ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

XO ตอนที่ 20 - ปราณจักรวาล

เริ่มโดย assasin008, ตุลาคม 04, 2015, 12:25:01 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

assasin008

XO ตอนที่ 20 - ปราณจักรวาล
..................................
Assasin008 2015-10-03
                     
   "นังหนูนี่เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า แปดเทพธิดาร่วมกันต่อสู้เต็มกำลังแล้ว แต่ยังพ่ายแพ้ให้กับเจ้าหนุ่มนั่นภายในเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปงั้นเรอะ?"

   ชายวัยกลางคนร่วมอ้วนท้วมสมบูรณ์ส่งเสียงถามสาวใช้อ่อนเยาว์หน้าตาน่ารักสดใสโดยมิได้หันไปมอง ร่างอ้วนท้วมของผู้มีอันจะกินนั้นเดินเอามือไพร่หลังด้วยท่าทางสบายอารมณ์คล้ายอืดอาดเชื่องช้า หากทว่าร่างอ้วนท้วมกลับคล้ายลอยลิ่วไปตามลม

   สาวใช้จึงต้องวิ่งย่ำเท้าสุดแรงจนเหงื่อชุ่มใบหน้าเพียงเพื่อให้สามารถติดตามได้ทัน ส่วนบรรดาองครักษ์นับสิบที่ติดตามหลังนั้นสภาพดีกว่าเล็กน้อย เพราะต่างก็มีวิชาตัวเบาที่ไม่ต่ำทราม

   "เจ้าค่ะนายผู้เฒ่า คุณหนูทั้งแปดใช้ค่ายกลมารฟ้าเจ็ดดาวเหนือตั้งแต่เริ่ม แม้แต่คุณหนูเตียวเสี้ยนก็ยังใช้หนึ่งในเจ็ดวิถีมารฟ้าอย่างจันทราดับสูญด้วย แต่ก็ยังพ่ายแพ้ไร้ทางสู้ คุณชายท่านนั้นเพียงยืนนิ่งเฉย ใช้ปราณบังคับโซ่กำราบพวกนางได้อย่างน่าเหลือเชื่อ"

   "ปราณบังคับโซ่งั้นหรือ ... ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก หรือว่ามันบรรลุถึงขั้นปราณธรรมชาติ ผสานรวมคนและโซ่"

   ชายวัยกลางคนร่างอ้วนท้วมผู้นี้คือเจ้าของร้านค้าทาส และที่กำลังเร่งรีบเดินทางเข้ามาในหอจันทราซ่อนแห่งนี้ก็เพราะสาวใช้ข้างกายแปดเทพธิดาได้ไปรายงานเรื่องราวของการท้าประลองอันน่าตื่นตาตื่นใจให้รับฟัง ในฐานะของผู้ที่เคยให้การดูแลแปดเทพธิดา และในฐานะของชาวยุทธจักร ทำให้เขาต้องเร่งรีบมาชมดู

   "บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ว่าโซ่เส้นนั้นร้ายกาจยิ่ง ... อ๊ะ ดูเหมือนว่าจะเริ่มแข่งขันในหัวข้อที่สอง เริ่มบรรเลงบทเพลงกันแล้วเจ้าค่อ"

   สาวใช้แม้จะมีวรยุทธ์อยู่บ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะลึกล้ำ จึงไม่สามารถให้ความเห็นในรายละเอียดได้ เจ้าของร้านค้าทาสที่ไม่ได้รับคำตอบอันแน่ชัดจึงครุ่นคิดพลางโลดแล่นไปตามทางเดิน จนกระทั่งมาหยุดลงที่ริมสระน้ำ ดวงตาเล็กหยีคู่นั้นจับจ้องมองดูเก๋งจีนกลางน้ำซึ่งบัดนี้ถูกยึดครองโดยเหล่าแปดเทพธิดา และหนึ่งบุรุษหนุ่ม อย่างน้อยเขาก็มาทันได้ชมการประลองในหัวข้อที่สอง

   เสียงติงจากพิณของเตียวเสี้ยนที่สดใสก้องกังวาลดังสั่นสะท้านหัวใจผู้คนหนึ่งครั้ง ก่อนจะเงียบหายไปตามสายลม นี่คือความสามารถอันเลิศล้ำทางด้านดนตรีกาลของเหล่านางงาม เพียงแค่เสียงเริ่มต้นเสียงเดียวก่อนการบรรเลง ก็สามารถสะกดจนผู้คนหยุดนิ่งลืมเลือนจากทุกสิ่งที่กำลังกระทำได้
  
   "แปดเทพธิดาเริ่มบรรเลงก่อนงั้นหรือ นี่สมควรเป็นบทเพลงสรวงสวรรค์รำพัน สุดยอดแห่งบทเพลงที่พวกเจ้าภูมิใจยิ่ง และนี่หมายความว่าพวกเจ้าประเมินเจ้าหนุ่มนั่นไว้อย่างสูงยิ่ง"
    
   เจ้าของร้านค้าทาสกล่าวพลางยกมือขึ้นลูบเคราด้วยท่าทีครุ่นคิด เหล่านางงามทั้งแปดในเก๋งจีนต่างจับจองเครื่องดนตรีเฉพาะตัวที่แตกต่างกันเจ็ดชนิด มีเพียงพิณที่ซ้ำกันเพราะเตียวเสี้ยนนั้นถนัดใช้พิณ ส่วนนางงามสกุลเทียนนั้นไม่มีใครใช้ซ้ำกัน และนี่คือสุดยอดแห่งบทเพลงของเหล่าแปดเทพธิดา บทเพลงที่สามารถหยุดยั้งการฆ่าฟันในสงคราม ทั้งยังทำให้เหล่าทหารหาญร่ำไห้ได้

   ความเงียบงันก็นับเป็นดนตรีประเภทหนึ่ง ความเงียบที่เว้นเอาไว้หลังจากเสียงแรกทำให้ผู้คนรู้สึกพลุ่งพล่านเกิดความรู้สึกอยากรับฟังจนแทบเอ่ยปากร้องขอ กระทั่งเมื่อเสียงเพลงบรรเลงขึ้นมาอีกครั้ง ทุกผู้คนจึงค่อยรู้สึกหายคับข้องใจ บังเกิดความผ่อนคลายต่อเสียงเพลงที่กังวาลสดใสนั้น

   เสียงติงตังจากพิณหลักของเตียวเสี้ยนคล้ายเสียงจากสวรรค์คอยชักนำเหล่านางฟ้าเทพธิดา เสียงพิณรองของเทียนซางผู้เป็นพี่ใหญ่สกุลเทียนคล้ายเสียงของเทพธิดาซึ่งตอบรับต่อเสียงชักนำ จากนั้นนางงามสกุลเทียนที่เหลือก็เริ่มบรรบทเพลงอันโศกศัลย์เศร้าสร้อยออกมาผสมผสานอย่างลงตัว

   เสียงดนตรีนั้นไพเราะจับใจแล้ว แต่เมื่อเหล่านางฟ้าทั้งแปดเริ่มเอ่ยปากส่งเสียงร้องเพลง ความไพเราะเสนาะหูก็ยิ่งเพิ่มพูนทบเท่าทวี ผู้ฟังทุกคนต่างหลับตาพริ้มดื่มด่ำบทเพลง ต่างรู้สึกเหมือนมองเห็นเทพธิดากำลังร่ำไห้ต่อความโหดร้ายของสงคราม

   ทุกคนรู้สึกราวกับตนเองเป็นทหารที่เข้าร่วมสงคราม ตนเองกลับไม่ทราบว่าเหตุใดจึงต้องรบรา ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงต้องฆ่าฟัน ฝ่ายตรงข้ามล้วนแล้วแต่เป็นผู้คนที่มีเลือดเนื้อ มีญาติพี่น้องที่รอคอยกลับบ้านไม่ต่างกับตนเอง กระนั้นตนเองกลับยังคงต้องต่อสู้ฆ่าฟัน เพียงเพราะว่านั่นคือสงคราม

   ดาบกระบี่ในมือยิ่งยิ่งเปื้อนเลือด พวกมันฟาดฟันอย่างบ้าคลั่งจนสองตาแดงฉาน พวกมันยังคงไม่ทราบว่าจะฆ่าฟันไปเพื่ออะไร เพียงทราบว่าตนเองต้องฆ่าฟันเพื่อความอยู่รอด ตนเองยังต้องกลับไปเห็นหน้าบุตรหลานภรรรยา

   อาวุธในมือฟาดฟันหักโหม เลือดสีแดงกระฉูดเป็นฟูฝอยแล้วทะลักไหลรินราวทะเลเลือด เหล่านักรบโห่ร้องเกรี้ยวกราดราวสัตว์ป่า เหยียบย่ำลงไปบนซากชีวิตของผู้พ่ายแพ้คนแล้วคนเล่า พวกมันไม่อยากต่อสู้แล้ว หากทว่าพวกมันหยุดไม่ได้ หากพวกมันหยุดยั้ง คงต้องเป็นพวกมันเองที่นอนล้มลงไปให้ผู้อื่นเหยียบย่ำ

   ดวงตาของพวกมันแดงฉานราวปีศาจจากขุมนรก หากทว่าหัวใจของพวกมันกำลังร่ำร้อง ทุกดาบที่แกว่งไกวเชือดเฉือนใส่เลือดเนื้อฝ่ายตรงข้าม กลับคล้ายกรีดบาดใส่ขั้วหัวใจพวกมันจนเจ็บปวดรวดร้าว ทุกชีวิตที่พวกมันฆ่าฟันทำให้พวกมันได้ยินเสียงร่ำไห้ของญาติพี่น้องศัตรูดังขึ้นที่ข้างใบหู พวกมันเพียงแค่ต้องการรักษาชีวิตไว้เพื่อหน้าลูกหลานมิใช่หรือ แล้วใยพวกมันจึงกลับกลายเป็นฝ่ายพรากชีวิตผู้อื่นเช่นนี้

   เสียงกลองศึกเสียงแผดร้องและเสียงฆ่าฟันดังก้องที่ข้างหู จมูกสูดดมกลิ่นคาวเลือดข้นคลั่ก พวกมันต่างสูดดมได้กลิ่นของความตาย สูดดมกลิ่นอันเน่าเหม็นของสันดานมนุษย์ ที่แห่งนี้มิได้ต่างอันใดกับขุมนรกที่เต็มไปด้วยปีศาจร้าย แต่ว่าพวกมันไม่ทราบว่าสมควรทำอย่างไร พวกมันไม่ทราบว่าจะสามารถหลบหนีออกไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร

   เมื่อเสียงเพลงเริ่มแผ่วเาลง เจ้าของร้านค้าทาสรวมถึงบรรดาบริวารต่างยืนนิ่งเงียบน้ำตาหลั่งนองใบหน้า พวกเขาย่อมเคยผ่านสมรภูมิสู้รบ ย่อมเคยบังเกิดความรู้สึกเช่นนั้น พวกเขาต่างเข้าใจรู้ซึ้งถึงความอับจนปัญญา หากไม่ฆ่าก็ต้องถูกฆ่า หากหลบหนีก็ต้องถูกฆ่า เช่นนั้นพวกมันจึงได้แต่ดิ้นรนฆ่าฟันอย่างบ้าคลั่ง

   ทันใดนั้นท่วงทำนองของเสียงเพลงก็เปลี่ยนแปลงไป พวกมันกลับไปอยู่ในสมรภูมิสู้รบที่เหมือนขุมนรกอีกครั้ง หากทว่าคราวนี้ท้องฟ้าที่มืดทึบกลับปรากฎแสงสว่างแหวกทะลุม่านเมฆสีดำลงคั่นกลางระหว่างสองฝ่าย

   ลำแสงนั้นคล้ายจะชำระความบ้าคลั่งในขุมนรก คล้ายแม่น้ำใหญ่ที่กั้นขวางการฆ่าฟัน ทุกผู้คนต่างเงยหน้ามองดูลำแสงด้วยดวงตาเหม่อลอย บนฟากฟ้านั้นปรากฎเงาร่างของเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ พวกนางมองลงมาด้วยดวงตาเวทนาสงสาร ทั้งยังส่งเสียงร้องขอให้พวกมันหยุดยั้งการฆ่าฟัน

   พริบตานั้นร่างของทุกคนพลันสั่นสะท้าน ดาบกระบี่ในมือต่างหลุดร่วงลงไปกองกับพื้น พวกมันอาจตื่นตระหนกชื่นชมต่อความงามของเทพธิดา หากทว่าที่สะทกสะท้านหัวใจของพวกมันกลับเป็นดวงตาเปี่ยมเวทนาจิตของเหล่านางฟ้า

    พวกมันรู้สึกราวกับมองเห็นแววตาที่กำลังร่ำไห้ของบุตรภรรยาที่อยู่เบื้องหลัง ภรรยาของพวกมันกำลังร่ำไห้ร้องขอให้พวกมันกลับไปโอบกอด พวกนางไม่ได้ต้องการเกียรติยศอันใด พวกนางเพียงต้องการสามีของพวกนางกลับคืนไปอยู่ร่วมกันฉันท์ครอบครัว

   พวกมันต่างร่ำไห้น้ำตานองหน้า พวกมันคุกเข่าลงบนผืนดินเปื้อนเลือดด้วยความอ่อนระโหย พวกมันหยุดฆ่าฟันแล้ว ฝ่ายตรงข้ามก็กระทำเช่นเดียวกัน ไม่มีใครคิดหยิบดาบฆ่าฟันอีก พวกมันเพียงยิ้มให้กัน แล้วลุกขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลนองหน้า ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังที่ที่พวกมันจากมา เวลานี้พวกมันเพียงต้องการกลับบ้านไปหาลูกหลานและภรรยาเท่านั้น

   ความลึกล้ำของบทเพลงที่สื่อออกมานั้นเศร้าสร้อยเกิน จนทำให้เหล่าผู้ติดตามของร้านค้าทาสพากันทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าส่งเสียงร่ำร้อง พวกมันเองก็ต้องห่างไกลจากบุตรภรรยา เพราะต้องประกอบอาชีพหาเงินตราไปเลี้ยงดู บทเพลงทั้งท่อนขุมนรกในช่วงแรก และบทเพลงท่อนรำพันในท่อนที่สอง จึงคล้ายค้อนที่ทุบเข้าใส่กลางอก หากทว่าบทเพลงสรวงสวรรค์รำพันยังมีท่อนสุดท้ายเหลืออยู่อีก

   ท่วงทำนองของเสียงดนตรีแผ่วพลิ้วแปรผันอีกครั้ง ท่วงทำนองที่เปลี่ยนไปทำให้ผู้ฟังมองเห็นภาพตนเองกำลังวิ่งย่ำเท้าผ่านทุ่งนา พวกมันรู้สึกได้ถึงความลิงโลดเมื่อมองเห็นบ้านเก่าชำรุด พวกมันถึงกับแหกปากร่ำร้องเมื่อมองเห็นภรรยาอุ้มบุตรยืนอยู่หน้าบ้าน

   จิตใจของพวกมันร้อนระอุดุจมีเปลวไฟแผดเผา ภรรยาของพวกมันมองเห็นมันแล้ว นางยกมือขึ้นปิดป้องปากด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะเผยรอยยิ้มและหลั่งน้ำตานองหน้า พวกมันวิ่งตรงดิ่งราวกับติดปีก มันโอบกอดทั้งภรรยาเอาไว้แนบอก อุ้มบุตรหลานไว้แนบกาย พร้อมกับส่งเสียงร่ำร้องว่าพวกมันกลับมาแล้ว พวกมันรอดชีวิตกลับมาแล้ว

   ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปกับเสียงดนตรี ผู้ฟังรู้สึกราวกับว่ากำลังโอบกอดบุตรหลานภรรยาเอาไว้ พวกมันคล้ายได้ยินเสียงร่ำร้องด้วยความปิติของนางดังอยู่ข้างหู พวกมันคล้ายสัมผัสได้ถึงความรักและความคิดคะนึงที่พรั่งพรูออกมา พวกมันมิใช่อยากได้สิ่งนี้มากกว่าเกียรติยศอันใดหรอกหรือ

   บทเพลงสรวงสวรรค์รำพันจบลงเช่นนี้ เสียงดนตรีและเสียงขับร้องหยุดยั้งลงแล้ว หากทว่าเสียงเพลงยังคงติดอยู่ที่ใบหูไม่จางหายไปไหน เหล่าชายฉกรรจ์และบริวารของร้านค้าทาสต่างพากันร่ำร้องส่งเสียงโฮราวกับเด็กน้อย หากทว่านั่นเป็นเสียงร่ำร้องแห่งความปิติชื่นชม ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปรบมือที่ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ นี่คือสุดยอดแห่งสุดยอดของบทเพลง พวกมันไม่เชื่อว่าจะมีบทเพลงใดสุดยอดยิ่งกว่าบทเพลงนี้อีกแล้ว

   ที่แสดงออกแตกต่างออกไปกลับเป็นเจ้าของร้านค้าทาสและเหล่านางงามที่เพิ่งบรรเลงเพลงจบ เจ้าของร้านค้าทาสแม้จะชื่นชมต่อสุดยอดแห่งบทเพลง หากทว่าบทเพลงช่วงจบเมื่อครู่นั้นบังเกิดเสียงที่เป็นตำหนิขึ้นมาสองเสียงอย่างน่าเหลือเชื่อ เพียงแต่หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางดนตรีกาลก็คงไม่สามารถจับได้

   เหล่านางงามก็ขมวดคิ้วเช่นเดียวกันกับเจ้าของร้านค้าทาส พวกนางหันไปมองดูเทียนซางและเทียนอวี้ด้วยแววตาแปลกประหลาด เพราะเสียงประหลาดที่เกิดขึ้นนั้นมาจากพวกนางสองคนนี้

   ด้านเทียนซางน้องสี่และเทียนอวี้น้องเจ็ดกลับก้มหน้างุดไม่ยอมสู้สายตาของพี่น้อง พวกนางสองคนไม่ได้บรรเลงผิดพลาด หากทว่าเมื่อนึกไปว่าหากพวกนางบรรเลงยอดเยี่ยมเกินไป บุรุษที่พวกนางได้หลวมตัวหลงรักไปแล้วจะไม่สามารถเอาชนะได้ พวกนางจึงจงใจสร้างตำหนิเล็กน้อยลงไปบนบทเพลง
  
   เรื่องนี้ย่อมยากจะกล่าวโทษพวกนาง สตรีนั้นแม้จะมีจิตใจเข้มแข็ง หากทว่าเมื่อจิตใจเปิดรับใครสักคนเข้ามาแล้ว พวกนางจะยอมกระทำทุกอย่างเพื่อบุรุษผู้นั้น โดยเฉพาะเทียนซางและเทียนอวี้ ที่โดนเขาลวนลามปรนเปรอจนระดับความใคร่และระดับความรักพุ่งขึ้นเกินกว่า 90% ไปแล้ว เรียกได้ว่าต่อให้เขาพ่ายแพ้ในการเดิมพันครั้งนี้ พวกนางสองคนก็ยังจะยอมเป็นทาสรักให้แก่เขาอยู่ดี

   เหล่านางงามที่เหลือแม้จะสงสัยไม่เข้าใจ แต่ก็ยังไม่ใช่เวลาที่จะสอบถาม เพราะนี่คือช่วงเวลาแห่งการเดิมพันเพื่อขลุ่ยลำนำสวรรค์ พวกนางจึงหันไปมองดูบุรุษหนุ่มที่หาญกล้าท้าเดิมพันด้วยบทเพลง และพวกนางก็ต้องแปลกประหลาดใจเมื่อเห็นบุรุษผู้นั้นกำลังยืนเงยหน้ามองดูหมู่ดาวพลางปล่อยให้น้ำตาไหลนองหน้าอยู่ริมเก๋ง

   ภาพนั้นทำให้หัวใจของพวกนางกระตุกสั่นขึ้นมา บุรุษหนุ่มแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเข้าถึงจิตวิญญาณของบทเพลงสรวงสวรรค์รำพันอย่างดีเยี่ยม หากทว่าเขากลับมิได้แสดงความหนักใจอันใดออกมา ราวกับว่าตนเองเป็นเพียงผู้ชม ไม่ได้มีส่วนร่วมในการเดิมพันแต่อย่างใด และบุคลิกภาพที่ดูเหมือนเล็กน้อยนี้ ได้สร้างความรู้สึกดียิ่งให้แก่พวกนาง

   นางงามทั้งแปดหยุดนิ่งรอคอยว่าเขาจะนำเสนอสิ่งใดเข้าสู้ ส่วนทางด้านเจ้าของร้านค้าทาสและบริวารนั้นต่างคิดเห็นตรงกันว่าการประชันในครั้งนี้ทราบผลลัพธ์แล้ว ไม่มีทางที่ใครจะสามารถบรรเพลงได้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าบทเพลงสรวงสวรรค์รำพันเมื่อครู่ได้โดยเด็ดขาด โดยเฉพาะเมื่อคิดไปว่านี่เป็นการประชันแบบหนึ่งต่อแปด

   อย่างไรก็ตาม ขณะที่ไม่มีผู้ใดคาดหวังนั้น บุรุษหนุ่มก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เขาหันหน้าไปอีกด้านหนึ่งเหมือนตั้งใจจะไม่ให้ใครมองเห็นด้านหน้า แล้วหยิบเอาสิ่งที่น่าจะเป็นขลุ่ยเลาหนึ่งขึ้นมาแนบปาก ก่อนจะปรากฎเสียงหนึ่งซึ่งสะท้านสะเทือนไปถึงจิตวิญญาณของผู้ฟังทุกคน แม้แต่เหล่านางงามทั้งแปดที่เคยรับฟังเสียงดนตรีมานับไม่ถ้วนก็ยังมิใช่ข้อยกเว้น

   เสียงนั้นทำให้เหล่านางงามต้องยกมือขึ้นแนบอกด้วยความตื่นตะลึง พวกนางไม่ทราบว่าเสียงเช่นนั้นปรากฎขึ้นมาได้อย่างไร นั่นคล้ายกับเสียงที่ร่วงหล่นลงมาจากสรวงสวรรค์ เสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยความไพเราะน่าอัศจรรย์ที่พวกนางไม่สามารถจินตนาการได้ว่าจะต้องสร้างสรรค์ขึ้นมาได้อย่างไร

   เสียงขลุ่ยเริ่มจากเนิบนาบเชื่องช้าคล้ายสายลมพัดเฉื่อย หากทว่าขับกล่อมจนผู้คนรู้สึกเคลิบเคลิ้มและหลับตาลง หากว่าบทเพลงของเหล่านางฟ้าเมื่อครู่นั้นสะท้านสะเทือนจิตใจของชีวิตมนุษย์ ก็คงต้องให้คำบรรยายต่อบทเพลงในตอนนี้ว่าลึกซึ้งถึงแก่นแท้แห่งจิตวิญญาณ

   เสียงอ่อนนุ่มนั้นสอดประสานกับเสียงแห่งสายลมที่พัดผ่านรอบกาย สายลมรอบกายก็คล้ายจะส่งเสียงสอดประสานเสริมให้แก่เสียงขลุ่ย เสียงจากสองสิ่งต่างสอดเสริมกันและกันอย่างกลมกลืนจนไม่อาจแบ่งแยกได้

   สุ้มเสียงนั้นชักนำจิตใจผู้คนให้รู้สึกตัวเบาหวิว แล้วล่องลอยไปกับสายลมอุ่นที่โชยมา ผู้ฟังต่างรู้สึกราวกับตนเองกำลังโบยบินขึ้นไปบนฟากฟ้าพร้อมกับสายลมที่โชยแผ่ว ต่างคนต่างสัมผัสได้ถึงอิสระภาพและความเสรีไร้ข้อผูกมัดของการไร้ซึ่งร่างกาย เวลานี้ผู้ฟังต่างรู้สึกคล้ายได้กลายเป็นสายลมที่พัดผ่านท้องทุ่งอันงดงามเขียวขจีไปเสียแล้ว

   สายลมอุ่นพัดโชยข้ามผ่านแม่น้ำ ข้ามแผ่นแดนดินที่ชะอุ่มด้วยแมกไม้ ก่อนจะลอยละลิ่วขึ้นสูงลิบบนฟากฟ้าแปรเปลี่ยนไปเป็นอีกสภาวะหนึ่ง ท่วงทำนองเพลงพลิกผันแปรเปลี่ยนอีกครั้ง ทุกคนกลับกลายเป็นเมฆหมอกที่ลอยล่องบนท้องฟ้าตามแรงลมพัด

   เบื้องบนเป็นมวลหมู่ดาวสวยงาม ในขณะที่เบื้องล่างคือท้องทะเลสีครามดุจดั่งสีของอัญมณี นั่นกลับเป็นความรู้สึกที่ไร้ข้อผูกมัดอีกรูปแบบหนึ่ง แม้ลอยอ้อยอิ่งเชื่องช้า หากทว่ากลับให้ความรู้สึกที่แสนจะสุนทรีย์ยากจะบรรยาย

   ท่วงทำนองผลันผันเปลี่ยนเป็นเร่งร้อนรวดเร็ว เมฆหมอกที่ลอยล่องอ้อยอิ่งลอยวนควบแน่นกลายเป็นเมฆฝน ทำนองเพลงส่งเสียงอื้ออึงดั่งพายุพัดฝนกระหน่ำ เสียงขลุ่ยทุ้มต่ำกลับแฝงเร้นเสียงคล้ายฟ้าร้องฟ้าแลบ จากนั้นทุกคนก็กลายเป็นร่างเบาหวิวเย็นสบาย รู้สึกเหมือนกำลังร่วงหล่นลงมาจากปุยเมฆ รู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นหยาดฝนที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้าสู่หนองน้ำ

   ท่วงทำนองเร่งร้อนกลายเป็นเย็นเยียบนิ่งงัน ร่างกายของผู้ฟังคล้ายจะหลอมกลืนลงไปในบึงน้ำเช่นเดียวกับสายฝนที่พร่างพรมลงมา

   เสียงขลุ่ยสอดประสานกับเสียงหยดน้ำรอบกาย สอดประสานกับเสียงของแมลงในยามค่ำคืน สอดประสานกับทุกสิ่งที่อยู่รอบกาย จากนั้นเสียงขลุ่ยคล้ายแผ่วเบาลง บทเพลงคล้ายมิได้ออกมาจากขลุ่ย หากทว่ายังคงมีเสียงอันไพเราะที่ถูกขับกล่อมออกมาจากทุกสรรพสิ่งรอบกาย

   เวลานี้เสียงขลุ่ยเงียบลงไปแล้ว หากทว่าทุกผู้คนยังคงหลับตาพริ้มดื่มด่ำไปกับเสียงรอบกาย ทุกคนต่างเพิ่งรับรู้ว่าที่แท้เสียงของสายลมที่พัดผ่านรอบกายไพเราะน่าฟังถึงเพียงนี้ ที่แท้เสียงของหยดน้ำเล็ก ๆ กลับสดใสจับใจ ที่แท้เสียงลมหายใจหรือแม้แต่เสียงหัวใจที่เต้นอยู่ในร่างก็เปี่ยมด้วยพลังชีวิตถึงเพียงนี้ ที่แท้แล้วรอบกายของเราต่างมีเสียงเพลงอันไพเราะจับใจหากแต่เป็นตัวเราเองที่มิเคยเปิดใจรับฟัง

   ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดกว่าที่ผู้คนจะรู้สึกตัว ไม่ว่าจะเหล่าสาวใช้ที่อยู่ใกล้เคียง เจ้าของร้านค้าทาส เหล่าองครักษ์ หรือแม้แต่นางงามทั้งแปดต่างหลั่งน้ำตานองหน้าด้วยความสะทกสะท้านปลื้มปิติ โดยเฉพาะเหล่านางงามทั้งแปดที่ได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจมากที่สุด

   พวกนางต่างพยายามฝึกปรือพัฒนาวิชาการดนตรี เพื่อสร้างสรรค์เสียงเพลงที่ไพเราะเสนาะหู พวกนางพยายามจัดหาเครื่องดนตรีอันยอดเยี่ยม จัดแต่งท่วงทำนองอันยอดเยี่ยม หากทว่าไม่เคยเลยที่จะสัมผัสสอดคล้องไปกับเสียงดนตรีอันไพเราะที่อยู่รอบกาย ... ไม่เคยเลยสักครั้ง

   "เฮ้อ ... ได้ยินบทเพลงเช่นนี้แล้ว ต่อให้ข้าเล่าสงต้องตายตกก็ไม่รู้สึกเสียชีวิตอีกแล้ว ... น่าเสียดาย น่าเสียดาย ... ตัวข้าใฝ่หาสิ่งล้ำค่าจากทั่วแผ่นดินมาเนิ่นนาน หาทราบไม่ว่าสิ่งล้ำค่าที่สุดกลับอยู่รอบกายตนเอง ... พวกเรากลับเถอะ"

   เจ้าของร้านค้าทาสนามเล่าสงได้สติก่อนใครอื่น เขาถอดถอนหายใจหนักหน่วงระบายความในใจ ก่อนจะหมุนตัวหันหลังกลับทำท่าจะเดินจากไป เหล่าลูกสมุนและสาวใช้ที่ยังงุนงงจึงรีบส่งเสียงร้องห้ามเพราะต่างต้องการอยู่ชมดูต่อไป

   "นายท่าน ... ไฉนท่านจะกลับแล้ว การประชันยังไม่รู้ผลกระมัง"

   สาวใช้หน้าตาคมขำรีบวิ่งไปจับชายแขนเสื้อของเล่าสงเพื่อยึดยื้อ แต่ก็ต้องรีบหดมือกลับเมื่อเล่าสงหันมามองด้วยสายตาตำหนิ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

   "พวกเจ้าได้รับฟังบทเพลงทั้งสองด้วยตัวหูตนเองแล้ว หากพวกเจ้ายังไม่มีคำตัดสินที่เป็นธรรม ก็ไม่สมควรอยู่ทำงานในที่แห่งนี้อีก"

   นำ้เสียงตำหนินั้นทำให้ทุกคนนิ่งเงียบ เพราะถ้อยคำนั้นล้วนแล้วแต่ทิ่มแทงตรงใจ พวกมันต่างตระหนักดีว่าบทเพลงใดที่ไพเราะจับใจกว่ากัน แต่เนื่องจากพวกมันนับแปดนางงามเป็นพวกเดียวกัน ทั้งยังไม่อยากให้แปดนางงามต้องไปเป็นของชายใด พวกมันจึงมีใจเอนเอียงเข้าข้างทางเหล่านางงาม

   "แต่ว่ายังมีการประลองรอบที่สามนะนายท่านเจ้าคะ"

   สาวใช้คนเดิมยังคงพยายามต่อรอง แต่เล่าสงเพียงส่ายศีรษะอ้วนกลมไปมา แล้วส่งเสียงหัวเราะพร้อมกับเดินจากไปโดยไม่หันมามองอีก

   "วรยุทธ์แพ้พ่าย ดนตรีพ่ายแพ้ หากแปดนางงามยังมีหน้ารับการประลองรอบที่สาม ข้าเล่าสงคงต้องหัวเราะเหยียดหยามพวกนางแล้ว ฮ่า ฮ่า นี่จึงเรียกว่าชะตาฟ้าลิขิต พวกนางวางแผนเสียดิบดีเพื่อความเป็นอิสระ แต่สุดท้ายกลับต้องมาตกบ่วงรักกับบุรุษหนุ่มผู้นี้ ฮ่า ฮ่า ชะตาฟ้าลิขิต ชะตาฟ้าลิขิต ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
  
   สาวใช้และเหล่าองครักษ์ต่างรับฟังด้วยความงุนงง หากทว่าเมื่อเจ้านายเดินนำไปแล้ว พวกเขาก็ต้องขยับตามอย่างไม่เต็มใจนัก เพราะยังอยากจะรู้ผลการเดิมพันให้แน่ชัด หลงเหลือก็แต่เพียงสาวใช้หน้าตาคมขำนางนั้นที่ยังคงยืนนิ่งจับจ้องมองดูบุรุษหนุ่มในเก๋งจีนด้วยแววตาวิบวับครู่หนึ่ง เธอเองก็อยากจะเป็นทาสของยอดบุรุษเช่นนี้บ้าง

....................................

   'เทียนชู ระดับความใคร่ 99%  ระดับความรัก 99%'
   'เทียนหยาง ระดับความใคร่ 99%  ระดับความรัก 99%'
   'เทียนซาง ระดับความใคร่ 99%  ระดับความรัก 99%'
   'เทียนหวิง ระดับความใคร่ 99%  ระดับความรัก 99%'
   'เทียนเซิง ระดับความใคร่ 99%  ระดับความรัก 99%'
   'เทียนซิ่ง ระดับความใคร่ 99%  ระดับความรัก 99%'
   'เทียนอวี้ ระดับความใคร่ 99%  ระดับความรัก 99%'
   'เตียวเสี้ยน ระดับความใคร่ 99%  ระดับความรัก 99%'

   แม็กที่ยืนเก๊กท่าอยู่นานลอบยิ้มในใจหลังจากได้ยินเสียงและเห็นข้อความประกาศของระบบ เวลานี้ต่อให้นางงามทั้งแปดไม่ยอมเป็นทาส แต่ในแง่ของความรู้สึกแล้วก็คงไม่แตกต่างกันนัก พวกเธอไม่มีทางหักใจหนีจากเขาได้

   ความจริงแล้วแม็กไม่ใช่นักดนตรี เขาอาจจะเป็นนักฟังที่ดี แต่ไม่เคยฝึกฝนการเล่นดนตรีมาก่อนแม้แต่น้อย ส่วนเหตุการณ์เป่าขลุ่ยด้วยเสียงสุดยอดนั้นเป็นเพียงความสามารถของขลุ่ยลำนำสวรรค์เลานี้ล้วน ๆ

   นี่คือขลุ่ยลำนำสวรรค์ที่แปดนางงามตามหา มันคือขลุ่ยที่ถูกสลักเหลาจากหยกสวรรค์ เพียงแต่การบรรเลงเพลงนั้นมิใช่ใช้การเป่าด้วยลมอย่างเช่นขลุ่ยทั่วไป

   ขลุ่ยลำนำสวรรค์นั้นจะยอมรับเฉพาะผู้ใช้ที่มีสายเลือดแห่งเทพ ซึ่งแม็กมีสูงล้ำกว่านั้น ส่วนการบรรเลงนั้นยังต้องการพลังธาตุแสงบริสุทธิ์เข้มข้นที่แม้แต่นักบวชก็ยังใช้ไม่ได้ หากทว่าเขามีความสามารถนั้นอยู่ในครอบครอง

   นอกจากการใช้พลังเวทย์ขับกล่อมบทเพลงแล้ว ขลุ่ยลำนำสวรรค์ยังสามารถเก็บบทเพลงที่เคยถูกบรรเลงเอาไว้ได้ และบทเพลงเมื่อครู่นั้นก็มิใช่ฝีมือของเขา หากแต่เป็นการใช้ความสามารถของขลุ่ยลำนำสวรรค์ทำการบรรเลงเพลงซึ่งเทพแห่งดนตรีกาลเคยบรรเลงเอาไว้ในอดีต

   เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นบทเพลงของเทพแห่งดนตรีกาล บทเพลงนั้นย่อมยอดเยี่ยมเลิศล้ำเหนือบทเพลงใด บทเพลงของแปดนางงามแม้จะเป็นสุดยอดของสุดยอดในหมู่มวลมนุษย์ หากทว่าเมื่อต้องนำไปเทียบกับบทเพลงแห่งสรวงสวรรค์แล้ว กลับยังห่างชั้นกันหลายขุม

   ความพ่ายแพ้ทางด้านวรยุทธ์ ตามด้วยความพ่ายแพ้ทางด้านดนตรีได้สร้างความสะทกสะท้านใจแก่พวกนางอย่างแสนสาหัส และช่วงเวลานั้นเองที่ทักษะของแอสโมดิอุสและอะโฟไดทีได้ทำการกระตุ้นเร้า ความรู้สึกที่พวกนางมีต่อแม็กจึงเอ่อทะลักล้นเต็มเปี่ยมเช่นนี้

   "ผลรอบสองเป็นยังไง?"

   แม็กสวมบทบาทจอมยุทธ์ค่อย ๆ หมุนตัวกลับหลังมาเชื่องช้า พร้อมกับจัดเก็บขลุ่ยลำนำสวรรค์และขยับสองมือไขว้หลังไปมองดูแปดนางงาม เขามั่นใจบทเพลงของเขายอดเยี่ยมกว่า เพียงแต่ยังต้องการคำยืนยันจากพวกเธอ และเขาก็ต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่

   แปดนางงามต่างมองดูเขาด้วยแววตาพลุ่งพล่านเร่าร้อนหวานหยดย้อย นี่แตกต่างกับแววตาก่อนหน้าที่เต็มไปด้วยความยั่วเย้าแบบไม่จริงใจ แววตาของพวกเธอในเวลานี้ไม่ต่างอันใดกับสาวน้อยร้อนรักที่พร้อมจะมอบทุกสิ่งให้แก่บุรุษที่เธอชื่นชอบ เขาถึงกับแน่ใจว่าหากเขาเอ่ยปากขอ พวกเธอก็จะพยักหน้าปล่อยให้เขาจูงมือขึ้นเตียงได้ในทันทีด้วยซ้ำ

   "หน้าโง่ ยังต้องถามอีกหรือ รีบบอกหัวข้อรอบที่สามมาเถอะ"

   เตียวเสี้ยนกล่าวด่าทอเช่นเคย หากทว่าน้ำเสียงและแววตาที่เมียงมองมานั้นกลับทำให้รู้สึกคันยุบยิบในหัวใจยิ่งกว่าเดิม ความหมายในประโยคของเธอนั้นยอมรับกลาย ๆ ว่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่บอกให้เขาเสนอหัวข้อที่สามออกมาแล้ว

   "งั้นสรุปว่ารอบสองผมชนะใช่มั้ย?"

   แม็กทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว เขาถามพลางหันไปสอบสายตากับแปดนางงามทีละคนซึ่งหากพวกเธอไม่ก้มหน้างุดขัดเขิน ก็ต้องส่งสายตาเร่าร้อนฉ่ำเยิ้มมาให้ เขาจึงเริ่มดำเนินแผนการต่อ โดยทำตามที่คาร่าได้แนะนำเอาไว้ นี่คือแผนที่เรียกว่าแสร้งปล่อยเพื่อจับ

   "งั้น หัวข้อที่สาม ... ชื่อหัวข้อว่าความสมัครใจของเทพธิดา ถ้าพวกคุณแปดคนมีแม้สักคนเดียวบอกว่าผมแพ้ ก็ให้ถือว่าผมแพ้"

   เมื่อเขาพูดจบประโยค เหล่านางงามต่างก็ทอประกายหวั่นไหวขึ้นในดวงตา จากนั้นก็รู้สึกใบหน้าแดงวูบวาบเขินอาย หากให้พวกเธอเลือกแล้ว พวกเธอคงจะขอรับการแข่งขันสักครั้ง ต่อให้พ่ายแพ้ต้องตกเป็นของเขาก็ยินดียิ่ง

   หากทว่าหัวข้อเช่นนี้นั้นกลับเป็นการบีบบังคับให้พวกเธอเปิดเผยท่าทีออกมา หากตอบว่าพวกเธอชนะ ก็ถือว่าพวกเธอไร้เกียรติศักดิ์ศรีและปากไม่ตรงกับใจ แต่หากจะให้บอกว่าพวกเธอแพ้ ก็ออกจะน่าขัดเขินเกินไป เพราะนั่นเป็นการป่าวประกาศกลาย ๆ ว่าพวกเธอยินดีตกเป็นทาสรักของเขา

   เหล่าแปดนางงามต่างหันไปมองหน้ากันด้วยความสับสนวุ่นวายใจ และเมื่อต่างมองเห็นดวงตาของอีกฝ่าย ก็ได้รับรู้ว่าทุกคนต่างคิดเห็นตรงกัน เพียงแต่ยังหน้าบางไม่กล้าแสดงความคิดนั้นออกมา สุดท้ายนางงามสกุลเทียนทั้งเจ็ดก็หันไปมองหน้าทำการยัดเยียดมอบหมายหน้าที่นี้ให้แก่เตียวเสี้ยน จนเตี้ยวเสี้ยนเองก็เริ่มทำตัวไม่ถูก

   ใบหน้างามเฉิดฉันท์ของเตียวเสี้ยนยิ่งแดงวูบเมื่อแม็กหันมามองดูเธอเพื่อเค้นเอาคำตอบด้วยอีกคน และนี่เป็นครั้งแรกที่เหล่านางงามสกุลเทียนทั้งเจ็ดได้เห็นท่าทางว้าวุ่นใจของหนึ่งในสามสุดยอดสาวงามแห่งแผ่นดินไชนี่

   "ข้า ... ข้า ... เอ่อ ... ข้ารู้สึกง่วงมากแล้ว ... ให้ถือว่าแพ้ก็แล้วกัน ... ข้า ... ข้าขอตัวไปเข้านอนก่อนล่ะ"

   สุดท้ายเตียวเสี้ยนก็ตอบเลี่ยง ๆ ด้วยท่าทีเขินอายสุดชีวิต ก่อนจะพลิ้วกายจากไปด้วยวิชาตัวเบาอย่างรีบด่วน กระนั้นในความหมายของประโยคก็บอกชัดอยู่แล้วว่ายอมแพ้ เพียงแต่บอกกล่าวออกมาให้เหมือนกับว่าเธอง่วงนอนจนไม่อยากแข่งต่อ ดังนั้นให้ถือว่าแพ้ก็ได้

   "พวกเรา ก็คิดแบบเดียวกันเตียวเสี้ยน พวกเราขอตัวไปเข้านอนก่อนเช่นกัน"

  เทียนซางพี่ใหญ่ของกลุ่มมองดูเตียวเสี้ยนจากไปแล้วทำท่าเหมือนคิดอะไรได้ เธอหันไปสบตากับน้อง ๆ แล้วออกเสียงพูดลอย ๆ ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาพลิ้วกายจากไปพร้อมกับน้อง ๆ ทั้งหมด หากทว่าขณะจากไปนั้นแววตาที่จ้องมองมากลับร้อนแรงเปี่ยมความคาดหวังอย่างยิ่ง

   "สาวทวีปไชนี่ขี้อายซินะ คนละแบบกับสาวชนเผ่าอย่างคาร่ากับมีอาเลย แต่แบบนี้ก็น่ารักน่าลุ้นดี"

   แม็กซึ่งถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวหาได้มีความรู้สึกไม่พอใจแต่อย่างใด เพราะเขารู้ดีว่ากิริยาที่แปดนางงามแสดงออกมานั้นหมายความว่าอย่างไร พวกเธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่ายอมเป็นทาสของเขาแล้ว แต่ก็ยังหน้าบางไม่กล้าพูดออกมาโดยตรง ทั้งยังหนีหน้าสร้างสถานการณ์ให้เขาเป็นฝ่ายเข้าหาพวกเธอเอง ซึ่งนี่ผิดกับท่าทีเปิดอกตรงไปตรงมาของคาร่ากับมีอาอย่างเห็นได้ชัด

   เมื่อมั่นใจในความคิดตนเองแล้ว แม็กก็ยืนรับลมชมวิวอีกครู่หนึ่ง เพราะเขาอยากให้เหล่าสาว ๆ มีเวลาเตรียมตัวสักครู่หนึ่ง และพวกเธอก็บอกชัดอยู่แล้วว่าจะไปเข้านอน นั่นแปลออกมาได้อ้อม ๆ ว่าพวกเธอกำลังรอเขาอยู่ในห้องนอนของตนเอง

   แม็กรอคอยอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค่อย ๆ เดินผ่านป่าไผ่ตรงเข้าไปยังเรือนจันทราซ่อน แล้วเดินผ่านไปยังอาคารด้านหลัง ซึ่งเป็นอาคารนอนของเหล่านางงามทั้งแปด

   "ห้องไหนก่อนดีล่ะเนี่ย?"

   ชายหนุ่มยิ้มกริ่มขณะหยุดยืนอยู่หน้าเรือนนอนที่มีห้องอยู่แปดห้อง แต่ละห้องนั้นมีแสงไฟออกมาจากภายในคล้ายจะบอกว่ากำลังรอคอยเขาอยู่ เพียงแต่ปัญหาก็คือเขาควรจะเลือกห้องไหนเป็นลำดับแรก

   ความจริงแล้วจะเลือกห้องไหนก็คงไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะพวกเธอมีความงดงามไม่แตกต่างกัน ยกเว้นแต่เพียงเตียวเสี้ยนที่โดดเด่นมากเป็นพิเศษ ดังนั้นหากเลือกได้แม็กก็อยากจะเลือกเข้าไปหาเตียวเสี้ยนก่อนใคร

   "อืมมม ห้องขวาสุดซินะ"

   แม็กหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดปล่อยสัมผัสแห่งกาลเวลาออกไปเป็นวงกว้าง และสัมผัสนี้ก็ทำให้เขาทราบได้ถึงตำแหน่งของผู้คนในห้องทั้งที่มีผนังกั้น ทั้งยังสามารถจำแนกแยกแยะได้ว่าใครเป็นใคร ซึ่งความจริงแล้วความสามารถนี้นับว่าเป็นความสามารถที่น่ากลัวอย่างยิ่งของโจรหรือนักฆ่า หากทว่าตอนนี้กลับถูกใช้งานเพียงเพื่อมองหาหญิงสาวที่ถูกใจ

   ก๊อก ก๊อก ก๊อก

   เสียงเคาะประตูดังขึ้นแผ่วเบาที่ห้องด้านขวาสุด แม็กยืนใจเย็นอยู่เบื้องหน้าประตูไม่รีบร้อนผลักเข้าไป เพราะเขาถือว่านั่นเป็นการไม่มีมารยาท และเขาก็ไม่ต้องรอยาวนานนัก เพียงครู่เดียวประตูบานนั้นก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฎตัวของเตียวเสี้ยนที่สวมใส่อาภรณ์โปร่งบางรัดรึงไปกับเนื้อตัวมากกว่าก่อนหน้าหลายเท่า เขาคิดว่าเขาได้เห็นรอยยิ้มยินดีที่เธอถูกเลือกเป็นคนแรก

   ภายใต้แสงนวลจากตะเกียงไฟ เตียวเสี้ยนมัดเกล้าผมสีดำสลวยเอาไว้ ร่างงามเปี่ยมเสน่ห์ถูกปิดคลุมเอาไว้ด้วยผ้าสีขาวโปร่งบางจนแลเห็นถึงอาภรณ์ที่อยู่ด้านใน ภายใต้ผ้าคลุมนั้นทรวงอกอวบอิ่มโดนรัดรั้งไว้ด้วยแถบผ้าสีขาวสะอาดหนึ่งผืน แถบผ้าที่ไม่กว้างมากนักทำให้แลเห็นร่องอกและหน้าท้องคอดกิ่วได้อย่างเด่นชัด ซึ่งเขาเดาว่าหน้าอกหน้าใจของเตียวเสี้ยนน่าจะไม่น้อยกว่า 38 นิ้วเป็นขั้นต่ำ

   แม็กยืนนิ่งตะลึงไปครู่ใหญ่ เพราะเวลานี้เตียวเสี้ยนเฉิดฉายความงามออกมามากกว่าปกติหลายเท่า โดยปกตินั้นเธอสวยงามกว่าใครอยู่แล้ว แต่เมื่อดวงตาคู่สวยนั้นแฝงอารมณ์รักร้อนแรงเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ความงามนั้นก็ยิ่งล้ำเลิศยิ่งขึ้นไปอีก หากให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนกับหญิงสาวใส่ชุดยั่วสามีมายืนรออยู่หน้าห้องนอน
   "หน้าโง่ มารบกวนเวลาหลับนอนของคนอื่นมีจุดประสงค์อะไร"
   เตียวเสี้ยนทำตัวคล้ายเด็กดื้อดึงไม่ยอมรับว่าใจตัวเองคิดเช่นไร กระนั้นแววตาที่มองมากลับเร่าร้อนจนเขาแทบอยากจะจับเธอมาบดจูบจิ้มลิ้มสีแดงสดนั่นเสียตอนนี้เลย
   "แล้วจะยอมให้เข้าไปได้มั้ยล่ะ?"
  "หน้าโง่ อยากเข้าก็เข้ามาซิ ข้าไม่มีปัญญาขัดขวางปีศาจราคะยอดยุทธ์เช่นเจ้าอยู่แล้วนี่"
   แม็กเลือกตอบไปแบบซื่อ ๆ พร้อมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เตียวเสี้ยนคล้ายจะรับมือกับแววตากรุ้มกริ่มแบบนี้ไม่ได้ จึงต้องก้มหน้าหลบสายตาแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง และที่ทำให้แม็กต้องรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมาก็คือเตียวเสี้ยนเดินกลับเข้าไปนั่งบนขอบเตียงนอน แทนที่จะนั่งที่โต๊ะน้ำชา
   ประตูห้องถูกปิดลงอย่างแผ่วเบา แม็กเดินเข้าไปหาแล้วถือวิสาสะนั่งลงบนขอบเตียงโดยไม่กลัวว่าจะโดนอีกฝ่ายด่าทอ เพราะจะอย่างไรอีกฝ่ายก็เปิดทางให้ถึงขนาดนี้แล้ว และเวลานี้เตียวเสี้ยนก็มิได้ส่งเสียงด่าทอแต่อย่างใด เธอเพียงนั่งก้มหน้านิ่งเงียบด้วยความขัดเขิน เหมือนกับเจ้าสาวที่เตรียมขึ้นเตียงกับเจ้าบ่าวในคืนแรกของการวิวาห์
   "หลับตาซิ"
   แม็กกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาราวกระซิบ จากนั้นเตียวเสี้ยนก็ค่อย ๆ หลับตาพริ้มลงด้วยความตื่นเต้นขัดเขิน ท่าทางของเธอสั่นกลัวเมื่อเขาใช้มือจับคางให้หันหน้าไปหา ริมฝีปากสีแดงสดเม้มเข้าหากันแน่น เพราะคาดคิดว่านี่สมควรจะเป็นเป้าหมายแรกที่เขาจะล่วงล้ำระราน
   อย่างไรก็ตามสัมผัสแข็งกระด้างเย็นเยียบที่แตะลงบนริมฝีปากบางกลับทำให้เธอบังเกิดความสงสัยงุนงง เธอคิดว่าจะต้องจุมพิตริมฝีปาก หากทว่าสิ่งที่แตะสัมผัสกับริมฝีปากอยู่นี้มิสมควรใช่ริมฝีปากของอีกฝ่าย แต่เธอก็ยังไม่กล้าพอที่จะลืมตามองดู
   ไม่นานนักสัมผัสแข็งกระด้างก็เริ่มขยับเขยื้อน จากริมฝีปากไล่ต่ำลงไปที่คาง ลำคอ แล้วลากผ่านกึ่งกลางระหว่างทรวงอกลงไปที่ท้องน้อย และหากว่าลงต่ำไปอีกเล็กน้อยก็จะเป็นสัดส่วนสำคัญของสตรีแล้ว
   เตียวเสี้ยนหอบหายใจกระเส่าด้วยความตื่นเต้นตึงเครียด สัมผัสนั้นขยับวนบริเวณหน้าท้องเพียงแผ่วเบา หากทว่าสร้างความตื่นเต้นให้เธอมหาศาลนัก เธอไม่คิดว่าเขาจะลงมือรวบรัดจู่โจมจุดสำคัญของเธอรวดเร็วถึงเพียงนี้
   ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ส่งเสียงหัวเราะพรืดออกมา สัมผัสแข็งกระด้างก็ขยับออกจากหน้าท้องแล้วไปแตะสัมผัสกับด้านหลังของฝ่ามือที่กำลังขยุ้มกำผ้าแพรของตนเองจนแทบขาด
   "ขลุ่ย?"
   เตียวเสี้ยนส่งเสียงอุทานพร้อมกับลืมตามองดูสิ่งที่สัมผัสอยู่กับหลังฝ่ามือ เธอเคยละเล่นเครื่องดนตรีมาทุกชนิดเท่าที่เคยพบเจอ ขลุ่ยก็เป็นชนิดหนึ่งที่เธอเชี่ยวชาญ เรียกได้ว่าเพียงแตะสัมผัสก็พอจะสามารถบอกประเภทและลักษณะเสียงของขลุ่ยเลานั้นได้แล้ว หากทว่าสัมผัสของขลุ่ยที่แตะอยู่นั้นกลับแปลกประหลาดพิสดารยากจะบรรยาย
    ตัวขลุ่ยนั้นโปร่งใสคล้ายทำมาจากผลึกก้อนเดียว แต่ก็นับเป็นผลึกที่มีความแข็งแกร่งสูงยิ่ง สัมผัสที่แผ่ออกมาให้ความรู้สึกเรียบง่ายเปี่ยมด้วยพลังอันบริสุทธิ์ และขลุ่ยที่มีลักษณะแบบนี้ที่เธอเคยรู้จักนั้นมีอยู่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น
   "ขลุ่ยลำนำสวรรค์!!!"
   เตียวเสี้ยนส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นปิติ อาการเกร็งเมื่อครู่ล้วนหายวับไปในพริบตา เพราะนี่คือสิ่งที่เธอตามหามาตลอดชีวิตของเธอ มันคือขลุ่ยในตำนาน มันคือขลุ่ยลำนำสวรรค์
   "ใช่แล้วขลุ่ยลำนำสวรรค์ พอจะใช้เป็นสินสอดแต่งเจ้าสาวได้มั้ย?"
   แม็กยิ้มกริ่มพึงพอใจในท่าทีของเตียวเสี้ยน ขณะที่เธอหันมามองเขาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ แม้เมื่อครู่จะแอบขุ่นเคืองที่เขาแกล้งใช้ขลุ่ยสัมผัสร่างกายเธอ แต่ว่านั่นก็เป็นเพียงแค่เรื่องน้อยนิด เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขากำลังจะมอบให้
        "หน้าโง่ ข้าหาได้มีคุณค่าถึงเพียงนั้นไม่"
       "ไม่หรอก เตียวเสี้ยนมีค่าสำหรับผมมากกว่าขลุ่ยนี่เป็นร้อยเป็นพันเท่าเลยต่างหาก"
       เตียวเสี้ยนจับกุมขลุ่ยเลานั้นไว้อย่างแนบแน่น นี่คือสิ่งสำคัญที่เธอตามหาก็จริง หากทว่าเวลานี้หัวใจของเธอกำลังพองโต เพราะการกระทำของบุรุษหนุ่มข้างกายมากกว่า สำหรับคนที่ลุ่มหลงในดนตรีเช่นเธอแล้ว จะมีอะไรเป็นสินสอดที่ล้ำค่ายิ่งกว่าขลุ่ยลำนำสวรรค์อีกเล่า
       "ถ้าเช่นนั้นข้าก็มีสิ่งของจะมอบให้เจ้าเช่นกัน"
       เตียวเสี้ยนกล่าวโดยที่ไม่อาจปิดบังรอยยิ้มสวยละลานตาได้ เธอเอื้อมมือลงไปใต้หมอนแล้วหยิบบางสิ่งออกมายื่นให้ และสิ่งนั้นก็คือคัมภีร์วรยุทธ์สายปราณเล่มหนึ่ง
       "คัมภีร์ปราณจักรวาล ระดับ 8 ดาว - เรียกใช้เพื่อเรียนรู้ปราณจักรวาล เงื่อนไข ปราณก่อนหน้าทุกอย่างจะถูกลบล้างทั้งหมด ผู้เรียนรู้จะต้องมีพลังระดับเชี่ยวชาญอย่างน้อยสองสายที่ขัดแย้งกันอยู่ในร่าง"
       แม็กรับมาคัมภีร์มาอ่านโดยไม่ได้สนใจมากนัก เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจเคล็ดวิชา แต่สมควรจะเป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวความสุขระหว่างกันและกันมากกว่า กระนั้นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียใจเขาจึงรับมาแล้วกดเรียกใช้เพื่อเรียนรู้ปราณจักรวาลทันที เพราะอ่านคร่าว ๆ แล้วมันเป็นปราณระดับสูงถึงแปดดาว ส่วนเงื่อนไขที่ว่าลบพลังปราณอะไรนั่นเขาไม่กระทบอยู่แล้ว เพราะไม่เคยเรียนปราณอะไรมาก่อน
       หลังจากเรียกใช้เพื่อเรียนรู้ปราณจักรวาล คัมภีร์ที่ดูเก่าแก่ก็สลายกลายเป็นละอองแสง แล้วซึมซับเข้าไปในร่างกายของแม็กอย่างรวดเร็ว และนี่ก็เป็นกระบวนการปกติของการเรียนรู้ในเกมนี้ การเรียนรู้พลังปราณไม่ใช่การอ่านแล้วโคจรพลังเอง คัมภีร์หนึ่งเล่มจะเรียนรู้ได้หนึ่งครั้งแล้วหายไป จากนั้นระบบจะช่วยโคจรพลังให้เองตามลักษณะพื้นฐานของปราณนั้น
       การกระทำแบบไม่คิดหน้าคิดหลังของแม็กทำให้เตียวเสี้ยนตื่นตะลึง เธอย่อมรู้คุณและโทษของปราณจักรวาล คุณประโยชน์ของปราณระดับแปดดาวนั้นย่อมมากมายนัก ปราณจักรวาลจะทำการขยายเส้นเลือดเชื่อมลมปราณ เพิ่มปริมาณปราณในร่างอย่างมหาศาล และที่สำคัญที่สุดก็คือปราณจักรวาลจะทำให้ผู้เรียนรู้สามารถเรียนรู้ปราณได้ทุกชนิดโดยไม่ขัดแย้งกัน ซึ่งนับเป็นวิชาปราณในอุดมคติ
       อย่างไรก็ตามปราณจักรวาลก็ใช่ว่าจะมีแต่ประโยชน์ ไม่เช่นนั้นเตียวเสี้ยนหรือแม้แต่นางงามสกุลเทียนทั้งเจ็ดก็คงจะเรียนรู้ไปแล้ว ด้านลบของปราณจักรวาลก็คือผู้เรียนรู้ต้องมีพลังสองสายที่ขัดแย้งกันเองในระดับสูง เช่น ปราณเพลิงน้ำแข็ง หรือปราณศิลาวายุเป็นต้น และเมื่อจะเรียนรู้ปราณเหล่านี้จะสูญสลายหายไปทันที
       นี่นับเป็นข้อเสียร้ายแรงยิ่งสำหรับสายปราณ การฝึกพลังปราณให้อยู่ในระดับสูงนั้นนับว่ายากยิ่งแล้ว แต่การฝึกให้ได้สองสายที่ตรงข้ามกันนั้นกลับยากขึ้นไปอีกหลายเท่า ดังนั้นหากใครก็ตามมีปราณระดับเชี่ยวชาญสองสายในร่าง คนผู้นั้นก็คงไม่หาเรื่องใส่ตัวด้วยการลบลมปราณทั้งหมดออก แล้วใช้เวลาเรียนรู้ใหม่อีกยี่สิบถึงสามสิบปี
       การกระทำของแม็กทำให้เตียวเสี้ยนยิ่งเชื่อมั่นว่า เขาบรรลุปราณระดับสูงที่ขัดแย้งกันมากกว่าสองสาย เขาจึงสามารถเรียนรู้ปราณจักรวาลได้ เพียงแต่เธอไม่สามารถนึกหาเหตุผลได้ ว่าทำไมเขาจึงยอมสูญเสียปราณระดับสูงที่สามารถเอาชัยเหนือพวกเธอทั้งแปดได้
       ภายใต้สายตาที่มองมาอย่างฉงนสงสัยนั้น แม็กกลับไม่ทราบความนัยของข้อสงสัยนั้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาได้รับพลังสองสายที่แตกต่างกันจากแอสโมดิอุส และอะโฟรไดที ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถใช้งานออก แต่ทางระบบก็ถือว่ามีอยู่ ดังนั้นเขาจึงสามารถเรียนรู้ปราณจักรวาลได้โดยไม่มีอะไรเสียหาย
       "หน้าโง่ ท่านไม่เสียดายปราณที่เรียนรู้มาแล้วหรอกหรือ?"
       "ไม่นี่นา ก็ได้ของขวัญแต่งงานจากเจ้าสาวมาแล้วก็ต้องรีบใช้ก่อนซิ กลัวเจ้าสาวจะเปลี่ยนใจ"
       "หน้าโง่!!!"
       เธอด่าทอได้คำเดียวก็โดนดวงตาคู่นั้นของเขาสะกดจนอุ่นวาบไปทั่วร่าง เมื่อครู่นั้นเธออาจจะเตรียมใจสูญเสียพรหมจรรย์เอาไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่วายต้องรู้สึกเกร็งเคร่งเครียดเพราะหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่พบเผชิญ เธอไม่ทราบว่าเขาจะทำร้ายเธอหรือไม่
       หากทว่าสิ่งที่เขาทำให้ ได้ทำให้ความหวาดกลัวนั้นหายไปจนหมดสิ้น เธอเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะต้องดูแลเธอเป็นอย่างดี ตอนนี้เธอเริ่มสงสัยว่าบางทีเธออาจจะกำลังมองหาสิ่งนี้มากกว่าขลุ่ยลำนำสวรรค์เสียอีก
       "อืมมม ... อือออออ ... อืมมมม"
     
       ตาจ้องตาสื่อความหมายร้อนแรง ชายหนุ่มค่อยแนบใบหน้าเข้าหาอย่างเชื่องช้า ในขณะที่เตียวเสี้ยนค่อย ๆ หลับตาพริ้มลง กระทั่งเมื่อริมฝีปากของเขาประกบแนบลง สัมผัสแห่งความรักก็เป็นเหมือนเชื้อไฟที่จุดใส่ถังน้ำมัน จากจุมพิตแผ่วเบาในคราวแรก ได้จุดระเบิดความรักและความใคร่ทั้งมวลออกมาจนหมดสิ้น
       สองมือเรียวงามตวัดรัดร่างแกร่งกำยำอย่างแน่นหนา ในขณะที่ริมฝีปากของเขาเริ่มบดจูบอย่างหนักหน่วงร้อนแรง ลิ้นที่ลื่นไหลพลิกพลิ้วราวอสรพิษสอดแทรกเข้าไปพัวพันเล้าโลมรอบโพรงปากจนเตียวเสี้ยนเสียวซาบซ่าน
       เพียงพริบตาร่างงามที่นั่งอยู่ขอบเตียงก็โดนกดทับลงไปบนเตียงนอนนุ่ม เสียงจูบดูดปากแว่วดังจ๊วบไม่หยุดยั้ง เจ้าของร่างแกร่งกำยำกระทำอย่างหนักหน่วงหิวโหย อุ้งมือมากพลังตะปบขย้ำลงไปสำรวจทั่วเรือนร่างงาม เสื้อผ้าที่สวมใส่เพียงน้อยชิ้นโดนปลดเปลื้องออกอย่างรวดเร็วหลงเหลือไว้เพียงเรือนร่างเปลือยเปล่าที่งดงามสะท้านโลก
       แม็กค่อย ๆ ปล่อยริมฝีปากบางให้เป็นอิสระแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่งคร่อมร่างบางเอาไว้ เตียวเสี้ยนคล้ายจะยังไม่อิ่มหนำต่อรสจูบ เธอพยายามเผยอยกใบหน้าตามริมฝีปากที่ถอยห่าง แต่เมื่อมองเห็นว่าเรือนร่างของตนเองกลายเป็นเปล่าเปลือย ความขัดเขินก็เล่นงานจนต้องรีบขยับสองมือมาปิดบังทรวงอกเอาไว้
       "อย่าปิดซิ เตียวเสี้ยนสวยไปทั้งตัวเลย ขอดูให้เป็นบุญตาหน่อยนะ"
       แม็กคว้าจับมือทั้งสองข้างของเธอไว้ พร้อมกับก้มหน้าลงมองสำรวจเนื้อตัวของเตียวเสี้ยนด้วยดวงตาลุ่มหลงเร่าร้อน และเมื่อเตียวเสี้ยนมองเห็นดวงตาคู่นั้น ความรักที่เอ่อล้นออกมาก็ทำให้เธอยอมกระทำตามที่เขาร้องขอ เธอเปิดอ้าสองแขนออก เปิดทางให้เขาได้มองสำรวจเรือนร่างทุกส่วนของเธออย่างว่าง่าย
       "มองดูผู้อื่นพอแล้วหรือไม่?"
       "ไม่พอหรอก ให้ดูไปอีกตลอดชาติก็ไม่เบื่อ ขอดูไปอีกนาน ๆ เลยนะ"
       แม็กพูดตอบเอาอกเอาใจด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มต่ำพร้อมกับขยับแขนขาถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกทีละชิ้น ในขณะที่เตียวเสี้ยนนั้นกำลังรู้สึกหัวใจพองโต ไม่มีสตรีใดไม่ยินดีเมื่อบุรุษสื่อความหมายว่าจะสนใจเธอไปตราบนานเท่านาน แม้แต่ยอดสตรีเช่นเตียวเสี้ยนก็ไม่มีข้อยกเว้น
       "อ๊ะ ... อ๊า ... โอววว ... อูววววววว"
       ทันใดนั้นเสียงครวญครางก็แว่วดังกระเส่า เพราะชายหนุ่มจัดการลงมือจู่โจมอย่างกระทันหัน เขาก้มหน้าลงไปอ้าปากงับดูดเลียที่ปลายถันสีชมพูอ่อนด้วยความหื่นกระหาย ในขณะที่สองมือก็ทำหน้าที่ตะปบบีบขยี้สองเต้าอย่างหนักหน่วงเร่าร้อน
       เตียวเสี้ยนจะอย่างไรก็ยังเป็นสาวบริสุทธิ์ไร้ราคีคาว เมื่อโดนการจู่โจมจากนักรักลีลาดีเช่นนี้เข้าไป สติของเธอก็เริ่มกลายเป็นขาวโพลน ความเสียวหฤหรรษ์คล้ายคลื่นในทะเลคลั่งที่สาดซัดถาโถมเข้าใส่ไม่หยุดยั้ง เธอไม่เคยคาดคิดเลยว่าการโดนบุรุษหนุ่มปรนเปรอตรงตำแหน่งทรวงอกจะทำให้เธอรู้สึกสุขสมได้ถึงเพียงนี้
       แม็กก็รู้สึกอิ่มเอมไม่แพ้กัน ขนาดของทรวงอกนั้นแม้จะเล็กกว่าของโฟร์มดอยู่บ้าง หากทว่าในแง่ของความนุ่มนิ่มเต่งตึงแล้วของเตียวเสี้ยนดูจะเหนือกว่า ทุกสัมผัสที่ตะปบรีดเร้นลงไปในบนเนื้ออวบเต่งนั้นส่งสัมผัสสะท้อนที่สาแก่ใจอย่างที่สุด เขาจึงไม่แปลกใจเลยที่เตียวเสี้ยนจะถูกจัดเป็นหนึ่งในสุดยอดร้อยแปดสาวงามเช่นเดียวกับโฟร์มด
       เสียงจ๊วบจ๊วบของการดูดเลียยังคงแว่วดังไม่หยุดยั้ง ร่างงามที่ถูกปรนเปรอดิ้นพล่านสุขสม ก่อนจะค่อยสงบลงเมื่อเขาขยับต่ำลงไปโลมเลียที่หน้าท้องเรียบเนียน และกระตุกเด้งส่งเสียงสะท้านเฮือกยาวเหยียดเมื่อเขาซุกหน้าลงไปโลมที่ตรงกลางหว่างขา
       ใบหน้าสวยถึงกับบิดเบี้ยวเหยเก เธอปลดปล่อยขลุ่ยลำนำสวรรค์ที่บีบกุมไว้ตลอดจนหล่นลงไปบนพื้นโดยไม่แยแส เพียงเพื่อขยับสองมือมาเกาะกุมหลังศรีษะของบุรุษหนุ่ม กระแสความสุขที่พลุ่งพล่านจากส่วนซ่อนเร้นทำให้ทั่วร่างบิดเกร็ง สะโพกผายเด้งส่ายร่อนแอ่นเสนอเข้าหาริมฝีปากของเขาด้วยความเร่าร้อน ในขณะที่สองมือจิกกดหลังศีรษะราวกับจะกดให้เขาแทรกร่างมุดเข้าไปในโพรงสวาทก็มิปาน
       กลีบเนื้อสีชมพูอ่อนโดนปลายลิ้นแหย่ระรัวใส่จนเริ่มขมวดเกร็ง ทันใดนั้นความเสียวซ่านก็ได้แผ่พลิ้วระเบิดเป็นลูกคลื่นไปทั่วร่างของเตียวเสี้ยนจนเธอส่งเสียงหวีดร้องและกระตุกเฮือกสุดแรง
       "อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ ... ท่าน ... โอวววว ... ได้โปรด ...  อ๊ะ โอวววววววววว"
             เสียงครวญครางแว่วหวานบ่งบอกเป็นสัญญาณว่าเธอโดนนำพาไปถึงสรวงสวรรค์แล้ว หากทว่าชายหนุ่มยังคงก้มหน้าก้มตาดูดเม้มปลุกกระตุ้นจนอารมณ์ร้อนร่านพุ่งทะยานกลับคืนมาอีกครั้งในเวลาอันรวดเร็ว
       เตียวเสี้ยนร่ำร้องครวญครางปริ่มว่าจะขาดใจตาย ความเสียวหฤหรรษ์โหมกระหน่ำใส่จนไม่ได้หยุดพักหอบหายใจ หากทว่าเธอชื่นชอบความรู้สึกแบบนี้เป็นอย่างยิ่ง เธอชื่นชอบทุกสัมผัสที่บุรุษผู้นี้ปรนเปรอให้ เวลานี้เธอเพียงนึกเสียดายที่ไม่ได้ตกเป็นของเขาเร็วกว่านี้
       "อ๊ะ ... อูววว ..."
       เสียงครางกระตุกหยุดลงไปครู่หนึ่ง ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวเหยเกอีกครั้ง หากแต่คราวนี้เป็นเพราะความเจ็บ นี่เป็นขั้นตอนที่เธอเคยเรียนรู้จากตำราว่ามันจะเจ็บปวดไม่น้อยเมื่อบุรุษทำการสอดใส่มังกรน้อยของเขาเข้ามาในร่าง และความเจ็บปวดนั้นก็ทำให้น้ำตาเอ่อคลอดวงตาทั้งสองข้าง
       ยังดีที่ผู้พรากพรหมจรรย์ของเตียวเสี้ยนไม่ใช่ไก่อ่อนไร้ประสบการณ์ ไม่เช่นนั้นหากเอาแต่ยัดเยียดมังกรที่ขนาดไม่น้อยเข้าไปโดยไม่ลืมหูลืมตา เธอคงจะเจ็บปวดและแสบร้อนอย่างแน่นอน
       เมื่อเห็นว่าไม่สามารถทะลวงผ่านได้ ชายหนุ่มก็หยุดการเดินหน้า แล้วก้มลงมาอ้าปากดูดงับโลมเลียกระตุ้นอารมณ์เสียวที่สองเต้าอีกครั้ง
       การกระทำของแม็กทำให้เตียวเสี้ยนผ่อนคลายคงไปได้ไม่น้อย เพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งนาทีความเจ็บปวดของเธอก็เริ่มหายไป สองขาที่เกร็งเพราะความเจ็บเริ่มอ้าออกอีกครั้ง สะโพกผายก็เริ่มส่ายร่อนรับแรงกระแทกที่เร่งขึ้นทีละน้อย
       เตียวเสี้ยนลืมตาจับจ้องมองดูสามีโดยสมบูรณ์ของตนเองด้วยแววตาร้อนแรงลุ่มหลงตลอดเวลาที่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เธอต้องการจะประทับตราตรึงเขาไว้ในจิตใจว่านี่คือบุรุษที่เธอหลงรัก นี่คือบุรุษที่เธอพร้อมจะมอบให้ซึ่งทุกสิ่งอย่างที่เธอถือครอง
       แม็กตอบรับแววตาเร่าร้อนนั้นด้วยแววตาอบอุ่นน่าลุ่มหลง ขณะที่บั้นเอวขยับกระแทกถี่ยิบบ้าคลั่งนั้น ใบหน้าของทั้งคู่กลับจับจ้องมองดูกันและกันด้วยความซาบซึ้ง ชายหนุ่มก้มหน้าลงไปบดจูบริมฝีปากที่เผยอส่งเสียงครางอย่างนุ่มนวลทะนุถนอมรอบแล้วรอบเล่า
       จวบจนกระทั่งเมื่ออารมณ์รักเริ่มพุ่งทะยานขึ้นจนถึงขีดสุดเตียวเสี้ยนจึงค่อยหลับตาปี๋แหงนหน้าเริ่ดไปมาด้วยความเร่าร้อน และจบลงด้วยเสียงหวีดร้องแสนสุขสมอันยาวนาน นี่คือหนึ่งในช่วงเวลาแสนสุขมากที่สุดที่เธอเคยได้พบเจอ
       "เตียวเสี้ยน หนึ่งในสี่สุดยอดหญิงงามแห่งทวีปไชนี่ มีระดับค่าความรักที่ 100% และมีระดับค่าความใคร่ที่ 100%"
       'พรแบ่งปัน จากเทพีอะโฟรไดทีทำงาน - ท่านได้รับปราณมารฟ้าเจ็ดวิถี ปราณระดับแปดดาว จากเตียวเสี้ยน'
       "ทักษะทาสรักทำงานเมื่อค่าความรักถึงระดับ 100% - ท่านได้รับเตียวเสี้ยนเป็นทาสรัก ทุกสิ่งที่เคยเป็นของเตียวเสี้ยนจะกลายเป็นของท่านทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย จิตวิญญาณ หรือทรัพย์สินต่าง ๆ" 
       "ทำภารกิจลับ ครอบครองหนึ่งในร้อยแปดสุดยอดสาวงามได้สำเร็จ กรุณาติดต่อรับของรางวัลได้ที่อาคารช่วยเหลือผู้เล่น" 

       เสียงประกาศของระบบดังขึ้นทันทีเมื่อแม็กส่งเสียงสูดปากคราง และแอ่นเอวเบียดแก่นกายเข้าไปฉีดพ่นน้ำรักจนท่วมท้นโพรงสวาทของเตียวเสี้ยน ในขณะที่เธอก็ตอบสนองด้วยการกอดรัดร่างของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา และตอบแทนสิ่งที่เขาปรนเปรอให้ด้วยการตอดรัดไปทั่วลำลึงค์จนเขาเสียววาบขนลุกชัน และนี่คือความแตกต่างระหว่างหญิงสาวทั่วไป และสุดยอดสาวงามทั้งหนึ่งร้อยแปด
       สองร่างที่มีเหงื่อชุ่มจนมันปลาบนั้นกอดรัดกันและกันอย่างแนบแน่น พลางส่งเสียงหอบเหนื่อยหนักหน่วง ในขณะที่ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข
       แม็กขยับแขนยันร่างขึ้นเล็กน้อย แล้วก้มหน้าลงจูบริมฝีปากบางซ้ำไปซ้ำมา เหมือนจะสื่อบอกให้รับทราบว่าเขาชื่นชอบรสสัมผัสของเรือนกายเธอมากมายเพียงใด ในขณะที่เตียวเสี้ยนเองก็กอดกระชับแล้วเด้งสะโพกส่ายร่อนกระตุ้นเร้าอารมณ์กลัดมันของบุรุษให้ลุกโชน
       "นี่เตียวเสี้ยน จำได้มั้ยว่าตั้งแต่เราพบกัน ผมโดนเรียกว่าหน้าโง่ไปแล้วกี่ครั้ง?"
       "ไม่รู้ซิ"
       "ทั้งหมดก็ 85 ครั้ง รู้มั้ยผมกะว่าจะเอาคืนตั้งแต่แรก เรียกหน้าโง่หนึ่งคำ ผมจะจัดการหนึ่งยก สรุปว่าคืนนี้ต้องจัดการ 85 ยกเป็นอย่างน้อย"
       แม็กพูดเสียงทะเล้นพลางยิ้มยิงฟันทำท่าเหมือนจะทำแบบนั้นจริง ๆ เตียวเสี้ยนจึงส่งเสียงอ้าปากค้างครู่หนึ่งเพราะคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะนับที่เธอพูดมาตั้งแต่ต้น หากทว่าเมื่อนึกไปแล้วก็ต้องรู้สึกวาบหวามในหัวใจ เพราะนั่นหมายความว่าเขาให้ความสำคัญกับเธอมาตั้งแต่ต้น
       ความจริงแล้วตัวเลขนี้เป็นเพียงตัวเลขที่ยกอ้างขึ้นอย่างหลักลอย แม็กไม่ได้นับคำจริงอย่างที่เธอเข้าใจ และที่ยกอ้างมานั้นก็เป็นเพียงแค่ตัวเลขมั่ว ๆ ที่เขาประมาณเอาไว้ เพียงเพื่อใช้หยอกล้อกับสาวงามให้เธอปั่นป่วนเล่นเท่านั้น
       "หน้าโง่ ... อุ๊ย ... อูยยสส ... อืมมมมม"
       "กลายเป็น 86 ครั้งแล้วนะ"
       เตียวเสี้ยนรู้สึกอบอุ่นหัวใจจนเผลอพูดคำนั้นขึ้นมาอีกครั้ง แม็กจึงกระแทกเอวแรง ๆ หนึ่งครั้งจนเธอส่งเสียงครางออกมาอีกรอบ จากนั้นจึงเริ่มการโหมกระหน่ำโยกบั้นเอวรัวถี่ยิบระรัว
       สาวงามดิ้นพล่านบิดกายไหวไปมาด้วยความหฤหรรษ์ สองมือจิกลงไปบนแผ่นหลังของชายหนุ่มฝากรอยเล็บเอาไว้หลายรอย เธอส่งเสียงร่ำร้องครวญครางสุขสมแว่วหวาน จากนั้นเสียงครวญครางก็กลายเป็นเสียงหวีดร้องเปี่ยมสุข ร่างงามกระตุกเฮือกกอดรัดร่างกำยำที่ชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อด้วยทุกเรี่ยวแรงที่ยังมี
       "เหลือ 85 ครั้งนะ"
       ชายหนุ่มทำหน้าทะเล้นพลางกระซิบที่ข้างใบหูของสาวงาม เตียวเสี้ยนขัดเขินใจบนหน้าแดงก่ำ ได้แต่ระบายความขัดเขินด้วยการใช้มือน้อย ๆ ทุบตีแขนกำยำของเขาไปพร้อมกับส่งเสียงด่าทอออกมาชุดใหญ่
       "หน้าโง่ ... หน้าโง่ ... หน้าโง่ ... หน้าโง่ ..."
            "กลายเป็น 89 ครั้งแล้ว"
       เมื่อส่งเสียงต่อว่าจบสิ้นนางงามจึงค่อยสำนึกตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป และเมื่อหันไปมองดูใบหน้าที่แย้มยิ้มขบขันของชายหนุ่มก็ต้องอ้าสองแขนไปโอบกอดเขามาแนบกายเพื่อปิดบังความขัดเขินบนใบหน้าตนเอง ก่อนจะเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแว่วหวานออกมาว่า
       "หน้าโง่ อย่ากลั่นแกล้งผู้อื่นได้หรือไม่ อยากทำมากเพียงใดก็ทำไปซิ ตอนนี้ข้าเป็นของเจ้าแล้ว"   
       คำพูดทักท้วงที่แอบแฝงความอ่อนหวานนั้นทำให้แม็กรู้สึกหัวใจพองโต และเขากำลังเตรียมที่จะมอบรางวัลให้แก่เตียวเสี้ยนโทษฐานที่แสดงความน่ารักออกมามากเกินไปจนเขาไม่สามารถทำใจปลีกตัวไปหาสาวงามคนอื่นได้
      ทันใดนั้นเสียงโครมครามก็ดังขึ้น ประตูห้องของเตียวเสี้ยนล้มคืนลงมาพร้อมกับร่างของนางงามสกุลเทียนทั้งเจ็ดที่เซถลาลงมากองกับพื้น ดูเหมือนว่าพวกนางจะแอบดูแอบฟังอยู่นานพอดูแล้ว ใบหน้างามจึงแดงก่ำถึงเพียงนี้
       หากให้นึกถึงการอยู่ในสถานที่ซึ่งมีแปดนางงามร้อนรักแล้ว สิ่งนี้ย่อมเป็นเรื่องที่บุรุษทุกผู้คนใคร่ปราถนา หากทว่าในความเป็นจริงนั้นบุรุษมีเพียงสองแขนสองขาและหนึ่งมังกรน้อย ต่อให้มีเรี่ยวแรงไม่หมดสิ้นก็ยังไม่สามารถรองรับพวกเธอได้หมดพร้อมกัน
       เวลานี้แม็กจึงเริ่มรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาแล้ว เพราะไม่เคยมีครั้งใดเลยที่เขาจะรู้สึกอยากมีวิชาแยกร่างอย่างเช่นในตอนนี้
    ..................................
เวปส่วนตัว - http://www.novel008.com
Discord - https://discord.gg/DkT2Mf8q


bimmer

กลับมาอ่านซ้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่จำไม่ได้แล้ว ชอบมากๆครับกับการบรรยายในช่วงการประลองดนตรี


enxis

#4
กลับมาอ่านอีกรอบ ตอนช่วงบรรยายเพลง นี่สุดยอดมาก ทำเอาเคลิ้มเลย จริงๆนะครับ ::Dribbling::

kasor7

นำเรื่องราวแบบรูปแบบกำลังภายในมาสอดแทรกได้อย่างดี น่าอ่าน

sintosin


ทราย ไม่เปลี่ยนแปลง

เนื้อหาสนุกมากครับ ขอบคุณครับ

infinity infinity


pphu

สุกยอดฮาเร็มจริง ยันหว่างครับงานนี้