ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ร้อยรักวัยสวาท ภาคแรก ตอนที่24-25

เริ่มโดย suckzeed, กุมภาพันธ์ 27, 2016, 02:42:19 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

suckzeed


พี่หน่อย

เกวลิน


ฉากรักของสมชายกับสาวๆ ใกล้มาถึงแล้วนะครับ รอลุ้นกันว่าใครจะเข้าวินเป็นคนแรก

ตอนที่24

พี่หน่อยกับผมพอช็อป ได้ของตามที่ต้องการแล้ว ก็ชวนกันไปทานก๊วยเตี๋ยวเนื้อกันที่ร้านมูฮัมหมัด ฝั่งตรงข้ามของสยามเซ็นเตอร์ แล้วพากันกลับมาที่บริษัทอีกครั้ง ในเวลาขณะนั้นแม้ว่ายังไม่ดึกมากนัก แต่ทว่าบริเวณรอบๆ ล้วนแต่เปิดเป็นบริษัทกันหมด พอถึงเวลาเลิกงาน พนักงานต่างๆจึงพากันกลับไปหมด ลานจอดรถกว้างๆ เลยเหลือรถของผมจอดอยู่เพียงคันเดียว

ผมขับรถบีเอ็มของพี่หน่อยไปจอดอยู่ข้างๆรถของผมแล้วดับเครื่องยนต์ เตรียมตัวที่จะลงไปขับรถตัวเองกลับบ้าน แต่
พี่หน่อยกลับจับยึดมือผมไว้แน่น ผมเลยหันหน้ามามอง คิดว่าพี่หน่อยจะพูดอะไร แต่เมื่อหันมาสบตากับพี่หน่อย ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่ว่า ดวงตาคู่สวยของเธอที่เคยเปล่งประกายซุกซน ขี้เล่นเมื่อยามอยู่กับผมตามลำพังนั้น ดูเหมือนมันช่างเศร้าหมองเสียเหลือเกิน แต่ทว่าเพียงวิบตาเดียวเองเท่านั้น มันก็กลับมาเปล่งประกายสดใสซุกซนเหมือนเดิม

"มีอะไรหรือเปล่าครับพี่..." ผมหันกลับมาถาม เมื่อยังเห็นว่าพี่หน่อยเพียงแค่ยึดข้อมือผมไว้เฉยๆ ไม่ได้พูดจาอะไร

"พี่..เอ้อ..พี่ขอกอดชายได้มั๊ยจ๊ะ..."

จู่ๆพี่หน่อยก็พูดขึ้นมาแบบนี้ ทั้งๆที่ปรกติเวลาพี่หน่อยแกอยากกอดผม มักจะดึงตัวผมเข้าไปกอดเฉยๆเลยโดยที่ไม่เคยร้องขอ เล่นเอาบางครั้งผมตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัว แต่คราวนี้กลับมาขอกอด ผมจึงรู้สึกแปลกใจ แต่ในเวลานั้นไม่ได้คิดอะไรเลย เมื่อพี่อยากกอด ผมก็เอนตัวเข้าไปให้พี่หน่อยกอดแต่โดยดี ทั้งๆที่ไม่รักพี่เค้าแบบหนุ่มสาว แต่ผมไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่าพี่หน่อยคิดกับผมแบบไหน

พี่หน่อยเอื้อมมือมาสวมกอดรัดตัวผมแน่น ใบหน้าเธอซบอยู่ที่ซอกคอของผมนิ่งๆ จนนานพอที่จะทำให้ผมรู้สึกว่าหัวใจพี่หน่อยเต้นตึ๊กๆแรงๆถี่ๆ ก่อนจะกระซิบถามผมเบาๆว่า

"ชายจ๋า....ชายคิดกับพี่ยังไงคะ..."

ผมสะอึกกับคำถามของพี่หน่อย จนเหมือนมีก้อนลมเข้ามาจุกที่คอหอย พูดอะไรไม่ออก จริงๆแล้ว ถ้าในใจของผมไม่มีน้องกันตาโต เด็กสาวที่เคยรู้จักกันในอดีต และทำให้ผมมีจิตผูกพันธ์กับเธอ ผมอาจรู้สึกรักพี่หน่อยก็ได้ เพราะตั้งแต่แม่ผมเสียไป มีพี่หน่อยนี่แหละที่แสนดีกับผมในทุกๆเรื่อง แต่ในเมื่อผมไม่สามารถมีใจให้กับหญิงอื่นได้อีกแล้ว ผมก็ไม่อยากโกหกหลอกลวงจึงตอบพี่หน่อยไปตามตรง

"พี่หน่อยดีกับผมมากครับ ผมรักและเคารพพี่..แต่ผมคงรักพี่แบบหนุ่มสาวรักกันไม่ได้จริงๆครับ...ผมขอโทษ.."

ขณะที่ผมพูดออกไปนั้น ผมรู้สึกชื้นๆ ที่ลำคอ ที่ใบหน้าของพี่หน่อยซบอยู่ ผมคาดว่าพี่หน่อยคงร้องไห้เสียใจกับคำตอบของผมจึงพยายามจับหน้าพี่หน่อยออกมาจากซอกคอ แต่พี่หน่อยคงอายจึงแข็งขืนไม่ยืนยอมให้ผมทำแบบนั้นได้

"จ๊ะ...ขอบใจชายนะที่มีจิตใจมั่นคง..."

พี่หน่อยพูดพร้อมกับยื่นปากมาจุ๊บผมเบาๆที่ข้างแก้ม แล้วเธอก็ผละตัวออกเอียงหน้าหนีหันไปมองกระจกด้านข้าง คงหลบซ่อนไม่อยากให้ผมเห็นน้ำตาจากเธอ

"ผมกลับเลยนะครับพี่..พรุ่งนี้เจอกันตอนเช้าครับ.." ผมพูดพร้อมกับเปิดประตุรถอ้าออก เตรียมตัวเบี่ยงเท้าลงจากรถ
แต่พี่หน่อยกลับพูดตอบ ทั้งๆที่เธอไม่ได้หันหน้ามามอง

"พรุ่งนี้พี่ลางานจ๊ะ..เจอกันวันมะรืนแล้วกัน.." พี่หน่อยพูดเบาๆ

"อ้าว..พี่ลางานไปไหนหรอครับ..." ผมจำได้ว่าผมไม่ได้อยากทราบเรื่องส่วนตัวของพี่หน่อยหรอก แต่ถามไปตามมารยาทเท่านั้น

"หมอนัดไปตรวจสุขภาพนะจ๊ะ..ไม่มีอะไรหรอก..."

พี่หน่อยตอบรัวๆ เหมือนไม่อยากให้ผมซักถามต่อ จากนั้นเธอก็เบี่ยงขาข้ามเบาะ ย้ายตัวมานั่งหลังพวงมาลัย ในขณะที่ผมขยับก้าวลงไปยืนข้างรถ ผมโบกมือบ๊ายบายให้ ในขณะที่หน่อยสตาร์ทเครื่องแล้วขับกระชากตัวออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนรีบร้อน

ผมถอนหายใจพรวด เมื่อคิดว่าพี่หน่อยคงเสียใจกับคำตอบของผม จึงระบายออกมาด้วยการออกรถแรงๆเยี่ยงนี้ แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อหัวใจของผมไม่ได้มีที่ว่างเผื่อไว้ให้ใครอีกเลย นอกจากน้องกันเพียงคนเดียวเท่านั้น

คืนนั้นผมกลับมานอนที่ห้องผม แต่ทำอย่างไรก็ข่มตาหลับไม่ได้สักที ความคิดวนเวียนติดอยุ่กับผู้หญิงสองคนเท่านั้น
คือในวันงานโรงเรียนผมจะได้พบน้องกันมั๊ย และเธอจะยังคงมีความรู้สึกดีๆให้กับผมอยู่อีกหรือไม่ หรือว่าเธออาจเปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนใจมีแฟนใหม่แล้ว กับเรื่องของพี่หน่อยที่เธอมีอาการและการกระทำที่แปลกๆไป ตั้งแต่บอกว่าจะยกทรัพย์สินที่เธอมีให้กับผม

ผมไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าที่พี่หน่อยคิดจะทำแบบนั้นเพราะพูดเล่น หรือทำเพื่อเอาทรัพย์สินมาล่อให้ผมรักชอบเธอ พี่หน่อยไม่ทำเยี่ยงนี้แน่ แต่จะทำไปเพราะอะไรเท่านั้น ที่มันเป็นปริศนาให้ผมขบคิดจนนอนไม่หลับ แต่เมื่อผมขบคิดไปแล้วไม่มีคำตอบ ที่สุดผมก็ข่มตาหลับจนได้

แม้ว่าเมื่อคืนผมจะนอนดึก แต่พอรุ่งเช้าผมก็ตื่นได้ในเวลาที่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ผมใช้เวลาไม่นานนักในการอาบน้ำแต่งตัว เพราะผมไม่ใช่หนุ่มเจ้าสำอางค์ ผมจึงขับรถมาทำงานได้ตรงตามเวลา เมื่อขึ้นไปถึงชั้นสอง เดินผ่านห้องพี่หน่อยเห็นมันปิดเงียบ ผมเดินไปที่ section ของตนเอง ลูกทีมของผมมานั่งรออยู่ก่อนหน้าผมแล้ว4คน หนึ่งในจำนวนนั้น
มีเกวลินรวมอยู่ด้วย ผมรออีกพักใหญ่ ลูกทีมทั้งสิบของผมจึงมากันครับ จึงได้เริ่มแจกงานให้พวกเราออกไปปฏิบัติกัน

"พวกน้องๆออกไปกันเป็นคู่ตามที่นัดแนะกันไว้แล้วนะครับ ตามเส้นทางที่ผมได้แจกให้ อันดับแรกเข้าไปแนะนำตัวของเราให้ลูกค้าทราบว่าเราเป็นใคร.มาจากบริษัทอะไร มานำเสนอเรื่องอะไร..ถ้าพวกลูกค้าสนใจ เราค่อยแนะนำอธิบายถึงคุณสมบัติของสินค้าเราให้เขารับฟัง..ผมเชื่อว่าในวันแรกพวกน้องๆอาจจะยังขายสินค้าไม่ได้ทันที ฉนั้นจดจำหรือวาดแผนที่บ้าน ที่ทำงาน ชื่อ  เบอร์ติดต่อของลูกค้าเอาไว้ และห้ามลืมแจกนามบัตรของเราให้ลูกค้ารับไว้ เพื่อเราจะได้ไปติดต่อในครั้งต่อไปคราวหลัง เอาละ ขอให้พวกน้องๆโชคดีกันทุกคนครับ..."

เมื่อผมบรีฟงานจบ ก็ลงไปเบิกเงินเบี้ยเลี้ยงแจกจ่ายให้กับลูกทีมของผมครบทุกคน แล้วอวยพรให้พวกเขาออกไปปฏิบัติงานจริงวันแรกได้ผลสำเร็จ ส่วนตัวผมก็เปิดสมุดบันทึกส่วนตัว ไล่ตามรายชื่อลูกค้า ที่เคยคิดเอาไว้ว่าก่อนช่วงปีใหม่ผมจะเข้าไปพบ

ผมพยายามเลือกเส้นทางทีจะไปโรงเรียนผมได้โดยสดวก จากนั้นก็ยกหูโทรศัพท์ติดต่อนัดหมาย จนเวลาล่วงเลยไปถึง11โมงเช้า จึงเตรียมตัวที่จะออกไปพบลูกค้าของผมตามที่โทรนัดหมายกัน พอดีเห็นเกวลินเดินหน้าบูดๆกลับเข้ามา ทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลาตอนเย็น

"อ้าว..ทำไมกลับมาคนเดียวล่ะน้อง แล้วดิเรกไปไหนเสียละ..." ผมสอบถามเมื่อเกวลินทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะเรียบร้อยแล้ว

"ไม่ทราบค่ะหัวหน้า..พอไปถึงเส้นทางที่หัวหน้าให้ เข้าพบลูกค้าไปสองสามหลัง จู่ๆดิเรกเขาก็ทิ้งเกวเดินออกไปขึ้นรถเมล์ตามลำพัง..." เกวลินเล่าให้ฟังด้วยทีท่าฉุนเฉียว

ผมคาดคะเนไว้อยู่แล้วตั้งแต่เห็นหน้าท่าทางของนายดิเรกที่ดูสำอางค์เกินไปที่จะทำหน้าที่พนักงานขายได้ แต่ก็ไม่คาดเลยว่ามันจะไร้ความอดทน ทำงานได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ทิ้งงาน ทิ้งเพื่อนร่วมงานเช่นนี้

"ถ้างั้นน้องเกวรออยู่ที่ออฟฟิสแล้วกัน บ่ายๆผมค่อยกลับมา..." ผมบอกแล้วเตรียมตัวลุกอีกครั้ง

"แต่.หัวหน้าคะ..แบบนี้เกวก็ไม่มีรีพอร์ทส่งสิคะ..."เกวลินพูดพร้อมทำหน้าบูดๆ

มันก็จริงอย่างที่เกวลินบอก เพราะพนักงานขายที่ยังไม่มีเงินเดือน ได้รับเพียงเบี้ยเลี้นงอย่างเกวลิน พอกลับมาตอนเย็น
จะต้องทำรีพอร์ทรายงานการออกไปปฏิบัติหน้าที่ ส่งให้พี่หน่อย แต่นี่เกวลินออกไปพบลูกค้าได้เพียงชั่วครู่ คงไม่สามารถเขียนรีพอร์ทได้แน่นอน

"งั้นออกไปกับผมก็ได้ ผมจะไปพบลูกค้าย่านฝั่งธนพอดี.. "

ผมพูดจบก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที ไม่ทันดูสีหน้าบูดๆของเกวลินว่าพอได้ยินที่ผมบอกให้ออกไปกับผมอีกครั้งนั้น เธอทำสีหน้าดีใจ หรือยังคงบูดๆอีก

เมื่อผมพาเกวลินติดรถออกไปพร้อมกัน จึงได้สังเกตุว่ากระโปรงที่เธอสวมอยู่มันค่อนข้างสั้น แล้วยิ่งพอเธอขึ้นมานั่งรถข้างๆผมเยี่ยงนี้ ชายกระโปรงมันยิ่งหดสั้นสูงขึ้นไปอีก จนเกวลินขยับตัวยุกยิก พยายามที่จะดึงชายกระโปรงลงมาปิดท่อนขาขาวๆของเธอ

"คราวหลังก็อย่าใส่กระโปรงสั้นๆแบบนี้มาอีกสิครับ....มันอันตรายรู้มั๊ย..." ผมพูดโดยไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกน้องตนเอง

"ค่ะหัวหน้า..พอดีเกวมีกระโปรงใส่แค่สองสามตัวเองค่ะ..แล้วตัวอื่นๆก็ยังไม่ได้ซัก..เลยต้องคว้าตัวนี้มาใส่ค่ะ.."

เกวลิน สารภาพเสียงเบาๆ ทำหน้าแดงๆอายๆ ขยับมือยุกยิกพยายามดึงชายกระโปรงลงมา ทั้งๆที่ทำอย่างไรมันก็ลงมาได้ไม่มากพอที่จะปกปิดเรียวขาขาวๆยาวๆของหล่อน

"เกวเป็นคนต่างจังหวัดหรือครับ..."

ผมชวนคุยฆ่าเวลา ไม่อยากให้เธอรุ้สึกเกร็งเวลาที่นั่งอยู่ในรถผม เพราะผมสังเกตุว่าหลังจากคุยเรื่องกระโปรงแล้ว
เกวลินก็ซุกตัวนั่งเงียบๆ ประสานมือไว้บนตักบีบกันแน่น คงเพื่ออยากปกปิดเรียวขาขาวๆของเธอก็เป็นได้

"ค่ะ..เกวเป็นคนอีสาน...แต่พ่อแม่ส่งให้มาเรียนพาณิชญ์ในกรุงเทพ..."

เกวลินเล่าเรื่องตนเองไปช้าๆ เสียงตอนแรกก็สั่นๆเกร็งๆ แต่พอเห็นว่าผมไม่ได้ถือตัว ให้ความเป็นกันเองกับลูกน้อง ปากเรียวๆบางๆก็พูดจ๋อยๆเหมือนนกแก้วนกขุนทองขึ้นมาทันที

"แล้วอยู่กรุงเทพ นี่พักกับญาติพี่น้องรึ..."

"เปล่าคะ..เกวอยู่พอพักตั้งแต่เข้าเรียนปวช.แล้ว..."

ผมขับรถไปเรื่อยๆ สลับกับหันมาชวนเกวลินคุย เพื่อให้ในรถไม่เงียบเหงา จนกระทั่งเข้าไปในซอยของโรงเรียน เพราะผมกะว่าจะเข้าไปติดต่อซื้อบัตรเข้างาน ก่อนจึงจะไปพบลูกค้าของผม และถือโอกาศให้เกวลินลองหาลูกค้าในย่านนั้นไปด้วย

"เอ๊ะ!..หัวหน้าคะ..นี่มันซอยเดียวกับที่เกวเคยเรียนเลยค่ะ.." เกวลินที่นั่งเงียบๆมาพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่ารถผมเลี้ยวเข้าซอยเพชรเกษม48 เธอก็ร้องบอก

"อ้อ..ผมแวะมาทำธุระก่อนนะครับ..." ครั้งแรกที่ได้ยินเกวลินบอก ผมไม่ได้ติดใจซักถาม เนื่องเพราะในซอยนี้ มีอยู่ตั้งหลายโรงเรียน เพราะเป็นซอยที่ลึกมาก สามารถเข้าออกทะลุไปซอยอื่นๆอีกได้หลายเส้นทาง

"เกวเคยเรียนอยู่ที่....." แต่พอเกวลินเอ่ยชื่อโรงเรียนออกมา ผมถึงกับประหลาดใจ เพราะมันคือโรงเรียนเดียวกันกับที่ที่ผมจะไปพบครูสุกัญญาพอดี

ตอนที่25

"อ่ะ...เกวเรียนที่โรงเรียนนี้หรือครับ..."

ผมถามด้วยความแปลกใจ เพราะแม้ว่านักเรียนหญิงจะมีเกือบพันคนก็ตาม แต่ผมคิดว่าไม่เคยเห็นเด็กลูกครึ่งเรียนอยู่เลย ในสมัยที่ผมยังเรียนอยู่ หรือว่าเธอเข้ามาเรียนหลังจากที่ผมลาออกไปแล้ว แต่คำนวนจากอายุของเกวที่ผมจำได้แว๊บๆตอนที่อ่านในสมัครงานของเธอนั้น น่าจะเประมาณรุ่นเดียวกับน้องกันอย่างแน่นอน

"ค่ะ..เกวเคยเรียนแต่เข้ามาได้ปีเดียวตอนม.1 ก็ลาออกไปเรียนที่ต่างจังหวัด.."

"ม.1 หรือมศ.1ครับ..."

ผมถามย้ำอีกครั้ง เพราะจำได้ว่าตอนที่ผมเรียนอยู่มศ.5 ทางกระทรวงศึกษาเปลี่ยนแบบแผนการเรียนการศึกษาใหม่พอดี ในตอนนั้นจึงมีทั้งนักเรียนที่เรียนตามแผนเดิม คือพอจบป.7 ก็เข้าเรียนต่อมศ.1 ผลการเรียนคิดรวมทุกวิชาสอบเป็นเปอร์เซ็นต์ มีการตกชั้นเลื่อนชั้นเมื่อตอนสอบไล่ปลายภาคเรียน ถ้าใครสอบได้คะแนนรวมทุกวิชาไม่ถึง50% ก็จะสอบตก เรียนซ้ำชั้นในปีถัดไป จนกระทั่งถึงชั้นมศ.5 เหมือนแบบที่ผมเรียน แต่แผนการศึกษาแบบใหม่ในปีเดียวกัน เด็กที่จบป.6ในปีที่แล้ว ก็เข้าเรียนต่อที่ม.1 แล้วเรียนจนจบม.6ผลการทดสอบคิดเป็นแบบเกรด แม้สอบตกในบางวิชา ก็สามารถเรียนซ่อมได้ในช่วงปิดเทอม ไม่มีการตกต้องเรียนซ้ำชั้น ยกเว้นเด็กที่เหลือขอจริงๆ สอบตกเกือบทุกวิชานั้นแหละ ถึงต้องเรียนซ้ำชั้นใหม่

"ม.1ค่ะ.."เกวลินย้ำอีกครั้ง ในเวลาพอดีกับที่ผมกำลังเลี้ยวรถเข้าประตุโรงเรียน

"อ่ะ..หัวหน้า..มาธุระที่โรงเรียนของเกวหรือคะ..."

ผมตอบอื่มเบาๆ แล้วขับรถต่อไปจนกระทั่งถึงตึกเรียนใหญ่ข้างสนามฟุตบอลของดรงเรียน ซึ่งจำได้ว่าที่ชั้นสองของตึกข้างๆห้องสมุดนั้น เคยเป็นห้องพักครู ซึ่งอาจารย์สุกัญญา น่าจะอยู่ที่นั่น

"ใช่ครับ..ผมมีธุระกับอาจารย์สุกัญญาน่ะ...เกวรออยุ่ที่รถก่อนละกันนะ.."

ผมพูดจบก็ดับเครื่องยนต์ แล้วลงมาจากรถ แต่เกวลินเธอก็เดินตามลงมาด้วย ผมไม่ใส่ใจคิดว่าเธอคงเดินดูบรรยากาศของโรงเรียนเก่าด้วยความคิดถึงก็เป็นได้

ผมเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองของตึกเรียน แล้วก็เป็นอย่างที่คาดการว่าอาจารย์สุกัญญาน่าจะอยู่ ก็ได้พบท่านจริงๆ เวลาเพียงแค่สี่ปีกว่านั้น ไม่สามารถทำให้ผมลืมอาจารย์ประจำชั้นคนสุดท้ายของผม เมื่อผมเดินตรงเข้าไปสวัสดีทักทายท่าน ท่านรับไหว้ แล้วมองรอดแว่นสายตามามองหน้าผมงงๆ เหมือนยังจำไม่ได้

"ผมสมชายไงครับ.." แต่พอผมบอกชื่อตนเองไปเท่านั้น อาจารย์สุกัญญาก็จำได้ทันที ท่านลุกขึ้นมาจากโต๊ะ แล้วโอบกอดไหล่ผมอย่างรักใคร่และคิดถึง

"ตายแล้ว..โตเป็นหนุ่มจนครูจำไม่ได้เลย...." เมื่ออาจารย์สุกัญญาจำผมได้แล้ว ท่านก็แนะนำผมให้ครูอื่นๆที่ยังอยู่ในห้องพักได้รู้จัก ครูบางท่านผมจำได้ว่าเคยสอนผมมาก่อน แต่บางท่านก็เป็นครูใหม่ที่ผมไม่เคยเห็นหน้า

"นี่ไงพวกเธอสมชายนี่ลูกศิษย์คนโปรดของชั้นเลยนะ.." อาจารย์สุกัญญาบอกกับเพื่อนครูคนอื่นๆแบบนั้นจนผมรู้สึกเขิลๆ ได้เพียงแต่ยิ้มตอบรับคำชมอายๆ

"แล้วนี่เรียนต่อที่ไหน จบแล้วหรือยังล่ะ..." ผมจึงเล่าเรื่องคร่าวๆให้อาจารย์ฟังไปตามตรง ท่านก็ปราบปลื้มชื่นชมว่า
แม้ผมต้องทำงานไปด้วยแต่ก็ยังไม่ทิ้งการเรียน พร้อมอวยพรขอให้ผมเรียนสำเร็จตามที่ตั้งใจ บรรยากาศภายในห้องพักครูจึงเต็มไปด้วยความอบอุ่น เมื่อท่านเล่าเรื่องเพื่อนๆของผมให้ฟังบ้าง ผมถามท่านถึงคนนั้นคนนี้บ้าง จนลืมธุระไปเลยว่าผมมาพบอาจารย์ด้วยเรื่องอะไร จนกระทั่งท่านถาม

"เอ้อ..ผมมาขอซื้อบัตรเข้างานราตรีเดือนเพ็ญน่ะครับ.." เมื่อผมแจ้งความประสงค์ไป อาจารย์สุกัญญาถึงกับหน้าเสีย
ก่อนจะบอกผมว่า

"บัตรเข้างานหมดแล้วละสมชาย.." คราวนี้ผมเองกลับหน้าเสียด้วยความผิดหวัง

"ไม่มีเหลือสักใบสองใบเลยหรือครับ..."

"หมดจริงๆจ๊ะสมชาย..ครูขายไปเป็นโต๊ะ ๆ โต๊ะละสิบที่นั่ง พวกศิษย์เก่าก็ซื้อเอาไปกันหมด เอาไปแบ่งๆขายให้เพื่อนๆกัน...ถ้าจะมีเหลือ ก็คงอยู่ในมือพวกเขานั่นแหละ..."

เมื่อได้ฟังอาจารย์สุกัญญาบอก ผมก็ยังพอมีความหวัง อาจจะมีบัตรที่ขายไม่หมดอยู่ในมือของเพื่อนๆผมบ้าง หรือรุ่นน้องๆบ้างก็ได้ แต่ปัญหาคือ ผมจะติดต่อกับพวกเขาเหล่านั้นได้อย่างไร ความต้องการของผมที่จะมาร่วมงานศิษย์เก่าครั้งนี้ ก็เพื่ออยากพบน้องกันของผมเท่านั้นเอง

"อาจารย์ครับ..รุ่นของผม เพื่อนคนไหนที่ได้รับบัตรไปจำหน่ายครับ...."

ผมลองสอบถามอาจารย์สุกัญญาอีกครั้ง ท่านก็เดินไปเปิดสมุดโน๊ตบันทึก ไล่ตาอ่านตามรายชื่อศิษย์เก่าที่เป็นตัวแทนของรุ่น ผมภาวนาขอให้อาจารย์ทราบทีเถอะ

"อ้อ..อยู่นี่ไง..นายเอกรัตน์ เป็นตัวแทนรับไปจำหน่ายจ๊ะสมชาย...." อาจารย์สุกัญญาเงยหน้าจากสมุดบันทึก แล้วบอกผม พร้อมกับหยิบมาให้ผมดู

เป็นไอ้เอกเพื่อนผมจริงๆเสียด้วย ที่มันเป็นคนรับบัตรจากอาจารย์สุกัญญาไปจำหน่าย จำนวน2โต๊ะ เท่ากับ20ที่นั่ง ผม
เริ่มมีความหวังขึ้นมาทันที

"อาจารย์ครับ..แล้วผมจะติดต่อเอกได้ยังไงครับ..."

"นี่ยังไงล่ะ..เท็คโนโลยี่ ลาดกระบัง...นายเอกรัตน์เรียนอยู่ที่นั่น..สมชายลองไปติดต่อดูสิ..อาจจะยังมีบัตรเหลืออยู่บ้าง....."

อาจารย์สุกัญญาชี้ให้ผมดู ทำให้ผมเพิ่งทราบเดี๋ยวนั้นเองบว่าไอ้เอกเพื่อนผมนั้นมันสอบเข้าไปเรียนต่อที่เท็คโน ลาดกระบัง แม้ผมไม่ทราบว่ามันเรียนอยู่คณะใด แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะหายากเท่าใดนัก

ผมอยู่คุยกับอาจารย์สุกัญญาอีกสักครู่ก็ลาท่านกลับเดินลงจากตึกเรียนกลับมา เห็นเกวลินนั่งรอที่ที่ม้าหินใต้ตึกเรียน
รอบๆตัวเธอมีนักเรียนชายมอ.ปลาย หลายคนกำลังยืนบ้างนั่งบ้างพูดคุยกับเธออยู่

[post]พอเธอมองเห็นว่าผมกำลังเดินลงมาทางบันได เกวลินก็รีบลุกขึ้น พร้อมส่งมือบียบายนักเรียนชายกลุ่มนั้น พร้อมเดินตรงเข้ามาผม

"หัวหน้าเสร็จธุระแล้วหรือคะ.." เธอถามเสียงกรุ๊งกริ๊งๆหวานๆ ยืนประสานมือที่ด้านหน้ากลางลำตัว แล้วพูดกับผมยิ้มๆ

"อืมม..ครับ.." ผมตอบสั้นๆ แล้วขยับเดินไปจนถึงรถ

"หัวหน้ามาธุระอะไรคะ..หรือว่า..จะ..จะมาซื้อบัตรเข้างานศิษย์เก่า..."

เกวลินสอบถาม แล้วคาดเดาได้ถูกต้อง ผมพยักหน้าตอบรับอีกครั้ง พร้อมกับสตาร์ทรถ จนเกวลินต้องรีบเปิดประตุอีกด้านหนึ่งแล้วรีบขึ้นมานั่ง

"แล้วซื้อได้มั๊ยคะ..." เธอถามเบาๆเมื่อรถผมค่อยๆเคลื่อนตัววิ่งไปตามถนนโรยกรวดเม็ดเล็กๆ

"ยังไม่ได้เลยครับ..อาจารย์สุกัญญา..เอ้อ..ที่เป็นผู้ดูแลเรื่องนี้ บอกกับผมว่าบัตรหมดแล้ว...."

ผมตอบ พร้อมกับรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจเลยว่า ไอ้เอกเพื่อนผมมันจะยังมีบัตรหลงเหลืออยู่หรือเปล่า เพราะมันรับไปเพียง20ใบเท่านั้น ผมจำได้ว่าห้องของผม มันมีนักเรียนอยู่ตั้ง50กว่าคน

"แสดงวาหัวหน้าไม่เคยมาร่วมงานเลยสิคะ..."

ผมยอมรับไปตามตรงว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเพิ่งทราบว่า ทางโรงเรียนจัดให้มีงานแบบนี้ แต่ก็แปลกใจนิดๆว่า
เกวลินเรียนอยุ่ที่เดียวกับผมเพียงแค่ม.1 ทำไมเธอจึงรุ้เรื่องราวได้

"เกวเคยมางานศิษย์เก่านี้ ตั้งแต่เรียนอยู่ปวช. ปีสองแล้วค่ะ...หัวหน้าห้องเอาไปขายให้..." เกวลินค่อยเฉลยให้ผมฟัง

"ตอนเกวเรียนอยู่ปวชปี1 งานเพิ่งจัดเป็นครั้งแรก ตอนนั้นมีศิษย์เก่าที่จบมศ.5 มาร่วมงานไม่เท่าไหร่..งานเลยดูโหรงเหรง พวกอาจารย์เลยอนุญาติให้พวกศิษย์เก่าที่เรียนจบมอต้น มาร่วมงานได้..หัวหน้าห้องของเกวที่เรียนต่อมอปลายเลยติดต่อให้เกวช่วยซื้อบัตร..เกวเลยได้มาร่วมงาน..." เกวลินเล่าจบก็หัวเราะเบาๆ

"ดีจังเนอะ..เรียนที่นี่แค่ปีเดียวเอง..แต่เกวลินก็ยังคงมีการติดต่อกับเพื่อนฝูงได้..ผมเสียอีกที่เรียนจบจากที่นี่แล้วไม่เคยได้ติดต่อกับใครๆเลย..." ผมเปรยๆเหมือนรำพึงกับตนเองมากกว่า แต่เกวลินก็นั่งเอียงหน้ามาฟังอย่างตั้งใจ

"แล้วหัวหน้าจะทำยังไงคะ..ถ้าไม่มีบัตร.."

"เอ้อ..ผมต้องลองติดต่อกับเพื่อนๆดูก่อนครับ ว่าเค้ายังพอมีบัตรเหลืออยู่อีกมั๊ย..." ผมตอบไปด้วยความรู้สึกเซ็งๆ

"ถ้าเผื่อว่าไม่มี หัวหน้าจะเอาบัตรของรุ่นเกวไปมั๊ยคะ..น่าจะยังพอมีเหลือ แต่ว่าเวลานั่งร่วมโต๊ะกัน มันก็ต้องมานั่งกับกลุ่มเพื่อนๆของเกวสิคะ..เห้อ...หัวหน้าคงอึดอัดแย่...เพราะมีแต่เด็กๆ...."

ผมฟังสิ่งที่เกวลินบอก ทำให้ดีใจจนยิ้มออกมา มันไม่สำคัญแม้สักนิดว่าผมจะต้องไปนั่งอยู่ในกลุ่มไหน เพราะจุดมุ่งหมายที่ผมต้องการมางานเลี้ยงศิษย์เก่าครั้งนี้นั้น ก็เพื่ออยากจะพบกับกันทิมาเท่านั้นเอง

"ดีเลย...ถ้าเผื่อว่าผมติดต่อเพื่อนไม่ได้ เกวลินติดต่อซื้อบัตรเข้างานจากเพื่อนเผื่อผมด้วยนะ ขอสักสองใบก็พอ..." ผมบอกเกวลินออกไป จนเธอทำหน้างงๆ มองจ้องหน้าผม

"หัวหน้าจะเอาไปทำไมตั้งสองใบคะ.."

แม้ว่ามันจะเป็นคำถามซื่อๆ ที่ออกมาจากปากของเกวลินลูกน้องผม แต่เมื่อผมได้ฟังแล้ว กลับบอกเหตุผลกับเธอไม่ออก ว่าทำไมผมจึงอยากได้บัตรเข้างานถึงสองใบ

"อ๋อ..เกวรู้แล้ว..หัวหน้าจะพาแฟนมาด้วยใช่มั๊ยคะ..ฮิฮิ..." ผมได้ยินเกวลินคาดเดาแล้วถึงกับสะอึก รีบปฎิเสธทันที

"ไม่..ไม่ใช่..ผมจะมากับเพื่อนน่ะครับ..."

ถ้าผมไม่รีบปฏิเสธ เกวลินอาจจะเข้าใจไปเช่นนั้น ว่าผมจะมากับแฟน แล้วถ้าพอถึงวันงานจริงๆ ผมมากับพี่หน่อย ยัยเด็กเกวลินอาจเข้าใจไปว่าพี่หน่อยเป็นแฟนของผมก็ได้

"เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปที่มหาลัยที่เพื่อนเรียนอยู่ คงจะทราบละว่า..เขาจะยังมีบัตรเหลือมั๊ย..ถ้าไม่มีเกวลิน..คุณช่วยติดต่อเพื่อนด้วยแล้วกัน ตกลงมัยครับ....." ผมรีบพูดเพื่อตัดบทการสนทนา ไม่เช่นนั้น ยัยเกวลินคงซักถามอะไรต่ออะไรกับผมอีกมาก

จากนั้นผมก็พาเกวลินไปพบลูกค้าที่ผมนัดไว้ เธอนั่งฟังผมพูดคุยและอธิบายคุณสมบัติของสินค้าให้ลูกค้าฟังอย่างตั้งใจ จนที่สุดผมเสนอขายเครื่องปรับอากาศให้ลูกค้าได้1เครื่อง เป็นเครื่องขนาดเพียงแค่12000บีทียู พร้อมกับให้
เกวลิน เป็นผู้ออกใบสั่งซื้อโดยมีชื่อของเธอเป็นผู้เสนอขาย[/post]

johnywalker

 ::Doubt:: เรื่องบางเรื่องมันลึกมาก จนคิดไปเองว่า คนแต่งน่าจะผ่านงานพวกนี้มาแล้ว และ อายุ 50+ ด้วย

swbkk

อ้างจาก: johnywalker เมื่อ ธันวาคม 26, 2016, 10:08:46 หลังเที่ยง
::Doubt:: เรื่องบางเรื่องมันลึกมาก จนคิดไปเองว่า คนแต่งน่าจะผ่านงานพวกนี้มาแล้ว และ อายุ 50+ ด้วย

......แหมพี่ท่าน อย่าไปบอกความจริงซิครับ ท่าน Suckzeed อ่านจะยังหนุ่มๆวัยละอ่อนอยู่ก็ได้นา  5 5 5   ::HoHo
แต่ตรงที่อธิบายเรื่อง มศ.5 กับ ม.6 นี่ รู้เลยว่าวัยไหน ฮิ ฮิ

samrong

อายุคนแต่ง น่าจะประมาณ 53 ใช่ไหมครับ ::HeyHey::

tobie


aeadza

มีลูกน้องเป็นน้องสะงั้นนะครับ แถมใจดีให้ผลงานไปอีก

paradrop

ตั้งแต่สมัยรถเกียร์ธรรมดาเลยนะมันฟ้องอายุ

PEE WAII

น้องเกว // น้องเกวลิน จะหลงรัก พ่อหนุ่มของเราไหมเนี่ย

leopoldi

อะไรจะเหมาะเจาะขนาดนั้น อิอิ สงสัยได้เจอคนที่อยากเจอแน่นอน