ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

The Huntsman. จอมพรานตัวจริง

เริ่มโดย นีโอ, กุมภาพันธ์ 22, 2016, 09:42:41 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

นีโอ

คุยก่อนอ่าน

ผมเองไม่เคยนำผลงานมาโพสบอร์ดเปิดตั้งแต่ปี ๒๕๕๔ นานมากๆ
จนคิดว่านักอ่านหลายท่านคงจะลืมผมไปหมดแล้ว แต่ก็มีหลายท่านจำได้ รู้สึกดีใจ
และวันนี้ก็ขอนำเรื่องสั้นขนาดยาวมาลงอีกเรื่อง แต่ยอมรับว่าโพสยากจริงๆ เนื่องจากไม่ชินระบบ
เฉพาะเรื่องนี้โพสหลายครั้งมาก เนื่องจากตัวหนังสือใหญ่เท่าหม้อแกง แต่ก็ทำจนสำเร็จ

ผลงานเรื่องนี้เขียนขึ้นเพื่อส่งประกวด แต่ก็ไม่ได้รางวัลใดๆ เป็น side story เพชรพระอุมา
ก็อ่านกันสนุกๆตามประสา ผิดพลาดอะไรก็อภัยให้ด้วย หากว่านักอ่านช่วยกันตอบให้กำลังใจ
งานอื่นๆจะทยอยนำมาลงเรื่อยๆ แต่ถ้าเงียบเหงา วังเวง หว้าเหว้ ผมก็คงจะกลับเข้าที่ลับ
ไม่กล้าเสนอหน้ามาอีก กำลังใจเท่านั้น ที่จะทำให้นักเขียนอย่างเราอยู่ได้

ด้วยไมตรีจิต นีโอ


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


เกริ่นนำ


ในอดีตกาลที่ผ่านมา...ป่าทุ่งสลักพระ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นแหล่งที่มีสัตว์ป่ามากมายหลายชนิดอาศัยอยู่อย่างชุกชุม จึงมีเรื่องราวของการล่าสัตว์ป่าอันเลื่องลือ

ในยุคนั้น ปืนไรเฟิลและรถจี๊ป เข้าไปและออกมาพร้อมกับซากสัตว์ คันแล้วคันเล่า
รวมทั้งสถานีกักสัตว์ขื่อดัง ๒ แห่งที่แข่งกันจับสัตว์ส่งเมืองนอกตามใบสั่ง
ได้แก่ สถานีกักสัตว์ บริษัทไทยไวด์ไลฟ์ ของคุณอำพล และบริษัท อินวินส์ไวด์ไลฟ์ของคุณเกษม...

และยังเป็นยุคที่อาชีพนายพรานกำลังเฟื่องฟู่ นอกจากจับสัตว์ส่งสถานีกักสัตว์ ๒ แห่งนี้ บรรดาราชนิกุลชนชั้นสูงผู้รักการผจญภัย และอาคันตุกะจากต่างประเทศล้วนนิยมเข้ามาเยือนในป่า เขตเซซาโหว่..ซึ่ง เป็นป่าลึกเข้าไปในเมืองกาญจนบุรี เป็นผืนป่าดงดิบหนาแน่นกว้างไกลเกือบจรดชายแดนพม่า ต้องใช้ทั้งเวลาและความลำบากในการเดินทางฝ่าแดนทุรกันดารที่ต้องใช้ความอดทน และเสี่ยงต่ออันตรายอย่างยิ่ง ถ้าขาดผู้นำทางที่จัดเจนต่อภูมิประเทศแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะบุกบั่นกันเข้าไปถึงจุดหมายปลายทางแห่งนี้ได้

ในยุคสมัยนั้น จึงต้องมีกลุ่มนายพรานรู้ลู่ทาง ชำนิชำนาญในการล่าสัตว์ แกะรอย รู้จักป่าดงพงไพรเร้นลับนั้นทะลุปรุโปร่งราวกับมองฝ่ามือตัวเองมารับจ้างทำหน้าที่นำทางให้คณะท่องไพร คณะสำรวจ หรือคณะนักเดินทางผิวขาวผู้มีความจำเป็นจะต้องฝ่าฟันความทุรกันดารเหล่านี้ไปจนถึงจุดหมาย ซึ่งมีพรานชื่อดังหลายคนถูกจารึกไว้เป็นตำนานมากมาย แต่ก็มีบางคนที่ชื่อเสียงเลือนหายไปจากความทรงจำ เพราะไม่มีวีรกรรมโดดเด่นอะไรให้กล่าวขานถึง เนื่องจากพวกเขาบางคนเลือกที่จะเก็บเรื่องราวพิสดารที่พานพบประสบมาเหล่านั้นไว้กับตัวเอง ด้วยเหตุผลส่วนตัว

ดั่งเช่น...พรานชด
 
----------------------------






บทที่ ๑ . วิถีพราน
 
เสียงเคาะประตูห้องดังสามครั้งอย่างมีจังหวะและระมัดระวัง ทำให้ชายวัยกลางคนที่นอนหลับอยู่บิดกายไล่ความขี้เกียจและขยับลุกขึ้นนั่งบนเตียงนอนซอมซ่อ ตาคมแต่ฝ้าฟางเพราะขี้ตาเกรอะเหลือบไปมองนาฬิกาเรือนเก่าแขวนไว้บนเสาผุกร่อนกลางบ้านไม้ที่จวนเจียนจะพังแหล่ไม่พังแหล่

"ตายห่า!!!! บ่าย ๒ แล้วหรือนี่" เขาอุทานกับตัวเองก่อนลุกขึ้นก้าวขาข้ามขวดเหล้าขาวที่วางเรียงระเกะระกะ ตามทางเดิน และมาหยุดตรงรูปถ่ายของหญิงสาวในกรอบกระจกที่ตกแตกอยู่กับพื้น ภาพขาวดำเก่าจนหลุดร่อนกระดำกระด่างแต่ยังมีเค้าความสวยงามของผู้ถูกถ่าย เขาก้มลงเก็บกรอบรูปขึ้นมาวางบนตู้โชว์ที่เต็มไปด้วยหยาบไย่ใยแมงมุมและฝุ่นเกาะเขลอะเนื่องจากขาดการดูแล สภาพบ้านแทบไม่ต่างจากบ้านร้างพื้นบ้านสกปรกรกรุงรังไม่ต่างจากที่ทิ้งขยะ

" พรานชดๆๆ อยู่ไหม !?! " เสียงเรียกจากนอกบ้านไม้โทรมๆเร่งเร้า

"เออ...รอเดี๋ยวๆ มาแล้วๆๆ" เขารีบคว้าผ้าขะม้ามานุ่งขมวดปมให้แน่นและเดินอย่างระมัดระวังไปตามพื้นผุๆ

ประตูไม้เก่าจนผุ เปิดแง้มมาด้วยแรงมือผลักเบาๆ ปรากฏร่างของผู้มาเยือนเป็นชายวัยกลางคนแต่งตัวภูมิฐานและชายหนุ่มวัยไม่เกิน ๒๕ ปีที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดี

"คุณเกษมเองหรือครับ สวัสดีครับ มีธุระอะไรถึงมาหาผมถึงที่นี่" เขาเอ่ยทักคุณเกษม เจ้าของบริษัท อินวินส์ไวด์ไลฟ์ จับสัตว์ส่งขายนอกอย่างคุ้นเคย เนื่องจากรับงานตั้งสถานีดักสัตว์ส่งตามใบสั่งมาช้านาน

"ก็เป็นเรื่องเดิมๆนั่นแหล่ะนะ พรานชด แต่หนนี้ค่าแรงมันงามหน่อย"
 
พรานวัยกลางคนขมวดคิ้ว คำว่าค่าแรงงาม คงหมายถึงความอันตรายมีเพิ่มพูนมากขึ้น เขาฉีกยิ้มน้อยๆหลังจากไม่มีงานเข้ามานานและงานที่จะกำลังจะได้รับก็คือการนำคณะนายทหารกลุ่มหนึ่งไปตามหาคนหายในป่า แต่ว่าก็ต้องรออีกสาม – สี่สัปดาห์ถึงจะเจอหน้าผู้ว่าจ้างและคุยรายละเอียดกัน ดังนั้นช่วงนี้เขาจึงจนกรอบไม่มีกระทั่งเงินชื้อข้าวกรอกหม้อ

"เป้าหมายล่ะ ครับ..." พรานวัยกลางคนนุ่งผ้าขะม้าผืนเดียวเอ่ยถามหลังเชื้อเชิญอาคันตุกะเข้ามาในบ้านไม้ผุๆ

มาถึงโต๊ะไม้รับแขกเก่าๆผุๆโย้เย้ก็เช็ดโต๊ะเก้าอี้จนฝุ่นกระจายก่อนจะผายมือเชิญให้นั่ง แต่ผู้มาเยือนทั้งสองมองอย่างชั่งใจ เกรงว่านั่งไปจะหงายท้องเพราะสภาพไม่น่าใช้งานได้ แต่ทั้งสองก็ค่อยๆหย่อนก้นนั่งตามคำเชิญ และคุณเกษมก็ควักภาพถ่ายขาวดำส่งให้พรานวัยกลางคนหลายใบ

"ดูจากรูปนะไม่ค่อยชัด มันถ่ายระยะไกล..เอ้อ นี่ลูกชายผม ลืมแนะนำไป โกศล" ผู้มาเยือนอธิบายและแนะนำผู้ร่วมทางมาด้วย

"สวัสดีครับ คุณโกศล" พรานวัยกลางคนทักทายและหยิบรูปมาเพ่งดู

ดูจากภาพถ่ายนี่ถ่ายไกลมากพอดู จึงเห็นเป็นแค่จุดเล็กๆ แต่ก็พอจะเห็นว่า เป็นเสือดำ กำลังกัดแทะ ของอะไรบางอย่าง...

"เสือดำกินซากสัตว์ ..ก็ ธรรมดานี่ครับ..."

"ผมอยากให้คุณดูนิ้วเท้าของเหยื่อมันนิดนึง" เสียงสุขุมเอ่ยบอก

พรานวัยกลางคนเอื้อมมือไปหยิบแว่นสายตาที่ฝุ่นจับมาเป่าเลน ฝุ่นฟุ้งกระจาย จากนั้นก็ใส่แล้วเพ่งมองรูปในมือ

"มีนิ้วเท้า ๕ นิ้ว นี่มัน!!!" พรานวัยกลางคนอุทานเสียงเบาๆ

"ใช่! เหยื่อของมันคือคน มันเป็นเสือกินคน พอจะไหวไหมพรานชด?" คุณเกษมเอ่ยถามเสียงเย็นเยียบ

พรานชดเม้มปากใช้สมองตรองอยู่อึดใจจึงบอกว่า " ไอ้ไหวนะพอไหวอยู่ แต่ว่าผมไม่แน่ใจว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ อาจจะใช้เวลาล่ามันเป็นเดือน ซึ่งมันจะไปทับกับงานรับจ้างนำทางติดตามคนหายของผู้ดีชาวพระนครในสองอาทิตย์ หน้า ทำไมไม่ลองติดต่อพรานใหญ่หล่ะครับ ขานั้นเขาน่าจะเชี่ยวกว่าผมและชัวร์กว่าด้วยเพราะยังหนุ่มกว่า"

"เขารับปากจับสัตว์ให้คุณอำพลเจ้าเดียว ไม่เหมือนพรานชดที่รับจ้างอิสระ ผมไปทาบทามหลายครั้งแล้ว เขาไม่สนใจเลย ถึงได้มาหาพรานชดกระไร"

พรานชดเม้มปากอีกครั้งอย่างหนักใจ และเสนอพรานอีกคน "พรานแหวงไงหล่ะครับ เขาเชี่ยวชาญการแกะรอยมากกว่าใครในย่านนี้ ฝีมือก็ไม่ด้อยกว่าพรานคนไหนๆ"

"พรานแหวงเขาก็อยู่ในรูปที่คุณถืออยู่น่ะแหล่ะ เพียงแต่คุณกลับมองเป็นซากสัตว์..."

พรานวัยกลางคนสะดุ้งเฮือก เพ่งภาพถ่ายแล้วเงยหน้าถามเสียงตื่นเต้น "เอ่อ..กี่ศพแล้วครับ!"

"ถ้านับเฉพาะพรานก็ ๔ ชาวบ้านทั่วๆไปอีก ๑๕ ขาดอีกคนก็จะ ๒๐ ศพแล้ว"

"..........." พรานวัยกลางคนจ้องภาพเขม็ง เสือดำตัวเขื่องคือโฟกัส

"มันท้าทายใช่มั๊ยหล่ะ?" คุณเกษมเอ่ยเสียงเน้นๆมีรอยยิ้มที่มุมปากเพราะจี้ถูกจุดพรานวัยกลางคน " ผมรู้ว่าคนอย่างพรานชดชอบล่าสัตว์ดุๆอย่างนี้ ที่สำคัญค่าตัวมันสูงมาก คนชื้อพร้อมจ่ายไม่ว่าจะเป็นหรือตาย"

" ๔ แสน จ่ายก่อนครึ่งนึง " พรานวัยกลางคนเสนอราคาค่าจ้างเสียงเข้มๆ

" ๕ แสน! จ่ายเต็มเม็ดเต็มหน่วยหลังเสร็จงาน" นายเกษมตอบกลับมา

"แต่ผมต้องมีค่าใช้จ่าย ขอสัก ๑๐% ก่อนได้มั๊ยครับ" พรานวัยกลางคนต่อรอง

"ผมให้ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า ๕ พัน นี่สัญญา ไม่เอาไม่เป็นไรนะพรานชด ผมยังมีพรานคนอื่นๆรออยู่"
 
พรานชดมองเงิน ๕ พันและสัญญาตรงหน้าอย่างชั่งใจ เงิน ๕ แสนกับการที่ต้องได้เงินหลังจากทำภารกิจเสร็จ เขาเหลือบไปมองลังเหล้าขาวที่ใกล้หมด ข้าวปลาอาหารที่ร่อยหรอ เครื่องใช้อำนวยความสะดวกภายในบ้านที่เจ้าหนี้เงินกู้ส่งคนมาขนไปแทนดอกจนบ้านโล่ง และกำลังจะมาทวงต้นในอีกไม่กี่วัน ขืนรอคณะผู้ดีชาวพระนครมาว่าจ้างก็คงจะไม่ทันการณ์แน่ๆ เมื่อความจำเป็นมันบีบบังคับเขาจึงจรดปากกาทำสัญญาแต่โดยดี
 
"ขอให้โชคดีนะ พรานชด" คุณเกษมกล่าวยิ้มๆ จากนั้นก็เอาแผนที่หมู่บ้านที่เจ้าดำตัวนี้อาละวาดมาให้พร้อมทั้งขอถ่ายรูปเขาเอาไว้โดยให้เหตุผลว่าต้องทำแฟ้มไว้สำหรับเรื่องภาษี ซึ่งพรานชดม่ติดใจสงสัยอะไร

เมื่อกลุ่มผู้ว่าจ้างลากลับไป พรานชดนั่งอยู่ในบ้านลำพังนึกถึงรายได้ก้อนใหญ่ที่กำลังจะได้มา มองภาพถ่ายที่เจ้าดำกำลังขย้ำเหยื่อซึ่งเป็นพรานฝีมือดีเพื่อนสนิทเขาแล้วเกิดอาการมือสั่นใจสั่นด้วยความตื่นเต้น

"สุภาพบุรุษ?" พรานวัยกลางคนพึมพำ เพราะจากภาพก็เดาได้ว่า พรานเหวงดวลกับเจ้าดำตัวนี้ และพลาดท่าให้จึงถูกมันขย้ำมีสภาพอย่างที่เห็น "แม้แต่สัตว์ก็ยังให้โอกาส แฟร์ๆ ใครพลาดตาย"

 พรานชดหยิบกระติกแสตนเลส แบบพกพาติดเอวขึ้นมากรอกของเหลวที่บรรจุภายในคือเหล้าเข้าปาก เขาหันไปมองไรเฟิ่ล .๓๗๕ วินเชสเตอร์ที่แขวนไว้ข้างฝา กี่ปีแล้วนะที่ห่างเหินจากมัน ส่วนใหญ่งานที่ได้รับในระยะหลังๆ คุณเกษมจะไหว้วานแต่เรื่องไปหาสมุนไพรของแปลกๆในป่า ไม่ก็ให้ถือปืนนำทางฝรั่งที่เข้ามาชื่นชมธรรมชาติ ที่ฆ่าล่าสุด ก็เป็นงูเขียวหัวจิ้งจกที่มาขวางทาง ทุบหัวฆ่าด้วยท่อนไม้เท่านั้น
 
พรานชดเดินไปที่กระจกเก่าๆบนหิ้ง ภาพใบหน้าเหี่ยวๆด้วยริ้วรอยแห่งวัย ผมยาวรุงรังสีขาวเป็นกระเซิง ตาแดงก่ำ อิดโรย ใบหน้าดูหยาบและกร้าน เนื้อหนังไหม้เกรียมจากการถูกแดดเผา แต่หลังก็ยังตั้งตรง สายตาล่องลอยเหมือนจะละทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง ความชรามาเยือนเขาจนเกินกว่าจะเดินทางไกลและไปผจญภัยในป่าลึก ภาระนำคณะชาวพระนครไปตามหาคนหายในป่านี้เขาจะบอกปัดให้คุณอำพลหาคนอื่นที่เหมาะสมให้ทำแทน อาจจะเป็นพรานใหญ่แห่งหนองน้ำแห้ง

พรานหนุ่ม อายุประมาณ ๓๘ ปี รูปร่างเล็กและผอมเกร็ง สูงราว ๕ ฟุต ๗ นิ้ว ผิวคล้ำ นิ่ง สุขุมใบหน้าไม่เคยปรากฏรอยยิ้ม มีฝีมือในการยิงปืนแม่นยำ เป็นอดีตนักเรียนทหารจากสามประเทศ และนายตำรวจยศร้อยตำรวจเอก เคยเป็นไข้มาลาเรียเกือบตายในป่า เขาเป็นนายพรานที่ได้รับการยกย่องจากชาวบ้านในแถบหมู่บ้านหนองน้ำแห้ง ในด้านของการเป็นผู้นำหมู่บ้านสู่ความเจริญ และเจริญรอยในฐานะพรานล่าสัตว์ตามบิดาที่เป็นเพื่อนของเขา

เขาเองก็เคยช่วยฝึกสอนและถ่ายทอดเคล็ดลับหลายอย่างเกี่ยวกับการล่าสัตว์ให้ รวมทั้งวิชาคาถาอาคมต่างๆ พรานหนุ่มคนนี้เหมาะกับการเป็นผู้นำสู่ดินแดนอันตรายทุกประการ ไม่ใช่เขาชายวัย ๕๐ กว่า...ที่ใบหน้าอ่อนล้าเบื่อหน่ายต่อโลกที่เห็นอยู่ในกระจก
 
--------------------------------------------
 
อีกด้านหนึ่ง

นายเกษมหลังจากตกลงทำสัญญากับพรานวัยกลางคนแล้วเขาก็ขับรถเชฟโรแล๊กกลับพร้อมบุตรชาย ซึ่งระหว่างทางบุตรชายอดจะถามด้วยความสงสัยไม่ได้

"ป๋า ครับ...จริงหรือเปล่าที่พรานชดใช้เลือดเมียที่ตายเพราะถูกเสือสมิงกัดมาทา พานท้ายปืนที่เป็นไม้เคลือบชักเงาก่อนจะเอาไปล่าเสือตัวนั้นและเอามาส่งให้ สถานีของเรา"

"ฮ่าๆๆๆ แกก็ได้ยินเรื่องนี้ด้วยเหรอวะ ป๋าไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่แกต้องจำไว้นะ การจะทำให้สินค้ามันขายออกมันจำเป็นต้องสร้างมูลค่า ความน่าเชื่อถือ และส่งเสริมภาพลักษณ์ให้เป็นที่น่าจดจำ มันเป็นศาสตร์ในการโฆษณาอย่างหนึ่ง"

"ถ้าอย่างนั้น เรื่องต่างๆก็เป็นแค่เรื่องที่แกโม้ขึ้นมาเพื่อสร้างชื่อเสียงใช่มั๊ย"

"ป๋าก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้แกโม้หรือว่าเรื่องจริง แต่อย่างน้อยในเขตทุ่งสลักพระ ชื่อแกก็ติดปากอันดับต้นๆ ในลิสต์เรา"

"ผมสงสัยอย่างนึง ป๋าจะถ่ายรูปพรานชดไปทำไม เห็นบอกจะไปทำเรื่องภาษี เราไม่เคยจ่ายภาษีแทนพวกพรานนี่"

นายเกษมหัวเราะในลำคอ แกหยิบรูปถ่ายพรานคนอื่นๆสี่ใบส่งให้ลูกชายดู "พรานที่ถูกเสือดำตัวนี้ฆ่าตายป๋าถ่ายไว้หมดทุกคน และยังส่งคนตามไปถ่ายตอนถูกไอ้ดำมันขย้ำมาด้วย นี่มันเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจเช่นกัน"

"ส่วนหนึ่งของธุรกิจ?" ลูกชายนายห้างอินวินส์ไวด์ไลฟ์อุทานตาโต

"เรื่องนี้มันเป็นการเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ  ป๋าติดต่อกับสุลต่านในประเทศตะวันออกกลาง ว่าจะนำเสือดำ ที่ดุร้ายฆ่าคนจนติดเป็นนิสัย ขายให้กับสุลต่าน ในราคา ๕ ล้านบาทถ้ายังเป็นๆแต่ถ้าตายแล้วสตาฟส่งไปจะได้ ๓ ล้าน การทำสัญญาหลังจบภารกิจ จึงเกิดขึ้นมาด้วยเหตุนี้ เพราะถ้าพรานตายไปก่อนป๋าจะไม่เสียเงินก้อนใหญ่ ในการว่าจ้าง...

...และการยืนยันด้วยรูปถ่ายพรานที่ถูกฆ่าตายไป ทำให้ราคาของเสือดำทวีค่ายิ่งขึ้น ตำนานก็เป็นส่วนหนึ่ง ในการขายสินค้าเหมือนกัน ยิ่งคนตายมากเท่าไร ราคาของเสือก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เพราะถ้าหากบรรดาสุลต่านหรือราชนิกูลในราชวงศ์ทางยุโรปได้ไปครอบครองจะประดับเกียรติยศได้อักโข สามารถใช้คุยโอ้อวดถึงความร่ำรวยที่ถือครองสัตว์ร้ายหรือซากสัตว์ดุร้ายกินคนตัวฉกาจได้"


"แล้วถ้าหากพรานชด แกสามารถฆ่าเสือดำตัวนั้นได้หล่ะป๋า?" ลูกชายยังไม่วายมีข้อสงสัย

"เราก็จ่ายเงินค่าจ้างไป แล้วก็กระพือข่าวว่าพรานชดเป็นสุดยอดพรานในสยาม สามารถฆ่าเสือดำดุร้ายที่ฆ่าพรานใหญ่ตายมาหลายคนได้ เพิ่มค่าตัวให้เขา แล้วเศรษฐีทางยุโรป ตะวันออกกลางหรือไม่ก็อเมริกา ก็จะว่าจ้างเขาล่าสัตว์ดุร้ายที่มีประวัติอันตรายให้โดยผ่านทางเรา ซึ่งเราก็จะเป็นนายหน้ากินเปอร์เซ็นต์ไงหล่ะ?"

"อื่อ...ป๋าวางแผนได้ยอดเยี่ยมจริงๆ" ลูกชายเอ่ยอย่างชื่นชม
"มันอาจจะได้น้อยหน่อย แต่กินได้นาน พ่อค้าอย่างพวกเรา มีแต่ได้มากกับได้น้อยเท่านั้น ฮ่าๆๆ"

โกศลเม้มปากฟังเสียงหัวเราะของพ่อแล้วยิ้มในดวงตา เขาหวังจะเรียนรู้และสามารถด้านการเพิ่มมูลค่าสินค้าเพื่อเดินตามรอยเท้าของพ่อได้อย่างชาญฉลาดโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
 
บทที่ ๒ พนาสวาท
 
หลังจากได้รับการว่าจ้างให้ตามล่าเสือดำตัวนั้น พรานชดก็แต่งตัวด้วยชุดเดินป่า สวมหมวกปีกพันด้วยหนังเสือดาวใบเก่ง ใส่บู๊ทเดินป่า แบกเป้ขึ้นหลัง พร้อมสะพายปืนไรเฟิ่ล .๓๗๕ วินเชสเตอร์คู่ใจ เขากางแผนที่ออกมาดูเส้นทางคร่าวๆเพื่อดูจุดหมายที่จะเดินทางไป

'หมู่บ้านดอนสมิง' คือจุดหมาย

สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของห้วยยายทอง เดินตัดเขาไปใช้เวลาประมาณ ๓ วัน เขาเริ่มวางแผนการเดินทาง เส้นทางนี้ค่อนข้างโหดต้องขึ้นเขาลงห้วย

พรานชดเริ่มออกเดินทาง เขาเดินจากสันเขาสูงลูกหนึ่งวกลงหาหุบต่ำ  ผ่านดงไผ่รวกแนวยาว  สลับป่าเต็งรังและเสลาใหญ่ร่มรื่น   ต่อมาเลียบไหล่เขา คลาคล่ำด้วยดงตะเคียนขนาดสามคนโอบ   ลอดเถาวัลย์หมู่ใหญ่ ขนาดโคนขา   กระรอกกระโดดหนีไปส่งเสียงบนคบไม้สูงเหนือหัว ร้องทักเป็นระยะ  นกเงือกฝูงใหญ่ร้องโกกกาก  ขยับตัวเกรียวกราวบนกิ่งไทรชะลูดลิ่ว ต้องลุยฝ่ากอพงหนา สูงท่วมหัวริมคลอง   ใบคมยาวเรียวบาดแขน และ นอกร่มผ้าจนเลือดไหลซิบๆ   สองสามครั้งมีเสียงสวบสาบ ของสัตว์ที่หลบนอนในป่าพง ออกวิ่ง แต่มองไม่เห็นว่าเป็นตัวอะไร  แมงมุมป่าขึงใยขวางตามกิ่งก้านไทรแดงเปื้อนติดหน้าหลายครั้ง  ลุยน้ำท่วมหน้าแข้งก่อนจะข้ามกองหินที่โผล่พืดเป็นแนวฝ่าดงบอนใบใหญ่ไปหยุดตรงริมหาดเล็กๆริมน้ำเปรอะไปด้วยรอยสัตว์มากมาย  
 
สามวันต่อมาพรานชดเดินผ่านมอและเนินสูงอากาศยามสายร้อนขึ้นทุกขณะ  เขาเดินตัดผ่านเข้าไปในป่าดำอันร่มครึ้มบางแห่งแสงส่องไม่ถึงพื้น ใบไม้แห้งเกลื่อนกล่นสุมหนา ท่วมข้อเท้า  ดังกรอบแกรบ ทุกย่างก้าว  ฝูงผึ้งและแมลงตอมหึ่ง น่ารำคาญ ทากยั้วเยี้ย ชันตัวชูสลอนตามขอนไม้แห้ง บางตัวชะเง้อตามกิ่งไม้ริมทาง ยามหยุดพักต้องนั่งแกะออกจากรองเท้า ถุงเท้า  ตัวเป่งหลายๆตัวและแผลอันเกิดจากรอยกัด ต่อมากลายเป็นสะเก็ดจะคันนานแรมเดือน
 
จนกระทั่งล่วงเลยมาถึงวันที่สี่ ... หลังจัดการกับมื้อเช้าพรานชดเก็บข้าวของออกเดินทางเดินตัดขึ้นแนวสันเขาเขียว  ตามทางด่านช้างโขลงใหญ่ ตะลุยแหวกป่าไผ่ เป็นแนวราบโล่งเหมือนถนน มองไปเห็นแต่ลานหินโล่งสุดสายตา พรานชดตัดสินใจจะเดินฝ่าไปแต่ในใจก็คิดว่า 'ถ้าในตอนนั้นเรายังหาแหล่งน้ำไม่ได้ล่ะ?' ตรองอยู่อึดใจพรานชดจับหมวกปีกคาดหนังเสือดาวกดมาบังแดดที่แยงตา 'ถ้าถึงตอนนั้น ก็ช่างมันเถอะ..' . . . . . . .

สามวันที่ผ่านมาจากห้วยยายทอง พรานชดยังหาทางไปหมู่บ้านไม่เจอ แผนที่กับเข็มทิศชี้ว่าน่าจะมาถูกทางแต่ก็ยังไปได้ไม่ใกล้เคียงจุดหมาย แสงแดดเหมือนยมฑูต ที่เตรียมจะปลิดวิญญาณของพรานวัยกลางคนที่อ่อนล้าลงทุกวันในไม่ช้า น้ำในกระติกแห้งผาก เถาวัลย์ในละแวกนี้ยังหาไม่ได้

'ถ้ามือไม่สั่นเพราะกินเหล้ามากตอนจะเล็งยิงกวางเขางามตัวนั้นมันก็คงไม่ลำบากขนาดนี้หรอก... ยังดีที่ได้ไก่ป่ามาตัวเมื่อ ๓ คืนก่อน พอประทังความหิวไปได้บ้าง...' พรานชดเริ่มท้อแท้ บรรยากาศตอนนี้ มีแต่กลิ่นอับของใบไม้ที่ถับถมจนเน่าเสียกลิ่นเหม็นจนเวียนหัว ในสมองพรานชาติเริ่มหมดหวังและคิดว่าตนเองกำลังจะตายเพราะหลงป่า 'ฉันกำลังจะตามเธอไปในไม่ช้า....จะต่างกันก็ตรงที่ เธอถูกเสือดาวกัดตายอย่างโหดเหี้ยม แต่ฉันคงจะขาดน้ำและเป็นไข้ป่าตาย...'
 
ซู่ๆๆๆ 'เสียงน้ำไหล'

พรานชดที่นั่งหอบเพราะสิ้นหวังสะดุ้งเฮือก 'หูแว่วหรือเปล่า?' เขาถามตนเองและรวบรวมเรี่ยวแรงลุกขึ้นและใช้สองขาที่เดินมาอย่างทรหดตรงไปตามเสียงน้ำนั้น

บรรยากาศในป่าตอนนี้ เริ่มแช่มชื่นฉ่ำเย็น เขารู้ได้โดยสัญชาตญาณว่า มีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ๆแน่นอน

"ปวดหัวจนจะทนไม่ไหวแล้ว..อู้ยยย..หัวแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ....ขออีกนิด ใกล้จะถึงมันแล้ว ร่างกายเอ๋ยอย่าพึ่งทรยศ...ข้า...อ๋า..." พรานชดพยายามกระตุ้นตนเอง

'พลั่ก.....' พรานวัยกลางคนทิ้งตัวลงนอนอย่างไม่รู้สาเหตุ นัยน์ตาพร่า หน้าเริ่มมืด สุดจะฝืนบังคับร่างกายไปต่อ
 
ภายที่พรานวัยกลางคนแลเห็นสว่างๆมืดดำๆสลับกันไปมา เขารู้สึกว่ามีมือเล็กๆมาประคองรองศีรษะของเขาไว้อย่างอ่อนโยน และแทรกน้ำเข้ามาทางช่องปากด้วยปากของคนที่ประคอง เขารู้สึกชุ่มชื่นฉ่ำเย็นไปทั้งร่าง พยายามลืมตาเห็นภาพไม่ชัดนัก สาวผิวสีแทน ผมยาว สูงโปร่งเอวคอด สะโพกผาย ตัวเธอเล็กแต่ บัวคู่งามที่ตระหง่าน สวนทางกับรูปร่างที่อรชรเห็นชัดทุกสัดส่วน เธอเปลือยกายท่ามกลางแมกไม้...เขาคงฝันไป หน้าตาของเธอ เหมือนคนที่เขาเคยรู้จัก

"พิกุล...." เสียงของพรานวัยกลางคนที่พยายามเปล่งออกมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะครองสติไว้ไม่อยู่
.
.
"...เสียงหอบหายใจของเธอ อยู่ใกล้กับจมูกของพรานวัยกลางคนที่บัดนี้ท่อนร่างของเขาถูกบดและเบียดอย่างรุนแรงด้วยเอวของเธอ ปากและลิ้นของเขาและเธอ เกี่ยวกระหวัดเหมือนเชือกร้อย กลิ่นตัวของเธอมีลักษณะพิเศษไม่ใช่เหม็น และก็ไม่หอม...มันเหมือนเป็นกลิ่นสาปที่เคยได้กลิ่น

"อือ...ม...." แก่นกายของพรานวัยกลางคนพองก๋ากระแทกรับการบดของเอวเธอ
"อ้าๆๆๆ" เขาคงจะฝันไป ฝันว่ากำลังได้รับรสแห่งความสุขรัญจวนก่อนตาย

ความแข็งแกร่งของแก่นกายเสียดสีกับโพลงอ่อนนุ่ม สุขล้ำที่ห่างหายกลับมาหาพร้อมมอบความเสียวซ่านให้จนแทบสำรัก ส่ำเสียงรอบกายได้ยินเพียงเสียงเนื้อเนื้อกระทบเนื้อ เสียงหอบหายใจของกันและกัน จนกระทั่งถึงจุดแห่งความสุขทะลักทลายออกมาอย่างเกินกลั้น พรานชาติเกร็งสุดตัวปลดปล่อยความสุขออกมาพร้อมๆเสียงครางโหยหวนด้วยความสุขสันต์ลั่นพงไพร 'โอ๊ว...ว....ว....ว....'

พรานชดระลึกได้ว่าเหมือนมีแสงวาบสาดกระแทกเข้าที่ตาและเขาจำเหตุการณ์ได้แค่นั้น . . . . .
 
เสียงน้ำไหลใกล้หู ปลุกพรานชดให้ตื่นจากภวังค์ น้ำเป็นสายไหลมาจากที่สูงเป็นภาพที่อยู่เบื้องหน้าของเขาในตอนนี้ ราวกับได้รับชีวิตใหม่ พรานชดวิ่งเข้าไปวักน้ำขึ้นมาดื่มอักๆลูบหน้าลูบตาและรองน้ำใส่กระติก เขาเช็ดเนื้อตัวและล้างหน้าจนสะอาด ความกระปรี้กระเปร่ากลับคืนมาอีกครั้ง และเมื่อยืนขึ้นผินหน้ามองไปทางทิศเหนือ เห็นควันไฟลอยขึ้นมา กะระยะทางไม่นาจะเกิน ๓ กิโลเมตร

พรานวัยกลางคนหยิบแผนที่และเข็มทิศมาเช็คดูอีกทีและเงยหน้ามองด้วยรอยยิ้ม หลังจากดั้นด้นเฉียดตายมาทั้งอาทิตย์ในที่สุดก็มาถึงจุดหมาย "...นั่นสินะ...หมู่บ้านดอนสมิง!!!..." พรานชดกระหยิ่มยิ้มในจุดหมายที่กว่าจะมาถึงแทบเอาชีวิตมาทิ้งไว้กลางป่า "ในที่สุด...เราก็มาถึง..."
 
ที่ตั้งของหมู่บ้านสูงชันเพราะด้านหลังไม่เกินกิโลเป็นผา ผู้ใหญ่บ้านกลัวช้างเกเรจึงกำหนดให้สร้างหมู่บ้าน ณ ตรงจุดนี้ หน้าหมู่บ้านมีรูปปั้นเสือดำตัวใหญ่กำลังยืนอยู่ในอากัปกิริยาคำราม ความละเอียดของคนแกะสลักรูปปั้น ทำให้เสือหิน ดูราวกับมีชีวิต ผู้ใหญ่ เลาะผุ ชาวกะเหรี่ยงให้ต้อนรับขับสู้อย่างดีเมื่อรู้ว่า นายเกษมส่งมาเขาให้ล่าเจ้าเสือดำตัวร้าย

นายเกษมเข้าไปติดต่อคนพวกนี้ ก็เพื่อเอาสินค้าไปแลกกับของป่า มีหวาย ขี้ผึ้ง น้ำมันยาง น้ำผึ้ง ขี้ไต้ แก่นคูณ และหนังสัตว์ สินค้าก็มีพวกเสื้อผ้า ยารักษาโรค และเกลือ ถ้าให้เงินดูเหมือนพวกนี้จะไม่ต้องการเท่าไหร่ มีเงินแล้วไม่รู้จะไปซื้อของที่ต้องการได้ที่ไหน สมัยนั้น จุดที่อยู่นี้ มันอยู่ไกลสุดกู่กลางดงดิบแท้ ๆ ยากที่คนภายนอกจะบุกบั่นเข้าไปถึง

"ที่พัก เราจัดเตรียมไว้ให้ครับ อาจไม่สะดวกสบายเท่าบ้านคุณแต่อาหารการกินเรามีพร้อม..."

ผู้ใหญ่บ้านบอกเขาเมื่อจัดพิธีต้อนรับแบบกะเหรี่ยงเสร็จ

"ผู้ใหญ่สั่งให้เด็กๆ เอาเกลือไปแบ่งกันนะผมเตรียมมาพอประมาณ ก่อนเข้าหมู่บ้านบังเอิญได้ค่างมาตัว คืนนี้ทำแกงขี้เพี๊ยะกินกันผู้ใหญ่"

"เหล้าข้าวเหนียวเรามีเตรียมไว้ด้วยครับ คุณเกษมกำชับมาเพื่อคุณเป็นพิเศษ มีอะไรขาดเหลือบอกได้นะครับ"

พรานชดนึกอะไรได้บางอย่าง หยิบรูปที่ คุณเกษม ให้มาพร้อมบอกผู้ใหญ่

 "ผู้ใหญ่ ช่วยนำทางผมไปหาเจ้าของรูปถ่ายนี้หน่อย คุณเกษมบอกว่าผู้ใหญ่รู้ว่าใครถ่ายไว้"

ผู้ใหญ่บ้านมองภาพแล้วเอ่ยบอกว่า "เขาเป็นผู้ที่ชาวหมู่บ้านเราเคารพยำเกรงนะครับ แกชอบอยู่เงียบๆไม่สุงสิงกับใคร- -ผังโครงสร้างบ้าน วิธีชลประทาน รวมถึงการล่าสัตว์ ปลูกพืช นี่แกบุกเบิกวิธีใหม่ๆให้หมู่บ้านเราทั้งนั้น และแกยังมีฝีมือแกะสลักหินอีกด้วย คุณเกษมให้แกแกะสลักสัตว์ต่างๆไปประดับสวนและบริษัทหลายตัว พรานชดคงเคยเห็นบ้าง"

"ใช่ครับ แล้วแกเป็นคนที่แกะสลักเจ้าเสือหินตัวนั้นด้วยใช่ไหม?" พรานชดชี้ไปที่เจ้าเสือหินตัวนั้น
"ใช่ครับ เราเรียกแกว่า 'เฒ่าปาดู' ครับ"
 
หมู่บ้านของคนภูเขา มีเป็นหย่อม ๆ กระจัดกระจายทั่วไปในดงดิบบนหลังเขา กระท่อมแต่ละหลังมุงด้วยใบไม้หรือไม่ก็หญ้าแฝกหญ้าคา ฝาบ้านกั้นด้วยใบชาดใบกุง ซึ่งมีทั่วไปในป่า รูปร่างของกระท่อมเป็นเพิงหมาแหงน ปลูกติดกับพื้นดิน สร้างพอได้อยู่ชั่วคราว อย่างดีที่สุดก็ใช้ไม้รวกไม่ไผ่ทำ วัสดุต่าง ๆ เท่าที่หาได้ในป่าทั้งนั้น พวกเขาทำที่อยู่อาศัยไม่พิถีพิถันท่าไหร่เพราะมักจะย้ายที่อยู่กันบ่อยๆ

กลิ่นควันกัญชาโชยมาจากกระท่อมไม้แถวๆกลางหมู่บ้าน ประตูทางเข้าบ้านนี้ทำคล้ายๆซาลูนในผับแนวคาวบอย ซึ่งแปลกกว่าบ้านอื่นๆ ชายแก่ ที่ดูกำยำ มีเรี่ยวแรงวังชา แม้ผมจะเป็นสีดอกเลาทั้งหัว ใบหน้าเหี่ยวย่น แต่นัยน์ตาล้วงลึกเข้าไปถึงในใจที่มืดมิดของผู้คน
 
"เอาหน่อยไหมพราน..." แกยื่นบ้องที่ทำจากไม้ไผ่ กลางบ้องสลักเสลาลายนกยูง มาจ่อที่ปากของพรานชด

หากไม่รับก็จะถือว่าเป็นการดูถูกน้ำใจ พรานชดสูดควันเข้าไปช้าๆลึกๆ พยายามไม่ให้สำรักไอออกมา

"พ่อเฒ่าปาดูถ่ายไว้เมื่อไร พอจะบอกได้ไหม?" หลังดูดกัญชากันไปหลายบ้องจึงเริ่มคุยธุระ พรานชดยื่นรูปถ่ายให้แกดู

พ่อเฒ่าเหลือบตามองก่อนจะบอกเสียงยานคาง

 "สี่เดือนที่แล้ว...แหวงเป็นพรานที่ดี ไม่นาเลย...ไปยืนท้าทายกับอีดำหมายจะวัดฝีมือ แต่อีดำมันเร็วกว่า...พุ่งเข้าชาร์ตแล้วขย้ำเสียจมเขี้ยว..."

พรานวัยกลางคนฟังแล้วสะท้อนใจในชะตากรรมของเพื่อนก่อนจะถามสิ่งที่คาใจ

"พ่อเฒ่าถ่ายที่ไหน และไกลจากที่หมู่บ้านนี้มากไหม?"

"ไม่ไกลจากที่นี่หรอกพราน ตรงน้ำตกปลิงมะขาม ห่างจากหมู่บ้านไปซัก ๓ กิโล"

พรานชดฟังแล้วขมวดคิ้ว...เขาคิดคำนวณก็เดาว่า

"น่าจะเป็นน้ำตกที่เราฟื้นขึ้นมาหลังจากฝัน....ไม่สิ ร่องรอยคราบฝันเปียกยังคงเปื้อนกางเกงอยู่เลยนี่..... หญิงสาวคนนั้น. . .เป็นอะไร...นางไพร..หรือไร..."

 
เสียงหัวเราะดังมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป ๒ – ๓ ชั่วโมงในกระท่อมหลังนั้น พร้อมๆกับควันกัญชาที่ยังล่องลอยเป็นสายจนคลายหมอกลง พรานชดชักมึนเมาจนประคองสติไม่อยู่ นั่งหัวเราะขบขันกับสรรพสิ่งรอบๆกายไปเสียทุกอย่างจนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด พรานชดตบแขนเสื้อดูนาฬิกาก็เห็นเป็นเวลา ๑๘.๓๕ น. ฟ้ามืดแล้ว

"อื่อๆๆ ผู้ใหญ่คงรอแล้วล่ะ พ่อเฒ่าปาดู ผมคงต้องขอตัวก่อน คุยกันได้ความรู้อะไรใหม่ๆเยอะมาก"

พรานชดกล่าวร่ำลาแล้วเปิดประตูบ้านเตรียมจะกลับไปสมทบผู้ใหญ่บ้านเลาะผุ
 
แต่แล้วพรานชดต้องชะงักเพราะสาวชาวดอยผิวขาวราวกับหยวกกำลังเดินผ่านหน้าบ้าน ผิวเธอใสหน้าตาอ่อนโยน ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ หุ่นเธอ ออกอวบๆแต่ไม่อ้วน เธอหันมาจ้องหน้าพรานชดพอดี รอยยิ้มที่เดียงสาและเอียงอายตรึงตาพรานป่าวัยกลางคนไม่ยาก และสาวชาวดอยก็มีท่าทีสนใจพรานชาวไทยแม้วัยจะเท่าบิดาของเธอก็ตาม จนเฒ่าปาดูที่ตามาส่งกระแอมเสียงแม่สาวชาวดอยจึงเร่งฝีเท้าเดินห่างไปท่ามกลางความเสียดายของพรานวัยกลางคน
 
"นายพรานพกปืนมานี่ จะมาล่าเสือหรือล่ากวาง" เฒ่าปาดูเอ่ยถามพลางมองปืนคู่มือของเขา

"มาล่าเสือสิครับ ไม่อย่างนั้นผมจะมาถามเรื่องรูปทำไม?"

"มาล่าเสือก็แล้วไป  กระสุนมีเอาเก็บไว้ยิงเสือนะ ถ้าคะนองเอาไปยิงกวางระวังกระสุนจะหมดก่อนเวลาอันควร"

พรานชดอดขำในประโยคของแกไม่ได้ และเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย

 "พ่อเฒ่า ผมขอถามจริงๆเถอะนะ ที่บอกว่าถ่ายรูปพรานเหวงถูกเสือตะปบวันนั้น พ่อเฒ่าก็ยืนอยู่ไม่ไกลไม่ใช่หรือ ทำไมถึงรอดมาได้ มีอะไรดี"

"สัตว์ป่าส่วนใหญ่ มันกลัวไฟทั้งนั้นแหล่ะ พรานเองก็รู้"

พ่อเฒ่าปาดูตอบแล้วมองมาที่พรานวัยกลางคนด้วยนัยน์ตาที่ลึกสุดหยั่ง

"ถ้ามันเป็นสัตว์ธรรมดาก็ว่าไปอย่าง พ่อเฒ่าก็รู้นะ ว่าเจ้าเสือดำตัวนี้มันไม่น่าจะใช่..."

พรานชดค้างคำพูดแล้วยิ้มที่มุมปากก่อนจะสวมหมวกปีกกว้างคล้องหนังเสือดาว และค้อมหัวอำลาเฒ่าปาดู โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าแกมองตามแล้วหัวเราะ 'หึๆ' ไล่หลังเมื่อเขาเดินออกมาจากบริเวณบ้านของแก
 
-------------------------------------------------
 
เสียงร้องรำทำเพลงจากหมู่บ้านกระเหรี่ยงเล็กๆในป่า รอบกองไฟต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือนอย่างพรานชาติดังก้องไปทั้งหุบเขา พรานวัยกลางคนซดน้ำแกง ขี้เพี๊ยะโฮกใหญ่ รสจัดจ้าน เหล้าข้าวโพดพร่องไปครึ่งไห บรรยากาศชื่นมื่นมีเสียงพูดคุยหยอกล้อสนุกสนาน สถานที่แห่งนี้มันเป็นที่อยู่ของคนภูเขาเผ่าหนึ่ง เป็นชนกลุ่มน้อยมีภาษาพูดของตัวเอง ยากที่เรา ๆ ท่าน ๆ จะเข้าใจ

จะว่ากะเหรี่ยงหรือ?...พรานชดก็ว่าไม่ใช่ แต่งตัวคล้ายพวกแม้วทางภาคเหนือ เขาไม่ทราบประวัติว่าพื้นเพพวกนี้มาจากไหน เมื่อสอบถามคุณเกษมเขาก็ให้ข้อมูลว่า...ใครต่อใครพากันเรียกพวกนี้ว่า 'ซาบน' คงจะเพี้ยนมาจากคำว่า 'ชาวบน' เพราะพวกนี้ชอบอยู่ที่สูง ๆ บนภูเขา
 
แม้จะมีความเป็นอยู่ล้าหลัง แม้จะยอมแลกของมีค่ากับเครื่องยังชีพในราคาถูกก็ตาม แต่เท่าที่สังเกต คนพวกนี้ก็มีศีลธรรมเหมือนกัน ฟังมาว่าเคยมีพรานและพ่อค้าของป่าบางคน เอาของไปขอแลกกับผู้หญิงของเขา ปรากฏว่าพวกนั้นโกรธมาก ไม่คบหาอีกเลย ดีไม่มีจะได้เป็นศัตรูกัน แต่ถ้าถูกใจ เห็นว่าเราเป็นมิตรแท้ เขาก็อยากหาคู่นอนให้เหมือนกัน

คนภูเขาพวกนี้เป็นพวกขี้อายหวาดระแวงตลอดเวลา แต่ถ้าสามารถผูกมิตรทำให้เขาไว้วางใจได้แล้ว จะได้รับประโยชน์จากพวกนี้มากทีเดียว ไม่ว่าการแกะรอยสัตว์ หาของป่าที่ต้องการมาให้ ตลอดจนเป็นแบบอย่างในการดำรงชีพในป่า
 
"นังนีเจ๊ะ...รินเหล้าเติมให้ พรานชดด้วยซิ มัวแต่ชักช้า ทำเนียมอาย เอ็งต้องดูแลนายอย่างดีในคืนนี้" ผู้ใหญ่บ้านกำชับเสียงแข็ง พรานชดยิ้มละมัยหลังจากหมายตามานานแต่ไม่กล้าพูดคุยเพราะเกรงจะเป็นการลบหลู่  เมื่อเปิดทางให้เขาจึงได้รู้จักสาวชาวดอยคนงามนางนี้มีนามว่า 'นีเจ๊ะ...'

พรานชดรับจอกเหล้ามาดื่มแล้วเริ่มชวนคุยด้วยลีลาของพรานล่าเนื้ออ่อน

"กินด้วยกันสิ นีเจ๊ะ..." [

bigomnoi

สนุกดีครับ เสียดายชื่อพรานชดซ้ำกับคุณชายอนุชา วราฤทธิ์ เลยทำให้รู้สึกตะขิดตะขวงเวลาอ่าน

ว่าแต่คณะของรพินทร์ออกเดินทางจากกาญจนบุรีจริงๆใช่ไหมครับ ผมเองก็เพิ่งทราบ

kajhonsa

อ่านแล้วคิดถึงเพชรพระอุมา ของพนมเทียน อยากเห็นฝีมือยิงปืนของพรานชดเสียแล้ว

Jimpongth