ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ร้อยรักวัยสวาท ภาคแรก ตอนที่ 10-11

เริ่มโดย suckzeed, กุมภาพันธ์ 11, 2016, 03:19:17 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

suckzeed

ตอนที่ 10

เวลาที่ผมรู้สึกว่ามีความสุข มันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหมดชั่วโมงวาดเขียนของยัยเด็กกัน และชั่วโมงภาษาไทยของผม ผมจึง
รีบลุกขึ้นจากโต๊ะนั่ง ทั้งๆที่ยัยกันยังไม่ทันวาดรูปผมเสร็จ

"หมดเวลาแล้ว..พี่ต้องไปก่อนนะครับ..." ผมพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน ยัยกันรีบเก็บดินสอใส่กล่อง พร้อมพับสมุดวาดเขียนที่ยังเขียนรูปค้างอยู่เข้าที

"ค่ะพี่..ชาย...กันวาดเสร็จแล้วจะเอาไปให้พี่ดูคนแรกเลยนะคะ..." ยัยกันพุดพร้อมเก็บข้าวของสิ่งต่างๆเข้าที แล้วลุกขึ้นยืนเช่นกัน

"อ่ะ..แล้วน้องกันจะวาดต่อได้ไงล่ะครับ  พี่คงไม่ได้มีเวลามาเป็นแบบให้แล้ว..." ผมถามด้วยความสงสัย แต่คำตอบจากปากเรียวบางเล้กๆนั้น กลับทำให้ใจผมพองโตขึ้นมาได้อย่างประหลาด

"กันจำหน้าพี่ชายได้ จนวาดโดยไม่มีแบบก็ได้ค่ะ..."

ร่างของเจ้าของเสียงกรุ๊งกริ๊งหวานๆ แม้เดินจากไปแล้ว แต่กระแสเสียงมันยังดังซ้ำๆอยู่ในหัวของผม แม้กระทั่งผมเดินกลับเข้าห้อง
เรียนแล้วก็ตาม...กันจำหน้าพี่ชายได้ จนวาดโดยไม่มีแบบก็ได้ค่ะ...

หลังจากวันนั้น วันที่ยัยกันตาโต มาทำให้หัวใจของผมพองขยาย ผมก็พยายามที่จะหลีกหนีไม่อยากเจอหน้าหล่อนอีก แม้ขณะที่กำลังอ่านหนังสือเรียน เพื่อเตรียมตัวเข้าสอบ ใบหน้าหวานๆขาวๆเกลี้ยงเกลา ก็ยังลอยเข้ามารบกวนสมาธิการอ่านหนังสือของผมได้บ่อยๆ จนผมต้องท่องคาถากันใจตัวเองบ่อยๆ เวลาไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ..เจียมตัว...ๆๆๆๆ

แล้วความโชคดีและโชคร้ายก็เข้ามาเยือนผมในระยะเวลาไม่ห่างกันเลย ผมโชคดีที่สอบได้ ทั้งๆที่ยังเรียนไม่จบมศ.5 ในภาคเรียนปรกติ ซึ่งเท่ากับผมมีวุฒิการศึกษาไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้แล้ว แม้จะไม่เข้าเรียนในโรงเรียนก็ตาม แต่โชคร้ายกลับเป็น
เรื่องร้ายที่ทำให้ชีวิตผมพลิกผันจากความตั้งใจ อย่างที่เกริ่นในตอนแรกที่ว่าผมไม่มีโอกาศ ได้สอบเอ็นทรานซ์เพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ตนเองตั้งเข็มเอาไว้

เรื่องนั้นก็คือมารดาของผมประสพอุบัติเหตุ ในขณะที่ทำงานจนพิการเป็นอัมพาธ ผมขอข้ามเรื่องสะเทือนใจในช่วงนี้ไปนะครับ ไม่
อยากเขียนเล่าให้ฟังว่าเรื่องมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ผลที่ผมได้รับนั้น ทำให้ต้องเบนเข็มชีวิตใหม่ในเรื่องการเรียน ผมนอนคิดอยู่หลายคืน จนตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน เพื่อมีเวลาหางานทำเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว สมัยนั้นยังไม่มีโครงการประกันสังคม แม่ผมจึงไม่ได้รับการช่วยเหลืออันใดมากมาย นัก เพียงแค่ค่ารักษาพยาบาลที่นายจ้างออกให้ พร้อมกับเงินเยียวยาอีกเล็กน้อย ชีวิตคนจนๆ
คนหนึ่งก็จบลง ง่ายๆแค่นั้นเองครับ

ผมลาออกจากโรงเรียนอย่างเงียบๆ เพื่อไปทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์อีกครั้ง โดยฝากร่างพิการของแม่ ให้ป้าข้างบ้านช่วยดูแลในช่วงที่ผมออกไปทำงาน แต่การทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์ในสมัยนั้น มันทำตั้งแต่เช้ามืด กว่าจะกลับเข้าบ้านอีกครั้ง ก็เที่ยงคืนไปแล้ว แรกๆป้าข้างบ้านก็ใจดีดูแลแม่ผมให้ แต่ครั้นนานๆเข้าผมก็เกรงใจ ที่ตนเองไม่มีเวลาด้วยตัวเอง ครั้งนี้ผมเลยทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์ได้เพียงช่วงสั้นๆ ก็หางานใหม่ทำ

ผมยังคงจำได้ดี ไม่มีวันลืมถึงวันสุดท้ายที่ผมไปลาออกจากโรงเรียน แม้จะได้รับการคัดค้านจากอาจารย์ประจำชั้นและอาจารย์ใหญ่อย่างไรก้ตาม แต่ผมก็ยังยืนยัน พร้อมให้เหตุผลที่จำเป็นที่ต้องมาลาออกด้วยตนเองโดยไม่มีมารดาหรือผู้ปกครองมาจัดการให้ สุดท้ายอาจารย์ใหญ่ก็จะยอมให้ผมลาออกกลางคันโดยดี

"สมชาย..เธอเป็นเด็กดี...รักษามันไว้นะ..สักวันครูเชื่อว่ากรรมดีที่เธอกระทำ จะสนองตอบให้เป็นคนดีมีอนาคตที่ดีได้ในอนาคต" เป็นคำอวยพรสุดท้ายที่อาจารย์ใหญ่มอบให้ หลังจากที่ผมก้มลงกราบแทบเท้า

หลังจากที่เดินออกมาจากห้องอาจารย์ใหญ่แล้ว ผมก็ไม่คิดจะเข้าไปบอกลาเพื่อนๆในห้อง แต่คิดว่าเรื่องนี้คุณครูประจำชั้นคงไปบอกข่าวให้เพื่อนๆทราบกันแล้ว  และก็เป็นจริงเช่นนั้น เมื่อพบเพื่อนๆทั้งห้องยืนออกันอยู่ตรงบรรไดทางเดิน

"ไอ้ชาย..ทำไมต้องลาออกด้วยวะ..." ภาพมันเบลอจนผมจำไม่ได้หรอกว่าใครบ้างที่เป็นคนถามประโยคนี้ซ้ำ ผมไม่ได้บอกเหตุผลที่
แท้จริงให้เพื่อนๆทราบ บอกเพียงแต่ว่ามันเป็นความจำเป็น เพื่อนที่สนิทมากบางคนตรงเข้ามาสวมกอดลาบ้าง จับไม้จับมือลาบ้าง บางคนที่ใจอ่อนหน่อยถึงกับมีน้ำตาซึมที่หางตา บางคนก็อวยพรว่าเราจะต้องได้เจอกันในรั้วมหาวิทยาลัย สุดท้ายผมก็ได้ร่ำลาเพื่อนๆทุกคนจนคิดว่าครบหมดแล้ว

ขณะที่กำลังหันตัวกลับเพื่อจะเดินออกไปจากตัวตึกเรียน เบื่องหน้าของผมก็เจอร่างเพรียวสุงๆบางๆ ของเด็กมอต้นยืนขวางอยู่ ใบหน้าขาวๆเกลี้ยงเกลานั้นแสนคุ้นตา ยิ่งน้ำเสียงกรุ๊งกริ๊งๆหวานๆนั้น แม้หลับตาผมก็ยังจำได้ดีว่าเป็นเด็กชื่อกันนั่นเอง

"พี่ชาย...จะลาออกจริงๆหรือคะ..." เสียงกรุ๊งกริ๊งหวานๆที่ผมเคยได้ยินจากริมฝีปากเรียวบางเสมอมานั้น กลับสั่นสะท้านเหมือนคนที่กำลังตกใจ เสียใจ

"ครับ.." ผมตอบได้เพียงสั้น ๆ เพราะไม่สามารถบังคับน้ำเสียงตนเองที่มันสั่นไหวได้เช่นกัน

"พี่ชายรอกันแป๊บนึงได้มั๊ยคะ...กันมีของมาให้..."

[post]เด็กสาวยื่นมือเรียวเล็กฉวยจับข้อมือผมเขย่าพร้อมส่งสายตาอ้อนวอนร้องขอ ผมไม่อยากให้เธอทำท่าทางที่ดูเปิดเผยความรู้สึกเช่นนี้ออกมาเลย เพราะเบื้องหลังของผมยังคงมีเพื่อนๆในห้องกลุ่มใหญ่ยืนมองอยู่ และหนึ่งในนั้นก็น่าจะมีไอ้เอกรวมอยู่ด้วย ผมรีบพยักหน้าตอบตกลง น้องกันก็หันกลับวิ่งไปยังห้องเรียนของเธอทันที

สักครู่ก็มีมือเอื้อมมาแตะที่ไหลผมเบาๆ ผมหันกลับไปมอง คาดการณ์ว่าคงเป็นไอ้เอกเพื่อนผมเป็นแน่ แล้วก็ใช่จริงๆ มันคงมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว ผมยอมรับว่าไม่กล้ามองสบตามันเลย ผมเหมือนคนทำผิด เพราะรู้ๆอยู่ว่ามันรู้สึกอย่างไรกับน้องกัน

"กูเข้าใจเพื่อน...คนดีๆอย่างมึง สมควรแล้วที่น้องกันจะแอบชอบ..."

มันพูดสั้นๆ แต่ข้อความนั้นมันกินใจผมไปอีกนานแสนนาน สักครุ่น้องกันก็วิ่งกลับมาหาอย่างรีบร้อน ในมือของเธอมีม้วนกระดาษวาดเขียนสีขาวถืออยู่ เธอเดินตรงมายื่นใส่มือของผม

"กันวาดเสร็จหลายวันแล้วค่ะ..แต่ไม่เห็นพี่ชายมาโรงเรียน เลยยังไม่ได้เอามาให้..." แม้ผมไม่ได้คลี่ม้วนออกดู ผมก็รุ้ว่าภาพในกระ
ดาษวาดเขียนแผ่นนั้น มันเป็นภาพอะไร

"ขอบคุณครับ..พี่ไปก่อนนะ..."

ผมบอกน้องกันด้วยเสียงที่แผ่วเบาพริ้วสั่น ก่อนจะหันไปตะโกนบอกเพื่อนๆด้วยประโยคเดียวกันอีกครั้ง แล้วเดินจากเพื่อนกลุ่มนั้นออกไปจากโรงเรียนอย่างรวดเร็ว จนกลับมาถึงบ้าน ผมถึงได้คลี่ม้วนกระดาษวาดเขียนออกดู มันเป็นภาพเหมือนของผมจริงๆ แม้ฝีมือการวาดลายเส้น แม้จะไม่ได้งดงามเหมือนมืออาชีพ แต่ถาพนั้นมันกลับสวยงามในความรู้สึกของผม จนอดยิ้มออกมาไม่ได้ แต่แล้วรอยยิ้มก็หายไปจากใบหน้าของผมแทบจะทันที เมื่อความจริงที่อยู่ในใจเตือนตัวเองอีกครั้งให้เจียมตน..

ผมมองรูปวาดที่คลี่กางอยู่ในมืออีกครั้ง แลเห็นชื่อของคนวาดอยู่มุมล่างด้านขวาของภาพอย่างชัดเจน กันทิมา ตามด้วยนามสกุลและที่อยู่ พร้อมเบอร์โทรศัพท์อย่างชัดเจน แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะจดจำ ม้วนภาพนั้นกลับเข้าที่ตามเดิม แล้ววางมันไว้ในกล่องใส่หนังสือ จากนั้นจำได้ว่าอีกสองสามปีผ่านไป ผมถึงได้หยิบถาพนั้นมาใส่กรอบ แล้วประดับอยู่ที่ฝาผนังบ้านผมจนกระทั่งทุกวันนี้

ตอนที่ 11

ผมทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์อยู่ได้เกือบ6เดือน ก็ต้องลาออก ด้วยเหตุผลสองอย่างคือ ประการแรกผมเกรงใจป้าข้างบ้านที่คอยดูแลช่วยเหลือแม่ผม ยามที่ผมกลับบ้านดึก อีกประการหนึ่งผมได้รับการชักชวนจากคุณลุงท่านหนึ่ง เสนองานใหม่ให้ผม

ความจริงแล้วผมกับคุณลุงท่านนั้นไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย เพียงแค่เห็นหน้ากันบ่อยๆแทบทุกเช้าที่คุณลุงแกขึ้นรถเมล์สาย81 จากท่าน้ำศิริราชต้นทาง จนกระทั่งไปลงที่บางแค อันเป็นจุดหมายปลายทาง แกมักจะนอนงีบหลับบนรถเมล์เสมอๆ ซึ่งบางครั้งผมยังต้องปลุกให้แกตื่นเมื่อถึงตลาดบางแคแล้ว แกก็จะรีบลงจากรถไปขึ้นรถบัสหรือมินิแวนคันเล็กๆ สีน้ำเงินที่จอดรออยู่เพื่อไปยังที่ทำงาน

หลังจากเห็นหน้าเห็นตากันมานาน จนพอพูดคุยทักทายกันได้ ในวันหนึ่งคุณลุงสมศักดิ์ท่านนั้นก็เอ่ยปากพูดคุยเป็นเรื่องราวกับผม ถามรายละเอียดเกี่ยวกับตัวผมทั้งอายุ การศึกษา

"ลุงทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลของบริษัททำข้อต่อน้ำแห่งหนึ่งที่อ้อมน้อย..ตอนนี้บริษัทที่ลุงทำงานกำลังขาดพนักงานตำแหน่งสโตร์..หนุ่มสนใจมั๊ยล่ะ...มีเงินเดือน มีสวัสดิการที่น่าจะดีกว่าเป็นกระป๋ารถเมล์เยอะแยะ..."

"สนใจครับ..แต่เอ้อ..ผมไม่มีประสพการณ์เลยนะครับ ไม่ทราบว่าจะทำได้มั๊ย..." ผมตอบไปตามความจริง

"เห้ย..งานไม่ยากหรอก..ท่าทางหนุ่มฉลาดดี..เรียนรู้สักวันเดียวขี้คร้านจะเป็นงาน..ฮ่าๆๆๆ.."

คุณลุงสมศักดิ์พูดอย่างอารมณ์ดี แล้วนัดแนะให้ผมไปหาท่านที่ทำงานในวันถัดไป ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากเลย การได้งานทำประจำ ที่ไม่ต้องเสี่ยงห้อยโหนแบบกระเป๋ารถเมล์มันย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน อีกทั้งยังมีเวลามาดูแลแม่ได้อีกด้วย[/post]

แล้วมันก็จริงอย่างทึลุงสมศักดิ์ว่างานมันไม่ได้ยากเลย แค่ใช้ความละเอียดรอบคอบเท่านั้นผมก็สามารถทำได้ แม้เงินเดือนที่จะเริ่ม
สตาร์ทจะน้อยกว่าเงินรายได้จากการเป็นกระเป๋ารถเมล์ก็ตาม แต่ก็มีสวัสดิการส่วนอื่นมาชดเชย เช่นมีคลีนิครักษาพยาบาล เจ็บป่วย
ลางานก็ไม่โดนหักเงินเดือน มีค่าโอเวอร์ไทม์ แถมปลายปียังมีเงินโบนัสเสียด้วย

เนื้องานก็ไม่ยุ่งยากอะไรเลยสักนิด อย่างที่บอกว่าแค่ละเอียดรอบคอบ ก็สามารถทำงานตำแหน่งนี้ได้แล้ว สโตร์ที่ผมทำงานอยู่นั้น เป็นสถานที่เก็บอะหลั่ย และวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต แค่มีคนเงินถือใบเบิกที่เซ็นต์โดยหัวหน้างานมายื่นให้ผม ผมก็หยิบสิ่งของนั้นๆส่งให้เขา พอสิ้นวันก็จัดการทำบัญชีรายละเอียดว่าแผนกใดๆเบิกอะไรไปใช้บ้าง แล้วตัดสต็อคว่าสิ่งของเหล่านั้นเหลืออยู่ในสโตร์อีกจำนวนเท่าใด ควรจะสั่งซื้อมาเพิ่มเติมเมื่อใดอย่างไร แค่นั้นเองก็เสร็จ

ผมไม่ทราบว่าในสมัยนั้นมีคอมพิวเตอร์ใช้งานแล้วหรือยัง แต่ที่แน่ๆในหน่วยงานสโตร์ของผมนั้นยังไม่มีใช้ ข้าวของทุกอย่างเลยต้องตัดจากสต็อคการ์ด ซึ่งของบางอย่างก็ใหญ่โตหรือมีจำนวนมากเกินกว่าที่จะเก็บไว้ภายในโกดังสโตร์ อย่างเช่นเศษเหล็กหล่อ ถ่านโค๊ก น้ำมันเตา แก๊สแอล พี จี ซึ่งต้องเก็บอยุ่ด้านนอกโกดัง ผมก็จำเป็นต้องมีหน้าที่ควบคุมดูแล

ผมสนุกอยู่กับงานใหม่นี้ แต่ก็ไม่ทิ้งเรื่องการเรียน ผมไปสมัครลงเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ทว่าน้อยครั้งมากๆ ที่ผมจะเข้าไปนั่งเรียน นั่งฟังอาจารย์บรรยาย แค่อ่านหนังสือ อ่านชีทที่มีวางขาย และถึงเวลาสอบ ก็ลางานเพื่อไปสอบเท่านั้น จนเวลาผ่านไปถึงสามปีอย่างรวดเร็วที่ผมไม่เคยติดต่อเพื่อนๆที่โรงเรียนเก่าเลยแม้สักครั้งเดียว นอกจากไม่เคยติดต่อแล้วผมก็ไม่ส่งข่าวให้เพื่อนๆรู้ว่าผมทำอะไรอยู่ที่ไหน ได้เรียนต่อหรือไม่อย่างไร เรียกว่าผมเสมือนคนหายสาปสูญไปจากเพื่อนๆเลยก็ว่าได้

แต่แล้วเมื่อทำงานย่างเข้าปีที่4 ผมก็ลาออก หลังจากผ่านพิธีงานศพของคุณแม่ไปแล้ว ตอนนั้นผมเสมือนเหลืออยู่ตัวคนเดียวในโลก ไม่มีเพื่อน ไม่มีญาติ เมื่อสิ้นบุญของแม่ ผมจึงลาออกจากงานที่ทำ เพราะคิดว่าเวลา3ปีเต็มๆกับงานสาขานี้ มันน่าจะพอเพียงได้แล้ว ผมมีเงินเก็บพอสมควร ช่วงที่ลาออกจากงานมาเพื่อหางานทำใหม่ ผมจึงไม่ลำบากแต่อย่างใด เวลาผ่านไปไม่นานแค่ไม่ถึงเดือนผมก็ได้งานใหม่ทำที่ดูน่าจะท้าทายชีวิตมากกว่า งานที่ว่านั้นคือเป็นเซลล์ขายเครื่องปรับอากาศ หรือแอร์คอนดิชั่น นั่นเอง

ในสมัยนั้นแอร์แบบสปริทไทร์หรือแบบแยกส่วนคือมีแฟนคอร์ยตัวทำความเย็นอยุ่ในบ้าน ตัวคอนเด็นซิ่งอยู่นอกบ้าน ใช้การเดินท่อน้ำยาเชื่อมกัน ผนังบ้านถูกเจาะเป็นรุกลมๆเล็กๆเพิ่งมีเข้ามาในเมืองไทย แต่ก่อนๆบ้านเรามีแค่แบบเดียวคือเป็นตุ้เหลี่ยมๆ ติดตรงช่องหน้าต่าง หรือไม่ก็เจาะกำแพงเป็นรุปสี่เหลี่ยมกว้างๆ แล้วเอาตู้แอร์ขึ้นไปตั้งวาง พอนานๆเข้าก็จะส่งเสียงดังรบกวน แต่แบบใหม่นั้นค่อนข้างเงียบกว่า จึงเป็นที่นิยม แม้ว่าราคาจะแพงกว่ามากก็ตามที

เมื่อผมเข้าไปสมัครงานใหม่นี้ ก่อนจะได้เริ่มงานก็จำเป็นต้องผ่านการอบรมเสียก่อน ถึงวิธีการขาย วิธีการพูดคุยแก้ปัญหาให้ลูกค้า และเท็คนิคปิดการขาย รวมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าที่เราจะขาย และสินค้าของคุ่แข่ง เรียกว่าติวเข้มกันถึงอาทิตย์เลยจึงจะจบหลักสูตรเพื่อเริ่มงาน

แม้ว่างานใหม่นี้จะมีเงินเดือนน้อยกว่าเก่าก็ตาม แต่สิ่งที่เราหวังนั้นคือคอมมิชชั่น จากการขายต่างหาก ที่ให้สูงพอสมควร ชนิดที่เรียกว่า ถ้าขายเครื่องปรับอากาศได้เพียงเดือนละเครื่องคอมมิชชั่นที่ได้รับนั้น จะมากกว่าเงินเดือนที่ผม เคยได้จากงานการทำงานสโตร์เสียด้วยซ้ำ

แม้ฟังดูเหมือนกับว่ามันเป็นงานง่ายๆ แต่ขอบอกเลยว่าเมื่อ ผมได้สัมผัสจริงๆเข้า มันกลับไม่ง่ายเลย มันต้องใช้ความเพียร ความอดทนอย่างสุง เพราะเครื่องปรับอากศในสมันเมื่อ40ปีที่แล้วมันเป้นสิ่งของฟุ่มเฟือย ต้องรวยจริงๆจึงจะสามารถเป้นเจ้าของได้ ราคาเครื่องในสมัยนั้นก็หาได้ต่างจากปัจจุบัน ห้องนอนขนาด4เมตรคูณ4เมตร ใช้เครื่องปรับอากาศขนาด1ตัน หรือ12000บีทียูก็พอ แต่ราคาเครื่องละ2หมื่นปลายๆนั้น มันมากโข ถ้าเทียบกับรถเก๋งโตโยต้า หรือนิสสันดัทสันป้ายแดง ราคาเพียงแค่2แสนต้นๆเอง เงินเดือนข้าราชการที่จบใหม่ ก็เพียงไม่กี่พันเช่นกัน ฉนั้นกลุ่มเป้าหมายลูกค้าของผม จึงล้วนแล้วแต่เป็นบ้านของคนมีสตางค์ ที่กำลังก่อสร้างใหม่ หรือกำลังปรับปรุงใหม่เท่านั้น

และงานนี้นั่นแหละ คืองานที่ปรับเปลี่ยนชีวิตของผม จากนายสมชายหนอนนักสือ ไม่ประสีประสาในเรื่องผู้หญิง ให้กลายมาเป็นนายสมชายในปัจจุบัน



johnywalker

อ่านไป เห็นการพัฒนาของพระเอกในทางที่ดีแล้ว ผมก็รู้สึกดีตามไปด้วย ขอบคุณนะครับ
ผมว่าทั่นคนแต่งคงอายุพอสมควร50+ นะ ดีใจนะครับที่ได้รู้จักกันตามตัวหนังสือ

swbkk

ชอบที่ท่านบรรยายความเป็นไปของตัวเอกครับ มันอยู่ในยุคที่เจอมาด้วยตัวเอง อ่านแล้วเห็นภาพและคิดถึงวันเก่าๆมาก ข้อมูลแน่นหนามาก.....ขอบอก
ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านกันนะครับ

st23652

หวังว่าพระเอกคงเป็นคนดีนะครับ 55

เเต่งได้ดีครับ

knight18

อานแล้วนึกถึงชีวิตในวัยเด็กๆเลยครับ
ขอบคุณครับ ที่เสียเวลาอันน้อยนิดมาขีดๆเขียนๆแต่งให้อ่านครับ

samrong

สมัยนั้นคำว่าเครื่องคอมพิวพิวเตอร์ จะได้ยินจากหนังซะส่วนมาก โดยเฉพาะหนังต่างประเทศ ซึ่งนานๆ จะมีปรากฏ ส่วนแอร์แบบแยกคอมเพรสเชอร์ น่าจะมีแล้วนะครับ ถ้าเรื่องนี้เกิดสักปี 17-18 มีแน่นอนครับ ผมเห็นกับตา

tobie


aeadza

ความเป็นมาของสมชายแกร่งจริงๆครับสู้ชีวิตดีมาก ถ้าเป็นเราจะเทียบได้ไหมน้า

ChatchaiRu

ืมีอุปสรรคต่างๆมาทดสอบตลอด แต่พระเอกเรากัดฟันสู้ไม่ถอย น่าเป็นตัวอย่างให้เด็กๆสมันนี้

panther


devilzoa

ชีวิตพระเอกโคตรน่าสงสาร  แต่ก็ยังดีที่ไม่ทำตัวเหลวแหลก

เฉลิมพล พรมจันทร์

น้องกันชอบพี่ชายจิงๆด้วยจะคบกันได้มั้ยเนี่ย