ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ยอดยุทธทะยานฟ้า - บทที่ 8 เหตุเปลี่ยนแปลงในงานสมโภช

เริ่มโดย kropkrap, เมษายน 29, 2016, 12:59:29 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

kropkrap

สิบเอ็ดปีก่อน โจวไท่จู่ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์โฮ่วโจวตรากตรำพัฒนาบ้านเมืองจนล้มป่วยเสียชีวิตลง ไฉหยงบุตรบุญธรรมสืบราชสมบัติเป็นโจวซื่อจงฮ่องเต้ สืบทอดการปฏิรูปของรัชกาลก่อน ตระเตรียมสานฝันรวมประเทศเป็นปึกแผ่นต่อไป พระองค์นับเป็นนักปกครองผู้ยิ่งใหญ่องค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ แต่แล้วพระองค์กลับพบอุปสรรคที่ไม่คาดคิด นั่นคือบ้านเมืองขาดแคลนเงินภาษี แรงงานและแร่ทองแดงอย่างหนัก


สาเหตุหนึ่งมาจากก่อนหน้านั้นในสมัยราชวงศ์ถังวัดวาอารามในพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก มีวัดทั่วแผ่นดินเป็นหมื่น แต่ความรุ่งเรืองและจำนวนของวัดวามิจำเป็นต้องหมายถึงความรุ่งเรืองของศาสนา พุทธศาสนากลับตกต่ำลง มีการบิดเบือนคำสอนให้ผู้คนงมงาย มีการฉ้อฉลใช้ศาสนาบังหน้าหาเงินเข้าวัดเป็นจำนวนมหาศาล ผู้คนพากันบวชเป็นพระเพื่อความกินดีอยู่ดี หลีกเลี่ยงการถูกเกณฑ์ไปรบหรือไปทำงาน รวมทั้งหลีกเลี่ยงภาษี ส่วนการแต่งงานกำเนิดบุตรย่อมสามารถกระทำอย่างลับๆ ได้ พุทธศาสนาจึงตกต่ำอย่างยิ่ง อารามนางชีบางแห่งไม่ต่างจากซ่องคณิกาซ้ำยังมีลูกค้าเป็นพระอีกด้วย การกระทำเช่นนี้ทำให้สถานการณ์ทางด้านภาษี ขาดแคลนแรงงานและทหารอย่างหนัก แร่ทองแดงถูกนำไปหลอมสร้างพระพุทธรูปจำนวนมาก ทำให้ขาดแคลนเหรียญเพื่อหมุนเวียนในตลาดและผลิตอาวุธ ปีต่อมาพระเจ้าโจวซื่อจงจึงทรงประกาศให้ยุบวัดที่ไม่มีป้ายพระราชทานให้สิ้น พระและชีในวัดเหล่านั้นให้จับสึกให้หมด รวมทั้งห้ามผู้คนบวชอีกต่อไป ส่วนพระพุทธรูปทองแดงให้หลอมทำเหรียญหรืออาวุธทั้งสิ้น ผู้ใดขัดขืนให้ประหารโดยไม่ละเว้น นับเป็นการกวาดล้างพระพุทธศาสนาครั้งที่สี่ในประวัติศาสตร์จีน


คำสั่งนี้สั่นคลอนพุทธศาสนาอย่างหนัก บางนิกายถึงกับสาบสูญไปหรือหรือต้องหนีไปเบ่งบานยังต่างแดนแทน แต่สิ่งที่น่าแปลกคือมีการประหารเข่นฆ่ากันเกิดขึ้นน้อยมาก สาเหตุหนึ่งมากจากโจวซื่อจงทรงเป็นฮ่องเต้ที่มีคุณธรรมไม่โปรดการเข่นฆ่าไร้เหตุผล เมื่อสิ้นสุดการยุบวัดปรากฏว่าทั่วแผ่นดินโฮ่วโจวเหลือวัดเพียงสองพันกว่าแห่งเท่านั้นในจำนวนสองพันที่เหลือนี้กลับอยู่ในแคว้นเล็ก ๆ อย่างอู๋เยี่ยว์ถึงหนึ่งในห้า !


เฉียนชู่อ๋องแห่งอู๋เยี่ยว์ทรงเป็นพุทธศาสนูปถัมภกผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อท่านได้รับคำสั่งให้จัดทำรายชื่อของวัดที่มีป้ายพระราชทานในแคว้นอู๋เยี่ยว์ ในรายชื่อกลับมีถึงสี่ร้อยแปดสิบวัดในหางโจวเมืองเดียว หลังจากนั้นปรากฏว่าในแคว้นอู๋เยี่ยว์ไม่มีวัดถูกยุบแม้แต่วัดเดียว เรื่องนี้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งกร้าวต่อคำสั่งและความเป็นเอกราชของอู๋เยี่ยว์ซึ่งขัดกับภาพลักษณ์ที่ดูเหมือนเป็นเมืองขึ้นของโฮ่วโจยิ่งนัก


จากเหตุการณ์ครั้งนั้น วันนี้ชมพูทวีปจึงจัดส่งสถูปเงินบรรจุพระเกศาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามายังแคว้นอู๋เยี่ยว์เพื่อแสดงความขอบคุณที่ได้จรรโลงพุทธศาสนาเอาไว้ในแผ่นดินจีน นับเป็นปรากฏการณ์พิเศษที่แคว้นเล็กอย่างอู๋เยี่ยว์ได้รับเกียรติเช่นนี้ ประชาชนชาวอู๋เยี่ยว์ส่วนใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชน ความยิ่งใหญ่ของงานสมโภชครั้งนี้ย่อมเป็นที่คาดคิดได้


เช้าวันนี้ตระกูลเซียวตระเตรียมไปร่วมงานสมโภช เพ่ยเพ่ยปลอมแปลงโฉมให้กับแขกทั้งสามเล็กน้อย องค์หญิงฮุ่ยหยวนนึกสนุกจึงขอแปลงเป็นสาวรับใช้ให้กับคุณหนูลี่จูแทน ส่วนหลินเหยินจ้าวรูปร่างสูงใหญ่บึกบึนจึงปลอมแปลงเป็นคนขับรถให้กับทั้งหมดด้วยตนเอง


วันนี้ร้านรวงส่วนใหญ่ปิดร้าน ผู้คนหลั่งไหลมายังวังเฉียนอ๋องเพื่อร่วมงาน วันนี้วังหลวงเปิดบริเวณรอบนอกจัดมหรสพมากมายให้ผู้คนได้รื่นเริง วังส่วนในจัดไว้ให้เฉพาะเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง และพ่อค้าวาณิชใหญ่เท่านั้น หลังจากเที่ยวชมงานในวังส่วนนอกครู่ใหญ่ ขบวนตระกูลเซียวก็มาถึงทางเข้าวังส่วนใน ปรากฏว่าการตรวจตราเข้มงวดยิ่ง ผู้คนต้องต่อแถวรอเป็นทางยาว ผู้คนบางส่วนถูกกันไม่ให้เข้างาน เซียวเฟยเทียนเห็นผู้คุมการตรวจตราเป็นหนึ่งในกลุ่มคุณชายลูกหลานขุนนางเพื่อนเที่ยวเล่นของมันนามว่าฉีหยางเซิง จึงสาวเท้าเข้าหาพลางถามว่า "พี่ฉีเกิดอะไรขึ้นหรือ ? เหตุใดจึงเข้มงวดปานนี้ ?"


"พี่เซียว ขออภัยด้วย ระหว่างนี้มีข่าวลือว่ามีมารศาสนาวางแผนชิงสถูปไปทำลายทิ้ง ท่านอ๋องจึงมีคำสั่งไม่ให้ผู้ที่ความเป็นมาไม่กระจ่างเข้างาน" ฉีหยางเซิงกล่าวตอบ


"ที่แท้เป็นเช่นนี้ พี่ฉี วันนี้ข้ามีลูกพี่ลูกน้องเดินทางมาจากแคว้นหนานถัง ท่านสามารถช่วยเหลือพวกนางผ่านประตูได้หรือไม่ ?" เซียวเฟยเทียนกล่าวถาม


"ลูกพี่ลูกน้องท่านหรือ ? งดงามหรือไม่ ?" ฉีหยางเซิงกล่าวถาม ตาเป็นประกาย


"สันดานเดิมยากกลับกลายจริง ๆ งดงามนั้นงดงามอยู่ อีกสักครู่ข้าจะแนะนำให้ท่านรู้จักก็แล้วกัน หากว่างดงามสามารถผ่านประตูได้หรือ"


"ฮ่า ฮ่า เช่นนี้ถึงจะสมเป็นพี่น้องกัน ย่อมผ่านได้แน่นอน สาวงามอ้อนแอ้นบอบบาง อีกทั้งยังเป็นญาติของท่านย่อมไม่น่าสงสัย" ฉีหยางเซิงกล่าวตอบพลางตบไหล่เซียวเฟยเทียนอย่างเป็นกันเอง


"เพ่ย ท่านยังไม่เห็นนางรู้ได้อย่างไรว่านางอ้อนแอ้นบอบบาง ข้าว่าขอให้เป็นหญิงท่านคงให้ผ่านประตูทั้งหมดเป็นแน่ นี่นับเป็นการดูแลความปลอดภัยรูปแบบใดกัน เอาเถอะ ข้าจะกลับไปแจ้งต่อนางก่อนว่าไม่มีปัญหา อีกสักครู่ค่อยพบกันใหม่" เซียวเฟยเทียนสัพยอกอย่างสนิทสนม พลางเดินกลับไปยังกลุ่ม


ระหว่างเดินกลับสายตาของเขาสะดุดกับร่างบุรุษผู้หนึ่ง เห็นมันยืนดูกลุ่มคนที่ต่อแถวอยู่ห่าง ๆ เป็นชายหนุ่มรุ่นราวเดียวกันกับมัน หน้าตาหมดจดคมคาย หว่างคิ้วแฝงแววโดดเดี่ยวทระนง รูปร่างสูงโปร่งในอาภรณ์ขาวสะอาด โดดเด่นสะดุดตายิ่งนัก เห็นมันสะพายห่อผ้าแคบเรียวยาวประมาณสองเชียะลักษณะคล้ายกระบี่ ในมือถือกระบี่อีกเล่มหนึ่ง ท่าทางมันต้องการผ่านประตูแต่ไม่สามารถผ่านด่านได้ เซียวเฟยเทียนจึงเดินเข้าหามันคารวะพลางถามว่า "พี่ท่านนี้ ต้องการผ่านประตูหรือ ?"


ชายหนุ่มผู้นั้นงงงันเล็กน้อยจากนั้นคารวะตอบแล้วกล่าวว่า "ถูกต้องแล้ว แต่ว่าข้ามิใช่ลูกหลานขุนนางหรือเศรษฐีมีทรัพย์อันใด วันนี้เพียงมาทดลองขอผ่านประตูดู คาดว่าคงมิสามารถเข้าได้แล้ว" แม้ตอบด้วยมารยาทอันดีแต่น้ำเสียงฟังดูเหินห่างยิ่งนัก


เซียวเฟยเทียนเชื้อเชิญว่า "หากพี่ท่านไม่รังเกียจ เชิญร่วมกลุ่มของข้าเป็นอย่างไร ผู้คุมการตรวจเป็นสหายข้าเอง คาดว่าคงพอกลบเกลื่อนผ่านไปได้"


ชายหนุ่มนั้นกล่าวตอบว่า "พี่ท่านเชิญตามสะดวก เราท่านเพิ่งพบหน้า ข้ามิบังอาจรบกวน น้ำใจของท่านขอจดจำใส่ใจ" น้ำเสียงแม้เป็นมิตรขึ้นบ้างแต่ยังคงกีดกันผู้คนจนห่างไกล


เซียวเฟยเทียนเห็นเช่นนั้นยังไม่ลดละความพยายาม กลับตีสนิทกับมันกว่าเดิม ยามนั้นหัวร่อฮิฮะเดินไปตบไหล่มันแล้วกล่าวว่า "วันนี้ข้าตั้งใจคบท่านเป็นสหายให้ได้แล้ว แค่เข้างานมิใช่เรื่องใหญ่อันใด มา มา พวกเราเข้าไปพร้อมกันเถอะ" กล่าวจบจับมือมันพลางฉุดดึงมันไปยังกลุ่มที่รออยู่ มิคาดชายหนุ่มนั้นแค่นเสียงเย็นชากล่าวว่า "ถ้าท่านไม่ปล่อยมือ เราจะฟันมือข้างนี้ลงมาแล้ว"


เซียวเฟยเทียนพลับรับรู้ถึงรังสีกระบี่อันเย็นเยียบทั้งที่กระบี่ยังอยู่ในฝักจึงรีบปล่อยมือ หัวร่อฮาฮากล่าวว่า "ไม่ล้อเล่นแล้ว ไม่ล้อเล่นแล้ว พี่ท่านนี้เป็นไปเสียได้ ข้าจะพาท่านเข้างานแท้ๆ กลับจะฟันมือข้าลงมา ตกลง ท่านรับประทานลมอยู่ที่นี้เถอะ อภัยที่ข้าไม่อยู่เป็นเพื่อนแล้ว" กล่าวจบอำลาจากมายังกลุ่มของตน


เพ่ยอิงเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่จึงถามขึ้นว่า "เจ้าเป็นไปเสียได้ จะชักชวนผู้ไม่รู้จักเข้าไปได้อย่างไร หากมันเป็นคนร้ายเล่า ?"


เซียวเฟยเทียนกล่าวตอบว่า "ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้มิธรรมดา หากมันเป็นคนร้าย เมื่อรั้งมันอยู่ข้างตัว มันย่อมลงมือมิสะดวก หากมันมิใช่คนร้าย อาจมีส่วนช่วยต่อเรื่องราว มิคาดมันกลับเย็นชาถึงเพียงนี้ โอ พลังฝีมือของมันสูงล้ำยิ่ง ถึงกับสามารถใช้รังสีกระบี่ข่มขู่คนได้"


เพ่ยอิงแย้มยิ้มอย่างรู้ทัน เห็นมีคนนอกอยู่ด้วยจึงมิกล่าวเปิดโปง ทั้งหมดจึงชักชวนกันไปต่อแถว หลินเหยินจ้าวมิชมชอบงานสมโภชที่ผู้คนมากมายเบียดเสียดจึงขอตัวไปเดินเล่นริมทะเลสาบซีหู ยามนี้เพ่ยเพ่ยแปลงโฉมองค์หญิงฮุ่ยหยวนและลี่จูจนมีหน้าตาพื้นเพธรรมดา ซ้ำยังจงใจยัดเศษผ้าใส่ในเสื้อผ้าพวกนางจนอวบอ้วนเล็กน้อย สร้างความผิดหวังแก่ฉีหยางเซิงยิ่งนัก เดิมมันเห็นเซียวเฟยเทียนหน้าตาสง่างาม ในใจลอบจินตนาการว่าลูกพี่ลูกน้องที่มันไม่เคยกล่าวถึงนี้ย่อมงามปานหยาดฟ้า มิคาดกลับกลายเป็นหมูตอนนางหนึ่ง แต่เมื่อรับคำแล้วจึงปล่อยให้ทั้งหมดเข้างานไปโดยมิได้รบเร้าพัวพันอันใด


ปรัมพิธีอยู่ห่างจากประตูครู่ใหญ่ เมื่อทั้งหมดมาถึงมิคาดภายในงานมีผู้คนนับร้อยกลับเงียบผิดปกติ ที่แท้ยามนั้นความสนใจของผู้คนทั้งหมดกลับทุ่มเทไปยังลานกว้างหน้าปรัมพิธีซึ่งยืนไว้ด้วยผู้คนห้าคน ผู้ยืนอยู่ด้านหน้าแต่งกายในชุดขันที คล้ายเป็นผู้นำของทั้งหมด ด้านหลังของมันยืนไว้ด้วยนักบู๊ท่าทางเหี้ยมหาญสี่คน ขันทีนั้นหันหน้าเข้าหาที่นั่งประธานในพิธีพลางกล่าวเสียงเล็กเสียงน้อยว่า "ผู้น้อยกงเฉิงซู ข้ารับใช้ในหลิวฉ่างฮ่องเต้แห่งแคว้นฮั่น ได้รับคำสั่งให้มาอัญเชิญพระสถูปไปประดิษฐานยังพระเจดีย์พระพุทธพันองค์ซึ่งเพิ่งสร้างแล้วเสร็จในปีนี้ เพื่อเป็นที่สักการะสำหรับชาวพุทธในกวางตุ้งสืบไป" ถ้อยคำแม้สุภาพเกรงอกเกรงใจ แต่เมื่อกล่าวในงานสมโภชนี้กลับแสดงออกอย่างเด่นชัดถึงการข่มขู่ช่วงชิงแล้ว


องค์หญิงฮุ่ยหยวนกล่าวอย่างสงสัยใจว่า "คิดไม่ถึงว่าหลิวฉ่างแห่งหนานฮั่นผู้ลุ่มหลงมัวเมาในการทรงเจ้าเข้าผี จนถึงกับให้นางแม่มดต่างชาตินั่งบริหารบ้านเมืองแทน กลับต้องการพระสถูปนี้ด้วย มันต้องการพระสถูปไปไยในเมื่อมันไม่เชื่อในพระพุทธศาสนา"


ที่แท้ตั้งแต่ขึ้นเป็นฮ่องเต้ หลิวฉ่างมัวเมาอยู่กามโลกีย์ไม่เว้นวัน มันจัดตั้งฮาเร็มส่วนตัวที่แวดล้อมไปด้วยหญิงงามเปอเซียร์ พระชายาของมันก็เป็นหญิงเปอเซียร์นางหนึ่ง วันๆ ทั้งสองวุ่นวายกับการหากิจกรรมทางเพศแปลกๆ ใหม่ จนไม่สนใจการบริหารบ้านเมือง อำนาจบริหารตกอยู่ในมือขันทีโฉดกงเฉิงซูผู้นี้เอง ขุนนางตงฉินหลายท่านพยายามกำจัดเหล่าขันที กงเฉิงซูจึงเสาะหาคนทรงต่างชาติมาแนะนำให้แก่ฮ่องเต้คนหนึ่ง นางแม่มดระบุว่าหลิวฉ่างคือเทพที่ลงมาปกครองแผ่นดินจีน ส่วนกงเฉิงซูและพวกคือขุนพลที่สวรรค์ประทานให้ หลิวฉ่างยินดียิ่งนักนับแต่นั้นการบริหารบ้านเมืองกลับตกอยู่ในกำมือแม่มดแซ่ฟ่านผู้นี้จนหมดสิ้น


เซียวเฟยเทียนกล่าวตอบว่า "มันแม้นลุ่มหลงงมงาย แต่แสดงว่ายังไม่โง่เขลาถึงที่สุด ครานี้มันจึงลงทุนลงแรงสร้างพระเจดีย์พระพุทธพันองค์ขึ้นเพื่อลดกระแสความไม่พอใจในหมู่ชาวพุทธ แต่ว่าหมากนี้ยังมีหมากตามหลังอีก"


องค์หญิงฮุ่ยหยวนกล่าวว่า "ถูกแล้ว หากต้องการซื้อใจชาวพุทธลำพังการสร้างเจดีย์สมควรเพียงพอแล้ว คาดว่าที่มันส่งคนมาข่มขู่นี้เพื่อแสดงอำนาจ หากมันได้พระสถูปไป ประชาชนชาวหนานฮั่นคงภาคภูมิใจในแสนยานุภาพของแคว้นยิ่งขึ้น อีกอย่างแคว้นอู๋เยี่ยว์แม้เป็นแคว้นเล็กแต่อยู่ใต้การอารักขาของต้าซ่ง กล้าทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการแสดงให้เห็นว่าต้าซ่งไม่สามารถคุ้มครองพันธมิตรได้อีกทางหนึ่ง"


เซียวเฟยเทียนกล่าวเสริมว่า "ท่านชาญฉลาดยิ่งนัก ต่อให้มันไม่ได้สถูปกลับไป แต่ถือว่ามีคำว่ากล่าวกับชาวเมืองแล้ว อีกทั้งแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เกรงกลัวต้าซ่ง นับเป็นหมากอันแยบคายจริง ๆ"


เฉียนชู่อ๋องคาดไม่ถึงว่าวาระศุภมงคลนี้กลับตอแยความยุ่งยากเช่นนี้ นับว่าคนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยกจริง ๆ ยามนั้นจึงลุกออกจากที่นั่งประธานเพื่อกล่าววาจาตอบ องค์หญิงฮุ่ยหยวนเห็นท่านอ๋องเป็นชายฉกรรจ์อายุราวสามสิบห้าสามสิบหกปี ไว้เครายาว ท่าทางสุขุมคัมภีรภาพ เปี่ยมด้วยเมตตา ชวนให้ผู้คนรู้สึกยกย่องชื่นชม ท่านกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่กังวาลชัดถ้อยชัดคำแสดงให้เห็นถึงกำลังภายในอันลึกล้ำว่า "การที่ฮ่องเต้แห่งหนานฮั่นมีจิตปณิธานส่งเสริมพระพุทธศาสนาครั้งนี้ นับเป็นที่น่ายินดีอวยพร แต่คราครั้งนี้ชมพูทวีปส่งพระสถูปเดินทางเป็นหมื่นลี้ถึงยังแคว้นอันกระจ้อยร่อยของข้า ประชาชนชาวอู๋เยี่ยว์โสมนัสยินดียิ่งนัก ข้าเองถึงแม้จะอยากส่งเสริมปณิธานของฮ่องเต้ของท่านก็ตาม คงมิอาจน้อมสนองได้ ข้าจะทำจดหมายไปยังชมพูทวีปอีกฉบับหนึ่งเพื่อขออัญเชิญพระสถูปอีกองค์ให้กับแคว้นท่าน เช่นนี้มิใช่สมบูรณ์พร้อมหรอกหรือ"


กงเฉิงซูกล่าวตอบอย่างดื้อด้านว่า "แคว้นอู๋เยี่ยว์แม้ได้รับพระสถูป แต่หามีที่เตรียมไว้ประดิษฐานให้สมเกียรติไม่ เจดีย์ของแคว้นเรากลับจัดสร้างเสร็จแล้ว เมื่อท่านอ๋องสามารถอัญเชิญพระสถูปอีกองค์ได้ เช่นนี้ผู้น้อยขอรับพระสถูปองค์นี้ไปก่อน ไยมิใช่ได้ผลเช่นเดียวกัน"


เมื่อพันกว่าปีก่อนพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งชมพูทวีปทรงจัดสร้างพระสถูปเช่นนี้ขึ้นเป็นจำนวนแปดหมื่นสี่พันองค์เท่ากับจำนวนพระธรรมขันธ์ แต่พระสถูปส่วนใหญ่จัดสร้างจากทองแดงหรือเหล็ก พระสถูปที่สร้างจากเงินบริสุทธิเช่นองค์นี้มีน้อยกว่าน้อย เป็นที่คาดเดาได้ว่าพระบรมสารีริกธาตุบรรจุในพระสถูปเงินเท่านั้น ดังนั้นต่อให้อัญเชิญมาอีกองค์หนึ่งได้ก็อาจเป็นเพียงพระสถูปธรรมดา มิคาดกงเฉิงซูกลับล่วงรู้ความนัยนี้เช่นกัน ข้อต่อรองเช่นนี้เฉียนชู่อ๋องย่อมไม่อาจรับได้ ดังนั้นจึงกล่าวว่า "กงกง (คำเรียกขันที) ทำเช่นนี้มิรู้สึกว่าคุกคามผู้คนเกินไปหรือ ?"


กงเฉิงซูกล่าวตอบโดยไม่ครั้นคร้ามว่า "ท่านอ๋องอย่าได้พิโรธไป ก่อนเดินทางมาผู้น้อยได้คิดถึงวิธีที่ดีพร้อมไว้แล้ว"


เฉียนชู่อ๋องอยากรู้ว่าในน้ำเต้าของมันขายตัวยาใดจึงกล่าวว่า "ขอให้กงกงบอกกล่าวต่อไป"


กงเฉิงซูกล่าวตอบอย่างเขื่องโขว่า "นับแต่ราชวงศ์ถังเป็นต้นมา หม่าฉิว (กีฬาจีนโบราณชนิดหนึ่งคล้ายกับโปโล) นับเป็นกีฬาแห่งราชันย์ วันนี้ผู้น้อยใคร่ขอเสนอให้เราสองแคว้นแข่งหม่าฉิวกัน ผู้ใดชนะย่อมได้ครอบครองพระสถูป ส่วนผู้แพ้ย่อมต้องรอพระสถูปองค์ใหม่แล้ว ครานี้แคว้นฮั่นเราเป็นฝ่ายเสียมารยาท ผู้น้อยขอเสนอกติกาว่าแคว้นซ่งต้องชนะสองนัดจึงถือว่าชนะ ส่วนอู๋เยี่ยว์ขอเพียงชนะเพียงนัดเดียวเท่านั้น ไม่ทราบท่านอ๋องคิดเห็นเช่นไร ?"


เฉียนชู่อ๋องรู้ดีว่าวันนี้ยากเลิกราโดยสันติ ข้อเสนอนี้มิเสียเลือดเสียเนื้อนับว่าเป็นข้อเสนอโดยสันติแล้ว แต่จะอย่างไรไม่ยอมเสื่อมเสียหน้าจึงกล่าวว่า "มิต้องต่อให้แล้ว ผู้ใดชนะสองในสามถือว่าชนะเถอะ วันนี้เชิญกงกงพักผ่อนเตรียมพร้อมก่อน หลังจากพวกท่านฝึกซ้อมในสนามแข่งจนคุ้นเคยแล้วค่อยกำหนดวันแข่งขันเป็นอย่างไร ?"


กงเฉิงซูกล่าวตอบว่า "วันนี้ผู้คนมาร่วมชมงานสมโภชอย่างคึกคัก หากเลิกราในลักษณะนี้คงสร้างความผิดหวังแก่ผู้คนนัก ผู้น้อยขอเสนอให้แข่งรอบแรกในบ่ายวันนี้เป็นอย่างไร"


เห็นมันกล่าวอย่างสวยหรูที่แท้หาความได้เปรียบให้กับตนเอง คณะหม่าฉิวของหนานฮั่นย่อมต้องซ้อมจนมั่นใจแล้วจึงค่อยเดินทางมา กลับกันคณะหม่าฉิวของอู๋เยี่ยว์ยังมิได้คัดเลือกบุคคลด้วยซ้ำ เฉียนชู่อ๋องไม่ต้องการแสดงความอ่อนด้อยจึงกัดฟันกล่าวตอบอย่างขึงขังว่า "ดี เช่นนี้แข่งรอบแรกในยามเซิน (บ่ายสามโมงถึงบ่ายห้าโมง) วันนี้เถอะ" ยามนั้นผู้คนในบริเวณงานทราบว่าวันนี้จะได้ชมการแข่งขันหม่าฉิวนัดสำคัญโดยมิได้คาดหมายเช่นนี้ อดส่งเสียงโห่ร้องมิได้


หลังเสียงโห่ร้องซาลงเฉียนชู่อ๋องกล่าวกับกงเฉิงซูว่า "เวลาไม่เช้าแล้ว กงกงเดินทางมาไกลขอเชิญพักผ่อนก่อนให้ข้าได้ทำหน้าที่ผู้เหย้า รวมถึงสนทนาถึงกติกาปลีกย่อยดีหรือไม่ กงกง เชิญ" กล่าวพลางเดินลงจากปรัมพิธีเข้าหากงเฉิงซู


เฉียนชู่อ๋องเดินออกจากปรัมพร้อมขบวนองครักษ์ติดตามอยู่ด้านหลัง เมื่อท่านอ๋องเดินถึงขบวนของแคว้นหนานฮั่น ทันใดนั้นพลันบังเกิดเสียงร้องโอยดังขึ้นจากกลุ่มองครักษ์เฝ้าสถูปเงิน องครักษ์จำนวนหนึ่งต้องอาวุธลับอาบยาพิษล้มตายลง พลันปรากฎผู้คนขบวนหนึ่งโถมเข้าใส่องครักษ์ที่เหลือจากสี่ทิศแปดทาง ยามกระทันหันองครักษ์ที่ฝีมืออ่อนด้อยยังไม่ทันชักดาบต่อต้านก็ถูกจู่โจมสิ้นชีวิตไป ยามคับขันเฉียนชู่อ๋องตวาดพลางทะยานกลับไปยังปรัมพิธี ปรากฎยอดฝีมือห้าคนดาหน้าออกมาสกัดไว้ กงเฉิงซูและคณะหม่าฉิวยามตะลึงลานกลับยืนแน่วนิ่งกับที่ ยามนั้นองครักษ์ที่เหลือล้มลงแล้ว เห็นผู้มาทั้งหมดแต่งกายในชุดรัดกุมสีขาว ใช้กระบี่แบบเดียวกัน ยามนี้ใช้ผ้าคลุมหน้าไว้ แสดงแน่ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามมีเจตนาปกปิดร่องรอยจึงละทิ้งอาวุธประจำตัวเปลี่ยนเป็นใช้กระบี่ทั้งหมด แม้เช่นนั้นกลับโค่นองครักษ์หลายสิบคนลงในพริบตา นับเป็นยอดฝีมือขั้นสูงจริง ๆ เซียวเฟยเทียนยามคับขันไม่คำนึงถึงการปกปิดฝีมือมากความ คนเหินทะยานเข้าหายอดฝีมือที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสถูปทันที ปากตะโกนว่า "คุ้มครองท่านอ๋องด้วย" ปรากฎองครักษ์ติดตามท่านอ๋องเรียกสติคืนมาได้ รีบพุ่งตัวตามท่านอ๋องไป แต่ยังนับว่าชักช้ากว่ามาก ยามนี้ท่านอ๋องประมือกับยอดฝีมือทั้งห้าแล้ว


ยามนั้นเซียวเฟยเทียนทุ่มเทวิชาตัวเบาเงาจันทราเหินบินข้ามระยะสิบวาเข้าหา คนเหินอยู่กลางอากาศราวนกอินทรีย์มหึมา แต่ระยะทางของฝ่ายตรงข้ามสั้นกว่ามาก เมื่อเซียวเฟยเทียนมาถึง ยอดฝีมือผู้หนึ่งหยิบฉวยสถูปได้แล้ว จึงกู่ส่งสัญญานให้ถอนตัว ยอดฝีมือทั้งหลายเห็นวิชาตัวเบาอันล้ำเลิศคาดเดาได้ว่าผู้มามีฝีมือสูงเยี่ยม ทราบว่าหากประมือยืดเยื้อสืบไปทั้งหมดคงต้องฝังสังขารไว้ที่นี้ ยอดฝีมือทั้งหมดซัดอาวุธลับเข้าสกัดเซียวเฟยเทียนไว้ จากนั้นทุ่มเทวิชาตัวเบาแยกย้ายกันทะยานเข้าหากำแพงวังชั้นใน ใช้กรงเล็บเหล็กติดตั้งกลไกพิศดารยิงไปยังกำแพงวังอาศัยแรงดึงจากกลไกเพิ่มความเร็วเหินกายไปยังกำแพง เซียวเฟยเทียนทราบว่าอาวุธลับมีพิษมิกล้าใช้ท่าคว้าจับในมือหักเหมยเทียนซัว กอปรกับในมือไม่มีอาวุธ ยามนั้นได้แต่เบี่ยงกายใช้ท่าเท้าท่องคลื่นออกหลบเลี่ยงอาวุธลับเหล่านั้นไปได้ แต่จังหวะที่ชะงักทำให้ยอดฝีมือเหล่านั้นเหินร่อนเข้าหากำแพงแล้ว เซียวเฟยเทียนยามกระทันหันมิทันจำแนกว่าผู้ใดได้สถูปไป พลันทุ่มเทวิชาตัวเบาออกติดตามยอดฝีมือที่อยู่ใกล้เขาที่สุดไปโดยกระชั้นชิด ฝ่ายตรงข้ามตื่นตะหนกยิ่งนัก ตัวมันใช้กรงเล็บเหินฟ้ารวมทั้งมีวิชาตัวเบามิใช่ชั่ว ชายหนุ่มผู้นี้กลับติดตามมาได้ หากมิใช่พวกมันซัดอาวุธลับสกัดแต่ไกลคงมิสามารถหนีรอดได้เป็นแน่ จนใจที่ใช้อาวุธลับออกหมดแล้วยามนี้ได้แต่กัดฟันทุ่มเทวิชาตัวเบาหลบหนีสถานเดียว


ยอดฝีมือทั้งห้าที่สู้พัวพันกับเฉียนชู่อ๋องเห็นเพื่อนพ้องปฏิบัติการลุล่วงแล้ว จึงซัดอาวุธลับออกเช่นกัน เฉียนชู่อ๋องร่ายรำกระบี่ปัดป่ายอาวุธลับโดยไม่ได้รับอันตราย แต่คนร้ายเหล่านั้นอาศัยจังหวะที่ซัดอาวุธลับออกหลบหนีไปโดยวิธีเดียวกัน ความแม่นยำของจังหวะการลงมือ ความแยบคายของการวางแผนหลบหนีนับว่าสมบูรณ์แบบยิ่งนัก จากการประมือเฉียนชู่อ๋องพบว่าแม้ทั้งหมดใช้อาวุธไม่ถนัดมือยังเป็นรองท่านไม่มาก เป็นค่ายสำนักใดมีมือดีมากมายปานนี้กัน ดูจากการที่ฝ่ายตรงข้ามทุ่มเทมือดีถึงสิบกว่าคนเช่นนี้ แผนการตามหลังย่อมร้ายแรงกว่าการขโมยสถูปองค์เดียวเป็นแน่ ยามนั้นเฉียนชู่อ๋องรีบออกคำสั่งให้ปิดประตูวังทั้งหมด แต่ในใจทราบดีว่าทหารทั่วไปคงไม่สามารถสกัดยอดฝีมือระดับนี้ไว้ได้ ยามนี้คงต้องฝากความหวังไว้กับเซียวเฟยเทียนแล้ว


ทหารเบื้องนอกมิทราบเหตุเปลี่ยนแปลงภายในวังชั้นใน ยามนั้นเห็นผู้คนมากมายลอยตัวลงยังกำแพง แม้ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องราวใดยังคงยิงเกาทัณฑ์เข้าใส่ตามที่ฝึกฝนมา ยอดฝีมือเหล่านั้นทราบอยู่แล้วว่าอาจต้องเผชิญห่าเกาทัณฑ์เช่นนี้ ยามนั้นพลันถอนกรงเล็บเหินฟ้าจากกำแพงจากนั้นทะยานอีกคราแล้วยิงกรงเล็บไปยังกำแพงชั้นนอกพร้อมร่ายรำกระบี่คุ้มครองจุดสำคัญไว้ มือเกาทัณฑ์มิคาดมาก่อนว่าฝ่ายตรงข้ามสามารถเร่งความเร็วกลางอากาศดังนั้นเกาทัณฑ์ยิงไม่ถูกเป้าแม้แต่ดอกเดียว เซียวเฟยเทียนอาศัยแรงจากการหยั่งเท้าบนยอดกำแพงทะยานตามเห็นแน่ชัดว่าจะกวดทันแล้ว พลันได้ยินเสียงธนูฝ่าอากาศมาถึงจึงใช้ออกด้วยท่าคว้าจับในมือหักเหมยเทียนซัวรับลูกธนูทั้งหมดไว้ ความเร็วชะงักวูบหนึ่งคนร้ายเบื้องหน้าลอบหวาดเสียวในใจหลบรอดไปได้ในลักษณะนี้ ที่แท้มือเกาทัณฑ์ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าผู้ใดเป็นคนร้ายพาลยิงใส่ทุกคนที่ขึ้นบนกำแพง ขณะที่มือเกาทัณฑ์จะยิงเซียวเฟยเทียนที่อยู่ล้าหลังซ้ำ ฉีหยางเซิงพอดีเป็นผู้นำทหารขบวนนี้ มันเห็นเป็นเพื่อนเล่นของมันเองจึงสั่งห้ามทันการ เห็นเซียวเฟยเทียนที่ยามปกติเอาแต่เที่ยวเล่นมีวิชาตัวเบาล้ำเลิศปานนี้กลับรู้สึกยากจะเชื่อสายตาอยู่บ้าง ยามนั้นเซียวเฟยเทียนร่อนลงสู่พื้นเปลี่ยนลมปราณแล้วเหินขึ้นอีกครั้ง วูบเดียวคนทะยานข้ามกำแพงวังชั้นนอกออกไปแล้ว


เซียวเฟยเทียนขบคิดอย่างว่องไวนึกวิตกว่าคนร้ายวางแผนอย่างรัดกุมปานนี้ย่อมต้องจัดม้าเร็วสำหรับหลบหนีไว้และอาจมีผู้ประสานเสริมอื่นอีก แผนที่ประเสริฐสุดคือจับคนร้ายที่ล้าหลังที่สุดให้ได้จากนั้นเค้นถามความเป็นมาจากมัน แต่แล้วหลังจากคลาดจากคนร้ายผู้นั้นความหวังตามมันทันก่อนที่มันจะรวมตัวกันริบหรี่ยิ่ง ยามนี้ได้แต่กัดฟันไล่ตามต่อไป


จริงดังคาดที่ราวป่าข้างหน้าจัดไว้ด้วยม้าเร็วสิบห้าตัว ยามนี้คนร้ายทั้งหมดรวมตัวกันแล้ว คนร้ายคนสุดท้ายที่แทบถูกเซียวเฟยเทียนจับได้กำลังจะพลิกตัวขึ้นม้า เซียวเฟยเทียนยังอยู่ห่างอีกราวห้าสิบวา เห็นแน่ชัดว่าทั้งหมดจะหลบหนีสำเร็จแล้ว พลันได้ยินเสียงแค่นอย่างเย็นชาดังขึ้น เมื่อทั้งหมดเหลียวมองดูผู้มากลับเป็นบุรุษหนุ่มที่เซียวเฟยเทียนชวนสนทนาผู้นั้นเอง คนผู้นี้เข้ามาใกล้ปานนี้ทั้งหมดกลับไม่รู้สึกตัวมาก่อนทุกผู้คนอดลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมามิได้ ยามนี้มันปลดห่อผ้าที่หลังลงมาแล้ว ของข้างในเป็นกระบี่เล่มหนึ่งดังที่เซียวเฟยเทียนคาดเดา เพียงแต่ที่คาดไม่ถึงคือตัวกระบี่กลับเป็นกระบี่รูปแบบโบราณอายุพันกว่าปีจากยุคชุนชิวจ้านกว๋อเล่มหนึ่ง คนร้ายเหล่านั้นพบเห็นกระบี่นี้ต้องใจหายวาบ หน้าซีดราวกับเผชิญกับยมทูตก็ไม่ปาน ทั้งหมดเห็นว่าหากควบม้าหนีในตอนนี้เท่ากับเผยแผ่นหลังให้ผู้คนเชือดเฉือนตามใจแล้ว ทางเลือกที่ดีกว่าคือรุมสังหารบุรุษหนุ่มทั้งสองนี้ก่อน บุรุษที่คล้ายเป็นหัวหน้าขบวนผู้หนึ่งจึงกล่าวขึ้นว่า "ท่านที่นับถือหากไม่หลีกทาง พวกเราคงต้องล่วงเกินแล้ว"


บุรุษหนุ่มนั้นไม่ตอบคำ พลางชักกระบี่ออกจากฝักช้า ๆ เห็นตัวกระบี่มิคล้ายหลอมจากเหล็ก ตัวกระบี่เป็นสีทอง คมกระบี่เป็นสีเงิน บนตัวกระบี่สลักอักษรโบราณสองแถว บุรุษผู้นำขบวนนั้นต้องสยิวกายอย่างหนาวเหน็บอุทานออกมาว่า "กระบี่ฉุนจวิน! เจ้าเป็นอะไรกับเทพกระบี่กังหนำ ?"


บุรุษผู้นั้นกล่าวตอบเสียงเย็นชาว่า "ผิดแล้ว กระบี่นี้คือกระบี่เซิ่งเสีย (กระบี่พิชิตมาร) พวกท่านเมื่อทราบฉายาของอาจารย์ข้าแล้ว ยังไม่ทิ้งสถูปไว้อีกหรือ ?"


ที่แท้ในสมัยชุนชิว เทพแห่งกระบี่โอวเย่จื่อได้จัดสร้างกระบี่วิเศษห้าเล่ม เป็นกระบี่ยาวสามเล่ม และกระบี่สั้นสองเล่ม กระบี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดเป็นกระบี่ฉุนจวินซึ่งเป็นกระบี่คู่ใจของเยี่ยว์อ๋องโกวเจี้ยน กระบี่ทั้งหมดหายสาบสูญไปเป็นพันปี เมื่อห้าสิบปีก่อนพลันอุบัติยอดคนผู้ใช้กระบี่โบราณเป็นอาวุธ ผู้คนจึงร่ำลือว่าเป็นกระบี่ฉุนจวิน คนผู้นี้มีพฤติกรรมกึ่งธรรมะกึ่งอธรรม ปรากฎยอดฝีมือทั้งธรรมะอธรรมตายใต้คมกระบี่มากมาย อีกทั้งไม่เคยเปิดเผยตัวมาก่อน ผู้คนจึงเรียกขานเป็นเทพกระบี่กังหนำ แต่เรียกลับหลังเป็นมารกระบี่กังหนำ


บุรุษผู้นำขบวนพลันแค่นหัวร่อกล่าวว่า "เด็กน้อย ต่อให้เทพกระบี่มาด้วยตัวเองพวกเราทั้งสิบห้ายังคิดสู้ตายสักครั้ง นับประสาอะไรกับเด็กน้อยเช่นเจ้า หากว่าร้ายกาจก็เข้ามาช่วงชิงเถอะ" กล่าวจบทั้งหมดลอยตัวลงจากหลังม้า ทุกคนเปลี่ยนเป็นใช้อาวุธคู่มือ แสดงว่ามิกล้าประมาทบุรุษหนุ่มตรงหน้าแม้แต่น้อย


เซียวเฟยเทียนมาถึงยังวงต่อสู้พลันเดินเข้าหาบุรุษหนุ่มนั้นพลางกล่าวว่า "พี่ท่าน คราวก่อนท่านไม่ตอบรับน้ำใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าต้องคบหาท่านเป็นสหายให้ได้แน่นอน คราวนี้ข้าขอสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านคงไม่ปฏิเสธอีกกระมัง"
บุรุษผู้นั้นกล่าวตอบเสียงเย็นชาว่า "ท่านผู้นี้พิรี้พิไรรบเร้าพัวพันผู้คนนัก ชีวิตเป็นของท่าน ท่านไม่เสียดายก็เชิญตามสะดวกเถอะ เอ๊ะท่านไม่มีอาวุธหรือ ?"


เซียวเฟยเทียนหัวร่อฮิฮะพลางกล่าวว่า "อาวุธในที่นี้มิใช้มีให้เลือกใช้เหลือเฝือหรือ ?" คนร้ายกลุ่มนั้นรับฟังจนเดือดดาล คนใจร้อนวู่วามผู้หนึ่งขยับกระบี่ฟาดฟันเข้าใส่เซียวเฟยเทียนทันที ที่เหลือเห็นมีผู้ลงมือจึงลงมือเช่นกัน เซียวเฟยเทียนพลันขยับวูบก้าวเท้าเข้าหาทั้งหมด กลุ่มยอดฝีมือเห็นมันเสนอหน้ามาเองจึงจู่โจมอาวุธใส่จากสี่ทิศแปดทาง เห็นเซียวเฟยเทียนเดินฉวัดเฉวียนอยู่กลางดงดาบกระบี่ หลบรอดจากคมอาวุธอย่างเฉียดฉิว คนกลับคล้ายเดินเล่นอยู่ในสวน จากนั้นไม่ทราบในมือเซียวเฟยเทียนเพิ่มกระบี่เล่มหนึ่งจากที่ใด คนกลับยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของกลุ่มยอดฝีมือราวปาฏิหาริย์ เห็นยอดฝีมือในขบวนผู้หนึ่งยืนแน่นิ่งกระบี่ในมือหายไปแสดงว่าคนถูกสยบจุดแล้ว


บุรุษผู้ใช้กระบี่โบราณพลันหัวร่อพลางกล่าวว่า "นับว่ามีฝีมืออยู่ท่าสองท่า ฆ่า!" กล่าวจบกุมกระบี่โถมเข้าสู่วงต่อสู้ทันที เซียวเฟยเทียนรีบตวาดว่า "พี่ท่านยั้งมือไว้ไมตรีด้วย พวกเราต้องจับเป็นเพื่อรีดถามผู้บงการออกมา" กล่าวจบโถมเข้าสู่วงต่อสู้อีกครา