ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu
avatar_ฟัก อยู่แม้น

แค้นวิปริต จิตสั่งกาม (โทรจิตคุง) ตอนที่ 16

เริ่มโดย ฟัก อยู่แม้น, พฤศจิกายน 01, 2015, 11:22:23 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

ฟัก อยู่แม้น

 
หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ชื่อต่าง ๆ ที่ปรากฏในเนื้อเรื่องเป็นการสมมติของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สมาคม สถานที่ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแต่ประการใด

เรื่องย่อจากตอนที่ 1 -15

ในวัยเด็กของ "เต๋อ" เด็กหนุ่มวัยยี่สิบเศษเคยถูกเพื่อนร่วมห้องสมัยมัธยมต้นรุมกลั่นแกล้งด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา ถูกทำร้ายข่มเหงทั้งทางร่างกายและจิตใจ จนกระทั่งกระโดดดึกฆ่าตัวตาย โชคดีที่ไม่ถึงฆาต

ทว่าหลังจากรอดชีวิตได้ไม่นาน เขาได้รับความสามารถพิเศษคือมีพลังโทรจิตซึ่งสามารถควบคุมความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ให้เป็นไปตามต้องการ ทั้งยังดัดแปลงเพื่อให้ใช้งานได้หลายรูปแบบ เมื่อฝึกใช้จนคล่องแคล่วแล้ว เต๋อจึงออกไล่ล่าล้างแค้นอดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนทีละราย โดยปกปิดตัวเองให้ไร้ตัวตนในสังคมเพื่อให้เหยื่อและผู้เกี่ยวข้องไม่สามารถแกะรอยถึงตัวได้ ลูกหนี้แค้นแต่ละรายถูกกระทำให้เจ็บใจหรือถูกประจานจนสูญเสียสถานภาพทางสังคม

อย่างไรก็ตาม ในยุคสารสนเทศเช่นนี้ ข้อมูลข่าวสารถูกแพร่กระจายอย่างฉับไว อีกทั้งสามารถเข้าถึงง่าย แม้เต๋อจะลบหลักฐานอย่างรอบคอบแค่ไหน ก็ไม่อาจเล็ดรอดจากสายตาของผู้มีพลังจิตคนอื่นที่สังเกตความผิดแปลกจากข่าวประจำวันตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งล้วนมีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้คนกระทำอนาจารอย่างวิปลาสขาดสติบ่อยครั้งจนผิดธรรมชาติ

จากการวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตจากข้อมูลลับประจำตระกูลที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคน "ธนิก" ผู้นำตระกูลเชื้อสายผู้มีพลังจิตหรือพลังพิเศษเป็นคนแรกที่ฉุกคิดได้ว่าน่าจะเป็นการกระทำของผู้ใช้โทรจิต เขาจึงตัดสินใจตามหาผู้ใช้โทรจิตลึกลับ จนกระทั่งสามารถเข้าถึงตัวเต๋อได้และเสนอให้เข้าร่วมกลุ่มเพื่อร่วมอุดมการณ์ของตระกูล

ทั้งสองไม่ลงรอยตั้งแต่แรกเจอ เต๋อยืนยันจะใช้ชีวิตเป็นหมาป่าเดียวดายเพื่อล้างแค้นตามวิถีทางของตน ขณะที่ธนิกใช้ทั้งไม้แข็งไม้อ่อนเพื่อดึงเต๋อเข้ามาเป็นพวก การปะทะกันจึงเกิดขึ้น เต๋อเป็นฝ่ายแพ้อย่างราบคาบ ด้วยข้อจำกัดที่ว่าอำนาจโทรจิตของตนไม่สามารถใช้กับผู้มีพลังพิเศษคนอื่นได้

หลังแยกจากกัน ธนิกได้ให้โอกาสเต๋อเป็นฝ่ายติดต่อกลับหากมีวันใดที่เขาต้องการเข้ากลุ่มเอง ซึ่งเต๋อไม่ยี่หระแม้แต่น้อย ยังคงยืนยันที่จะใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเพื่อล้างแค้นเพื่อนร่วมรุ่นจนกว่าจะครบทุกชีวิต

และรายล่าสุดคือดารินทร์และเกรซ สองแม่ลูกที่เคยติดค้างหนี้ก้อนใหญ่ไว้กับเต๋อและทิพย์ผู้เป็นแม่





++++++++++++++++++++++++++++++++++








ตอนที่ 16 เผาแม่มด
.
.
.
คณะนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยที่จอยที่เรียนอยู่นั้นมีมาตรฐานค่อนข้างเป็นที่ยอมรับ รายล้อมด้วยสภาพแวดล้อมอันดี เอื้อต่อการเพิ่มพูนทักษะความรู้ด้านนิเทศศาสตร์ ทั้งห้องสตูดิโอ ห้องตัดต่อภาพยนตร์ หรือแม้แต่โรงละครเวทีโอ่โถง น่าอิจฉาจริงที่จอยมีโอกาสได้ใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยที่พรั่งพร้อมเช่นนี้ เธอคงมีความสุขมาก ต่างจากผมซึ่งเก็บซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต เฝ้ารอคอยวันปรากฏตัวต่อหน้าเพื่อนเก่าทีละราย ซึ่งใครที่พบเจอผมล้วนเรียกได้ว่าชะตาถึงฆาตประหนึ่งจ้องตางูยักษ์บาซิลิกส์

เพราะเมื่อผมยอมเผยโฉมต่อผู้ใด
.
นั่นหมายความว่าบุคคลนั้นต้องชดใช้
.
.
.
บรรยากาศหน้างานคราคร่ำด้วยนักศึกษาและบุคคลภายนอกที่เฝ้ารอชมละครเวทีนิเทศศาสตร์ประจำปี เสียงเพลงประกอบละครเปิดวนซ้ำไปมาเหมือนสะกดจิตผู้คน มีกระดานดำแปะรูปเบื้องหลังการฝึกซ้อม และซุ้มถ่ายรูปให้ผู้เข้าชมได้ฆ่าเวลาไปพลาง ไม่มีใครสนใจว่าผมเป็นใครมาจากไหนในวาระต่างคนก็ต่างที่มาเช่นนี้ ผมจึงเดินสำรวจยืดเส้นสายได้อย่างสบายใจ

หนุ่มสาววัยทำงาน หรือแม้แต่วัยกลางคนที่จูงลูกเด็กเล็กแดงมาดูด้วยก็มี เพราะแนวละครปีนี้กล่าวถึงความรักและการเสียสละ จึงกล่าวได้ว่าเป็นละคร "เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี" เด็กชายวัยราวเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งมองมาที่ผม

ผมถือวิสาสะเดินไปก้มตัวลงส่งยิ้มให้เด็กน้อย พ่อแม่ของเขาไม่มีท่าทีระแวงหรือหวงแต่อย่างใด คงคิดว่าลูกตนเองน่ารักจนคนรอบข้างอดแสดงความเอ็นดูไม่ได้ เปล่าเลย. . . .

"เข้าไปแล้วถ้าเห็นอะไรน่ากลัว หลับตาไว้นะหนู เดี๋ยวมันจะติดตาไปจนโต" ผมแอบกระซิบเตือนเขาเบา ๆ

เด็กน้อยทำหน้าฉงน ไม่เข้าใจผมก็ไม่เป็นไร ผมก็ไม่ได้หวังว่าต้องเข้าใจหรอก
.
.
.
"เฮ้ย! ยุ่งไรนักหนาวะ" เสียงหนึ่งโผล่งขึ้น แม้จะไม่ใช่เสียงดังเท่าไหร่ แต่ใจความสื่อได้ว่าเกิดเหตุขัดแย้งขึ้น ผู้ที่คนรอบข้างจึงหันไปมองด้วยความสนใจ

ตุ๊ดผมหยิกร่างอ้วนดำคนหนึ่งตกใจมือไม้สั่น

"หนูแค่อยากถ่ายรูปกับพี่โจเอง หนูปลื้มพี่นะคะ" ตุ๊ดอ้วนกล่าว

"น่ารำคาญว่ะ ไปให้พ้น" ชายที่ชื่อโจเอ็ด ทั้งเขาและตุ๊ดอ้วนสวมชุดนักศึกษา น่าจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในมหาลัยเดียวกันมาเข้าชมหรือช่วยจัดการแสดง

"เหี้ย! หลอนชิบหาย! กะเทยควาย!" หลังสบถแล้วโจจึงเดินแทรกตัวหายเข้าไปในฝูงชน ท่ามกลางผู้คนทีมองไล่หลังอย่างงง ๆ กระนั้นทุกคนก็หันกลับไปทำอย่างอื่นต่อ

"เหวี่ยงทั้งผัวทั้งเมียแหละ อีโก้ได้โล่" เด็กสาวคนนึงเอ่ยขึ้น

"มาดูแฟนเล่นละครแทนที่จะอารมณ์ดี ยังไม่วาย. . . .อีจอยคบกับอีโจนี่ดูเผิน ๆ เหมือนกิ่งทองใบหยกเนอะ หล่อสวยทั้งคู่ ลองลอกเนื้อในออกมาดูสิ เน่าเฟะ อีผัวทั้งหลงตัวเอง ขี้วีน ดูถูกคนอื่น อีเมียตอแหลตัวแม่ หลอกด่าเก่ง ชอบทำให้คนอื่นเป็นตัวตลก" เด็กสาวคู่สนทนาตอบรับ

"เอาเหอะมึง. . . .ด่ามันไปก็ใช่ว่าหน้าตาเราจะดีขึ้น ดีไม่ดี มีคนหาว่าองุ่นเปรี้ยว ฮะ ๆ ๆ" เด็กสาวยุติประเด็นไว้แค่นั้นและชวนเพื่อนเดินไปทางอื่น

ผมอยากพบจอยเร็ว ๆ จนใจเต้นตึ๊กตั๊ก
เธอจะสวยแค่ไหนกันนะ ต้องเป็นแม่มดที่เซ็กซี่มาก ๆ
แต่เดี๋ยวคงได้พบแน่นอน ตอนนี้ต้องดำเนินตามแผนก่อน
.
.
.
เคานเตอร์ตรวจและขายบัตรเข้าชมอยู่บริเวณประตูใหญ่พอดี ผมเดินตรงไปหาสตาฟที่ดูแลส่วนนั้น และ. . .
.
.
.
จ้องตา
.
.
กลืนกินสามัญสำนึกของทุกคนให้อยู่ใต้อาณัติอำนาจโทรจิต

ผมเหมาไข่ไก่มาหลายสิบแผงเพื่อการนี้โดยเฉพาะ คงต้องรบกวนเหล่าสตาฟช่วยกันหน่อย

ช่วยเนรมิตฝันของผมให้เป็นฝันร้ายของใครบางคน
.
.
.
"อุ๊ย! อะไรคะเนี่ย" ผู้เข้าชมถามเมื่อได้รับสูจิบัตรพร้อมของติดมือสองสามอย่างหน้าทางเข้า

"ไข่ไก่ค่ะ กรุณาอย่าทำแตกนะคะ เดี๋ยวข้างในจะมีเกมให้เล่นค่ะ" นักศึกษาสตาฟขายบัตรตอบพร้อมรอยยิ้ม มือยังไม่หยุดนิ่ง จัดสูจิบัตรพร้อมของแจกไปด้วยอย่างขยันขันแข็ง

"รับไข่ไปคนละฟองนะคร้าบบบบ อย่าทำแตกนะคร้าบบบ" สตาฟคนอื่น ๆ ช่วยกันแจกไข่ไก่ให้ทั่วถึงกัน ผู้เข้าชมรับไปอย่างงุนงง แต่ก็ยอมทำตามโดยดีเพราะคิดว่าคงมีเซอร์ไพร์สเล่นกับคนดูหรือชิงรางวัลเป็นลูกเล่นให้เกิดบรรยากาศตื่นเต้นน่าสนใจ

จอยในชุดแม่มดแอบแง้มประตูด้านหลังออกมาเรียกใครสักคน

"เข้ามานี่สิ" เธอกวักมือเรียก

"ครับ? พี่จอย" สตาฟคนหนึ่งขานรับเสียงใส เดินเข้าไปหาเธอเผื่อว่านักแสดงรุ่นพี่มีอะไรไหว้วาน

"ใครให้แจกไข่? แจกทำบ้าอะไร"

"ผมไม่ทราบพี่ แต่ต้องแจกทุกคน คงเป็นเกมไว้เล่นกับคนดูน่ะครับ" สตาฟหนุ่มตอบ

"ไข่เนี่ยนะ?"

"ครับ?" สตาฟหนุ่มเกาหัว

"วุ้ย! อยากเล่นอะไรตามใจเถอะ ไม่รู้ด้วยแล้ว เออนี่ อยากดื่มอะไรเปรี้ยว ๆ ให้สดชื่นหน่อย พี่วานไปซื้อหน่อยสิ น้ำผลไม้หรืออะไรก็ได้ค่ะ" จอยส่งธนบัตรให้เด็กหนุ่ม

"น้ำกระเจี๊ยบดีไหมครับ" เขาถามหลังรับเงิน

น่าแปลก จอยรู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอทันทีเมื่อได้ยินคำว่า "น้ำกระเจี๊ยบ" มันเป็นคีย์เวิร์ดหรือคำสำคัญที่เกี่ยวพันกับเหตุการณ์ในอดีตที่เธอใช้โกหกสร้างเรื่องใส่ร้ายเพื่อนคนหนึ่ง ไม่ใช่ความรู้สึกผิดหรือเศร้าสลด หากแต่เป็นความอึมครึม เหมือนมีลางบอกเหตุบางอย่าง

"ไม่! ไม่เอาน้ำกระเจี๊ยบ! น้ำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่น้ำกระเจี๊ยบ" จอยกำชับเสียงแน่นเกินความจำเป็น

"น้ำมะนาวแล้วกันนะครับ" สตาฟหนุ่มโค้งรับแล้วออกไปซื้อตามคำสั่ง

"วันนี้ทำไมรู้สึกขนลุกแปลก ๆ" จอยลูบไล้เนื้อตัวมองซ้ายขวาอย่างระแวง
.
.
.
ทันใดนั้นเสียงเรียกเข้าจากมือถือก็ดังโพล่งขึ้นมาจนเธออุทาน "แม่งเย็ด!"
เมื่อหยิบมือถือออกมาดูหน้าจอ ก็พบว่าไม่ใช่ใครที่ไหน

"โธ่ อีเกรซตกใจหมด โทรมาทำไมตอนนี้" เธอบ่นกับตัวเองพลางกดรับสาย

"ว่าไงอีดอก ไหนบอกจะมาดูกูเล่น" เพื่อนสนิทท้วงขึ้นทันที

"จอย! จอยเหรอ!" เกรซผลีผลามเอ่ยขึ้นอย่างตระหนก

"เออ มึงโทรหากูก็ต้องเป็นกูสิ"

"อีดอกจอยมึงรีบถอนตัวออกมาเลย ละครเวที! มึงเป็นนางเอก! ช่วงที่มึงเป็นนางเอกละครเวทีมันหมายหัวมึงไว้แน่!!"

"ว้าย! อีนี่เมนส์ไหลย้อนขึ้นสมองรึไง พูดภาษาคนให้รู้เรื่องหน่อย"

"ไอ้เต๋อกำลังล้างแค้นพวกเราทีละคน กูโดนพร้อมแม่ตอนไปหาเสียง ยิ่งมึงกำลังเล่นละครเวทีถ้ามันรู้มันไม่ปล่อยมึงไว้แน่"

"เต๋อไหนวะ. . ." จอยถาม

"อีที่เคยโดดตึกลงมาตอนมอสามไงเล่า! นึกออกรึยังอีควาย!!" เกรซตวาดลั่น ไม่รู้เพราะหงุดหงิดที่สื่อการกันไม่รู้เรื่องหรือเพราะเป็นห่วงอยากให้เพื่อนรีบตระหนักระวัง

"อ๋อ. . . นึกออกแล้ว อีนั่นน่ะเหรอ ทำไม ๆ ? มึงเจอมันมาเหรอ"

"ไม่ใช่แค่เจอ มันยิ่งกว่านั้น! สะกดจิต! คือมึงนึกออกป่ะ. . .คือแบบ. . .!" ดูท่าเกรซจะมีปัญหาเรื่องการเรียบเรียงคำพูดเพื่อบอกเล่า วีจึงช่วยบุ้ยใบ้อยู่ข้างตัว เพราะมองออกว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำความเข้าใจผ่านโทรศัพท์ได้ง่าย ๆ

"ยกตัวอย่างข่าวปรียาหรือใครก็ได้ไปสิ" วีกระซิบ

"ข่าวแม่กูก็ฝีมือมัน!" ไม่น่าเชื่อว่าจะลงทุนยกแม่ตัวเองเป็นกรณีศึกษา

"จริงสิ ว่าจะถามอยู่พอดีว่าน้าดาเป็นอะไร ป่วยรึเปล่า เล่าให้ฟังหน่อยได้มะ เดี๋ยวกูเหยียบไว้เลย" คำตอบของจอยทำให้เกรซถึงกับใช้มือลูบหน้าปาดเหงื่อ เรื่องนี้คุยกันลำบากแสนสาหัสจริง ๆ

"มึงช่วยพูดกับมันหน่อย เอาไปเร็ว ๆ ซี่!" เกรซส่งมือถือให้วีลนลานเหมือนปัดระเบิดในมือให้ไปตูมที่อื่นไกล ๆ

"หวัดดี ๆ จำเราได้เปล่า" วีถาม

"อ้าว นี่ใครอีกล่ะเนี่ย" จอยจุ๊ปากอย่างหัวเสีย ทุกคนกำลังทำให้เธอสับสนขึ้นทุกที

"วีไง ประธานรุ่นเราน่ะ มีเรื่องอยากจะบอก จอยตั้งใจฟังดี ๆ. . ." แต่ไม่ทันที่วีจะได้เล่า จอยก็แทรกสวนขึ้นมา

"อีวีเหรอ!? แล้วจู่ ๆ มึงโผล่มาได้ไงคะ!? นี่มึงสองคนพูดวกวนไม่รู้เรื่องไปกันใหญ่แล้ว พ่อใครตายแม่ใครเสียเดี๋ยวกูโทรกลับไปถามทีหลัง จะเข้าฉากแล้วอีดอก! แค่นี้ก่อนนะคะ" เธอกดวางสายและปิดเครื่องทันที

"ไม่ไหวว่ะ" เขามือถือคืนให้เกรซ

"ทำไมวะ ว่าไง" เกรซถาม

"มันไม่ฟัง วางสายไปแล้ว นึกอยู่เชียวว่าอธิบายให้ฟังทีละคนไม่ง่ายเลย ต้องหาวิธีอื่น" วีส่ายหัวถอนหายใจ "คอยดูกันไปก่อน ช่วงนี้อย่าเพิ่งเล่าให้ใครฟังสุ่มสี่สุ่มห้า แจ้งตำรวจก็เอาไม่อยู่หรอก อย่าลืมว่าอาวุธของมันคือมนุษย์ทุกคน พลาดพลั้งขึ้นมาเราสองคนจะซวยหนักกว่าเก่า"

"พวกจตุรเทพล่ะ? พอจะพึ่งพาได้ไหม" เกรซมองทอดไปนอกหน้าต่างอย่างซังกะตาย

"อยู่แล้วล่ะ" วียิ้ม
.
.
.
"เรื่องนี้พวกเราต้องจัดการกันเอง และจะขาดเหี้ยสี่ตัวนั่นไม่ได้เลย"
"มึงเห็นอีตุ๊ดอ้วนปีหนึ่งนั่นป่ะ ตอแยอยู่ได้ หน้าแม่งหลอนสัตว์" โจ แฟนของจอยพูดกับเพื่อนที่ยืนฉี่ด้วยกันอยู่ข้าง ๆ ส่วนผมนั้นล้างมือทำความสะอาดอยู่หน้ากระจกห้องน้ำ ความที่ผมเป็นคนนอกไม่มีส่วนได้เสียกับเรื่องนี้ โจจึงกล้าพูดโผงผางกระมัง ซึ่งมันไม่ใช่เลย ผมนี่แหละคือเจ้าหนี้แฟนของชายผู้นี้ จะอย่างไรก็ตาม ผมแสร้งล้างมือเหมือนไม่สนใจแต่กำลังแอบฟังทุกอย่างด้วยท่าทีสงบ

"มึงก็ว่าน้องมันแรงไปม๊าง" เพื่อนอีกคนตอบกลับโจ

"ไม่แรงไปหรอกกับอีตุ๊ดพวกนี้ แม่งขยะมีชีวิตชัด ๆ วัน ๆ เอาแต่ปลื้มผู้ชายหล่อ แต่สารรูปตัวเองดูไม่ได้เลย"

"ก็มึงหล่อไงเค้าถึงได้ปลื้ม มึงก็ชอบให้มีคนสนใจอยู่แล้วนี่"

"แต่ไม่ใช่มาวอแวกับกู แม่งไม่หัดเจียมกะลาหัวซะบ้าง เหี้ยเอ้ย มึงนึกดิ่ใครจะอยากถ่ายรูปกับมัน เก็บเอาไปเล่นของรึเปล่าก็ไม่รู้ เหี้ยตุ๊ดอ้วนพวกนี้แม่งน่าจับไปบดไขมันทำเป็นอาหารสัตว์ ตายแบบนี้ยังมีประโยชน์กว่ามีชีวิตอยู่เพื่อแดก แดก แดก ไปวัน ๆ" โจรูดซิปกดน้ำหลังเสร็จกิจธุระ "ไปเหอะว่ะ คนเริ่มเข้างานแล้ว" ทั้งสองเดินออกจากห้องน้ำไป เหลือเพียงความเงียบงัน
.
.
.
ผมได้ยินเสียงแผ่วเบาคร่ำครวญจากห้องน้ำ
.
.
.
"ฮือ ๆ ๆ ๆ" เด็กตุ๊ดอ้วนปีหนึ่งคนที่ขอถ่ายรูปกับโจเปิดประตูห้องส้วมออกมา เขาได้ยินทุกอย่างเมื่อครู่ เจ้าตัวผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นผม คงเข้าใจว่าห้องน้ำเงียบไม่มีคนอยู่จึงเผยตัวออกมาพร้อมใบหน้าแดงก่ำฉ่ำด้วยคราบน้ำตา พลังโทรจิตทำให้ทราบว่าเขาอยู่ในอารมณ์โกรธและเสียใจผสมกลืนกันอย่างแยกไม่ออกทีเดียว
ผมส่งยิ้มให้น้องตุ๊ดอ้วน แต่เขาหลบตาผมแล้วตรงไปล้างหน้าล้างตา คงจะอายน่าดู
.
.
.
"ในยุคนี้ รูปลักษณ์เป็นต้นทุนทางสังคมชั้นดี นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ . . ." ผมพูดกับตัวเองในกระจกเพื่อที่น้องอ้วนจะได้ไม่รู้สึกประหม่าในคำพูด ". . .ผมเอง ก็เคยตะเกียกตะกายจนพ้นจุดนั้นมาแล้ว"

"แต่ยังไงก็เถอะ แค่ขอถ่ายรูปไม่น่าพูดแรงขนาดนั้นเลยเนอะ" ผมส่งยิ้มให้อีกครั้ง

"หนูเกิดมาเป็นแบบนี้แล้วไม่มีศักดิ์ศรีความเป็นคนเหมือนพี่เขาเหรอ" ในที่สุดตุ๊ดอ้วนก็ยอมเปิดใจกับคนแปลกหน้าเช่นผม

"เท่ากันสิ แต่ในโลกแห่งความจริง แค่ศักดิ์ศรีมันยังไม่พอ ต้องมีอำนาจด้วยถึงจะไต่เต้าให้เท่ากันหรือเหนือกว่าได้ อำนาจที่ว่ามีทั้งความงาม ความมั่งคั่ง อำนาจทางความคิด อำนาจทางการเมือง เยอะแยะเลยแหละ ของพวกนี้คนมีวาสนาดีจะได้ติดตัวมาโดยไม่ต้องเหนื่อยมาก แต่อย่างเรา ๆ คงต้องพยายามกันจนเหนื่อย"

"พี่หน้าตาดีก็พูดได้นิ หนูอยากรู้จริง ๆ ถ้าหนูมีอำนาจความงามอย่างพวกพี่ ชีวิตหนูจะเปลี่ยนไปแค่ไหน"

"หึ ผมไม่รู้หรอกนะว่าหน้าตาที่เปลี่ยนไปให้อะไรกับผมบ้าง เพราะเกือบทั้งหมดในชีวิตที่ผมมีอยู่ตอนนี้ได้มาจากอำนาจอย่างอื่น และคงไม่มีใครมีได้อย่างผม" ผมยิ้มกริ่ม

"พี่นี่พูดจาแปลกดีนะ ขอบคุณนะฮะที่ชวนคุย หนูไม่เป็นไรแล้วละ" ตุ๊ดอ้วนยิ้มให้พร้อมกับปาดน้ำตา ตั้งท่าขอตัวลา
.
.
.
.
"เดี๋ยวก่อนสิครับ" ผมพูดขึ้น

"ถ้าคุณมีอำนาจมากพอที่จะสามารถแก้แค้นพี่คนนั้นได้อย่างง่ายดายแต่ต้องแลกกับการสูญเสียตัวตนไป คุณ จะยอมขายวิญญาณให้กับซาตานไหม"

"ไม่รู้สิฮะ. . .หนูไม่รู้หรอกว่าอย่างไหนมันจะดีกว่ากัน ระหว่างปล่อยวางกับแก้แค้น. . ." เขาก้มหน้าคิดอย่างจริงจัง แม้เข้าใจว่าตอบไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
.
.
.
.
.
"แต่ถ้ามันทำได้ง่ายมากละก็ หนูก็อยากลองมีอำนาจเหนือคนอื่นดูสักครั้ง"
.
ผมชูนิ้วโป้งแทนคำยกย่อง
.
.
.
จากนั้นจึงจ้องน้องตุ๊ดอ้วนที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาเปี่ยมความเอ็นดู จนสติของเขาเคลิ้มล่องลอยสู่ความเวิ้งว้าง
.
.
.
.
ภายในห้องมหรสพโอ่โถง มีผู้เข้าชมละครวันแรกราวสามร้อยคนได้ บัดนี้การแสดงกำลังจะเริ่มขึ้น แสงไฟหรี่ลงช้า ๆ มีการเปิดวิดีทัศน์ตัวอย่างละครและคำแนะนำให้ปิดเครื่องมือสื่อสารขณะรับชม ผู้คนที่คุยเซ็งแซ่ด้วยความตื่นเต้นก็ดี ด้วยความปรีดาที่ได้พบเจอเพื่อนพี่น้องนักศึกษาก็ดี ต่างพร้อมใจกันหรี่เสียงลง จนเข้าสู่เข้าภาวะเงียบสงัด ท่ามกลางความมืด พิธีกรสาวในชุดแซกสีเงินเรียบหรูออกมาพร้อมไฟสปอตไลท์ส่องเป็นทางยาว

เธอกล่าวเกริ่นนำตามพิธี พร้อมเชิญประธานคือคณบดีมอบช่อดอกไม้ กล่าวเปิดงานและทักทายลูกศิษย์ลูกหาพอเป็นกระสัย จากนั้นจึงส่งไมค์คืนให้พิธีกรสาวอีกครั้งเพื่ออัญเชิญคุณผู้ชมเข้าสู่โลกแห่งสุนทรียะ

"เอาละคะ บัดนี้นักแสดงและทุกฝ่ายของเราพร้อมที่จะมอบความสุขความบันเทิงให้แก่ทุกท่านแล้ว ขอเชิญทุกท่านพบกับละครเวทีนิเทศศาสตร์ ครั้งที่ 19 เดอะ สเปิร์ม ควยดำตำเพื่อเธอ! เชิญรับชมค่า!!"

ห้องมืดลงอีกครั้งเพื่อเตรียมตัดเข้าสู่ฉากแรก พิธีกรหญิงถูกฉุดแขนเข้าไปหลังม่าน เสียงโวยวายฟังไม่ได้ศัพท์เล็ดลอดจากหลังเวทีสลับกับเสียงจุ๊ปากให้เงียบ ผู้คนในความมืดต่างฮือฮาทวนกันว่าเมื่อกี้ได้ยินอะไรแปร่งหู ไม่มีใครหูเฝื่อนหรอก คนที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดนี่แหละคือผู้บงการ
.
.
.
นี่แค่ไวน์เรียกน้ำย่อยเท่านั้น

ผมยังมีของเล่นอีกเยอะสำหรับเสกให้โรงมหรสพนี้เปลี่ยนเป็นลานประหาร
.
.
ในห้องหลังเวที จอยยืนเตรียมพร้อมตามตำแหน่งที่ได้ซักซ้อมไว้ ถึงเธอจะยังไม่ปรากฏในฉากแรก ๆ แต่ก็ต้องแบกรับความเครียดไม่น้อยทีเดียวเพราะรับบทนางเอกซึ่งทุกคนคาดหวังไว้มาก รวมถึงพ่อและแม่ที่มาให้กำลังใจถึงที่ เธอหลับตาทำสมาธิอย่างใจเย็น แม้ว่าข้างหลังมีเหล่าสตาฟยืนชี้หน้าด่าทะเลาะกันเรื่องคำกล่าวเปิดเมื่อสักครู่ก็ตาม นี่เป็นละครเวทีเรื่องแรกในชีวิตและเธอได้รับบทนางเอกเสียด้วย จะทำพังไม่ได้เด็ดขาด เรื่องของคนอื่นช่างมันไว้ก่อน
.
.
"อาหหหห์ อืมม์"
"ใครทำอะไรอีกวะ" จอยคิด
"อืม จ๊วบบบ" อาหห์"
.
.
"ตั้งสติไว้อีจอย" เธอคิดบอกกับตัวเอง
.
"โอววว อืมม์ จ๊วบ"

"วุ้ย! ใครทำไรน่ะเบา ๆ หน่อยสิ"

ในที่สุดเธอก็ตบะแตก ตรงปรี่เข้าไปหาต้นตอเสียงหลังม่านด้านหนึ่งของห้องแล้วกระชากม่านออกมา
.
.
.
.
โจกับอีกะเทยอ้วนที่ไหนไม่รู้กำลังกอดจูบลูบคลำกันอยู่อย่างดูดดื่ม แลกลิ้นกันพัลวัน
.
.
.
ด้วยความตกใจ เธอชักม่านกลับทันที
.
.
เสียงนั้นจางหายไป
.

"จอย! เมื่อกี้โวยวายอะไร ทำไมมาอยู่ตรงนี้ ไปประจำที่เดี๋ยวนี้เลย" สตาฟหญิงรุ่นพี่ปีสี่เดินมาตำหนิอย่างไม่พอใจ

"ก็. . . ก็ เมื่อกี้มัน . ." จอยตาค้าง มือไม้ชี้ประกอบคำพูดวนไปมาไม่รู้เรื่อง

"ก็อะไรเล่า" รุ่นพี่ขมวดคิ้ว

"ข้างหลังนี้" เธอชี้ไปที่ผ้าม่าน

"หนูเหรอ" สตาฟรุ่นพี่เปิดม่านออก
.
.
.
ภายในนั้นมีเพียงกระป๋องสีเก่า ๆ ท่อนเหล็กและอุปกรณ์ชำรุดตั้งไว้สะเปะสะปะเท่านั้น

"ไหน ไม่เห็นมีอะไรเลย" เมื่อรุ่นพี่ชำเลืองมองทั่ว ก็ไม่พบวี่แววของสิ่งผิดปกติใด ๆ

"ก็. . .แต่. . ." จอยตะกุกตะกักไม่ได้ศัพท์

"แกอย่าเพิ่งประสาทหลอนไปอีกคน แค่ที่อีหนิงสติแตกเมื่อกี้ก็จะบ้าตายอยู่แล้ว พูดออกไปแบบนั้นได้ไง" รุ่นพี่ดันหลังเข็นให้จอยเดินกลับตำแหน่ง "ไปอยู่ที่เดิมเดี๋ยวนี้เลย อย่าให้พวกพี่ปวดหัวไปมากกว่านี้" จอยทำอะไรไม่ได้นอกจากมองเหลียวหลังไปยังหลังม่านนั้นอย่างตระหนก เธอรู้สึกได้ว่าหัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
.
.
.
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งในต่างประเทศทำการทดลองเกี่ยวกับพฤติกรรมกลุ่ม โดยให้บุคคลจำนวนหนึ่งเข้ามาในห้องที่มีหน้าม้าจากฝ่ายผู้วิจัยเป็นคนกลุ่มใหญ่ การทดลองเริ่มโดยให้ดูแผ่นป้ายสีหนึ่ง สมมติว่าเป็นป้ายสีน้ำเงิน หน้าม้าจะตอบว่าเป็นสีเขียว ผู้ถูกทดลองรอบแรกต่างตอบด้วยความมั่นใจว่าเป็นสีน้ำเงิน ทว่าเมื่อถูกถามซ้ำอีกหลาย ๆ รอบและหน้าม้าทุกคนต่างตอบว่าเป็นแผ่นป้ายสีเขียว สุดท้ายผู้ถูกทดลองก็จะสูญเสียความมั่นใจ และตอบว่าเป็นแผ่นป้ายสีเขียวตาม ด้วยความรู้สึกไม่กล้าผิดแปลกแตกต่างไปจากกลุ่ม

ผมจะดัดแปลงงานวิจัยนี้มาทดสอบกับปฏิกิริยาของจอย หน้าม้าก็คือ ทุกคนที่อยู่ในโรงละครนี้ซึ่งถูกผมครอบงำจิตไว้แล้ว อีกทั้งยังใช้ตาทิพย์สำรวจทุกความเป็นไปหลังเวที มีไม่ชีวิตใด ๆ เล็ดลอดไปจากสายตาของผมได้
.
.
.
ขณะนี้ เนื้อเรื่องดำเนินไปถึงเกือบกลางเรื่อง จอยหรือแม่มดสาวอลิเซียคอยช่วยเหลือหนุ่มชาวบ้านคนหนึ่งที่เธอแอบรักให้ผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต โดยไม่เปิดเผยตัวตน เนื่องจากกฎเหล็กของเมืองนี้ไม่ยอมรับการใช้ไสยศาสตร์ คนที่เป็นแม่มดจะถูกจับเผาทั้งเป็น

"อลิเซีย เลิกยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้เถอะ แกกำลังจะทำให้ตระกูลเราเดือดร้อน! นี่เรื่องคอขาดบาดตายนะ!" พ่อมดพี่ชายกล่าวตามบท พอผมได้ยินเรื่องตระกูลกับความล่มสลายแล้ว จู่ ๆ ภาพธนิกก็แว่บเข้ามาในหัว บทละครประโยคนี้ช่างตลกร้ายสำหรับผมเหลือเกิน

"พี่ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะขอใช้เวทย์มนต์เพื่อช่วยเขาอีกครั้งเดียวเท่านั้น" จอยตอบ

"แกนี่มันรั้นจริง ๆ ถ้าถูกจับได้ล่ะก็ องค์ราชาไม่ปล่อยพวกเราไว้แน่! แกจะตายก็ไปตายคนเดียว! อย่าให้พ่อแม่กับพี่ต้องเอาชีวิตมาแลกกับความเห็นแก่ตัวของแกไปด้วย" พ่อมดพี่ชายทุบโต๊ะโครม ตามบทที่ผมสะกดจิตให้สตาฟคนหนึ่งเล่าให้ฟัง จอยจะต้องเงียบไปสักพัก แล้วจึงหันหน้ามาทางคนดูส่งสายตาเรียกร้องความเห็นใจ

ทว่าจังหวะนี้ที่หันมานี้เอง จอยพบว่าแถวหน้าสุดมีความปกติบางอย่างเกิดขึ้น
.
.
.
"อาห์ เสียว" ตุ๊ดอ้วนกำลังก้มหัวลงอมควยให้โจแฟนของเธอ โจหลับตาพริ้มอย่างสบายอารมณ์ จอยถึงกับสะดุ้งและชะงักงันไปชั่วขณะ

"จ๊วบ จ๊วบ" เสียงสูญญากาศที่เกิดจากการปั๊มควยสูบขึ้นลง ๆ ดังจนเข้าหูเธอถึงบนเวที

เธอขยี้ตาครั้งหนึ่ง เมื่อมองอีกครั้งก็พบว่าภาพนั้นยังคงอยู่ที่เดิม คราวนี้ตุ๊ดอ้วนดูดพวงไข่ ไซร้ง่ามขาแฟนสุดหล่อของเธอ สลับกับลงลิ้นที่ปลายควยดูดเม้มเป็นจังหวะจ๊วบจ๊าบ

สิ่งที่ทำให้เธอสับสนยิ่งกว่านั้นคือ ทุกคนในโรงละครไม่มีใครสังเกตถึงความผิดแปลกนี้เลย เธอจึงยื่นมือชี้ให้คนบนเวทีเห็น

"จอย ลืมบทเรอะ" ผู้รับบทพ่อมดพี่ชายเข้ามากระซิบ "พูดต่อได้แล้ว เงียบนานไปแล้วรู้ไหม"

"แกไม่เห็นเหรอ ข้างล่างอ่ะ" จอยชี้ สับสนจนกล้ามเนื้อใบหน้าบีบบิดเบี้ยว

"ไม่เห็นมีอะไร เล่นต่อได้แล้ว" พ่อมดพี่ชายจิกตาใส่

"โอย แรง ๆ เลย เสียวควยโว้ย" โจร้องลั่นเมื่อถูกลิ้นคู่ขาตวัดรอบเส้นสองสลึง แต่คนทั้งโรงละครไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใด ๆ นอกจากรอคอยให้ละครดำเนินต่อไป

"มันเป็นภาพลวงตา มันเป็นภาพลวงตา" จอยหลับกัดฟันบอกกับตัวเองในใจ
.
.
.
.
"ขอโอกาสให้ฉันเถอะพี่ ฉันรักเขาจริง ๆ รักไม่น้อยไปกว่าคนในครอบครัวเราเลย" ในที่สุดเธอก็ต่อบทได้ และเมื่อลืมตาอีกครั้ง ที่นั่งตรงนั้นก็ว่างเปล่าไปแล้ว

"นี่แกกล้าเอาพ่อแม่พี่น้องไปเปรียบกับไอ้คนพรรค์นั้นเชียวรึ!" พ่อมดพี่ชายตวาด "ถ้าอยากช่วยมันนักล่ะก็ ย่อมได้ แต่แกต้องออกไปซุกหัวนอนที่อื่น ที่นี่ไม่ต้อนรอบคนนอกคอก! บ้านหลังนี้ไม่มีสมาชิกชื่ออลิเซียอีกแล้ว!!"

หลังบทสนทนาสิ้นสุด ม่านจึงปิดลงอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนสู่ฉากต่อไป
มีนกำลังกระวนกระวายเดินวนไปมาในห้อง หลังจากกลับมาจากบ้านของเต๋อ มือถือของเธอหล่นหายไปที่ไหนก็ไม่อาจทราบได้ นอกจากเรื่องโทรศัพท์แล้ว ยังมีอีกเรื่องที่ต้องกังวลใจ นั่นคือเธอไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเต๋อได้แต่โดยดี และดูท่าเต๋อพร้อมเป็นหมาบ้าฟัดทุกคนที่ขวางทางไม่ว่าจะเป็นคนจากเทศบาล พระ หรือสัตวแพทย์ ความเป็นผู้มีพลังพิเศษด้วยกันไม่ช่วยให้เต๋อเปิดใจยอมรับพวกพ้องเลย

คิดได้ดังนั้นจึงใช้โทรศัพท์บ้านโทรไปหาธนิกเพื่อหารือ

"ฮัลโหลพี่มีน?" ธนิกรับสาย

"นิก มือถือพี่หาย โทรเข้าเครื่องแล้วไม่มีใครรับเลย อาจจะตกอยู่แถวบ้านเต๋อ เธอไปเป็นเพื่อนเอาคืนมาให้หน่อยสิ" เธอพยายามใช้น้ำเสียงน่าฟังที่สุด

"แถวบ้านเต๋อ? พี่ไปทำอะไรที่นั่นครับ?"

"พี่ไปสอดแนมมา เถอะน่านิก นะ ๆ ช่วยพี่หน่อย"

"แล้วทำไมพี่ไม่กลับไปเอาเองล่ะครับ? ไม่มีรถ?"

จะว่าน้ำท่วมปากก็ได้ ใครจะกล้าบอกว่าไปแอบคุยกับเต๋อมา แถมยังมีแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายตรงข้ามทั้งนั้น ลงทุนไปตั้งเยอะ แทนที่จะซื้อใจได้กลับกลายเป็นทำคุณบูชาโทษ

"พี่กลัวเต๋อ"

"กลัวอะไรพี่มีน"

"เธอก็เห็นว่าเขาสั่งให้คนทำอะไรก็ได้ ถ้าสั่งคนมาทำร้ายพี่ละ"

"ไม่มีเหตุผลน่าพี่มีน พี่ไม่เคยไปทำอะไรมันไม่ใช่เหรอ ออกจะเป็นแม่พระสำหรับมันด้วยซ้ำ ไม่งั้นผมเล่นหนักมือจนมันตายไปแล้ว"

"อย่าเพิ่งถามเลย ช่วยพี่หน่อยนะนิก ไม่มีมือถือแล้วพี่ลำบากนะ" เธอยังคงอ้อนวอน
.
.
.
อีกด้าน ธนิกกำลังยืนฉี่อยู่ในห้องน้ำสาธารณะแห่งหนึ่ง จังหวะที่กำลังปลดทุกข์อย่างสบายใจ เขาเงยหน้าขึ้นมุมสูงและได้เห็นภาพที่ไม่คาดคิด
ตรงช่องระบายอากาศ มีดวงตาคู่หนึ่งหลุกหลิกไปมาอย่างกระหายใคร่รู้
.
.
.
แต่ธนิกสนองกลับอย่างสุขุมกว่าทุกครั้ง
.
.
"งั้นก็ได้ครับ ผมจะไปเป็นเพื่อน เดี๋ยวขอวางสายก่อนนะครับ ติดธุระอยู่" เขารีบตัดบทวางสายพร้อมกดน้ำชำระโถปัสสาวะ และเงยหน้าส่งยิ้มให้เจ้าของดวงตาคู่นั้น ไม่ใช่รอยยิ้มฉันมิตร
.
.
แต่เป็นรอยยิ้มกระหายเลือดประหนึ่งพรานหนุ่มคึกคะนองก่อนออกล่ากระต่าย
.
.
.
ธนิกรูดซิปกลับอย่างเร็วไวและวิ่งพรวดออกจากห้องน้ำ ท่าทางเอาเรื่องถึงเลือดถึงเนื้อ นี่ไม่ใช่คำเปรียบเปรยเกินความเป็นจริงเลยสำหรับผู้มีอำนาจไซโคคิเนซิสระดับสูง
.
.
"รู้ตัวจนได้" อีกฝากนอกห้องน้ำ เกย์วัยกลางคนที่ถ้ำมองธนิกมาตลอดรีบโดดลงมาจากเก้าอี้แล้ววิ่งหนีชนิดไม่หันกลับไปมอง
.
.
"กร๊อบ!"

"อ๊ากกกกกกกกกกกกก" ขาข้างหนึ่งของเกย์นักถ้ำมองบิดหัก เขาทรุดตัวล้มไม่เป็นท่า

"น่าดีใจนะครับ ของ ๆ ผมจะเป็นภาพสุดท้ายในชีวิตที่คุณจะลืมไม่ลง"

"โอยยยยย! ผมไม่ได้แอบดู" เขานอนกุมขาดร้องโอดครวด

ธนิกขยับกรอบแว่นให้เล็งเป้าโจมตีเหยื่อได้แม่นยำ

"ขอเก็บค่าชมของส่วนตัวผมนะครับ"

นัยน์ตาทั้งสองของชายดังกล่าวปูดโปน และ. . .กระเด็นหลุดนอกเบ้าหล่นพื้นเด้งเป็นลูกชิ้นปิงปอง

"อว๊ากกกกกกกกกก!" เหยื่อร้องอย่างทรมานสาหัส ธนิกเหยียบดวงตาที่ถูกกระชากออกมาจนแหลกคารองเท้า
.
.
.
.
"ถ้ามีปัญญาให้ตำรวจสเกตซ์ภาพคนร้ายได้ก็เอานะ จำหน้าผมไว้แม่น ๆ ล่ะ"
.
.
.
.
.
ขณะนี้ละครเวทีดำเนินมาครึ่งค่อนเรื่องแล้ว จอยยังคงสวมบทบาทแม่มดมนต์ดำผู้มีหัวใจบริสุทธิ์ได้อย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติ

"เธอคอยช่วยเหลือผมมาตลอดสินะ ผมจะตอบแทนอย่างไรดี ทั้งชีวิตชดใช้ให้ก็คงไม่หมด" พระเอกหนุ่ม

"อย่าพูดอย่างนั้นสิคะไมเคิล" จอยประสานสายตากับพระเอกหวานซึ้ง
.
.
.
แต่ในความเห็นของผม มันเลี่ยนเกินไป เหมือนกินโดนัทเคลือบน้ำตาลพร้อมโกโก้ปั่นใส่วิปครีม ต้องลดความหวานเลี่ยนด้วยรสเผ็ด ๆ เปรี้ยว ๆ หน่อยท่าจะดี
.
.
.
เสียงอะไรบางอย่างดังเอี๊ยดอ๊าดน่าเวที

"แอร๊ยยย! เด้ามันส์มากอีดอก! ตูดแม่งตอดดีจริง ๆ อีฉิบหาย!"

จอยหันขวับไปยังกลุ่มผู้ชม
.
.
.
แฟนของเธอกำลังนั่งเทียนขย่มตอให้ตุ๊ดอ้วนรุ่นน้อง ทั้งคู่ถอดเสื้อผ้าล่อนจ้อน นี่เป็นภาพเกินที่เธอจะรับไหว โจเป็นชายแท้รูปหล่อตามที่เธอและทุกคนเข้าใจ ไฉนจึงเป็นแบบนี้ได้

"โอ๊ย เย็ดกูแรง ๆ เลยอีอ้วน!"

"ไม่บอกกูก็ทำอยู่แล้วอีสัตว์! หุบปากให้เย็ดเงียบ ๆ ไป" ตุ๊ดอ้วนจับเอวโจซึ่งตัวเล็กกว่าลอยขึ้นเล็กน้อย ทำให้จอยเห็นควยตุ๊ดรุ่นน้องกำลังชำเรารูดากแฟนเธออย่างไม่ปราณี มันผลุบเข้าผลุบออกกระทบกันดังพั่บ ๆ ๆ ปนเปกับเสียงที่นั่งสั่นไหวไปมา

"อร๊ายยยยยยย!" เธอร้องลั่น

"เป็นไรวะ" พระเอกเดินเข้าไปถามไถ่

บรรดาผู้ชมยังคงสงบนิ่ง อาจเข้าใจว่าเป็นไปตามบท

"พวกมึงไม่เห็นเหรอว่าข้างล่างมันทำอะไรกันอยู่! หูหนวกตาบอดกันไปหมดรึไง!!!" จอยตวาดลั่นโรงละคร เกิดเสียงฮือฮาในหมู่ผู้ชมที่เริ่มสังเกตว่าจอยแสดงนอกบท

พระเอกหนุ่มกวาดตามองทั่วโรงละคร แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ นี่ก็เป็นไปตามบท . . . ที่ผมเขียนขึ้น

"ไม่เห็นมีอะไรเลยจอย แกสงบสติอารมณ์ก่อน ละครจะล่มเพราะแกนั่นแหละ!"

"เปลี่ยนท่าเร็วอีดอก เสียวกันต่อ" ตุ๊ดอ้วนจับโจเล่นท่าหมา หันหลังไปทางเวทีให้จอยเห็นแฟนของเธอถูกกระแทกตูดจากด้านหลังชัด ๆ

โจยึดพนักเก้าอี้ไว้รองรับแรงกระแทกจากการกระหน่ำเย็ดของตุ๊ดร่างควาย จึงเกิดเสียงอี๊ดอ๊าด ๆ ดังมากพอที่จะได้ยินอย่างทั่วถึง แก้มก้นสะโพกไซส์บิ๊กของตุ๊ดอ้วนกระเพื่อมไปมาตามระดับความถาโถมโหมซัด โจร้องครวญครางอย่างเป็นสุข สุขที่ไม่เคยลิ้มรสมาก่อนในชีวิตที่ต้องโดนกะเทยอัดตูด

ด้านบนเวที จอยตัวสั่นระริกด้วยความเดือดดาลและสับสน จริงคือเท็จ? เท็จคือจริง? เธอไม่อาจทนอยู่ในสภาพเหมือนเป็นมองเห็นผีแต่เพียงผู้เดียวนี้ได้อีกต่อไป จอยถอดรองเท้าที่ใช้ในการแสดงเขวี้ยงทิ้งไปคนละทาง

"พอที! กูจะลงไปลากคอมันกับมือ! จะได้รู้ว่าที่บ้าน่ะพวกมึงหรือกู!" เธอวิ่งพรวดพุ่งไปข้างหน้าเพื่อโดดลงจากเวที

แต่พระเอกคว้าแขนกลับมาไว้ได้ทัน

"อีเวร! แค่นี้ก็ทนไม่ได้!! ไม่มีความเป็นมืออาชีพเลยนะมึง!!" ใบหน้าหวานละมุนของนักแสดงพระเอกกลับแดงก่ำด้วยโทสะราวกับแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน
"โอ๊ย!" เขาเหวี่ยงแขนจอยกระเด็นกลับไปกลางฉาก

"เอาหลักประหารมา! อีนี่เป็นแม่มด! มันเห็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น! เผามัน!" พระเอกป้องปากตะโกน

ผู้แสดงเป็นนายทหารในเมืองยกเสาเหล็กพร้อมฐานออกมาจากด้านข้างเวที ความจริงฉากเผาแม่มดนางเอกตามบทนั้นต้องเก็บไว้ท้ายสุด แล้วพระเอกก็คงไม่ทำกับนางเอกเช่นนี้ แต่ก่อนที่มันจะมั่วไปกว่านี้ ผมต้องชิงมั่วก่อนให้อีกฝ่ายตั้งตัวไม่ติด

"พวกมึงเป็นอะไรกันหมด!!?" จ
แค่เธอยักคิ้ว ต้นงิ้วก็แค่ถั่วงอก