ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_ฟัก อยู่แม้น

แค้นวิปริต จิตสั่งกาม (cop) ตอนที่ 15

เริ่มโดย ฟัก อยู่แม้น, ตุลาคม 23, 2015, 06:56:23 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

ฟัก อยู่แม้น






ตอนที่15 รู้เขารู้เรา
.
.
.
ไม่คิดมาก่อนเลยว่าพวกเขาจะกล้ารุกรานพื้นที่ส่วนตัวของผมถึงขนาดมาเคาะประตูบ้าน

"ใครกันนะ แต่งตัวเปรี้ยวจัง" ผมได้ยินเสียงความคิดของแม่บ้านบัวซึ่งกำลังแอบมองมีนด้วยความอยากรู้อยากเห็นยัยน้าคนนี้ขี้นินทาเสียด้วย ปล่อยไว้นานกว่านี้เห็นจะไม่ได้การ
ผมตัดสินใจเปิดประตูต้อนรับอย่างเสียมิได้ไม่ใช่เพราะกลัวพลังพิเศษของมีน มันเทียบไม่ได้เลยกับพลังเม้าธ์แตกแปดทิศของน้าบัวขืนปล่อยให้ยัยเจ๊มีนยืนป่าวร้องอยู่หน้าบ้านนานกว่านี้ยิ่งมีแต่จะทำให้ถูกแม่บ้านจอมสอดตีความไปต่าง ๆ นานาเป็นต้นว่าผมอาจถูกสินเชื่อเงินผ่อนตามทวงถึงที่หรือมีผู้หญิงเสียตัวให้ผมแล้วมาทวงถามความรับผิดชอบ
"สวัสดีครับ เชิญเข้ามาก่อนสิครับ"
มีนรับไหว้มือแข็งเธอนิยมแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเสริมบุคลิกกระฉับกระเฉงคล้ายหญิงสาวสมัยใหม่ที่ทำงานวงการโฆษณา
ทันทีที่ปิดประตูความเงียบอึมครึมก็แผ่ซ่านเข้าปกคลุมบรรยากาศทั่วบ้านทั้งผมและเธอต่างรู้ดีว่าต่างฝ่าย"ไม่ใช่ธรรมดา" ผมไม่รู้ว่าเธอทำอะไรได้ ส่วนถึงเธอจะรู้ว่าผมทำอะไรได้บ้างแต่ก็คงตระหนักว่าความสามารถของผมไม่ใช่กระจอกซึ่งหากใครผลีผลามเปิดเกมขึ้นมาก่อนอาจเสียท่ากลายเป็นช่องโหว่ให้อีกฝ่ายโต้กลับได้
"รับชา กาแฟ หรือน้ำผลไม้ดีครับ" ผมยิ้มและเชิญเธอให้นั่งลงบนโซฟาสีน้ำตาลไหม้
"ขอบใจ แต่ไม่ต้องลำบากหรอก พี่ไม่ได้มาเพราะอยากนั่งจิบน้ำชากับเธอหรอกนะ" เธอคลี่ม้วนหนังสือพิมพ์กางออกวางบนโต๊ะให้เห็นหน้าหนึ่งชัดๆ
"เธอทำกับคนดี ๆ อย่างคุณดาได้ยังไง"
"ยังไงเหรอครับ? ก็ทำเหมือนเหยื่อทุกรายที่ผ่านมาส่งกระแสจิตเข้ายึดความคิด แล้วสั่งการผ่านโทรจิต ไม่มีเคล็บลับแปลกใหม่เลยครับ"
"อย่ามาเล่นลิ้นกับพี่นะ รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่บ้าง" มีนเอ็ด
"แต่ที่แน่ ๆ ผมรู้จักโลกรู้จักสันดานคนมากกว่าพี่มีนแน่นอนครับ" ผมต่อล้อต่อเถียง พร้อมเคาะขมับด้วยนิ้วชี้เบา ๆเป็นนัยว่าอำนาจโทรจิตเท่านั้นคือคำตอบของสัจจะทุกอย่างในโลกของผม
"ส.ส. ดารินทร์เป็นแม่ของอดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งเธอมีอำนาจบาตรใหญ่กลั่นแกล้งผมและแม่ให้อยู่ในโรงเรียนไม่เป็นสุขทั้งสองมีความผิดที่ร่วมกันชดใช้ ลูกสาวเธอลามปามแม่ผมและทำให้อับอายผมจึงจัดการให้แม่เธอทำอุจาดเธอจะได้รับรู้รสชาติของความอับอายที่แม่บังเกิดเกล้าถูกสังคมสาปแช่งป่านนี้อาจจะหนีไปอยู่ต่างประเทศแล้วก็ได้นะครับ" ผมอธิบาย
"ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่แก้แค้นลูกสาวเธอคนเดียว" มีนถาม
"แม่เธอก็มีหนี้ค้างกับผมอยู่แล้วครับดารินทร์กดดันไม่ให้แม่ผมขายของในโรงเรียนผมจึงตอบแทนโดยการตัดอนาคตด้านหน้าที่การงานของเธอ ส่วนคำพิพากษาลูกสาวเธอที่ผมเห็นควรที่สุดก็คือการทำให้อายที่มีแม่เป็นผู้หญิงคลั่งกามเดินไปไหนมาไหนก็มีแต่เสียงซุบซิบว่า "คนนี้ไงลูก สส.ดารินทร์ที่โรคจิต ๆ น่ะ" สมเหตุสมผลดีออก ฮะ ๆ"
"แต่พี่ว่าเธอต่างหากที่โรคจิตยิ่งกว่า" มีน
"การฆ่าคนมีสองประเภท. . ." ผมไม่สนใจและพูดต่อในสิ่งที่ผมอยากจะพูด
"ประเภทแรกคือการฆ่าให้สิ้นชีวิตแม้ตัวบุคคลตายไปก็อาจจะมีคนติฉินนินทาผู้ตาย แต่ไม่นานกาลเวลาจะชะล้างให้ผู้คนลืมเลือนเรื่องที่เกี่ยวกับผู้ตายไปเองผมว่าธนิกเป็นเพชฌฆาตที่ถนัดงานประหารแนวนี้ . . ."
"และอีกประเภทหนึ่งคือการฆ่าทั้งเป็น ฆ่าให้ตัวตนทางสังคมถูกทำลาย.. . แล้วปล่อยให้บุคคลใช้ชีวิตโดยแบกรับคำตีตราอยู่ตลอดชั่วลมหายใจต้องเร้นกายหลบซ่อนคำถามคำให้ร้ายจากผู้คน ที่สำคัญสังคมไทยมีวัฒนธรรมเสพติดการลงโทษ พี่คงเคยเห็นสังคมก่นประณามคนเรียนหนังสือไม่จบคนท้องก่อนแต่ง คนติดเชื้อเอชไอวี โดยไม่มองว่ามนุษย์ล้วนมีโอกาสทำผิดพลาดกันได้ทั้งนั้นเงื่อนไขและจังหวะในชีวิตคนเราต่างกันแต่วัฒนธรรมเสพติดการลงโทษทำให้เรามักเลือกตัดสินคนในแง่ลบไม่หยิบยื่นโอกาสให้แก้ตัว กลับซ้ำเติม ถากถางด้วยการแสดงทั้งระดับกาย วาจาความคิด เอกลักษณ์แบบไทย ๆ ประการนี้ทำให้ผมชอบและสนุกกับการประหารคนด้วยวิธีนี้มากกว่าครับ" ผมยกน้ำขึ้นจิบหลังกล่าวจบ
มีนปั้นหน้าประดุจเห็นอสูรกายนั่งอยู่เบื้องหน้าเธอแทบไม่เชื่อว่านี่คือความคิดของเด็กหนุ่มอายุยี่สิบต้น ๆแม้การเรียบเรียงความคิดถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดจะเฉียบแหลม แต่ฐานคติกลับแฝงได้ด้วยความมืดมนความน่ากลัว และอันตรายจนไม่อยากเข้าใกล้
"นี่เธอ. . .เห็นชีวิตคนทั้งคนเป็นอะไรกัน" มีนกลืนน้ำลาย
"ในยุคโพสท์โมเดิร์นไม่มีคำตอบใดเป็นสัจจะตายตัวขึ้นอยู่กับมุมมองและการตีความ ในกรณีนี้ผมขอตอบว่าผมเห็นค่าของชีวิตใครคนหนึ่งขึ้นอยู่กับมุมมองเดียวกับที่เขาคิดกับผมนั่นแหละครับพูดให้ง่าย ๆ ก็คือใครดีมาผมดีด้วย ใครร้ายมาผมร้ายกลับก็เท่านั้นเองครับ"
". . .แน่นอน รวมถึงผู้มีพลังพิเศษด้วยอย่านึกว่าเป็นพวกเดียวกันด้วยเหตุผลทางชีวะแล้วผมจะยอมสวามิภักดิ์ถ้าใครขวางทางปืนล่ะก็. . .ผมรับรองว่าจะต้องเสียใจภายหลังแน่นอน อยู่ดีไม่ว่าดีดันสร้างศัตรูเป็นผู้มีพลังโทรจิต" ไหน ๆ เธอก็หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดแล้วถือโอกาสบอกความในใจไปเลยแล้วกัน
"ถ้าเธอหมายถึงพวกเราล่ะก็ พี่ก็อยากเป็นฝ่ายพูดบ้าง"
ผมนิ่งเงียบ
"พี่ชื่นชม ส.ส. ดารินทร์มาก แต่หากเธอยืนยันว่ามีความแค้นเป็นการส่วนตัวไม่ได้เกิดจากการกลั่นแกล้ง พี่ก็จะพยายามเข้าใจเพราะถ้าพี่ถูกกระทำอย่างเธอมาก่อนแล้วมีอำนาจที่จะแก้แค้นอย่างง่ายดายพี่ก็อาจจะทำเช่นเธอ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เราจะจบกันแค่นี้และพี่จะไม่พูดถึงให้ขุ่นข้องใจกันอีก"
มีนพับหนังสือพิมพ์เก็บลงกระเป๋าสะพาย.. .
"ทีนี้พี่อยากให้เธอปรับทัศนคติใหม่เกี่ยวกับพวกเราบ้างพวกเราไม่ได้มีเจตนาคุกคามชีวิตเธอเลยนะ" น้ำเสียงและท่าทีของมีนเปลี่ยนไปโดยทันใด
"นี่เหรอครับที่เรียกว่าไม่คุกคาม? คนหนึ่งเกือบทำผมถึงตาย ส่วนพี่มีนเองก็บุกเข้ามาถึงบ้านผม"
"ช่วงที่นิกตามสืบว่าเธอเป็นผู้มีพลังพิเศษเขาเคยแกะรอยมาถึงบ้านเธอและตอนนั้นพี่ก็อยู่กับเขาด้วยเลยจำทางบ้านเธอได้พี่ขอโทษที่วู่ว่ามไป อย่านึกถึงแต่เรื่องไม่ดีสิ ทีเรื่องของณัฐล่ะเขาเพ่งนิมิตดูอนาคตที่เธอประสบอุบัติเหตุเป็นชั่วโมงเลยนะกว่าจะทราบตำแหน่งและวันเวลาได้แม่นยำขนาดนั้น"
"ผมไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใครฝากบอกณัฐด้วยว่าถ้าอยากให้ผมสะกดจิตใครเพื่อเป็นประโยชน์กับเขาก็บอกมาผมยินดีจัดการให้ตามคำขอสามครั้ง แค่นี้คงแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ"
"ณัฐมีทุกอย่างที่ต้องการแล้ว เธอไม่ต้องห่วงเขาหรอก" มีนกระแอมอมยิ้มเหมือนเห็นผมเป็นเด็กไม่รู้เดียงสา
"ราคาทองคำ ตลาดหุ้น ลอตเตอรี่การซื้อ-ขายเพื่อเก็งกำไรเกือบทุกชนิด เด็กคนนี้อ่านออกหมดจด" มีนพูดจบลงแค่นั้นเธอคงคิดว่าบอกสรรพคุณไปแค่นี้ผมน่าจะคิดต่อเองได้
ผมหันเหความสนใจจนถึงกับสะอึกเล็กน้อยการใช้พลังโทรจิตของผมใช้สร้างฐานะก็นับว่าเหลือเชื่อแล้วไม่คิดว่าจะมีผู้มีพลังรูปแบบอื่น ๆสามารถใช้อำนาจพิเศษยกระดับความเป็นอยู่เหนือชั้นกว่าผมได้อย่างง่ายดาย
"ตอนนี้พวกเราอยู่ได้ก็เพราะณัฐ พูดไปก็น่าอายพี่ทำฟรีแลนซ์และเรียนต่อโท ลำพังรายได้แค่นั้นไม่พอใช้หรอก ส่วนนิกก็. . . จำได้ไหมว่าเจอกันครั้งแรกเขาใส่ชุดหนุ่มออฟฟิศวันนั้นแหละที่เขาตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อสานฝันให้ตระกูลและแสดงตนกับเธอเห็นไหมว่าเขาให้ความสำคัญกับพี่น้องด้วยกันแค่ไหน"
". . . . . ." ผมหันหน้าไปอีกทางหนึ่งเพราะนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี
"เปิดใจมองคนอื่นในแง่ดีบ้างสิ" เธอย้ำจนดูเหมือนพนักงานขายจอมตื้อ
"เอาอย่างนี้พี่จะไถ่โทษที่บุกมารบกวนเธอด้วยการบอกเรื่องที่เธอน่าจะอยากรู้ให้สักสองสามเรื่องก็แล้วกัน"
"เรื่องแรกนะ พวกเราไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกันทุกคนมีคนละพ่อคนละแม่ แต่อาจเรียกได้ว่าเป็นญาติกัน เพราะถ้าคนเป็นพ่อหรือแม่ขาดคุณสมบัติของผู้มีพลังพิเศษแล้วลูกที่เกิดมาไม่มีทางเป็นผู้มีพลังพิเศษได้หรอกดังนั้นเรามาจากต้นตระกูลเดียวกันแต่จะต้องนับญาติขึ้นไปกี่รุ่นก็สุดแล้วแต่สิ่งที่พี่อยากจะบอกจริง ๆ ก็คือ ในกรณีครอบครัวฝั่งเธอ ผู้มีพลังพิเศษคือแม่เธอนั่นเอง"
"ว่ายังไงนะครับ. . ." ผมโพล่งขึ้นมาด้วยความที่เก็บอาการไม่อยู่
"ชักน่าสนใจขึ้นมาใช่ไหมล่ะ" มีนอ่านสีหน้าผมได้ทะลุปุโปร่ง แน่ละผมอ่านใจเธอไม่ได้และคงต้องเป็นฝ่ายพึ่งพาข้อมูลที่เธอยอมเปิดเผย
"แต่ถ้าแม่ผมเป็นผู้มีพลังพิเศษ แล้วมีความสามารถอะไรครับทำไมต้องเป็นแม่ค้าซ่อมซ่อ" ยอมรับว่าเรื่องนี้ทำให้ผมมีท่าทีไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือมีนจริงๆ อย่างกับเด็กน้อยที่อ้อนขอให้ผู้ใหญ่เล่านิทานต่อ
"เป็นคำถามที่ดี เพราะนี่คือเรื่องต่อไปที่พี่จะบอก. . ."
"เรื่องที่สอง ถึงจะเรียกว่าผู้มีพลังพิเศษแต่นิยามของมันมีแต่พลังจิตประเภทต่าง ๆที่เกิดจากกระแสจิตอันแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ ดังนั้นอำนาจต่าง ๆที่พวกเราครอบครองล้วนแต่มีฐานจาก "พลังจิต" ทั้งสิ้น จะไม่มีคนยิงแสงเลเซอร์ออกจากดวงตาปล่อยไฟฟ้าช็อต หรือกางปีกบินได้ทำนองนี้หรอก เพราะฉะนั้นถ้าเป็นแค่พลังจิตละก็ความสามารถบางอย่างก็อาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ได้ไม่มากเท่าไหร่หรืออาจไม่ค่อยมีประโยชน์ด้วยซ้ำขึ้นอยู่กับโชคชะตามากกว่าว่าเกิดมาจะได้พลังอะไรติดตัวมา และทำอะไรได้บ้าง"
" ซึ่งพลังจิตโดยทั่วไปมีสองประเภทแบบแรกคือเป็นพลังจิตสายนามธรรม คนตระกูลเรามีพลังจิตประเภทนี้เกือบทั้งหมดเรียกว่าเกินเก้าสิบเปอร์เซนต์ทีเดียวพลังสายนี้จะเกี่ยวข้องกับการรับรู้ที่เหนือมนุษย์ต่าง ๆ หรือควบคุมกลไกทางจิตแต่ไม่มีอำนาจที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับกายภาพใด ๆที่ฉันเคยได้ยินมาก็เช่น ฉายภาพหลอนประสาทคน อ่านใจ ควบคุมความทรงจำ ตาทิพย์หรือแคลซ์วอยแอนซ์แต่เท่าที่ประเมินแล้วรู้สึกว่าเธอจะเป็นผู้มีโทรจิตที่มีพลังแรงกล้ากว่าคนอื่นสั่งการครอบงำคนน่าจะเป็นพลังหลัก ๆแต่นอกนั้นทำได้อย่างละนิดละหน่อยหลายอย่างเหมือนเป็ดที่ว่ายน้ำได้แต่ไม่ดีเท่าปลา เดินบนบกได้แต่ไม่ดีเท่าไก่ บินได้แต่ไม่ดีเท่านกพี่ว่าเธอลบความจำคนได้แน่ ๆ เพราะไม่เคยมีผู้เสียหายคนไหนพูดเกี่ยวกับเธอเลยรู้ไหมว่าคนก่อน ๆ เขามีกันแค่อย่างละประเภทเดียวเท่านั้นแต่ใช้งานได้เต็มรูปแบบเช่นพวกที่อ่านใจคนสามารถทำได้ระดับโยงจิตให้คนธรรมดาคุยต่อกันผ่านจิตได้เหมือนใช้มือถือประชุมสายพวกใช้ตาทิพย์เก่ง ๆ สามารถอ่านหนังสือจากห้องสมุดต่างประเทศได้ด้วยซ้ำปิดเล่มอยู่ก็อ่านได้เพราะมองมะลุไล่ทีละหน้าส่วนพวกควบคุมความจำนี่ถึงขั้นปลูกฝังความทรงจำเทียมให้คนอื่นได้ด้วย"
"ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ครับ แค่อ่านใจก็เท่านั้นเองตาทิพย์ก็มีแต่เห็นได้ไม่ไกลและลึกมากนัก ส่วนความจำก็แค่ลบทิ้งปลอมแปลงใหม่ไม่ได้" ผมเสริมให้เธอทราบว่าผมกำลังให้ความสนใจเรื่องที่คุยกันอยู่
"ถึงได้บอกไงว่าเหมือนเป็ดเพราะใช้พลังได้ค่อนข้างหลากหลายแต่ก็มีข้อจำกัด แต่ช่างเถอะนะแค่ควบคุมจิตใจคนได้เป็นหลักก็ถือว่าเก่งและหายากมากแล้ว" ดูเหมือนเธอจะมีกำลังใจเล่าต่อเมื่อเห็นผมสนอกสนใจ แน่ละมันล้วนแต่เป็นเรื่องที่รู้แล้วผมมีส่วนได้ส่วนเสียทั้งนั้น
" ณัฐเองก็จัดอยู่ในสายเดียวกับเธอเช่นกันพลังของณัฐอาจเปรียบกับพระอริยะรูปที่มีญาณแรงกล้าสามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ รวมถึงญาณวิเศษด้านอื่น ๆ ก็ช่นเดียวกันต่างกันที่ท่านเหล่านั้นมักได้ความสามารถเกิดพร้อมการบรรลุทาง "ปัญญา" ส่วนพวกเราได้มาจาก "การผ่าเหล่า" เพียงอย่างเดียวจะเอาไปใช้ผิดถูกอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง"
"น่าสนุกดีครับ แล้วพลังจิตอีกประเภทหนึ่งล่ะ" ผมเร้าให้เธอเล่าต่อเนื่องอย่างใจจดจ่อ
"แน่นอนสิ มีพลังจิตสายนามธรรมแล้วสายอีกฝ่ายก็ต้องเป็นรูปธรรมซึ่งหายากมาก นานทีปีหนจะได้พบสายนี้รูปแบบพลังก็ตรงตามชื่อ คือสามารถแปลงพลังจิตเป็นพลังงานกายภาพจนเห็นเป็นปาฎิหารย์ได้ด้วยตาเปล่าบางคนสามารถใช้พลังงานจิตเคลื่อนไหวร่างกายแทนที่จะใช้พลังงานจากร่างกายทำให้ไวกว่าและข้ามข้อจำกัดต่าง ๆในการเคลื่อนไหวของมนุษย์ห่างกันคนละชั้นเพราะใช้แค่ความคิดพาร่างเดินทางเท่านั้นพวกนี้เรียกว่าเทเลพอร์ทเทชั่น หรือไม่ก็ใช้จิตถ่ายทอดภาพความคิดลงอัดแผ่นฟิล์มภาพถ่าย หรือเผาไหม้กระดาษเป็นรูปภาพข้อความต่าง ๆ จำพวกนี้เรียกว่าธอตโตกราฟฟี่ส่วนไซโคไคเนซิสหรือพลังจิตเหนือวัตถุอย่างนิกก็ถือว่าหายากเช่นกันนิกเกิดจากการแต่งงานแบบการเมือง ของพ่อกับแม่ที่มีพลังจิตสายรูปธรรมเพื่อที่จะได้บุตรที่มีพลังจิตแน่นอน และต้องเป็นสายนี้เท่านั้น"
ผมพยักหน้าเห็นดีเห็นงามไปด้วยเป็นระยะๆเป็นการตอบสนองว่าเรื่องที่เธอพูดนั้นผมตั้งใจฟังอย่างละเอียดทุกคำพูดแม้จะแสดงออกด้วยความเงียบไปบ้าง
"ทีนี้เข้าใจแล้วสินะว่าทำไมเธอถึงใช้โทรจิตสะกดพวกเดียวกันไม่ได้เพราะทุกคนต่างมีพื้นฐานกระแสจิตเข้มแข็งพอ ๆ กัน ถ้าเปรียบจิตเป็นกล้ามแขนกับคนธรรมดาก็เหมือนเธอมีกล้ามใหญ่กว่าแล้วไปงัดข้อกับคนผอมแห้งแขนลีบก็ย่อมต้องชนะขาดลอยแต่กับพวกเราก็เหมือนเอาคนมีกล้ามแข็งไล่เลี่ยกันมางัดข้อจึงล้มไม่ลงยกเว้นการใช้พลังจิตอย่างเป็นกลางเช่นการที่ณัฐอ่านอนาคตให้เธอก็ไม่ได้ถือว่ารุกล้ำเพราะเขาหยั่งรู้ได้เองหรือจะถ่ายถอดภาพที่เห็นส่งกันผ่านโทรจิตก็ย่อมทำได้เพราะไม่ใช่การใช่กำลังจิตเข้าข่มหรือหักหาญกันและข้อยกเว้นอีกอย่างก็คือสายแบบนิกที่แปลงพลังจิตเป็นพลังงานกายภาพได้เขาไม่ได้รุกล้ำจิตเธอ แต่เล่นงานที่ร่างกายด้วยวิธีต่าง ๆสารพัดรูปแบบที่จะทำให้เกิดการบาดเจ็บทางกายภาพ ดังนั้นเธอถึงได้เสียเปรียบนิกแต่จะอย่างไรก็ตามพวกเราล้วนมีพื้นฐานจาก "กระแสพลังจิตเหนือมนุษย์" ทั้งนั้น ก็คือว่าหากพูดถึงผู้มีพลังจิตคนเรามักนึกถึงคนที่งอช้อนกับทายใจได้เท่านั้น ผู้ใหญ่รุ่นหลัง ๆจึงนิยมเรียกว่าผู้มีพลังพิเศษเพราะฟังดูกว้างขวางกว่า แต่ชื่อเรียกไม่ใช่สาระสำคัญให้เธอรู้ว่าต้นกำเนิดความสามารถพวกเรามาจากไหนก็พอ"
เป็นประโยชน์จริงๆ มีนช่างมองโลกในแง่ดีเสียนี่กระไรเธอไม่รู้ตัวหรือแกล้งโง่กันแน่ว่าที่จ้อออกมานั้นมีแต่เรื่องสาวไส้ให้กากินทั้งนั้นนี่เป็นบันไดขั้นแรกที่ผมจะหาวิธีเอาชนะธนิกได้ เห็นทีต้องใช้โอกาสนี้ถามทุกอย่างที่อยากรู้ให้หมด
"ว่าแต่ . ..เจ้าตัวรู้ไหมครับว่าเกิดขึ้นมาด้วยเหตุผลทางการเมือง" แม้จะรู้ว่าเป็นการนินทาบุคคลที่สามแต่ผมก็ห้ามใจไม่ได้และถามไปแล้ว
"นิกรู้อยู่ตลอดแหละ ตอนเด็ก ๆหนังสือที่ทุกคนหาให้เขาอ่านไม่ใช่การ์ตูนหรือนิทานแต่เป็นหนังสือเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสังคมต่าง ๆเขายอมรับชะตาที่ผู้ใหญ่ในตระกูลให้เขาเกิดมาเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกแต่พี่ยอมรับว่านิกก็เป็นคนค่อนข้างสุดโต่งเมื่อเจ็ดขวบเขาเห็นคนงานก่อสร้างกำลังจะเชือดไก่ที่เลี้ยงไว้. . ."
"ไก่รอด แต่คนไม่รอด ใช่ไหมครับ"
"ใช่ นั่นเป็นครั้งแรกที่นิกพิพากษาคนด้วยโทษตายและตั้งแต่นั้นนิกก็ถือมังสวิรัติมาตลอดเขาค่อนข้างมองธรรมชาติของมนุษย์ในแง่ร้ายไว้ก่อนและตัดสินจากมุมมองของเขาเท่านั้นพี่ถามหน่อยว่าถ้าคนงานนั้นไม่ฆ่าไก่กินแล้วจะให้กินอะไร มันอาจเป็นอาหารอย่างเดียวที่เขามีในวันนั้นก็ได้"
คำบอกเล่าจากมีนทำให้ผมฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้บางที เธออาจจะไม่เห็นดีเห็นงามกับธนิกไปเสียทุกเรื่องและอาจเป็นช่องโหว่ให้ผมใช้ประโยชน์ได้
"เดาว่าที่บ้านเขาคงจัดหนังสือเก่าเกินไปและไม่มีความหลากหลายให้อ่านก็เลยมีมุมมองต่อโลกคับแคบล่ะมั้งครับ"
"เขาจบวิทยาฯ สิ่งแวดล้อมมาน่ะจบแล้วก็ทำงานประเภทเอ็นจีโอ แต่ไม่ได้เรียนสายอย่างเธอจึงขาดมุมมองทางสังคม" มีนเสริม
"พี่มีนครับ. . ." ผมเริ่มเข้าประเด็นตามภาษานักธุรกิจ แต่การ "ขาย" ครั้งนี้ค่อนข้างหินเพราะไม่สามารถใช้พลังโน้มน้าวใจกับผู้ฟังได้
"ไม่คิดอยากเป็นอิสระบ้างหรือครับปล่อยให้คนบ้าอำนาจอย่างนั้นมาบงการชีวิตได้ยังไงพี่น่าจะมีสิ่งที่อยากทำมากกว่าร่วมโครงการเพ้อเจ้ออย่างนั้นนะ" ผมพยายามจะดึงมีนเข้ามาเป็นพวกเพื่อดัดหลังธนิก
"พี่ก็เคยคิดอย่างนั้น จนกระทั่งรู้ว่ามีเธอไงเต๋อ" มีนยิ้ม "อยากที่นิกบอก เธอเปลี่ยนแปลงคนได้ แต่นิกทำได้แค่กำจัดสิ่งที่พี่อยากเห็นที่สุดก็คือ ต่อไปนิกจะไม่ต้องทำร้ายใครอีกแล้ว"
"มันก็แค่โยนภาระในสิ่งที่พวกพี่ทำไม่ได้มาให้ผมไม่ใช่รึแล้วก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ด้วย" ท่าจะไม่ง่ายซะแล้ว ในใจของมีนคงถือข้างธนิกมาก่อนผมซึ่งก็เป็นธรรมชาติ เพราะผมก็เหมือนคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักพวกเธอ
"พี่เข้าใจ. . . พวกเราถึงได้ให้เวลาเธอทำใจ" มีนถอนหายใจ
"ทำไมถึงใช้คำว่า "ทำใจ" ล่ะครับ แปลว่าผมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธอย่างนั้นหรือนี่ชีวิตของผมนะครับ"
"นิกถึงได้อ้างเรื่องว่าแม่ของเธอทำให้ตระกูลเราวายวอดไงและเรียกร้องให้เธอชดใช้ความผิดแทนแม่ ถึงเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ค่อยขึ้นแต่ก็คงมีเรื่องนี้เรื่องเดียวที่นิกจะใช้รั้งตัวเธอไว้"
"หมายความว่ายังไงครับ แม่ผมไปทำอะไรไว้" ผมทั้งอยากรู้และทั้งหงุดหงิดทำไมผมต้องรับผิดชอบปัญหาที่ตนไม่ได้เป็นคนก่อขึ้นด้วย แต่หากคิดว่าทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่ายละก็ผมก็เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าพลังพิเศษนี้คงไม่ได้มาเปล่า ๆ หรอกสักวันคงต้องนำปัญหาบางอย่างเข้าตัวจนได้ถึงกับมีคนแปลกหน้าที่ไหนไม่รู้โผล่ออกมาเรียกร้องให้ชดใช้ความผิดแทนแม่เลยทีเดียว
"ที่เล่าให้ฟังทั้งหมดก็เยอะมากแล้ว ถ้านิกรู้ต้องโมโหแน่เลยพอก่อนดีกว่า" มีนทำท่าทีเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
"ยังไงวันนี้เธอก็ได้รู้จักตัวเองและพวกพี่เยอะขึ้นหวังว่าเธอคงยอมเปิดใจบ้าง วันหน้าถ้าเราคุยกันได้อย่างสนิทใจพี่เชื่อว่าทุกคนจะกล้าเล่าทุกอย่างที่เธอต้องการรวมทั้งเรื่องของแม่เธอและวันนั้นเธอก็จะรู้เองว่าพลังของพี่คืออะไร" มีนสรุปให้และเตรียมตัวเก็บของลาหลังจากคุยเปิดอกแล้วเธอดูสงบเย็นขึ้นมากทีเดียว ตรงข้ามกับผมซึ่งในใจกลับรุ่มร้อน
.
.
.
วันหน้าที่สนิทใจงั้นหรือ?

ตลกสิ้นดี
ผมไม่เคยยอมรับใครง่ายๆ ยิ่งเป็นพวกศรศิลป์กินกันไม่ลง ใช้พลังควบคุมก็ไม่เป็นผลแถมรู้ความลับและชีวิตส่วนตัวว่าผมเป็นใครและทำอะไรไว้บ้างย่อมไว้ใจไม่ได้ฝันไปเถอะ
.
.
.
ใครก็ตามที่ถือดีเข้ามาวุ่นวายในโลกที่ผมเป็นคนกำกับผมจะไม่ปล่อยไว้แน่
.
.
.
ต่อให้เป็นพวกเดียวกันก็ตาม. . .
.
.
.
.
.
.
"
นังแพศยา! งามหน้านักนะ!"
.
.
.
ดารินทร์ถูกตบจนกระเด็นล้มกองกับพื้นในห้องอาหารที่เธอเคยพาชู้ชั่วคราวมาระเริงสวาทบรรดาลูกจ้างในบ้านต่างแอบฟังตามซอกหลืบจากนอกห้องอย่างแนบเนียบทั้งอยากรู้อยากเห็นและสงสาร แต่เหตุผลอย่างแรกคงจะมีน้ำหนักกว่าเพราะถึงสงสารแค่ไหนก็ไม่มีใครห้ามปรามคุณผู้ชายได้ เขาฟิวส์ขาดแล้ว

"พ่อคะ พอได้แล้วค่ะ แม่จะตายอยู่แล้ว" เกรซกอดเข่าอ่อนวอนผู้เป็นพ่อ
"แค่นี้ยังน้อยไป ดูแม่แกซิประสาทไปแล้ว ไล่มันไปอยู่โรง'บาลไป๊!"
"ฮืออออ คุณคะ ฉันไม่รู้จริง ๆว่าทำเรื่องอย่างนั้นลงไปได้ยังไง ฉันไม่รู้เรื่องจริง ๆ" เป็นเวลากว่ายี่สิบนาทีแล้วที่ดารินทร์ถูกสามีซ้อมเธอเงยหน้าบวมช้ำขึ้นมาเรียกร้องให้สามีเพลามือลงจริงอยู่ที่เธอทำงานพิทักษ์สิทธิสตรีย่อมมีช่องทางต่อสู้ด้วยข้อกฎหมายกับผู้ชายที่ทำร้ายเธอหากแต่กรณีนี้เธอก่อเรื่องผิดศีลธรรมร้ายแรงขึ้นมาเองจนสามีถึงกับลงมือซึ่งนั่นก็อาจเรียกได้ว่าทางสามีมีความชอบธรรมอยู่บ้าง ติดก็แต่ตรงที่. . .
.
.
.
ไม่มีใครรู้เลยว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดได้อย่างไร?
.
.
.
แม้แต่เกรซก็ไม่สามารถให้คำตอบได้เธอรู้สึกเหมือนกับมีใครสักคนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดเธอจำได้แต่เพียงช่วงหลังแม่ของเธอพาผู้ชายมาแปลกหน้ามาหลับนอนในบ้านอย่างไม่อายผีสางและเธอรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ดูการร่วมเพศระหว่างแม่แท้ ๆ กับชายแปลกหน้าถูกข่มขืนใจ กักขังหน่วงเหนี่ยวและถูกบังคับให้กลืนกินอะไรบางอย่างที่น่าสะอิดสะเอียนแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกเสียที รู้แต่ว่าเมื่อนึกถึงคราใดก็เจ็บปวดร้าวลึกถึงกระดูกดำเป็นความทรงจำต่ำทรามที่สุดในชีวิตตั้งแต่เธอเกิดมา

ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากเหตุการณ์ที่เธอนั่งดูแม่ของเธอก่อเหตุอนาจารต่อหน้าธารกำนัลโดยที่ทำได้เพียงนั่งมองเฉยๆ นับแต่นั้นชีวิตเกรซก็เปลี่ยนไป เกรซถูกคนรอบข้างจ้องมองด้วยสายตารังเกียจได้รับการด่าทอทั้งแบบชี้หน้าด่าตรง ๆ และทางอ้อมว่าเป็นลูกของนักการเมืองบ้ากามโรคจิต เธอไม่อยากไปเรียน ไม่อยากช็อปปิ้งไม่อยากเที่ยวกลางคืน ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น เพราะไม่ว่าเธอจะไปอยู่แห่งหนใดคนที่เห็นหน้าเธอก็จะนึกเชื่อมโยงถึงผู้หญิงอุบาทว์นามดารินทร์ทุกครั้งไป เวลานี้เกรซอยากสลายร่างหายไปจากโลกเฉย ๆ ให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย
"ผมขอหย่ากับคุณ! ผมอยู่กับผู้หญิงกะหรี่ไม่ได้!ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลป่นปี้หมดแล้ว" ในที่สุดฝ่ายสามีหยุดซ้อมแต่ยังเดินวนไปมาในห้องด้วยความหัวเสีย
"อย่า. . . อย่าทำอย่างนั้นกับฉัน ฮือออออ" ดารินทร์ร่ำไห้คร่ำครวญ
"พ่อจะหย่ากับแม่. . .จริง ๆ เหรอคะ" เกรซถา
แค่เธอยักคิ้ว ต้นงิ้วก็แค่ถั่วงอก