ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

XO ตอนที่ 22 - ยกระดับ

เริ่มโดย assasin008, ตุลาคม 16, 2015, 07:46:27 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

assasin008

XO ตอนที่ 22 - ยกระดับ
.........................................
Assasin008 2015-10-16

   เทียนหยางพี่รองแห่งเจ็ดนางฟ้าสกุลเทียนเดินเยื้องย่างเข้าไปในสวนดอกไม้ ก่อนจะสอดส่ายสายตามองดูฝ่าความมืดสลัวมีเพียงแสงจันทร์ไปโดยรอบด้วยความคาดหวัง หากทว่าเมื่อไม่พบเจอกับสิ่งที่เธอค้นหา ก็ได้แต่ทอดถอนหายใจจนทรวงอกขนาดเต็มไม้เต็มมือเด้งสะท้อนไหว เธอไม่เคยบังเกิดความใคร่รู้สึกอยากชิดใกล้บุรุษใดเช่นนี้มาก่อนเลยนับตั้งแต่ถือกำเนิดมา

   หากถามเหล่าบุรุษในเมืองหลวงว่าใครงดงามสุดที่สุดในบรรดาเจ็ดนางฟ้าสกุลเทียน คำตอบที่ได้อาจจะแตกต่างกัน แต่หากเปลี่ยนเป็นถามว่าสตรีใดที่มีความอ่อนหวานและมีกิริยาอ่อนช้อยนุ่มนวลน่าทะนุถนอมมากที่สุด เก้าในสิบคนจะต้องตอบว่าเทียนหยางผู้นี้

   เทียนหยางนั้นมีนิสัยเรียบ ๆ ร้อย ๆ นุ่มนวลตามธรรมชาติ คล้ายดอกไม้งดงามที่บอบบาง นอกจากดนตรีและการขับร้องแล้ว เธอยังชื่นชอบการปลูกดอกไม้สวยงามนานาพันธุ์ ดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วในสวนดอกไม้นี้ก็เป็นเธอที่ทำการคัดเลือกและลงมือปลูกด้วยตนเอง เธอจึงมีฉายาอย่างหนึ่งว่าเทพธิดาบุปผา

   เหล่าบุรุษมองว่าเธอคือดอกไม้บอบบางที่ต้องประคบประหงมทะนุถนอมดูแล ทุกคนที่หวังชนะใจจึงเข้าหาเธอด้วยท่าทีมากกฎเกณฑ์ราวกับนักปราชญ์หนอนหนังสือ พยายามแสร้งมองดูเธอราวกับกุหลาบบอบบางที่เพียงแตะต้องก็จะบอบช้ำเสียหาย ทั้งที่ความจริงแล้วในใจนั้นต่างก็อยากลงมือขยี้กุหลาบกลีบบางให้ย่อยยับคามือตนเอง และเธอก็รู้ซึ้งถึงความจริงข้อนั้นเป็นอย่างดี

   "เอ๊ะ ... ท่าน ... เลือกมาหาข้าหรือ?"

   เทียนหยางชื่นชมแปลงดอกไม้อันงดงามของตนเองวูบหนึ่ง พลางครุ่นคิดว่าจะไปควานหาบุรุษในใจที่ใดต่อไปดี หากทว่าความคิดยังไม่ทันจบสิ้นก็มองเห็นเงาร่างอันคุ้นตาของเขาที่สะท้อนกับแสงจันทร์เข้าเสียก่อน

   เธอย่อมรู้สึกเบิกบานยิ่ง เพราะเข้าใจว่าสุดยอดฝีมือเช่นเขานั้นหากคิดซ่อนตัว พวกเธอคงไม่มีใครค้นหาเจอ และยังเผลอนึกเข้าข้างตนเองไปตามวิสัยสตรีว่า เขาอาจมีเหตุผลบางอย่างที่หลบออกมาซ่อนตัวและปล่อยให้พวกเธอหา ยกตัวอย่างเช่น เขาอาจจะพึงพอใจเธอมากที่สุด แต่ไม่กล้าเอ่ยปากเลือกขณะอยู่ต่อหน้าทุกคน

   "หึ หึ"

   เสียงหัวเราะและแววตาที่ดูไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เทียนหยางรู้สึกแปลกใจ ยิ่งเห็นเขาเดินใกล้เข้ามาด้วยแววตาดิบเถื่อนดุร้ายคล้ายกับสัตว์ป่า อารมณ์แปลก ๆ ที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในร่างก็ยิ่งรุนแรงขึ้นอีกเท่าทวี เพราะนี่คล้ายกับฉากในความฝันที่เธอฝันถึงบ่อยครั้ง และทุกครั้งที่ตื่นจากฝันความรู้สึกคั่งค้างเก็บกดไว้ก็จะถูกระบายออกมาเป็นความชุ่มฉ่ำตรงสัดส่วนลี้ลับเสมอ

   เสียงแคว้กดังขึ้นเมื่ออาภรณ์สีฟ้าชิ้นบนของเธอโดนเขายื่นมือมาฉีกทึ้งโดยไม่บอกกล่าว เธอเบิกตาโพลงส่งเสียงร้องวี้ดว้ายพยายามยกสองมือขึ้นปิดบังทรวงอกอวบเปลือยที่เด้งทะลักออกมาสะท้อนกับแสงจันทร์นวลผ่อง หากทว่าไม่ทันไรข้อมือทั้งสองข้างก็โดนมือที่แกร่งดั่งคีมเหล็กบีบไว้แน่น แล้วเหวี่ยงสะบัดร่างของเธอลงไปนอนหงายแผ่หราทับดอกไม้บนแปลงดินจนแผ่นหลังเลอะเทอะ

   เทียนหยางส่งเสียงร้องคล้ายตื่นกลัว หากทว่าแววตากลับเต้นระริกเร่าร้อนยินดี ยิ่งเห็นอาการกลัดมันหื่นกระหาย ยิ่งเห็นเขาโถมร่างลงมาทาบทับด้วยความดุเดือดราวสัตว์ป่า สัดส่วนลี้ลับก็ถึงกับขมิบจนน้ำหล่อลื่นเอ่อล้นออกมาเต็มร่อง

   เสียงกรีดร้องแผ่วเบาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผสานผสานไปกับเสียงของเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ขาดวิ่นติดมือเขาออกไปทีละส่วน เธอยกมือยกไม้ขึ้นปัดป้องคล้ายไม่เต็มใจ หากทว่าไม่มีอาการดิ้นรนหวาดกลัว ไม่มีสุ้มเสียงร้องขอความช่วยเหลือ มีแต่เพียงดวงตางามงดที่พลุ่งพล่านเพราะโดนความกลัดมันดิบเถื่อนของเขาระบาดใส่ เธอกำลังดื่มด่ำไปกับมันอย่างไม่น่าเชื่อ

   สองมือที่มิได้ออกแรงขัดขืนจริงจังนักโดนรวบจับขึ้นไปด้านบนศีรษะ ก่อนที่ชายหนุ่มจะก้มลงมาประกบปากจูบบางจิ้มลิ้มด้วยลีลาดุเดือดเร่าร้อนตะกละตะกลาม ปากและลิ้นล่วงล้ำละโลมเลียไปทั่วริมฝีปากและโพรงด้านในอย่างถ้วนทั่ว ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งที่ว่างอยู่ของเขาก็ทำการตะปบขยี้ลงไปบนเนื้อตัวของเทพธิดาบุปผาที่ดูบอบบางดั่งกลีบกุหลาบ

   เทียนหยางกลายเป็นบุปผาแสนงดงามดอกหนึ่งที่โดนชายโฉดเด็ดจากริมทางมาชื่นชม กลีบดอกไม้บางโดนดอมดมสูดกลิ่นหอมหวนรอบแล้วรอบเล่าจนชอกช้ำ ตามด้วยการบีบเคล้นขยี้ไปทั่วร่างอย่างหนักหน่วง จากนั้นกลีบกุหลาบบางก็โดนชอนไชทะลวงหยั่งลึกเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว

   เธอดิ้นพล่านหลับตาปี๋สะบัดหน้าไปมาด้วยความหฤหรรษ์ ความแข็งแกร่งที่สอดแทรกเข้ามาจนสุดทางกำลังทำให้เธอคลั่ง ยิ่งเขาตะบี้ตะบันโยกบั้นเอวกระแทกใส่ไปพร้อมกับซุกไซร้และบีบขยี้เนื้อตัวอย่างหนักหน่วง เทียนหยางก็ยิ่งรู้สึกราวกับได้ขึ้นสวรรค์จุติเป็นเทพธิดานางหนึ่ง

   นางงามโอบแขนกอดรัดสัตว์ป่าที่กำลังขยี้กามแนบแน่น ริมฝีปากบางส่งเสียงสูดปากซี้ดซ้าดสลับกับส่งเสียงร่ำร้องครวญคราง นางย่อมไม่ได้ร่ำร้องขอความเห็นใจ หากทว่าร่ำร้องเรียกหาความดิบเถื่อนที่เร่าร้อนรุนแรงกว่านี้ และชายหนุ่มที่กระทำตัวเหมือนสัตว์ป่าผู้นั้นก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง

   ร่างกำยำขยับโยกกระแทกใส่ไม่ยั้ง เรี่ยวแรงและลีลาที่เหนือล้ำทำให้นางงามตัวกระตุกส่งเสียงหวีดร้องเพราะโดนส่งขึ้นสวรรค์นำไปก่อนหนึ่งรอบ หากทว่าสัตว์ป่าที่กำลังคึกคะนองตนนี้ยังคงไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มันเสพสมกับร่างบางโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดยั้ง และนางงามเองก็มิได้อยากให้การเคลื่อนไหวเหล่านี้หยุดลง

   เวลานี้สติของนางมีแต่เพียงความขาวโพลน ร่างบอบบางที่โดนขยี้รีดเร้นความหอมหวานดิ้นพล่านไปมาตามแต่เขาจะบงการ เวลานี้เธอไม่รู้สึกต้องการอะไรอีกแล้ว เธอเพียงต้องการเสพสมกับบุรุษผู้เป็นเสมือนความบ้าคลั่งผู้นี้ไปตลอดกาล

.....................................................................
 
   "อูยยสสสส คุณชาย อูววสสสสส"

   ขณะเดียวกันนั้นอีกด้านหนึ่งในป่าไผ่อันมืดทึบก็มีเสียงครางแผ่วเบาผุดออกมาจากริมฝีปากบางเช่นกัน เพียงแต่นั่นเป็นเสียงของเสียงของเทียนซางพี่สาม และเทียนอวี้น้องเล็กสุด สองพี่น้องแยกย้ายกันมาค้นหาในป่าไผ่เพราะประทับใจที่ตนเองถูกโซ่ล่ามมัด แล้วโดนลวนลาม จึงแอบคาดหวังว่าเขาจะมารอพวกเธอที่นี่ และพวกเธอทั้งสองคนก็คาดไม่ผิด เขารอเธออยู่ที่นี่จริง ๆ

   เพียงแต่ที่พวกเธอไม่รู้ก็คือ เวลานี้พวกเธอทั้งสองนั้นอยู่ห่างกันในระยะเพียงห้าสิบก้าว โดยมีดงไผ่หนาทึบและความมืดมิดกั้นกลางอยู่ พวกเธอจึงมองไม่เห็นกันและกันว่าอีกฝ่ายนั้นอยู่ในสภาพเช่นไร

   เทียนซางพี่สามถูกฝีมือจี้สะกัดจุดจนได้แต่ยืนนิ่งขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้ เธอจึงมองไม่เห็นว่าบุรุษที่อยู่ด้านหลังของเธอนั้นคือใคร ถึงแม้เธอจะเชื่อว่าเป็นเขาแต่ก็ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อยว่าจะเป็นเขา ดังนั้นการโดนลวนลามในสภาพที่ขยับเนื้อตัวไม่ได้นี้จึงสร้างความรู้สึกเร้าใจให้เธอได้อย่างน่าประหลาด

   หัวใจของเธอเต้นระรัวเมื่อเสื้อผ้าโดนปลดเปลื้องจนร่วงหล่นลงไปบนพื้นทีละชิ้น ใครคนนั้นที่เธอยังแน่ใจว่าเป็นใครกำลังก้มหน้าคลอเคลียลงมาจูบพรมลงไปบนแผ่นหลังจนขนลุกซู่หวาบหวิว ก่อนจะค่อย ๆ ขยับลูบฝ่ามือมาละเล่นเคล้นคลึงกับสองเต้าอวบอิ่มของเธออย่างเชื่องช้าเยือกเย็น กิริยาของเขานั้นคล้ายกับแมงมุมที่ละเล่นกับเหยื่อบนใยก่อนจะเริ่มลงมือรับประทานกัดกิน

   ฝ่ามือและริมฝีปากของเขามิได้เร่งเร้ารุนแรง หากทว่าในความเชื่องช้านั้นกลับแฝงลีลาปลุกเร้าจนอารมณ์ของเธอพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เธอเองยังรู้สึกสับสนว่าที่แท้แล้วเธอสนใจหรือไม่ว่าที่กำลังลวนลามเนื้อตัวเธออยู่นั้นคือเขาใช่หรือไม่

   ทุกการเคลื่อนไหวของเขานั้นเชื่องช้าไม่เร่งรีบ หากทว่าสร้างความเร้าใจกระสันให้เธอได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เพียงพริบตาปลายนิ้วที่สอดเข้าไปสำรวจในส่วนซ่อนเร้นก็กระตุ้นจนร่างงามกระตุกสะท้านเสร็จสมหลั่งน้ำออกมาเยิ้มเต็มง่ามขา

   เทียนซางเพิ่งได้สัมผัสกับรสรักครั้งแรก และเธอก็ได้รับทราบความหมายของคำว่าเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอด้วยตนเอง เธออยากส่งเสียงร่ำร้องให้เขาปรนเปรอเธอด้วยสิ่งนั้นอีก หากทว่าริมฝีปากไม่สามารถเผยอบอก จึงได้แต่ส่งเสียงสูดปากซี้ดซ้าดซาบซ่านอยู่เช่นนั้น

   เขาละเล่นกระตุ้นเร้าจุดเพลิงไฟราคะบนเรือนร่างของเธอโดยไม่หยุดยั้ง หากทว่าคราวนี้เขาลงมือกลั่นแกล้งหยุดม้าไว้บนหน้าผา ทุกคราที่นิ้วของเขากระตุ้นจนเธอเกือบเสร็จสม เขากลับหยุดยั้งลากนิ้วออกไปเคล้นคลึงเสพรับความอวบอิ่มเต่งตึงตรงส่วนอื่นแทน รอจนระดับอารมณ์ของเธอเริ่มเย็นลง จึงค่อยสอดปลายนิ้วเข้ามากระตุ้นเร้ากลั่นแกล้งปลุกให้เธอเกือบถึงสรวงสวรรค์ แล้วหยุดยั้งซ้ำไปซ้ำมาจนเธอแทบคลั่ง

   "... โออ คุณชายได้โปรด ข้าทนไม่ไหวอีกแล้ว ได้โปรด อย่าทรมาณข้าอีกเลย"

   ไม่ทราบว่ารอบที่เท่าไหร่ที่เขารู้สึกพึงพอใจ และลงมือสะกัดจุดให้ริมฝีปากของเธอพูดออกมาได้ เธอจึงค่อยสามารถส่งเสียงร้องขอความเมตตาออกมาเพราะไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป เวลานี้เธอรู้แค่ว่าเธอไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว นอกจากความสุขที่เขามอบให้

   "หึ หึ ความจริงแล้วข้าชอบเล่นของเล่นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ นะ แต่วันนี้ข้าจะให้เจ้าสมหวังก็แล้วกัน"

   เสียงของบุรุษหนุ่มนั้นคุ้นหู หากทว่าไม่ให้ความรู้สึกคุ้นเคย เทียนซางถึงกับไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายใช่คนที่เธอคิดหรือไม่ด้วยซ้ำ หากทว่าอารมณ์ที่พลุ่งพล่านทำให้เธอไม่คิดใส่ใจในเรื่องนั้น เธอเพียงต้องการใครสักคนที่สามารถปลดปล่อยความอัดอั้นที่พลุ่งพล่านอยู่ในกายออกมาได้ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม

   เมื่อสิ้นเสียงนั้นร่างของเทียนซางก็โดนผลักลงไปนอนโก้งโค้งคลานสี่ขาบนใบไผ่ และเธอก็รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งใหญ่โตที่สอดแทรกเข้ามาในร่าง เธออยากจะส่งเสียงร่ำร้องหากทว่าริมฝีปากไม่อาจขยับเขยื้อน ร่างกายก็กลายเป็นแข็งทื่อไม่สามารถขยับได้ เธอรู้สึกเหมือนเป็นเหยื่อที่กำลังโดนแมงมุมกัดแทะ หากทว่าที่แตกต่างก็คือเธอไม่ได้เจ็บปวด หากทว่าสุขสมยิ่ง

   เธอส่งเสียงร่ำร้องอยู่ในใจ ยิ่งเขาโหมกระหน่ำปรนเปรอความหฤหรรษ์ให้ พี่สามแห่งสกุลเทียนก็ลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง ไม่มีสุ้มเสียงอันใดหลุดออกมาจากปาก เธอเพียงรู้สึกได้ถึงอาการตอดรัดในช่องคลอดรอบแล้วรอบเล่า เธอไม่ทราบว่าเธอโดนส่งขึ้นสวรรค์ไปกี่ครั้ง ก่อนที่เขาจะหยุดนิ่งและปลดปล่อยน้ำแห่งชีวิตอันร้อนผ่าวหลั่งไหลทะลักเข้ามาในร่าง

   เธอขยับไม่ได้หากทว่าสุขสมยิ่ง ความรู้สึกหวาดกลัวเล็ก ๆ ต่อการขยับเขยื้อนไม่ได้ไม่ทราบว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้เธอมีเพียงความต้องการที่ดูเหมือนไม่มีวันเต็ม กระทั่งเมื่อเขาเริ่มขยับบั้นเอวกระแทกใส่อีกครั้ง เธอจึงค่อยตระหนักได้ว่าเขากำลังทรมาณเธอ และความทรมาณนั้นก็กระตุ้นจนอารมณ์ของเธอพลุ่งพล่านเร่าร้อนหิวโหยขึ้นมารอบแล้วรอบเล่า

....................................

   'เพียะ ... เพียะ ... เพียะ ...'

   ฝ่ามือหยาบหนาฟาดลงไปบนก้อนเนื้อกลมกลึงตรงตำแหน่งสะโพกส่งเสียงดังประหลาดออกมาอย่างต่อเนื่อง การฟาดฝ่ามือแต่ละครั้งไม่ได้หนักหน่วงรุนแรง หากทว่าก็มิได้บางเบาจนไม่รู้สึกรู้สา ความรุนแรงนั้นพอดีทำให้รู้สึกเจ็บเล็ก ๆ แต่ไม่ถึงกับบาดเจ็บชอกช้ำ และผู้ที่กำลังโดนฟาดหวดสะโพกอยู่อีกด้านของป่าไผ่นั้นก็คือเทียนอวี้น้องเล็กที่มีนิสัยเอาแต่ใจนั่นเอง

   "อื้อออ ... อื้ออออ ... อื้อออออ ... อื้ออออ ..."

   นางงามที่เพิ่งแตกเนื้อสาวส่งเสียงครางอู้อี้อยู่ในลำคอ เพราะปากบางโดนเศษผ้าที่ฉีกจากเสื้อผ้าอาภรณ์ปิดยัดเอาไว้ เธอมองสิ่งใดไม่เห็นเนื่องจากโดนเศษผ้าปิดดวงตาเอาไว้ แม้แต่มือทั้งสองข้างก็โดนจับมัดขึงพืดอยู่ในท่ายืน ร่างงามจึงได้แต่ยืนแอ่นสะโพกส่ายร่อนไปมาสนองตอบต่อฝ่ามือหยาบหนาที่เล้าโลมด้วยการลูบไล้สลับกับหวดฟาดสร้างความเจ็บอ่อนจางทิ้งไว้บนเนื้อนวล

   เทียนอวี้น้องเล็กเจอเข้ากับร่างอวตารแห่งความเจ็บปวด เสียงเพียะเพียะจึงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะฝ่ามือของเขาตบกระตุ้นลงไปบนสะโพกผายจนเธอเจ็บปวดสะดุ้งโหยง หากทว่าในความเจ็บปวดนั้นกลับสร้างความสาแก่ใจให้เธออย่างที่สุด เธอรู้สึกเหมือนตนเองเป็นเด็กสาวที่เอาแต่ใจจนเคยตัว และสมควรแล้วที่จะโดนเขาลงโทษให้สาสมต่อความผิด

   "หึ หึ สะโพกของเจ้านี่มันอวบกลมเด้งชะมัด น่าจะมีลูกหลานให้ข้าได้ไม่น้อยกว่ายี่สิบ"

   บุรุษหนุ่มส่งเสียงหัวเราะร่วนขณะเอ่ยปากชมด้วยถ้อยคำหยาบโลน และหากเป็นผู้อื่นเทียนอวี้คงจะส่งเสียงต่อว่าไปแล้ว หากทว่ากับเขาผู้นี้เธอกลับรู้สึกดีและตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เธอทราบว่าเธอถูกเหล่าบุรุษให้ฉายาลับหลังว่าสะโพกแม่พันธุ์ลูกดก ซึ่งนั่นเป็นสรีระร่างกายของเธอนั้นมีสะโพกที่ผึ่งผายยั่วเสน่ห์ใจชายไม่แพ้ผู้ใด ที่แตกต่างคือตอนนั้นเธอรู้สึกไม่ดีกับฉายานี้ แต่เพียงแค่เปลี่ยนคนเรียกเธอกลับรู้สึกร้อนรุ่มไปอีกแบบหนึ่ง

   "อะ อื้ออออ อื้ออออออ อู้ววววววว"

   ภายหลังจากโดนหวดฟาดฝากริ้วรอยแดงอ่อนจางบนแก้มก้นจนอีกฝ่ายพอใจแล้ว เทียนอวี้ก็ต้องสะดุ้งโหยงตัวสั่นระริก เธอไม่ทราบว่าเขาทำอะไร หากทว่าสองมือของเขากำลังขยำตะปบลงบนแก้มก้นทั้งสองข้าง และที่สัดส่วนลี้ลับนั้นมีอะไรบางอย่างที่เปียกชื้นแตะสัมผัสระรัวกระตุ้นสร้างความวาบหวิวให้แผ่ซ่านไปทั่วร่าง

   เทียนอวี้ไม่ทราบว่านั่นคืออะไร หากทว่าเธอรู้สึกดียิ่ง โดยเฉพาะเมื่อสิ่งนั้นแทรกเข้ามาตวัดระรัวที่ผนังร่องด้านใน เธอรู้สึกดีเสียจนโดนส่งขึ้นสวรรค์ไปในเวลาเพียงไม่นาน จากนั้นเขาก็ฟาดหวดที่สะโพกของเธออีกครั้งกระตุ้นจนอารมณ์ของเธอปั่นป่วนพลุ่งพล่าน และเมื่อเธอโดนผลักจนร่างท่อนบนโน้มลงไปพิงกับต้นไผ่ในท่ายื่นโก้งโค้ง อะไรบางอย่างที่แข็งกระด้างก็เริ่มสอดแทรกเข้ามาในร่างจากทางด้านหลัง
 
   เทียนอวี้ส่งเสียงร้องอ๊ะ ขณะที่มือทั้งสองข้างตะปบเกาะยึดต้นไผ่เอาไว้อย่างแน่นหนา เพราะความเสียวแปลบปลาบที่ด้านหลังนั้น กดจนร่างเปลือยเปล่าของเธอโน้มมาโดนกิ่งและใบไผ่อันแหลมคมสะกิดใส่จนรู้สึกเจ็บแสบที่ผิวหนัง แต่ยังดีที่เธอมีวรยุทธ์และลมปราณความคมเพียงแค่นี้จึงไม่สามารถสร้างรอยแผลบนผิวกายขาวผ่องได้

   เสียงร้อง อ๊ะ อ๊ะ เริ่มดังขึ้นทีละน้อยเมื่อเขาออกแรงกระแทกหนักหน่วงขึ้น เมื่อเขาออกแรงกระแทกมากขึ้นเทียนอวี้ก็ยิ่งต้องรีดเร้นเรี่ยวแรงเพื่อยึดเหนี่ยวกับต้นไผ่มากกว่าเดิม แต่ก็ยังโดนขย่มจนโดนกิ่งใบบาดใส่บ้างเป็นครั้งคราว ความเสียวสยิวที่เพิ่งได้ลิ้มลองเป็นครั้งแรกจึงมาพร้อมกับความเจ็บแสบเล็ก ๆ น้อย ๆ บนผิวกาย และเมื่อโดนเช่นนี้นานเข้าสมองจึงเริ่มแปลความเจ็บปวดให้กลายเป็นความสุขไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

   สัมผัสที่เจ็บแสบบนผิวหนังกลับกลายเป็นความสุข ความสุขที่โดนสอดแทรกเข้ามาในร่างก็ยิ่งสุขล้นเป็นเท่าทบทวี ร่างงามเริ่มขยับเด้งผสานไปกับจังหวะลีลารักเร่าร้อน สะโพกผึ่งผายเด้งร่อนไม่หยุดยั้ง ในขณะที่บางจังหวะนั้นเธอเจตนาโน้มร่างลงไปแตะสัมผัสกับความคมสากของกิ่งใบด้วยตนเองเพื่อกระตุ้นเร้าอารมณ์ด้านมืดให้พลุ่งพล่านกว่าเดิม

   ร่างงามกระตุกเฮือกสะท้านเสร็จสมไปอีกรอบหนึ่ง หากทว่าเพียงครู่เดียวร่างนั้นก็เคลื่อนไหวใหม่อีกครั้ง หนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวเสพกามร่ำรสชาติความเจ็บปวดอย่างไม่รู้จักเบื่อ ต้นไผ่ที่โดนใช้เป็นหลักเกาะกุมถึงกับส่ายโอนเอนไปมาจนกิ่งใบร่วงหล่นแทบหมดสิ้นแล้ว

   ด้านนางงามสกุลเทียนที่เหลือนั้นก็อยู่ในสภาพที่แทบจะไม่แตกต่างกันนัก ต่างกันก็เพียงแต่สถานที่และลีลาที่ใช้ร่วมรัก เทียนหวิงน้องสี่กำลังร่วมรักกับเขาในท่าคลานสี่ขาบนหลังคาของหอจันทราซ่อน ทุกครั้งที่เขาอัดกระแทกใส่ทรวงอกอวบจะเด้งแกว่งไกวสะท้อนไปกับแสงจันทราบนฟากฟ้ายามราตรี ส่วนด้านเทียนเซิงน้องห้า และเทียนซิ่งน้องหกนั้น หนึ่งนอนตะแคงกอดเขาอยู่ข้างบึงน้ำ ส่วนอีกหนึ่งกำลังโดนชายหนุ่มจับเธออยู่ในท่าลิงอุ้มแตงตรงผนังกำแพงด้านหนึ่ง

   พี่น้องสกุลเทียนทั้งเจ็ดต่างสูญเสียพรหมจรรย์ไปพร้อมกัน ทั้งได้เสพสัมผัสความหฤหรรษ์แห่งกามรสพร้อมกัน พวกเธอต่างก็คิดว่าตนเองนั้นเป็นสตรีคนแรกในบรรดาพี่น้องที่ได้มอบความบริสุทธิ์ให้กับเขา พวกเธอจึงรู้สึกเบิกบานยิ่ง ยินดียิ่ง และยิ่งลุ่มหลงรักใคร่เขาจนสุดหัวใจกว่าเดิม

..................................... 

   "หน้าโง่ ท่านช่างกลั่นแกล้งหลอกลวงผู้คนนัก ที่แท้ท่านกลับสามารถแบ่งแยกสร้างร่างอวตารได้ แต่ท่านทำได้อย่างไรทั้งที่เพิ่งสลายวิชาปราณทุกอย่าง เพราะเรียนรู้ปราณจักรวาลไป"

   เตียวเสี้ยนมองดูสภาพเบื้องล่างด้วยใบหน้าที่แดงก่ำเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสบสายตากับร่างของบุรุษหนุ่มที่กระพือปีกค้างคาวลอยนิ่งอยู่ด้านบนเหนือพื้นราวยี่สิบเมตร ในขณะที่ร่างงามนั้นถูกโอบอุ้มไว้ด้วยร่างที่หน้าตาเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนอีกร่างหนึ่ง

   ก่อนนี้เล็กน้อยร่างของบุรุษที่อุ้มเธออยู่ได้รอคอยอยู่ที่เก๋งจีนริมน้ำ สถานที่ซึ่งเพิ่งใช้สำหรับประลองดนตรี และเธอก็สัมผัสได้ในทันทีว่าร่างนี้มีบางสิ่งที่แปลกประหลาด เพียงแต่เธอไม่สามารถระบุได้ว่าความแปลกประหลาดนั้นคืออะไร กระทั่งเมื่อร่างนั้นพาเธอโบยบินขึ้นมาบนฟากฟ้ายามราตรี และได้ทราบว่ามีร่างที่เหมือนกันเช่นนี้เป็นจำนวนเก้าร่างด้วยกัน เธอจึงค่อยรู้สึกสะกิดใจขึ้นมา

   พิจารณาจากเหตุการณ์แล้ว เธอรู้สึกว่านี่คลับคล้ายกับคำอรรถาธิบายของหนึ่งในเจ็ดวิถีมารฟ้านามเก้า ร่างอวตารเป็นอย่างยิ่ง มีร่างที่เหมือนกันจำนวนเก้าร่าง และมีร่างหนึ่งที่เป็นร่างหลักใช้ควบคุมบงการร่างที่เหลือ และร่างที่ว่านั้นก็กำลังบินและส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้แทนคำตอบ

   เตียวเสี้ยนคิดว่านี่ควรจะเป็นเก้าร่างอวตาร แต่ว่าเธอไม่สามารถอธิบายได้ เพราะเธอเองก็ยังไม่เก่งกาจพอที่จะใช้วิถีมารฟ้านี้ เธอเพียงทราบรูปแบบจากปรมาจารย์และจากคำอธิบายในคัมภีร์อีกทอดหนึ่ง อีกทั้งเธอยังไม่เชื่อว่าชายที่เธอหลงรักจะรู้วิชานี้ หรือต่อให้เขารู้ แต่ว่าเขาก็เพิ่งสลายทักษะปราณทุกอย่างไป จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เขาจะฝึกใหม่ได้สำเร็จในเวลาสั้น ๆ ที่อยู่กับพวกเธอ เพราะนั่นออกจะผิดหลักทฤษฏีไปเสียหมด

   "... หรือว่าท่านคือทายาทสืบสายเลือดของมารฟ้าเหมือนกับข้า?"

   เธอพูดโพล่งออกมาเสียงดังเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่างออกมาได้ และนี่คือคำอธิบายเดียวที่ดูจะเป็นเหตุเป็นผลในความคิดของเธอมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความเก่งกาจที่แสดงออกมาก่อนหน้า หรือว่าการที่เขาสามารถใช้วิถีมารฟ้าระดับสูงเช่นนี้ออกมาได้ นั่นอาจจะเป็นความสามารถเฉพาะทางสายเลือดของเหล่าบุตรหลานแห่งมารฟ้า

   แม็กไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เขายังคงจ้องมองดูเหตุการณ์เบื้องล่างด้วยสายตาแน่วนิ่ง นี่ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่สนใจเตียวเสี้ยน หากทว่าเมื่ออยู่ในสภาพของเก้าร่างอวตารแล้ว ร่างหลักจะสามารถสั่งการควบคุมได้อย่างละเอียดราวกับร่างอวตารอีกแปดร่าง เป็นแขนขาตนเอง นี่เป็นระบบเชื่อมโยงประสาทคล้ายกับพวกแมลง ทุกภาพที่ร่างอวตารมองเห็นล้วนส่งผ่านมา ทุกเสียงที่ร่างอวตารได้ยินล้วนผ่านมาเข้าหู ทุกสัมผัสที่ลูบไล้ไปบนเรือนกายเต่งตึง และรสชาติของการตอดรัดของเจ็ดนางงามก็ผ่านเข้ามาไม่ต่างกัน

   ความสุขนั้นทบทวีขึ้นเป็นเจ็ดเท่า แม็กรู้สึกเหมือนตนเองเพิ่งได้เปิดประตูสู่โลกใบใหม่ คล้ายนักบินรบที่เคยแต่บินเดี่ยว แล้วเพิ่งได้ทดลองสั่งการฝูงรบ ความรู้สึกสุขสมที่ได้รับนั้นมากล้นยิ่งกว่าการเสพกามเพียงคนเดียวหลายเท่า จนมิอาจแบ่งแยกสมาธิไปสนใจเตียวเสี้ยนในเวลานี้ได้ หรือต่อให้เขาสนใจเขาก็คงไม่เข้าใจว่าเตียวเสี้ยนพูดถึงเรื่องอะไร

   ท่าทางนิ่งเงียบของแม็กกลับทำให้เตียวเสี้ยนเชื่อว่าเธอกล่าวไม่ผิด เพียงแต่ว่าทราบแล้วจะเป็นอะไร ไม่ทราบจะเป็นอะไร เวลานี้เธอเพียงรู้สึกว่าตนเองโดนหมางเมินใส่เป็นครั้งแรกในชีวิต ไม่ว่าจะร่างหลักที่เอาแต่ยืนนิ่งเงียบ หรือร่างรองที่เอาแต่อุ้มเธอบินอยู่ท้องฟ้าโดยไม่ยอมกระทำอะไรเธอเลยแม้แต่น้อย เธอกำลังรู้สึกไม่ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

   นี่ถือเป็นแปลกของจิตใจสตรี หากมิได้มีสัมพันธ์อันใดแล้วนางอาจจะไม่สนใจท่าน แต่เมื่อได้สานสัมพันธ์ชิดใกล้แล้ว ทุกท่าทีที่ท่านกระทำล้วนแล้วแต่จะถูกพิจารณามองและนำมาครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างละเอียด

   ขณะที่ฝ่ายหนึ่งกำลังหงุดหงิด อีกฝ่ายกลับกำลังคึกคักตื่นเต้น ร่างอวตารเจ็ดร่างที่ร่วมรักกับเจ็ดนางงามที่เบื้องล่างกำลังโหมเร่งจังหวะ ในห้วงสุดท้ายแห่งความหฤหรรษ์ ความเข้มแข็งทางร่างกายผนวกกับลีลารักร้อนแรงและทักษะทางด้านรักใคร่ทำให้ พวกเธอเสร็จสมรอบแล้วรอบเล่า สติยิ่งมายิ่งขาวโพลนใกล้จะหลุดลอย ส่วนทางด้านร่างอวตารนั้นยังเพิ่งกำลังพุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสุดยอดเท่านั้น

   "โอยยยย"

   ร่างอวตารหลักของแม็กที่เพ่งสายตามองลงไปเบื้องล่างส่งเสียงครางไปพร้อมกับ การกระตุกร่างแผ่วเบา ร่างอวตารทั้งเจ็ดที่เบื้องล่างเพิ่งควบทะยานสุดแรงจนเสร็จสม และความรู้สึกสุขเสียวเหล่านั้นก็เทประดังเข้ามาจนชายหนุ่มเสียวซ่านแทบรับ ไว้ไม่อยู่ เขาแทบไม่ทราบว่าควรจะใช้คำอะไรมาบรรยายความรู้สึกแปลกใหม่นี้

   "ปีศาจราคะ!!!"

   เตียวเสี้ยนฉลาดเฉลียวพอที่จะคาดเดาได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเธอปักใจเชื่อว่านี่คือเคล็ดมารฟ้าเก้าร่างอวตาร เธอจึงนึกอนุมานได้ว่า ร่างหลักของแม็กจะต้องรับรู้ความรู้สึกของเหล่าร่างอวตารขณะกำลังร่วมรักกับ เหล่านางงามสกุลเทียนทั้งเจ็ด ใบหน้าของเธอจึงแดงปลั่งสดใสแฝงเร้นความเย้ายวน

   "พูดแบบนี้แต่เตียวเสี้ยนก็อยากลองใช่มั้ยล่ะ?"

   แม็กในร่างอวตารหลักหันมายิ้มให้พร้อมกับกระพือปีกขยับเข้ามาใกล้ ร่างงามของเตียวเสี้ยนจึงกลายเป็นโดนร่างสองร่างที่เหมือนกันขนาบไว้ตรงกลาง เธอมองดูร่างหนึ่งแล้วสลับไปอีกร่างหนึ่งด้วยดวงตาตื่นตระหนก ก่อนจะกลายเป็นร้อนเร่าวิบวับ เธอคิดว่าเธอพอจะเดาออกแล้วว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร

   "เจ้า ... เจ้าคิดจะทำอะไร? ... อ๊ะ อืมมมมม"

   เตียวเสี้ยนส่งเสียงประท้วงออกมา ก่อนจะโดนร่างหลักขยับจับเธอไปกอดจากด้านหน้าแล้วประกบปากจูบอย่างเร่งร้อน ในขณะที่ด้านหลังนั้นหนึ่งในร่างอวตารก็ประกบโอบกอดเข้ามาจากด้านหลังแล้ว ซุกไซร้ไปตามซอกคอขาวนวลเนียน

   เพียงร่างเดียวเธอก็เนื้อตัวอ่อนระทวยอยู่แล้ว เมื่อต้องเจอการเล้าโลมของสองร่างพร้อมกัน ความซาบซ่านจึงกลายเป็นคูณสอง โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสได้ว่าความเป็นชายของเขาทางหนึ่งกำลังเบียดอยู่ที่หน้าท้อง ส่วนอีกทางหนึ่งนั้นเบียดเสียดอยู่บนสะโพกก้น

   เสื้อผ้าอาภรณ์สีขาวสะอาดโดนปลดออกปล่อยให้ร่วงหล่นปลิวไปกับสายลม เหลือไว้เพียงเรือนร่างงดงามเปลือยเปล่าลอยล่องอยู่บนท้องฟ้าประชันขันแข่ง ความงามกับดวงจันทร์

   ในสภาพลอยอยู่บนฟ้าเช่นนี้เตียวเสี้ยนได้แต่กอดร่างอวตารหลักไว้อย่างแนบ แน่น เธอจูบตอบในขณะที่อีกร่างหนึ่งกำลังอ้าปากงับไซร้ไปตามซอกคอ ทรวงอกอวบขาวโพลนโดนสองมือของร่างอวตารที่อยู่ด้านหลังสอดมือมาบีบขยี้ ในขณะที่สองมือของร่างหลักที่ด้านหน้าเอื้อมสอดไปบีบขยำสะโพกเนื้อหนั่นแน่น

   การเล้าโลมแบบสองรุมหนึ่งทำให้เตียวเสี้ยนแทบคลั่ง โดยเฉพาะเมื่อสองขาของเธอโดนจับแยกอ้าไปตวัดไว้รอบเอวของร่างอวตารหลัก แล้วร่างกายส่วนล่างก็รุกล้ำสอดแทรกเข้ามาจากสองทางพร้อมกัน

   เตียวเสี้ยนลืมตาโพลงด้วยความแตกตื่น จากนั้นก็หลับปี๋ด้วยความเสียวซ่านที่สอดแทรกเข้ามาในร่างพร้อมกัน เธอรู้สึกได้ถึงความคับแน่นจากสองช่องทางพร้อมกัน แรกทีเดียวเธอรู้สึกตึงแน่นจนหายใจหายคอไม่ออก หากทว่าเพียงครู่เดียวร่างกายก็ปรับตัวได้ ความตึงหน่วงหายสาปสูญ เหลือไว้แต่เพียงความรู้สึกเร่าร้อนกระสัน

   "โอววว ... ชิงอ้าย (ที่รัก) ... อูววววว"

    เตียวเสี้ยนลืมตาจับจ้องมองดูสามีโดยสมบูรณ์ของตนเองด้วยแววตาหวานฉ่ำ หลงตลอดเวลาที่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เธอต้องการจะประทับตราตรึงเขาไว้ในจิตใจว่านี่คือบุรุษที่เธอหลงไหล ชายหนุ่มตอบรับแววตาเร่าร้อนนั้นด้วยแววตาอบอุ่นน่าลุ่มหลง ใบหน้าของทั้งคู่กลับจับจ้องมองดูกันและกันด้วยความซาบซึ้ง ชายหนุ่มก้มหน้าลงไปบดจูบริมฝีปากที่เผยอส่งเสียงครางอย่างนุ่มนวลทะนุถนอม ก่อนที่ร่างอวตารทั้งด้านหน้าและหลังจะเริ่มขยับ

   ความหฤหรรษ์แบบสองเท่าเล่นงานตั้งแต่ต้น อารมณ์รักของเตียวเสี้ยนจึงพุ่งทะยานขึ้นจนถึงขีดสุดอย่างรวดเร็วยิ่ง เธอหลับตาปี๋แหงนหน้าเริ่ดไปมาด้วยความเร่าร้อนอยู่กลางอากาศ เวลานี้ไม่มีถ้อยคำหน้าโง่ออกมาจากปากแม้แต่คำเดียว มีแต่เพียงคำพรอดรักเรียกหาชิงอ้ายจนแม้แต่เทพเทวายังต้องอิจฉา
 
.....................................................................

   'ท่านได้รับปราณสวรรค์เจ็ดวิถี เคล็ดเนตรทิพย์ ปราณระดับแปดดาว จากเทียนซู'
   'ท่านได้รับปราณสวรรค์เจ็ดวิถี เคล็ดตะวันจันทรา ปราณระดับแปดดาว จากเทียนหยาง'
   'ท่านได้รับปราณสวรรค์เจ็ดวิถี เคล็ดวารีชำระล้าง ปราณระดับแปดดาว จากเทียนซาง'
   'ท่านได้รับปราณสวรรค์เจ็ดวิถี เคล็ดทลายอวตาร ปราณระดับแปดดาว จากเทียนหวิง'
   'ท่านได้รับปราณสวรรค์เจ็ดวิถี เคล็ดแสงอรุณรุ่ง ปราณระดับแปดดาว จากเทียนเซิง'
   'ท่านได้รับปราณสวรรค์เจ็ดวิถี เคล็ดคืนวิญญาณ ปราณระดับแปดดาว จากเทียนซิ่ง'
   'ท่านได้รับปราณสวรรค์เจ็ดวิถี เคล็ดสวรรค์บัญชา ปราณระดับแปดดาว จากเทียนอวี้'
   'ปราณสวรรค์เจ็ดวิถี ปราณระดับแปดดาว ร่ำลือกันว่าเป็นเคล็ดปราณที่เทพีหนี่วาได้มอบไว้ให้เหล่าเทพเพื่อฝึกปรือไว้ต่อกรกับมารฟ้า เคล็ดปราณแฝงพลังศักดิ์สิทธิ์ของธาตุแสง ทั้งครอบคลุมด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ และวิญญาณ ยกเว้นเพียงธาตุความมืด'
   "ทำภารกิจลับ ครอบครองเจ็ดนางงามสกุลเทียนได้สำเร็จ กรุณาพูดคุยเพื่อรับภารกิจตามหาขลุ่ยลำนำสวรรค์"
   'ปราณจักรวาล กำลังทำการหล่อหลอมลมปราณใหม่เข้ากับร่าง กรุณานั่งโคจรลมปราณภายใน 1 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นปราณชุดใหม่จะสลายหายไป'

   หลังจากอ่านข้อความเหล่านี้จนหมด แม็กก็รีบสั่งการให้ร่างอวตารทั้งหมดโอบอุ้มนางงามทั้งแปดที่สุขสมจนสลบเหมือดไปนอนในห้องของพวกเธอเอง บทรักเมื่อครู่นั้นกระตุ้นเร้าทำให้สมองหลั่งความสุขออกมาเกือบตลอดเวลา สติของแปดนางงามจึงหลุดลอยอยู่ในสภาพหมดสติไปอย่างน้อยสักหลายชั่วโมง

   ภายหลังจากจัดการให้แปดนางงามนอนพักผ่อนแล้ว แม็กก็รีบเร่งทำเวลาเดินฝ่าความมืดออกมานั่งโคจรพลังในป่าไผ่ใกล้สระน้ำ โดยที่เขาเองก็ไม่ทราบว่าทำไมต้องเป็นที่นี่ เขาแค่เพียงรู้สึกว่าสถานที่ตรงตำแหน่งนี้มีพลังงานหนาแน่นมากที่สุด ซึ่งนั่นก็ไม่ผิดเพราะที่แห่งนี้คือศูนย์กลางของสถานที่นี้จริง ๆ

   เขาย่อมไม่ทราบว่าการโคจรลมปราณที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร เพราะไม่เคยผ่านการฝึกปรือพลังปราณมาก่อนแม้แต่น้อย หากทว่ายังดีที่เคล็ดปราณจักรวาลนั้นกระทำแทนให้ตามหน้าที่ของมันอยู่แล้ว เมื่อเขานั่งในท่าขัดสมาธิเลียนแบบท่าทางที่เคยเห็นในภาพยนต์จีนกำลังภายใน ปราณจักรวาลก็เริ่มเคลื่อนไหวหมุนเวียนอยู่ภายในด้วยความรวดเร็วยิ่ง

   โดยส่วนใหญ่แล้วในเกมนี้คนผู้หนึ่งจะมีปราณได้สายเดียว หากมีการรับปราณสายที่สองเข้าไปในร่าง ผู้เล่นจะต้องทำการโคจรปรับลมปราณเอง หากเป็นสายลมปราณที่ใกล้เคียงกันก็จะมีการต่อต้านกันน้อยกว่า หากเป็นสายลมปราณที่อยู่ขั้วตรงข้ามก็ยิ่งเสี่ยงอันตรายมากขึ้น โดยเฉพาะลมปราณสายธาตุแสงและมืดที่แทบจะไม่ยอมอยู่ร่วมกันเด็ดขาด

   หากการปรับลมปราณไม่สำเร็จนั้นร้ายแรงที่สุดก็คือเสียชีวิต ลมปราณแตกซ่านไม่ได้รับปราณใหม่ รวมถึงปราณเก่าถอดถอย แต่เมื่อมีปราณจักรวาลแล้วจะไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น อย่างเลวร้ายที่สุดนั้นก็เพียงแค่ไม่สามารถเรียนรู้ปราณใหม่ได้โดยไม่สูญเสียสิ่งใดอีก

   แม็กนั่งหลับตาด้วยความรู้สึกอึดอัดคับข้องไปทั้งร่าง ประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวเย็น ประเดี๋ยวหนักประเดี๋ยวเบา ซึ่งความจริงแล้วนี่เป็นอาการโดยทั่วไปของผู้ที่ลมปราณกำลังจะแตกซ่าน หากทว่าสำหรับแม็กแล้ว เขายังไม่เคยฝึกฝนมาก่อน จึงไม่ทราบว่าปกติควรเป็นอย่างไร ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้รู้สึกร้อนเนื้อร้อนใจอะไรเป็นพิเศษเพียงแค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามแต่จะเป็น

   การปล่อยวางกลับตรงกลับเงื่อนไขพื้นฐานของปราณจักรวาลอย่างบังเอิญ ปราณจักรวาลนั้นเน้นที่เคล็ดความว่างเปล่าและการผสมรวม ขอเพียงร่างกายของผู้ใช้ไม่แสดงท่าทีต่อต้านขัดขวาง ปราณจักรวาลจะทำหน้าที่ชักนำลมปราณที่แตกต่างไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม ทั้งยังจะแบ่งแยกจัดวางไม่ให้กระทบกระทั่ง และหลอมรวมในส่วนที่จำเป็นเข้าด้วยกันด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว

   ถึงแม้คราวนี้จะเป็นปราณระดับแปดสองอย่างที่ตรงข้ามกัน ทั้งยังเป็นปราณที่ถูกสร้างมาเพื่อขัดแย้งกันโดยเฉพาะ แต่ก็ยังไม่เกินไปกว่าความสามารถในการจัดการของปราณจักรวาล เขาเพียงนั่งสมาธิปล่อยให้ขุมพลังวิ่งไปตามธรรมชาติของมัน จุดลมปราณในร่างก็ค่อย ๆ กลายเป็นรู้สึกโล่งสบายหายคับข้อง ทั้งยังโปร่งโล่งยิ่งกว่าเก่าเสียด้วยซ้ำ

   ปราณมารฟ้าคล้ายกับน้ำสีดำขุมหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่าง ปราณสวรรค์คล้ายน้ำสีขาวอีกขุมหนึ่งที่ต่อต้านกัน เมื่อปราณสองสายนี้ปะทะกันจะเกิดความเสียหายรุนแรงเกิดขึ้น หากทว่าร่างกายของแม็กกลับแปรสภาพไปเป็นเหมือนห้วงทะเลที่มีน้ำมากมายไร้ประมาณ

   กระแสน้ำสีดำของปราณมารฟ้าเมื่อร่วงหล่นลงไปในท้องทะเล มันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของน้ำทะเล กระแสน้ำสีขาวของปราณสวรรค์เมื่อไหลรินลงไป มันก็กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของท้องทะเลเช่นเดียวกัน และเมื่อปราณทั้งสองประเภทกลายเป็นส่วนหนึ่งของท้องทะเลปราณ พวกมันก็ไม่มีความแตกต่างอันใดอีก อย่าว่าแต่จะให้มีความขัดแย้งอันใด

   'โคจรหลอมรวมปราณมารฟ้าเจ็ดวิถีเข้าสู่ทะเลปราณสำเร็จ'
   'โคจรหลอมรวมปราณสวรรค์เจ็ดวิถีเข้าสู่ทะเลปราณสำเร็จ'
   'ปฏิบัติตามเงื่อนไขการเพิ่มระดับปราณจักรวาลสำเร็จ ปราณจักรวาลระดับแปดดาวทะเลปราณ กลายเป็นปราณจักรวาลระดับเก้าดาวจักรวาลปราณไร้ขอบเขต'
   'ปราณมารฟ้าเจ็ดวิถีระดับแปดดาว ถูกยกระดับตามปราณจักรวาล กลายเป็นปราณมารฟ้าคร่าเทวะระดับเก้าดาว'
   'ปราณสวรรค์เจ็ดวิถีระดับแปดดาว ถูกยกระดับตามปราณจักรวาล กลายเป็นปราณสวรรค์อำไพระดับเก้าดาว'
   'พลังปราณพื้นฐานสูงสุด ถูกเพิ่มจาก 2,100,000 หน่วย เป็น 3,100,000 หน่วย'
   
   เสียงประกาศของระบบดังขึ้นพร้อมกับร่างของชายหนุ่มที่เริ่มลอยสูงขึ้นจากพื้นในท่าขัดสมาธิ ใบหน้าที่ดวงตายังคงหลับพริ้มนั้นปรากฎรอยยิ้มพึงพอใจต่อความรู้สึกอันปลอดโปร่งในร่าง มือขวายกสะบัดขึ้นพร้อมกับปลดปล่อยปราณสวรรค์ในรูปลักษณ์ของแสงสว่างแห่งสรวงสวรรค์ออกมา ในขณะที่มือซ้ายนั้นวาดไปอย่างเชื่องช้าสร้างบรรยากาศมืดหม่นมัวหมองให้สภาพอากาศทางซ้ายมือราวกับขุมนรก

   ขุมพลังปราณที่แผ่พุ่งออกมาก่อตัวเป็นลักษณะของทรงกลมขนาดใหญ่สองสี ซีกหนึ่งเป็นพลังธาตุแสง อีกซีกหนึ่งกลับเป็นพลังธาตุมืด ร่างกายกลายเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงเหมือนกับจักรวาลที่สามารถบรรจุได้ทุกสรรพสิ่ง และเมื่อการปลดปล่อยปราณสร้างทรงกลมขนาดรัศมีมากกว่าสิบเมตรนั้นหยุดลง พลังปราณสีขาวสลับดำก็เริ่มหมุนวนไปมา ทรงกลมขนาดใหญ่นั้นกลายเป็นเสมือนบอลลูกใหญ่ที่กำลังหมุนติ้วอยู่กับที่

   แรกทีเดียวขณะที่ความเร็วในการหมุนยังไม่สูงนัก ยังพอจะมองเห็นสีขาวสลับกับสีดำอยู่วับแวบ แต่เมื่อความเร็วย่ิงสูงขึ้น สีขาวก็มิใช่สีขาว สีดำก็มิใช่สีดำ กลายเป็นในดำมีขาว ในขาวมีดำ พลังทั้งสองสายที่แผ่พุ่งออกมาหลอมรวมกลายเป็นสิ่งเดียวกัน ทั้งเป็นธาตุแสงและมิใช่ธาตุแสง เป็นทั้งธาตุมืดและมิใช่ธาตุมืด มันกลายเป็นปราณธาตุพิเศษที่แฝงพลังขัดแย้งจากทั้งสองธาตุเอาไว้

   แม็กซึ่งอยู่จุดศูนย์กลางของพลังรับรู้ได้ถึงอานุภาพของพลังอันมหาศาลขุมนี้ดีกว่าใคร ยิ่งโคจรพลังก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงขุมพลังที่เพิ่มพูน เขาไม่ทราบว่าทำไมต้องโคจรพลังเช่นนี้ หากทว่าเขาทราบดีว่าไม่สามารถรั้งพลังขุมนี้ไว้ได้อีกแล้ว จึงกระทำตามสัญชาตญาณยกสองฝ่ามือหงายกระแทกขึ้นด้านบน ชักนำพลังที่พลุ่งพล่านให้พุ่งขึ้นไปด้านบน

   ฉับพลันนั้นขุมพลังไร้สภาพก็พวยพุ่งจากผืนดินขึ้นไปสู่ฟากฟ้า พลังที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นพุ่งทะลุชั้นเมฆขึ้นไปจนสุดสายตา ผืนดินที่อยู่ในรัศมียี่สิบเมตรหายวับราวกับก้อนเต้าหู้ที่โดนช้อนคว้านตักจนเว้าแหว่ง หากทว่าพลังทำลายที่ร้ายกาจนี้กลับไม่สร้างเสียงระเบิดอันใดออกมาแม้แต่น้อย มันเพียงแค่ปรากฎออกอย่างเงียบงันแล้วหายวับไปราวกับไม่เคยปรากฎมาก่อน

   แม็กค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาเมื่อร่างกายค่อย ๆ ลอยลงมาแตะสัมผัสกับหลุมขนาดใหญ่ที่ตนเองเป็นคนทำ ประสาทสัมผัสที่แผ่ขยายออกไปไกลลิบบ่งบอกเขาว่ามีการเคลื่อนไหวหลายสิบจุดมุ่งตรงมาหาเขา และแปดจุดในนั้นก็คือเหล่านางงามทั้งแปดที่น่าจะเพิ่งฟื้นจากการสลบไสล ส่วนขุมพลังที่เหลือนั้นเขาไม่ทราบว่าคือผู้ใด แต่คาดเดาได้ว่าเป็นระดับยอดฝีมือที่สามารถสัมผัสพลังปราณมหาศาลที่เขาปลดปล่อยออกมาได้

   ชายหนุ่มมองไปรอบด้านแล้วยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความรู้สึกผิด เพราะป่าไผ่ทั้งผืนนั้นหายเรียบกลายเป็นหลุมบ่อขนาดใหญ่ไปเสียแล้ว อีกทั้งหลุมนี้ยังกินพื้นที่ของสระน้ำไปเล็กน้อยจนน้ำในสระเริ่มทะลักเข้ามาในหลุมด้วยอีกทาง และอีกไม่ช้าหลุมใหญ่นี้ก็คงจะกลายเป็นสระย่อยอีกสระหนึ่ง

   'คำเตือน - เวลาการออนไลน์ของท่านเหลืออีกเพียง 5 นาที กรุณาทำการออกจากระบบก่อนกำหนดเวลาเพื่อความปลอดภัยของตัวละคร'

   ขณะกำลังครุ่นคิดว่าจะแก้ตัวอย่างไรดี เขาก็ได้รับข้อความประกาศของระบบ และเมื่อมองเวลาก็พบว่านี่เป็นเวลาเที่ยงแล้ว เขาจึงเลิกคิดหาข้อแก้ตัว แล้วหันมาใช้สุดยอดแห่งกลยุทธ์ที่ได้ผลเสมอมา และกลยุทธ์ที่ว่านั้นก็คือการชิ่งหนีนั่นเอง

   'ยืนยันออกจากระบบ'

   แม็กรีบเปิดหน้าจอของระบบแล้วกดยืนยันออกจากร่างระบบ จากนั้นร่างของเขาก็ค่อย ๆ สลายกลายเป็นละอองแสงหายไปกับอากาศรอบด้าน หลังจากนั้นไม่นานนักเหล่าแปดนางงาม เจ้าของร้านค้าทาส และยอดฝีมือของร้านค้าทาสอีกหลายคนก็ปรากฎกายขึ้นยืนมองดูการหายไปของป่าไผ่ด้วยความตื่นตะลึง

..............................................
เวปส่วนตัว - http://www.novel008.com
Discord - https://discord.gg/DkT2Mf8q