ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

XO ตอนที่ 33 - รางวัล

เริ่มโดย assasin008, ธันวาคม 07, 2015, 04:25:25 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

assasin008

คุยเรื่อยเปื่อย

เรื่องนี้ไม่ได้เน้นอีโรติกมากนะครับ จึงแจ้งมาให้ทราบอย่างเป็นทางการ
หากท่านต้องการอ่านเน้นเฉพาะอีโรติก แนะนำให้ข้ามเรื่องนี้ แล้วไปอ่านเรื่องอื่นได้

XO ตอนที่ 33 - รางวัล

.......................
Assasin008 2015-12-07

   ในโลกแห่งเวอร์เด้น (Verden) หรือชื่อของโลกในเกม XO นั้น พลังสายกาลเวลาถูกร่ำลือกันว่าเป็นหนึ่งในสายพลังที่ซับซ้อนน้อยที่สุด หากทว่าลึกลับที่สุด มีผู้สามารถใช้งานได้น้อยที่สุด และทรงพลังที่สุดสายหนึ่ง

   โดยพื้นฐานแล้วพลังสายกาลเวลานั้นนับว่าซับซ้อนน้อยอย่างที่ว่า เพราะหลักการมีเพียงการเร่งและชะลอเพียงสองอย่าง ผู้ใช้พลังสายกาลเวลาในขั้นต้น จะสามารถควบคุมกระแสเวลาให้ไหลเร็วขึ้นหรือช้าลงในกรอบพื้นที่หนึ่ง ซึ่งในระดับนี้ก็ถือว่าทรงพลังไม่น้อยแล้ว เพียงแค่เร่งความเร็วของตนเอง ผนวกกับทำให้คนอื่นช้าลง การต่อสู้ก็แทบจะกำหนดผลได้

   ผู้ใช้พลังสายกาลเวลาระดับสูงขึ้นไปจะสามารถชะลอจนหยุดการเคลื่อนไหวของเวลาในพื้นที่หนึ่งได้ ลองคิดดูว่าในขณะที่ศัตรูหยุดนิ่งไม่รับรู้ส่ิงใดเพราะเวลาไม่เคลื่อนไหว แต่ตนเองสามารถเคลื่อนไหวทำอะไรก็ได้ช่วงเวลาหนึ่ง ใครจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะ

   สำหรับระดับสูงสุดนั้น ว่ากันว่าสามารถย้อนเวลาได้ รวมถึงสามารถเร่งเวลาจนศัตรูเสื่อมสลายไปตามกาลเวลาได้โดยไร้ทางป้องกันหรือต่อกรด้วย นี่จึงนับเป็นสายพลังที่ซับซ้อนน้อยที่สุด หากทว่าทรงพลังที่สุดจริงดั่งที่กล่าวขาน

   ก่อนหน้านี้แม็กเพียงสัมผัสได้ถึงกระแสแห่งกาลเวลา คล้ายกับคนที่แช่อยู่ในน้ำทะเล เขาสัมผัสได้ว่ามีคลื่นเคลื่อนผ่าน มีคลื่นกระทบกระแทกร่างกาย หากทว่าหลังจากได้รับคำบอกใบ้จากไดโอนีในโลกแห่งความฝัน เขาก็ได้เปิดประตูก้าวเข้าไปสู่การควบคุมกระแสคลื่นแห่งกาลเวลา

   โดยหลักการแล้วการควบคุมเวลานั้นคล้ายกับการควบคุมคลื่น ในเวลาปกติแล้วเวลาในทุกสถานที่จะคล้ายสัญญาณคลื่นที่คงที่ หนึ่งของรอบคลื่นสัญญาณคือหนึ่งหน่วยของเวลา แต่เมื่อเขาลองควบคุมมัน คลื่นเวลาในพื้นที่หนึ่งอาจจะแกว่งเร็วถี่ขึ้น ทำให้พื้นที่นั้นมีการเคลื่อนที่ของเวลาเร็วขึ้น หรือหากเขาควบคุมให้ลูกคลื่นแกว่งช้าลง พื้นที่นั้นก็จะมีการเคลื่อนที่ของเวลาช้าลง

   เมื่อครู่ก่อนที่จะเริ่มต่อสู้กับทหารรับจ้างทั้งสิบนั้น แม็กได้ตัดสินใจทดลองเร่งพลังสูงสุดเพื่อให้ได้ชัยชนะอันงดงาม ซึ่งจะทำให้ค่าตัวของเขาสูงขึ้นในสายตาของมหาอุปราช

   เขาได้ทดลองใช้พลังสายกาลเวลาในการต่อสู้จริงเป็นครั้งแรก เขาเริ่มด้วยการจินตนาการสร้างขอบเขตพื้นที่ทรงกลมล้อมรอบตัวเอง จากนั้นก็เร่งเร้าให้คลื่นเวลาในพื้นที่ทรงกลมนี้เคลื่อนที่เร็วขึ้น และนั่นทำให้เขาเคลื่อนที่เร็วขึ้นไปโดยปริยาย

   ความเร็วที่เพิ่มขึ้นนับสิบเท่า ทำให้แม็กมีเวลาเหลือเฟือในการเล็งธนู เขาคีบเอาลูกธนูขึ้นมาน้าวสายคันธนู แล้วเล็งอย่างใจเย็นพร้อมกับอัดพลังเวทย์เข้าไปพลาง จากนั้นก็ปล่อยนิ้วส่งลูกธนูที่เปี่ยมด้วยพลังออกไปยังเป้าหมายเหมือนกับซ้อมยิงกับเป้าธนูตามปกติ

   ความจริงแล้วนี่เป็นกระบวนการเคลื่อนที่ตามปกติของนักธนู ตั้งแต่เริ่มต้นจนปล่อยออกกินเวลาไปทั้งสิ้นเกือบหกวินาที เพียงแต่เมื่อมองจากภายนอกซึ่งเวลาเคลื่อนที่ช้ากว่านั้น การเคลื่อนไหวของแม็กกลับรวดเร็วจนเกิดภาพทับซ้อนพร่าเลือน และสามารถปล่อยลูกธนูออกมาได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวินาทีเสียด้วยซ้ำ

   เมื่อมองการเคลื่อนไหวไม่ออก ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะปล่อยลูกธนูออกมาเมื่อไหร่ ทั้งยังไม่สามารถคาดเดาทิศทางได้ออก อย่าว่าแต่ลูกธนูนั้นถูกยิงออกมาด้วยคันธนูระดับสูง และแฝงด้วยพลังเวทย์มนตร์อันเข้มข้นด้วยอีกทาง

   เวลาที่มีเหลือเฟือทำให้แม็กสามารถเล็งยิงได้อย่างใจเย็น เขาจึงจัดการเก็บมือธนูที่มีโอกาสคุกคามเขาได้ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงค่อยจัดการเก็บนักบวชที่ทำท่าจะหันไปรักษามือธนูทั้งสองเป็นลำดับถัดมา

   ส่วนนักรบเกราะหนักที่เดินผลักดันโล่เข้ามาพร้อมกับอัดพลังปราณนั้น แม็กไม่แน่ใจว่าจะสามารถทะลวงผ่านโล่ไปได้ เขาจึงทดลองขยายขอบเขตของพื้นที่ซึ่งกาลเวลาบิดเบือนออกไปให้กว้างกว่าที่เคยทำ จากนั้นจึงขยับร่างกระโจนเปลี่ยนทิศทางไปด้านข้าง แล้วปล่อยลูกธนูใส่จากมุมที่ไร้สิ่งป้องกัน ทหารรับจ้างนายนั้นจึงโดนจัดการอย่างง่ายดาย

   แม็กได้พบว่าการขยายขอบเขตพื้นที่จนเกินตัวนั้นทำให้สมองของเขาทำงานหนักเกินไป นั่นทำให้เขาเกิดอาการวูบซึ่งเป็นปฏิกิริยาการป้องกันโดยธรรมชาติของร่างกาย มันเหมือนกับสมองของเขาทำงานหนักจนร้อนฉ่า ร่างกายจึงสั่งปิดหยุดการทำงานของสมองไปวูบหนึ่งเพื่อให้มีเวลาฟื้นฟู

   โชคยังดีที่เมื่อเขาได้สติคืนกลับมา เขาก็ได้รับชัยชนะเสียแล้ว ชัยชนะในครั้งนี้หากมองจากผู้ชมแล้ว เขาชนะอย่างหมดจดงดงามอย่างที่สุด หากทว่ามีแต่เขาเพียงคนเดียวที่ทราบว่าชัยชนะในครั้งนี้น่าหวาดเสียวเพียงใด หากเมื่อครู่ในช่วงที่เขาใช้สมองมากเกินไปจนวูบนั้นมีใครสักคนเดินหน้าต่อ เขาคงจะต้องพ่ายแพ้เสียหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย

   อย่างไรก็ตามเขาชนะแล้ว เพราะมหาอุปราชฟาร์โก้เพิ่งสั่งให้หยุดประลอง ทั้งยังยืนพูดอะไรอยู่ด้านบนอีกครู่ใหญ่ ซึ่งในช่วงเวลานั้นแม็กรู้สึกเหมือนสมองตนเองวูบลงไปเล็กน้อยจนไม่ทันฟังว่าพูดอะไร ตอนนี้เขาทราบแล้วว่าตนเองเพียงเป็นมือใหม่เริ่มหัดใช้งานพลังสายกาลเวลา และไม่ควรโหมหนักจนเกินไป ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดอาการวูบเช่นนี้อีก

   เขายืนฟังอยู่ไม่นานนัก เหล่าทหารรับจ้างที่ยังพอจะเดินไหวก็พากันเดินมาก้มศีรษะให้ด้วยสายตาเคารพยกย่องเทอดทูน จากนั้นทหารเกราะดำก็เปิดประตู และชักนำเขาเดินเข้าไปตามทางเดินด้วยท่าทีเคารพยกย่องกว่าเดิมจนเห็นได้ชัด นี่จึงช่วยยืนยันเรื่องที่ว่ามนุษย์นั้นมักจะอ่อนน้อมให้กับผู้มีพลังอำนาจเสมอ

   ระหว่างการเดินทางนั้นแม็กลองเปิดหน้าต่างของระบบขึ้นมา ก่อนจะพบว่าค่าพลังจิตของเขาลดลงไปจนเหลือศูนย์หน่วยอย่างที่คาด ซึ่งนี่นับเป็นข้อห้ามของเกมอย่างหนึ่ง

   หากใช้พลังพิเศษอะไรก็ตามจนเหลือศูนย์หน่วย ร่างกายจะมีผลกระทบอย่างใดอย่างหนึ่ง สำหรับสายพลังจิตที่ใช้สมองเป็นหลักนั้นจะเกิดอาการวูบหมดสติ หากเป็นสายปราณจะเกิดอาการลมปราณตีกลับเจ็บปวดไปทั้งร่าง ส่วนสายเวทย์มนต์นั้นว่ากันว่าร่างกายจะเคลื่อนไหวไม่ได้

   นอกจากนี้เมื่อใช้พลังพิเศษใด ๆ จนเหลือศูนย์หน่วยแล้ว จะยังทำให้การฟื้นฟูค่าพลังนั้นหยุดทำงานไปช่วงเวลาหนึ่งด้วย แม้แต่การดื่มยาฟื้นพลังก็ไม่สามารถทำได้ นี่จึงเรียกได้ว่าเป็นข้อห้ามร้ายแรงอย่างหนึ่ง แต่เขาได้ละเมิดไปแล้ว เวลานี้ค่าพลังจิตของเขาจึงเท่ากับศูนย์ ทั้งยังจะไม่ฟื้นฟูขึ้นมาในเวลาอันใกล้นี้ด้วย

   ยังดีที่สัมผัสแห่งกาลเวลายังทำงานได้เช่นเดิม เขายังคงสามารถแผ่ประสาทสัมผัสออกไปได้ เพียงแต่ระยะการทำงานดูจะลดลงมาจนเหลือแค่เพียงไม่กี่เมตรรอบตัวเท่านั้น กระนั้นก็ถือว่ายังดีกว่าไม่มีให้ใช้งาน

   แม็กเดินยอกย้อนไปตามทางเดินครู่ใหญ่ ก่อนจะพบว่าเขาโดนนำออกมาจากพื้นที่ใต้ดินของตัวปราสาท เข้าสู่พื้นที่ของปราสาทที่ตบแต่งโอ่อ่าหรูหราอีกครั้ง ที่ตรงนั้นเนทีเรียนและทหารองครักษ์อีกสองนายกำลังยืนรอคอยเขาอยู่ เนทีเรียนมองเขาด้วยดวงตาวิบวับร้อนแรงยิ่งกว่าช่วงเวลาก่อนหน้านี้หลายเท่า

   กระนั้นเนทีเรียนก็มิได้พูดอะไรอีก คล้ายกับเกรงว่านายทหารที่อยู่ด้วยกันจะนำข้อความไปบอกกล่าวกับคนอื่น เธอเพียงผายมือเชื้อเชิญแล้วเดินนำเข้าไปในตัวปราสาท ก้าวขึ้นบันไดหินอ่อนขนาดใหญ่ผ่านห้องหับจำนวนมากจนแทบคล้ายกับเขาวงกต จากนั้นจึงค่อยหยุดยืนและผายมือเชื้อเชิญให้แม็กเข้าไปสู่ประตูสีทองขนาดใหญ่

   เนทีเรียนไม่ได้พูดอะไรแม้แต่เพียงคำเดียว และเธอยืนนิ่งอยู่หน้าประตูเหมือนบอกเป็นนัยว่าเธอจะไม่เข้าไปข้างในด้วย จากนั้นทหารองครักษ์เกราะสีทองท่าทางขึงขังสองนายซึ่งยืนเฝ้าหน้าประตูก็เปิดประตูบานใหญ่ออกอย่างช้า ๆ พร้อมกับการก้มศีรษะเชื้อเชิญให้แม็กเข้าไปด้านใน

   แม็กหันไปยิ้มให้เนทีเรียนหนึ่งครั้ง ก่อนจะเดินผ่านบานประตูขนาดใหญ่เข้าไป และภายในห้องหับอันใหญ่โตนั้นมีชายผมเผ้าสีขาวโพลนในชุดสีเงินโอ่อ่าหรูหราดูสูงศักดิ์นั่งรอคอยบนบัลลังก์ขนาดใหญ่อยู่ด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ ชายคนนั้นก็คือมหาอุปราชฟาร์โก้ผู้มีอำนาจมากเป็นอันดับสองของเมืองเลอองนิสต์

   "ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าสมญานามเทพธนูนั้นร่ำลือกันเกินจริง แต่วันนี้ข้าได้รับทราบแล้วว่านั่นยังไม่เพียงพอที่จะบรรยายพลังฝีมือปานเทพยดาของเจ้าได้ เชิญนั่งเถอะเทพธนู ... หรือว่าข้าควรจะเรียกว่ากายเวอร์ดี"

   มหาอุปราชฟาร์โก้กล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงชื่นชม นั่นคล้ายกับน้ำเสียงที่เปล่งออกมาอย่างจริงใจจนสามารถเยินยอให้ผู้คนตัวลอยล่อง แม็กถึงกับต้องพยายามประเมินนิสัยของฟาร์โก้ใหม่อีกรอบ หากนี่เป็นคำพูดจากใจจริง คงไม่แปลกหากจะมีนักรบยอมขายชีวิตให้มหาอุปราชคนนี้ แต่หากนี่เป็นเพียงการแสดงอย่างหนึ่ง เขาก็คงต้องยกนิ้วชื่นชมที่แสดงได้สมจริงจนแยกไม่ออก

   "ขอบคุณครับ แต่เรียกผมว่ากายเวอร์น่าจะดีกว่า ผมไม่ค่อยชอบฉายาเทพธนูสักเท่าไหร่"
   
   แม็กผงกศีรษะคำนับแสดงความเคารพครั้งหนึ่ง ก่อนจะขยับร่างไปนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่วางอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่า เขาเลือกที่จะให้มหาอุปราชเรียกเขาด้วยชื่อผู้เล่นแทนที่สมญานาม เพราะเขาเชื่อว่ามหาอุปราชคงต้องการเช่นนี้มากกว่า

   รอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้าของฟาร์โก้ทำให้แม็กคิดว่าเขาเลือกถูกต้อง เขาเชื่ออย่างหนึ่งว่าฟาร์โก้นั้นเป็นคนประเภทเสพติดอำนาจ และมองว่าตัวเองอยู่เหนือผู้คน ดังนั้นหากจะให้เรียกใครสักคนว่าเทพธนู ก็คงจะเป็นการทำให้รู้สึกเหมือนทำให้ตัวเองต่ำต้อยลง แม็กเชื่อว่าฟาร์โก้ไม่มีทางเต็มใจเรียกเขาว่าเทพธนูเด็ดขาด

   "ตามที่เจ้าปราถนากายเวอร์ ข้ารู้สึกยินดียิ่งนัก ที่เมืองเลอองนิสต์ของเรามีผู้แข็งแกร่งเช่นเจ้าเข้าร่วมด้วย ถ้วยนี้ข้าขอดื่มเพื่อแสดงยินดีให้แก่ว่าที่แม่ทัพประจำวังหลวงคนใหม่ของเลอองนิสต์"

   มหาอุปราชฟาร์โก้กล่าวด้วยน้ำเสียงยินดีปรีดา และประโยคที่พูดต่อมานั้นหากเป็นนักรบทั่วไปแล้ว คงจะต้องเกิดอาการแตกตื่นยินดีอย่างที่สุด เพราะนั่นแปลความหมายได้ว่ามหาอุปราชฟาร์โก้จะช่วยผลักดันให้ขึ้นไปสู่ตำแหน่งแม่ทัพ ซึ่งนับว่าเป็นตำแหน่งที่สูงยิ่งแล้วสำหรับคนที่ไม่ใช่ราชนิกูล

   หากนับชั้นเชิงทางการเมืองแล้ว แม็กยอมรับว่ามหาอุปราชฟาร์โก้เป็นผู้มีชั้นเชิงเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองสูงที่สุดคนหนึ่งที่เขาเคยพบเจอมา ในฐานะลูกชายคนเดียวของมหาเศรษฐีระดับประเทศนั้น แม็กย่อมเคยพบเจอกับนักการเมืองมากเล่ห์เหลี่ยมมาไม่น้อย การหารางวัลใหญ่มาวางหลอกไว้เป็นเรื่องปกติในการหลอกใช้คน

   ตำแหน่งว่าที่แม่ทัพประจำวังหลวงนั้นฟังดูเหมือนเลิศหรูราวกับสุดยอดความฝันของผู้คนหลายคน หากทว่านั่นเป็นเพียงคำพูดที่ยังไม่แน่ว่าจะเป็นจริงเมื่อไหร่ อีกทั้งเขายังไม่ได้รู้สึกว่าตนเองอยากเป็นแม่ทัพของเมืองสักเท่าไหร่นัก เขาจึงไม่ถึงกับแตกตื่นลนลานกับเรื่องราวขายฝันเพียงแค่นี้ 

   "ขอบคุณท่านมหาอุปราชฟาร์โก้"

   แม็กยิ้มรับโดยไม่แสดงท่าทีแตกตื่นอันใดออกมา เขาเพียงยื่นมือไปรับแก้วเครื่องดื่มจากสาวใช้หน้าตาน่ารักในชุดวาบหวิวขึ้นมาดื่ม แล้วยิ้มให้กับสาวใช้ที่แสดงท่าทียั่วเย้าราคะผู้นั้น

   "ดูเหมือนเจ้าจะไม่สนใจตำแหน่งแม่ทัพนักนะกายเวอร์ ... หากเจ้าสนใจสาวใช้นางนี้ก็จงรับนางไปเถอะ"

   ฟาร์โก้ยกแก้วขึ้นดื่มแล้ววางลง ดวงตาที่ดูเหมือนจะถนัดในการวิเคราะห์คนนั้นจับจ้องมองดูแม็กครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ แล้วกล่าวถามอย่างตรงไปตรงมา

   "ถ้าพูดกันตรง ๆ แล้ว ผมยังไม่แน่ใจนัก ว่าจริง ๆ แล้วต้องการทำอะไรกันแน่"

   แม็กถอนหายใจครั้งหนึ่ง แล้วละสายตาจากสาวใช้ที่ส่งสายตาหยาดเยิ้มให้ เขาหันไปมองดูมหาอุปราชแล้วลุกขึ้นตอบด้วยสีหน้าลังเลไม่แน่ใจ

   หากเป็นคนทั่วไปที่เห็นกิริยาเช่นนี้ย่อมไม่ได้ขบคิดอะไรมากนัก หากทว่าสำหรับนักการเมืองที่ชอบสังเกตอ่านผู้คนอย่างฟาร์โก้แล้ว กิริยาของแม็กนั้นสื่อความนัยออกมาอย่างชัดเจนว่า เขายังไม่คิดเลือกว่าจะทำงานให้กับใคร เพียงแต่นี่ยังไม่นับเป็นการปฏิเสธ แต่เป็นการเปิดไปสู่การต่อรองอย่างหนึ่ง

   "ช่างน่าสนใจ แล้วเหตุใดเจ้าจึงเข้ามาสมัครเป็นทหารล่ะ? เจ้าอยากทำอะไรกันแน่"

   คำถามของมหาอุปราชทำให้แม็กอึ้งไปวูบหนึ่ง ตอนนี้เขาค่อยนึกได้ว่าความจริงแล้วเขามาสมัครทหารก็เพราะต้องการสืบข่าว แก้ข้อกล่าวหาให้หมิว หากทว่าตอนนี้หมิวโดนถอนประกาศจับแล้ว ดังนั้นเหตุผลข้อนี้จึงไม่จำเป็นอีกต่อไป เขาจึงต้องเฟ้นหาเหตุผลสักอย่างขึ้นมาตอบ

   "เฮ้อ ... เรื่องนี้เกรงว่าผมเองก็ตอบไม่ได้ ... ผมเคยคิดว่าการเป็นทหารจะได้ต่อสู้กับคนเก่ง ๆ ให้รู้สึกพลุ่งพล่าน แต่เท่าที่ต่อสู้มา มีแค่เพียงแม่ทัพฟาร์อีสต์ที่ต่อสู้ด้วยแล้วรู้สึกตื่นเต้นพลุ่งพล่านที่สุด ถ้าถามว่าผมอยากทำอะไร ผมคงต้องตอบว่าอยากท้าสู้กับแม่ทัพฟาร์อีสต์อีกสักครั้งเพื่อแก้มือ แต่คงต้องฝึกฝีมืออีกสักหลายเดือนเพื่อพัฒนาตัวเองให้แกร่งมากกว่านี้"

   ก่อนหน้านี้แม็กเลือกแสดงออกอย่างอ้อมค้อมว่าเขาชื่นชอบสตรีงดงาม และตอนนี้แม็กได้ตัดสินใจเลือกสวมบทบาทผู้กล้าที่ชื่นชอบการต่อสู้ ทั้งยังกล่าวอ้างว่าต้องการต่อสู้กับแม่ทัพฟาร์อีสต์อีกครั้ง ซึ่งความจริงแล้วเขาไม่ได้ชื่นชอบการต่อสู้ ทั้งยังไม่อยากต่อสู้กับแม่ทัพฟาร์อีสต์ หากทว่าเขาเชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่มหาอุปราชต้องการให้เขากระทำ เขาจึงเลือกสวมบทบาทนี้ขึ้นมา

   มหาอุปราชดูจะตาเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง เมื่อได้ยินว่าแม็กต้องการต่อสู้กับแม่ทัพฟาร์อีสต์อีก และนั่นยืนยันได้ว่าแม็กน่าจะเลือกสวมบทบาทได้ถูกต้องแล้ว

   "แก้มือเช่นนั้นหรือ แต่ในคำร่ำลือนั้นกล่าวกันว่าเจ้าต่อสู้เสมอกับแม่ทัพฟาร์อีสต์"

   "ความจริงแล้ว แม่ทัพแข็งแกร่งกว่าผมขั้นหนึ่ง การประลองรอบที่ผ่านมาผมถือว่าพ่ายแพ้"

   "นักรบที่แท้จริงไม่ถือสาความพ่ายแพ้ ข้าเองก็ได้รับฟังรายละเอียดในการต่อสู้แล้ว ถึงเจ้าจะพ่ายแพ้ แต่ก็เทียบเท่ากับการเสมอ เจ้ายังหนุ่มแน่นสามารถพัฒนาพลังฝีมือได้อีกมากนัก ... แต่ที่ข้าสงสัยก็คือเหตุใดครั้งนั้นเจ้าจึงไม่ใช้ธนูเข้าต่อสู้?"

   การยอมรับความพ่ายแพ้อย่างตรงไปตรงมาของแม็ก ดูจะทำให้มหาอุปราชพึงพอใจพอสมควร ซึ่งความจริงแล้วถึงคำร่ำลือจะบอกว่าสู้เสมอกัน แต่มีหรือที่ผู้ยิ่งใหญ่อย่างมหาอุปราชจะไม่สามารถสืบหาความจริงในรายละเอียดได้ มหาอุปราชจึงรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าในการประมือที่ผ่านมานั้น แม็กพ่ายแพ้ให้กับแม่ทัพฟาร์อีสต์

   เพียงแต่ในความพ่ายแพ้นั้นกลับไม่มีใครสามารถดูแคลนได้ เพราะแม่ทัพฟาร์อีสต์นั้นถือเป็นตำนานไร้พ่ายของเมือง อีกทั้งการต่อสู้นั้นยังดุเดือดอย่างที่สุด ถึงขนาดที่แม่ทัพต้องงัดเอาท่าไม้ตายออกมา กระนั้นท่าไม้ตายที่สามารถถล่มทหารได้หนึ่งกองพันนั้น กลับไม่สามารถทำให้เทพธนูเสียชีวิตได้ และในวันถัดมาเทพธนูยังสามารถเดินเหินออกมาจากค่ายทหารได้อย่างปกติสุข ไม่มีเค้าลางหรืออาการบาดเจ็บตกค้างเลยแม้แต่น้อย

   แรกทีเดียวผู้คนคาดว่าเทพธนูจะต้องบาดเจ็บสาหัส หากทว่าเมื่อเห็นเทพธนูไม่มีอาการอันใดจึงเริ่มตื่นตระหนกจนต้องประเมินพลังฝีมือใหม่ จากนั้นทุกคนจึงค่อยเริ่มครุ่นคิดว่าเทพธนูบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ทั้งยังพากันครุ่นคิดสงสัยว่าหากเทพธนูได้ใช้ธนูเข้าต่อกรกับแม่ทัพฟาร์อีสต์ซึ่งถนัดการต่อสู้ด้วยมือเปล่าจะเกิดอะไรขึ้น

   มหาอุปราชเองก็สงสัยเช่นเดียวกัน ในเมื่อใช้ฉายาเทพธนู แล้วเหตุใดจึงไม่ใช้ธนูเข้าต่อสู้กับแม่ทัพฟาร์อีสต์ ยิ่งได้เห็นพลังฝีมือในการใช้ธนูราวกับเทพยดาด้วยตาตนเองแล้ว มหาอุปราชก็ยิ่งงุนงงสงสัยเข้าไปอีก สุดท้ายจึงอดไม่ได้ที่จะต้องถามไถ่ออกมา

   "นั่นเป็นการประลองฝีมือ ไม่ใช่การเข่นฆ่ากัน ผมก็เลยไม่ได้ใช้ธนู"

   แม็กตอบหน้านิ่งด้วยคำตอบที่เขาครุ่นคิดมาแล้ว เขาเลือกอ้างว่าเป็นการประลองฝีมือ จึงไม่ได้ใช้อาวุธ ซึ่งก็ถือว่าจริงอยู่ส่วนหนึ่ง หากทว่าความเป็นจริงอีกส่วนก็คือเขาไม่ได้เชี่ยวชาญธนูจึงไม่ได้คิดจะเลือกใช้งานให้ตัวเองแย่กว่าเดิม
   
   อย่างไรก็ตาม คำตอบที่ดูตรงไปตรงมานั้นกลับทำให้มหาอุปราชตาเป็นประกายวูบหนึ่ง เพราะความหมายที่แม็กพยายามแอบซ่อนไว้ในประโยคให้มหาอุปราชเชื่อก็คือ เขาแพ้ในการประลองก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะแพ้หากต้องเข่นฆ่ากัน เพราะจุดเด่นของธนูไม่ใช่การต่อสู้ซึ่งหน้า

   มหาอุปราชฟาร์โก้ซึ่งเป็นอริกับแม่ทัพฟาร์อีสต์ย่อมไม่พลาดที่จะจับใจความที่ซุกซ่อนอยู่ ฝีมือยิงธนูราวเทพยดานั้นหากให้ต่อสู้ซึ่งหน้าก็จะสูญเสียความยอดเยี่ยมไปส่วนหนึ่ง แต่หากสามารถเกลี้ยกล่อมให้ใช้ฝีมือธนูนั้นลอบสังหารแม่ทัพฟาร์อีสต์ เชื่อได้ว่าคนที่ได้เห็นฝีมือเทพธนูในวันนี้คงไม่มึใครกล้าพูดว่าเทพธนูไม่มีทางกระทำได้สำเร็จ
   
    สถานการณ์ในเวลานี้เรียกได้ว่ารู้เขาไม่รู้เรา มหาอุปราชไม่ทราบเป้าหมายที่แท้จริงของแม็ก แต่ว่าแม็กกลับทราบเป้าหมายที่แท้จริงของมหาอุปราช แม็กจึงเดินเกมทำให้อีกฝ่ายเชื่อว่าเขามีดีพอที่จะทำให้เป้าหมายของมหาอุปราชเป็นจริงได้หากเขาอยากทำ ส่วนมหาอุปราชนั้นกลับโดนข้อมูลกึ่งจริงกึ่งเท็จของแม็ก จนเข้าใจเป้าหมายสูงสุดของแม็กผิดไปครึ่งหนึ่ง

   ที่ว่าเข้าใจผิดไปครึ่งหนึ่งก็คือ มหาอุปราชเข้าใจว่าแม็กเป็นคนชื่นชอบความงามของสตรี ไปพร้อมกับชื่นชอบการต่อสู้ หากทว่าความจริงแล้วมีเพียงส่วนแรกที่ถูกต้อง ส่วนหลังนั้นเรียกได้ว่าห่างไกลจากความเป็นจริงไปไกลลิบ

   "ช่างน่าสนใจ ... ข้าได้ยินมาว่า เจ้ามีความสัมพันธุ์ล้ำลึกกับเซเฟียหลานสาวของแม่ทัพฟาร์อีสต์"

   "ท่านมหาอุปราชก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ผู้ชายคนไหนไม่ชื่นชอบดอกไม้งาม เซเฟียก็เหมือนกับแม่เสือสาวที่น่าปราบพยศให้เชื่องแล้วจับมาควบขี่"

   แม็กเลือกตอบด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มแฝงความหื่นกระหาย ประโยคเหล่านี้ถึงแม้จะตรงไปตรงมาตามนิสัยของเซเฟีย หากทว่าแอบแฝงไว้ด้วยการเหยียดหยามไม่เหมาะสมที่เขาไม่นิยมใช้ เพียงแต่ในเวลาเช่นนี้เขาเชื่อว่าการตอบแบบนี้จะทำให้มหาอุปราชคลายใจได้ดีที่สุด

   แม็กย่อมทราบว่าในแง่ของพลังฝีมือนั้นเขาถือว่าสอบผ่านแล้ว เพียงแต่มหาอุปราชย่อมสืบทราบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเซเฟีย ซึ่งหากเขาแสดงให้เห็นว่าเซเฟียมีอิทธิพลต่อเขาอย่างสูง ก็เป็นไปไม่ได้ที่มหาอุปราชจะมองเขาเป็นพันธมิตร ดังนั้นเขาจึงเลือกแสดงท่าทีให้เหมือนกับว่าเซเฟียเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งที่ไม่อิทธิพลอะไร

   "ฮ่า ฮ่า แม่เสือสาวที่น่าปราบพยศงั้นหรือ ช่างเปรียบเทียบได้ดี แต่หากเปรียบกับเนทีเรียนล่ะ เจ้าคิดว่าอย่างไร?"

   "เนทีเรียนเหมือนกับสุนัขจิ้งจอกมากเล่ห์เหลี่ยม ถ้าเผลอนิดเดียวก็อาจจะโดนเล่ห์กลมารยาหลอกล่อจนหลงไหลโงหัวไม่ขึ้น เธอมีเสน่ห์ในระดับเดียวกับเซเฟีย"

   แม็กเลือกตอบว่าเซเฟียและเนทีเรียนมีเสน่ห์เท่าเทียมกัน เพียงแต่ต่างกันไปคนละแบบ ซึ่งความจริงนี่ก็นับเป็นความจริงอย่างหนึ่ง เพราะพวกเธอเองก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มห้าสาวงามแห่งเมืองเลอองนิสต์อยู่แล้ว

   คำถามและคำตอบนั้นดูตรงไปตรงมา หากทว่าเมื่อคิดในแง่การเมืองแล้วกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากแม็กตอบเอาใจมหาอุปราชด้วยการบอกว่าชอบเนทีเรียนมากกว่า เขาก็อาจจะได้รับเนทีเรียนเป็นรางวัลทันที หากทว่าแม็กต้องการรางวัลที่มากกว่านั้น เขาจึงต้องแอบแฝงความนัยว่าทั้งคู่เท่าเทียมกัน

   เมื่อทั้งคู่เท่าเทียมกัน ก็แปลความได้ว่าต่อให้ส่งมอบเนทีเรียนให้ ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถทำให้เขาเอนเอียงมาทางฝั่งมหาอุปราช ดังนั้นหากต้องการซื้อตัวเขา ก็ต้องมีรางวัลที่มีคุณค่าสูงกว่าเนทีเรียน อย่าว่าแต่มหาอุปราชย่อมทราบดีว่าเขาเพิ่งซื้อแปดนางงามจากทวีปไชนี่มาเป็นทาส และนางงามทั้งแปดนั้นสวยล้ำกว่าห้าสาวงามประจำเมืองขั้นหนึ่ง โดยเฉพาะเตียวเสี้ยนที่โดดเด่นเหนือล้ำกว่าหลายขั้น

   "เพราะเช่นนี้นี่เอง เจ้าจึงไม่สนใจทหารสาวของฝ่ายต้อนรับทั้งสองนาง ฮ่า ฮ่า เอ้าดื่มให้เทพธนูผู้มากรักสักแก้ว"

   มหาอุปราชส่งเสียงหัวเราะร่วนคล้ายพออกพอใจในคำตอบ เหล่าสาวใช้ที่แต่งตัววาบหวามอวดหนั่นเนื้ออวบอิ่มสองคนจึงรีบเดินนวยนาดยกถาดเครื่องดื่มมาให้

   แม็กและมหาอุปราชรับแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาชนกันแล้วยกขึ้นดื่มด้วยรอยยิ้ม หากทว่าวินาทีนี้เองที่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าตื่นตระหนกขึ้น

   วินาทีที่เครื่องดื่มไหลเข้าไปในปากย่อมเป็นวินาทีที่ผู้คนไม่ทันระวังตัว วินาทีนั้นสาวใช้รูปร่างอ้อนแอ้นบอบบางทั้งสองนางกลับพลิกมือทิ้งถาดเงิน แล้วแยกย้ายกันจ้วงแทงเข้าใส่ทั้งแม็กและมหาอุปราชด้วยมีดสีเงินคมกริบอย่างรวดเร็วเงียบงันราวกับนักฆ่ามือฉมัง

   'มาแล้ว!!!'

   แม็กส่งเสียงโพล่งในใจ พร้อมกับเริ่มขยับตัวตามที่ได้ครุ่นคิดไว้แล้วล่วงหน้า ซึ่งนี่นับเป็นความดีของเนทีเรียนที่ได้บอกกล่าวเขาเอาไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นเขาคงต้องพลาดท่าให้กับแผนการทดสอบอันแนบเนียนเหนือชั้นและไร้ช่องโหว่ของมหาอุปราชในครั้งนี้อย่างแน่นอน

   มือขวาของเขาขยับวูบอย่างรวดเร็ว ตะปบลงมาคว้าจับข้อมือบอบบางของสาวใช้จนไม่สามารถผลักดันมีดสั้นให้เดินหน้าเข้ามาหาตัวเองได้ ในขณะเดียวกันนั้นขาขวาของเขาก็ยกสะบัดถีบเข้าใส่สะโพกของสาวใช้อีกนางที่สะบัดมีดใส่มหาอุปราช

   ความรวดเร็วของท่วงท่าทำให้มหาอุปราชรอดพ้นจากอันตราย ส่วนสาวใช้คนนั้นได้แต่ส่งเสียงร้องและลอยละลิ่วไปนอนเกลือกกลิ้งกับพื้นพร้อมกับส่งเสียงโอดโอย ส่วนสาวใช้ที่สะบัดมีดใส่แม็กนั้นโดนจับข้อมือบิดไพร่หลังจนส่งเสียงร้องโอดโอยออกมาเช่นเดียวกัน

   "ท่านมหาอุปราชไม่เป็นอะไรใช่มั้ย ทหารรีบมาอารักขามหาอุปราชเร็วเข้า"

   แม็กแสร้งกล่าวด้วยน้ำเสียงแตกตื่น พร้อมกับขยับร่างไปบังคล้ายคิดอารักขาป้องกันให้มหาอุปราชอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังส่งเสียงร้องเรียกทหารที่อยู่ภายนอกด้วยอีกทางหนึ่ง ซึ่งนี่นับเป็นกิริยาอันเหมาะสมอย่างหนึ่งของทหารองครักษ์ที่พึงมี

   "ทหาร อยู่ไหนกันหมด รีบเข้ามาอารักขาท่านมหาอุปราชเร็วเข้า"

   แม็กส่งเสียงตะโกนอีกครั้งอย่างสมบทบาท ซึ่งประตูห้องยังคงปิดเงียบอยู่เช่นนั้นไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออก ราวกับว่าที่หน้าประตูนั้นไม่มีทหารองครักษ์ยืนยามอยู่

   "ฮ่า ฮ่า ฮ่า ยอดเยี่ยม เจ้าไม่ต้องเรียกทหารแล้ว นี่เป็นแค่หนึ่งในการทดสอบ ปล่อยนางไปเถอะ นางแค่ทำตามคำสั่งของข้าเพื่อทดสอบเจ้าเท่านั้น"

   เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ก่อนที่มหาอุปราชจะส่งเสียงหัวเราะพึงพอใจอย่างยิ่งยวด เพราะที่แท้แล้วนี่ไม่ใช่การลอบฆ่า หากทว่าเป็นหนึ่งในแผนของมหาอุปราชที่ใช้ทดสอบผู้คน ก่อนจะรับเข้าเป็นพวกเดียวกัน

   คนระดับมหาอุปราชย่อมไม่โง่พอที่จะรับคนมีฝีมือทุกคนเข้าเป็นพวกเดียวกัน หากทำเช่นนั้นเกรงว่าฝ่ายศัตรูจะส่งยอดฝีมือเข้ามาปะปนได้อย่างสบาย ดังนั้นมหาอุปราชจึงสร้างการทดสอบอันยิบย่อยขึ้นมาให้แน่ใจได้ว่าคนใกล้ตัวไม่ใช่ศัตรู

   การทดสอบลอบฆ่าเมื่อครู่นั้นเป็นหนึ่งในแผนจิตวิทยาขั้นสูง เริ่มจากทำให้เชื่อว่าผ่านการทดสอบแล้ว และให้นักฆ่ามือดีในคราบสาวใช้รูปร่างอ้อนแอ้นบอบบางเป็นผู้ลอบลงมือ โดยทำทีเป็นลงมือสังหารทั้งสองคนพร้อมกัน

   หากผู้รับการทดสอบเป็นฝ่ายศัตรู ในโอกาสเช่นนี้ย่อมไม่ลงมือช่วยเหลือมหาอุปราชเด็ดขาด เพราะนี่คือโอกาสดีที่จะให้มหาอุปราชตายโดยไม่ต้องลงมือเอง ดังนั้นหากผู้เข้าทดสอบเอนเอียงไปทางฝ่ายศัตรู คนผู้นั้นย่อมไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือมหาอุปราชอย่างแน่นอน

   หากคนผู้นั้นปกป้องตนเองก่อน แล้วค่อยยื่นมือเข้าช่วยเหลือ อย่างนั้นก็สามารถมองได้ว่าไม่ใช่ศัตรู เพียงแต่มีความสามารถจำกัด ไม่ใช่ยอดฝีมือที่น่าชุบเลี้ยง ดังนั้นการที่แม็กสามารถลงมือป้องกันตัวเอง พร้อมกับช่วยเหลือมหาอุปราชไปด้วยพร้อมกัน ย่อมกลายเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการทดสอบครั้งนี้

   แม้ว่าการทดสอบในครั้งนี้จะบอกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกเดียวกัน แต่ก็สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ศัตรู ตอนนี้สิ่งที่มหาอุปราชคิดก็คือ เทพธนูไม่ได้มีความคิดเป็นศัตรู และมีฝีมือสามารถรับความเปลี่ยนแปลงปกป้องชีวิตตนเองได้ ดังนั้นจึงสมควรทุ่มทุนซื้อหามาเป็นพรรคพวก

   "การทดสอบ?"

   แม็กแสร้งขมวดคิ้วทวนคำด้วยความไม่พอใจพร้อมกับปล่อยมือให้สาวใช้คนนั้นเป็นอิสระ หากทว่าภายในนั้นกำลังแอบลอบหัวเราะเยาะ เพราะเขาทราบการทดสอบนี้จากเนทีเรียนล่วงหน้าแล้ว เขาจึงเตรียมตัวรับมือไว้ได้ตั้งแต่แรกจนได้รับความสำเร็จอย่างงดงาม ตอนนี้เขาเชื่อว่ามหาอุปราชยอมไว้วางใจเขามากพอสมควรแล้ว

   "ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอโทษเจ้าด้วยที่ต้องทดสอบแบบนี้ แต่ว่านี่เป็นบททดสอบที่คนใกล้ชิดของข้าต้องผ่านก่อนทุกคน เช่นนี้เถอะ ข้าจะขอชดเชยให้ด้วยการพาเจ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง และข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องชื่นชอบ"

   มหาอุปราชเดินมาโอบไหล่แม็กอย่างสนิทสนมครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินนำไปที่ประตูห้องแล้วหยุดยืนรอให้แม็กเดินตามไป

   แม็กแสร้งยืนนิ่งทำท่างุนงงครู่หนึ่งเพื่อให้สมบทบาท จากนั้นจึงค่อยเดินตามไปพร้อมด้วยสีหน้าเหมือนไม่ค่อยพึงพอใจนัก

   เมื่อบานประตูเปิดออก เขาพบว่าเนทีเรียนไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว มีแต่เพียงทหารองครักษ์เกราะสีทองสองคนยืนเฝ้าอยู่เช่นเดิม จากนั้นมหาอุปราชฟาร์โก้ก็เดินนำพาเขาไปตามทางเดินที่ปูด้วยพรมสีแดงโดยไม่มีใครอื่นอีก

   แม็กลอบชื่นชมแผนทางจิตวิทยาของมหาอุปราชอีกครั้ง หลังจากการทดสอบที่น่าจะทำให้ผู้รับการทดสอบโกรธเคือง มหาอุปราชก็เปิดโอกาสให้ผู้รับการทดสอบเดินไปตามทางเดินด้วยกันสองต่อสองโดยไม่มีองครักษ์อื่น ทั้งยังหันหลังเปิดโอกาสให้ลงมือได้หากต้องการ

   นั่นคล้ายกับจะสื่อถึงความไว้วางใจที่มอบให้หลังผ่านการทดสอบ ดังนั้นหากเขาเป็นผู้เข้ารับการทดสอบคนหนึ่ง เกรงว่าเขาก็คงจะคลายจากความโกรธได้อย่างรวดเร็วเมื่อทราบว่าตนเองได้รับความไว้วางใจแล้ว

   อย่างไรก็ตามแม็กไม่ได้รู้สึกโกรธตั้งแต่แรก ทั้งยังไม่ได้คิดไว้ใจมหาอุปราช เพราะภาพที่ตาเห็นกับเรื่องจริงนั้นเป็นคนละเรื่องกัน คนระดับมหาอุปราชย่อมไม่เปิดทางให้ใครเด็ดขาด ไม่ว่าความเสี่ยงจะต่ำต้อยแค่ไหนก็ตาม

   แม็กสามารถสัมผัสได้ว่าบริเวณทางเดินที่เดินอยู่นี้ เต็มไปด้วยอักขระเวทย์มากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งหากให้เขาลองคาดเดา อักขระเวทย์เหล่านี้น่าจะสามารถป้องกันอันตรายให้กับมหาอุปราชได้โดยไม่ต้องพึ่งพาทหารองครักษ์​ หรืออย่างน้อยก็ต้องซื้อเวลาให้มหาอุปราชหลบหนีได้เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
     
   เขาย่อมไม่ได้มีความคิดจะฆ่าฟันมหาอุปราช และไม่จำเป็นต้องทดลองดูว่าอักขระเวทย์พวกนี้ทำอะไรได้บ้าง แม็กจึงเพียงเดินตามมหาอุปราชไปโดยไม่พูดจาเปิดโปง จากนั้นจึงค่อย ๆ ปั้นหน้าคล้ายคนที่คลายจากความไม่พอใจทีละน้อย

   แม็กเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ทางเดินที่เขาเดินตามมหาอุปราชนี้ดูจะเริ่มตกแต่งหรูหรากว่าทางเดินในช่วงก่อนหน้า อีกทั้งยังมีทหารองครักษ์ที่ดูมีพลังแข็งแกร่งกว่า ซึ่งพอจะคาดเดาได้ว่านี่เป็นส่วนของบุคคลระดับสูง เพียงแต่จะเป็นใครนั้นเขายังไม่สามารถคาดเดาได้

   มหาอุปราชเดินนำพาเขาเข้าไปในห้องโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ที่แห่งนั้นประดับประดาไปด้วยดอกไม้ส่งกลิ่นหอมฟุ้งราวกับยืนอยู่ในสวนดอกไม้ และที่กลางห้องมีโต๊ะยาวปูด้วยผ้าสีขาวสะอาดสะอ้าน บนโต๊ะมีอุปกรณ์รับประทานอาการสีเงินหรูหรา หากทว่าที่ดึงดูดสายตาของแม็กมากที่สุดกลับเป็นผู้หญิงสองคนที่นั่งรับประทานอาหารอยู่บนโต๊ะยาวนั้น

   ผู้หญิงสวยทั้งสองมีเส้นผมสีทองและดวงตาสีน้ำตาล รูปร่างทรวดทรงทั้งคู่สูงเพรียวมีน้ำมีนวลหนั่นแน่นน่ามอง ทั้งคู่มีหน้าตาที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้างทว่าไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว แต่ก็เรียกได้ว่ามีความงดงามที่น่าตะลึงลานทั้งคู่ ซึ่งหากให้เปรียบเทียบแล้ว แม็กเชื่อว่าผู้หญิงทั้งสองคนนี้คงอยู่ในระดับเดียวกับเนวาน่าเจ้าหญิงแห่งเมืองแบล็คฟอร์ด ซึ่งมีเสน่ห์ด้อยกว่าร้อยแปดสาวงามไม่มากนัก

   ผู้หญิงที่นั่งหัวโต๊ะดูจะมีอายุยี่สิบกว่า ๆ เธอสวมใส่มงกุฎสีทอง และอาภรณ์หูหราสีขาวฟูฟ่องราวกับราชินี ส่วนผู้หญิงอีกคนที่นั่งอยู่ด้านข้างนั้นน่าจะมีอายุไม่ถึงยี่สิบ เธอคนนี้สวมใส่มงกุฏสีทองขนาดเล็กกว่า และสวมอาภรณ์ที่หรูหราน้อยกว่าคล้ายจะมีศักดิ์ฐานะด้อยกว่าคนแรกอยู่สักหน่อย

   "บังเอิญเสียจริง นี่เป็นเวลาอาหารว่างก่อนมื้อเที่ยงของพวกเจ้าซินะ ข้ากำลังจะพาคนมาทานอาหารว่างพอดี เช่นนี้ก็ขอร่วมโต๊ะเลยก็แล้วกัน มาซิกายเวอร์ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก นี่คือองค์ราชินีฟารินี่ลูกสาวคนเดียวของข้า ส่วนนี่คือองค์หญิงพารีสหลานสาวคนสวยของข้า"

    มหาอุปราชฟาร์โก้เดินเข้าไปและทำการแนะนำตัวราวกับเรื่องบังเอิญ ส่วนองค์ราชินีฟารินี่ และเจ้าหญิงพารีสนั้นก็พากันวางช้อนลงบนโต๊ะด้วยท่าทีมากมารยาท ก่อนจะพากันหันมามองดูด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้

   เวลานี้แม็กกำลังเหม่อมองเสน่ห์ความงามของสองแม่ลูกโดยไม่ต้องเสแสร้ง เพียงแต่เขาทราบดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างที่มหาอุปราชพูดออกมาเด็ดขาด เขาเชื่อว่ามหาอุปราชจงใจนำพาเขามาให้เจอกับเจ้าหญิงพารีสเพื่อหวังผลบางอย่าง และผลบางอย่างที่ว่าก็คือการใช้เจ้าหญิงพารีสเป็นเหยื่อล่อให้เขายอมขายชีวิตให้นั่นเอง

................................

   เสียงหัวเราะคิกคักของราชินีฟารินี่และเจ้าหญิงพารีสดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่เป็นฝีมือการสนทนาหยอกเย้าของแม็กโดยตรง แม้ว่าแรกทีเดียวที่เริ่มนั่งรับประทานของว่าง องค์ราชินีและเจ้าหญิงจะแสดงท่าทีเย่อหยิ่งถือตัวอยู่บ้าง แต่เมื่อเจอกับแม็กที่รู้จักพูดรู้จักสนทนารู้จักหยอกเย้า ทั้งยังคุ้นเคยเข้าใจแนวคิดของชนชั้นสูง องค์ราชินีและเจ้าหญิงก็เริ่มลดทอนความเย็นชาลง

   นอกจากฝีปากของแม็กที่ช่ำชองเรื่องผู้หญิงแล้ว อาจจะต้องกล่าวขอบคุณมหาอุปราชด้วยส่วนหนึ่ง เพราะมหาอุปราชต้องการใช้เจ้าหญิงพารีสเป็นเหยื่อล่อให้แม็กขายชีวิตให้ จึงแอบกำชับลูกสาวให้แสดงท่าทีเป็นมิตรและยั่วเย้าบริหารเสน่ห์ใส่ ทั้งราชินีและเจ้าหญิงจึงไม่ลุกหนีไปตั้งแต่คราวแรก

   เมื่อมีเวลาให้สนทนา แม็กย่อมไม่ปล่อยโอกาสทองให้เสียเปล่า เขากลายเป็นคู่สนทนาที่ไม่น่าเบื่อ ทั้งยังมีลูกล่อลูกชนเล่าเรื่องราวน่าตื่นเต้นให้แก่สองสาวชนชั้นสูงได้อย่างต่อเนื่อง มหาอุปราชฟาร์โก้คงจะมองเห็นแนวโน้มที่ดีจึงขอแยกตัวไปกระทำภารกิจส่วนตัวก่อน แต่ก่อนไปก็ยังแอบกระซิบสั่งการต่อราชินีและเจ้าหญิงคำหนึ่ง

   ความได้เปรียบของแม็กอีกอย่างก็คือเขามีสัมผัสอันเฉียบคมที่สามารถแผ่ขยายดักฟังเสียงกระซิบแผ่วเบาได้ เขาจึงแอบฟังและรับทราบข้อความที่บอกกล่าวกับราชินีและเจ้าหญิงสั้น ๆ ว่า จงหว่านเสน่ห์ให้เขาหลงไหลเพื่อหลอกใช้งานให้ได้

   สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่เกินกว่าที่เขาคาดคิด มหาอุปราชฟาร์โก้เตรียมใช้เจ้าหญิงพารีสหลานสาวของตัวเองเป็นเหยื่อล่อ เพียงแต่มหาอุปราชวางให้เจ้าหญิงพารีสเป็นแค่เหยื่อล่อเท่านั้น ยังไม่ได้ตั้งใจจะยกให้เขาจริง ๆ ซึ่งนั่นก็ไม่แปลก เพราะของที่ยังไม่ได้ครอบครองมักจะมีคุณค่าสูงเสมอ

   แม็กเชื่อว่ามหาอุปราชจะวางแผนให้เจ้าหญิงพารีสแกล้งทำเหมือนมีใจให้ จากนั้นจึงค่อยยกอ้างเรื่องความแตกต่างของชนชั้นขึ้นมา แล้วขอร้องให้เขาเร่งสร้างผลงานเพื่อเลื่อนชนชั้นไปเป็นระดับแม่ทัพหรืออะไรก็ตาม หลังจากนั้นเจ้าหญิงจึงจะยอมให้เขาครอบครองร่างกายเป็นรางวัล

   นี่นับเป็นสูตรสำเร็จเหมือนในละครน้ำเน่าเพื่อหลอกใช้คน แต่ถึงจะรู้ว่าคำสัญญาด้วยลมปากนี้ไม่แน่ว่าจะเป็นจริง แต่สำหรับบุรุษทั่วไปแล้วร้อยทั้งร้อยคงต้องหลงกล อันดับแรกคือการมีสาวงามเป็นรางวัล และอันดับที่สองก็คือเจ้าหญิงพารีสนั้นแสดงออกอย่างอ้อมค้อม ว่าเธอโดนองค์ราชาบีบให้แต่งงานกับเจ้าชายวิลเลี่ยมโดยไม่ยินยอม

   แม้แต่องค์ราชินีเองก็ยังแสดงท่าทีเวทนาต่อบุตรสาวตนเอง เธอแสดงออกอย่างอ้อมค้อมคล้ายจะบอกว่าอยากให้มีอัศวินสักคนมาช่วยเหลือเจ้าหญิงพารีสลูกสาวของเธอ แบบนี้แล้วผู้ชายคนไหนกันที่จะไม่รู้สึกเวทนาสาวงามที่แลดูน่าปกป้องทะนุถนอมคนนี้

   แม็กเลือกสวมบทบาทชายหนุ่มที่พลุ่งพล่านอยากช่วยเหลือเจ้าหญิง ซึ่งความจริงเขาเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่าความจริงเป็นเช่นไร เขายังไม่เข้าใจว่าทำไมองค์ราชินีและเจ้าหญิงจึงพยายามหว่านล้อมให้เขารู้สึกจงเกลียดจงชังเจ้าชายวิลเลี่ยม รวมไปถึงยังพยายามทำให้เขารู้สึกไม่ดีกับองค์ราชากีแลน แม่ทัพฟาร์อีสต์ และเจ้าหญิงเรนเน่รัชทายาทอันดับหนึ่งไปด้วยพร้อมกัน

   จากคำบอกเล่าที่ได้ยินจากราชินีและเจ้าหญิงนั้น ได้ใจความว่าราชินีฟารินี่ถูกองค์ราชาหมางเมินไม่สนใจตั้งแต่ตอนที่ตั้งท้องเจ้าหญิงพารีส เพราะช่วงเวลานั้นองค์ราชาเอาแต่สนใจราชินีคนก่อน ซึ่งเป็นแม่ของเจ้าหญิงเรนเน่รัชทายาทอันดับหนึ่งคนปัจจุบัน แม้แต่ตอนที่แม่ของเจ้าหญิงเรนเน่เสียชีวิต จนตำแหน่งราชินีเปลี่ยนมือ องค์ราชาก็ยังคงแสดงท่าทีเย็นชาหมางเมินใส่ราชินีฟารินี่และเจ้าหญิงพารีสผู้เป็นลูกสาว

   องค์ราชินียังพูดจาอ้อมค้อมบอกกล่าวว่า หากเธอไม่มีบิดาเป็นมหาอุปราชฟาร์โก้ เธอและลูกสาวอาจจะโดนองค์ราชาและแม่ทัพฟาร์อีสต์ขับไล่ไสส่งออกจากวังหลวงไปแล้ว และด้วยเหตุนี้องค์ราชาจึงพยายามผลักไสให้เจ้าหญิงพารีสแต่งงานกับเจ้าชายวิลเลี่ยม

   แม็กรับฟังแล้วแสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวไม่พอใจตามที่อีกฝ่ายเล่าให้ฟัง หากทว่ากฎเหล็กทางการเมืองอย่างหนึ่งก็คือจงอย่าเชื่อทุกสิ่งที่คนอื่นพูด คนที่เชื่อโดยไม่วิเคราะห์นั้นไม่ต่างอะไรกับพวกหน้าโง่ที่จะถูกนักการเมืองหลอกใช้ให้ไปตายแทน

   เมื่อไหร่ก็ตามที่นักการเมืองบอกให้กระทำเรื่องผิดกฎหมายผิดจารีต แล้วบอกว่าจะรับผิดชอบทุกอย่างให้ เมื่อนั้นแสดงว่านักการเมืองกำลังมองคุณเป็นไอ้หน้าโง่คนหนึ่ง

   หากคุณทำเรื่องราวดี ๆ หรือยอมพลีชีพเพื่ออุดมการณ์อันสูงส่ง คุณก็จะโดนนักการเมืองผู้นั้นยึดเอาความดีความชอบไป โดยอ้างว่าเขาเป็นคนสั่งการ แต่หากคุณทำเรื่องผิดพลาด คุณจะโดนตัดหางปล่อยวัดกลายเป็นเศษสวะไร้ค่า ที่นักการเมืองผู้นั้นไม่เคยรู้จักทันที

   แม็กไม่เชื่อว่าสิ่งที่ราชินีและเจ้าหญิงสื่อออกมาจะเป็นจริงทั้งหมด แต่หากจะบอกว่าเป็นเรื่องเท็จทั้งหมดก็คงไม่ใช่ เพราะกฎเหล็กอีกข้อในการหลอกคนก็คือไม่ควรสร้างเรื่องหลอกลวงทั้งหมด เพราะนั่นจะสามารถตรวจสอบได้ง่ายและมีช่องโหว่มากเกินไป หากต้องการหลอกคน จะต้องเอาข้อเท็จจริงบางส่วนมาเติมแต่งบิดเบือนเพื่อหลอกลวงคน

   สิ่งที่แม็กเชื่อว่าจริงน่าจะเป็นเรื่องที่ว่าองค์ราชินีและเจ้าหญิงโดนองค์ราชาหมางเมิน และองค์ราชาดูจะรักใคร่ราชินีคนก่อนที่ล่วงลับไปแล้ว รวมถึงเจ้าหญิงเรนเน่รัชทายาทอ้นดับหนึ่งด้วย เพราะเรื่องนี้เขาเชื่อว่าสามารถสอบถามจากคนอื่นในวังได้ จึงไม่ควรเป็นเรื่องโกหก เพียงแต่เรื่องราวย่อมมีเบื้องหลัง เขายังไม่ทราบว่าเหตุใดองค์ราชาจึงหมางเมินไม่สนใจราชินีฟารินี่ซึ่งงดงามถึงเพียงนี้ได้

   อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องรองลงไป เพราะสิ่งที่แม็กสนใจในเวลานี้คือวิธีการพิชิตใจเจ้าหญิงพารีสเป็นลำดับแรก เขาย่อมไม่โง่พอที่จะเป็นทาสรับใช้มหาอุปราชและรอคอยวันได้รับรางวัลซึ่งอาจไม่มีจริง ดังนั้นเขาจึงพยายามครุ่นคิดวางแผนที่จะฮุบกินรางวัลเสียก่อน ซึ่งนั่นดูจะไม่ง่ายนัก เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าหญิงที่มีผู้คนห้อมล้อมดูแลตลอดเวลาเหมือนนกน้อยในกรงทอง

   เจ้าหญิงพารีสสาวสวยผมสีทองตาสีน้ำตาลนั้นมีเสน่ห์เทียบเคียงกับราชินีฟารินี่แม่ของเธอ ทั้งคู่อาจจะมีเสน่ห์ด้อยกว่าร้อยแปดสาวงามหนึ่งขั้น แต่ก็นับว่างดงามล้ำเลิศ เพียงแต่นิสัยออกจะแตกต่างกันบ้าง เจ้าหญิงพารีสนั้นเป็นสาววัยรุ่นอยากรู้อยากเห็นช่างพูดจา ส่วนราชินีฟารินี่ซึ่งดูภายนอกเหมือนอายุเพียงยี่สิบต้น ๆ นั้นมีนิสัยพูดน้อย หากทว่าตรงประเด็นกว่า

   การสนทนาทำให้แม็กรับรู้ความชื่นชอบทั่วไปของแม่ลูกคู่นี้ไม่น้อย เพียงแต่เขาก็ยังนึกแผนการดีงามที่จะทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับเจ้าหญิงพารีสไม่ออก จึงได้แต่พยายามลองตะล่อมทางโน้นทีทางนี้ทีไปเรื่อย ๆ

   "เจ้าบอกว่าเจ้ามีความสามารถทางด้านการพยากรณ์งั้นหรือ?"

   องค์ราชินีฟารินี่ถามด้วยดวงตาวิบวับตื่นเต้นกว่าครั้งก่อนใด เมื่อแม็กพูดเปิดเผยว่าเขามีความสามารถในการวิเคราะห์ดูดวงผู้คน ซึ่งความจริงแล้วแม็กหมายถึงทักษะหยั่งรู้สภาพระดับสิบดาว ที่ได้รับมาจากคาร่า เพียงแต่ทักษะที่ว่านี้เป็นการอ่านข้อมูลปัจจุบัน ไม่ใช่การพยากรณ์เรื่องราวในอนาคตอย่างที่กล่าวอ้าง

   "คำว่าพยากรณ์ก็ไม่เชิง แต่เป็นการอ่านคนและดูดวงเสียมากกว่าครับองค์ราชินี"

   "ดูดวงงั้นหรือ?"

   "ใช่ครับ ผมพอจะมีความสามารถอ่านแนวโน้มที่จะเป็นไปในอนาคต ซึ่งอาจจะแม่นยำบ้างในบางส่วน ก็เลยใช้คำว่าดูดวง ถ้าจะบอกว่าพยากรณ์ก็คงไม่แม่นยำขนาดนั้น"

   แม็กรู้สึกเหมือนว่าจะจับจุดความสนใจบางอย่างขององค์ราชินีได้แล้ว เธอดูจะให้ความสนใจกับการดูดวงมากเป็นพิเศษ เพียงสังเกตจากท่าทีกระตือรือร้นในการสนทนาก็ทราบได้ เพียงแต่น่าเสียดายที่เจ้าหญิงพารีสซึ่งเป็นเป้าหมายหลักนั้นดูจะไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้นัก

   "เช่นนั้นเจ้าก็จงดูดวงให้กับข้าเสียหน่อย"

   "เอ่อ ... จริง ๆ ผมก็อยากดูให้นะครับ แต่ว่ากรรมวิธีในการดูดวงมันอาจจะไม่เหมาะไม่ควรเท่าไหร่"

   "ไม่เหมาะไม่ควรอย่างไร?"

   "อะแฮ่ม คือว่าวิธีการดูดวงของผมถึงจะแม่นยำมาก แต่ต้องดูในที่เงียบสงบไม่มีคนรบกวน แล้วก็ต้องสัมผัสร่างกายเช่นจับมือด้วยถึงจะดูได้ ก็เลยอาจจะไม่เหมาะกับราชินีแล้วก็เจ้าหญิงสักเท่าไหร่ ถ้าดูกันแบบผิวเผินก็จะไม่ค่อยแม่นยำ"

   แม็กส่งเสียงกระแอมและทำสีหน้าเหมือนละอายใจและหันไปมองเข้าหญิงพารีส หากทว่าในคำพูดคำจากลับแฝงความหมายกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น เพราะเขาระบุว่าแม่นยำมาก เพียงแต่ต้องแตะเนื้อต้องตัวด้วย ซึ่งเขาต้องการหยอกล้อในเชิงชู้สาวกับเจ้าหญิงพารีสอย่างอ้อมค้อมไปด้วยพร้อมกันนั่นเอง

   น่าเสียดายที่เจ้าหญิงพารีสดูจะไม่ค่อยสนใจนัก เธอเพียงมองดูแม็กแวบหนึ่ง แล้วหันไปมองทางราชินีฟารินี่เหมือนจะสื่อว่าเรื่องดูดวงเธอไม่ค่อยสนใจ ให้ไปคุยเรื่องนี้กับแม่ของเธอเสียมากกว่า

   "ช่างน่าสนใจนัก เจ้าแน่ใจหรือว่าวิธีการของเจ้านั้นจะสามารถพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำ"

   เป็นอย่างที่เจ้าหญิงพารีสแสดงออก น้ำเสียงขององค์ราชินีที่พูดโพล่งออกมาคล้ายจะตื่นเต้นสนใจเรื่องการดูดวงอย่างยิ่งยวด แม็กจึงรู้สึกเหมือนตัวเองเดินเกมผิดไปบ้าง แต่ก็คงต้องตามน้ำต่อไปก่อน

   "ผมแน่ใจองค์ราชินี ถ้าไม่ถือสาเรื่องนี้ จะให้ผมลองสัมผัสมือและดูดวงให้เจ้าหญิงพารีสเป็นการทดสอบก่อนก็ได้"

   แม็กพยายามเสนอสิ่งที่เขาต้องการ ตอนนี้เขาต้องการช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับเจ้าหญิงพารีสแบบสองต่อสอง รวมถึงโอกาสที่จะได้แตะสัมผัสมือ เพราะนั่นอาจทำให้ทักษะรัก ๆ ใคร่ ๆ ของเขาทำงานขึ้นมาบ้าง และหากค่าคะแนนความรักและความใคร่ของเจ้าหญิงสูงพอ สิ่งที่เขาหวังก็คงจะง่ายดายขึ้นกว่าเดิม

   "น่าสนใจนี่ ถ้าเช่นนั้นข้าจะลองทดสอบเจ้าเสียหน่อย ข้าจะให้เจ้าปิดตา และลองดูดวงให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง ... จงตามข้ามา"

   ราชินีฟารินี่มองสำรวจแม็กคล้ายจะค้นหาความจริงอย่างละเอียดยิบ จากนั้นเธอจึงยิ้มให้แล้วลุกขึ้นยืนเดินไปทางประตู โดยที่เจ้าหญิงพารีสยังคงนั่งรับประทานอาหารว่างอยู่เช่นเดิม แม็กจึงได้แต่ยิ้มฝืน ๆ ด้วยความรู้สึกผิดท่า เพราะแทนที่จะได้ใกล้ชิดกับเจ้าหญิงพารีส เขากลับโดนราชินีพาตัวไปทดสอบความสามารถโดยไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว

...............................................
เวปส่วนตัว - http://www.novel008.com
Discord - https://discord.gg/DkT2Mf8q

kookoo98

ตั้งใจอ่านมาก ชื่นชมผู้เขียนที่ทำให้เรื่องน่าติดตามมาก

enxis

อาาาา บางทีก็อยากจะเป็น max ดูซะทีเหมือนกันนะนี่ อิจฉา มากก (ฮา)

kasor7

ผูกโครงเรื่องแต่ละตอนน่าอ่าน ไม่น่าเชื่อว่าสร้างมาจากเกมส์ที่เล่นกัน มาเป็นเรื่องราวน่าอ่านได้

kipkipju kisdsada

กลเม็ดเด็ดพราย มีอยู่ในทุกๆตอนเลยนะครับ

newautonomous

เรื่องการเมือง ผมยอม ตามเกมไม่ทัน ขอบคุณครับ

pphu

อ่านสนุก มีการเมือง การคน การรัก สุดยอดครับ