ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ร้อยรักวัยสวาท ภาคแรก ตอนที่4-5

เริ่มโดย suckzeed, กุมภาพันธ์ 06, 2016, 10:19:36 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

suckzeed

ผมจึงยังคงตัดใจลงเรื่องให้อ่านอยู่ แต่จะซ่อนข้อความเล็กน้อย ไม่ตลอดเรื่องเพื่อให้อ่านพอทราบเนื่อเรื่องข้างใน ถ้าอยากอ่าน
ครบตอนก็รีพายตอบ แต่ถ้าไม่อยากอ่านครบก็ไม่ต้องรีพาย แต่ยังเหมือนเดิม คืออย่ารีพายขอบคุณ หรือขอบใจ ที่ผมเห็นพวกหัว
หมอบางคนใช้คำนี้ ส่วนกรรมวิธี จะทำยังไงคิดเอาเอง จะตอบสั้นๆเพื่ออ่านก่อน แล้วย้อนมาแก้ไขหลังอ่านจบ มันเป็นเรื่องของ
พวกคุณ

เมื่อผมทำแบบนี้แล้ว ผมก็ให้คุณมากกว่าเก่า โดยจะลงให้อ่านครั้งละสองตอน แต่ไม่มีกำหนดแน่นอนว่าจะลงโพสครั้งต่อไปเมื่อ
ไหร่ มันขึ้นอยู่กับความพอใจของตัวผมเอง

เชิญเสพได้เลยครับ
suckzeed  http://xonly69.com/read-xonly-tid-159448.html

..........................................................

"อืมมมมม..ก็น่าจะสดใสนะ..ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ได้ระบายออกซะมั่งไอ้หนอนหนังสือ..."

ไอ้โตพูดเหมือนมีปริศนา จากนั้นก็เดินกลับไปรวมกลุ่มซุบซิบกันต่อ จนได้ยินเสียงออดเรียกเข้าแถวในตอนเช้านั่นแหละ ถึงได้แตกตัวเดินกันไปเข้าแถวหน้าเสาธง ผมเดินตามหลังกลุ่มเพื่อนไปจนถึงสนามหญ้าหน้าเสาธง ช้าๆ จนเหลียวมองเห็นอัจฉราเดินตามมาจนทัน ผมหันหน้าไปหาทำทีท่าว่าจะทักเธอ แต่เธอกลับพูดลอยๆขึ้นมาว่า

"คนลามก..."

จากนั้นก็เดินชนไหล่จนผมเซ เพราะไม่ทันตั้งหลัก ไม่คิดว่าทางเดินออกกว้าง อัจฉราจะเจตนาเดินชนไหล่ผม พอผมเซเสียหลัก อัจฉรา เพื่อนสาวร่วมชั้นเรียนแต่คนละห้องกับผม สาวที่ผมแอบมองเพราะความชอบก็เดินสาวเท้าซอยเร็วๆ จากไปพร้อมทิ้งคำพูดให้ผมงุนงงว่าคนลามกนี่มันหมายถึงใคร หมายถึงผมหรืออย่างไร ผมไปทำลามกจกเปรตกับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กันหนอ แต่ผมก็ไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ได้นานเท่าไหร่ ก็ต้องรีบเดินไปเข้าแถวให้ทันเพื่อนๆ ที่ส่วนใหญ่ยืนเรียงห้องใครห้องมันกันเรียบร้อยหมดแล้ว

รอสักพักพอนักเรียนทุกคนมาเข้าแถวกันครบและถึงเวลา8โมงเช้า เสียงเพลงชาติไทยก็ดังขึ้น นักเรียนที่เป็นตัวแทนชายหญิงค่อยๆสาวชักธงไตรรงค์ขึ้นสุ่ยอดเสาช้าๆ จนเพลงจบธงชาติไทยสามสีอันสง่างามก็ถูกชักชึ้นสู่ยอดเสาสำเร็จ จากนั้นก็มีพิธีสวดมนต์กันตอนเช้า เหมือนเช่นทุกๆวัน หลังจากสวดมนต์เสร็จ อาจารย์ฝ่ายปกครองก็ขึ้นไปยืนบนสแตนด์ พร้อมอบรมนั่งเรียนในเรื่องกฎระเบียบต่างๆ เฉกเช่นทุกวัน เหมือนการรีเพลย์เทป ทุกคำพูดที่ผมได้ยินมานั้นตลอดเวลาเกือบสามปี ไม่เคยเปลี่ยนแปลง จนสงสัยว่าอาจารย์ปกครองท่านพูดไม่เบื่อบ้างรึไง ในเมื่อผมเห็นมีนักเรียนหลายสิบคนที่ต่างก็ยังแต่งตัวผิดกฎระเบียบของโรงเรียนอยู่เสมอ

ใครทำผิดเรื่องใด ผมก็เห็นว่ายังคงผิดในเรื่องนั้นๆเดิมๆ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแม้สักนิด ตัวอย่างเช่นนักเรียนชายที่ชอบใส่ถุงเท้าสีผิดระเบียบผมก็ยังคงเห็นใส่กันอยู่เสมอ บ้างถูกริบไปสองสามวันมันก็ซื้อสีเดิมมาใส่อีก นักเรียนหญิงบางคนอย่างเช่นกลุ่มยัยแจงเด็กแรดที่ชอบใส่กระโปรงสั้นเลยหัวเข่า ผมก็ยังคงเห็นเธอใส่แบบนี้เสมอ มีเฉพาะแค่ตอนเข้าแถวหน้าเสาธงนี่กระมัง ที่เด็กสาวกลุ่มนั้น ขยับชายกระโปรงลงมาให้ถูกต้องตามระเบียบ พอหลังจากเลิกแถว เธอก็ถลกขอบกระโปรงพับม้วนขึ้น จนชายกระโปรงสั้นขึ้นเหนือเข่าแทบทุกครั้ง

"เห้ย!...ชาย..รอก่อน..."

สมศักดิ์ เพื่อนกลุ่มเรียนของผมคนหนึ่ง เดินตามมาจับไหล่ผมด้านหลัง แล้วร้องบอกให้ผมรอ หลังจากที่เลิกแถวแล้ว นักเรียนต่างคนต่างทะยอยเดินตามกันเป็นแถวๆเพื่อเข้าชั้นเรียน แต่สมศักดิ์ซึ่งตัวเตี้ยกว่าผมเกือบ20ซม. จึงยืนเข้าแถวอยู่ทางปลายแถว รีบเดินแซงขึ้นมาจนทันผมที่อยู่ช่วงๆหัวแถว

"เออ...เรื่องไรวะ..." ผมตอบไปพร้อมกับเดินช้าลง จนผ่านอาจารย์ที่ยืนคุมแถวแล้ว สมศักดิ์จึงดึงมือผมให้แยกออกจากกลุ่มแถว เดินไปทางห้องน้ำ

"มึงทำแบบนั้นจริงๆหรือวะ.....ไอ้ห่าเอ๊ย เห็นเงียบๆเรียบร้อยไม่นึกเลยว่าไวไฟเหมือนกันนะมึงอ่ะ..." พอแยกจากแถวปลอดคนแล้วไอ้สมศักดิ์ ก็ใส่มาเป็นชุด จนผมยืนเกาหัวแกรกๆ ด้วยงุนงงไม่รู้ว่าสิ่งที่มันพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร

"กูทำอะไรวะ...พูดให้รู้เรื่องหน่อยสิโว๊ย..." ผมถามออกไปอย่างฉุนๆ เพราะตั้งแต่เช้ามาแล้วที่เจอไอ้โต ก็พูดแปลกๆ เจอสายตาคนที่มองมาเหมือนสงสัยแปลกใจ เยาะหยัน โดยเฉพาะคำพูดคนลามก ของอัจฉราที่ผมไม่มีวันลืม

"ห่าเอ๊ย....มึง..แม่ง...อำกูแน่เลย...คนเค้าพูดเรื่องมึงกันทั้งโรงเรียนแล้วตั้งแต่เช้า....มึงไม่ได้ยินมั่งหรอวะ.." ไอ้สมศักดิ์ยืนจ้องหน้าผมด้วยสายตาแปลกๆ

"เออ.....กูไม่รุ้เรื่องเลยว่ามึงหรือใครๆพูดเรื่องอะไรของกู ชัดมะ...คราวนี้มึงจะบอกได้รึยังว่ามันคืออะไร ถ้าไม่พูดกูจะไปเรียน เสียเวลากู...." ผมตอบสบัดเสียงด้วยรู้สึกเริ่มรำคาญหงุดหงิด

"เออ..บอกก็ได้วะ...เมื่อเช้ากู..ได้ยินจากปากไอ้โตว่าอีปุ๊เมียมันมาเล่าว่าเมื่อคืนมึงกับอีแจงเอากันว่ะ....จริงรึวะ...แม่งเด็ดมั๊ยเพื่อน...กูว่าคงเด็ดละ หน้ามันสวยๆเซ็กส์ๆ หุ่นก็น่าเอา..ฮาๆๆๆๆๆ"

ผมฟังไอ้สมศักดิ์พูดแล้วทั้งตกใจทั้งงุนงงว่าใครเอาเรื่องทำนองนี้มาเล่า ถ้ามาจากปากอีปุ๊ ก็น่าจะเป็นเพื่อนสาวตัวแสบหัวหน้ากลุ่มคือ
อีแจงนั่นแหละที่เอาเรื่องเท็จมาสร้างข่าวลือโคมลอย

"ห่าเอ๊ย..เรื่องลามกจกเปรต..อย่างกูนี่นะ...จะทำเรื่องเหี้ยๆแบบนั้นได้..."

ผมตอบกลับไปด้วยความรุ้สึกกึ่งโมโหกึ่งอาย มิน่าตั้งแต่เช้าแล้วที่ผมเห็นอากัปกิริยาแปลกๆจากนักเรียนที่จับกลุ่มคุยกัน ผมผละเดินจากไอ้สมศักดิ์ มุ่งหน้ากลับห้องเรียนด้วยเลยเวลาเริ่มเรียนวิชาแรกไปหลายนาทีแล้ว โดยไม่สนที่จะแก้ไขข่าวลือหรือตอบโต้ข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้น..เพราะรุ้ดีว่าแก้ตัวไปอย่างไรก็คงไม่มีใครฟัง มนุษย์นั้นไม่ว่ายุคใดสมัยใดต่างกระกายที่จะเสพข่าวฉาวๆคาวๆแบบนี้ทั้งนั้น ในเมื่อตัวผมรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง ฉนั้นใครจะคิดจะลือจะพูดเช่นไรก็ปล่อยให้ลือให้พูดกันไปผมไม่แคร์ แต่สิ่งที่ผมจะต้องทำหลังเลิกเรียนนั้นตั้งใจไว้แล้วว่าต้องไปคุยกับอีแจงเด็กจอมแสบให้รู้เรื่อง ถ้าเธอเป็นคนปล่อยข่าว เธอก็ต้องเป็นคนแก้ข่าวให้กับผม

ผมกลับมาถึงห้องเรียน ก็เห็นครุสอนตณิตศาสตร์เข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว ผมจึงขออนุญาติท่านกลับเข้าห้อง เดินตรงไปในที่ของผม โดยไม่สนใจสายตาของเพื่อนๆที่มองมาแบบอยากรู้อยากเห็น ผมตัดเรื่องนั้นออกไปจากหัวอย่างรวดเร็ว ตั้งใจฟังครูอธิบายสอนวิชาคณิตศาสตร์ จนจบชั่วโมงเรียน แล้วครูสังคมก็เข้ามาต่อ จนเวลาผ่านไปถึงเวลาพักเที่ยงทานอาหารกลางวัน เพื่อนๆต่างรีบออกจากห้องเพื่อไปเข้าแถวซื้ออาหารทานกัน ส่วนผมนั้นมันเกิดอาการตื้อจนทานอะไรไม่ลง ผมจึงยังคงนั่งแช่อยุ่กับเก้าอี้เรียน จนเหลืออยู่คนเดียวภายในห้อง สักครุ่ความรุ้สึกเห็นใครแว๊บๆทางหางตาจึงเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเรียนมองออกไปหน้าประตูห้อง เห็นอัจฉรายืนลับๆล่อๆอยู่ตรงประตุห้องด้านหน้าชั้นเรียน

"มีธุระอะไรกับเราหรืออัจ..เข้าก่อนสิ..."

ผมทักถามออกไปเมื่อเห็นเธอยืนลับล่ออยู่แบบนั้น เหมือนตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเข้ามาคุยกับผมหรือจะเดินหนี แต่พอผมเรียกไป เธอกลับส่ายหน้าเรียวๆ ขนตางอนๆวงหน้าสวยน่ารัก ปากแดงตามธรรมชาติ พร้อมกับยืนรีรออยุ่หน้าห้องไม่ยอมเข้ามา จนผมต้องเป็นฝ่ายลุกขึ้นเดินไปหา

"มีธุระอะไรกับเราหรืออัจ.." ผมถามซ้ำอีกครั้งเมื่อเดินเข้ายืนเผชิญหน้ากับอัจฉราที่ตรงหน้าประตุห้องเรียน แต่อัจฉราหลบสายตาของผม พูดอำอึ้งๆเบาๆตอบกลับมาว่า

"เรื่องที่เค้าลือกันน่ะ...เป็นเรื่องจริงใช่มั๊ย.."

เมื่อผมได้ยินคำพูดของอัจฉราผุ้หญิงที่ผมแอบมีใจชอบแล้ว ผมรู้สึกผิดหวังกับคำพูดของเธออย่างมาก..เรื่องที่ลือกันน่ะ จริงใช่มั๊ย..คำพูดมันบ่งบอกชัดเลยว่าเธอนั้นตัดสินใจเชื่อคำพูดข่าวลือนั้นไปเรียบร้อยแล้ว ผมมองร่างเพรียวสมส่วนของอัจฉราด้วยความรุ้สึกผิดหวัง เธอเป็นกลุ่มเด็กเรียนเก่งเช่นเดียวกับผม ผลสอบของเธอก็เป็นที่หนึ่งของห้องเช่นเดียวกับผม คะแนนสอบของเราสองคนสูสีกันผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาตลอดตั้งแต่เรียนมอ.1 ผมจึงรุ้สึกผิดหวังที่คนฉลาดๆอย่างเธอกลับเชื่อข่าวลือทำนองนี้ได้

"แล้วอัจคิดว่าเราเป็นคนแบบนั้นหรือ..."ผมถามช้าๆอย่างใจเย็น แม้จะรุ้สึกผิดหวังในตัวเธอ

"ก็...ก็ไม่เห็นนายจะแก้ข่าว หรือเดือดร้อนนิ...มันก็น่าจะเป็นจริงใช่มั๊ย..."

อัจฉราพูดเสียงเบาหวิว แต่ยังคงไม่กล้าสบสายตากับผม ส่วนตัวผมนั้นเดินกลับเข้ามานั่งที่โต๊ะเรียนตามเดิม ไม่แม้จะตอบคำถามเธอสักคำ ด้วยความรุ้สึกผิดหวังน้อยใจ กับผู้หญิงที่ตนเองแอบชอบ ซึ่งผมก็คิดว่าอัจฉราพอรู้ตัวเช่นกันว่าผมนั้นมีใจกับเธอ

"สมชาย...เธอพูดสิ..ถ้าไม่จริงก็พูดออกมา..."

เสียงอัจฉราสั่นเครือพอเงยหน้าขึ้นมองมาที่ผม ผมก็เห็นนัยต์ตาคู่สวยของอัจมีน้ำตาเอ่อคลอเต็มสองคู่ พอเธอกระพริบขนตางอนยาว หยาดน้ำตาก็ไหลพรูลงมาตามข้างแก้ม จนผมตกใจ

"ร้องไห้ทำไมอัจ..." ผมลุกเดินเข้าไปหา ล้วงกระเป๋าหยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดส่งให้ อัจยื่นมือมารับซับน้ำตาจนแห้ง แต่ดวงตาของเธอยังแดงช้ำ

"ชาย..บอกกับเราสิว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง...." อัจฉราพูดจบก็เดินเลี่ยงไปยืนพิงราวระเบียงหน้าห้อง จนผมต้องเดินตามไปยืนเคียงใกล้ๆ

"อัจ...เธอก็รุ้ว่าเราเป็นคนแบบไหน...มีนิสัยเช่นใด เรื่องเลวๆแย่ๆ แบบนั้นเราไม่ได้ทำหรอก..."

ความจริงแล้วผมไม่อยากพูดไม่อยากอธิบายเรื่องนี้ให้ใครฟังแม้แต่อัจฉราก็ตาม แต่พอผมเห็นน้ำตาของเธอแล้วก็ใจอ่อนความรุ้สึกโมโหที่เธอเข้าใจผมในด้านร้ายลดลง จนผมต้องพูดออกมา แต่ยังไม่ทันได้คุยกันต่อหรือเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่ายัยเด็กแจงนั้นทำอะไรกับผม เสียงโหวกเหวกแหลมๆของนักเรียนหญิงมอ.ต้นที่ดังจากพื้นสนามหน้าตึกเรียนก็ดังขึ้นมา ผมมองลงไปเห็นกลุ่มเด็กแจงกับสมุนอีกสามสี่คนชี้ไม้ชี้มือมาที่ผมกับอัจฉราซึ่งยืนอยู่บนอาคารเรียนชั้นสาม จากนั้นทั้งกลุ่มก็เดินรี่เข้ามาในอาคารเรียน เพียงครุ่เดียวสาวกลุ่มแรดทั้งกลุ่มก็เดินขึ้นบันไดมาจนมาถึงที่ผมกับอัจฉรายืนคุยกันอยู่

"พี่อัจ...พี่ชายเค้าเป็นแฟนของไอ้แจงมันนะพี่...คิดจะแย่งแฟนของเพื่อนเราหรอคะ..."

ยัยกบสาวอกอวบตัวเตี้ยๆส่งเสียงแหลมๆแสบแก้วหูขึ้นมาก่อนทั้งๆที่ตัวเองยังเดินขึ้นมาไม่พ้นขั้นบรรได ส่วยยัยเด็กแจงตัวแสบนั้นกับ
อีปุ๊ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว เดินตรงรี่เข้ามาหาอัจฉรากับผม ท่าทางดูเอาเรื่องจนอัจฉราต้องเดินเลี่ยงหลบมายืนอยู่ด้านหลังของผม

"ใครเป็นแฟนใคร...พูดใหม่สิ..." ผมยืนขวางกั้นกลางระหว่างอัจฉรากับกลุ่มเด็กแรด

"ก็พี่ชายนั่นแหละ..เป็นแฟนไอ้แจงมัน.." ยัยปุ๊แฟนไอ้โตเป็นคนพูดขึ้น แล้วก็มีเสียงรับอือๆจากกลุ่มสาวของพวกหล่อน ส่วนแจงนั้นกลับยืนก้มหน้านิ่งเงียบ

"แจงบอกกับใครๆแบบนี้งั้นรึ..." ผมพูดกับแจงด้วยเสียงเครียดๆ ต่ำๆ

"ใช่ค่ะ...พี่ชายเป็นแฟนของแจง..."

เด็กแจงพูดออกมาช้าๆ ส่งสายตาแบบดุๆข้ามผ่านไหล่ของผมไปจิก มองหน้าอัจฉราอย่างเอาเรื่อง จนดูเหมือนอัจฉราจะกลัวและอับอายผลุนผลันหันหลังวิ่งกลับไปที่ห้องเรียนของตนเอง แม้ผมจะพยายามคว้าข้อมือไว้ก็ไม่ทัน เรียกรั้งไว้เธอก็ไม่หันหลับมามอง เสียงหัวเราะเย้ยหยันจากกลุ่มเด็กแรดโห่ดังลั่นไล่ตามหลัง อย่างชอบใจ

[post]จากนั้นพวกเธอก็พากันเดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนงุนงง และโมโหอยุ่เพียงลำพัง และหลังจากนั้นจนกระทั่งปิดภาคเรียนจบม.ศ3 อัจฉราก็ไม่ยอมพูดกับผมอีกเลย แม้ผมจะพยายามไปดักคุยทำความเข้าใจกับเธอ แต่เธอก็ไม่สนทนาด้วย พอขึ้นม.ศ4 เธอก็ย้ายไปเรียนที่อื่น ทิ้งความเข้าใจผิดไว้เบื้องหลัง ทิ้งความรู้สึกดีๆที่ผมมีกับเธอไว้ด้วยความเข้าใจผิดกัน

ส่วนตัวผมนั้นตัดสินใจไม่ไปสอนหนังสือให้กับแจงอีก และดูเหมือนกับเธอก็ไม่ได้อนาทรร้อนใจแต่อย่างใด พอปลายภาคผมก็เห็นเธอควงหนุ่มคนใหม่ เป็นเพื่อนกันกับผมอยู่ห้องเดียวกันเสียด้วยครับ

ตอนที่ 5

ภายหลังจากที่เกิดเรื่องกับยัยแจงเด็กแสบ จนเป็นผลให้อัจฉรารักแรกของผมผิดใจกัน จนเธอเลิกคบ เลิกคุยกับผมไปจนกระทั่งเธอย้ายโรงเรียนหนี ผมก็ไม่ได้ใส่ใจใครอีก คงเป็นความรู้สึกที่เข็ดหลาบขยาดผู้หญิงอยู่ลึกๆในใจ ผมจึงมุมานะในการเรียนกลับกลายเป็นหนอนหนังสือตัวจริงเสียงจริงอีกครั้ง โดยมีจุดมุ่งหวังที่จะพยายามสอบเข้าไปเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยให้ได้

ผมไม่ได้ตั้งความหวังเหมือนเด็กรุ่นเดียวกันทั่วๆไปในสมัยนั้นหรอกครับ ว่าขอให้เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยใดก็ได้สักแห่ง ซึ่งก็น่าจะเป็นความภาคภูมิใจแล้ว แต่สำหรับผมกลับมุ่งหวังที่จะเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยเกษตร โดยเฉพาะคณะประมง ซึ่งผมก็ตอบตนเองไม่ได้เช่นกันว่าทำไมในครั้งกระโน้นจึงได้มีความคิดเช่นนี้ แต่อนิจาแม้จะทุ่มเทแรงกายแรงใจไปมากขนาดไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วผมกลับไม่มีโอกาศได้เฉียดไปใกล้ความหวังของผมเลยแม้สักนิด เหตุที่เป็นเช่นนั้นแล้วผมจะค่อยๆลำดับเรื่องราวให้ฟัง

เมื่อใจตนเองมุ่งหวังไว้เช่นนี้แต่แรก อย่างที่บอกแต่แรกไปแล้ว ตัวผมมาจากครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน มีคุณแม่เพียงคนเดียว ซึ่งท่านก็มีอายุย่างเข้าวัยกลางคนไปแล้ว ผมเห็นท่านทำงานอย่างหนัก แทบจะเรียกได้ว่าตลอดทั้งวัน ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวเลี้ยงดูให้การศึกษากับตัวผม ผมก็ไม่ได้นั่งดูดาย พยามยามช่วยเหลือท่านทุกอย่าง เมื่อตัดสินใจไม่ไปสอนหนังสือให้ยัยแจงเด็กแสบแล้ว ผมก็จำเป็นต้องหางานพิเศษทำเท่าที่อายุ และความสามารถอันน้อยนิดจะพึงทำได้ เพื่อแบ่งเบาภาระของทางบ้าน

ผมเริ่มจากการไปสมัครงานเป็นเด็กเสริฟตามสถานบริการคาเฟ่ แต่ไปมาหลายที่แม้จะได้งานแต่ผมก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากช่วงเวลาที่ทำงานมันไม่เหมาะสมกับการเรียนของผม สุดท้ายผมเลยได้เป็นแค่พนักงานล้างจานตามร้านอาหารเล็กๆจำพวกร้านข้าวมันไก่ ร้านข้าวหมูแดง เพียงเท่านั้น ซึ่งไปทำงานทุกเย็นหลังเลิกเรียนจนถึง4ทุ่ม รวมทั้งวันเสาร์และอาทิตย์ตลอดทั้งวัน

แม้จะได้เงินเดือนมาน้อยนิดเพียงแค่ไม่ถึง500ร้อยบาทต่อเดือน แต่เงินจำนวนนี้กลับมีค่ามหาศาลในความรู้สึกของผมในครั้งกระนั้น เพราะมันเป็นค่าอาหารกลางวันได้ตลอดทั้งเดือน รวมทั้งค่าอุปกรณ์การศึกษาต่างๆของผมด้วย เมื่อเลิกงานล้างถ้วยจานจากร้านข้าวมันไก่ในทุกคืน ผมก็จะหิ้วข้าวมันไก่ที่เจ้าของร้านขายไม่หมดกลับมาทานกับแม่ที่บ้านในทุกคืน เป็นเช่นนี้ประจำ จนกระทั่งผมเรียนจบม.ศ.4 ช่วงปิดเทอมใหญ่ถึง3เดือน ผมคิดว่าการทำงานล้างถ้วยจานอยู่ที่ร้านข้าวมันไก่แบบนี้ ผมคงไม่สามารถหาเงินเก็บได้มากพอสำหรับปีการศึกษาใหม่ ผมจึงลองไปสมัครเป็นกระเป๋ารถเมล์สาย42 ซึ่งมีอู่อยู่ไม่ไกลจากที่บ้านผมนัก โชคดีของผมที่เจ้าของอู่ใจดียอมให้งานนี้กับผม แม้จะไม่มีเงินเดือนเฉกเช่นพนักงานประจำของเขา ผมได้เพียงเบี้ยเลี้ยงในวันที่ไปทำงาน กับเปอร์เซ็นต์ร้อยละ3จากงานขายตั๋ว

แต่เมื่อมาคำนวณดูแล้วในแต่ละวันผมสามารถทำงานได้เงินเกือบร้อยบาท ผมจึงไม่รอช้าที่จะทำงานนี้ แม้ว่ามันจะเสี่ยงกับอันตรายจากรถลาบ้างก็ตาม ที่กระเป๋าเก็บเงินค่าโดยสารจำต้องกระโดดขึ้นรถจากประตูด้านหน้าบ้างเพื่อไปประตูด้านหลังเพื่อเก็บเงินค่าโดยสารได้ทั่วถึง มิหนำซ้ำบางคราวก็โดนเด็กนักเรียนช่างกลที่เกเรพยายามเบี้ยวไม่ยอมจ่ายเงิน แม้ว่าค่าโดยสารรถเมล์ในสมัยนั้นจะเก็บเพียง75สตางค์ก็ตาม

"เห้ย!..ไอ้ชาย..มึงขี่ช้างเป็นมั๊ยวะ..." จู่ๆพนักงานรุ่นพี่ซึ่งเป็นพนักงานเก็บเงินค่าโดยสารประจำในรถคันเดียวกันกับผม ก็ถามขึ้นมาหลังจากรถจอดรอคิวกันอยู่ที่อู่จอดพักรถ

"พี่เบิ้ม..ผมคนกรุงเทพนะครับ...เกิดมายังไม่เคยขี่ช้างสักตัว..."

ผมตอบกลับไปด้วยความงุนงง พูดซื่อๆ เพราะเข้าใจว่าขี่ช้างนี้คือช้างตัวเป็นๆตัวใหญ่ๆมีงวงมีงา แต่พอตอบกลับไปแล้วก็โดนรุ่นพี่ตบกระโหลกหยอกๆดังเพลี๊ยะ แล้วหัวเราะงอหาย

"ไอ้ควายเอ๊ย..ขี่ช้างนี่ไม่ได้หมายถึงช้างโว๊ย..มันหมายถึง..."

จากนั้นพี่เบิ้ลมันก็ก้มหน้าลงมากระซิบที่หูของผม จึงทำให้ผมเข้าใจความหมายได้ว่า ขี่ช้างนั้นมันคือการทุจริตต่อหน้าที่ โดยเก็บเงินค่าโดยสารมาจากคนขึ้นรถ แต่เราไม่ได้ฉีกตั๋วให้เขา เงินจำนวนนั้นมันก็จะเข้ากระเป๋าเราทันที แม้ว่าจะน้อยนิดเพียงแค่75สตางค์ก็ตาม แต่ถ้าวันๆหนึ่งทำเช่นนี้สักร้อยครั้ง มันก็กลายเป็นจำนวนเงินที่มากโขทีเดียว ดีกว่ากินเปอร์เซ็นต์ร้อยละ3 หลายเท่า

"ไม่ละพี่..แบบนี้มันทุจริตนี่ครับ..เดี๋ยวนายตรวจจับได้...จะถูกไล่ออก.." ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธทันทีที่เข้าใจความหมาย ที่ถูกไอ้พี่เบิ้มชักชวนให้ร่วมกันกระทำ

"เออตามใจมึง กูบอกหนทางดีๆให้ เสือกโง่ไม่ทำก็เรื่องของมึง แต่อย่ามาขวางทางกูแล้วกัน"

ไอ้พี่เบิ้มมันพูดขึงขัง น้ำเสียงข่มขู่ผมกลายๆ ผมจึงได้แต่เงียบ แม้จะรุ้สึกว่ากำลังโดนไอ้พี่เบิ้มมันเอาเปรียบก็ตาม เพราะทุกบาททุกสตางค์ที่มันขี่ช้างนั้น มันหมายถึงยอดเงินการขายตั๋วของรถคันที่เรารับผิดชอบร่วมกันจะน้อยลงไปด้วยก็ตาม

แต่แล้วการกระทุจริตต่อหน้าที่ก็ได้รับผลกรรมตอบแทนเข้าให้ในวันหนึ่งที่โดนนายตวรจจับได้ โดยมีผู้โดยสารเป็นพยานยืนยันว่าได้เสียค่ารถแล้ว แต่พนักงานเก็บค่าโดยสารนั้นไม่ยอมฉีกตั๋ว แม้ว่าในรถจะมีพนักงานเก็บค่าโดยสารสองคนคือผมกับไอ้พี่เบิ้มก็ตาม แต่ผู้โดยสารยืนนันหนักแน่นว่าจำได้ว่าเป็นไอ้พี่เบิ้ม เพราะมันแต่งขุดพนักงาน ส่วนผมนั้นแต่งชุดนักเรียน เป็นอันว่าไอ้พี่เบิ้มถูกพักงานไป จึงเหลือผมเพียงลำพังในการเก็บค่าโดยสาร ซึ่งย่อมเป็นผลดีกับตัวผม เพราะไม่ต้องโดนแบ่งเปอร์เซ็นต์ที่ได้รับ แม้ว่ามันจะแลกกับความเหน็ดเหนื่อยที่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวก็ตาม

สุดท้ายผมก็ทำงานเป็นพนักงานเก็บเงินค่าโดยสารจนกระทั่งเปิดเทอม มีเงินเก็บหลายพันบาทสามารถซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ๆ รองเท้าใหม่ๆ ให้กับตนเองได้โดยไม่ต้องรบกวนเงินจากคุณแม่เลยแม้สักบาทเดียว[/post]

Phanukorn Janthawongtha

สนุกดีน่ะครับ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงตอน 18+ แต่ก้เขียนมาได้น่าติดตามมากๆคับ

luckman


johnywalker


jubjub00


knight18

นึกว่าน้องแจงจะโดนบะระฮึ่มซะแล้ว ขอไปรอลุ้นต่อตอนหน้าต่อนะคร๊าบบ

Momentaz8

ขอบคุณมากครับ อ่านไปลุ้นไปจริงๆครับ เป็นกำลังใจให้ครับ

samrong

ปกติกระเป๋านอกจากค่าแรงแล้ว จะได้%จากค่าตั๋ว ร้อยละสี่บาทนะครับ  เจ้าของอู่กำไรเลย


aeadza

เข้าสุภาษิตที่ว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน จริงๆนะครับ

nobunaga


ChatchaiRu

น้องแจงแสบจริง รึหลงรักพี่ชายส่ะแล้วน้อ พี่ชายก็ใจเด็ดจริงๆน่าติดตามๆ

Sorapong Juntarapreeda



suteeboonmark

เรื่องนี้น่าติดตามมากที่สุดเรื่องหนึ่ง การเดินเรื่องดีมาก อ่านสนุก ชอบมาก..