ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ขุนช้างขุนแผน (Copy)  ตอนที่ 3  (เข้าสู่วัยรุ่น)  คุณ jookie1414

เริ่มโดย สองyu, เมษายน 22, 2016, 09:27:07 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

สองyu

ตอนที่ 3  (เข้าสู่วัยรุ่น)

หลังเหตุการณ์ที่ขุนไกรถูกตัดหัว เวลาผ่านไป 3 ปี ทุกชีวิตที่เมืองสุพรรณบุรี ก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่ใคร่จะมีความสุขนัก เนื่องจาก
ช่วงนี้มักจะมีโจรร้าย มาปล้นสดมภ์ เหล่าชาวบ้าน และข่มขืนเหล่าผู้หญิงทั้งหลาย ก็ส่งผลให้ทางสมเด็จพระพันวษา ได้ตรัสรับ
สั่งให้บรรดา นายกองทั้งหลาย ออกปราบปรามไอ้โจรกลุ่มนี้ และให้พวกหัวหน้าหมู่บ้านทั้งหลายให้ความร่วมมือในการปราบโจร
ร้ายนี้ด้วย

ณ บ้านของขุนศรีวิชัย เศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในเมืองสุพรรณบุรี ในวันนี้ก็เป็นวันเฉลิมฉลองอันเนื่องมาจากขุนศรีวิชัยขายสินค้า
ได้เงินทองมา มากมาย ดังนั้นขุนศรีวิชัย จึงจัดงานเฉลิมฉลองเพื่อเป็นการบอกชาวสุพรรณบุรีว่า ข้ารวย งานเฉลิมฉลองเริ่มต้น
ตั้งแต่ช่วงเย็น เลยไปเลิกเอาช่วงเกือบจะย่ำรุ่ง กว่าจะเก็บของเสร็จก็ราวๆ ตีห้า หลังจากนั้นทุกคนก็หลับสนิทกันยกเว้นแต่

"เฮ้ย เร็วๆ เข้าซิวะ" เสียงกระซิบจากชายคนหนึ่งซึ่งมีอายุประมาณ 40 เศษ สักลายพร้อยไปทั้งตัว เอาผ้าปิดหน้าไปจนเหลือแต่
ช่องตรงลูกตา กระซิบดุ คนที่ตามมาอีก 2 คน ให้รีบขนของออกจากบ้านของขุนศรีวิชัย พวกนี้คือ กลุ่มโจรที่ช่วงนี้กำลังลำพองใจ
ดำเนินการปล้นและฆ่า เจ้าทุกข์ทั้งหลาย และถ้าบ้านไหนมีผู้หญิงสวยด้วยมันยิ่งไม่เอาไว้ต้องโดนข่มขืนแน่นอน
ระหว่างที่พวกอีก 2 คนกำลังขนหีบสมบัติใบใหญ่ข้ามบานประตูห้อง เจ้าคนที่เดินหลังดันสะดุดธรณีประตูทำให้หีบสมบัติใบ
ใหญ่ใบนั้นหลุดมือตกลง กับพื้นเสียงดังโครมใหญ่ เสียงนี้หาได้ปลุกบ่าวไพร่ให้ลุกขึ้นมาไม่ เนื่องจากเหน็ดเหนื่อยจากงานเลี้ยง
ทั้งคืน แถมกินสาโทเข้าไปมากอีกด้วย

แต่คงเป็นคราวเคราะห์ของขุนศรีวิชัย ที่เกิดปวดเยี่ยวแล้วลุกขึ้นมา ทำให้ได้ยินเสียงนี้ ก็สงสัย และหันไปหยิบดาบที่แขวนที่ข้างฝา
แล้วค่อยๆ ย่องออกมายังห้องเล็กที่เก็บสมบัติด้านหลังบ้าน เมื่อมาถึงยังข้างห้องเล็กนั้น ขุนศรีวิชัยก็ได้ยินเสียงเดิน และ
เสียงกระซิบ จึงกระโดดออกมา แล้วฟันดาบใส่หลังโจรคนหนึ่งที่กำลังแบกสมบัติอยู่ จนโจรล้มกลิ้งไป แต่ขุนศรีวิชัยก็โดนหัวหน้า
โจรแทงจากด้านหลังจนมิดด้าม ขุนศรีวิชัยไม่มีโอกาสแม้จะได้สั่งเสียลูกเมียเพราะดาบนั้นมุ่งเข้าไปตัดที่ ขั้วหัวใจของขุนศรีวิชัย
ทำให้ขุนศรีวิชัยขาดใจตายในทันที แต่พวกโจรก็รีบหามคนที่บาดเจ็บหนีออกจากบ้านของขุนศรีวิชัยทันที ทิ้งให้ขุนศรีวิชัยนอน
จมกองเลือดอยู่ที่ตรงนั้นเอง

ณ อีกมุมหนึ่งของเมืองสุพรรณบุรี อันเป็นที่อยู่ของพันศรโยธา และนางศรีประจัน ซึ่งเป็นพ่อค้าใหญ่ มีการค้าที่คึกคักไม่น้อย
ซึ่งวันนี้เองเป็นวันที่พันศรโยธา กลับมาจากการไปค้าขายที่ต่างเมือง นานถึง 3 เดือน ยังผลกำไรให้กับพันศรโยธาอย่างงาม
ดังนั้นคืนนี้จึงเป็นคืนฉลองรับขวัญเมียหลังจากที่จากกันไปนาน

"ซี๊ดส์ พี่พันจ๋า พี่พัน น้องใจจะขาดแล้วจ๊ะ พี่จ๋า ซี๊ดส์ โอยยย เสียวจังเลย โอยยย พี่จ๋า" เสียงครวญครางดังจากปากของนางศรี
ประจัน อดีตคนงามแห่งเมืองสุพรรณบุรี แต่ในขณะนี้กำลังบิดกายด้วยความเสียวซ่านจากรสลิ้นของสามี ที่กำลังเลียกลีบส้มโอ
ของนางอยู่อย่างเมามัน ทั้งดูด ทั้งไช จนน้ำเงี่ยนไหลเยิ้มเต็มออกมา

ไม่ไยดีที่พันศรโยธา จะดูดกลืนกินไปจนหมดสิ้น แถมยังเอานิ้วแหย่เข้าไปในร่องหลืบสีชมพูที่ฉ่ำเยิ้ม และชอนไชนิ้วไปจนทั่วร่อง
เสียวอย่างทุกซอกทุกมุม ปากก็ดูดเน้นไปที่แตดสีชมพูที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ สั่นระริกชูชันสู้ลิ้นของพันศรโยธา สองมือ
ของนางศรีประจันก็บดบี้ไปที่สองเต้าขาวอล่องฉ่องที่ตั้งชูชัน นิ้วมือก็บดบี้หัวนมสีชมพูที่แข็งเด่มีขนาดเล็กกระจิดริด แต่แข็งชูสู้
นิ้ว สะโพกของนางเด้งขึ้นรับตามจังหวะนิ้วของพันศรโยธาที่ชักเข้าออก และคว้านในรูหีอย่างรู้จังหวะ

หลังจากที่พ้นศรโยธาดูดดุนจนสาแก่ใจแล้ว ก็ลูกขึ้นยืนพลางถอดกางเกงออก ฉับพลันนั้นเจ้าใบ้หัวโต ขนาด 5 นิ้วก็โผล่ออกมา
ดูโลก แต่ถึงแม้พ้นศรโยธาอาจมีขนาดที่ไม่ใหญ่โตนัก แต่ด้วยความที่เขาได้เดินทางไปยังต่างเมือง และที่ต่างๆ มากมาย ก็ทำให้
เขาได้พบกับนักรักมากมาย ได้รับประสบการณ์มาก และที่สำคัญก็คือ เขาได้ไปพบกับอาจารย์ผู้หนึ่งซึ่งมีวิชาการในการผ่าตัดฝัง
มุก และติดแผงคอม้า ซึ่งพันศรโยธาได้เห็นประสิทธิภาพมาแล้ว จึงได้ขอผ่าตัดบ้าง และครั้งนี้แหละเขาได้ลองเอามาใช้กับเมีย
สาวของเขาเป็นครั้งแรก

นางศรีประจัน เมื่อได้เห็นควยของผัวที่มีลักษณะผิดแผกไปจากปกติ ก็ตกตะลึงตาค้าง เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนว่าทำไม่ควย
ของผัวจึงมีปุ่มปมไปทั่ว แถมที่ตรงหัวตรงเงี่ยงยังติดอะไรที่เป็นขนยื่นออกมา ด้วยความกลัวนางจึงหุบขาไม่ยอมให้ไอ้ของแปลก
นี้มันเข้าไปในรูหีของนาง แต่พันศรโยธาก็ก้มลงดูดเม้มที่หัวนมสีชมพูของนางอีกมือหนึ่งก็เอานิ้วชอนไช เข้าไปในร่องหลืบที่คับ
ติ้วของนางและบางครั้งก็เกี่ยวโดนเอาแตดของนาง ทำให้นางศรีประจันเริ่มตาเยิ้มและมีน้ำเงี่ยนไหลออกมาจากรูหี เริ่มที่จะบิด
ส่ายสะโพกให้สวนกับนิ้วของพันศรโยธาที่คว้านเข้าไปในรูหี ให้ถ้วนทั่ว

พันศรโยธานั้นเมื่อเห็นเมียรักเริ่มเคลิบเคลิ้มแล้ว ก็ค่อยจ่อหัวควยที่ได้รับการปรับปรุงใหม่เข้าไปจรดที่รูหี แล้วค่อยๆ ดันเข้าไป
กลีบแคมของนางศรีประจันก็ค่อยๆ ม้วนตามหัวควยเข้าไป พอถึงส่วนที่เป็นเงี่ยงก็ทำให้นางศรีประจันสะดุ้งแล้วจับแขนของพัน
ศรโยธาเอา ไว้แน่น เพราะมีความรู้สึกว่าปากรูหีของนางถูกขนอะไรบางอย่างมันครูด ทำให้เกิดความรู้สึกแสบๆ คันๆ เสียวๆ
แปลกดี แถมพอถึงจุดที่มุกมันเข้าไปมันจะสะดุดเข้าไปถูกจุดในส่วนกระสันของนางอย่าง ทั่วถึง

พอพันศรโยธากดควยเข้าไปจนมิดก็เริ่มชักออก พอเริ่มที่ชักออก ไอ้แผงคอม้ามันก็เริ่มออกฤทธิ์ มันเริ่มครูดเนื้อในของนางจาก
ด้านในสุด ออกมาจนกระทั่งแคมของนางปลิ้นติดควยออกมาเป็นสีแดงก่ำ ซึ่งมันส่งผลให้นางศรีประจันรู้สึกแสบคันในช่องเป็น
อย่างยิ่ง กำลังจะอ้าปากบอกผัวรักให้หยุดเพราะนางรู้สึกแสบคันที่ในรูหี

พันศรโยธาก็กระแทกกลับเข้าไปดังฟุบ หนอกควยกระทบกับหนอกหีขาวสะอาดของนางดังพั่บ แล้วก็ซอยเข้าออกเข้าออก เสียง
ดังฟูบฟาบ น้ำเงี่ยนไหลออกมาเป็นฟองฟอด แคมหีปลิ้นเข้าออก เข้าออก อย่างต่อเนื่อง ทำให้นางศรีประจันเด้งรับการกระเด้า
ของผัวรัก อย่างไม่กลัวหีพัง กามกิจนี้ดำเนินอย่างต่อเนื่องนานถึง 2 ชั่วโมง ทำให้นางศรีประจันรู้สึกเสียวซ่านมากที่สุดในชีวิต
สาวของนาง

ทั้งแผงคอม้า และมุกมันทั้งครูดทั้งสะดุดต่อมเสียวของนางอย่างต่อเนื่อง ทำให้นางถึงจุดสุดยอดอย่างที่ในชีวิตนี้ไม่เคยได้ถึงเลย
และก็ถึงจุดต่อเนื่องไปอีกหลายครั้ง แต่ตัวพันศรโยธาเองอยู่ๆ ก็หยุดนอนทับร่างนางแน่นิ่งไป ทำให้นางตกใจอย่างมาก รีบลุก
ขึ้นมาแต่งตัว และเขย่าเรียกผัวรัก แต่อนิจจาเรียกอย่างไรก็คงไม่ตื่นแล้ว เนื่องจากพันศรโยธานั้น หัวใจวายอันเนื่องมาจากการ
ออกแรงกระเด้าเมียรักให้ถึงจุดสุดยอดเป็นครั้งแรกในชีวิตได้ จึงกระเด้าอย่างไม่คิดชีวิต จนถึงแก่ความตายในที่สุด

กล่าวถึงพลายแก้ว และนางทองประศรีที่ได้เดินทางอพยพมาอยู่ ณ เขาชนไก่ จังหวัดกาญจนบุรีนั้น ในช่วงแรกที่เดินทางมาถึงนั้น
นางทองประศรีก็ได้มาอาศัยอยู่กับนางแก้ว ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของนาง นางแก้วถูกเลี้ยงดูมากับนางทองประศรีในตอนที่ยังเด็ก
อยู่ แต่ตอนนี้นางแก้วก็ได้อยู่กินกับคนจีนที่เข้าตั้งรกรากค้าขายอยู่ที่เมือง กาญจนบุรีนี้ ซึ่งทั้งนางแก้วและสามีของนางคือเจ๊กซุ่น
ก็ได้ให้ความช่วยเหลือแก่นางทองประศรีเป็นอย่างดี

โดยความช่วยเหลือของครอบครัวนี้ ทำให้นางทองประศรีได้เริ่มมีฐานะที่ดีขึ้นจนได้เป็นเจ้าของที่ดินมากมาย ที่ปล่อยให้คนได้เช่า
ให้นางได้กินค่าเช่าไม่ต้องไปทำงานหาเลี้ยงลูกให้เหน็ดเหนื่อยอีกต่อไป

สำหรับพลายแก้วนั้น ไม่ต้องห่วงเลย เนื่องด้วยเป็นเด็กฉลาด และกตัญญู เป็นที่หนึ่ง พลายแก้วนั้นไม่ดื้อไม่ซนและขยันช่วย
เหลือแม่ในการค้าขาย และเมื่อนางทองประศรีเห็นว่าฐานะของนางมั่นคงพอแล้ว นางจึงคิดจะฝากให้พลายแก้วได้ศึกษาเล่า
เรียน เพื่อจะได้เป็นคนที่เก่งเหมือนกับขุนไกรพลพ่ายผู้เป็นพ่อ นางจึงเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับนางแก้วว่าจะให้พลายแก้วได้ไป
ศึกษาต่อที่ใดดี

นางแก้วกับสามีของนางเจ๊กซุ่น ก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็บอกว่า สมภารบุญที่วัดส้มใหญ่ มีวิชาอาคมมาก น่าจะให้พลายแก้วได้ไป
ศึกษากับท่านสมภารจะได้มีวิชาความรู้ติดตัว เจ๊กซุ่นก็รับปากจะไปพูดกับสมภารบุญให้เนื่องจากเจ๊กซุ่นและนางแก้ว เป็นอุบาสก
อุบาสิกา ที่เคยช่วยเหลือกับทางวัดส้มใหญ่มามาก ตั้งแต่สมัยที่เริ่มสร้างวัดใหม่ๆ ซึ่งในที่สุดพลายแก้วก็ได้เข้าไปบวชเณร ซึ่งทำ
ให้นางทองประศรีปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมากที่ลูกชายจะได้มีวิชาความรู้ เหมือนอย่างกับพ่อที่เสียไปของเขา

พลายแก้วนั้น เมื่อได้บวชเป็นสามเณรกับสมภารบุญนั้นก็ได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน หนังสือ การคาถาอาคม และการเข้าญาณ
สมาธิกับสมภารบุญ ด้วยความที่เป็นเด็กใผ่รู้และฉลาดเฉลียว ทำให้พลายแก้วเป็นที่รักใครเอ็นดูของสมภารบุญมาก สมภาร
บุญจึงได้ถ่ายทอดวิชาให้จนหมดสิ้น แม้กระทั่งวิชาในการผูกควายธนู ก็ได้สอนใจแก่พลายแก้วไปจนหมดสิ้น จนกระทั่งวันหนึ่ง
ท่านสมภารก็ได้เรียกสามเณรพลายแก้วมาคุยกันที่ในโบสถ์

"เออ เณรแก้วเอ้ย เจ้ามาอยู่กับหลวงตาได้ย่างเข้า 3 ปีแล้วนะ หลวงตารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี ขยัน ไม่เกียจคร้าน หลวงตาสอนอะไร
เจ้าก็เรียนรู้ได้เร็ว จนหลวงตาไม่มีอะไรจะสอนแล้ว เอาอย่างนี้ หลวงตาจะส่งเจ้าไปเรียนกับท่านสมภารคงแห่งวัดป่าเลไลย์นะ
ท่านน่ะเป็นอาจารย์ของหลวงตาอีกที เจ้าจะได้เรียนวิชาเพิ่มเติม เพราะหลวงตาสมองโง่ทึบ เรียนวิชามาไม่ได้ถึงหนึ่งในร้อยของ
ท่านอาจารย์ ถ้าเจ้าอยากที่จะไปเรียนหลวงตาจะเขียนหนังสือฝากเจ้าไปให้ ดีมั้ย"

สามเณร พลายแก้ว ก้มลงกราบหลวงตา และตอบเสียงเบาๆ ว่า
"แล้วแต่หลวงตาเถิดขอรับ เพียงเท่าที่หลวงตากรุณาผมก็รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งแล้วขอรับ"

หลวงตาบุญ ลูบหัวสามเณรแก้วด้วยความรักใคร่ แล้วพูด
"อืม เจ้ามันเป็นคนดี หลวงตายังไม่เคยรักและเมตตาใครเท่าเจ้าเลยนะ ขอให้เจ้าตั้งใจและขยันอย่างนี้เรื่อยๆ ไปล่ะ แล้วพรุ่งนี้
เจ้าก็ออกเดินทางไปที่วัดป่าเลไลย์ได้เลยนะ"

สามเณรพลายแก้ว ก้มลงกราบหลวงตาอีกครั้ง แล้วลาหลวงตาออกมา หลังจากนั้นสามเณรพลายแก้วก็เดินทางไปยังบ้านของ
มารดา เพื่อบอกกับมารดาว่าตนจะย้ายไปศึกษากับหลวงตาคง แห่งวัดป่าเลไลย์ในวันพรุ่งนี้แล้ว เมื่อเดินมาถึงหน้าบ้าน
หมาหลายตัวที่นางทองประศรีเลี้ยงไว้ก็เห่าใส่สามเณรพลายแก้ว สามเณรพลายแก้วก็หลับตาบริกรรมคาถา เพียงชั่วขณะเดียว
หมาเหล่านั้นก็หยุดเห่า แล้วเข้ามาเลียแข้งเลียขากันเป็นการใหญ่ ฝ่ายนางทองประศรีนั้น กำลังนอนให้บ่าวไพร่นวดอยู่ ได้ยิน
เสียงหมาเห่า ก็บอกกับบ่าวไพร่ว่า

"ไอ้มั่น เอ็งลงไปดูซิว่าใครมา รีบๆ ลงไป เดี๋ยวหมามันรุมฟัดตายห่า"
บ่าวชาย ก็เดินลงมาที่ด้านหน้าเรือน แล้วพบว่ามีสามเณรรูปหนึ่งรออยู่ด้านหน้าจึงคุกเข่าลงถาม
"พระคุณเจ้าขอรับ พระคุณเจ้ามาหาใครหรือขอรับ"
สามเณรพลายแก้วก็ตอบอย่างสำรวมว่า
"นายมั่น นี่นายมั่นจำอาตมาไม่ได้หรอกหรือ อาตมาคือพลายแก้วลูกของแม่ทองประศรีอย่างไรเล่า"

นายมั่น จ้องดูสักพักก็จำได้ รีบนิมนต์สามเณรพลายแก้วมานั่งรอที่ในเรือนด้านหน้าก่อนจะรีบวิ่งเข้าไป เรียนนายหญิงว่า
สามเณรพลายแก้วมา พอนางทองประศรีได้ฟังดังนั้น ก็ดีใจยิ่งนัก รีบลุกขึ้นจนบ่าวไหร่ที่กำลังนวดให้อยู่ หงายหลังหน้าคะมำกัน
ไปตามๆ กัน

นางทองประศรีรีบเดินมาจนถึงเรือนด้านหน้า พอพบหน้าลูกชายก็รู้สึกดีใจจนน้ำตาไหล เนื่องด้วยบารมีแห่งผ้าเหลืองที่สวมอยู่
ทำให้นางรู้สึกเลื่อมใสยิ่งนัก นางก้มลงกราบสามเณรพลายแก้วแล้วถามไถ่ทุกข์สุขของลูกชายด้วยความรักและเป็นห่วง ด้วย
จากกันมานานถึง 3 ปี สามเณรพลายแก้วจึงบอกกับมารดาว่า ตนจะต้องเดินทางไปยังวัดป่าเลไลย์ เพื่อไปเรียนวิชาเพิ่มกับ
หลวงตาปู่คง สมภารแห่งวัดป่าเลไลย์นั้น และจะไปตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ทำให้นางทองประศรีปลาบปลื้มยินดีอย่างมาก และบอกกับ
สามเณรพลายแก้วว่า หลวงปู่คง แห่งวัดป่าเลไลย์นั้น คืออาจารย์เก่าของขุนไกรพลพ่าย ผู้เป็นบิดานั่นเอง ยังความยินดีให้กับ
สามเณรพลายแก้วยิ่งนัก เมื่อคุยไต่ถามทุกข์สุขกันจนหายคิดถึงแล้ว สามเณรพลายแก้วก็ลาจากนางทองประศรีผู้เป็นมารดาเพื่อ
เดินทางไปยังวัดป่าเลไลย์ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยพลัน