ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ร้อยรักวัยสวาท ภาคแรก ตอนที่18-19

เริ่มโดย suckzeed, กุมภาพันธ์ 19, 2016, 12:25:18 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

suckzeed

 

พี่หน่อยในอารมณ์เซ็กซี่





ตอนที่18

"เอ้า..ออกรถสิจ๊ะชาย..มาทำตาหวานๆเชื่อมๆกะพี่แบบนี้..เดี๋ยวพี่ยั้งใจไม่อยู่ จับปล้ำซะเลยนิ..อิอิ..."

พี่หน่อยเย้าแหย่ผมด้วยซุ้มเสียงขำๆ ทำหน้ายั่วแหย่ ยั่วเย้าเสียเหลือเกิน ถ้าผมเป็นคนใจโลเล คงผวาเข้ากอดปล้ำพี่หน่อยก่อนเสียมากกว่า อย่างที่ผมเคยบอกไว้แล้วว่า ผมเคยช่วยลูกพี่พขร. ขับรถเมล์ถอยเข้าเดินหน้าถอยหลังในอู่มาแล้ว คราวนี้พอได้มาเริ่มขับรถเก๋งคันเล็กๆ มันจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผมเลย เมื่อผมออกตัวเคลื่อนรถไปอย่างนิ่มนวล ไม่มีอาการกระตุกดับเลย

พี่หน่อยก็กล่าวชม ผมขับรถไปตามคำสอนเจื้อยแจ้วของพี่หน่อยที่คอยกำกับอยู่ตลอด ให้มองทางไกลๆ บ้างละ ให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาบ้างละ แต่ความเร็วของรถก็เพียงแค่ยีสิบสามสิบกิโลเท่านั้นเอง ขณะที่กำลังขับรถอย่างเพลิเพลินและสนุก จู่ๆ ผมก็ตกใจ หักพวงมาลัยรถแรงๆ จนเอียงวูบก่อนที่พี่หน่อยจะยื่นมือมาช่วยขืนพวงมาลัยรถกลับตั้งตรง

"กฎข้อที่2 ชายต้องจำไว้นะจ๊ะ..เวลาขับรถต้องมีสมาธิห้ามวอกแวก ห้ามตกใจแล้วหักพวงมาลัยหลบ เพราะรถมันจะคว่ำได้ สิ่งที่ต้องทำคือเหยียบเบรค..."

พี่หน่อยสอนยิ้มๆ มือที่เอามาวางใกล้ๆโคนขาของผม ที่เป็นสาเหตุให้ผมตกใจนั้นก็ยังไม่ยกออกไป มิหนำซ้ำยังลูบไปมาเบาๆ จนผมสยิวๆขนลุก

แม้ผมจะรู้สึกอึดอัดที่พี่หน่อยทำเช่นนี้ แต่ผมก็ไม่กล้าปัดมือเธอออก ยังคงปล่อยให้เธอลูบขาผมบ้าง ใช้เล็บคมๆเกาขาบ้าง จนอดไม่ได้ที่ใจจะเต้นระรัวเพราะ อวัยวะบางส่วนมันเริ่มพองตัวขึ้นมาสร้างความอึดอัดให้ผมอีกครั้ง แต่ผมก็ยังตั้งสมาธิคงขับรถต่อไปด้วยความเร็วเท่าเดิม โดยใช้เพียงแค่เกียร์สาม จนพี่หน่อยบอกว่า

"เหยียบคันเร่งให้รถเร็วกว่านี้สักนิดได้แล้วจ๊ะ..แล้วเปลี่ยนมาใช้เกียร์สี่.." ผมทำตาม พร้อมกับพี่หน่อยชักมือกลับไปวางบนเรียวขาเปลือยของเธอตามเดิม ตาจ้องเขม็งไปที่ถนนเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง

ผมทำหน้าที่ขับรถตะบึงไปตามเส้นทางถนนดำ เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตามแต่ที่พี่หน่อยจะบอก จนกระทั่งไปถึงท่าน้ำจังหวัดนนท์ พี่หน่อยก็บอกให้หยุดรถ หาที่จอด จากนั้นก็พาผมเดินควงลงมาจากรถ จนไปยืนชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยกันที่ท่าเรือข้ามฟาก

"แค่วันเดียวขับรถเป็นแล้ว เก่งจริงเลยจ๊ะ.." พี่หน่อยกล่าวชื่นชม พร้อมรอยยิ้มและประกายตาที่มีความสุข

"พี่เป็นครู..ที่เก่งต่างหากครับ..."

ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆจึงบอกเธอไป พี่หน่อยส่งยิ้มด้วยความดีใจกลับ พร้อมเอนหัวลงมาพิงแขนผม แล้วชี้มือไปที่เรือด่วนเจ้าพระยา ที่วิ่งรับผู้โดยสารระหว่างท่าน้ำจังหวัดนนท์ จนถึงถนนตก

"พี่อยากนั่งเรือด่วนจัง อากาศยังไม่ค่อยร้อนแบบนี้น่าสนุกเนอะ..." พี่หน่อยบอกแล้วเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อถามความเห็นจากผม

"เอารถจอดทิ้งไว้แบบนี้ได้มั๊ยล่ะครับ.." ผมสอบถามความเห็นจากพี่หน่อยก่อนที่จะตัดสินใจ

"พี่ว่าน่าจะได้นะ...เรานั่งเรือด่วนเที่ยวกัน ไปสักท่าสองท่า ค่อยนั่งกลับกัน ได้มั๊ยจ๊ะ..."

ผมพยักหน้ายิ้มๆ แม้จะห่วงรถ แต่ก็ไม่อยากขัดใจเธอ พี่หน่อยดีใจจนออกนอกหน้า รีบเดินไปซื้อตั๋วเรือข้ามฟาก เพื่อจะไปนั่งเรือด่วนเที่ยวที่ฝั่งศาลากลางทันที แล้วเราก็นั่งรอกัน จนกระทั่งเรือด่วนเข้าเทียบท่า เราก็พากันเข้าไปเลือกที่นั่งท่ามกลางชาวไทยที่ยังบางตา เพราะส่วนมากเรือเที่ยวนี้ มีชาวต่างประเทศที่ต้องการนั่งชมบรรยากาศสองฝั่งแม่น้ำ พากันมาใช้บริการมากเป็นพิเศษ


ช่วงที่ผมพาพี่หน่อยเดินลงเรือด่วนนั้น พี่หน่อยก็คว้ามือผมไปจับประสานกับมือเธอไว้แน่น เพราะแม้เรือด่วนจะลำใหญ่พอสมควร แต่ก็ยังโครงเครงเวลาที่เราเดินลงไป จากคลื่นของเรือสินค้าลำใหญ่ๆที่วิ่งผ่านไปมา จนมานังกันที่ช่วงกลางลำเรือ เพราะผมไม่อยากนั่งท้ายๆเนื่องจากพี่หน่อยบอกว่าเหม็นกลิ่นควันจากเครื่องยนต์เรือมาก  พอไปถึงที่นั่งพี่หน่อยก็ยังยอมปล่อยมือผม ผมก็ไม่กล้าพอที่จะดึงมือออก ปล่อยมือให้เธอเกาะกุมประสานไว้ ดูไปเหมือนเราสองคนเป็นคู่รักกันประมาณนั้น

สักครู่ชาวต่างประเทศกลุ่มใหญ่ที่ยืนจับกลุ่มกันบนท่าเรือ ก็ค่อยๆทะยอยลงมานั่งรอบๆข้างผมซึ่งเป็นคนไทยคู่เดียวเท่านั้น ดูพวกเขาชื่นชมตื่นเต้นกับบรรยากาศริมสองฝั่งแม่น้ำเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่เรือยังไม่ทันแล่นออกไปจากท่า ผมมองพวกเขาด้วยความชื่นชม ที่แลเห็นสายตาตื่นเต้นจากพวกชาวต่างประเทศพวกนี้ จนแลไปสบตากับสาวน้อยหน้าตกกระเล็กๆ แต่จมูกก็โด่งเป็นสัน มีเส้นผมยาวละเอียดสีบรอนซ์ ผมส่งยิ้มให้ด้วยไมตรี เธอก็ยิ้มตอบ แต่พี่หน่อยกลับจิกตาใส่เธอ คล้ายจะบอกว่า ผู้ชายคนนี้ของชั้นนะยะ..ห้ามยุ่ง เธอเลยทำหน้าเหว๋อๆ แล้วหันไปทางอื่น

ชั่วระยะเวลาไม่นานนักเรือด่วนก็เริ่มแล่นออกจากท่าน้ำนนท์ ทีแรกก็แล่นช้าๆ แต่พอผ่านไปครู่เดียวเรือก็ทำความเร็วขึ้นจนเสียงเครื่องยนต์ดังลั่น พูดกันธรรมดาๆไม่ค่อยได้ยินนัก ช่วงเวลาเกือบ40ปีที่แล้ว น้ำในแม่น้ำเจ้าพรยายังคงสอาด แม้ไม่ได้ใส เป็นเพียงสีน้ำตาลอ่อนๆ แต่ก็ดูสอาด ปราศจากกลิ่น ไม่เหมือนในปัจจุบัเลยสักนิด เวลาเรือด่วนแล่นเร็วๆ ก็จะเกิดฟองคลื่น บางครั้งยังเห็นปลาเล็กปลาน้อย กรธดดเล่นคลื่นที่ สาดกระเซ็นสูงมาจากหัวเรือ ละอองน้ำที่สาดเข้ามาในเรือแม้ว่าจะโดนหน้าโดนตา แต่กลับเย็นชื่นใจนัก

สองฟากฝั่งริมน้ำ ยังคงเต็มไปด้วยบ้านเรือนทรงไทย ที่มีหลังคารูปจั่วสูงๆ กับใต้ถุนโปร่งๆ และเรือกสวนผลไม้ชื่อดังของจังหวัดนนท์ ผมกับพี่หน่อยเพลินชมวิวธรรมชาติสองฟากฝั่ง จนลืมความตั้งใจว่าจะขึ้นเรือไปแค่สองสามท่าแล้วลง เพื่อหาเรือล่องกลับ จนเรือด่วนพาเราผ่านที่ทำการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต และกำลังจะรอดสะพานพระราม6 รถไฟก็แล่นขึ้นมาบนสะพานพอดี ขบวนรถเหล็กหนาทึบ ดูวิ่งเอื่อยๆช้าๆ แต่ก็ให้ความรุ้สึกมั่นคงปลอดภัย จนผมอดเอามาเปรียบเทียบกับชีวิตตนเองไม่ได้ว่า ผมอยากให้ชีวิตนเองเป็นเสมือนรถไฟเหลือเกิน ไม่ต้องวิ่งเร็วนัก ช้าๆเอื่อยๆบ้างก็ได้ แต่ในความเชื่องช้านั้นกลับแฝงด้วยความมั่นคงและปลอดภัย

ดูเหมือนพี่หน่อยจะตื่นเต้นดีใจ ที่ขณะเรือด่วนกำลังแล่นลอดใต้สะพานพระราม6 ในขณะที่ด้านบนสะพาน รถไฟก็กำลังแล่นข้ามสะพานมา เธอชี้ชวนให้ผมดูด้วยท่าทางตื่นเต้น ดวงตาคุ่สวยเป็นประกายเหมือนสาวน้อยคนหนึ่ง ที่เพิ่งเคยพบเห็นของสิ่งนั้นครั้งแรกในชีวิต

"วันนี้ชาย..ทำให้พี่มีความสุขมากเลยรู้มั๊ย..."

พี่หน่อยเอียงปากมาพูดใกล้ๆหูผม เพราะเสียงเครื่องยนต์ของเรือดังมากจนสามารถกลบเสียงพูดคุยธรรมดาๆไปได้หมด ผมได้ยินแล้วยิ้มตอบ ถ้าสิ่งนี้สามารถทำให้พี่หน่อยมีความสุขร่าเริงได้ขนาดนี้ มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ผมจะทำให้เธออีกหลายๆครั้ง

"ขอบใจมากนะจ๊ะ..ชาย..."

พี่หน่อยกระซิบบอกอีกครั้ง แต่คราวนี้ดูเหมือนจังหวะที่ก้มหน้าเอาปากมาใกล้หูผมนั้น จะมีคลื่นซัดใส่เรือพอดี จนเรือเอียงเล็กน้อย ปากพี่หน่อยเลยทิ่มโดนแก้มของผม คล้ายๆกับเธอกำลังแอบจูบผมอย่างนั้นเลย เล่นเอาผมเขินยัยแหม่มสาวคนนั้น ที่แอบลอบเมียงมองอยู่จนหน้าแดง

จุดหมายเดิมที่เราว่าจะลงจากเรือด่วนกลางทาง แล้วรอเรื่อขาล่องกลับไปที่ท่าน้ำนนท์นั้นกลับเปลี่ยนไป ผมเห็นพี่หน่อยดูร่าเริงมีความสุขก็เลยไม่อยากขัดใจเธอ เรือด่วนพาเราสองคนแล่นเข้าเขตุกระเทพ ผ่านลอดใต้สะพานกรุงธนบุรี ผ่านท่าวาสุกรีที่งดงาม ผมยังเห็นอู่เก็บเรือพระที่นั่งจอดเก็บอยู่ในอู่ริ่มน้ำได้อย่างชัดเจน แม้มองผ่านในระยะไกล ๆ ความสวยงามของเรือพระที่นั่ง และเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ทำให้อดชื่นชมเสียไม่ได้ พวกชาวต่างชาติที่แลเห็นเหมือนกัน ต่างยกกล้องมาถ่ายรูปไว้ด้วยสีหน้าที่เอิบสุข เมื่อเขาก็พอทราบว่าเรือสุวรรณหงส์ที่แลเห็นอยู่นั้น เป็นเรือของพระเจ้าแผ่นดินของประเทศนี้

วิวสองฝั่งแม่น้ำเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเข้าเขตกรุงเทพ ฝั่งด้านขวามือผมยังคงเป็นฝั่งธนบุรี บรรยากาศไม่ค่อยแตกต่างกับจังหวัดนนท์ที่เพิ่งผ่านมามากนัก ยังคงแลเห็นบ้านเรือนไทยอยู่เป็นหย่อมๆ สลับกับเรือกสวนผลไม้ แต่ฝั่งซ้ายมือที่เป็นกรุงเทพ กลับมีความเจริญมากกว่า เริ่มมีการก่อสร้างตึกสูงๆ เป็นโรงแรมบ้าง เป็นสถานทีทำงานหรือคอนโดมิเนี่ยมบ้างสลับกันประปราย

จนกระทั่งเรือด่วนแล่นไปสุดเส้นทางที่ถนนตก ผมกับพี่หน่อยก็พากันขึ้นจากเรือ พี่หน่อยเรียกรถตุ๊กๆ ให้พาพวกเราไปกินข้าวขาหมูแถวตรอกซุง ที่ลือชื่อ จนอิ่มหนำเราก็พากันเดินเล่นย่อยอาหารไปจนถึงห้างเซ็นทรัล พี่หน่อยและผมต่างซื่อเสื้อยืดลายเท่ห์ให้แก่กันเป็นของขวัญวันปีใหม่ แล้วพากันไปขึ้นเรือด่วนกลับที่ท่าน้ำสี่พระยา เพื่อกลับไปยังจุดที่ผมจอดรถทิ้งไว้

"ชายรุ้มั๊ยจ๊ะว่า..ปีใหม่ปีนี้พี่มีความสุขเหลือเกิน...ขอบใจนะจ๊ะ ที่มาเที่ยวกับพี่.."

พี่หน่อยกระซิบบอกเสียงหวานๆขณะที่เราทั้งสองคนกำลังยืนรอขึ้นเรือด่วน พร้อมกระชับอุ้งมือบีบประสานมือผมแน่นขึ้น แล้วส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขฉายออกมาจากประกายตาที่สุกใส

ขณะที่ผมกลับมาถึงท่าน้ำนนท์ เวลาก็ย่างเข้าบ่ายสองโมงแล้ว เริ่มมีแม่ค้าทยอยแบกกระจาดบรรจุผลไม้ของพื้นที่มาวางกันตามทางเดินลงท่าเรือ ผลไม้หลากหลายลูกโตๆ ทั้งกระท้อน ทั้งมะม่วง และทุเรียนนอกฤดูกาล ดูน่ากินจนพี่หน่อยต้องฉุดมือผมให้รอ เพราะเธอกำลังก้มลงไปนั่งยองๆที่พื้น เพื่อสอบถามราคาจากแม่ค้าวัยกลางคน

ผมปล่อยให้พี่หน่อยมีเวลาเลือก และต่อรองราคาจนเธอพอใจ เลือกซื้อผลไม้มาได้หลายชนิด ผมก็เข้าไปช่วยถือและเอามาเก็บบนที่นั่งด้านหลัง จากนั้นผมก็ยื่นกุญแจรถให้พี่หน่อยแล้วบอกเธอว่า

"พี่ครับ..ผมอยากกลับไปเยี่ยมโรงเรียนเก่ามากเลยครับ ตั้งแต่จบมา ผมไม่เคยกลับไปเลย..พี่พาผมไปได้มั๊ยครับ.."

พี่หน่อยตอบกลับมาอย่างรวดเร็วว่าได้ แล้วถามถึงสถานที่ตั้ง เมื่อผมบอกว่าอยู่ในซอยเพชรเกษมที่48 พี่หน่อยก็ยิ้มแล้วบอกว่าเธอรุ้จักดี จากนั้นก็ขับรถพาผมกลับที่โรงเรียนเก่าของผมทันที

ตอนที่ 19

พี่หน่อยไม่ได้ขับรถออกไปทางถนนจรัลสนิทวงศ์เลย เธอขับลัดเลาะไปตามถนนเล็กๆ เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยวอย่างชำนาญ เพียงไม่ถึงชั่วโมง ก็พาผมเข้ามาในซอยเพชรเกษม48ได้ โดยเข้ามาทางด้านหลังซอย

พี่หน่อยจอดรถอยู่ที่หน้าโรงเรียนแล้วถามผมว่าจะให้เลี้ยวเข้าไปมั๊ย ผมลังเลครู่หนึ่ง เพราะในเทศกาลวันหยุดปีใหม่แบบนี้ ไม่น่าจะมีคุณครูเป็นแน่ แต่ขณะที่กำลังมองป้ายชื่อโรงเรียนด้วยความคิดถึงเรื่องราวเก่าๆของผมกับสถานศึกษาแห่งนี้ บังเอิญสายตาผมมองผ่านทะลุเข้าไปที่หน้าอาคารฝึกงาน เห็นครูผู้ชายท่านหนึ่งแต่ไกลๆ

ถ้าผมจำไม่ผิด ท่านเคยเป็นครูสอนพละศึกษาให้ตอนที่ผมอยู่มัธยมต้น ผมรู้จักและสนิทกับท่านพอสมควร เพราะผมเป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน

"พี่หน่อยครับ....ขับรถเข้าไปจอดหน้าอาคารนั้นได้มั๊ยครับ..."

ผมชี้มือไปยังอาคารฝึกสอนพวกกิจกรรมงานพละ ที่เป็นอาคารชั้นเดียวหลังใหญ่ๆ ให้พี่หน่อยมองเห็น เธอก็รีบขับรถเข้าไปจอดที่หน้าอาคารทันที ครูประทีปจริงๆด้วยที่ผมเห็นยืนอยู่นั้น หันหน้ามามองรถของผมด้วยความแปลกใจ

"สวัสดีครับ...คุณครู....จำผมได้มั๊ยครับ.." ผมรีบเปิดประตุลงไปพร้อมยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ครูประทีปมองลอดแว่นมา พร้อมทำหน้าเหมือนกำลังนึกอยู่ ว่าเคยรู้จักหรือเห็นผมที่ไหน

"ผม...สมชายไงครับ." ผมบอกชื่อไปอีกครั้งเพื่อเตือนความทรงจำของครูประทีป

"อ้อ..จำได้แล้ว...เราเองหรือนี่..ว๊าว...โตเป็นหนุ่มแล้ว..สูงใหญ่จนครูจำไม่ได้เลย..." ครูประทีปพูดพร้อมเดินเข้ามาโอบไหล่ผมกอดเขย่าๆ ด้วยความยินดี พี่หน่อยจึงค่อยเปิดประตูลงมาจากรถ แล้วสวัสดีทำควมรู้จักกับครูประทีปด้วย

"สวัสดีครับ..." ครูประทีปยกมือไหว้กลับ

"แฟนเอ็งหรือวะสมชาย..สำมะคัญจริงๆ..สวยซะด้วย...ฮ่าๆๆๆ.." ครูประทีบรีบกระซิบถามหลังจากมองหน้าพี่หน่อยอย่าง พิจารณา ผมจะตอบอยุ่แล้วว่า ไม่ใช่ เราเป็นเพียงเพื่อนกัน แต่พี่หน่อยชิงพูดเสียก่อน

"ค่ะ..." เธอพูดหน้าตาเฉย พร้อมเอียงตัวมาจนไหล่เราสองคนแนบติดกัน คล้ายเราสองคนเป็นคนรักกันจริงๆตามนั้น ผมเลยเงียบพูดไม่ออก

"ชายคุยกับครูไปก่อนนะคะ..หน่อยขอเดินไปดูต้นไม้ด้านโน้นก่อน...สวนหย่อมนี่น่ารักจัง..."

พี่หน่อยพูดยิ้มๆ หน้างี้บานเป็นจานเชิงด้วยความดีใจ แล้วเดินไปดูต้นไม้ดอกสวยๆที่จัดเป็นสวนหย่อมคั่นระหว่างอาคารฝึกสอนหลังแรกกับหลังที่สอง ครุประทีปพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบกับผมเกือบครึ่งชั่วโมง การสนทนาความหลังกันเลยจบ

"เออนี่...ถ้าสมชายอยากเจอเพื่อนๆศิษย์เก่า มางานราตรีเดือนเพ็ญสิ...ครูรับรองว่าได้เจอเกือบครบแน่..."

ครูประทีปพูดกับผม ทำให้ผมแปลกใจว่า บัดนี้ทางโรงเรียนได้จัดงานราตรีเดือนเพ็ญ เพื่อให้ศิษย์เก่าที่จบออกไปแล้ว มาพบปะสังสรรค์กันด้วยหรือ ผมจำได้ว่าตอนที่ผมยังเรียนอยู่ ไม่เคยมีงานแบบนี้

"เป็นงานแบบไหนครับครู..แล้วงานมีเมื่อไหร่ครับ..." ผมรีบสอบถามด้วยความสนใจ

"เสาร์ที่สองของเดือนนี้แหละ..ตรงกับวันเด็กไงล่ะ..เหมือนงานกาลาดินเนอร์ทั่วไปนั่นแหละ...แต่จัดที่สนามของโรงเรียน มีวงคนตรี..มีการแสดงของศิษย์ปัจจุบัน...สมชายมาสิ..." ครูประทีบอกคร่าวๆอย่างรวดเร็ว

"แบบนี้ก็ต้องมีการจำหน่ายบัตรใช่มั๊ยครับ...แล้วผมจะซื้อบัตรได้จากครูท่านไหนได้ครับ..."

"ครูสุกัญญา..เขาเป็นแม่งาน ดำเนินเรื่องนี้..สมชายติดต่อได้เลย...ไวไวนะ..ครูไม่รู้เหมือนกันว่าบัตรจำหน่ายไปหมดหรือยัง..."

เมื่อผมได้ความกระจ่างในเรื่องนี้แล้ว จึงคุยต่อกับครูประทีปอีกพักหนึ่ง จึงขอตัวลากลับ หันไปมองทางสวนหย่อมเพื่อบอกพี่หน่อย แต่กลับเป็นเธอมายืนอยู่ข้างหลังผมตอนไหนแล้วก็ไม่ทราบ

"ชายไปงานนี้สิคะ..จะได้เจอพวกเพื่อนๆ..แล้วไม่แน่นะชายอาจได้เจอน้องกันทิมาก็ได้..."

หลังจากพี่หน่อยขับรถออกมาจากโรงเรียนผม จนเข้าสุ่ถนนเพชรเกษม พี่หน่อยก็พูดขึ้นมา ผมหันหน้าไปมองเธอด้วยความแปลกใจ ที่เสียงพูดของพี่หน่อยนั้นดูตื่นเต้นกว่าผมเสียอีก และโดยเฉพาะตรงที่พี่หน่อยพูดถึงน้องกัน มันดูเป็นเรื่องธรรมดามากๆ จนผมไม่ทราบเลยว่าพี่หน่อยคิดอะไรอยู่

"ครับ..เอาไว้เปิดงานก่อน..ผมค่อยมาติดต่อซื้อบัตรจากครูสุกัญญา..." ผมรู้จักคุณครูท่านนี้ดี เพราะบังเอิญเหลือเกินว่า ท่านเป็นคุณครูประจำชั้นของผมเองตอนที่เรียน มศ.5

"แล้วชาย..จะมาคนเดียวหรือคะ..." พี่หน่อยถามเรียบๆ ไม่แม้แต่จะหันหน้ามาสนทนากับผม

"เอ้อ.." ผมรู้สึกอึดอัด ถ้าจะบอกว่าอยากมาคนเดียว

"แล้วคืนนั้น...พี่หน่อยว่างมั๊ยล่ะครับ..." ผมเลยเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ ในใจหวังให้พี่หน่อยตอบว่าไม่ว่าง

"น่าจะว่างนะ..ตรงกับคืนวันเสาร์แบบนี้ พี่ไม่มีธุระไปไหนหรอก..ชายถามนี่..จะชวนพี่มาด้วยหรือคะ..." คราวนี้น้ำเสียงของพี่หน่อยดูตื่นเต้น รีบตอบมาอย่างรวดเร็ว

"เอ้อ..ครับ..ถ้าพี่ว่าง มาด้วยกันก็ได้ ..ผมจะได้ซื้อบัตรเผื่อ..." ผมจำเป็นต้องออกปากชวนให้พี่หน่อยมาด้วย ไม่รู้สึกเหมือนโดนพี่หน่อยบีบบังคับก็จริง แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ออกว่าอยากมาคนเดียว

"ตายจริง..ชวนคนแก่มาด้วย..ไม่อายเพื่อนๆหรือคะ..ว่าพาผู้ปกครองมา..." พี่หน่อยพูดแหย่ด้วยเสียงขำๆร่าเริงเหมือนดีใจที่ผมออกปากชวนเธอมาด้วย

"ไม่หรอกครับ...งั้นผมซื้อบัตรเข้างานเผื่อพี่ด้วยแล้วกัน..." แม้ผมจะรุ้สึกเซ็งๆ แต่ก็ไม่แสดงออกไปทั้งน้ำเสียงและสีหน้า ยังคงเป็นปรกติ

วันนั้นพี่หน่อยพาผมกลับไปที่ห้องพัก แล้วอยู่จนกระทั่งค่ำ ทานข้าวเย็นกันเสร็จแล้ว ผมก็ให้พี่หน่อยขับรถผมกลับไปบ้าน รุ่งขึ้นเธอก็มาสอนผมอีกครั้ง พอวันถัดมา ราชการเปิดทำการปรกติ พี่หน่อยพาผมไปสอบใบขับขี่ ผมสามารถทำข้อเขียนและข้อปฏิบัติการขับรถ ผ่านขั้นตอนต่างๆ ได้เรียบร้อย จนผมได้ใบขับขี่ใบแรกเป็นของตนเองด้วยความรู้สึกที่ภาคภูมิดีใจยิ่งนัก เมื่อผมได้ใบขับขี่แล้ว พี่หน่อยก็ปล่อยให้ผมขับรถจากสนามสอบใบขับขี่ จนมาถึงที่พักผม

"พี่กลับก่อนนะจ๊ะ..." สองวันที่ผ่านมานี้ พี่หน่อยไม่ได้มีทีท่าเย้ายั่วแหย่ผมอีกเลย เธอทำเหมือนว่า เธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมเลย จนผมแปลกใจเล็กน้อย

"แล้วพี่จะกลับไงล่ะครับ..." ผมรีบถาม เพราะพี่หน่อยไม่ได้เอากุญแจรถผมไปถืออย่างที่เคยเป็น

"ยังไม่มืดเลย..พี่กลับแท็กซี่ได้จ๊ะ..." พี่หน่อยพูดเรียบๆ แล้วทำท่าจะเดินไปเรียกแท็กซี่จริงๆ ผมเลยเอื้อมมือไปคว้าข้อมือเธอไว้ก่อน

"ให้ผมขับรถไปส่งพี่ดีกว่าครับ..." ผมร้องบอก พอพี่หน่อยได้ยิน เธอก็หันกลับมายิ้มอย่างดีใจ แล้วเปิดประตุเข้าไปนั่งด้านข้างคนขับทันที

พี่หน่อยบอกเส้นทางหลักให้ผมขับไป ผมจึงเพิ่งรู้ว่าเธอนั้นพักอยู่ฝั่งธนบุรีเช่นเดียวกับผม เมื่อผมขับรถไปตามเส้นทางหลัก ก่อนจะถึงท่าน้ำดินแดง พี่หน่อยก็ให้ผมเลี้ยวรถเข้าไปในซอยข้างหน้า แล้วขับเข้าไปเกือบ200เมตร จึงเห้นตึกคอนโดขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านขวางสายตา ผมเลี้ยวรถเข้าไปจอดตามที่พี่หน่อยบอกข้างๆรถบีเอ็มสีดำป้ายแดงคันหนึ่ง พี่หน่อยจึงเปิดประตุรถผมลงมา

"รถพี่สวยมั๊ยจ๊ะ..." พี่หน่อยเดินเข้าไปใช้มือแตะเบาๆบนหลังคารถบีเอ็มป้ายแดงคันนั้นแล้วบอก ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าพี่หน่อยเปลี่ยนรรถใหม่ เคยเห็นแต่เธอขับโตโยต้าเท่านั้นเอง

"สวยครับ..พี่เพิ่งเปลี่ยนรถหรือครับ..." ผมตอบไปตามความรุ้สึกที่แท้จริง รถบีเอ็มแบบคูเป้มีแค่สองประตุสีดำเป็นเงาสะท้อนแดดยามเย็น มันช่างสวยงามมากในความรู้สึกของผม

"อยากลองขับมั๊ยจ๊ะ..ขับรอบๆที่จอดรถนี้ก็ได้.." พี่หน่อยร้องถามพร้อมล้วงมือลงไปในกระเป๋าถือของเธอ หยิบกุญแจรถออกมา เตรียมจะยื่นยัดใส่มือผม

"ไม่ละครับ..ผมกลัวทำรถพี่เสียหาย..ไม่มีปัญญาใช้แน่ ฮ่าๆๆ..." ผมรีบตอบปฎิเสธยิ้มๆขำๆ พี่หน่อยก็ยิ้มตอบขำตอบ

"ขึ้นไปห้องพักพี่ก่อนมั๊ยจ๊ะ..." พี่หน่อยเปลี่ยนเรื่องพูดจนผมไม่ทันตั้งตัว ปากก็ไวรีบตอบครับไปทันที ทั้งๆที่ใจยังไม่ทันคิดเลยว่า ควรหรือไม่ควร

[post]ผมไม่รู้ว่าภายในห้องพักของพี่หน่อยจะอยู่กับใครบ้าง ถ้าเธอไม่ได้อยุ่คนเดียวล่ะ อยู่กับพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่.ผมเกรงว่าไม่รุ้จะวางตัวอย่างไรดี และถ้าบังเอิญไม่ใช่ญาติ แต่เป็นสามีของพี่หน่อยด้วยล่ะ..ผมเกรงว่าเขาคงไม่อยากต้อนรับเด็กหนุ่มหน้าตาดีๆแบบผม ให้เดินขึ้นไปส่งเมียสาวสวยของเขาบนห้องพักอย่างแน่นนอน

ผมก็ได้แค่ติด แต่เท้ากลับเดินตามพี่หน่อยเข้าไปในลิฟท์ เห็นเธอกดชั้นหมายเลขบนสุด แล้วลิฟท์ก็ค่อยๆปิดประตุ แล้วพาเราสองคนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ผมไม่กล้าสอบถามว่าพี่หน่อยพักอยู่คนเดียวหรือกับใคร แต่เชื่อว่าภายในไม่กี่นาทีข้างหน้า ผมต้องรู้ได้ด้วยสองตาของตัวเองอย่างแน่นอน

"เป็นอะไรจ๊ะชาย..ดูเกร็งๆกลัวๆ....."

แล้วพี่หน่อยก็สังเกตุเห็นอาการของผม ที่เป็นจริงอย่างที่พี่หน่อยพูด แม้ผมจะปฏิเสธว่าป่าครับ แต่ดูเหมือนพี่หน่อยจะไม่เชื่อ เธอเหลือบตามองรอดแว่นกันแดดมาที่หน้าผม แล้วอมยิ้มขันๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรจนกระทั่งลิฟท์ พาผมขึ้นไปสุ่ชั้นบนสุดของตัวตึก

"พี่อยู่คนเดียวจ๊ะ..." พี่หน่อยพูดยิ้มๆ ขณะที่เดินผ่านประตุห้องอื่นๆ

"เดี่ยวจะพาชายมาฆ่าหมกตึกดีมั๊ย..อิอิ"พี่หน่อยแม้จะหัวเราะขำๆตรงท้ายประโยค แต่เธอก็แสร้งทำเสียงจริงจังขู่ผม
แล้วหยุดยืนอยู่หน้าประตุห้องหมายเลข2415[/post]

johnywalker

 ::Thinking:: ปูเรื่องยาว ๆ นี่ก็ดีไปอีกแบบนะครับ ค่อย ๆ หาเวลาว่างอ่านไปเรื่อย ๆ สนุกดี

st23652

หน่อยเหมือนจะมีแผน หรือเราคืดไปเอง

aeadza

กลัวไปได้เป็นผู้ชายกล้าๆไว้ครับอะไรจะเกิดก็ปล่อยไป

paradrop

จัดเลยกลัวอะไรชวนขึ้นห้องขนาดนั้น

PEE WAII


leopoldi

จะรอดมั้ยเนี่ย วืดมาหลายตอนแล้ว อิอิ

suteeboonmark

สนุกมาก...อ่านเพลินดี...บรรยายพี่หน่อยได้ดีมาก  ทำให้เราจินตนาการ ท่าทางอัปกิริยาเธอตามได้เลย...รวมทั้งรอยยิ้มเธออย่างมีความสุขด้วย..สุดยอด ...อ้อเกือบลืมแล้ว..อีกอย่างนะ..อ่านเรื่องแล้วทำให้เราเกิดไอเดีย หาช่วงวันหยุดนั่งเรือชมกทม.และนนทบุรี เพื่อชื่นชมบรรยากาศของสองฝั่งเจ้าพระยา ซึ่งเป็นอะไรที่น่าจะรื่นรมย์ดีนะ..ขอบคุณ..