเลขพวกนี้มากกว่า 70% อารมณ์ก็จะเริ่มอยู่เหนือสติ หากตัวเลขความใคร่มากกว่า 70% ก็ไม่ต่างอะไรกับการโดนยาปลุกอารมณ์ทางเพศอย่างแรงขนานหนึ่ง

   "คุณชาย ท่านจะทำอะไร?"

   เทียนอวี้ถามพลางหอบหายใจหนักหน่วงขึ้น เพราะเขากำลังเดินเข้ามาหาพวกเธอสองพี่น้องด้วยแววตาวิบวับแปลกประหลาด อีกทั้งเวลานี้ส่วนที่ไวต่อความรู้สึกเช่นปลายถันนั้นกำลังบดเบียดอยู่กับเทียนซางพี่ลำดับสี่จนรู้สึกวาบหวิวยิ่ง

   ด้านเทียนซางนั้นก็รู้สึกวาบหวิวไม่แพ้เทียนอวี้ อารมณ์ใคร่ทำให้ร่างกายของเธอตื่นตัว ปลายถันที่แข็งเป็นดเม็ดยิ่งเบียดกับน้องเล็กก็ยิ่งวาบหวิว เพียงแต่เธอมีนิสัยไม่ค่อยพูดจานัก จึงเพียงมองดูชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหาด้วยแววตาที่ผสมผสานระหว่างความหวั่นเกรงและความคาดหวัง

   "ช่วยปลดโซ่ให้ไงล่ะ"

   แม็กยิ้มกริ่มพลางเดินเข้าไปใกล้แล้วเอื้อมมือไปแตะสัมผัสกับแผ่นหลังของสองสาวคนละข้าง และสัมผัสเพียงแผ่วเบานั้นก็พอแล้วที่จะทำให้สองสาวไร้เดียงสาสะดุ้งแอ่นจนส่วนไวต่อความรู้สึกเบียดเสียดสร้างความวาบหวิวกว่าเดิม

   "คุณชาย ..."

  เทียนอวี้คิดส่งเสียงห้ามปรามการลวนลามซึ่งหน้าแบบนี้ หากทว่าอารมณ์ร้อนแรงที่แทรกเข้ามา ทำให้เธอเลือกที่จะไม่พูด แล้วยอมนิ่งเงียบให้เขาใช้เหตุผลที่ไม่เข้าท่าเอารัดเอาเปรียบ ซึ่งเทียนซางก็กระทำแบบเดียวกัน

   แม็กยิ่งยิ้มกริ่มเมื่อเห็นท่าทางการตอบสนองของสองสาว เมื่อครู่นั้นเขาเพียงทดลองหยั่งเชิงดูว่าอีกฝ่ายจะเล่นด้วยหรือไม่ และเมื่อสองสาวไม่มีท่าทีต่อต้าน ทั้งยังตอบสนองแบบนี้ ก็ถือว่าไม่มีปัญหาแล้ว

   "อย่านิ่ง ๆ นะ อย่าขยับเยอะ โซ่นี่มันแกะยากพอสมควร"

   พูดพลางวางสองมือลงไปลูบไล้แผ่นหลังเรียบเนียนของสองสาวงาม ขยับต่ำลงไปสัมผัสความเต่งตึงของสะโพกก้นจากด้านนอกอาภรณ์เนื้อบางจนเทียนอวี้และเทียนซางสะดุ้งโหยง ฝ่ามือร้อนผ่าวลูบไล้แผ่วเบาเพื่อกระตุ้นอารมณ์ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เริ่มบีบขยำแรงขึ้นเพื่อเสพความหนั่นแน่นของเนื้อสาว

   สองสาวงามที่สะดุ้งโหยงเป็นระยะเริ่มรับรู้ได้ถึงความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง ยิ่งเวลาผ่านก็ยิ่งรู้สึกกระสับกระส่ายอยากให้เขาแตะสัมผัสให้เร่าร้อนและล้ำลึกกว่านี้

   "หอมจัง"

   หมาป่าหนุ่มอย่างแม็กย่อมเข้าใจอารมณ์ของหญิงสาวเป็นอย่างดี เขากล่าวชมพลางขยับเข้าไปโอบกอดสองร่างในคราวเดียว มือสองข้างอ้อมหลังสองสาวแล้วแทรกเบียดตะปบขยำลงบนทรวงอกกลมดิกที่เบียดเสียดกันอยู่จนพวกเธอสะดุ้งโหยงพร้อมกัน

   เทียนซางเผลออ้าปากส่งเสียงครางเพียงวูบเดียว ริมฝีปากสีแดงสดก็โดนเขาประกบจูบอย่างหนักหน่วงรุนแรง ลีลารุกเร้าที่สอดแทรกเข้าไปพัวพันในโพรงปากทำให้สติของเธอสูญสลายหายวับ เผยอปากเปิดทางให้เขาบรรจงจูบแลกลิ้นอย่างเต็มที่

   ด้านเทียนอวี้ที่ใบหน้าเกือบแนบชิดกันนั้นกำลังรู้สึกราวกับโดนแย่งของเล่นชิ้นโปรด เธอเหม่อมองดูบทจูบของเทียนซางกับแม็กครู่หนึ่ง ก่อนจะทนเสน่ห์กลิ่นกายของบุรุษไม่ไหว โน้มหน้าไปจูบหอมแก้มของเขาเพื่อเรียกร้องความสนใจ และนั่นก็ได้ผลไม่น้อย

   เพียงครู่เดียวเทียนอวี้ก็สมหวัง เขาผละจากริมฝีปากของเทียนซาง แล้วหันมาประกบจูบปากกับเธออย่างดูดดื่มยิ่งกว่าที่เธอเคยจินตนาการ และนั่นก็ทำให้ปราการป้องกันตัวพังทลายลงจนหมดสิ้น เวลานี้เธอพร้อมแล้วที่จะมอบความสาวให้แก่บุรุษผู้นี้

   ราวกับจะรับรู้ความคิดของสองสาว เจ้าโซ่ทิวากาลค่อย ๆ คลายการพันธนาการออกอย่างเชื่องช้า ปล่อยให้สองนางงามแย่งชิงกันโอบแขนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเจ้านายอย่างเต็มที่

   แม็กนั้นกำลังอยู่ในอารมณ์หื่นกลัดมันไม่แพ้สองนางงาม รสสวาทของสองสาวนั้นไม่ซ้ำกัน เขาจูบปากพวกเธอสลับไปมา ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปจูบไซร้ซอกคอจนสองสาวตัวอ่อนระทวย เสื้อผ้าอาภรณ์เริ่มโดนปลดออกทีละน้อยจนทรวงอกอวบอิ่มปรากฎออกมาให้บีบขย้ำโดยไม่มีสิ่งปิดกั้น

   เทียนอวี้และเทียนซางร่ำร้องครวญครางบิดกายไหวไปมาด้วยความซาบซ่านเสียวสยิว ยิ่งเขาบีบขยี้เนื้อตัวก็ยิ่งบังเกิดความรู้สึกสุขสม ยิ่งเขาเล้าโลมจูบไซร้อย่างหื่นกระหาย สัญชาตญาณการสืบพันธุ์ของเพศเมียก็ยิ่งตื่นตัวจนยากขัดขืน พวกเธอจึงไม่มีความคิดขัดขืนแม้แต่น้อย เมื่อเขาฉกมือวูบต่ำลงไปบดขยี้สัดส่วนซ่อนเร้นเบื้องล่าง

   ร่างบางสองร่างกระตุกเฮือกเล็กน้อยเมื่อเขาสอดแทรกปลายนิ้วรุกล้ำเข้ามาพร้อมกัน เทียนอวี้และเทียนซางกอดรัดร่างกำยำอย่างแน่นหนา ทั้งยังยื้อแย่งกันจูบพรมใส่ใบหน้าและลำคอของเขาด้วยลีลาเร่าร้อน น่าเสียดายที่เขามีเพียงปากเดียวจึงต้องสลับแบ่งกัน

   เมื่อเขาเริ่มขยับปลายนิ้วเข้าออก เสียงสูดปากร่ำร้องซี้ดซ้าดก็แว่วดังผสานออกมาพร้อมกับความเปียกแฉะที่ซึมเยิ้มออกมาจากส่วนนั้น ร่างงามสองร่างแอ่นกระตุกรอบแล้วรอบเล่าตามลีลาพริ้วไหวของปลายนิ้ว จากนั้นเพียงไม่นานเสียงหวีดร้องแห่งความสุขของเทียนอวี้และเทียนซางก็แว่วดังออกมาพร้อมกัน

   ร่างงามกระตุกถี่ยิบอยู่ในอ้อมกอดอันแข็งแกร่ง ความสุขหฤหรรษ์แล่นพล่านไปทั่วร่างอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน และเมื่อกระแสความสุขจบสิ้นลง สองร่างก็กลายเป็นอ่อนปวกเปียกยืนแนบอิงกับร่างกำยำ พวกเธอรู้สึกเหมือนเพิ่งได้ลิ้มรสแสนโอชะไปหนึ่งคำ หากทว่ายังไม่อิ่มหนำ จึงพากันเงยหน้าส่งสายตาหวานฉ่ำแฝงอารมณ์ร้อนแรงให้

   "น่าเสียดายนะ แต่ว่ามีคนมาขัดจังหวะแล้วล่ะ ... ใส่เสื้อผ้าดี ๆ ก่อนเถอะ"

   แม็กก้มหน้าลงไปจูบปากสองนางงามคนละหนึ่งฟอด จากนั้นค่อยออกปากบอก เพราะเขาสัมผัสได้ว่าเหล่านางงามที่เหลือเริ่มพากันเคลื่อนไหวมาทางด้านนี้แล้ว

   แม้จะเสียดายและไม่ยินยอม แต่เมื่อเทียนอวี้และเทียนซางได้ยินเช่นนั้น ก็รีบพากันเดินหลบไปยังต้นไม้เพื่อจัดแจงผมเผ้าและเสื้อผ้าอาภรณ์ให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยเช่นก่อนหน้า

   ส่วนแม็กนั้นแม้จะเสียดายที่ยังไม่ได้ขยี้สวาทสองสาวอย่างจริงจัง แต่เขาก็ยังใจเย็นพอที่จะรอคอยอีกสักหน่อย รอคอยจนชนะเดิมพันทั้งสามรอบแล้ว เขาจึงค่อยเก็บเกี่ยวเสพความหอมหวานของนางงามทั้งแปดให้อิ่มหนำ

....................................
เวปส่วนตัว - http://www.novel008.com
Discord - https://discord.gg/DkT2Mf8q

tamsabai

ไม่รู้ว่าขลุ่ยวิเศษคือจู๋หรือเปล่าเนอะ

sintosin

555  ต่มนั้นเลย คอมเม้น ข้างบน

pphu