ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ศึกไสยเวทย์ ตอนที่ ๒ กำราบนางผีร้าย

เริ่มโดย นีโอ, กุมภาพันธ์ 26, 2016, 02:15:12 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

นีโอ

คุยก่อนอ่าน

มีคำถามจากนักอ่านหลายท่านสอบถามเรื่องเกี่ยวกับที่ผมเขียน และมีคำถามหนึ่งถามมา น่าจะเป็นตัวแทนหลายๆคน



บอกตรงๆนะครับ ว่าผมเขียนเรื่องมาจะมีรูปประกอบตลอด แต่ว่าในบอร์ดสาธารณะนี้ไม่กล้าลง
เพราะกฏหมายลิขสิทธิ์ค่อนข้างแรง  ขืนลงรูปซี้ซั้ว เจ้าของรูปมาเจอจะถูกฟ้องเอาง่ายๆ
แต่สำหรับเรื่อง ศึกไสยเวทย์ พอจะลงให้ดูได้ เป็นภาพของน้องเจน ผู้น่ารักจากเรื่องนี้แหล่ะ
เธอแอบไปโผล่เป็นดารารับเชิญในเรื่อง ลูกผู้ชายพันธุ์ดี โดยเดินทางไปทำข่าวที่หมู่บ้าน ฮีโร่ๆๆ

เท้าความนิด ตอนนั้นผมมีสังกัดจะออกหนังสือ บก.เป็นคนเขียนบทให้ทีวีช่องหนึ่ง และดีลออกหนังสือกับ
ทำเรื่อง ศึกไสยเวทย์ เป็นละครทีวีนี้ล่มไปด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง

ก็เหลือแต่ภาพความทรงจำของน้องเจน ที่ไปแจมกับลูกผู้ชายพันธุ์ดีไว้ให้ดูต่างหน้า อ่านแล้วคิดว่าเขาคัดตัวแสดงเหมาะไหม
สำหรับผมเองดูน้องเจนจะอายุเยอะไปนิด แต่น้องดาราคนนี้ก็แสดงดีนะ โก๊ะๆเปิ๋นๆน่ารักดี
ใครอยากดูว่าน้องเจนเวอร์ชั่นนี้ เป็นอย่างไง ไปหาดูในยูทรูปได้ เท่าที่จำได้ประมาณตอนที่ 30 มั้ง




ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเเละเป็นกำลังใจเสมอมา

ด้วยไมตรีจิต นีโอ







ตอนที่ ๒ . กำราบนางผีร้าย

' อื้อ.อ.อ...อู๊ย...ที่นี่ที่ไหน.... '

เมื่อหญิงสาวรู้สึกตัวลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าผู้ชายคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าสายตาหญิงสาว และเมื่อสมองประมวลเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นตั้งแต่ลอบติดตามเขามาจนกระทั่งเขาแสดงอิทธิฤทธิ์หายตัวไปต่อหน้าต่อตาก่อนจะหมดสติไป ซึ่งมันแทบจะทำให้หญิงสาวกรีดร้องออกมาอีกครั้ง แต่เขารีบยกมือห้ามเอาไว้ก่อน

"ใจเย็นๆครับ อย่าเพิ่งกลัวหรือตะโกนเสียงดัง ผมไม่ใช่ผี...ผมเป็นคนครับ"

"ไม่ใช่ได้อย่างไง ก็ฉันเห็นคุณ..." หญิงสาวขยับตัวถามเสียงสั่น พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้ว่าตัวเองตกใจเพราะเจอผีแล้วสลบไป หญิงสาวรีบก้มหน้าตรวจดูเสื้อผ้าบนตัวอย่างตกใจ พอแน่ใจว่าชุดเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่อยู่ไม่มีร่องรอยถูกฉีกขาด จึงระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ 'อย่างน้อยก็ยังไม่ถูกเขาฉวยโอกาส'

" คุณยังปลอดภัยและมั่นใจได้ว่ายังบริสุทธิ์อยู่ และผมพาคุณมานอนพักตรงนี้ก่อน ใจเย็นๆนะ ผมจะค่อยๆอธิบาย "

หญิงสาวเหลียวมองไปรอบๆ ตัวเองนอนอยู่บนแคร่ไม้ใต้ถุนบ้านหลังหนึ่ง หญิงสาวยันแขนลุกขึ้นนั่ง แม้จะหายใจตกใจไปหลายส่วน แต่หญิงสาวเองก็มองหน้าชายหนุ่มงงๆ ถึงเขาจะบอกว่าตัวเองไม่ใช่ผี แต่ไอ้ที่เห็นเขาหายตัวไปต่อหน้าต่อตานั่นต้องมีคำอธิบายให้เคลียร์ รวมทั้งผู้หญิงสวมชุดไทยนั่นอีกมาจากไหน

"เอ่อ...คะ..คุณอยู่ๆก็หายไป ทำได้อย่างไง?"

"เอาหล่ะๆ ผมจะบอกความจริงก็ได้นะ ผมเป็นหมอผีครับ" เขาสารภาพความจริงออกมา

"อะไรนะ!?" หญิงสาวขมวดคิ้วนิ่วหน้า "คุณเนี่ยนะ หมอผี ล้อเล่นน่า ไม่เห็นเหมือนสักนิด"

"แล้วยังไงถึงจะเหมือนละครับ?"

"ก็ต้องแก่ๆผมยาว กินหมาก สวมชุดขาวห้อยประคำพวงใหญ่ๆ หรือคุณยังไม่แต่งตัว"

"นั่นมันหมอผีทั่วไป ที่ตั้งสำนักเข้าทรง ร้อยละเก้าสิบของเก๊ แต่ผมคนละอย่างครับ"

"อื่อ...คุณเป็นหมอผี..ละ..แล้วทำไมต้องแกล้งหลอกฉันให้เป็นลมเป็นแล้งด้วย บอกดีๆไม่ได้หรือไงหล่ะ" หญิงสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเง้างอน แสดงท่าทีไม่พอใจแบบน่ารักๆ "คะ..คุณหายตัวได้ และหายไปต่อหน้าต่อตาฉัน ขอชมนะว่า...คาถาอาคมของคุณเยี่ยมมาก แต่ก็น่าจะฉุดคิดหน่อย เกิดฉันหัวใจวายตายไปกลายเป็นผี ใครจะรับผิดชอบ...เคยคิดถึงข้อนี้บ้างไหม ทีหลังอย่าทำอีกนะ".....

"ผมไม่ได้แกล้งครับ เป็นตะเคียนที่ทำ ผมห้ามไม่ทัน" ชายหนุ่มปฏิเสธและกล่าวอ้างถึงอีกคน

"ใครหรอตะเคียน นอกจากคุณแล้วยังมีเพื่อนคนอื่นๆมาด้วยอีกหรอ...ไหนๆอยู่ไหน เรียกมาคุยหน่อยสิ"

"แน่ใจนะครับ ว่าอยากคุยกับเขา"

หญิงสาวลุกขึ้นเท้าสะเอวทำทีเอาเรื่อง "อยากคุยเซ่ มาหลอกให้ฉันตกใจจนสลบ งานนี้ต้องเคลียร์กัน"

"อยากเจอเขาผมจะเรียกออกมาให้ แต่ค่อยๆคุยกันนะครับ"ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกๆและหันไปข้างๆพลางพูดขึ้นว่า "ตะเคียน ออกมาได้แล้ว"

สิ้นเสียงของเขา ร่างลางๆก็ค่อยๆปรากฏตัวขึ้นมาให้เห็นเด่นชัด เป็นร่างของผู้หญิงผิวคล้ำในชุดห่มสไบ นุ่งโจงกระเบนสีน้ำตาลเข้ม ผมยาวสยายใบหน้าสะสวย ดวงตากลมมีแววดุๆน่าหวั่นเกรง หญิงสาวอ้าปากค้างตาเบิกกว้าง โอ๊ย..เห็นจะๆ ตะเคียนที่เขาเอ่ยถึงคือผีนางไม้หรือนี่ โอ๊ย..คลิปที่เธอเคยดูยังไม่ชัดแจ้งขนาดนี้ โชคดีหรือว่าโชคร้ายวะนี่

"สวัสดีนะ เราเจอกันอีกแล้ว..." หญิงคนนั้นเอ่ยเสียงหวานและเย็นยะเยือกเสียดหัวใจ

"อะ..อ้า...อ่ะๆๆ..." อยู่ๆหญิงสาวสิ้นเรี่ยวแรงขาสั่นพั่บๆซวนเซไปพิงเสาบ้านมองร่างหญิงตรงหน้าตาค้าง

ร่างที่โผล่มาตรงหน้าแม้จะดูไม่ค่อยเป็นมิตรด้วยรอยยิ้มแบบหยันๆและเสียงทักทายอย่างห้วนๆ ทำเอาหญิงสาวขนลุกไปทุกเส้นทั่วร่างกายอีกครั้ง เธอพยายามตั้งสติให้ไม่วูบไปอีกและความมือล้วงกระเป๋าสะพายขนาดเล็กหายาดมเอาออกมาดมเพื่อใช้บรรเทาอาการหน้ามืด วิงเวียน คล้ายจะเป็นลม เนื่องจากถูกผีหลอก

"คะ..คุณเป็นใคร?"

"ฉันชื่อตะเคียน เป็นภูตที่สิงอยู่ในต้นตะเคียน หล่อนคงเคยได้ยินเรื่องของฉันมาบ้างนะ"

"ตะเคียน!" หญิงสาวฟังแล้วเอ่ยชื่อทวน "นางตะเคียนที่ว่า...ดุร้ายมากๆน่ะนะ"

"ใช่!" เสียงเย็นๆตอบมาห้วนๆ "ฉันคือนางตะเคียน ผีที่ดุและเฮี้ยนที่สุดในสยามประเทศ"

"ฮ้า...ตัวจริงหรอ?" หญิงสาวหันไปถามชายหนุ่ม เขาพยักหน้ารับ

หญิงสาวรู้สึกหายใจติดขัด สติชักจะเลือนลอยเปิดหลอดยาดมออกมาเพื่อสูดดมด้วยมือที่สั่นเทา ขณะเปิดหลอดมันก็หล่นจากมือเนื่องจากอาการสั่นที่ไม่สามารถควบคุมได้ หญิงสาวพยายามก้มลงไปหยิบแต่ก็สั่นจนหลุดกระเด็นไปอีก

แต่ขณะพยายามจะก้มหยิบก็มีมือเรียวขาวนวลหยิบหลอดยาดมส่งให้

"นี่ค่ะ...."

หญิงสาวรับมาดมแล้วถอนหายใจดังเอิ๊ก

"ขอบคุณนะคะ....."

หลังจากตั้งสติได้ก็หมายจะหันไปมองหน้าผู้มีพระคุณหยิบหลอดยาดมส่งให้ ตอนแรกนึกว่านางตะเคียนที่ตนหวาดกลัวแต่ร่างนั้นยังยืนนิ่งอยู่อีกฝั่งข้างๆชายหนุ่ม จึงหันกลับไปมองหน้าว่าใครเป็นคนหยิบให้ พอหันไปมองก็ต้องตาค้างพลางอุทานเสียงลั่นอีกหน

"หะ..หา....นะ..นี่..คะ..คุณ...ปะ...เป็น.น.น.น....ใคร....?!..."

หญิงสาวผมยาวสลวยอีกคนยิ้มหวานหยด ซึ่งเป็นคนละคนที่ปรากฏกายข้างๆชายหนุ่ม เธอผู้นี้ผิวขาวนวล สวมชุดไทยสไบเฉียงและโจงกระเบนสีเขียว ใบหน้าขาวใสดวงตาเรียวโตดูเป็นมิตร หญิงสาวเขยิบถอยออกห่างมาอย่างไม่วางใจ แม้จะรู้สึกว่าแม่หญิงผู้นี้เป็นมิตรมากกว่าแม่นางตะเคียนก็ตาม

หญิงสาวผู้มาใหม่ยิ้มกว้างอย่างอ่อนโยน " ฉันชื่อ ตานี สังกัดพี่หมอเหมือนกัน เป็นเพื่อนกับ ตะเคียนค่ะ "

" เป็นเพื่อน...หมายความว่า... "

" ค่ะ .... ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันนางตานี ภูตที่สิงอยู่ในต้นกล้วยค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ... "

" เอิ้ก.ก.ก.ก.ก...... "

หญิงสาวเองตอนนี้ความกดดันถาโถมเข้าหาถึงขีดสุดจนไม่อาจประคองสติไว้ได้อีก

เธอผงะถอยหลังและหงายท้องตึงลงไปพร้อมๆกับความรู้สึกที่ดับวูบลงอีกครั้ง...
.
.
"เฮ้ๆๆๆ หล่อนๆๆ ตื่นๆๆ ตื่นได้แล้ว"

เสียงนุ่มๆทุ้มๆดังที่ข้างหูพร้อมๆแรงตบเบาๆที่แก้มสองข้าง กลิ่นของยาดมลอยวนไปอยู่ในรูจมูก ทำเอาหญิงสาวที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราอดรำคาญไม่ได้ก่อนจะขมวดคิ้วบางๆด้วยถูกกวนใจ "อย่าเพิ่งกวนสิ...เมื่อคืนฉันทำงานดึก...ขอนอนอีกหน่อยนะ...เดี๋ยวตื่นมาค่อยกลับ...อื่อ..อ..อ..." ตอบแล้วก็พลิกตัวพลางปัดมือที่ข้างที่กำลังตบแก้มของตนออกและพลิกใบหน้าดึงหมอนเอามาแนบใบหน้าพลางซุกหน้าฝังลงไปเพื่อสู่ห้วงนิทราล้ำลึก

"จะมาขอนอนอะไรอีกหน่อย ตื่นๆๆ ฉันหนักนะ..."

สิ้นเสียงตะโกนเย็นๆหญิงสาวก็ถึงกับสะดุ้งผุดลุกขึ้นมาเปิดเปลือกตามองโลกเบื้องหน้าอีกครั้ง

'อ้าว...นี่ไม่ใช่หลับและฝันไปหรอกหรอ?'

ภาพความมืดรอบๆกายและนอนอยู่บนแคร่ไม้บ่งบอกได้อย่างดีว่า หญิงสาวยังคงตกอยู่ในสถานการณ์ชวนสยองที่เดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปไหน เหลือบมองข้างๆก็เห็นใบหน้าคมขำของหญิงห่มสไบสีน้ำตาลจ้องแบบบอกบุญไม่รับเพราะนั่งอยู่แล้วเอาศีรษะของเธอหนุนตักต่างหมอน ส่วนหญิงห่มสไบเขียวก็กำลังเอาหลอดยาดมมาวนอยู่เหนือจมูกของเธอ ช่างน่าซาบซึ้งจริงๆผีสาวสองตนนี่ หลอกเสร็จยังมีกะใจช่วยพยาบาลเธออีก แต่หญิงสาวไม่อาจซาบซึ้งในน้ำใจนั้นได้นาน รีบผุดลุกออกมายืนห่างๆด้วยความหวาดผวาทันที
ยังไม่ทันจะพูดอะไรหรืออุทานอะไรออกมาเป็นเรื่องเป็นราว ชายหนุ่มสุดหล่อก็เดินเข้ามายืนตรงหน้า

"ไม่เป็นไรใช่ไหม...ผมห่วงแทบแย่ "

"ฮะๆๆๆ...อีเท่ากับเอ็มซียกกำลังสอง...ฮะๆๆๆ พระเจ้า! พระโพธิสัตย์! พระพุทธ พระธรรม พระสงค์...."

หญิงสาวตอนนี้ชักสติจะแตกหัวเราะร่าและพูดอะไรออกมาก็ไม่รู้ตัว

"นี่! แม่คุณ!!!" ผีสาวห่มสไบสีน้ำตาลเดินมาจับไหล่และพูดเรียกสติ

"เจอจังๆหลายหนแล้ว น่าจะชินจนมีภูมิคุ้มกันผีได้แล้วนะ ยังจะกลัวอีกหรอ?"

ภูติสาวอีกตนเข้ามาลูบหลังลูบไหล่ "ใจเย็นๆนะ หายใจลึกๆ ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก...."

" โอ๊ย...เจอทั้งผีปลอบ ผีดุ...ฮื่อๆๆๆ "  หญิงสาวหลับตาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้วเบือนหน้าหนี

"เอาละนะ...ทำใจดีๆไว้ ตะเคียนกับตานี เขาเป็นเทพนางไม้ไม่ใช่ผี..อย่ากลัวนะ...โอ๊ะ..โอ๋...."

ชายหนุ่มพูดปลอบและเข้ามาหาพลางโอบไหล่กอดร่างของเธอเข้าหาอกหนาๆกำยำๆเต็มไปด้วยมัดกล้าม

"ฮะ..ฮื่อ...แต่ฉันยังไม่ชินอ่ะ...ฮื่อๆๆๆ" หญิงสาวเองก็ไม่ขัดขืนยินยอมเข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของชายหนุ่ม

ทั้งปลอบทั้งกอดกันอยู่นานจนภูติสาวทั้งสองชักทำท่าไม่พอใจ

นางตะเคียนจึงเอ่ยถาม "เอ็งกลัวจริงหรือกลัวแบบมีแผนวะนี่ ไม่ยอมปล่อยพี่หมอสักที"

"นั่นสิ...กอดพี่หมอแน่นเชียว ข้าสองคนสวยขนาดนี้ มันน่ากลัวนักหรือไงวะ" นางตานีก็อดถามไม่ได้

หญิงสาวหันมาตอบ "ถึงสวยแต่พี่ๆทั้งสองไม่ใช่คนนี่ ฉันกลั้ววววว...."

"ชิช้า!!! นังมนุษย์นี่ มาฟอร์มนี้นึกว่ารู้ไม่ทันหรอ...ปล่อยพี่หมอได้แล้ว"

บอกไม่บอกเปล่า ยังใช้มือเย็นๆฉุดร่างของหญิงสาวออกมาจากอ้อมกอดของชายหนุ่ม

"อย่ามามารยามากนัก ฉันเห็นหล่อนลอบตามพี่หมอมา ต้องการอะไร?!"

แต่ไม่ทันจะได้รับคำตอบ ภูติตนนั้นก็กระชากร่างของหญิงสาวมาล๊อคคอเอาไว้ แถมยังยื่นใบหน้าสวยๆแต่ถมึนทึงเข้ามากระซิบที่ข้างหูบอกเน้นด้วยน้ำเสียงดุๆ "อย่าตะโกนโวยวายแหกปากอะไรอีกนะ แล้วก็เลิกเป็นลมเป็นแล้งหรืออ้อนพี่หมอสักที มันน่ารำคาญรู้ไหม....."

บอกแล้วจ้องตาหญิงสาวแบบดุๆ ขณะที่เธอก็จ้องตาทำเสียงอู้อี้ๆพยักหน้ารับปาก

โธ่...โดนผีขู่อย่างงี้ใครจะกล้าขัดขืนได้หล่ะ

 "เอาละ..เข้าใจแล้วนะ ฉันจะได้ปล่อยหล่อนสักที..."

"อื่อ...อายใอไอ่อ้อก...." หญิงสาวพูดเสียงอู้อี้ๆทำตาเหลือกสภาพบอกว่ากำลังจะขาดอากาศหายใจขั้นวิกฤติ

นางตานียืนข้างๆเห็นอาการหญิงสาวหน้าเขียวย่ำแย่จึงรีบบอก "เฮ้ย..ตะเคียน เอ็งปล่อนหล่อนเถอะ เดี๋ยวขาดใจตายกลายมาเป็นผีเหมือนพวกเราหรอก มาถึงป่านนี้น่าจะเข้าใจอะไรได้บ้างแล้วนะ..."

"เออๆๆ ...." บอกแล้วก็ปล่อยหญิงสาวเป็นอิสระ

หญิงสาวทรุดลงไปนั่งเพราะเข่าอ่อนพลางรีบสูดอากาศเข้าปอดแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ

แต่พอขยับจะอ้าปาก นางตะเคียนก็เดินมาชี้หน้าพลางตวาดเสียงดัง

"หยุดนะ!!! ไม่ต้องพูดอะไร...."

หญิงสาวฟังแล้วพยักหน้ารับด้วยความกลัวจนแทบไม่กล้าหายใจ

นางตะเคียนเท้าสะเอวมองไปในบ้านแล้วทำท่าหัวเสียพลางหันมาบ่นใส่หญิงสาว "หล่อนนี่มันตัวยุ่งแท้ๆ ได้ข่าวว่านังประดู่นี่มันเฮี้ยนและอิทธิฤทธิ์เยอะหยอกใครอยู่ แล้วก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือดีๆเสียด้วย ตอนพี่หมอทำพิธีอันเชิญ หล่อนก็เข้ามาขวาง สงสัยแม่นั่นจะอารมณ์เสียน่าดู งานนี้ท่าทางจะได้แสดงอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชประชันกันสะเทือนฟ้าสะเทือนดินอีกแน่ๆ เฮ้อ...เอาไงดีพี่หมอ??" บ่นเสร็จก็หันไปถามชายหนุ่ม

" คงต้องว่าไปตามสถานการณ์ หวังว่าคงจะพูดคุยกันดีๆรู้เรื่อง ไม่ต้องกำราบด้วยความรุนแรง "

ชายหนุ่มตอบมาเสียงเรียบๆ จากนั้นทั้งคนทั้งผีมองเข้าไปที่ต้นประดู่กลางทุ่งรกร้างด้วยสีหน้าหนักใจ

ฝ่ายหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายพอเริ่มจะตั้งสติได้บ้าง ยืนรวบรวมสติขยับริมฝีปากด้วยหวังจะแหกปากต่อว่าแม่สองนางไม้ตรงหน้าสักหน่อยว่า 'อย่าถือว่าเป็นผีจะมาโผล่แว้บมาแว้บไป ให้ผวาสิ คนเพิ่งเคยเจอผีครั้งแรกนะ ' แต่ยังไม่ทันจะได้ส่งเสียงออกไป  แม่ภูตต้นตะเคียนที่ทำท่าดุๆก็หันมาจ้องตาและพูดดักไว้เสียก่อน

"อย่าแม้แต่จะคิดด่าทอใดๆข้านะ เดี๋ยวแม่หักคอจิ้มน้ำพริกง่ายๆ  เอ็งรู้จักไหม? เจ้าแม่ตะเคียนทองอ่ะ?"

หญิงสาวไม่กล้าปริปากใดๆขึ้นมา ได้แต่พยักหน้ารับ ' อู๊ย...แม่นางไม้ในตำนาน ใครไม่รู้จักก็บ้าแล้ว '

หญิงสาวหันไปหาอีกนางหนึ่งก็ยิ้มหวานให้ พร้อมเอ่ยมาเสียงเยือกเย็น "เราไม่ทำร้ายหล่อนหรอกนะ อย่ากลัวไปเลย แล้วอย่าไปถือคะเคียนนะ เขาปากร้ายแต่ใจดี...จริงๆพวกเราไม่อะไรน่ากลัวสักนิด ...ถ้าทำตัวดีๆว่านอนสอนง่ายและไม่หลหลู่เรา คริๆๆ..."

"ทำเป็นขวัญอ่อน...อะไรมันจะกลัวได้กลัวดี สมัยนี้ผีไม่น่ากลัวเท่าคนหรอก " นางตะเคียนเอ่ยหยันๆ

นางตานี ขยับเข้ามาโอบไหล่ เนื้อเย็นสัมผัสผิวทำเอาหญิงสาวขนลุก ได้แต่หลับตาไม่ไกล้าขยับ

" ไม่เอาน่าตะเคียน อย่าขู่มาก แค่นี้เขาก็กลัวจนขวัญเสียหมดแล้ว โอ๋...อย่ากลัวนะ..."

เสียงหัวเราะเย็นจับขั้วหัวใจและมือไม้เย็นๆที่ลูบหน้าลูบตาปลอบใจ ทำเอาหญิงสาวอยากจะเป็นลมอักสักรอบ

ร่างสูงใหญ่ถอนหายใจเฮือกเมื่อเห็นว่าภูตในอาณัติของตัวเองเบาท่าทีชิงชังลงจึงเอ่ยว่า  "อย่าขู่เขามากนัก เขาเพิ่งมีประสบการณ์เจอพลังงานลึกลับอย่างพวกเอ็งครั้งแรก มันก็ต้องมีประหม่ากันบ้าง แล้วเอ็งด้วยนะตะเคียน แกล้งแรงเกินไป ทำเป็นผีบังตาหลอกเขาจนเป็นลม ถ้าเกิดอาการหัวใจวายตายไป เอ็งจะบาปมหันต์ "

หนุ่มรูปหล่อพูดเสียงเข้มๆดุภูติในสังกัดจนหงอยไปแต่ไม่วายเถียงมาเบาๆ

" ตะเคียนแค่หยอกเล่น แม่นี่มันขวัญอ่อนเอง เห็นแอบตามพี่หมอมา น่าจะจิตแข็งกว่านี้สักหน่อย "

หญิงสาวเองแม้จะกลัวผี แต่ตอนนี้ชักชินแล้ว เจอผีดูถูกชักมีลูกฮึดจึงกล้าเถียงไปบ้าง "โอเครๆๆ....แล้วนี่คุณ..ชื่ออะไรนะ..ตะเคียนใช่ไหม...ไอ้ที่คุณตะเคียนพูดมานะมันจะเป็นเรื่องจริง   แต่เล่นมาพูดหยามกันซะขนาดนี้ มันออกจะเกินไปนะ ลองนึกถึงหัวอกคนอื่นบ้าง หากคุณมาเป็นคนธรรมดาๆอย่างฉันแล้วเจอกับเรื่องอย่างงี้ จะไม่สติแตกบ้างเรอะ?!"

คำพูดของหญิงสาวทำเอาอาจารย์ปราบผีและภูติทั้งสองขมวดคิ้วจ้องหน้าอย่างทึ่งๆ

นางตะเคียนว่า "อื่อ...ของขึ้นไงวะ"

" หรือแม่นี่มีองค์วะ" นางตานีเสริมมา

"พอเถอะนะ อย่ามาทะเลาะกันเลย นี่ดึกมากแล้ว มาทำงานให้เสร็จก่อนเถอะ" ชายหนุ่มเอ่ยแทรกขึ้น

"งานอะไร?" หญิงสาวถามอย่างสงสัย

"ก็ผมถูกขอร้องจากผู้ใหญ่บ้านให้มาปราบผีที่นี่ ผมจะเริ่มทำพิธีแล้ว"

"ปราบผี!"

"ผีนางลำดวนหรือผีแม่ม่ายที่หล่อนเรียกกระไร พี่หมอเขาจะมากำราบนาง" นางตะเคียนตอบแทนชายหนุ่ม

"หื่อ....สรุปว่าเป็นฝีมือของผีจริงๆหรอ?"

"ผีอยู่ข้างๆยืนยันตั้งสองตัว นี่หล่อนยังนึกว่าพวกผู้ชายเป็นโรคไหลตายตามข่าวทีวีอีกหรือ?"

"เอ่อ...แล้วจะปราบอย่างไงหล่ะ?"

"ตอนนี้จะให้คุณกลับไปคงไม่ทันแล้ว คงต้องให้อยู่ดูผมปราบผีแล้วหล่ะ" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น

"เฮ้ย! นี่จะปราบผีให้ฉันดูหรอ?" หญิงสาวอุทานอย่างไม่เชื่อหู

"ครับ!" ชายหนุ่มตอบอย่างหนักแน่น "แล้วกรุณาทำตามที่ผมสั่งนะครับ"

หญิงสาวตกปากรับคำทันที เพราะการปราบผีโดยหมอผีแท้ๆนั้น ไม่ใช่สิ่งที่หาดูกันได้ง่ายๆมีโอกาสก็ไม่คิดจะพลาดแม้จะหวั่นใจอยู่บ้างก็ตาม หนุ่มรูปงามผู้ประกาศตนว่าเป็นหมอผีที่เธอแถมว่าน่าจะหล่อที่สุดด้วยทำพิธี หมอผีหนุ่มเริ่มงานของเขา ร่างสูงใหญ่เดินมาหยุดหน้าต้นประดู่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาใต้แสงจันทร์ดูน่าสะพรึง เขาถอดย่ามวางลงและนั่งขัดสมาธิกับพื้นหญ้า จากนั้นล้วงอุปกรณ์หลายอย่างที่เคยเห็นใช้คุ้นตาในวงการไสยเวทย์ แต่บางอย่างก็แปลกๆไม่เคยเห็นมาก่อน ชายหนุ่มล้วงม้วนสายสิญจน์สีขาวขึ้นมานั่งพนนมมือสวดคาถาอยู่ประมาณ ๑๐ – ๑๕ นาที หลังจากเป่าพรวดๆก็ส่งให้หญิงสาว ซึ่งทำท่าแปลกใจมองอย่างพิศวงงงงวย

 "ให้ฉันเอาไว้คุ้มครองตัวเองหรอ เยอะไปหรือเปล่า ให้มาทั้งม้วนนี่จะให้ฉันพันทั้งตัวเลยหรือไง?"

"เปล่า! ผมขอวานให้คุณช่วยปักหลักสี่ต้นนี่แล้วเอาไปขึงล้อมที เพราะนี่ใกล้ตีสามแล้ว ผมต้องปลุกเสกของอีกหลายอย่าง เดี๋ยวทำอย่างอื่นไม่ทัน จับผีนางประดู่ตนนี้ต้องใช้อุปกรณ์เยอะ อิทธิฤทธิ์ค่อนข้างแยะ"

"ผีนางประดู่ หมายถึง...?..."

"ใช่! นางประดู่กับผีแม่ม่ายของชาวบ้านตนเดียวกัน เดี๋ยวผมจะค่อยๆอธิบายให้ฟังนะ"

"โห้! นี่ฉันกลายเป็นลูกมือของหมอผีไปแล้วหรอนี่?" หญิงสาวพูดคล้ายๆบ่นออกมา

"น่า...ช่วยกันหน่อย เสร็จงานนี้คุณได้สกู๊ปเด็ดแน่ๆ เชื่อผม" ชายหนุ่มบอกมาเย้าๆ

ถึงจะบ่นแต่สุดท้ายหญิงสาวก็ไปทำตามที่สั่ง เธอปักหลักขึ้นสี่ต้นเดินขึงสายสิญจน์ตามที่เขาสั่ง มองๆดูคล้ายๆวงล้อมสายสิญจน์ของหมอผีในหนังที่เคยผ่านตาตอนเด็กๆ  หญิงสาวตั้งวงล้อมสายสิญจน์เสร็จก็มุดเข้ามานั่งข้างในขณะที่ชายหนุ่มตั้งโต๊ะเตี้ยๆจุดเทียนสองเล่มปักบนโต๊ะและจุดธูปใส่กระถางธูปที่เตรียมมา เขานั่งพนมมือหลับตาพริ้มสวดพระคาถางึมงำๆ หญิงสาวไม่กล้ารบกวนอะไรเพราะเกรงเขาจะเสียสมาธิ

"เอาตะปูไปตอกที่ต้นไม้ทั้งสี่ทิศให้หน่อย"เขาบอกแล้วส่งค้อนกับตะปูให้

"อะไรนะ?!" หญิงสาวมองต้นไม้แล้วหวาดๆ

"ช่วยหน่อยครับ เวลามันมีน้อย"เขาบอกแล้วยัดทั้งสองอย่างใส่มือเธอ

"จะใช้อะไรกัน ถามบ้างไหม ว่าฉันกลัวหรือเปล่า?" หญิงสาวบ่นเหมือนจะร้องไห้ มุดออกจากวงล้อมสายสิญจน์ตรงไปยังต้นประดู่ เมื่อเดินมายืนใต้ต้นประดู่ก็กลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก และหลับหูหลับตาตอกโป้กๆตามที่หนุ่มหมอผีสั่งมา เสร็จแล้วก็รีบเดินจ้ำอ้าวมามุดวงล้อมสายสิญจน์ เข้ามานั่งด้านหลังชายหนุ่ม

"ขอบคุณครับ" เขาบอกยิ้มๆ

หญิงสาวเพิ่งนึกออกจึงเอ่ยถาม "แล้วนางตะเคียนกับนางตานีไปไหน"

"ผมสั่งพวกเขาไปคุ้มครองชาวบ้าน ไม่อยากให้มาช่วย เพราะสองนางนั่นขาโหดด้วย เกรงว่าถ้านางประดู่พูดไม่ถูกหูเข้า ประเดี๋ยวอัดนางประดู่เละ"

"อื่อ..ฉันเข้าใจ" หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ

หญิงสาวนั่งดูยังทำพิธีอีกหลายอย่างทั้งเสกทรายหว่านไปทุกทิศ เสกน้ำมนต์ด้วยการหยดเทียน ปลุกเสกเชือกเส้นเขื่อง จนกระทั่งเวลาก็ผ่านไปเกือบๆตีสี่ ชายหนุ่มจึงหยุดกิจกรรมทั้งหลาย

"เสร็จพิธีแล้วหรอ?" หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อเขานั่งนิ่งไป

"ก็เสร็จแค่พิธีสร้างเขตอาคมและอาวุธที่จะใช้ปราบ พอเรียกนางประดู่ออกมา นางจะถูกขังอยู่ในเขตอาคมที่ผมสร้างไว้ จากนั้นก็จะเป็นการประลองฝีมือกัน" ชายหนุ่มอธิบายถึงสิ่งที่กระทำ

"ง่า...คุณมั่นใจมั๊ย ... ว่า...เอาอยู่" หญิงสาวถามถึงความมั่นใจ

ชายหนุ่มพยักหน้า "ลงทุนลงแรงขนาดนี้ ถ้าหลุดมือผมไปได้ ผมคงต้องเลิกเป็นหมอผีแล้วหล่ะ"


ดึกสงัดกำดัดยามในที่โล่งมีต้นหญ้าขึ้นประปรายกับต้นไม้เตี้ยตายซาก มันเงียบวังเวงและดูน่ากลัวไม่มีสุ้มเสียงใดๆแม้กระทั่งแมลงกลางคืนที่เคยร้องระงม ชายหนุ่มนั่งพนมมือสวดพระคาถาขณะหญิงสาวนั่งกวาดตาหวาดระแวงอยู่ด้านหลังในวงสายสิญจน์ที่ผูกกับเสาไม้ที่ปักไว้สี่มุมปักล้อมรอบเอาไว้ ชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิหลับตานิ่งโดยไม่สนใจและรับรู้บรรยากาศอันชวนขนลุกรอบๆกาย

"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นั่งเฉยๆอย่าส่งเสียงเด็ดขาด มันจะรบกวนสมาธิของผม" คำสั่งเขาช่างเหมือพวกหมอผีในหนังผีไทยเหลือเกิน หญิงสาวพยักหน้ารับเนื้อตัวสั่นๆ

บ๊อก....บ๊อก.......โบ๋ววววววววววว์......บ๊อก....บ๊อก.......โบ๋ววววววววววว์.....วววววววว์

และก็มีเสียงหมาหอนดังแว่วมาและรับต่อกันมาเป็นทอดๆจนใกล้เข้ามา และระงมดังทั่วบริเวณที่หมอผีหนุ่มนั่งอยู่ สัญญาณนี้บ่งบอกว่าสิ่งที่หวาดหวั่นกำลังจะมาแล้ว แต่มันหาได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหวาดกลัวหรือเสียสมาธิได้ เขายังคงนั่งนิ่งบริกรรมคาถาต่อไป แต่หญิงสาวกลับหวาดระแวงเวลากิ่งไม้หล่นหรือหักก็เกิดเพราะแรงลมพัดก็อาการสะดุ้งเฮือกๆ และบังเกิดลมแรงพัดมาวูบหนึ่ง แต่แรงลมก็ทำได้แค่เพียงให้เปลวเทียนเอนไหวไปชั่วครู่เท่านั้น

บรึ้ม!!!

ฉับพรันทันใดนั้นเบื้องหน้าที่ไม่ห่างจากบริเวณที่หมอหนุ่มทำพิธีก็ปรากฏหมอกควันพวยพุ่งขึ้นพร้อมๆเนินดินที่คล้ายกำลังถูกดันจากเบื้องล่างไม่ห่างจากใต้ต้นประดู่ สักครู่ก็เกิดการระเบิดของพื้นดินสนั่น เศษดินกระจายออกไปทั่วบริเวณและบังเกิดหมอกควันลงหนาครอบคลุมทั่วพื้นที่จนทัศนะวิสัยโดยรอบมองเห็นเพียงลางเลือน  แต่เหตุอันน่าอัศจรรย์นั้นหาได้ทำให้หมอผีหนุ่มสะดุ้งออกจากสมาธิได้ เขายังคงนั่งนิ่งต่อไปราวกับตรงเบื้องหน้าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น  ส่วนหญิงสาวกระเถิบเข้าอาศัยแผ่นหลังใหญ่เขาเป็นที่กำบังและชะเง้อโผล่หน้าไปดู ด้วยอาการกลัวก็กลัวอยากเห็นก็อยาก

ท่ามกลางกลุ่มหมอกควันหนาแน่น ร่างๆหนึ่งเดินฝ่าออกมาและปรากฏชัดต่อสายตา มันเป็นร่างของผู้หญิงที่แลดูน่าเกลียดน่ากลัว ผมสีดำหยาบกระด้างยาวไปเกือบถึงกลางหลัง อยู่ในเสื้อคอกระเช้าสกปรกขาดวิ่น ผ้าถุงซิ่นกระดำกระด่างที่ช่วงตั้งแต่สะโพกลงไปมีร่องรอยของคราบเลือดกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด เนื้อตัวและใบหน้าแหลกเละ น้ำเหลืองน้ำหนองไหลเยิ้มจากบาดแผลเปื่อยเน่าของเนื้อตัวที่บวมฉุ ร่างนั้นมองมาที่ชายหนุ่มด้วยนัยน์ตาที่กลายเป็นสีแดงจากเส้นเลือดในตาแตกราวกับโกรธแค้นกันมานานนับสิบๆปี   ร่างที่ปรากฏออกมานี้แน่นอนว่ามันไม่ใช่คน มันขยับปากเละๆ สบถด่าออกมาด้วยน้ำเสียงแหบๆอย่างโกรธแค้น

"ไอ้ระยำ ...มึงมารบกวนกูทำไม? หรือมึงอยากลองดีกับกู...."
เสียงที่แหลมสูงแต่ก็ให้ความรู้สึกเย็นเยียบบาดลึกเข้าไปในก้นบึ้งความกลัวทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง และร่างนั้นก็ได้ออกมาปรากฏตัวให้เห็นแบบ จังๆชัดๆเต็มๆสองตา  


ชายหนุ่มลืมตามองผู้มาหาเบื้องหน้า ไม่มีทีท่าหวาดกลัว "มาแล้วหรือ..นังลำดวน..."

"พวกมึงจะไม่มีใครรอดกลับไปสักคน กูจะฆ่าพวกมึงให้หมด"

เสียงแหลมๆเยือกเย็นเอ่ยขึ้นสร้างความขนพองสอยงเกล้าให้หญิงสาวยิ่งนัก

 "ลด ละ เลิก พยาบาทเถอะลำดวน...มาคุยกันดีๆนะ..."

ผีสาวชะงักหันมามองชายหนุ่มอย่างสงสัย ชั่วครู่ก็เดินมาหยุดในระยะห่างห้า - หกก้าว

"มึงรู้จักชื่อกูด้วยรึ?" ผีสาวเอ่ยถามมาอย่างสงสัย
 
"รู้จักสิ...รู้ว่าเจ้าคือวิญญาณที่ถูกฆ่าตายแล้วจับแขวนคออำพรางไง"

หญิงสาวฟังข้อมูลแล้วจึงรู้ว่าร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เป็นวิญญาณผีตายโหงอีกด้วย โอ๊ย...เขาลือนักลือหนาว่าผีประเภทนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมเสียด้วย แล้วปรากฏตัวออกมาแบบจัดเต็ม พูดจาแบบมะนาวไม่มีน้ำด้วยภาษาสมัยพ่อขุน ทำเอาเกินความหวั่นใจเพิ่มขึ้นหลายส่วน แต่ชายหนุ่มยังคงเจรจาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

"ข้าเข้าใจนะว่าเอ็งเจอชะตากรรมที่โหดร้ายมาก่อนตาย แต่ตอนนี้เอ็งละสังขารไปแล้ว ทำไมไม่ตัดพยาบาทจองเวรลงซะ และตั้งหน้าหมั่นบำเพ็ญเพียรชดใช้กรรมเก่า เอ็งมาหลอกหลอนผู้คนสร้างบาปเพิ่ม มาสิงสู่อยู่ที่นี่เพิ่งบ่วงกรรม ลด ละ เลิก ซะเถอะนะ จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี..."

หญิงสาวที่แอบอยู่ด้านหลังชายหนุ่มร่างสูงใหญ่มองเขาแบบทึ่งๆ โอ้...ยังกะพระมาเทศโปรดสัมภเวสีทีเดียวเชียว แต่ละประโยคแฝงไปด้วยธรรมะซาบซึ้งสอนใจ นี่ถ้าบวชเป็นพระละก็ โยมอุปฐากตรึมแน่ๆ แต่พอมองไปที่ภูตสาวตนที่ชายหนุ่มกำลังเทศนาเพื่อโปรดให้พ้นจากห้วงกรรมเหวลึกนั้น ก็ไม่เห็นว่าจะมีท่าทางซาบซึ้งใดๆ

"มึงไม่เจออย่างกู มึงก็พูดได้หน่ะสิ...." นางผีร้ายยังคงพูดเสียงแข็ง

" ข้าเข้าใจนะ แต่เอ็งจะดื้อรั้นจมอยู่ในบ่วงพยาบาททำไม ไอ้คนฆ่าเอ็งมันก็ติดคุกชดใช้ความผิดไปแล้ว ศพเอ็งก็ทำพิธีเผาจนไม่เหลือขี้เถ้า จิตของเอ็งจมอยู่กับความแค้นแล้วเอามาระบายหลอกหลอนผู้คน บางคนก็บ้า ฟั่นเฟือน พิการ หรือตายไปก็มี สิ่งเหล่านี้ มันเพิ่มบาปให้วิญญาณเอ็งรุ่มร้อนยิ่งกว่าอยู่ในอเวจี "

โอ้...หญิงสาวฟังแล้วซาบซึ้งเผลอยกมือพนมรับราวฟังพระเทศน์ แต่นางผีร้ายกลับไม่เข้าใจด้วยมิจฉาทิฐิสูง

" ไม่.ม.ม.ม.ม.ม.ม.ม.ม.... " นางผีร้ายตอบเสียงดังกังวานลั่นห้อง

ภูตร้ายลอยร่างขึ้นเหนือพื้น " เปรี้ยง " ประกายฟ้าผ่าลงตรงหน้าจนหญิงสาวผงะต้องถดกายหลบอย่างลืมตัว ส่วนชายหนุ่มยังคงนั่งอยู่กับที่ไม่ได้หวั่นเกรงในปาฏิหาริย์หรือเอเฟคของนางผีร้าย

 " ไม่ต้องกลัว  ตั้งจิตให้มั่น ไม่มีอะไรหรอก ."  เสียงนุ่มๆ ไม่ตื่นตระหนกใดๆของชายหนุ่มเอ่ยบอก

แต่ ณ จุดนั้น หญิงสาวหาได้มีใจตั้งสติให้ไม่หวาดกลัวได้สักเพียงน้อย

' ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า....เฮอะๆๆๆ ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า....เฮอะๆๆๆ' เสียงหัวเราะข่มขวัญดังสะท้านสะเทือนโสต

 " ลืมอดีตเสียเถิดลำดวน กลับตัวกลับใจ ยังมีหนทางสู่มรรค เอ็งไม่ได้ร้ายกาจโดยสันดานนะ"

ชายหนุ่มพยายามเอ่ยเตือนสติอีกครั้ง แต่วิญญาณสาวยังดื้อด้าน นางโรยกายลงมายืนตรงหน้า

"มึงมันพวกอยากลองดีกับกูใช่มั๊ย... กูจะจัดให้มึงสมใจ..ฮ่าๆๆๆๆ.."

"กรี๊ดดดดดดดด!!! " และแล้วเสียงร้องของหญิงสาวกลับดังบาดหูยิ่งกว่า  เมื่อผีสาวใช้เล็บยาวเล็บสีดำบนนิ้วมือเรียวซีดของตนเองจิกฉีกไปที่หน้าท้อง จากนั้นก็แหวกหน้าท้องออกกว้างจนเลือดสดๆทะลักออกมาส่งกลิ่นเหม็นคาวคลุ้งไหลออกมาห้อยร่องแร่ง  เท่านั้นไม่พอยังล้วงเอาหัวใจตัวเองออกมากำไว้ที่มือขาวซีด

" ต๊บ!.. ตุ๊บ!... ตุ๊บ!... ต๊บ!  " ก้อนหัวใจในมือมันกระตุกเต้นเป็นจังหวะตามเสียงอย่างกับมีชีวิต ด้วยความที่เกรงจะไม่สยดสยองพอ นางยังล้วงเข้าไปในท้องอีกครั้งเพื่อลากไส้สีแดงเข้มออกมา  มือพุพองบวมอืดสาวไส้ของตนออกมากองบนพื้นจนหมด ทำเอาหญิงสาวสยดสยองจนแทบจะอาเจียนแตกด้วยความสะอิดสะเอียน

"ฮ่าๆๆๆๆ..เอาละนะ..นี่ทีเด็ดส่งท้าย จับตาดูให้ดีๆนะ...."

ผีสาวเอ่ยบอกราวบรรยายการแสดงของตนบนเวที

" กรี๊ดดดดดดดดด!!!" หญิงสาวแผดเสียงอีกครั้ง เมื่อผีสาวใช้มือจิกลงที่ศีรษะของตนและกระชากขึ้นจนมันลอยติดมือเธอมา มิหนำซ้ำผีตนนี้ยังโยนศีรษะของตนมาลอยวนไปรอบๆวงล้อมสายสิญจน์ แลบลิ้นปลิ้นตายิ้มยอกให้หญิงสาวจนมุมปาดฉีกถึงใบหู

" กรี๊ด! กรี๊ด! กรี๊ด! "

หญิงสาวหลับหูหลับตากรีดร้องจนเสียงแหบเสียงแห้ง ส่วนชายหนุ่มต้องเอามืออุดหูเพราะเสียงแหลมเล็กที่ทิ่มแทงแก้วหูจนสั่น เขาหันมาจ้องหน้าหญิงสาวที่เอาแต่แหกปากด้วยสายตาหน่ายๆ หญิงสาวเห็นกิริยาอาการของเขาจึงรู้สึกตัว หยุดแหกปากและยิ้มแหย๋ๆนั่งทำหน้าเจื่อนๆ

"ก็ฉันกลัวนี่...."

".............." ไม่มีคำตอบใดๆ

ชายหนุ่มหันไปจ้องศีรษะนางผีร้ายด้วยหน้าใบหน้าเรียบเฉยพลางเอ่ยเสียงเรียบๆ

"เอาละ..สนุกพอแล้วนะ ลำดวน..."

' โอ้ยยยยยยย!!!!'   เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังมาจากร่างไร้ศีรษะ เพราะชายหนุ่มที่จับศีรษะของผีสาวไว้แน่นพลางออกแรงเหวี่ยงจนปลิวไปกระแทกลำต้นประดู่ก่อนจะกลิ้งไปอีกหลายตลบราวกับลูกฟุตบอล

"โอ๊ย..มึงทำไปได้ยังไง " ปีศาจอาฆาตร้องถามอย่างสงสัย ก่อนที่ร่างของตนจะลอยละล่องไปจับศีรษะของตนมาใส่เข้าที่ นางยกมือทั้งสองจับลำคอและใบหน้าให้เข้าที่เข้าทาง พลางล้วงกระจกมากระจกตรวจดูความสมบูรณ์ของตนเอง ถ้าไม่นับที่แหวกท้องล้วงไส้โชว์ แม่วิญญาณตนนี้ก็รักสวยรักงามเหมือนกัน

เมื่อตรวจดูใบหน้าของตนเสร็จ วิญญาณสาวก็บอกเสียงเคืองๆ

"เฮ้ย..เล่นอะไรอย่างงี้ กูเจ็บนะ!"

" เป็นผีเจ็บได้ไง!! " ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงเรียบๆ

"มึงเป็นใครกันวะ ถึงได้สมาธิดีจริงๆ บรรดาอาจารย์ปราบผีที่ใครๆต่างยกย่องว่าแน่ๆ ออกตระเวนปราบวิญญาณร้ายมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ  เมื่อมาเจออิทธิฤทธิ์กูก็ยังต้องวิ่งหนีกันแทบโสร่งหลุดมาไม่รู้กี่รายต่อกี่รายแล้ว จนต่างพากันขยายไม่กล้ารับงานหรือเฉียดกรายเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกู มึงท่าทางจะมีดีพอตัวนะ บอกชื่อกูมาเดี๋ยวนี้ "

"ข้าชื่อสิน..คนทั่วไปเรียกว่า หมอผีสิน"

การประกาศชื่อของชายหนุ่มในสายตาของหญิงสาวช่างองอาจมาดคล้ายพระเอกหนังไทยสมัยก่อนจริงๆ

"นี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น...อิทธิฤทธิ์ของกูยังมีอีกมาก...คงไม่หนีหางจุกก้นอย่างคนอื่นๆหรอกนะ"

พูดจบร่างของผีสาวก็หายไปเหลือเพียงเสียงหัวเราะดังก้องอยู่รอบกายพร้อมๆกระแสลมวิปริตที่เริ่มพัดแรงโดยไม่มีต้น