ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

เฮฮาประสาลูกทุ่ง เดชแม่ยายBYนีโอ ตอน ผู้ใหญ่กับลำปางหนาวมาก ๑

เริ่มโดย นีโอ, กุมภาพันธ์ 24, 2016, 01:32:14 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

นีโอ

คุยก่อนอ่าน

หลังจากลงเรื่องสั้นๆมาหลายวัน และมีนักอ่านเรียกร้องให้ลงเรื่อง เดชแม่ยาย และไถ่ถามว่าไปถึงไหนแล้ว
วันนี้จึงขอนำเรื่องนี้มาลงตามคำเรียกร้อง ปัจจุบันเรื่อง เดชแม่ยาย ฉบับทรงเครื่องเขียนไว้ได้ ๘๘ ตอน ยังไม่จบ
เพราะผมตั้งใจจะเขียนให้ได้ ๑๐๐ ตอน และเขียนๆหยุดๆไปตามอารมณ์ กระทั่งระยะๆหลังๆจะปีละตอนแล้ว

สำหรับที่นำมาลงให้อ่าน จะเป็นตอนที่ ๘๔ - ๘๗ อันเป็นตอนที่ผู้ใหญ่ของเราจะเดินทางไปยังจังหวัดลำปาง
ลักษณะของเนื้อเรื่องจะเป็น Road movie คือเรื่องตัวละครได้ออกเดินทางไปเรื่อยๆ แล้วพบเจอเหตุการณ์ต่างๆนานา
ทำให้ตัวละครเปลี่ยนทัศนคติการมองโลกไป อันเป็นการดำเนินเรื่องที่ผมชื่นชอบ และถ่ายทอดออกมาให้ท่านอ่านกัน
แต่เนื้อเรื่องค่อนข้างจะอืดยืดยาด เพราะผมติดบรรยายมากไปหน่อย อาจไม่เหมาะกับสังคม ฟาสต์ฟู้ด เท่าไหร่
แต่เมื่อพวกท่านๆขอมา ผมจึงต้องจัดไปตามคำเรียกร้อง แต่จะได้อ่านจนจบหรือไม่ ก็อยู่ที่การตอบรับพวกคุณๆละ

และเมื่อท่านได้อ่านกันแล้ว ก็อยากให้มีน้ำใจพูดคุยแนะนำหรือแซวกันได้ตามถนัด
ส่วนจะตอบว่า ขอบคุณครับ ก็ขอให้ลืมๆไปเถอะ ไม่ตอบก็ไม่ว่า แต่อย่ารีพลายทำลายน้ำใจกัน

ด้วยไมตรีจิต นีโอ


นำเรื่อง...


เมื่อฝนเริ่มซาลง  ลมหนาวปลายเดือน ๑๐ ที่พัดมาจากไซบีเลียก็เริ่มมาเยือน ณ บูรพาถิ่นแห่งนี้อีกครั้ง  เป็นที่รู้กันดีว่า ภาคเหนือและภาคอีสานจะมีอากาศหนาวเย็นเร็วและยาวนานกว่าภาคอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น บางท้องที่อาจหนาวรุนแรงจนอาจกลายเป็นอีกหนึ่งภัยพิบัติเลยทีเดียว  ถึงกระนั้น...ความงดงามในความหนาวเย็น ก็ยังมีให้ได้สัมผัสในห้วงคำนึงอยู่เสมอๆ

สายลมยามบ่ายพัดโชยผ่านท้องทุ่งนาอันใหญ่กว้าง มองเห็นใบข้าวเขียวที่กำลังยืนต้นไหวเอนลู่ไปตามแรงลม ต้นตาลสูงใหญ่หลายต้นผุดขึ้นข้างคันนาบ้างคั่นผืนท้องทุ่งนากว้าง ต้นชิงชันต้นใหญ่ริมสายนทียังคงออกดอกสีม่วงช่อเล็กๆส่งกลิ่นหอมฟุ้งขจรไกล ยามสายลมพัดต้องก็หอบเอากลิ่นหอมอ่อนละมุนนั้นลอยไปในอากาศที่แสนบริสุทธิ์

วิถีชีวิตของคนชนบทยังคงดำเนินไปประดุจจะเป็นตำนานสืบสานต่อมาตั้งแต่รุ่นบรรพชน ความเชื่อที่ถูกฝังแน่นจนซึมซับเข้าไปอยู่ในสายเลือด ขนบธรรมเนียม ประเพณีอันดีงามถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นจนน่าภาคภูมิใจ

ท้องทุ่งนาข้าวที่เขียวขจีมองสุดลูกหูลูกตายาวไปถึงเขาน้ำค้าง ภูเขาลูกใหญ่ที่ตั้งตระหง่านขวางกั้นแบ่งเขตแดนระหว่างภาคเหนือและภาคอีสาน ดูแล้วช่างเป็นภาพที่ดูงามตา นี่คือธรรมชาติที่มีมนต์เสน่ห์ในตัวโดยมิต้องเพิ่มเติมเสริมแต่งแต่อย่างใด สร้างรอยยิ้มและยังความอิ่มเอมจิตอยู่ภายในลึกๆเมื่อได้มายืนสัมผัสกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า

สยามประเทศคืออู่ข้าวอู่น้ำที่ประเทศเพื่อนบ้านต่างอิจฉา เนื่องด้วยสภาพภูมิประเทศอันอุดมสมบูรณ์กว้างใหญ่ไพศาล อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักในการดำเนินชีวิตและช่วยหล่อเลี้ยงประชากรภายในประเทศ ดังมีคำกล่าวว่า สยามประเทศคือแผ่นดินขวานทองที่บริบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารในน้ำก็มี ปลาในนาก็มีข้าว 'เป็นคำกล่าวอ้างที่ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย' ชนบทยังคงมีมนตร์ขลังเสมอเต็มไปด้วยเรื่องราวเล่าขานถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไมตรีจิต




สายลมร้อนยามบ่ายหอบพัดพาอากาศอันเย็นสดชื่นเข้าปะทะกับใบหน้าของผม ทำให้สูดรับเอาความเย็นบริสุทธิ์ที่ธรรมชาติเสกสรรจรรโลงแต่งแต้มเข้าเสียเต็มปอด ร่มเงาทอดจากต้นหว้าขนาดใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมพื้นที่กว้างพอประมาณช่าง เป็นเกราะกำบังแสงแดดได้อย่างดีเยี่ยมให้กับร้านกาแฟบ้านนางรองที่ผมกำลังนั่งสนทนาอยู่กับปู่กรกฏ ลุงเจ๋ง เจ้าชมและลูกน้องเดนตายอย่างเจ้าคมที่ติดตามผมไปทุกที่ราวเงาตามตัว

'ตั๋วน้องเป็นสาวรุ่นราวเอ๊าะๆ หุ่นฮ่างก็เหม๊าะบ่าวมาเก๊าะมาต๋อม อี่แม่น้องขาง เปิ้นตึงบ่ยอม ถึงไผมาต๋อม ตึงบ่ฮื้อใกล้.....'

"โอ๊ยย....กรี๊ดดด วี๊ดวิ๊วววววววว...."

เสียงเพลงยอดนิยมดังลั่นร้านจากตู้เพลงดึกดำบรรพ์ที่ยังหลงเหลือตกยุคอยู่ภายในร้านกาแฟ ทำเอาบรรยากาศง่วงงุนตอนบ่ายคึกคักขึ้นอักโข เพลงนี้น่ารักขนาด ขับร้องโดยนักมวยสาวหน้าสวยแชมป์ภาคเหนือชาวจังหวัดลำปางชื่อเพลงเปิดใจสาวแต หรือเปิดใจสาวแตกก็ไม่รู้ ของน้องกระแต อาร์สยาม ตอนนี้ผมและคนในร้านฮาลั่น เมื่อเจ้าคมจอมทะเล้นลากเจ้าชมคนซื่อเกลอของมันออกไปเต้น เจ้าชมพยายามจะกลับมานั่งเพราะเขินอาย แต่ก็ถูกรั้งไว้และยืนทื่อเป็นเสาให้เจาคมออกลีลาเลียนแบบโคโยตี้รูดเล่นไปซะอย่างงั้น ทำเอากลุ่มคนในร้านขำกลิ้งฮากระจายไปตามๆกัน

'ไผบ่ได้หยุ๊บ ไผบ่ได้ก๋ำ คงบ่ได้หลำ ไป๊เป๋นลูกไป๊ น้องแตคนงามมาขอยก อะมือไหว้ บ่าวเหนือบ่าวใต้ อ๊ดเอาาาาาาาาาาาาาา....'


ท่ามกลางเสียงเพลงเจ้าคมเต้นโยกอย่างเหลือร้าย ส่ายเอวเด้งหน้าเด้งหลังพลิ้วชนิดโคโยตี้ต้องตะลึง ความสามารถช่างเหลือหลายจริงๆ ยิ่งร้องยิ่งเต้น เสียงแซวเสียงวี๊ดวิ๊ว ดังลั่นร้าน แต่ที่ไม่ปลื้มด้วย ก็คงเป็นเจ้าชมที่ทำหน้าไม่ถูกเพราะมันค่อนข้างจะเป็นคนเงียบๆ พูดน้อย และจริงจังกับชีวิต แต่ถูกเจ้าคมลากมาทำตลกผิดคอปเซ็ทจึงเกรงจะเสียภาพพจน์ แต่พอจะเดินกลับก็ถูกดึงไปยืนเป็นเสาให้รูดเล่นอย่างไม่อาจจะขัดขืน

'...บ่ว่าเมืองกรุงบ่ว่าบ้านนอกบ่าวมาอู้ มาหยอกตั๋วน้อง ก็เขิน จะบอกอี่แม่ จะไปขางเมิน กลั๋วได้เคิ้นเกิ๋นะก๋ายเป็นสาวเฒ่า    สาวน้อยลำปางหุ่นบางผิวขาวรออายุถึงซาว ก่อนหนอพี่จัน....'

'....ถ้าแม่เลิกขางฮื้อมาโวยโวยนะจ๊ะอี่น้องเป็นนักมวยนะแต่บ่สวกฮื้อไผ ถ้าป๊ะป้อจายดีจะฮักจ๋นวันต๋ายจะบ่หลายใจ๋ ฮักไผฮักมั่น  ป๊ะป้อจายขี้จุ๊อย่าหาว่าดุอ้ายเหยจะล๊อคคอตีเข่าเลยจนคางเอยเอยพี่จัน ..นี่ ละหนอ หนอ ละนาย...'


"ไอ้บ้า! มึงทำอะไรของมึงวะ เมากาแฟหรือไง เต้นไม่อายคนเลย"
เสียงเจ้าชมบ่นเมื่อเพลงจบขณะกลับมานั่งที่เดิม
 เจ้าคมหัวเราะร่าอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร "มึงจะเครียดอะไรหนักหนาวะ ปลดปล่อยซะบ้าง กูเห็นมึงทำหน้าเครียด จริงจัง พูดน้อย เดี๋ยวจะกลายเป็นคนเก็บกดนะเว้ย"
"แต่ไม่ใช่คนบ้า เต้นแร้งเต้นกาอย่างมึง เด็กๆมาเห็นมันจะไม่นับถือเอา"
"แหมๆ ทำยังกะมีคนนับถือมึงจังนะ ที่นั่งสุมหัวกันอยู่เนี๋ย มีใครนับถือบ้างวะ บอกกูหน่อย"
ปู่กรกฏวางแก้วกาแฟแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจทันที "อ้าวๆ ไอ้คม ลามปามซะแล้ว เพราะร่วมกลุ่มกับมึงนี่แหล่ะ ถึงจะไม่มีใครนับถือ หัดสำรวมและดูวัยบ้าง มึงไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ"
"แต่ยังไงๆ ผมก็เด็กที่สุดในกลุ่มนี้หล่ะกัน" เจ้าคมยังเถียงคำไม่ตกฟาก
ลุงเจ๋งที่นั่งเงียบมานานส่ายหน้าอย่างระอา "ปู่อย่าไปสีซอให้ควายฟังเลย เล่นกับหมาเลียปาก เปลืองตัวเปล่าๆ"
"โอโห้...ลุงเจ๋ง เปรียบผมเป็นหมาเชียวหรอ..."

ผมนั่งมองบรรยากาศการพูดคุยทำนองทุ่มเถียงยิ้มๆ และยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม ละเลียดความกลมกล่อม นุ่มละมุนลิ้น หอมกรุนกลิ่นกาแฟแท้ๆชั้นดีลงคออย่างดื่มด่ำ ยิ่งคนชงไม่ต้องพูดถึง เธอยืนยิ้มอยู่ข้างๆผม เจ้าของร้านกาแฟประจำหมู่บ้าน ผู้สืบทอดสูตรกาแฟโบราน 'สายสวาทไม่ขาดสิ้น'  เธอเป็นสาวทรงโตเจ้าของเรือนร่างอวบอิ่ม ใบหน้ารูปไข่สวยคมคามไม่แต่งแต้ม ดูสวยแบบธรรมชาติ จมูกโด่งพองาม ริมฝีปากบาง ผิวขาวผ่องเพราะไม่ได้ตากแดดลม เธอสวมใส่เสื้อคอกระเช้าคว้านคอลึกกับผ้าซิ่นสีสด  ทรวงอกอวบอิ่มใหญ่โตดันผืนผ้าจนเป็นส่วนโค้ง ไล่ลงมาที่เอวกลมคอดกลายเป็นส่วนเว้า หน้าท้องแบนราบ สะโพกพายกลมมนรับกับปลีขายาวโผล่พ้นมาแค่ข้อเท้าขาวผ่อง ทำให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ยามเมียงมองมาถึงกับกลืนน้ำลายลงคอได้อย่างลำบาก เก็บไปฝันจินตนาการถึงความสวยงามของส่วนเร้นลับซ่อนอยู่ในร่มผ้า

เสียงหวานๆเอ่ยถามอย่างเอาใจ "รับกาแฟเพิ่มบ้างไหมจ๊ะ พี่ผู้ใหญ่?"
"สายใจเอ้ย! ใจคอเอ็งจะชงกาแฟให้แต่พี่ผู้ใหญ่หรอวะ?" เจ้าคมเอ่ยแทรกขึ้น "ตั้งแต่พี่ผู้ใหญ่มานั่งนี่ ข้าไม่เห็นเอ็งสนใจใครเลย มายืนประกบบริการพี่เค้าอยู่คนเดียว ... สนใจคนอื่นๆบ้าง เดี๋ยวจะเสียลูกค้าหมด"

สายตากลมโตตวัดมองเจ้าคมอย่างไม่พอใจ "ถ้าลูกค้าปากไม่มีหูรูดอย่างแก ฉันไม่เสียดายหรอก มากินไม่เคยจ่ายสักครั้ง บัญชีเก่าบัญชีใหม่รวมๆแล้วชื้อควายได้ไม่รู้กี่ตัว ถ้าไม่เป็นเป็นคนสนิทพี่ผู้ใหญ่ อย่าหวังจะให้เขามาเหยียบร้าน นั่งแด๊ก...เอ้ย!" สาวทรงโตที่ทำหน้าขึงขังสะดุ้งเอามือปิดปาก หันมายิ้มหวานแบบเขินๆให้ผม "ขอโทษค่ะพี่ หยาบไปหน่อย" จากนั้นหันไปทำหน้าดุใส่เจ้าคมต่อ "นั่งกินไปเงียบๆไม่ต้องเห่าหอนแทรกขึ้นมา ร้านนี้ร้านของฉัน จะขายใครบริการใครเป็นพิเศษ มันก็เป็นเรื่องของฉัน...อย่าแส่ ไม่งั้น...ฉันจะอันเชิญออกไปไม่ทัน..."

เจ้าคมหงอยไปในทันที ปู่กรกกหัวเราะหึๆในลำคอ "ไงหล่ะเมิง...นั่งเฉยๆไม่ชอบ"
"นั่นสิ...เล่นกะใครไม่เล่น มาเล่นกะนังสายใจ ปากมันเป็นรองใครในบ้านนางรองบ้าง" ลุงเจ๋งเสริมมา
ผมเองขำๆในท่าทีจ๋อยๆของเจ้าคม หันไปบอกสาวทรงโต " ไปดูแลลูกค้าคนอื่นๆเถอะ มีอะไรเดี๋ยวพี่เรียกนะ"
"จ๊ะ" สายใจรับคำหวานก่อนทำหน้าดุๆและสะบัดใส่เจ้าคม และเดินบิดก้นกลับไปประจำการหลังโต๊ะชงกาแฟ

"สวัสดีครับผมชื่อ เคอิโงะ นามสกุลซาโตะ มาร้องขอความเห็นใจ
ผมตามหาพ่อที่อยู่แจแปนแดนไกล คุณรู้จักไหมช่วยบอกผมที่เถิดหนอ........"


เสียงร้องเพลงแบบเด็กๆดังออกมาจากจอทีวี ทำเอาผมชำเรืองสายตาไปดู เพราะจำได้ว่าบทเพลงนั้นโด่งดังอยู่พักใหญ่ เนื่องจากขับร้องโดย "เคอิโงะ ซาโตะ" เด็กชายลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น วัย ๙ ขวบที่ออกมาตามหาพ่อบังเกิดเกล้าชาวแดนอาทิตย์อุทัย และเกิดเป็นกระแส "เคอิโงะ ฟีเวอร์" ก่อนที่เจ้าตัวจะได้เจอ คัทซูมิ ซาโต ผู้เป็นพ่อชาวญี่ปุ่น จนกลายเป็นข่าวดึงครึกโครมตามสื่อต่างๆ และเรื่องราวของเขาก็ค่อยๆจางหายไปจากสังคมไทย ซึงจอทีวีกำลังออกอกาศรายการสกู๊ปพิเศษหลังจากเวลาผ่านไป ๕ ปี จนคนหลงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

 "อนาคตผมอยากเรียนให้สูงที่สุดตั้งเป้าไว้ที่อย่างน้อยต้องจบปริญญาตรี ส่วนจะประกอบอาชีพอะไรนั้นต้องดูความเป็นไปได้อีกที แต่สิ่งที่ตั้งใจจะทำคืออาชีพที่มีประโยชน์กับสังคมเพราะที่ผ่านมาสังคมช่วย ให้ผมสมหวังในการพบกับพ่อ เอาจริงๆผมอยากเรียนด้านดาราศาสตร์ หรือไม่ก็สื่อสารมวลชน เพราะอยากเป็นนักข่าวจะได้ช่วยเหลือคนอื่น ผมได้พบพ่อก็เพราะนักข่าว" เด็กหนุ่มวัย ๑๕ ปี เคอิโงะ ให้สัมภาษณ์กับรายการถึงความฝันในอนาคต

จากนั้น เคอิโงะ เล่าต่อว่า สำหรับการติดต่อกับ คัทซูมิ ซาโตะ พ่อชาวญี่ปุ่นนั้นก็ติดต่อกันเดือนละ ๒ – ๓ ครั้ง โดยผู้เป็นพ่อจะโทรศัพท์มาหา ก็มีถามไถ่เรื่องผลการเรียนบ้าง และให้ตั้งใจเรียนหนังสือ โดยคัทซูมิ จะมาเยี่ยมอีกครั้งประมาณเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นเทศกาลสงกรานต์ ส่วนจะไปอยู่กับพ่อที่ญี่ปุ่นหรือไม่นั้นก็ยังไม่ได้คิดอะไร ตอนนี้อยากเรียนให้จบปริญญาตรีก่อน และอยากทำงานช่วยป้า ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณเลี้ยงดูและส่งเสียดูแลมาตลอด

ต่อมาภาพก็ตัดไปที่ชายวัยกลางคนอ้วนป้อมใบหน้ากลมๆแต่งชุดข้าราชการเต็มยศชื่อ นาย กร ยอดเยาว์ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลเมืองพิจิตร(ท่าหลวงสงเคราะห์) ซึ่งเป็นโรงเรียนเดิมของ เคอิโงะ และเป็นผู้ที่ดูแล เคอิโงะ มาตั้งแต่ต้น เขากล่าวว่า 'เคอิโงะ เป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนหนังสือและมีความประพฤติดี มีความกตัญญูสูง เมื่อไปเรียนที่อื่นตนก็นำบัญชีต่างๆที่มอบช่วยเหลือในรูปแบบของคณะกรรมการ ไปมอบให้โรงเรียนพิจิตรพิทยาคม เป็นผู้ดูแลต่อไปครับ...'

แม้ "เคอิโงะ ซาโตะ" จะผ่านชีวิตที่เคยโด่งดังเป็นข่าวหน้า ๑ และทีวีทุกช่องมาแล้ว และวันนี้กำลังย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนเขาจะยังคงใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายในบ้านหลังเก่า ยังคงวิ่งเร่ขายอาหาร ปลา ขายปลาและนก เหมือนเคย ยังช่วยหารายได้เลี้ยงครอบครัว ยังคงเป็นเด็กน้อย "ยอดกตัญญู" ของป้า และคนในครอบครัวเหมือนเมื่อเกือบ๕ ปีที่แล้ว

"สนใจข่าวแบบนี้เหมือนกันหรือพี่?" เจ้าคมเอ่ยถามขึ้น

"ก็ไม่ค่อยสนใจหรอกวะ และรู้สึกในตอนนั้นว่าพวกสื่อมันให้ความสำคัญเกินไปเพราะว่าเห็นเขาเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น จริงๆ แล้วสื่อไม่น่าให้ความสำคัญขนาดนั้น เอาจริงๆ เด็กไทยลูกครึ่งญี่ปุ่นนี่เยอะมาก เยอะเกินไป...สาเหตุเพราะผู้หญิงทำงานขายบริการให้ชาวต่างชาติเยอะมาก  นี่แหละเป็นส่วนหนึ่ง" ผมเอ่ยตามตรง  "เรื่องราวทำนองนี้มีเยอะ ส่วนใหญ่เกิดกับผู้หญิงที่ทำงานคาราโอเกะก็มีหลายคนที่เขามีลูกที่เกิด จากผู้ชายญี่ปุ่น ท้องปุ๊บ เขาก็จะพาย้ายกลับไปอยู่บ้าน ไปคลอดลูกที่บ้าน กรณีแบบนี้เยอะ และส่วนใหญ่พ่อเด็กชาวญี่ปุ่นนั้นมักเป็นนักท่องเที่ยวธรรมดาทั่วไปที่มา เมืองไทย และมุ่งหวังมีความสัมพันธ์ระยะสั้นเพียงไม่นานกับผู้หญิงไทยเท่านั้น พอน้ำแตกมันก็กลับประเทศทิ้งปัญหาไว้ที่ประเทศไทย"

"แต่ที่หมู่บ้านเรา นังชมพู่หลานยายทองก็มีผัวญี่ปุ่นนะ เห็นเขาก็ส่งเสียเลี้ยงดูกันดี"เจ้าชมแทรกมาบ้าง

" แต่เปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นอย่างนั้นมันน้อยมาก ไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ในจำนวนผู้หญิงทั้งหมดที่เดินสายนี้...แต่สิ่งที่กูสงสัยคือสื่อและสังคมให้ความสนใจต่อกรณีเคอิโงะเกินพอดีหรือเปล่า?" ผมเอ่ยกับทุกคนที่สนใจฟังอย่างมีสาระ "แล้วตอนนี้เห็นกระแสมาเยอะมาก เด็กญี่ปุ่นลูกครึ่งที่แบบว่าแม่เสียชีวิต ต้องตามหาพ่ออะไรอย่างนี้ ซึ่งสื่อให้ความสำคัญเกินไป พูดตรงๆ ว่าขนาดเด็กไทยกำพร้าเขายังไม่ให้ความสำคัญขนาดนี้เลย พอเห็นว่าเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นปุ๊บ ก็ให้ความสำคัญ พาไปพักโรงแรม ไอ้นู่น ไอ้นี่ออกมาเอาหน้าช่วยเหลือเยอะแยะเลย แต่เด็กไทยกำพร้านี่ไม่มีเลย ไม่เห็นจะมีใครคิดจะยื่นมือมาช่วยเหลือตรงนี้ ตามหาพ่อตามหาแม่หรือว่าอะไรให้กับพวกเขาบ้าง"

"เอ็งอคติหรือเปล่า ไอ้ผู้ใหญ่..." ลุงเจ๋งแทรกขึ้นมา " โบรานว่า...ไม่ใช่เลือดไม่ใช่เนื้อ แต่มีใจเอื้อเฟื้อ ก็เหมือนเนื้ออาตมา ใช่เลือดใช่เนื้อ แต่ไม่มีใจเอื้อเฟื้อ เหมือนกับเนื้อในป่า ..."
"ฟังดูเหมือนแล้งน้ำใจต่อคนที่มีสายเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่งในตัว แต่ฉันว่าการช่วยเหลือหรือให้ความสำคัญต่อกรณีเด็กลูกครึ่งญี่ปุ่น อย่างเคอิโงะนั้น ต้องมีความพอดีไม่มากเกินไปอย่างที่เห็นมา"

"โธ่...พี่ผู้ใหญ่ นั่นมันเป็นการสร้างกระแสเท่านั้น..หลังจากจากที่ไอ้เจ้าเคอิโง๊ะมันดัง หลายคนเกลียดเคอิโงะครับ... หลายคนหมั่นไส้ ที่ตอนนั้นเคอิโงะดังอยู่พักใหญ่แล้วออกเทป เดินสายอัดรายการ เขียนหนังสือ ผมว่าตัวเด็กมันไม่ได้คิดเองหรอก ผู้ใหญ่และสื่อนี่ละคิดให้  เพื่อมีกระแส มันขายได้ ทำเงินได้ จึงเร่งปั้นกระแสกัน แล้วไง...พอไม่นานเจ้าเคอิโงะตกอันดับ ก็มีเด็กชายหม่องมาแทน หลายคนจึงสมน้ำหน้า...รวมทั้งผมด้วย"

"ใครวะ? ไอ้เด็กชายหม่อง" เจ้าชมเอ่ยถามอย่างสงสัย

"ก็ไอ้เด็กพม่าที่เข้ามาเรียนในไทย แต่ไม่มีสัญชาติไทยไง...มันพับเครื่องบินกระดาษ แล้วร่อนได้นาน ๑๒ นาทีกว่าๆชนะเลิศในรุ่นอายุ ๑๒ ปี ตอนนั้นกูก็ดีใจด้วยมากๆ เลยนะ เครื่องบินกระดาษอาจฟังดูเป็นเรื่องเล็กๆ ปัญญาอ่อน แต่กูว่าพี่น้องตระกูลไรท์ที่ทำเครื่องบินคนแรก ก็คงเคยโดนหาว่าปัญญาอ่อนเหมือนกัน แต่... สิ่งที่กูรู้สึกเซ็งในตอนนั้นคือข่าวของไอ้เคอิโงะที่ออกมามากจนเอียน...เลยดีใจที่มีข่าวคนอื่นๆมากลบข่าวมัน"
"มึงอิจฉาเขาหล่ะสิ..ที่เขาดังกว่า..."

"เปล่าๆ กูไม่อิจฉาเลยสักนิด แต่สมเพชเวทนาสื่อและคนอยากได้หน้าต่างหาก กระแสเด็กชายหม่องพอเริ่มดัง ก็เริ่มคนหมั่นไส้... ยิ่งมีข่าวว่าจะเป็นตัวแทนวิทยาศาสตร์ไทย ได้ทุนเรียนถึงปริญญาเอก ส่วนเรื่องสัญชาตินี่กูไม่รู้เพราะว่ามันละเอียดอ่อนและซับซ้อนเกินความรู้กู ตอนนั้นกูนึกว่าจะได้ออกเทป ไปแข่งกับบ้าน AF และอื่นๆ อีกมากมาย แต่แล้วอนิจจา... กระแสเด็กชายหม่องเต็มที่ผ่านไปเดือนนึง  คนไทยก็ลืมหมด ซึ่งตอนนั้นเคอิโงะคงกลายเป็นปุ๋ยหมักอยู่แถวไหนแล้วไม่รู้ ล่าสุดก็น้องเหนียวไก่...ที่เหนียวไก่ถูกหมาคาบไปแดก แล้วน้องเค้าออกมาโวยวายถ่ายเป็นคลิปด่า 'เหยดดดแหม๋' ฟังเหมือนฮานะ แต่อยากจะบอกว่ากูจริงจัง...มากกกก" เจ้าคมเอ่ยราวแถลงการณ์ของผู้นำเหล่าทัพ

"จริงจังอะไรวะ?" ปู่กรกฏฟังแล้วขัดขึ้น "เรื่องไร้สาระทั้งนั้น"

"มองในฐานะคนนอก  เออ ไอ้เคอิโงะนี่มันน่าสงสารสุดๆ น่าสังเวชด้วย แต่ผมว่าถ้ามองในมุมเด็กคนนึงที่ตามหาพ่อ เรื่องนี้มันเศร้าอยู่ แต่ผู้ใหญ่ต่างหากที่เอาเด็กมาหากิน ปั้นให้เป็นแบบนั้นโน้นนี้ พอหมดช่วง Peak เกือบเจอพ่อ ก็ถีบลงท่อ ไปหาเด็กคนใหม่แทน ถ้าผมเป็นเด็กชายหม่อง ผมจะรีบโกยผลประโยชน์ให้เต็มที่ ถ้ามีคนเสนอให้ได้ทุนถึงปริญญาเอก ผมจะบีบคอคนๆ นั้นให้เซ็นเอกสารลายลักษณ์อักษรไว้เลย เพราะตอนนี้ ชื่อ "เด็กชายหม่อง" กลายเป็นปุ๋ยหมัก ไม่มีใครจำได้สักคน ไอ้คนจะช่วยก็หายหัวไปหมด...น้องเหนียวไก่อีกเหมือนกัน ไปเป็นปุ๋ยอยู่แถวไหนอีกคนก็ไม่รู้..."

ปู่กรกฏแทรกขึ้นว่า "คนไทยสงสารเคอิโงะ คนไทยยินดีกับเด็กชายหม่อง และช่วยเหลือน้องเหนียวไก่เป็นเรื่องที่ดี แต่กูก็รู้ว่ามันไม่นานคนไทยขี้เห่อและลืมง่าย ยิ่งทุกวันนี้โลกเราหมุนไว ผู้คนต้องการเสพข่าวใหม่ไวมาก หรือไม่ก็เพราะคนไทยไม่รู้จะไปสนใจอะไรแล้ว การเมืองก็มีแต่เรื่องของผลประโยชน์ ไอ้เด็กชายหม่อง ไอ้เคอิโงะ หรือน้องเหนียวไก่นั่น จะว่าไปก็เหมือนสินค้า ที่สื่อตีข่าวขายได้ บริษัทนั้นโน้นนี้แห่มาเป็น Sponsors ติดโลโก้สนับสนุนข้างตัวเด็ก นักการเมืองรีบโผล่มาแสดงความยินดีเอาหน้า ทั้งหมดไม่มีอะไรเสียเลย ทุกคน Win – Win ทั้งนั้น  แต่พอเวลาผ่านไปจุดขายหมดความนิยม ขายไม่ได้ก็จบ... นี่คือสัจธรรมของโลกยุคนี้โว้ย"

"ว่าแต่คราวหน้าจะมีข่าวอะไรน่าสนใจบ้างหนา...หรือว่า..."
เจ้าคมหันมามองหน้าผมยิ้มๆ
"มึงมองกูแล้วยิ้มทำไมวะ?"
"ถ้าหากว่าวันหนึ่ง...มีเด็กมาตามหาพี่แล้วบอกว่าเป็นพ่อมัน...อาจจะกลายเป็นข่าวดังได้นะ"
ลุงเจ๋งก็แทรกขึ้นบ้าง และฟังดูไม่ค่อยสร้างสรรค์ "อื่อ..ถ้าเป็นจริงนะ..ไอ้ผู้ใหญ่ดังแน่ๆ เด็กน้อยวัย ๑๐ ขวบวอนสื่อติดต่อผู้ใหญ่บ้านนางรอง บิดาที่ไม่เคยเห็นหน้าตั้งแต่เกิด รับรองว่าดังทั้งเอ็งและหมู่บ้านเราแน่ๆ ฮ่าๆๆๆ"
"ไม่ตลกนะ ลุงเจ๋ง" ผมบอกเสียงขุ่นๆ "ถึงฉันจะไปไหนแล้วไปถึงทุกที่ แต่ฉันก็ป้องกันตัว รับรองไม่ทิ้งปัญหาไว้หรอกน่า แล้วถ้ามีจริง ป่านนี้มันต้องมีมาตามหาบ้างแล้ว"
"อาจจะมี แต่มันไม่อยากมาตามเอ็งก็ได้นะ ไอ้ผู้ใหญ่" ปู่กรกฏเอ่ยขึ้น ทำเอาผมอดคิดตามไม่ได้
"ทำหน้าเครียดๆซะแล้ว อย่าคิดมากน่า...ล้อเล่นขำๆ"เจ้าคมตบบ่าแล้วเอ่ยหยอก "แต่ถ้ามีนะ..ก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่า ลูกๆของพี่จะหน้าตาเป็นอย่างไง นิสัยอย่างไง เห็นแต่เมียแต่กิ๊กจนเบื่อแล้ว ฮ่าๆๆ"
"........" ผมชักมีสีหน้ากังวนขึ้นมา เมื่อคิดตามที่เจ้าคมบอก

จำได้ว่า....เมื่อครั้งถูกโสภารวดรัดวางแผนเหนือชั้นจับผมแต่งงาน ในตอนนั้นผมวุ่นวายสับสนมากๆที่ต้องสูญเสียอิสรภาพของความโสด...กินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายคืน กว่าจะทำใจรับได้  และยิ่งผมไปที่ไหนก็ชอบมีอะไรกับสาวๆประจำ แม้จะรอดโรคเอดด์มาได้อย่างโชคช่วยหลายครั้ง แต่...บางครั้งการมีอะไรๆกับสาวๆในวัยเจริญพันธุ์บางคน มันอาจจะเผลอฝากอะไรไว้ในกายเธอบ้างก็ได้  แม้ว่าวันนี้ยังไม่มีใครมาแสดงตนเป็น'หน่อเนื้อเชื้อไข' ของผม แต่...อนาคตไม่แน่ และปัญหาคงจะตามมาอย่างชนิดหาบทสรุปที่ลงตัวไม่ได้  

จึงได้แต่ภาวนาว่า...อย่าได้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับผมเชียวนะ
ทว่า...เรื่องราวและปัญหาที่เราไม่อยากจะเจอ มักจะเข้ามาหาเราอย่างไม่ได้เชื้อเชิญ
ซึ่งมันกำลังจะมาหาอย่างชนิดที่ผมไม่ทันตั้งตัว ซ้ำยังพัวพันซับซ้อนแปลกพิสดารจนคาดไม่ถึงทีเดียว








----------------------------------------------------

Neo   Entertainment Ulimited . ภูมิใจเสนอ

เฮฮาประสาลูกทุ่ง

รำลึกหน้าที่ชายไทย (We Are Royal Thai Army)

เดชแม่ยายBYนีโอ  ฉบับ ทรงเครื่อง  

ผู้ใหญ่ กับ อดีตรักลูกสาวผู้การ

-----------------------------------------------------


เริ่มเรื่อง

แสงตะวันยามบ่ายฉายสีทองทาบทาท้องทุ่งนาเขียวขจีที่เต็มไปด้วยต้นข้าว ซึ่งกำลังยืนต้นงามเปรียบเสมือนดรุณี แรกแย้มที่แข่งกันอวดทรงสาวชวนเชิญให้หนุ่มๆต้องชายตามองแบบมิรู้เบื่อ   แมลงปอสามสี่ตัวบินล้อลม บ้างก็จับตามใบข้าวเรียวทำตัวเป็นนิติเวชคล้ายกับกำลังพิสูจน์หลักฐานอะไรบางสิ่งบางอย่างอยู่แบบตั้งอกตั้งใจ โดยมีตั๊กแตนลายพรางสองตัวกำลังซุ่มตัวเงียบกัดกินแทะเล็มใบข้าวเขียวอย่าง เอร็ดอร่อยอยู่ใกล้ๆ  

'แอ๊บ... แอ๊บ.. แอ๊บ..'

เสียงเขียดนาตัวน้อยลอยคอส่งเสียงร้องอยู่ข้างต้นข้าวเป็นสัญญาณบอกกล่าวให้ ศัตรูในชุดลายพรางเลิกก้าวล้ำรุกรานกับผู้มีพระคุณ เพราะมันใช้กอต้นข้าวแห่งนี้เป็นบ้านที่คอยซ่อนตัวกำบังเมื่อยามมีภัยมาถึง มันนั่นเอง  หอยโข่งตัวใหญ่กำลังขยับกายไต่ขึ้นตามลำต้นข้าวอย่างช้าๆเพื่อ นำพาตัวเองขึ้นมาพักสายตามองหาวิสัยทัศน์ที่ดีขึ้น  ต้นหญ้าขึ้นแซมเขียวขจี อยู่สองข้างคันนาที่ทอดยาวห่างออกไป มองเห็นสระน้ำอยู่ห่างไกลลิบลับ มีต้นใบหม่อนกลุ่มหนึ่งที่ชาวนาปลูกไว้บนคูสระน้ำขนาดใหญ่กำลังแตกใบเขียวสวย งามแข่งกับใบข้าวในท้องทุ่งกว้างแบบที่ไม่มีใครยอมใคร  และคงต้องเฝ้ารอหาคณะกรรมการผู้ตัดสินมาช่วยชี้ชัดว่าใครจะเป็นฝ่ายได้ความงดงาม ไปครองในที่สุด....
 
รถโฟร์วีลล์คันเก่งของผมแล่นบนถนนผ่านธรรมชาติอันงดงามของบ้านนางรองตรงไปยังเนินสูงท้ายหมูบ้านอันเป็นที่ตั้งนิวาสถานแสนสุขของผม   หลังจากไต่ขึ้นๆลงๆไปมาตามลาดเขาจนมาถึงไหล่เขาสุดท้าย ก็เลี้ยวเข้าทางแยกเล็กๆที่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กเลียบกำแพงคอนกรีตสีขาวขุ่นที่สูงทะมึนคดเคี้ยวไปมาตามภูมิประเทศสูงๆต่ำๆ  จนกระทั่งถึงประตูเหล็กดัดอลูมิเนียมบานใหญ่ทั้งกว้างและสูง  ประตูบานนี้ใช้เป็นทางเข้าออกสำหรับผู้ที่พักอาศัยอยู่ในบ้านและผู้มาเยี่ยมเยือนหรือติดต่อธุระราชการต่างๆเท่านั้น ส่วนพวกคนงานและผู้ที่มาติดต่อทำธุระกรรมเกี่ยวกับโรงสี ไร่ผลไม้หรือเรื่องอื่นๆ มีทางเข้าออกต่างหาก ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกด้านหนึ่งไม่ปะปนกัน

เมื่อขับมาถึงประตูเหล็กดัดอลูมิเนียมผมก็บีบแตรรถสองสามที เพียงครู่เดียวประตูบานหนาหนักนั้นก็เปิดออกด้วยระบบไฟฟ้าจากผู้ควบคุมภายในบ้าน ผมขับรถแล่นเข้าไปตามถนนปูน ที่นำไปสู่ลานกว้างปูลาดด้วยหินก้อนแบนๆสีส้ม ที่สีสันของมันเริ่มจางลงจากสีส้มแสดเจิดจ้า มาเป็นส้มอ่อนๆปนเขียว จากตะไคร่ที่เกาะติดอยู่ห่างๆตามรอยต่อของหินและสุดทางคือโรงรถขนาดใหญ่ที่มีรถหลายคันจอดอยู่ ต่อจากลานหินกว้างใหญ่นี้ มีบันไดหินกว้างยาวห้าขั้นที่นำไปสู่ทางเดินปูด้วยหินชนิดเดียวกัน

สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ขึ้นเป็นระเบียบมีทั้ง สัก เต็ง รัง ไทร ต้นตะแบกซึ่งกำลังออกดอกสีม่วงหวานพราวเต็มต้น ต้นคูณที่ดอกสีเหลืองสดสว่างไสวของมัน ชูช่ออรชรห้อยย้อยเป็นพวงลงมาเกือบระดิน ต้นกาสะลองซึ่งมีเถาเล็บมือนางอาศัยเลื้อยพัน ออกดอกสีชมพูปนขาวและแดงงดงาม ส่งกลิ่นหอมตระหลบ ต้นแคแสดดอกสีสดใสแข่งกับท้องฟ้าที่สีครามเจิดจ้ายามบ่าย ต้นก้ามปูหรือจามจุรีที่เต็มไปด้วยดอกสีชมพูอ่อนหวาน ต้นปีบซึ่งดอกขาวโพลนของมัน งามระเหิดระหงอ่อนช้อยราวกับนางระบำ ตามคาคบของต้นไม้เหล่านี้ มีกล้วยไม้ป่าสีต่างๆโผล่หน้าชูช่ออวดกลีบก้านออกมา บนพื้นดินริมทางเดินเต็มไปด้วยดอกไม้ป่าหลากสีและดอกหญ้า ซึ่งขึ้นแทรกอยู่เป็นกลุ่มๆ ต้นไม้เหล่านี้ล้อมศาลาทรงกลมสี่เสาหลังใหญ่ที่ยกพื้นสูงมีเก้าอี้โยกไม้มะค่าสีดำตั้งอย่างโดดเด่น ด้านข้างเป็นโต๊ะหินอ่อน จากตรงศาลาสามารถมองเห็นพื้นที่ของหมู่บ้านนางรองได้กว้างไกลสุดสายตาถึงภูเขาน้ำค้างอันเขียวขจี

ทันทีที่รถจอดสนิทในโรงรถผมก็ลงจากรถพร้อมหยิบถุงข้าวของต่างๆที่ชื้อมาเดินเข้าไปในตัวบ้าน ผมก้าวผ่านบันไดหินห้าขั้น เดินไปตามทางเดินซึ่งค่อยๆยกระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆเหมือนขั้นบันได สุดทางเดินเป็นบ้านหลังใหญ่ ที่ครึ่งล่างเมื่อมองจากภายนอก ก่อด้วยอิฐดินเผาเป็นก้อนๆสีน้ำตาลอมเหลือง ส่วนครึ่งบนเป็นไม้สักทอง ตีประกบเป็นแผ่นๆสูงขึ้นไปจนถึงหน้าจั่ว หลังคาตึกซึ่งมุงด้วยกระเบื้องโมเนียแผ่นหนาหนักสีน้ำตาลเขียวเข้ม หักมุมยักเยื้องไปมาตามรูปทรงของบ้านไม้กึ่งปูน ดูสลับซับซ้อนแต่สวยงาม บ้านหลังนั้นมีขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนเนินสูง รอบตัวบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพันธ์ ก่อนถึงประตูเข้าบ้าน มีระเบียงกว้างปูด้วยหินแกรนิตแผ่นใหญ่ สีน้ำตาลอ่อนเป็นมันวับ

ผมก้าวผ่านประตูหน้าบ้าน ซึ่งเป็นบานไม้สักทองสิบสองบานแบบโบราณที่ขณะนี้เปิดกว้างอยู่ โดยที่บานประตูข้างละหกบานถูกผลักไปพับซ้อนกันไว้คนละข้าง เดินเข้าไปในห้องแรกซึ่งเป็นโถงกลางกว้างใหญ่ กรุทุกด้านด้วยแผ่นกระจกใส ม่านผ้าเนื้อหนักหนามันระยับสีครีมอ่อนที่กรุอยู่โดยรอบ ขณะนี้รูดเปิดหมดทุกด้านเพื่อระบายอากาศ

เครื่องตกแต่งทุกชิ้นในห้องเป็นแบบล้านนาทั้งหมด ทั้งชุดเก้าอี้ไม้สักทอง สลักเสลาลวดลายวิจิตรพิสดารที่ตั้งอยู่กลางห้อง โต๊ะ ตู้ ตั่ง ขนาดใหญ่ที่รายล้อมอยู่รอบห้องก็ล้วนแล้วแต่สวยขรึมอลังการ ฉากสามตอนขนาดใหญ่ที่ตัวกรอบทำจากไม้สัก ตัวฉากแต่ละตอนเป็นรูปวาดแบบศิลปะล้านนา ที่ลงรักปิดทองอย่างประณีตงดงาม มุมหนึ่งของห้องมีแจกันรูปขวดใบสูงเท่าเอว มีดอกเอื้องช่อยาวๆหลากสีปักประดับอยู่ นาฬิกาโบราณทรงสูงตั้งอยู่อีกมุมหนึ่ง ส่งเสียงติกๆๆ เมื่อเข็มนาฬิกาค่อยๆเคลื่อนที่ไป เจ๊เดือนแม่บ้านผู้ดูแลแบบเช้ามาเย็นกลับรีบเดินมารับข้าวของต่างๆที่ผมหอบเข้ามา

"สร้อยไปไหนหล่ะ?"
ผมเอ่ยถามถึงคนที่ควรจะพบเห็นทุกครั้งที่กลับมา
"อยู่ในสวน กำลังตัดดอกกุหราบอยู่..." เจ๊เดือนบอกแล้วหอบของหายเข้าไปในครัว

ผมเดินผ่านห้องโถงกลางไปตามทางเดินแคบๆ ซึ่งสองข้างมีห้องหลายห้องเรียงรายอยู่ เดินไปจนสุดทางแล้วลงบันไดเตี้ยๆไปยังทางเดิน ที่ปูด้วยหินแผ่นใหญ่ ที่นำไปสู่สนามหญ้าที่มีหญ้าเขียวขจี รอบสนามเต็มไปด้วยไม้ดอกสีสดใสหลากสีหลายพันธ์ ที่มีมากที่สุดคือกุหลาบเลื้อยต้นอวบสูง ออกดอกสะพรั่งเต็มต้น กุหลาบพันธ์พื้นเมืองที่ปลูกเป็นกอสลับสี ออกดอกใหญ่ขนาดจานข้าวใบย่อมๆ เพราะอากาศที่เย็นจัดและการดูแลอย่างดีจากสร้อย แม่ยายที่รักของผม

สร้อยเคยเล่าให้ฟังว่ากุหลาบพันธ์ดีพวกนี้ เป็นกุหลาบเก่าแก่ที่อดีตสามีของเธอปลูกไว้ และเป็นที่ที่เธอจะมาชื่นชมกับความงามของมันทุกวันถ้าอยู่บ้าน กุหลาบทุกดอกจะถูกตัดออกจากต้น ต่อเมื่อมันเริ่มโรยราแล้วเท่านั้น ผมเดินผ่านแปลงกุหลาบมาเรื่อยๆก็เห็นร่างระหงของแม่ยายที่รักก้มๆเงยๆอยู่ที่แปลงกุหลาบ ซึ่งเธอพิจารณากุหลาบดอกหนึ่งบนเถากุหลาบเลื้อย ซึ่งลำต้นของมันอวบสูง ซึ่งแสดงถึงอาการที่ผิดปรกติ

สายตาของผมจับนิ่งอยู่ที่ร่างเพรียวงามร่างนั้นอย่างชื่นชม ผู้หญิงคนที่ผมปรารถนามาชั่วชีวิตแต่โชคชะตาเล่นตลกให้ต้องพลัดพรากจากไกลและยังเล่นตลกซ้ำให้กลับมาอยู่ร่วมชายคาในฐานะแม่ยาย

ร่างระหงเต่งตึงทุกส่วนไม่ร่วงโรยไปตามวัย ร่างงามอยู่ในเสื้อแขนกุดสีเหลืองอ่อนตรงคอจับจีบแบบคอกระเช้าทว่าออกแบบให้ทันสมัยอวดไหล่และท่อนแขนขาวและแนบรัดสัดส่วนเต็มตึงให้ชวนฝันหาไม่คลาย กางเกงขาสั้นสีขาวอวดเรียวขาเพรียว ผมดำยาวปล่อยสยายทิ้งตัวอย่างมีน้ำหนัก ร่างของหญิงที่ผมใฝ่ฝันนั้นหันหลังมา สายตาผมทอดมองไปยังภาพเบื้องหน้าที่แสนชื่นชมโดยมีสวนกุหลาบปลูกยาวจรดกำแพง ถัดไปคือหมู่บ้านนางรองใต้ท้องฟ้าสีครามยามบ่าย

หมู่บ้านนางรอง...หมู่บ้านเล็กๆอันเป็นถิ่นเกิดของสองเรา มีเรื่องราว และความผูกพันธุ์มากมายเกิดขึ้นระหว่างสองเรา ทั้งสุข ทุกข์ รอยยิ้ม ดีใจ เสียใจ ร้องไห้  จนไม่อาจจะลืมเลือนตราบจนวันสิ้นลมหายใจ หวนระลึกถึงวัยหนุ่มสาวของเราทั้งสองคราใดความทรงจำในยามนั้นแจ่มชัดราวเพิ่งผ่านไปเมื่อวันวานเสมอ...

แสงแดดอ่อนๆส่องกระทบร่างงดงาม สายลมพัดผ่านร่างกายของแม่ยายคนสวย  เส้นผมยาวสลวยถูกกระแสลมพัดพลิ้วไหว  เสื้อบางๆแนบเน้นร่างกายอวดส่วนสัดอันน่าใฝ่ฝันนั้นให้เห็นเด่นชัด ทั้งทรวงอก เอ


guang_k

ตามหาเนื้อเรื่องแนวนี้ ชอบอ่านเรื่องที่เน้นบรรยายครับ ใช้ควา คิดตามเนื้อเรื่องไปเรื่อยๆ แนวฟาสต์ฟู้ดมันปุบปับเร็วไปไม่มีความละเมียด

phet.79

ชอบอ่านเรื่องนี้มากครับ ลุ้นให้ฟาดแม่ยายสักที555
ผมหาเจอแค่ตอนสี่สิบกว่าๆ แล้วมาเจอโพสต์นี้เลย
อยากติดตามครับ