ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

รักยม R ตอนที่ 0 - คำทำนาย

เริ่มโดย assasin008, ตุลาคม 10, 2015, 07:59:35 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

assasin008

คุยเรื่อยเปื่อย

แวะเอาของเก่ามาแปะระหว่างเปลี่ยนโหมดขึ้นบนดิน

ตอนนี้เป็นตอนพิเศษที่เขียนไว้สักระยะแล้ว แต่ยังไม่เคยเอาไปลงที่ไหน
เพราะเป็นหนึ่งในโครงการรักยมฉบับบนดิน ซึ่งเขียนมานานแล้วแต่ยังไม่เสร็จ  ;D ;D
ตอนนี้ขอเอามาแปะเล่น ๆ เพื่อหยั่งเชิงกระแสคนอ่าน

โครงการนี้ เป็นการนำรักยม ขึ้นไปเป็นรูปเล่มบนดิน ซึ่งอาจจะตีพิมพ์ขาย หรือขายแบบ E-book ก็ได้
ภาพใหญ่ก็คือ ผมจะเขียนรักยมขึ้นใหม่ โดยคงประเด็นหลักของเรื่องไว้เช่นเดิม
ที่แตกต่างคือรายละเอียดของแต่ละตอน ซึ่งบท XXX หวือหวาคงต้องตัดทอนออก
เหลือไว้เพียงแค่ระดับวาบหวิวเรต 15+ ตามท้องตลาด

เนื้อหาหลายส่วนอาจจะโดนตัดทิ้ง เปลี่ยนแปลง หรือแทรกเพิ่ม
เช่น บทบาทของเด็กสาวอย่างเมย์และมายด์ในเรื่องก็อาจจะโดนพูดข้าม ๆ ห้ามลงรายละเอียด
เขียนเน้นเนื้อหา บทรักจะมีแค่เพียง 5-10%

ตอนนี้มีประมาณสิบกว่าตอนแล้วครับ แต่เนื้อหาถือว่าไปไกลทีเดียว
เพราะว่ารักยมฉบับ XX ไม่ค่อยมีเนื้อหา  ;D ;D ;D

อ่านแล้วคิดเห็นอย่างไรก็ลองแนะนำกันมานะครับ
ผมไม่แน่ใจว่ารักยมที่ไม่มีเนื้อหาหวือหวามากนัก จะทำให้คนอ่านสนใจได้แค่ไหน :)

รักยม R ตอนที่ 0 - คำทำนาย
.............................................
Assasin008[/b]

   รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อสีดำคันใหญ่คืบคลานฝ่าความมืดและเหยียบย่ำพงไม้รกไปเชื่องช้า รอบข้างไม่มีแสงไฟอันใดให้เห็น มีแต่เพียงความมืดและกิ่งไม้ใบหญ้าที่โบกสะบัดไปมาอย่างน่าพรั่นพรึง แสงความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่นำพามาถึงสถานที่แห่งนี้มีเพียงแสงไฟตัดหมอกคู่หน้าที่พยายามฉายแสงจ้าไปเบื้องหน้า หากทว่าหมอกในสถานที่แฝงความเย็นเยียบนี้หนาหนักเกินไป ทัศนวิสัยของคนขับจึงต่ำจนแทบมองไม่เห็นหนทางเบื้องหน้า

   "ทะ ... ทางนี้แน่เหรอครับพ่อหมอ"

   มานพชายหนุ่มร่างใหญ่วัยสี่สิบ ซึ่งเป็นคนขับพยายามส่งเสียงถามไถ่เป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่ทราบ และทุกครั้งเขาก็จะได้รับคำสั่งว่าให้ขับตรงไปเรื่อย ๆ คราวนี้เขาก็คาดว่าจะได้ยินคำตอบที่ไม่ต่างกัน หากทว่าที่เอ่ยถามเพียงเพราะอยากให้รู้สึกอุ่นใจว่าด้านหลังยังมีใครอีกคนอยู่ด้วยกับตนเอง

   "ใกล้ถึงแล้วไอ้หนู ตรงไปอีกหน่อย"

   ชายในชุดคลุมสีดำมิดชิดซึ่งนั่งอยู่เบื้องหลังตอบโดยมิได้ลืมตามองดูรอบกาย คนผู้นี้ดูจากภายนอกแล้วน่าจะอายุไม่เกินสี่สิบ หากทว่าเท่าที่คนขับรถทราบ หมอผีชื่อดังท่านนี้อายุขึ้นเลขหกแล้ว แต่หน้าตาและรูปร่างกลับยังคงดูแข็งแรงปราดเปรียวอย่างผิดธรรมชาติ แน่นอนว่าคนขับรถคงไม่เชื่อเรื่องที่เหมือนกับนิทานหลอกเด็กนี้ หากว่าเขาไม่ได้รู้จักกับหมอผีคนนี้ตั้งแต่ยังเด็ก

   "ครับพ่อหมอ"

   คนขับรถได้ยินเสียงของมนุษย์เข้าหูก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง การขับรถออกจากกรุงเทพเกือบสิบชั่วโมงนั้นแม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หากทว่านั่นเทียบไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวกับการที่เขาต้องขับรถตะลุยเข้ามาในพื้นที่ป่าแห่งนี้เพียงชั่วโมงเศษ เขาไม่ได้เป็นคนขี้ขลาดหรือขี้ระแวง หากทว่าสัญชาตญานบางอย่างในร่างบ่งบอกว่าผืนป่าแห่งนี้ไม่ปกติ ไม่เช่นนั้นชาวบ้านในตำบลใกล้เคียงคงไม่ทำสีหน้าประหลาดพิกลเมื่อรู้ว่าเขาจะเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ยามค่ำคืน

   ทั้งที่แอร์ในรถหรูนั้นเย็นฉ่ำ แต่ทั่วร่างของมานพกลับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ตลอดการเดินทางในป่ารกแห่งนี้ เขารู้สึกคล้ายกับโดนดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองมา เขาไม่ทราบว่าพวกมันคือตัวอะไร รู้แต่ว่าร่างกายตนเองนั้นรู้สึกสั่นผวาจนแทบจะส่งเสียงกรีดร้องแล้วหักหัวรถหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้ในทุกขณะจิต

   "ใจเย็นไอ้หนู ข้าอยู่ด้วย พวกมันทำอะไรเอ็งไม่ได้หรอก ... จอดที่กระท่อมร้างข้างหน้า"

   หมอผีชุดดำที่นั่งอยู่ด้านหลังคล้ายจะอ่านใจมานพได้ จึงส่งเสียงเป็นเชิงปลอบใจ ในขณะที่มานพนั้นยิ่งเหงื่อแตกพลั่กกว่าเดิมจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม ทางหนึ่งก็รู้สึกอุ่นใจขึ้น แต่อีกทางก็ได้รับคำยืนยันจากพ่อหมอว่าตนเองไม่ได้เกิดอาการหลอน ข้างนอกนั่นมีอะไรบางอย่างอยู่จริง ๆ พวกมันกำลังจ้องมองดูเขาอยู่

   "ครับ พ่อหมอ ... เฮ้ย อะไรวะ"

   มานพเหลือบตาดูกระจกมองหลังแวบหนึ่งเพื่อเสริมกำลังใจให้ตนเอง ก่อนจะหันกลับมามองด้านหน้าแลวร้องเสียงหลง ขยับเท้ากระทืบคันเบรคดังเอี๊ยด แต่ยังดีที่รถขับเคลื่อนสี่ล้อคันนี้ไม่ได้วิ่งเร็วนัก การเบรคในครั้งนี้จึงเพียงแค่ทำให้ร่างของบุรุษทั้งสองผงะไปด้านหน้าเพียงเล็กน้อย

   มานพขมวดคิ้วเข้าหากัน อยู่ดี ๆ ทางเบื้องหน้าก็เหมือนมีกำแพงโผล่ขึ้นมาขวางกั้น ทั้งที่เสี้ยววินาทีก่อนหน้านี้แสงไฟตัดหมอกยังสาดส่องให้เห็นว่าข้างหน้าเป็นพื้นที่ราบ มีเพียงหญ้าคาที่สูงสักหนึ่งเมตรทอดยาวไปไกลสุดระยะสายตา หากทว่าเวลานี้ข้างหน้ากลับมีบางสิ่งที่มืดทึบขวางกั้นเอาไว้ แสงไฟจึงไม่สามารถช่วยให้มองเห็นสิ่งใดได้

   "ขอโทษครับพ่อหมอ สงสัยผมดูทางไม่ดี เดี๋ยวผมถอยรถก่อน"

   มองดูแล้วข้างหน้าคงไปไม่ได้ มานพจึงตัดสินใจเปลี่ยนเกียร์ถอยหลังแล้วเหยียบคันเร่ง ก่อนที่ทั้งคนทั้งรถจะผงะไปอีกหนึ่งครั้ง เพราะการถอยหลังในครั้งนี้กลับเหมือนมีกำแพงอะไรขวางกั้นอยู่เช่นเดียวกับด้านหน้า

   มานพส่งเสียงสบถอย่างหัวเสียในคราวแรก เขาคิดว่ารถอาจจะติดหล่ม และคิดจะเปิดประตูรถลงไปดูสถานการณ์ หากทว่าเมื่อมองผ่านกระจกแล้วพบว่าไฟท้ายรถกระทบเข้ากับกำแพงสีดำไม่ต่างกับด้านหน้า ซึ่งมันไม่ควรเป็นไปได้เพราะเขาเพิ่งขับผ่านมา ที่ตรงนั้นมันไม่ควรมีกำแพง นอกเสียจากว่ากำแพงพวกนี้มันจะขยับได้

   นึกถึงตรงนี้มานพก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกเย็นวาบไปทั้งขั้วหัวใจ มือที่ทำท่าจะเอื้อมไปเปิดประตูรถกลายเป็นชะงักแล้วสั่นสะท้านหวาดกลัว เขาคิดว่านั่นไม่ใช่กำแพง ไม่มีทางเด็ดขาด

   "ไอ้ผีเปรตพวกนี้ คิดจะลองดีกับกูงั้นเรอะ ... โอม ..."

   มานพคงจะกรีดร้องออกมาแล้ว หากว่าหมอผีลือนามที่อยู่ด้านหลังไม่ส่งเสียงออกมาด้วยความรำคาญแล้วส่งเสียงคล้ายบริกรรมคาถาสักอย่างเสียก่อน แน่นอนว่าเขายังคงหวาดกลัวอยู่ แต่เมื่อมีใครบางคนที่พึ่งพาได้อยู่ข้างหลัง อีกทั้งคนผู้นั้นยังไม่มีท่าทางหวาดกลัวหนักใจอะไร อย่างน้อยตนเองก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรคุ้มกะลาหัวอยู่บ้าง

   "กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!"

   ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องแหลมสูงแสบแก้วหูก็ดังขึ้นพร้อมกับนับสิบเสียงที่ด้านนอก มานพสะดุ้งโหยงแทบตกใจตายคาที่ พ่อหมอเพียงร่ายบริกรรมคาถาครู่เดียวแล้วเป่าลมออกมา อะไรบางอย่างที่อยู่ด้านนอกนั่นก็ส่งเสียงกรีดร้องเจ็บปวดราวกับโดนน้ำร้อนลวก พริบตานั้นแสงไฟตัดหมอกที่หน้ารถได้สาดส่องให้เห็นผืนหญ้ารกอีกครั้ง กำแพงสีดำมืดด้านหน้าหายวับไปราวกับไม่เคยมีอะไรมาก่อน ส่วนด้านหลังก็เช่นกัน

   ถัดจากนั้นผืนดินก็สั่นสะเทือนดังตึงตังเหมือนมีสัตว์ขนาดใหญ่นับสิบตัววิ่งแตกฮือไปรอบด้าน มานพลืมตามองด้านหน้าจนแทบจะถลน เมื่อมองเห็นเงามืดขนาดใหญ่ที่คล้ายกับขาช้างคู่หนึ่ง แต่ขาคู่นั้นยาวสูงลิบขึ้นไปด้านบนจนไม่เห็นยอดกำลังขยับก้าวไปด้านหน้าอย่างเร่งร้อน

   หัวใจของมานพแทบจะหยุดเต้น เมื่อมองเห็นเงาลางเรือนที่อยู่ด้านบนแวบหนึ่งก่อนที่เจ้าของขายาวยืดเหมือนต้นมะพร้าวนั้นจะหายลับไปกับความมืด เขาคิดว่าเขาตาไม่ฝาด ด้านบนของสองขาที่ยาวยืดนั้นเป็นเงาร่างที่คล้ายกับตัวคนซึ่งซูบผอม มันมีส่วนลำตัว ส่วนศรีษะ แขนขา และมือสองข้างที่แผ่กว้างคล้ายใบลาน

   มานพรู้สึกว่าตัวเองกำลังสั่นสะท้านไปทั้งตัว มือที่จับพวงมาลัยอยู่นั้นยิ่งเห็นได้เด่นชัด ส่วนสองขาก็ไม่แตกต่างกัน มันกำลังสั่นระริกเหมือนกำลังหนาวสั่นยะเยือก เขาเกือบจะฉี่ราดออกมาแล้วด้วยซ้ำ

   น่าแปลกที่หลังจากเสียงกรีดร้องของตัวปริศนานั้น หมอกหนาทึบที่ปิดบังเส้นทางมาตลอดก็เริ่มอ่อนจางลง แสงไฟตัดหมอกกำลังสูงจึงสาดส่องไปได้ไกลกว่าเดิม ไกลเสียจนมานพพบว่ารถคันนี้กำลังอยู่บนเนินดิน และด้านหลังเนินดินนั้นเป็นหมู่บ้านชาวป่าที่มีขนาดประมาณยี่สิบหลังคาเรือน

   "... ถึงเสียที ... หมู่บ้านดงเหล็ก"

   พ่อหมอที่เพิ่งลืมตาเป็นครั้งแรกกล่าวยืนยันความคิดของมานพ นี่เป็นหมู่บ้านต้องสาปที่ชาวบ้านร่ำลือกัน มันคือหมู่บ้านที่ไม่มีคนในพื้นที่กล้าแวะเวียนผ่าน ชาวบ้านต่างพากันเรียกสถานที่แห่งนี้ว่าหมู่บ้านผีสิง ร่ำลือกันว่าที่แห่งนี้เคยเกิดเหตุอาเภทร้ายแรง ผู้คนในหมู่บ้านนับร้อยล้มตายทั้งหมดภายในค่ำคืนเดียวอย่างปริศนา ร่ำลือกันว่าทุกคนที่เฉียดใกล้เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ในยามค่ำคืนล้วนแล้วแต่ไม่เคยมีใครรอดชีวิต

   "พักเสียหน่อยไอ้หนูมานพ แล้วค่อย ๆ ขับรถลงไป ไม่ต้องรีบ"

   หมอผีที่นั่งด้านหลังกล่าวเสียงทุ้มต่ำอีกครั้ง มานพจึงค่อยรู้สึกหายตึงเครียดลงไปบ้างเล็กน้อย เขาหลับตาหอบหายใจหนักหน่วงเอนหลังพิงกับเบาะนั่ง จากนั้นไม่นานนักร่างกายก็ค่อย ๆ คลายจากความตื่นเต้นจนหยุดสั่นได้

   "พวกมันคืออะไรครับพ่อหมอ?"

   "กูก็บอกพวกมึงตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เรอะ พวกมันแขนขาเก้งก้างสูงยาวราวต้นตาล ผิวกายสีดำเน่าเหม็นคละคลุ้ง พวกมันเรียกว่าเปรต"

   "เปรต!!!"

   มานพอุทานออกมาเสียงดัง ความจริงแล้วเขาก็แอบสงสัยสิ่งเดียวกัน เพียงแต่ไม่เคยนึกฝันว่าจะต้องมาเจออย่างจังเข้ากับตัวเองแบบนี้ ซึ่งยังดีที่อาการสั่นของเขาลดลงไปพอสมควรแล้ว อาการหวาดกลัวก็เช่นเดียวกัน อย่างน้อยพ่อหมอก็สามารถปกป้องคุ้มภัยได้

   "เออ ... ลงไปได้แล้ว คนอื่นกำลังรอกูอยู่"

   หมอผีแสดงสีหน้าคล้ายไม่พอใจที่มานพส่งเสียงดัง มานพจึงรีบผงกศีรษะขออภัย แล้วหันไปตั้งสติขับเคลื่อนรถสี่ล้อลงเนินดินพุ่งตรงเข้าไปหาหมู่บ้านด้วยความตื่นเต้นตึงเครียด เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีใครหน้าไหนกล้าบุกตะลุยเข้ามาในสถานที่อาภรรพ์แบบนี้อีก

   "มึงจะนั่งพักรอในรถก็ได้นะไอ้หนู เดี๋ยวยังต้องขับรถกลับออกไปอีก"

   พ่อหมอส่งเสียงบอกกล่าวเมื่อรถจอดนิ่งลงที่หน้าบ้านเก่าโทรมหลังหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูรถออกไปด้านนอก มานพหันไปรับฟังแล้วพยักหน้าทำท่าจะเอนนอนพักผ่อนสักหน่อย แต่เมื่อคิดหลับตาลงก็ต้องเบิกตาโพลงขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน ร่างใหญ่กำยำนั้นจึงรีบเปิดประตูรถแล้วผลุนผลันตามพ่อหมอออกไปด้านนอกด้วย ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนมันก็ไม่ยอมอยู่คนเดียวในที่แบบนี้เด็ดขาด

   หมอผีมองมาด้วยแววตาคล้ายขบขันคล้ายคาดการณ์ได้อยู่แล้ว เขาไม่ได้แสดงท่าทีห้ามปรามแต่อย่างใด มานพจึงรีบเดินไปใกล้ ๆ ตามติดพ่อหมอมุดเข้าไปในบ้านเก่าโทรมของชาวป่าที่สร้างจากต้นไม้ใบหญ้า และข้างในนั้นก็ทำให้มานพอุ่นใจอยู่บ้าง เพราะมีคนอยู่ก่อนหน้าแล้วถึงสี่คน ถึงแม้ว่าข้างในจะมืดสลัวมีแค่แสงเทียนเพียงเล่มเดียวก็ตามที

   มานพยกมือไหว้พลางมองสำรวจไปรอบด้าน สัญชาตญานของมันบอกว่าทุกคนที่อยู่ในนี้ล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา หากทว่ามันกลับจับความเชื่อมโยงของแต่ละบุคคลเข้าด้วยกันไม่ได้ เพราะทั้งสี่คนนั้นแตกต่างทั้งทางด้านอายุ และลักษณะการงาน

   คนแรกที่มานพให้ความสนใจก็คือพระรูปหนึ่ง เมื่อขึ้นชื่อว่าพระอย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกอุ่นใจได้บ้าง เขาคาดเดาอายุพระรูปนี้ไม่ได้ แต่คาดเดาได้จากบรรยากาศเคร่งขรึมสำรวมได้ว่าคงจะแก่พรรษาไม่น้อย พระรูปนั้นหลับตาอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับดวงตามืดบอด สวมใส่จีวรสีหม่นเก่าแต่ไม่ให้ความรู้สึกสกปรกน่ารังเกียจ

   คนที่สองเป็นแม่ชีนุ่งขาวห่มขาวผมสีดอกเลา ใบหน้านั้นแลดูอิ่มเอิบมีเค้าความงามสะพรั่งเมื่ออยู่ในวัยสาว เพียงแต่ผิวกายที่ซูบเหี่ยวนั้นบ่งบอกว่าอายุอานามของแม่ชีคงไม่ต่ำกว่าหกหรือเจ็บสิบปี

   คนที่สามแต่งตัวด้วยชุดข้าราชการสีกากี อยู่ในวัยสามถึงสี่สิบ ใบหน้าคมเข้มน่ากลัว แววตาที่มองมาให้ความรู้สึกเปี่ยมพลังอำนาจ ส่วนคนที่สี่นั้นกลับเป็นสาวรุ่นสวมใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ดูแล้วอายุไม่ควรจะเกินยี่สิบ ใบหน้าเธอสวยเฉี่ยวเปี่ยมความมั่นใจ แต่ว่าความลึกล้ำของดวงตาคู่นั้นทำให้มานพเชื่อว่าเธอไม่น่าจะเป็นเด็กวัยรุ่นอย่างที่สายตาเขาเห็น

   "เอ็งมาช้าไอ้เหียบ ... หรือว่ากูควรจะเรียกมึงว่าไอ้สีเหียบดี"

   ขณะที่มานพเดินอ้อมไปหาที่นั่งพักนั้น ชายหน้าเข้มในชุดสีกากีหันมามองดูพ่อหมอที่มากับมานพด้วยสายตาเย็นช้าคล้ายไม่พอใจ มานพถึงกับแอบสะดุ้งโหยงด้วยซ้ำ เพราะเกรงว่าตนเองจะโดนหางเลขโทษฐานขับรถมาส่งพ่อหมอช้าเกินไป

   "หึ หึ เอ็งมันใจร้อนจริงจังไม่เปลี่ยนเลยนะไอ้เมฆ กูมาช้าไปแค่ชั่วโมงเดียวเอง พอดีไอ้หนูนี่มันพากูหลงทางไปหน่อย"

   มานพแทบจะส่งเสียงร้องเหวอออกมา เพราะคาดไม่ผิดว่าจะโดนพ่อหมอโยนความผิดให้ พ่อหมอคนนี้มีชื่อแปลกพิกลว่าสีเหียบ คนแถวบ้านจึงมักจะเรียกกันว่าหมอผีสีเหียบ ซึ่งมานพพอจะคาดเดาที่มาของชื่อได้ เพราะพ่อหมอคนนี้เก่งกาจเรื่องยาเสน่ห์น้ำมันพราย ไอ้ที่มาช้านี่ก็เพราะต้องแวะไปหาคุณนายยังสาวในตัวจังหวัดก่อนแวะมาเข้าป่า

   "กูว่ามึงตั้งใจมาช้ามากกว่า แวะไปหาคุณนายที่ไหนมาอีกใช่มั้ย"

   ชายหน้าเหี้ยมชื่อเมฆคล้ายจะหยั่งรู้นิสัยของพ่อหมอสีเหียบอย่างดี จึงรีบพูดแย้งขัดคอไม่ให้โยนความผิด มานพจึงค่อยถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกโล่งอก แต่หมอเหียบก็ยังคงพยายามพูดเล่นลิ้นคล้ายจะยั่วอารมณ์หมอเมฆอย่างต่อเนื่อง

   "โอ๊ย กูไม่กล้าหร๊อก นี่มันเรื่องสำคัญคอขาดบาดตายเชียวนาไอ้เมฆ ว่าแต่มึงเถอะช่วงนี้เป็นไง ได้ข่าวว่าเป็นใหญ่เป็นโตแล้ว ยังปราบผีเป็นอยู่หรือเปล่า"

   "เหอะ ถ้ามึงอยากรู้ก็ไปข้างนอกเลย เดี๋ยวกูจะแสดงให้ดู"

   "เอ้าไปซิวะ กูอยากเล่นกับเพื่อนเก่ากูมานานแล้ว"

   ฝ่ายหนึ่งยั่วเย้า ฝ่ายหนึ่งก็เจ้าอารมณ์ เพียงครู่เดียวบรรยากาศในบ้านหลังเล็กจึงเริ่มคุกรุ่น มานพถึงกับทำตัวไม่ถูก นั่งกระสับกระส่ายดูว่าจะมีใครจัดการห้ามทัพหรือเปล่า และในที่สุดพระตาบอดรูปนั้นก็เป็นฝ่ายเอ่ยเสียงทุ้มต่ำออกมาแผ่วเบา

   "โยมทั้งสอง อาตมาขอเถอะนะ"

   หมอเหียบและหมอเมฆดูจะให้ความเคารพพระรูปนี้ไม่น้อย เพียงออกปากคำเดียวทั้งคู่ก็มองเขม่นหน้ากัน แล้วขยับมานั่งลงอย่างสงบเสงี่ยมเป็นวงกลมล้อมรอบเปลวเทียนสีแดง  

   มานพง่วงจนสามารถหลับลงได้ทุกเมื่อ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทำให้เขาพยายามฝืนทนความเหนื่อยล้า ถ่างตาดูว่าชายสามหญิงสองที่ล้อมวงกันอยู่จะสนทนาถึงเรื่องอะไร ทำไมต้องทำตัวลึกลับถึงขนาดมาในหมู่บ้านร้างแห่งนี้

   "อีกนานแค่ไหน ... พี่เนตร ... พี่เห็นอะไรบ้าง"

   หมอเหียบที่เพิ่งมาถึงพูดเอ่ยปากเป็นคนแรก พร้อมกับหันไปมองดูสาวรุ่นที่สวยผุดผาดบาดใจ ดูเหมือนว่าเธอคนนั้นจะชื่อเนตร แต่ที่น่าแปลกก็คือหมอเหียบที่อายุถึงเลขหกสิบเรียกหาสาวรุ่นคนนี้ว่าเป็นพี่สาว ที่จริงแล้วอายุของเธอคือเท่าไหร่กันแน่

   "... ไม่นานนักน้องชาย ... ไฟแค้นของมันไม่เคยลดลง ซ้ำยังเพิ่มพูนทบเท่าทวี ในใจมันมีแต่ความเคียดแค้นชิงชัง มันไม่เคยอภัยให้คนที่ทำร้ายเมียของมัน มันไม่เคยอภัยให้ตัวเอง มันไม่เคยอภัยให้โลกใบนี้ และเช่นเดียวกับพลังอำนาจของมัน ที่นับวันมีแต่จะยิ่งกล้าแข็ง ... มันใกล้สืบเสาะมาถึงที่แห่งนี้แล้ว ... อีกเพียงไม่นาน ... ไม่นาน ... หากมันทำสำเร็จ ทุกสิ่งจะกลับสู่ความมืดเช่นที่เคยเป็น"

   สาวรุ่นที่ชื่อเนตรคนนั้นตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่สมควรจะไพเราะน่าฟัง หากทว่าเมื่อมานพหันไปมองดูดวงตาที่คล้ายเวิ้งว้างเลื่อนลอยขณะพูดนั้น เขากลับรู้สึกตัวเย็นเฉียบ เหมือนเพิ่งได้รับรู้ความลับอันยิ่งใหญ่น่าพรั่นพรึงอย่างหนึ่งมา มานพย่อมไม่ทราบในรายละเอียด หากทว่าเพียงเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของพ่อหมอสีเหียบเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาก็ทราบแล้วว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ธรรมดา

   "พี่ไม่เห็นอนาคตหรอกหรือ ว่ามันจะเปิดประตูผีได้สำเร็จมั้ย?"

   หมอสีเหียบหันไปถามด้วยน้ำเสียงหนักใจ และทุกคนที่อยู่ล้อมวงต่างก็เหมือนจะคิดสิ่งเดียวกัน จึงพากันหันไปมองดูอย่างพร้อมเพรียง หากทว่าสาวรุ่นคนนั้นยังคงนั่งนิ่งใช้ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมองดูเปลวเทียนที่สั่นไหวน้อย ๆ เหมือนกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง

   "... ไม่ ... ไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว ชะตากรรมไม่เปิดให้ข้ามองเห็นได้ไกลกว่านั้น ... สิ่งที่ข้าเห็นยังคงเป็นเช่นเดิม ... มันคือการโรมรันระหว่างจ้าวแห่งอัคคีผู้คลั่งแค้นทุกสรรพสิ่ง และจ้าวแห่งวายุผู้ยังไม่ตระหนักในพลังของตน ... มันยังเด็กนัก ... ทั้งยังมิได้ฝึกฝน ... ท่านแน่ใจหรือท่านแม่เฒ่า ว่ามันผู้นี้คือดาวความหวังของเรา"

   สาวรุ่นชื่อเนตรเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด แล้วเงยหน้าขึ้นมองดูแม่ชีที่นั่งนิ่งเงียบ มานพจึงหันตามไปมองด้วยอยากทราบคำตอบ ถึงจะยังไม่เข้าใจว่าอะไรคืออะไร แต่ดูเหมือนว่าจะมีการต่อสู้ของไฟกับลมอะไรสักอย่าง ส่วนเรื่องดาวความหวังนั้นคืออะไรเขายังไม่แน่ใจนัก

   ดวงตาของแม่ชีใบหน้าอิ่มเอิบนั้นแฝงประกายความเศร้าออกมาวูบหนึ่ง ก่อนจะยื่นหงายฝ่ามือออกไปใกล้กลับเปลวเทียน และทันใดนั้นเปลวเทียนก็ลุกพรึ่บจนมานพสะดุ้งโหยง แต่ที่น่าแปลกประหลาดใจกว่าก็คือเปลวเทียนที่ลุกพรึ่บเหมือนโดนน้ำมันราดใส่นั้น กลับปรากฎเป็นภาพของชายหนุ่มวัยยี่สิบต้น ๆ คนหนึ่งขึ้นมาแวบหนึ่ง แล้วหายวับไปราวกับมายากล

   "... ข้าไม่ต้องการกระทำ และไม่ได้อยากกระทำ ... เขาสมควรได้พักผ่อนเสพสุขในชาติภพนี้ เขาสมควรได้ใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดา อยู่กินกับสตรีที่มันรัก มีลูกมีหลานสักหลายคนในชาติภพนี้ ... แต่น่าเสียดายที่เราไม่มีทางเลือกอื่นอีก ... หากเจ้าชายเอกาวายุ ผู้พิชิตซึ่งสามโลกยังไม่เหมาะสม ข้าเกรงว่าพวกเราคงไม่มีความหวังอีกแล้ว"

   แม่ชีมองดูภาพใบหน้านั้นด้วยความเวทนาแวบหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ หดมือกลับเข้าไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายขมขื่นไม่เต็มใจกระทำนัก และดูเหมือนว่าหมอเมฆจะไม่ค่อยเห็นด้วยนัก จึงส่งเสียงโพล่งทักท้วงด้วยท่วงทำนองนิสัยอันเลือดร้อนออกมา

   "มันอาจจะเคยเก่งกล้า แต่นั่นมันเรื่องในหลายสิบชาติภพที่แล้ว ตอนนี้มันเป็นแค่คนธรรมดา มนตราสักบทก็ยังไม่รู้สักนิด ใครจะไปกล้าฝากความหวังกับคนแบบนี้ พวกเราออกไปจัดการกันเองดีกว่า ให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย"

   "จุ๊ จุ๊ ไอ้เมฆเอ๋ย ไปจัดการมัน หรือไปให้มันจัดการ ... รอบที่แล้วมึงเพิ่งแพ้มันไป ดีนะที่กูกับพี่เนตรไปช่วยออกมาได้ ไม่งั้นป่านนี้มึงถูกเชือดทิ้ง แล้วจับเป็นผีรับใช้มันไปแล้ว"

   ทุกคนรับฟังแล้วนิ่งเงียบ ยกเว้นก็แต่หมอสีเหียบที่ยิ้มเหยียดหยามแล้วกล่าวย้อน หมอเมฆได้ฟังเช่นนั้นก็ถลึงตามองมาด้วยความโกรธแค้น แต่ว่าไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เหมือนกับว่านั่นเป็นความจริงที่ไม่สามารถแก้ตัวได้ และตอนนี้เนตรที่อยู่ในรูปร่างเหมือนสาววัยรุ่นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางกราดตามองมาจนหมอเหียบกับหมอเมฆสะดุ้งโหยงรีบก้มหน้ากันยกใหญ่

   "ไอ้เหียบ ไอ้เมฆ พวกเอ็งสองคนหยุดกัดกันสักที ... เรื่องลงมือก่อนเก็บไว้ได้เลย พวกเราต่างก็รู้กันดี ว่ามันร้ายกาจเกินไป นอกจากมนตราอาคมแล้ว มันยังมีของปลุกเสกชั้นดี มีรักยมดำในตำนาน แล้วยังมีอัคคีนรกอยู่อีก ต่อให้แม่เฒ่ากับพ่อหลวงยอมกลั้นใจลงมือด้วย พวกเราทั้งห้าคนก็ต้องตายสถานเดียว ... นี่ยังไม่นับรวม พวกหมอผีที่อยู่ฝั่งมันอีก"

   "เหอะ ... ไอ้มหาเดโช ... มันบ้าไปแล้วที่ไปช่วยไอ้เสือทำเรื่องแบบนี้ สักวันมันต้องเสียใจ"

   "ไอ้เมฆ เอ็งแค้นไอ้เดโชข้ารู้ดี แต่จงเก็บความแค้นไว้ หมอเสือมันมีครบทุกอย่างเท่าที่มันต้องการ มันมีพลังอำนาจ มีผู้ยิ่งใหญ่หนุนหลัง มีเงินทอง มีลูกสมุน ทั้งยังมีพวกของมหาเดโชคอยช่วยอีกทาง ... พวกเรามันแค่หมอผีส่วนน้อย"

   เนตรหันหน้ากลับไปมองดูเปลวเทียนอีกครั้ง เมื่อมองเห็นว่าหมอเหียบและหมอเมฆเริ่มนั่งนิ่งไม่หาเรื่องกันแล้ว แต่คำที่เธอพูดออกมาดูจะทำให้บรรยากาศกลายเป็นอึมครึมไม่น้อย

   "ดวงชะตาลิขิตไว้แล้ว พวกเราคงทำได้เพียงแค่นี้ ... ดาวแห่งความหวังอาจจะเป็นเพียงก้อนกรวดในตอนนี้ แต่ว่าเรายังพอมีเวลาที่จะเปลี่ยนก้อนกรวดให้กลายเป็นเพชร เราไม่มีเวลาที่จะฝึกฝนใครขึ้นมาใหม่ เรายังมีเวลาพอที่จะทำให้มันระลึกได้ว่ามันคือใคร เรายังมีเวลาพอที่จะทำให้มันระลึกได้ว่ามันเคยแกร่งกล้าถึงเพียงไหน"

   แม่ชีชุดขาวมองไปรอบด้านด้วยแววตาแฝงเมตตาปราณี ก่อนจะหยิบเอาอะไรบางอย่างออกมาจากย่ามสีขาวข้างกาย มานพลองหรี่ตามองแล้ว รู้สึกว่านั่นดูคล้ายกับตุ๊กตาเด็กผู้ชายสองคนที่ถูกผูกมัดด้วยสายสิญจน์สีขาวจนติดกัน

   "รักยมขาว!!!"

   ขณะที่มานพไม่เข้าใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร หมอเมฆและหมอเหียบก็ส่งเสียงร้องโพล่งออกมาเสียงดังด้วยความแตกตื่น มานพหันไปมองแล้วก็พบว่าดวงตาของหมอผีทั้งสองกำลังทอประกายวิบวับ ราวกับเพิ่งเจอสัมบัติที่ประเมินราคาไม่ได้เข้าสักชิ้น แม่ชีชุดขาวยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองทางหมอสีเหียบแล้วเอ่ยถามบางอย่างด้วยน้ำเสียงคล้ายจะพอใจต่อท่าทีตอบสนองของสองหมอผี

   "ด้วยของสิ่งนี้ พวกเราน่าจะยังพอมีเวลา ... เหียบ เตรียมสิ่งนั้นไปถึงไหนแล้ว"

   "... ของผม ... อ้อ ... อีกสักสองสามเดือนน่าจะเต็มที่แล้ว"

   พ่อหมอสีเหียบพูดพลางยกมือขึ้นขย้ำลงบนแผงอกตัวเอง แล้วหยิบเอาก้อนสีดำท่าทางน่าสะอิดสะเอียนขยะแขยงออกมา มานพต้องเบิกตาค้างอีกครั้ง แต่ไม่ได้ประหลาดใจในปาฎิหารย์อีกแล้ว เขาแค่สงสัยมันคืออะไร

   "ก้อนพลังแห่งความใคร่ ... นับว่าไม่เลว ถึงจะเทียบกับพลังของหมอเสือไม่ได้ แต่ก็ถือว่าไม่เลว ... เมฆล่ะเป็นยังไงบ้าง?"

   "ตอนนี้ผมไปเป็นคนสนิทของท่านนายพลที่อยู่ขั้วตรงข้ามแล้ว คิดว่าเรื่องอำนาจการเมืองคงจะพอทัดทานไม่ให้มันทำอะไรได้สะดวกเกินไป"

   "ดีมากเมฆ ... เอาล่ะ เราจะทำตามแผนเดิม ... ดาวความหวังของเราจะถูกปลุกปั้นขึ้นมา ข้าจะเป็นคนรับหน้าที่นี้ ... เนตรเธอมีหน้าที่จับตาดูความเป็นไป ... เหียบเร่งสะสมพลังเข้า ... เมฆถ่วงอำนาจไว้ ... ส่วนพ่อหลวง ... ท่านคงต้องรับหน้าที่สำคัญที่สุด และอันตรายที่สุดแล้ว"

   แม่หมอหันไปมองพร้อมกับฝากฝังหน้าที่ให้ทีละคน ก่อนจะไปหยุดนิ่งค้างเมื่อมองไปทางพระตาบอดรูปนั้น พระตาบอดรูปนั้นคล้ายคนตาดีมองเห็นทุกการเคลื่อนไหว ท่านหันหน้าไปโดยรอบก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงปล่อยวางไม่ยินดียินร้าย

   "ไม่เป็นอะไรหรอกโยม อาตมาต้องการรับหน้าที่นี้อยู่แล้ว ... จะอย่างไรอาตมาก็มีส่วนทำให้มันเป็นเช่นนี้ ... หน้าที่เฝ้ารักษาของสิ่งนั้นอาตมาจะขอรับเอาไว้เอง"

   ขณะที่พูดอยู่นั้น มานพกลับมองเห็นแสงแวบหนึ่ง ที่คล้ายกับแสงสะท้อนไฟบนผิวโลหะ หากทว่าที่น่าแปลกก็คือแสงนั้นมันสะท้อนออกมาจากบริเวณกึ่งกลางหน้าผากของพระตาบอดรูปนั้นแล้วเลือนหายไปในทันที

   มานพพกพาความสงสัยจนเต็มหัว ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ รู้สึกสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก และยิ่งรับฟังก็ยิ่งอ้าปากหาวเหนื่อยเพลีย สุดท้ายก็ผลอยหลับไปโดยที่ยังคงได้ยินเสียงคนทั้งห้าสนทนากันอยู่

   ในห้วงแห่งการหลับไหลนั้น มานพกำลังฝัน เขาฝันว่ากำลังวิ่งหนีผีเปรตที่สูงชะลูต ฝันว่ามีชายหนุ่มลอยมากับลมพายุแล้วช่วยจัดการผีเปรตตนนั้น จากนั้นเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อฝันเห็นชายหนุ่มตกลงไปในกองเพลิงสีดำ

   "อ้าว พ่อหมอ ... คนอื่นล่ะ ไปไหนกันหมดแล้ว"

   มานพกวาดสายตาไปมาในบ้านหลังเล็ก เทียนไขสีแดงที่อยู่กลางบ้านละลายจนเกือบหมดแล้ว ส่วนคนอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่หายกันไปหมด เหลือไว้แต่เพียงตัวเขา และหมอผีสีเหียบเพียงสองคน

   "เขาไปกันหมดแล้ว มึงนอนพักพอหรือยัง ถ้าพอแล้วพวกเราจะได้เดินทางกันต่อ"

   "พอจ้ะพอ ขอผมกินน้ำ ล้างหน้านิดนึง แล้วเราเดินทางได้เลย"

   มานพรีบลุกพรวดพราดขึ้น เขาหยิบกระติกน้ำที่เหน็บไว้ข้างเอวขึ้นมาดื่ม และพรมน้ำลงบนใบหน้าเพื่อเรียกความสดชื่น ก่อนจะค่อยได้คิดสงสัยว่าคนพวกนั้นเดินทางมาที่นี่ได้ยังไง

   คำถามนี้ไม่ได้ถูกถามออกมา เพราะพ่อหมอขยับลุกขึ้นเดินนำไปที่รถเสียก่อน มานพซึ่งไม่กล้าอยู่คนเดียวจึงต้องรีบวิ่งแจ้นตามออกไปขึ้นรถด้วยทันที

   "พ่อหมอ ... พอจะบอกผมได้มั้ย ว่าพวกพ่อหมอพูดเรื่องอะไรกัน"

   มานพขับรถลุยป่าไปได้ระยะหนึ่งก็เก็บความสงสัยไม่ไหว เงยหน้าขึ้นมองดูพ่อหมอผ่านทางกระจกมองหลัง เพียงแต่เมื่อเอ่ยถามไปแล้วพ่อหมอกลับนั่งนิ่งไม่ไหวติง จนมานพเริ่มเครียดกลัวว่าถามเรื่องที่ไม่สมควรถามออกไปแล้ว แต่ยังดีที่ไม่นานนักพ่อหมอก็เริ่มเอ่ยปากสนทนาด้วย

   "แล้วเอ็งคิดว่ายังไงล่ะไอ้หนูมานพ เอ็งฟังอยู่ตั้งนานสองนานนี่"

   "เอ่อ ... มันเหมือนพวกฮีโร่ในหนังหรือเปล่าครับพ่อหมอ แบบว่ามีคนร้ายมันจะทำลายโลก แล้วพวกพ่อหมอก็ช่วยกันป้องกันโลก"

   "ฮ่า ฮ่า ฮ่า ... เออ ไอ้หนูมึงสรุปได้ดี ฮีโร่กู้โลกซินะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

   "แหะ ๆ ผมก็ฟังได้แค่นั้นแหละครับ ส่วนที่เหลือไม่ค่อยเข้าใจ เห็นพูดกันเรื่องประตูผีด้วยสักอย่าง"

   "ไอ้หนู ข้าขอเตือนไว้ก่อน เรื่องบางเรื่องไม่สมควรรู้ ถ้ารู้แล้วอาจจะจิตไม่สงบ ทำใจไม่ได้ เคร่งเครียด กินไม่ได้นอนไม่หลับ เรื่องบางเรื่องเอ็งไม่ควรรู้ และไม่ควรถามไถ่"

   "โธ่ พ่อหมอ นั่งฟังมาขนาดนี้แล้ว ถ้าปล่อยให้สงสัย ผมนี่แหละจะนอนไม่หลับ บอกหน่อยนะครับพ่อหมอ ผมขอร้องล่ะ"

   "ถือว่ากูเตือนมึงแล้วนะไอ้หนู ... มึงเข้าใจถูกแล้ว มีคนกำลังจะเปิดประตูผี แล้วพวกกูกำลังพยายามจะขัดขวางมัน"

   "ประตูผี เปิดแล้วมันจะเป็นยังไงล่ะพ่อหมอ มันจะมีผีออกมาเหรอ ถ้ามีพ่อหมอก็จัดการได้มั้ง?"

   "หึ หึ ถ้ามันง่ายขนาดนั้นพวกกูคงไม่ต้องมาเดือดร้อนกันแบบนี้แล้ว"

   "แล้วมันเป็นยังไงล่ะพ่อหมอ อธิบายให้ฟังหน่อย โลกจะแตกหรือเปล่า?"

   "งั้นกูจะเล่าให้ฟังแบบง่าย ๆ ก็แล้วกัน มึงจำไอ้พวกผีเปรตที่มาขวางทางได้ใช่มั้ย?"

   "ได้ครับพ่อหมอ"

   "งั้นมึงก็นึกภาพนะ มึงนึกภาพโลกนี้ที่มีไอ้พวกผีเปรตพวกนั้นอยู่เต็มไปหมดทั้งกลางวันกลางคืน แถมยังมีผีอื่น ๆ อีกเยอะแยะ ไอ้พวกผีเปรตพวกนี้เป็นแค่ลูกกระจ๊อกด้วยซ้ำ พวกตัวใหญ่ ๆ  มึงคงไม่อยากเห็นแน่ แบบนี้มึงว่ามันร้ายแรงขนาดไหนล่ะ บอกกูซิ"

   คำตอบของพ่อหมอทำให้มานพยิ้มไม่ออก เพียงนึกภาพของไอ้พวกผีเปรตพวกนั้นเขาก็ขนหัวลุกแล้ว นี่ถ้าปล่อยให้พวกมันมาเพ่นพ่านบนโลกตลอดเวลาโดยอิสระอย่างที่ว่าล่ะก็ เขาแทบไม่อยากจะคิดเลยว่ามันจะเป็นยังไง ... โลกใบนี้คงไม่ต่างอะไรกับนรกเป็นแน่ ... พ่อหมอพูดถูกแล้ว เขาไม่ควรจะถามหาเรื่องใส่ตัวแบบนี้เลย
 
.............................................
เวปส่วนตัว - http://www.novel008.com
Discord - https://discord.gg/DkT2Mf8q

poppancake


MR.TIXJUN PAYUK