ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ร้อยรักวัยสวาท ภาคแรก ตอนที่20-21

เริ่มโดย suckzeed, กุมภาพันธ์ 21, 2016, 01:41:02 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

suckzeed

ตอนที่20

พี่หน่อยหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าถือของเธอ แล้วไขประตุเปิดเข้าไป ผมมองเข้าไปในห้องอันดับแรกที่สายตามองเห็นคงเป็นห้องรับแขก เพราะเห็นมีโซฟาตัวยาวๆ วางชิดริมฝาห้อง ด้านตรงข้ามเป็นตู้วางทีวีเครื่องใหญ่ขนาดน่าจะไม่ต่ำกว่า20นิ้ว ทางด้านซ้ายมือกั้นเป็นห้อง เพราะมีประตุปิดอยู่อีกชั้นหนึ่ง ผมเดาว่าน่าจะเป็นห้องนอน หน้าห้องนอนก็มีโต๊ะอาหารขนาดเล็กๆวางเอาไว้ แล้วผมก็มองอะไรไม่เห็นเพราะเหลี่ยมมุมห้องมันบังสายตาเอาไว้

"เข้ามาก่อนสิจ๊ะชาย..ไม่ต้องกลัวหรอก.."

พี่หน่อยพูดยิ้มๆ ผมจึงค่อยสาวเท้าเดินตามเข้าไป มองเห็นห้องครัวฝรั่งอยู่ถัดมาจากโต๊ะอาหาร ด้านหน้าสุดที่ผมเห็นเป็นเหลี่ยมตึกบังตา น่าจะเป็นห้องน้ำเป็นแน่ พี่หน่อยพาผมเข้าไปนั่งที่ห้องรับแขก จากนั้นเธอก็เดินไปเปิดตุ้เย็น ในห้องครัว รินน้ำเย็นใส่แก้วถือ
มาให้

"ห้องพี่เล็กหน่อยนะจ๊ะ..อึดอัดมั๊ย..." ขนาดนี้พี่หน่อยยังคิดว่าห้องมันเล็ก ทั้งๆที่จริง มันใหญ่กว่าห้องที่ผมพักอยู่สัก3เท่าได้กระมัง

"เอ้อ..พี่หน่อยพักอยู่คนเดียวหรือครับ.." ผมสอบถามให้แน่ใจอีกครั้ง เพื่อจะได้ทำตัวได้ถูก

"คนเดียวสิจ๊ะ..ชายจะให้พี่อยู่กับใครหรือ..." พี่หน่อยเลิกคิ้วเรียวดำของเธอหันมาถามยิ้มๆ

"พี่ก็มีชีวิตคล้ายๆ กับชายนั่นแหละ..พ่อแม่เสียชีวิตไปหมดแล้ว ญาติพี่น้องก็ไม่มี เพราะพี่เป็นลุกคนเดียว" พี่หน่อยพูดเรียบๆ เมื่อเอ่ยถึงพ่อแม่ญาติพี่น้อง ไม่มีแววสะเทือนใจ จนผมเดาว่าท่านทั้งสองคงเสียชีวิตไปนานหลายปีแล้วแน่

"แล้วเอ้อ..." ผมพูดไม่ออก อยากจะถามว่าแล้วพี่หน่อยไม่มีสามีหรือครับ แต่ดูเหมือนพี่หน่อยจะคาดเดาได้ถูกว่าผมจะถามอะไร เธอ
เลยรีบตอบกลับมาทันที

"ฮิฮิ..ไม่มีหรอกจ๊ะ..ตอนนี้พี่เป็นโสด..เคยมีสามีมาเหมือนกัน แต่ว่าเลิกกันไปแล้ว...นานแล้วละ ก่อนที่พี่จะมาซื้อห้องที่คอนโดนี้อีก..."

"ทำไมถึงเลิกกันละครับ..อ่ะ..ขอโทษครับที่ผมถามละลาบละล้วง..." ผมถามออกไปแล้วด้วยความที่เป็นคนปากไว ค่อยมานึกขึ้นได้ว่า เป็นการไม่สมควรที่จะถามเรื่องส่วนตัวของพี่หน่อยขนาดนี้

"อ๋อ..ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ..ชาย..ถามพี่ได้..เพราะว่าวันหนึ่งพี่ก็ต้องเล่าเรื่องนี้ให้ชายทราบอยู่แล้ว.." พี่หน่อยเว้นระยะคำพูดชั่ววิบตา เธอก็เล่าต่อว่า

"พี่เคยมีแฟนเมื่อสักสิบปีมาแล้วละ แฟนพี่เป็นเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง พี่ก็รักเค้านะ..รักโดยไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าเขามีครอบครัวแล้ว จนเรามาอยู่ด้วยกัน แฟนพี่เค้าซื้อบ้านจัดสรรให้พี่อยู่ แล้ววันหนึ่งเรื่องก็แดงขึ้นมา ภรรยาตัวจริงเขามาขอร้องให้พี่เลิกกับแฟน เพื่อเห็นแก่ลูกๆของพวกเขา..พอพี่ทราบความจริง ตอนนั้นพี่เสียใจมากที่โดนหลอก แต่ที่สุดพี่ก็ตัดใจยอมเลิก แล้วย้ายจากบ้านจัดสรรมาซื้อห้องที่คอนโดนี้แหละ..."

พี่หน่อยเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ชีวิตพี่หน่อยก็ช่างน่าสงสารเหลือเกิน พี่หน่อยคงรักแฟนเขามาก เพราะขณะที่เล่า ผมแอบเห็นตาของพี่หน่อยมีประกายแวววาว แต่พอเล่าถึงตอนที่เมียตัวจริงมาร้องขอให้เลิกกับแฟน ทั้งน้ำเสียงและแววตาพี่หน่อยหม่นหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัด

"ชายอยากรู้เรื่องนี้หรือจ๊ะ..." พี่หน่อยเล่าจบก็ทรุดตัวลงมานั่งบนโซฟาข้างผม แล้วเอียงหน้าจ้องตาถามผม

"เอ้อ..จริงๆแล้ว..ไม่ใช่ครับ..." ผมตอบกลับไปเบาๆ ในใจยังสับสนวุ่นวาย ว่าเรื่องที่ผมจะถามพี่หน่อยนั้นควรหรือไม่ควรถามดี

"อ้าว...อิอิ..ไม่ใช่เรื่องนี้หรือจ๊ะ..งั้นเรื่องอะไรล่ะ..ถามมาสิ ไม่ต้องอ้ำๆอึ้งๆ" พี่หน่อยพูดขำๆ ทำหน้าอายๆแดงๆ ที่เธอดันพูดเล่าเรื่องสามีมาจนจบ แต่ผมกลับบอกว่าไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้

"เอ้อ....ผมรู้สึกแปลกใจน่ะครับ..."

"แปลกใจ..เรื่องอะไรจ๊ะ...." พี่หน่อยพูดจบ ผมก็ยังไม่กล้าถามอยู่ดี จนพี่หน่อยขยับตัวเข้ามาจนชิด ก้มหน้าลงมามองเข้าไปในดวงตาของผม จนผมอึกๆอักๆ

"ถามสิจ๊ะ..ถ้าไม่ถาม โดนพี่ลงโทษนะจ๊ะ.."

แม้พี่หน่อยไม่ได้บอกว่าจะลงโทษผมยังไงก็ตาม แต่ผมพอเดาได้จากการที่เธอก้มหน้าต่ำลงมาช้าๆ จนเรียวปากของเธอห่างจากริมฝีปากของผมแค่ฝ่ามือเดียว แล้วผมก็ตัดสินใจถามโพล่งออกไปตามตรง

"ผมโตพอจะรู้ว่า  พี่หน่อยคิดอย่างไรกับตัวผม..." ผมตัดสินใจพูดเรื่องที่มันค้างคาอยู่ในใจออกไปทันที

"จ๊ะ..ถูกต้องแล้ว พี่ชอบชาย..หลายปีที่พี่เลิกกับแฟนพี่ไปแล้ว พี่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน จนกระทั่งพี่เจอชายและได้ชายมาเป็นลุกทีม..พี่เฝ้ามองชายมาตลอดอย่างเงียบๆ จนกระทั่งถึงวันนี้ ที่พี่ไม่อยากเก็บความรุ้สึกไว้ในใจคนเดียว..จึงแสดงออกมาให้ชายรู้.." พี่หน่อยพูดพร้อมขยับตัวนั่งไคว่ห้าง จนกระโปรงสั้นๆของเธอถลกเลิกขึ้นมา

"แล้วทำไมผม..กลับเห็นพี่หน่อยสนับสนุนให้ผมไปงานโรงเรียนเล่าครับ..ทั้งๆที่พี่หน่อยก็ทราบดีว่า ผมอาจได้เจอน้องกัน..และเราอาจติดต่อกันได้..." ผมกลั้นลมหายใจพูดพรืดออกไปยาวๆ จนเสร็จ ถึงได้สูดลมหายใจเข้าปอดดังพรืดจนพี่หน่อยได้ยิน

"ชายจ๊ะ...มองหน้าพี่สิ....ว่าตอนนี้ชายเห็นอะไร..." พี่หน่อยไม่ตอบคำถามของผม เธอกลับเอียงหน้ามาหา แล้วบอกให้ผมจ้องหน้าเธอแทน

"เห็น..เอ้อ..ผู้หญิงสาว ใจดี ที่หน้าตาสวยมีเสน่ห์คนหนึ่งครับ..." ผมตอบไปตามที่สายตาตนเองมองเห็น

"แล้วถ้าอีกสิบปี..หรือยี่สิบปีเล่าจ๊ะ...ผู้หญิงสวยมีเสน่ห์คนนี้ ก็จะเหี่ยวหย่อนยานคงไม่น่ามองไม่น่าพิศมัยเหมือนวันนี้จริงมั๊ยคะ....ในขณะที่ชายหนุ่มที่นั่งตรงหน้าพี่ ยังเป็นแค่หนุ่มใหญ่ ยังคงหล่อและมีเส่นห์..จนสาวน้อยสาวใหญ่ลุ่มหลง..พี่พูดถูกมั๊ยจ๊ะ..." พี่หน่อยหยุดถามความเห็นจากผม

"เอ้อ..ผมไม่ทราบครับ.." ใครล่ะครับจะกล้าตอบว่าจริง แม้จะรุ้ว่ามันเป็นจริงตามที่พี่หน่อยบอก

"อายุของพี่กับชายต่างกันเกือบรอบ ในขณะที่ชายกับน้องผู้หญิงคนนั้น อายุเหมาะสมกันดีอยู่แล้ว..." พี่หน่อยพูดเหมือนรำพึงกับตนเอง

"พี่ไม่หวังอะไรจากชายมากไปกว่า ขอให้ชายดีกับพี่คนนี้..ตลอดไป..และรุ้ว่าผู้หญิงคนนี้รักชายก็พอ..."

ผมมีความรู้สึกเหมือนมีก้อนลมวิ่งขึ้นมาจุกตรงคอหอย จนพูดอะไรไม่ออก ผมไม่เคยได้รับความรุ้สึกดีๆและอบอุ่นแบบนี้ จากผู้หญิงอื่นเลยนอกจากผู้เป็นแม่ แต่เมื่อได้ยินพี่หน่อยพูด ผมไม่สงสัยเลยแม้แต่นิดว่าเธอพูดจริงหรือไม่ แต่ผมกลับรุ้สึกร้อนผ่าวที่เบ้าตา จนผมต้องซุกหน้าไปที่คอขาวผ่องของพี่หน่อยเพื่อกลบเกลื่อนน้ำตา ที่รินออกมาคลอเบ้า ด้วยความตื้นตันใจ

พี่หน่อยปล่อยให้ใบหน้าผมซุกอยู่ที่ซอกคอสักพัก ก็ขยับหน้าออก แล้วพรมจูบแก้มผมแผ่วๆเบาๆ แต่ผมกลับไม่รุ้สึกอึดอัดเหมือนที่ผ่านมาเลย ผมปล่อยให้พี่หน่อยพรมจูบมาถึงปลายคาง จนได้ยินเสียงพี่หน่อยครางอืมๆในลำคอ แล้วกระซิบเสียงหวานๆใส่หูผมว่า

"พี่ขอให้ชายเป็นคนดี แบบนี้ตลอดไปนะจ๊ะ..ที่รักของพี่..." ผมรู้สึกเคลิบเคลิ้มเมื่อได้ยินเสียงหวานๆจากปากพี่หน่อย

"ครับ..ผมสัญญา..ผมจะเป็นคนดีแบบนี้ตลอดไป...." พอผมพูดจบ ดูเหมือนว่าพี่หน่อยเองที่เป็นคนได้สติก่อน เธอขยับกายออกห่างจากผม พร้อมถอนหายใจออกมาดังพรืด แล้วยิ้มให้ผม

"ชายหิวมั๊ยจ๊ะ...อย่าเพิ่งรีบกลับนะคะ..พี่จะทำเสต็คให้ทาน..."พี่หน่อยพูดจบ ก็ทำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่ผมกลับฉวยข้อมือจับไว้

"พี่ครับ..ถ้าผมได้ติดต่อกับน้องกันอีกครั้ง จนเอ้อ..จนได้รักกันน่ะครับ..พี่จะเสียใจมั๊ย..." พี่หน่อยอมยิ้มก่อนตอบมาเบาๆว่า

"นอกจากจะไม่เสียใจแล้ว..พี่ยังดีใจ และพร้อมที่จะสนับสนุนอีกจ๊ะ..."

พี่หน่อยตอบ พร้อมจ้องตาผมกลับ ไม่มีการหลบสายตาเลย จนผมเชื่อมั่นว่าคำพูดนั้นออกมาจากความรุ้สึกที่แท้จริง ผมโผตัวเข้าสวมกอดร่างพี่หน่อยอีกครั้ง แม้แขนทั้งสองข้างจะรัดกอดอยู่ใต้ราวนมอวบๆของพี่หน่อยก็ตาม แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นทางด้านเพศเลยแม้สักนิด

พี่หน่อยปล่อยตัวให้ผมกอดรัดอยู่ครุ่ใหญ่ เธอจึงค่อยๆแกะมือผมออก แล้วบอกกับผมว่า วันนี้เธอจะทำเสต็คเนื้อให้ทาน จากนั้นก็ลุกขึ้นไปเปิดทีวีให้ผมดูฆ่าเวลา ส่วนตัวพี่หน่อยเดินเข้าครัว เปิดตู้เย็น แล้วนำเนื้อสันสำหรับทำเสต็คออกมาแช่น้ำ จนคราบเกล็ดน้ำแข็งละลาย แล้วนำไปหมักก่อนจะทอด จนส่งกลิ่นหอมตลบชวนน้ำลายสอ

หลังอาหารมือเย็น ที่พี่หน่อยประดิษฐ์ประดอยจัดโต๊ะเก้าอี้  จนเหมือนร้านอาหารหรูๆในโรงแรม ผมกับพี่หน่อยนั่งจิบไวน์แดงด้วยกัน และทานเสต็คฝีมือพี่เขาจนหมดเกลี้ยง จากนั้นก็นั่งคุยกันอีกสักพักผมก็กลับลงมา ด้วยความรุ้สึกที่ปลอดโปร่งโล่งใจ บัดนี้ ผมคงไม่
รุ้สึกอึดอัดอีกต่อไปแล้วเมื่ออยุ่ใกล้ๆ เธอ แม้ผมจะรุ้ว่าพี่หน่อยรุ้สึกกับผมแบบใดก็ตาม แต่ถ้าผมยังไม่พร้อม พี่หน่อยก็จะไม่เร่งรัดผมอีกต่อไปแล้ว

หลังจากที่ผมขับรถกลับมาถึงบ้าน สิ่งแรกที่ผมทำคือเดินเข้าไปจ้องดูรูปของตนเองที่แขวนอยู่บนผนังข้างฝา พร้อมรำพึงเบาๆ สี่ปีกว่าที่ผมไม่เคยเจอน้องกันอีกเลย ป่านนี้เธอจะเติบใหญ่ขึ้นมาถึงระดับไหนกันแล้วนะ เธอน่าจะคงกำลังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยปี1 เธอจะยังจำผมได้อีกหรือไม่นะ ยังจดจำว่าครั้งหนึ่งเคยได้วาดรูปเหมือนให้กับผม และเธอน่าจะประหลาดใจที่พบผมในอีกสถานะที่เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเก่า ผมไม่ใช่นายสมชาย เด็กกระเป๋ารถเมล์อีกต่อไปแล้ว แม้หลายอย่างในชีวิตของผมจะเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยเปลี่ยน คือความคิดถึง ที่มีต่อเธอทุกวันคืน


ตอนที่ 21

วันรุ่งขึ้นก็เป็นวันเปิดงานของบริษัท ผมขับรถของตัวเองมาทำงาน นึกแปลกใจที่มองเห็นผู้คนคึกคักอยู่ในวัยหนุ่มวัยสาว ยืนออกันอยู่
ที่ลานจอดรถข้างๆบริษัท เพราะยังไม่ได้เวลาทำการ ผมมองเห็นบีเอ็มป้ายแดงของพี่หน่อยจอดอยู่ในช่องจอดก่อนแล้ว ผมจึงรีบเปิดประตุบริษัทด้านหลังเข้าไป ตอกบัตรทำงานที่หน้าห้องแผนกบุคคลเสร็จ เห็นมีประกาศติดอยู่ที่กระจก เป็นกระดาษขนาดA4 อยู่สาม
สี่แผ่น ผมเลยเดินเข้าไปอ่าน

แผ่นแรกคือประกาศแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งของพี่หน่อย ขึ้นไปเป็นsale manager ผู้จัดการฝ่ายขาย แผ่นต่อมาเป็นประกาศเลื่อนตำแหน่งของผม ขึ้นไปเป็นsale supervisor แผ่นต่อมาเป็นเซลล์รุ่นเดียวกับผมที่มีผลงาน ได้เลื่อนขึ้นไปเป็น sr.sale ส่วนแผ่น
สุดท้ายคือประกาศรับสมัครงานตำแหน่งต่างๆ แต่ส่วนมาเป็นตำแหน่งงานขายระดับล่างสุด ถึงมิน่า ว่าผมเห็นที่หน้าบริษัททำไมจึงมีเด็กหนุ่มเด็กสาววัยใกล้เคียงกับผม ยืนออกันอยุ่เยอะแยะ

ผมเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง ผ่านห้องทำงานของพี่หน่อยที่เป็นห้องส่วนตัว ติดชื่อเธอพร้อมตำแหน่งใหม่อยู่ที่บานประตุหน้าห้อง ส่วนห้องทำงานของเซลล์ระดับอื่นๆ จะรวมตัวกันอยู่ในห้องโถงใหญ่ชั้นนั้นทั้งชั้น แบ่งออกเป็นsection ต่างๆ ติดชื่อของหัวหน้าของแผนกนั้นไว้อย่างชัดเจน และหนึ่งในหลายๆทีมขาย ก็มีชื่อของผมติดเอาไว้ด้วย

"นั่นแหละจ๊ะ...ทีมของชายจะนั่งทำงานที่ตรงนั้น..." พี่หน่อยพูดพร้อมกับเดินออกมาจากห้องของเธอ ร้องบอกเมื่อเห็นผมยืนเก้ๆกังๆอยู่กลางห้อง

"ขอบคุณครับพี่..." ผมพูดจบก็เดินเข้าไปในsectionของผม ยื่นมือลูบผิวโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่ด้านบนปูกระจกใสแผ่นหนาๆเอาไว้ ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นความจริง

"ช่วงเช้าชายอย่าเพิ่งไปไหนนะจ๊ะ..ก่อนเที่ยงชายต้องขึ้นspeech กับพนักงานใหม่ด้วย.."

พี่หน่อยพูดพร้อมยื่นกระดาษa4 แผ่นหนึ่งยัดใส่มือผม เสียงพูดของเธอดูเป็นงานเป็นการ แตกต่างกับช่วงเวลาสองสามวันที่เราเจอกันทุกวันเป็นอย่างมาก ผมรับกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมามองอ่าน มันเป็นหัวข้อเคล็ดลับความสำเร็จในงานขาย ที่จะให้ผมขึ้นพูดกับพนักงานขายที่เข้ามาอบรมในเช้าวันนี้

ผมถึงกับเหงื่อแตก แม้ผมจะเป็นคนพูดเก่ง พูดมีหลักการก็จริง แต่ผมก็ไม่เคยเลยที่จะขึ้นไปพูดต่อหน้าคนเยอะๆแบบนี้ ความรุ้สึกเหมือนท้องไส้มันปั่นป่วนขึ้นมาทันที

"เอ้อ.พี่ครับ.."

ผมรีบเรียกรั้งพี่หน่อยไว้ เมื่อเธอกำลังหันกลับเดินไปที่ห้องทำงาน พี่หน่อยหันหน้ากลับมามองผม แล้วเลิกคิ้วเรียวๆสีดำขลับของเธอ ทำนองถามว่าผมเรียกรั้งเธอไว้เพื่อสอบถามอะไร

"พี่ครับ..ผมเอ้อ..ผมพูดไม่เป็นครับ.."

ผมสารภาพตามตรง เหงื่อเริ่มไหลปุดตามหน้าผาก ทั้งๆที่ภายนห้องติดแอร์เย็นฉ่ำ พี่หน่อยได้ยินแล้วกลับยิ้ม หัวเราะขันๆ แล้วกวักมือเรียกผมให้ตามเข้าไปในห้อง

"กลัวอะไรจ๊ะ..ชายพูดได้เชื่อมั่นในตัวเองสิจ๊ะ..พี่เคยเห็นชายพุดขายของกับลูกค้ามาแล้ว..ชายพูดจนลูกค้าได้แต่นั่งอ้าปากฟัง...แล้วนี่เป็นพนักงานใหม่ๆ รุ่นราวคราวเดียวกับชาย..ทั้งนั้น"

พี่หน่อยพูดปลอบให้กำลังใจผม แล้วยื่นมือเรียวขาว ปลายเล็บเคลือบยาทาเล็บสีแดงสด มาขยับเน็คไทผมจัดให้เข้าที่ พร้อมยิ้มและมองลึกเข้ามาในดวงตาผม อย่างอบอุ่นและให้กำลังใจ จนผมเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาทันที

"ขอบคุณครับพี่หน่อย..ที่เชื่อว่าผมจะทำได้.."

ผมตอบกลับไปเบาๆ แล้วเลี่ยงออกมาจากห้องส่วนตัวของพี่หน่อย กลับมาที่section ของตัวเอง นั่งนึกว่าผมจะพูดอย่างไรกับพนักงานใหม่ แต่นึกอย่างไรก้นึกไม่ออก แม้จะพยายามเรียบเรียงคำพูดแล้วก็ตาม

จนกระทั่งถึงเวลา ที่พนักงานใหม่ได้เข้าอบรม ประธานบริษัทเป็นคนเริ่มกล่าวต้อนรับ จากนั้นพี่หน่อยก็ขึ้นพูด เริ่มตั้งแต่การก่อตั้งบริษัทเรื่อยมาจนกระทั่งถึงจุดมุ่งหมายของบริษัท ผมฟังผ่านๆหู ไม่ใช่เพราะไม่สนใจฟังหรอกครับ แต่ผมกลับรุ้สึกเหมือนหูมันอื้อจนจับใจความไม่ได้ต่างหาก จนกระทั่ง

"ลำดับต่อไป..พวกเราจะได้พบคุณสมชาย สุดยอดพนักงานขายประจำปีของบริษัทเรานะคะ...." แม้พี่หน่อยจะแนะนำตัวให้ผมขึ้นพูดแล้ว แต่ผมกลับหูอื้อไม่ได้ยิน จนพี่หน่อยต้องเดินลงมาจากโพลเดี่ยมเพื่อสะกิดแขนเตือน

"ถึงตาชายแล้ว...."

ผมลุกขึ้นยืนเงอะงะ ความรุ้สึกจำได้ว่ามันตื่นเต้นจนเหงื่อออกมาชุ่มฝ่ามือ ผมเดินเซๆขึ้นไปยืนบนเวที กวาดสายตามองรอบๆห้องประชุม แลเห็นหนุ่มสาววัยคราวเดียวกับผม เกือบร้อยคน ต่างนั่งจ้องมาที่ผมเป็นตาเดียวกัน

"ผมชื่อสมชายนะครับ..ออกตัวไว้ก่อนเลยว่าผมพูดไม่เก่ง..." ผมหยุดคำพูดไว้ เมื่อมีเสียงหัวเราะครืนใหญ่จากคนนั่งฟัง รอจนเสียงเงียบผมจึงพูดต่อ

"เมื่อ6เดือนที่แล้ว..ผมเคยนั่งอยู่ในจุดที่พวกคุณกำลังนั่งอยู่ และฟังพี่ๆพูด เหมือนเช่นในวันนี้..." ผมหยุดกลืนน้ำลาย เพราะรุ้สึกตื่นเต้นจนคอแห้งผาก

"เมื่อผมฟังจบ สิ่งแรกที่ผมนึกอยู่ในใจเลยว่า..สินค้าของบริษัทมีราคาค่อนข้างสูง เป็นเสมือนสิ่งของฟุ่มเฟือย ที่คนจนๆแบบพวกเรา
ไม่มีปัญญาซื้อมาใช้แน่..." พูดของผมเรียกเสียงหัวเราะได้อีกครั้งหนึ่ง

"แต่ผมก็ตระหนักว่า แม้มันจะดูฟุ่มเฟือยก็จริง แต่มันก็มีความจำเป็นสำหรับการดำรงค์ชีวิต ในเมืองใหญ่ๆอย่างกรุงเทพของเรา...บ้านเมืองที่กำลังเริ่มเติบโต มีตึกสูงๆผุดขึ้นมาแทบทุกวัน..บดบังบรรยากาศแบบทุ่งๆที่กรุงเทพเคยมี ให้ค่อยๆลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ.."

"บ้านเมืองที่เจริญขึ้น จนคนกรุงเทพเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต การกินอยู่หลับนอน บ้านช่อง จากแบบไทยแท้ๆ ไปเป็นแบบตะวันตก ซึ่งบ้านเรือนแบบใหม่ๆนี้แหละครับ ทีจำเป็นจะต้องใช้เครื่องปรับอากาศ..ทั้งในเวลาทำงาน หรือเวลาหลับนอน..." ผมหยุดเว้นระยะการพูด เพราะมีเสียงตะโกนแซวดังขึ้นมาจากเหล่าพนักงานใหม่ว่า

"เวลาหลับนอน ไม่มีแอร์คงร้อนตายฮ่าๆๆๆ" เรียกเสียงหัวเราะครืนใหญ่จากผู้เข้าอบรมอีกครั้ง

"ดังนั้น สิ่งของที่เราดูว่าฟุ่มเฟือย และราคาสูง มันกลับเป็นสิ่งของที่มีความจำเป็นของมนุษย์ในเมือง ฉนั้น เพื่อนๆจงมั่นใจ ได้เลยครับว่าเราต้องขายได้..." มีเสียงปรบเมือจากพี่หน่อยขึ้นมาก่อน แล้วผุ้เข้าอบรมทั้งหมดก็ตบตาม

"เมื่อผมเกิดความเชื่อมั่นว่าผมต้องขายของได้..ผมจึงขยันออกไปหาลูกค้า ยิ่งเราเข้าพบลูกค้ามากเท่าใด จงมั่นใจได้เลยครับว่า เรา
จะมีโอกาศขายสินค้าได้มากขึ้น..."

"วันแรกที่ผมได้เข้าทำงานที่บริษัทนี้ แม้ในช่วงแรกจะยังไม่มีเงินเดือน แต่ผมก็ท่องคาถาอยู่สามคำไว้ในใจ คือสู้ อดทน และเชื่อมั่นว่าเราทำได้..."

"แต่หัวใจที่แท้จริงที่จะทำให้พวกคุณจะประสพความสำเร้จ เป็นสุดยอดท็อปเซลเช่นผม กลับเป็นความซื่อสัตย์ ต่อตนเองกับลูกค้า และกับบริษัท ตลอดจนพวกคุณต้องมีหัวใจนักบริการ...สินค้าที่คุณได้ขายไป ลูกค้าที่พวกเขาซื้อสินค้าจากคุณไปแล้ว...คุณต้องย้อนกลับไปดูแล ให้บริการ..ตามเวลาที่คุณจะทำได้..นั่นแหละครับ คือหัวใจนักขาย ที่จะทำให้คุณ เป็นแบบผม..."

ผมจบคำพูด พร้อมได้ยินเสียงตบมือกราวใหญ่ ทั้งจากเพื่อนๆทีอยู่ในห้องอบรม ทั้งจากพี่หน่อย และผุ้เข้าอบรมทั้งหลาย จนผมตื่นเต้นแทบจะก้าวขาลงจากโพลเดี่ยมไม่ได้ พี่หน่อยเลยรีบเดินขึ้นมายืนข้างๆ คอยให้กำลังใจ

"เป็นอย่างไรบ้างคะน้องๆ..ได้ยินคุณสมชายพูดจบไปแล้ว..เชื่อมั่นมั๊ยคะว่าเราต้องขายได้..." เสียงพี่หน่อยหวานๆ แถมยังลอบสอดมือมาจับมือผมที่อยู่ใต้โพลเดี่ยมบีบเบาๆ

"ช่วงภาคเช้าจบลงแค่นี้นะคะ ขอเชิญน้องๆทานอาหารกลางวันที่ทางบริษัทจัดเตรียมไว้ให้ จากนั้นภาคบ่าย แผนกบริการ จะมาอธิบายวิธีการคำนวนพื้นที่ห้อง และวิธีการทำงานของเคร่องปรับอากาศให้น้องๆทราบอีกครั้ง..เชิญเลยค่ะ..เชิญเลย..."

พี่หน่อยพูดจบ ผู้เข้าอบรมต่างก็ทยอยลุกขึ้น เดินออกจากห้องอบรมไปที่แถวอาหารที่จัดแบบบุฟเฟ่ ให้ผู้อบรมเลือกทานกันตามอัธยาศัย

"ตามพี่มาที่ห้องหน่อยนะจ๊ะ..."

พี่หน่อยแอบกระซิบบอกผม จากนั้นเธอก็สาวเท้าก้าวเดินออกไปก่อน จนสักครุ่ผมจึงเดินลงมาจากห้องอบรมที่อยู่ชั้น4ชั้นสูงสุดของตัวตึกขนาด3ห้องแถวติดต่อกัน เดินผ่านไลน์แถวอาหารที่อยู่ชั้น3ได้ยินเสียงผู้เข้าอบรมสาวๆซุบซิบนินทาถึงตัวผมเบาๆ

[post]"ทั้งหล่อทั้งเก่งเลยเน๊อะ..ไม่รุ้มีแฟนละยัง.."

จนเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ บรรดาสาวๆผู้เข้าอบรมต่างก็สะกดแขนกันวุ่ยวาย ซุบซิบว่าผมเดินมาแล้ว ผมยิ้มให้พวกเธออย่างเป็นกันเองแล้วเดินผ่านพวกผู้หญิงเหล่านั้นไป

"พี่คะๆ.."

แต่เสียงหวานๆกรุ๊งกริ๋งๆ ที่เรียกรั้งผมไว้นั้น ทำให้ผมชงักเท้า หันกลับมามองเจ้าของเสียงด้วยความตื่นเต้นเด็กสาววัยประมาณ20ต้นๆ ยืนก้มหน้าอยู่เบื้องหลังผม เธอสุงเพียงแค่หัวไหล่ของผม ไว้ผมยาวเคลียบ่า ใส่เสื้อผ้าเป็นกระโปรงครึ่งท่อนสีน้ำเงิน กับเสื้อลายดอกสีสวย แล้วพูดอุ๊บอิ๊บเบาๆออกมาว่า

"อบรมเสร็จแล้ว..หนูขออยู่ทีมเดียวกับพี่ได้มั๊ยคะ..."[/post]

johnywalker

ทำไมเสียงหวาน ต้องดังกรุ๋งกริ๋งด้วยครับ พึ่งเคยอ่าน //ถามไปงั้นแหละ

aeadza

มีสาวๆมาสมัครเข้าทีมแต่เริ่มเลยนะครับ

paradrop


PEE WAII


leopoldi

กรุ้งกริ้งๆ นี่คุ้นๆว่าคำนี้ใช้กับน้องกันรึป่าวววววว

non5432112345

เรื่องราวชีวิต นายสมชาย ทั้งตรึง ๆ ทั้งเสียว ๆ ทั้งม่ีอารมร์  ทั้งเครียด ๆ

aey3699

ชีวิตจริง คนเราอาจมีล้มลุกคลุกคลานกันบ้าง ต้องดิ้นรนต่อสู้กับชีวิต จะมีสักกี่คนที่เพียบพร้อมมาตั้งแต่เกิด

No.tee