ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ร้อยรักวัยสวาท ภาคแรก ตอนที่ 8-9

เริ่มโดย suckzeed, กุมภาพันธ์ 09, 2016, 08:41:22 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

suckzeed

"แล้วมึงพาน้องกันเขามาขึ้นรถเมล์ได้ไงวะ..."

ผมแอบกระซิบถามไอ้เอกในช่วงที่ยัยกันตาโต มัวแต่มองดูหนังสือการ์ตูนที่วางขายในแผงลอยทางเดินลงท่าน้ำ แต่แทนที่ไอ้เอกเพื่อนของผมมันจะเฉลยคำตอบมันกลับหัวเราะหึๆ วางท่าน่ากวนตีน

"เอาไว้กูจะเล่าให้ฟัง...เรื่องมันยาวว่ะ..ต้องใช้ความสามารถพิเศษอย่างกูเท่านั้นถึงทำได้..."

คำตอบของมันกลับวกวน จนผู้ไม่รุ้ว่าไอ้ความสามารถพิเศษของไอ้เอกนั้นมันคืออะไร แล้วก็เหมือนจะเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ เพราะจนกระทั่งผมออกจากโรงเรียน จากเพื่อนๆไป ผมก็ลืมไปเลยว่าเคยถามอะไรไอ้เอกมันไว้

"เห้ยไอ้เอก...เรือมาแล้ว ไวไว..สิมึง.."

เสียงตะโกนโหวกเหวกจากโป๊ะท่าเรือจากไอ้เชิดดังขัดขึ้นมาเสียก่อน ไอ้เอกเพื่อนผมเลยเดินต้อนยัยกันตาโต ลงไปรอเรื่อที่กำลังเข้ามาเทียบท่า ผมได้แต่มองเบื้องหลังของเพื่อนๆ พร้อมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในใจไม่เคยคิดอิจฉาในความโชคดีของเพื่อนๆเลยที่ได้พากันไปเที่ยว ที่ได้มีสาวๆควงกัน

หลังจากวันนั้นอีกสักเดือนเห็นจะได้ที่ผมบังเอิญได้เจอยัยเด็กกันอีกครั้ง และได้พูดคุยกับหล่อน แม้จะเป็นช่วงสั้นๆก็ตามที เป็นเพราะในวันนั้นช่วงเวลาก่อนเพลเห็นจะได้ ขณะที่ผมได้ขึ้นเป็นพนักงานเก็บค่าโดยสารที่รถเมล์สาย42 ซึ่งทีท่ารถปลายทางอยู่ที่ท่าน้ำศิริราช และต้นทางเสาชิงช้า ช่วงเวลาก่อน11โมงเช้านั้น ไม่ใช่เวลาเร่งด่วนแล้ว รถเลยใช้เวลารอคิวคันละ15นาทีก่อนที่จะออกจากท่าจอดเสาชิงช้า

ท่าจอดรถเมล์สาย42นั้นอยู่ด้านข้างของวัดสุทัศน์ ใกล้ๆโรงเรียนพาณิชย์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ขณะที่รถคันที่ผมเป็นพนักงานเก็บค่าโดยสารกำลังรอคิววิ่งอยู่นั้น สายตาผมก็แลเห็นรถเบนซ์สีงาช้างคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดยังที่จอดรถที่ทางกทม.ทำไว้ให้กับวัดสุทัศน์ อยู่บริเวณสวนหย่อมเกาะกลางถนน ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่ค่อยมีรถผ่านไปผ่านมานัก

แม้ผมจะรุ้สึกคุ้นตากับสีรถและของประดับตกแต่งที่ตัวรถเบ็นซ์ แต่ผมก็ไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นรถที่บ้านของยัยเด็กกันตาโต จนกระทั่งชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงที่เปิดประตูด้านคนขับลงมา แล้ววิ่งมาเปิดประตูด้านหลังให้บุคคลในรถลงมานั่นแหละ ผมถึงจำได้ว่าเขาเป็นคนเดียวกับที่ขับรถมารับมาส่งยัยกันทุกเช้าและเย็นที่โรงเรียน

เพียงครู่เดียวพ่อแม่และยัยกันเด็กสาวตาโตคนนั้นก็ก้าวลงมาจากรถ จังหวะนั้นบังเอิญที่เธอหันมามองทางผมที่นั่งพักอยู่บนรถเมล์พอ
ดี ในระยะที่ห่างกันร่วมสิบเมตร แค่ถนนสายเล็กๆที่คั่นกลางเท่านั้น ผมเห็นเธอส่งยิ้มมาให้เมื่อสายตาของเราทั้งสองประสานกัน
แต่เพียงแค่แว๊บเดียวยัยกันก็ขมวดคิ้วมุ่นทำหน้าเหมือนเจ็บปวด ก่อนจะเอามือกุมท้องน้อยไว้ ผมเห็นหญิงวัยกลางคนแต่งตัวสวยด้วยเสื้อผ้าราคาแพง พร้อมเครื่องประดับหรูหราสวยงามอันแสดงถึงฐานะของหล่อน เอียงหน้าไปถามยัยกันเสียงเบาๆ ยัยกันก็พยักหน้าหงึกหงัก แล้วเอียงปากไปกระซิบอะไรกับมารดาเบาๆ หล่อนพยักหน้าเหมือนเข้าใจความหมาย จากนั้นก็พาสามีพ่อของยัยกันเดินไปทางประตูเข้าวัด ทิ้งให้ยัยกันกับคนขับรถอยู่เพียงลำพังแค่สองคน

เมื่อร่างของบุพการีทั้งสองของยัยกัน หายลับเข้าประตูวัดไปแล้วเพียงครู่ ยัยกันก็ร้องสั่งคนขับรถของหล่อนเบาๆ ที่ผมไม่ได้ยินถนัดนัก เห็นเพียงเขาค้อมหัวพร้อมพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะเดินจากไป ผมมองตามเห็นว่าเขาเดินไปทางร้านขายน้ำที่อยู่ห่างออกไปสักห้าสิบเมตร ยัยกันก็ส่งยิ้มมาให้ผมอีกครั้งพร้อมส่งเสียงเรียกผมเบาๆ

"พี่ชาย..จำหนูได้มั๊ยคะ..."

ยัยกันพูดพร้อมขยับขาก้าวเดินข้ามถนนเข้ามายังรถเมล์ที่จอดอยู่ แล้วเงยหน้าขึ้นมองจ้องหน้าผมนิ่ง หล่อนคงไม่แน่ใจจึงยิงคำถามนี้ออกมา เพราะสีหน้าของผมนั้นที่ดูน่างุนงงสงสัย หล่อนคงเข้าใจว่าผมจำไม่ได้ แต่ไม่ใช่เลย แม้วันเวลาที่ผ่านไป ผมจะพบยัยกันจริงๆจังๆแค่สองครั้ง คือครั้งแรกที่ไอ้เอกมันดึงผมไปพบยัยกันที่คิวขายขนมปัง กับครั้งล่าสุดบนรถเมล์ ที่หล่อนกับไอ้เอกไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กัน

แต่ผมก็ยังจะได้ถึงวงหน้าเรียวขาวที่เกลี้ยงเกลา คิ้วโก่งดำขลับกับดวงตาสุกใสคู่สวย จมูกเป็นสันโด่งรับกับปากสีสดเต็มอิ่มโดยไม่ต้องแต่งแต้มสีสรร พร้อมกับเสียงพูดกรุ๊งกริ๊งหงุงหงิงกังวาลที่ไม่เหมือนใคร

"จำได้สิครับ..." ผมตอบเบาๆ พร้อมบีบอุ้งมือจับกระบอกเก็บเงินแน่นอย่างไม่รู้สึกตัว

"ดีจังที่บังเอิญเจอพี่.." ยัยกันเงยหน้าพูดกับผมด้วยเสียงกรุ๊งกริ๊งๆของหล่อน สองมือจับกระโปรงยาวพริ้วไปมา ใบหน้าเริ่มแดงขึ้นคงเพราะความร้อนจากไอแดดของหน้าร้อน

"ครับดี..ที่ได้เจอน้องเช่นกัน...มาทำบุญกันหรือครับ..."

ครั้งนั้นผมยังรู้สึกแปลกใจตนเองเลยว่าทำไมเวลาเจอหน้ายัยเด็กคนนี้จังๆทีไร ผมช่างเหมือนคนสติเลื่อนลอยพร้อมใจเต้นระส่ำ เวลาพูดจาก็ดูติดๆขัดๆ โดยไม่ทราบเหตุผล

"ค่ะ..กันมากับคุณพ่อคุณแม่ มาถวายสังฆทานให้หลวงลุงค่ะ..."

เสียงกรุ๊งกริ๊งๆของยัยกันดังแจ้วๆ อีกยืดยาว แต่ดูเหมือนว่าผมจะจับใจความได้เพียงสั้นๆเท่านี้ ลูงคนขับรถก็เดินกลับมา ในมือถือถุงน้ำแดงติดมาด้วย เขายื่นส่งให้กับยัยกันด้วยทีท่าพินอบพิเทา พร้อมกับเงยหน้ามองจ้องผมเขม็งด้วยทีท่าไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นัก คงคิดอยุ่ในใจว่าผมนั้นเป็นใคร ถึงได้แอบมาคุยกับลูกสาวเจ้านายกระมัง

"พี่ที่โรงเรียนเดียวกันค่ะลุงชิด.."

น้องกันก็คงทราบว่าลุงชิดกำลังมองผมด้วยความแปลกใจ จึงรีบบอกเสียงเบาๆ ลุงชิดพยักหน้าหงึกๆ เหมือนเข้าใจ ก่อนจะจ้องมองหน้าผมอีกครั้ง ผมรีบยกมือไหว้สวัสดีทำความรู้จัก แม้ลุงชิดจะเป็นเพียงคนขับรถ แต่เขาก็อาวุโสกว่าผมเยอะ แม่ผมสอนผมเสมอว่าการไหว้ผู้อาวุโกกว่าไม่ว่าเขาจะอยู่ในฐานะใด ย่อมดีแก่ตัวเองเสมอ เหมือนจะเป็นผล เพราะลุงชิดแกยิ้มตอบสีหน้าแววตาค่อยดูเป็นมิตรขึ้น แล้วเดินผละไปยืนอยู่ข้างรถเบ็นซ์คันงาม

 "ทำไมพี่ชายต้องมาทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์ด้วยคะ..." เสียงกรุ๊งกริ๊งของยัยกันถามขึ้นมา จนผมต้องชะโงกหน้าผ่านหน้าต่างรถมามองหล่อน พร้อมยิ้มให้อย่างอ่อนโยนโดยไม่ตอบคำถามไปทันที

"แล้วทำไมน้องกันไม่เข้าไปทำบุญกับคุณพ่อคุณแม่เล่าครับ.."

"อ่อ...เผอิญมะกี้กันปวดท้องน่ะค่ะ..แต่ตอนนี้หายแล้ว" ยัยกันตอบยิ้มๆ แก้มเริ่มแดงขึ้นคงเพราะร้อนจากอุณหภูมิของไอแดด จนผมแลเห็นเม็ดเหงื่อเล็กๆไหลลงมาแถวจอนผม

"น้องกันเข้าไปยืนที่ร่มๆเถอะครับ ตรงนี้มันร้อนตากแดด..."

ผมร้องเตือนเบาๆ ยัยกันก็ยังไม่ยอมขยับตัว จนผมต้องร้องเตือนเป็นครั้งที่สองยัยกันตาโตจึงขยับเดินถอยไปยืนใต้ร่มไม้ที่ปลูกประดับไว้ข้างๆรถของเธอ พร้อมกวักมือเรียกให้ผมลงไปหา ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเลยว่าหล่อนต้องการให้ผมลงไปหา ไปคุยเรื่องอันใดกันอีก ทั้งๆที่ความจริงแล้ว เราแทบจะไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ

"พี่ชายคะ...ลงมานี่หน่อยค่ะ.."

ยัยกันตาโตร้องบอกพร้อมกวักมือเรียกผมหยอยๆให้ลงจากรถเมล์มาหาหล่อน แม้ผมจะไม่ค่อยยินดีนักที่จะทำตาม แต่ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วลงจากรถเมล์ไปหาหล่อน เพราะเกรงว่าขืนปล่อยให้หล่อนร้องเรียกซ้ำอีก ผู้คนคงแปลกใจและสนใจที่จะมองดู ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกอายมากกว่าสถานนะที่เป็นพนักงานเก็บค่าโดยสารประจำรถด้วยซ้ำ

เมื่อผมเดินลงยืนต่อหน้าหล่อน ยังไม่ทันได้พูดอะไรกันเลยสักคำ พ่อกับแม่ของยัยกันตาโต ก็พากันเดินออกมาจากประตูวัด เขาทั้งสองรีบก้าวเดินข้ามถนนเล็กๆตรงมายังรถเบ็นซ์คันงามของตนเองทันที ที่เห็นมีเด็กนักเรียนชายนุ่งกางเกงสีกากีขาสั้นยืนอยู่เบื้องหน้าของลูกสาวคนสวยของตนเอง

"พี่ชายคะ..นี่คุณพ่อคุณแม่ของกัน..."

ยัยกันตาโตรีบแนะนำด้วยสุ้มเสียงกรุ๊งกริ๊ง อันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองทันที แม้ว่าผมจะมาจากครอบครัวที่ฐานะยากจน แต่เรื่องมารยาทแบบนี้ก็ได้รับการสั่งสอนมาจากผู้เป็นแม่อย่างดี ผมจึงรีบกระพุ้มมือไหว้ท่านทั้งสองอย่างนอบน้อม พร้อมกับพยายามทำตัวให้
รีบเล็ก

"พ่อคะ..แม่คะ..นี่พี่ชาย พี่นักเรียนที่โรงเรียนเดียวกันกับหนูกันค่ะ..."

ยัยกันตาโตรีบแนะนำตัวผมให้พ่อแม่ของหล่อนรู้จักทันที ผมเหลือบสายตาขึ้นมองในใจคิดว่าคงได้รับการต้อนรับรู้จักอย่างหมางเมินตามวิสัยของคนร่ำรวยกว่าที่มักจะทำเช่นนี้เสมอ แต่ผิดคาด พ่อแม่ของน้องกันส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ไม่มีทีท่ารังเกียจแม้สักนิด

"อืม..แล้วหลานชายมาทำอะไรแถวนี้นี่.."

พ่อน้องกันเป้นฝ่ายสอบถามผมขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ดูหนักแน่นจริงจังตามวิสัยของบุรุษที่ผมคาดเดาว่าคงเป็นทหารหรือไม่ก็ตำรวจ เพราะจากบุคคลิคที่ฉายแววลักษณะผู้นำออกมาชัดเจน ต่างจากผู้เป็นแม่ที่เพียงแต่ยิ้มเย็นๆ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ต่างไปจากลูกสาวเลยแม้สักนิด

"เอ้อ..ผมมาทำงานพิเศษช่วงปิดเทอม เป็นกระเป๋ารถเมล์เก็บเงินค่าโดยสารที่รถเมล์สายนี้ครับ..."

ผมตอบพร้อมชี้มือไปยังรถเมล์ ด้วยความรู้สึกแสนธรรมดาและจริงใจไม่ได้รู้สึกถึงความอับอายที่ต้องมาทำงานหารายได้แม้สักนิด ผู้เป็นพ่อแม่ของยัยกันมองตามมือของผมด้วยความสนใจพร้อมผุดรอยยิ้มที่ริมฝีปากของทั้งคู่

"ขยันจริงนะหลานชาย...รุ้จักช่วยทางบ้านทำมาหากิน" ผมได้ยินเสียงชื่นชมจากปากของพ่อยัยกัน ก็รู้สึกหัวใจพองโตด้วยความอิ่มเอมใจ ทีทั้งสองท่านหาได้รังเกียจแม้แต่น้อย

"ผมต้องไปทำงานก่อนนะครับ สวัสดีครับ..."

แต่ผมจำต้องรีบกล่าวลาพร้อมยกมือไหว้อีกครั้ง ทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลาที่รถจะวิ่งออกจากท่า ด้วยความรุ้สึกที่ว่า จะมาเสนอหน้าอยู่เพื่ออะไร เมื่อผมเดินจากมาก็ไม่ได้หันหลังกลับไปมองอีกเลยว่า พ่อแม่ของยัยกันจะพูด หรือรู้สึกเช่นไรในเหตุการณ์ครั้งนี้

ตอนที่ 9

[post]เหลือเวลาอีกเพียงเดือนเดียว โรงเรียนก็จะเปิดเทอมแล้ว ผมขึ้นเรียนชั้นมศ.5 อันเป็นชั้นเรียนปีสุดท้ายแล้วก่อนที่จะเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย อย่างที่บอกว่าผมตั้งความหวังไว้ที่มหาวิทยาลัยเกษตร จึงมุ่งแต่เรื่องการเรียน ส่วนเรื่องผู้หญิงหรือเรื่องอื่นๆนั้น ผมไม่ได้ใส่ใจสนใจใครเลยสักคน แม้แต่ยัยกันตาโตที่มีทีท่าแสดงออกว่าเธอสนใจผมมากกว่าการเป็นรุ่นพี่ในโรงเรียนก็ตาม

แต่ก็ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า ตั้งแต่เรียนมาจากชั้นมศ.1 จนกระทั่งถึงปีสุดท้ายในโรงเรียนแห่งนี้แล้ว ผมไม่เคยพบเคยเจอเด็กสาวคนไหนจะสวยน่ารัก อัธยาศัยดีเท่ากับยัยกันเด็กตาโตคนนี้เลย แม้แต่อัจฉราที่ผมเคยสนใจ หล่อนก็ยังไม่สวยไม่น่ารักเท่ายัยกัน

แต่นั่นมันก็เป็นเพียงความรุ้สึกลึกๆเล็กๆทีค้างอยู่เพียงในใจของผมเท่านั้น เพราะความรู้สึกใหญ่ที่มันขวางกั้นตัวผมไว้ ก็คือการเจียมตัวที่ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาในครอบครัวที่ยากจน ไอ้หน้าตารูปร่าง หรือสติปัญญาที่เรียนดีของผมนั้น มันคงไม่สามารถเข้ามาชดเชยได้นักหรอก ผมโตขึ้นมาอีกสองปี ไม่ใช่เด็กมอต้นที่เคยมีคนรักเคยมีความหวังกับเรื่องหวานๆ แต่บัดนี้ผมรู้สึกว่าตนเองโตขึ้นแล้ว เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นคงเพราะการได้ออกไปหางานพิเศษทำในช่วงปิดเทอม ผมจึงมีมุมมองรอบตัวที่รอบครอบขึ้น คงไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนฐานะอย่างผมจะสะเออะไปปลูกดอกรักกับยัยกันลูกคุณหนูคนนั้น

เมื่อคิดและตัดสินใจได้ดังนั้นพอช่วงเปิดเทอมมา ผมก็เอาแต่ทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนเพียงอย่างเดียว ประกอบกับช่วงเวลาเดือนสิงหาคมของทุกปี จะมีการสอบเทียบของบุคคลภายนอกหรือพูดง่ายๆก็คือพวกนักศึกษาผู้ใหญ่ ที่ไม่มีเวลาเรียนในโรงเรียนแบบพวกเรา ทางกระทรวงจัดให้มีการสอบวัดผลเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนสิงหาคม ผมเลยมุมานะในการอ่านหนังสือเพื่อหวังเข้าสอบเทียบบ้าง เพราะถ้าสอบผ่านก็เท่ากับผมได้ประกาศนียบัตรจบชั้นมอปลายไปได้เลย โดยไม่ต้องคร่ำเคร่งอ่านหนังสือเพื่อสอบไฟนอลเหมือนพวกนักเรียนทั่วๆไปอีกแล้ว

ผมจึงมักแอบหลบเพื่อนๆไปอ่านหนังสือตำราเรียนในห้องสมุดของโรงเรียนเสมอในช่วงเวลากลางวัน หรือช่วงเวลาเรียนที่เผอิญครุประจำในวิชานั้นๆติดธุระไม่ได้เข้าสอนผมก็จะแอบออกไปอ่านหนังสือตามลำพังตามซุ้มม้านั่งบ้าง โคนต้นไม้บ้าง เพราะอยู่ในห้องที่ไม่มีครูมาสอนคงอ่านหนังสือไม่ได้เป็นแน่ เพราะเพื่อนๆมันเอาแต่เล่นเอาแต่คุยส่งเสียงดังรบกวนสมาธิของผม

มีวันหนึ่งในวิชาภาษาไทยที่คุณครูป่วยไม่ได้มาสอน แล้วก็ไม่มีครูมาสอนแทน ผมก็จัดแจงหอบหนังสือออกไปหามุมสงบอ่านแบบเช่นเคย จำได้ว่าเป็นที่ซุ้มม้านั่งใต้ต้นหางนกยูงสีแดง ไม่ไกลจากตึกเรียนเท่าใดนักที่ผมแอบไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ตามลำพังคนเดียวนั้น

"พี่ชาย...มานั่งทำอะไรคนเดียวที่นี่คะ..."

เสียงกรุ๊งกริ๊งทักมาที่ด้านหลัง จนผมสะดุ้งเพราะกำลังอ่านหนังสือเพลินๆอย่างตั้งใจ แม้ผมไม่ได้หันไปมองก็รุ้ว่าจะเป็นใครไปไม่ได้ที่มีกังวารเสียงกรุ๊งกริ๊งแบบนี้ นอกเสียจากยัยเด็กกันตาโตคนนั้น

"อ่ะ..น้องกัน..ไม่เรียนหรือครับ.."

ผมเหลี๋ยวหน้าไปด้านหลังร้องทักตามมารยาท ยัยกันก็เดินมาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้า ในมือมีสมุดวาดเขียนเล่มโตกับดินสอสี่บีถืออยู่ หลายเดือนที่ผมไม่ได้เจอหล่อน ดูว่ายัยกันจะตัวสูงขึ้นตัวโตขึ้นจนเป็นสาว แต่วงหน้ายังเรียวขาวเกลี้ยงเกลาเฉกเช่นเดิม ไม่มีเม็ดสิวแต่งแต้มเหมือนเด็กสาวๆทั่วไปในวัยเดียวกัน

"เรียนค่ะพี่ชาย..วิชาวาดเขียน คุณครูเลยปล่อยออกมาให้หาภาพเพื่อสะเก็ตนอกห้อง..แล้วพี่ชายล่ะคะ..ไม่เรียนหรือ" ยัยกันพูดพร้อมกับค่อยทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามผม วางสมุดวาดเขียนเล่มโตให้ดูตรงหน้า ว่าหล่อนกำลังวาดวิวต้นไม้ข้างตึกเรียนค้างอยู่

"เรียนสิ..แต่ชั่วโมงนี้ครูภาษาไทยป่วย พี่เลยแอบมานั่งอ่านหนังสือข้างนอก.."

"พี่ชายขยันจัง..แต่อีกตั้งนานนี่คะกว่าจะสอบกลางภาค...ทำไมรีบอ่านเล่าคะ..." ยัยกันขยับปากเรียวๆพูดเสียงกรุ๊งกริ๊งๆหวานๆ พร้อมขยับพลิกหน้ากระดาษวาดเขียนเปลี่ยนใหม่

"อ่าว..ไม่วาดภาพเดิมต่อล่ะครับ..." ผมถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นหล่อนเริ่มสะเก็ตวาดภาพด้วยดินเสาแรงเงาเป็นวงกลมแทน

"กันเปลี่ยนใจแล้วค่ะ..ขออนุญาตวาดภาพพี่ชายแทนได้มั๊ยคะ.." ผมตกใจที่ได้ยินคำตอบ และแม้ว่ายังไม่ทันตกลง มือเล็กๆขาวๆข้อนิ้วเรียวยาวของยัยกันก็เริ่มวาดโครงร่างลงไปในกระดาษสีขาวอย่างคล่องแคล่ว เหมือนคนที่ชำนาญในการวาดภาพเหมือน

"พี่ชายอ่านหนังสือต่อสิคะ..กันไม่รบกวนหรอก..."

ยัยเด็กกันพูดพร้อมจ้องหน้าจ้องตาของผมเขม็งด้วยแววตาที่สุกใสเป็นประกาย พร้อมรอยยิ้มเล็กๆตรงมุมปาก เมื่อบอกให้ผมอ่านหนังสือต่อไปโดยที่หล่อนจะไม่รบกวน แต่ผมกลับไม่มีสมาธิที่จะอ่าน แม้ตาจะมองตัวหนังสือแต่ใบหน้าขาวๆเกลี้ยงเกลา ของยัยกันกับแทรกเข้ามาจนต้องปิดหนังสือไว้นิ่งๆ แล้วมองมือเรียวนิ้วยาวๆของยัยกันวาดเส้นภาพโครงหน้าของผมอย่างรวดเร็ว

"น้องกันเป็นยังไงบ้างล่ะ...." จู่ๆ ผมก็โพล่งถามขึ้นมาจนยัยกันชะงักมือที่กำลังวาด พร้อมเงยหน้ามองสบตาผมแป๋ว

"อะไรคือยังไงคะพี่ชาย.." ยัยกันอมยิ้มย้อนถามด้วยไม่ทราบว่าผมจะถามเรื่องอะไร

"เอ่อ...ก็..ความสัมพันธ์ของน้องกับเพื่อนพี่ แล้วก็กลุ่มน้องแจงน่ะครับ..."

ผมไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมผมถึงได้อยากรู้เรื่องเหล่านี้ จนถามยัยเด็กกันออกไป แต่เมื่อหลุดปากออกไปแล้วก็ทำได้แต่นิ่งรอฟังคำตอบจากปากหล่อน

"อ้อ...ก็ไม่มีอะไรนี่คะ..พี่ๆเขาก็สนุกไร้สาระไปวันๆ...กันคบเอาไว้เป็นเพื่อนคุยสนุกๆเท่านั้นแหละค่ะ..ไม่ได้ชอบอะไรเท่าไหร่.."

คำตอบของยัยกันทำให้ผมต้องเพ่งมองหน้าหล่อนด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เด็กตัวแค่นี้อายุเท่านี้กลับสามารถแยกแยะความสัมพันธ์กับคนรอบตัวได้ดีขนาดนี้เชียวหรือ

"มันเป็นยังไงหรือครับ สนุกไร้สาระไปวันๆที่น้องกันบอกน่ะ..."

"อ้อ..ก็วันๆเอาแต่คุยเรื่องเที่ยวที่โน่นที่นี่ ห้างโน้นห้างนี้เปิดใหม่ไปมาหรือยัง หนังเรื่องอะไรสนุกไปดูมาแล้วหรือยัง..แบบนี้แหละค่ะที่กันบอกว่าสนุกๆไร้สาระไปวันๆ..."

ถ้าเป็นคนอื่นพูด ในข้อความนี้ผมก็คงคิดว่าเขากำลังตำหนิการกระทำของเพื่อนๆ ผม แต่เมื่อมันออกมาจากปากเรียวๆบางๆ ด้วยสุ้ม
เสียงกรุ๊งกริ๊งหวานๆนั้น มันกลับไม่ทำให้ผมรู้สึกเลยว่ายัยกันกำลังก้าวร้าวตำหนิรุ่นพี่

"วัยรุ่นก็แบบนี้แหละน้องกัน ชีวิตวัยเรียน วัยเที่ยวเรียนรู้ประสพการณ์..ใครๆเขาก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น.."

"ไม่จริงหรอกค่ะ..พี่ชายยังไม่เห็นเป็นแบบเพื่อนๆ ปิดเทอมก็ทำงานหาเงิน เวลาว่างก็อ่านหนังสือเรียน..แบบนี้แหละที่กันชอบ..."

ท้ายเสียงของยัยกันที่พูดออกมาทำให้ผมสะดุ้ง เพราะเธอไม่ได้พูดเฉยๆ แต่แก้มกลับแดงระเรื่อเป็นสีชมพู พร้อมก้มหน้าหลุบตาลงต่ำ ดูเหมือนช่วงเวลานั้นมันเงียบลงไปชั่วขณะ ทุกอย่างหยุดชะงัก ทั้งมือที่กำลังวาดเส้นลายแรงเงาลงบนกระดาษสีขาว ทั้งหัวใจของผมที่
ดูเหมือนกับว่ามันกำลังหยุดเต้นไปชั่วขณะ จนสักครุ่ผมก็เปล่งเสียงหัวเราะแปร่งๆออกมาเพื่อทำลายบรรยากาศที่แสนอึดอัดนั้น

"ที่พี่ไม่เหมือนเพื่อนๆ เพราะฐานะพี่ยากจนต่างหากครับ55555...เลยต้องทำงานหาเงินเก็บไว้เรียน ความจริงแล้วในใจพี่ลึกๆก็ไม่ต่างจากเพื่อน อยากเที่ยวบ้าง อยากดูหนังบ้างเหมือนกัน..." ผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้เสแสร้งพูดให้ตนเองดูดีเลย เพราะความจริงในวัยขณะนั้นของผม ผมก็อยากจะทำแบบที่เพื่อนๆมันทำกัน[/post]

johnywalker

ตัดฉาก 18+ ออกแล้ว เอาไปส่งสำนักพิมพ์เถอะครับ ทำเป็นนิยายดี ๆ ได้เลย

jubjub00


happyman2554



aeadza

น้องชอบก็ชอบได้นะครับแต่ทางบ้านจะรับได้ไหมแค่นั้นแหละ

ChatchaiRu

น้องกันมีเหตุผลที่จะชอบใคร และในเหตุผลนั้น น้องดูมีความสุขจริงๆ

suteeboonmark


panther


devilzoa

น้องกันนี่มีความคิดที่โตกว่าวัยเยอะเลย

leopoldi

มีหวังขึ้นมาอีกแล้ว ขอให้สมหวังนะ อย่าเอาแต่เรียนมาก 55

non5432112345


เฉลิมพล พรมจันทร์