ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ศึกหมอผี ตอนที่ ๒๐ ( Origins.)

เริ่มโดย นีโอ, มีนาคม 28, 2016, 10:13:12 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

นีโอ

คุยก่อนอ่าน

สำหรับตอนนี้ต้องขออภัยอีกครั้งไม่มีบทเสียว เพราะเป็นการออกเดินป่ากันเเล้ว เอาไว้ถึงเนินโคกหมีดำคงจะใส่ได้
หลายท่านอ่านแล้วถามไถ่ว่ามันคล้ายนิยายผจญภัยเรื่องดัง ขอบอกก่อนนะครับ ว่าตอนเขียนเรื่องนี้เมื่อปี ๕๔ ผมยัง
ไม่เคยอ่านนิยายเรื่องนั้นเลย แล้วอย่าเอะอะไป ตอนนี้เจ้าของเรื่องกำลังตามเล่นงานพวกเขียน FANFIC อยู่
ของจริงเขาต้องเก็บขึ้นหิ้งบูชา อย่างพวกเราต้องเก็บไว้ใต้หมอน หยิบออกมาอ่านก่อนนอนตอนปลอดคน ฮ่าาา

และสุดท้ายก็ขอกำลังใจจากท่านผู้อ่านด้วย อย่าปล่อยให้ผมเหงาหรือหว้าเหว่ พูดคุยถามไถ่ได้ ตอบเยอะก็มาไว
ตอบน้อยไม่ค่อยสนใจก็คงจะมาช้า รุ้อยู่ว่าผมขี้น้อยใจและบ้ายอ ก็สละเวลาตอบสักนิดหลังอ่านเสร็จด้วยนะครับ

ด้วยไมตรีจิต นีโอ





ศึกหมอผี  ตอนที่ ๒๐

ประตูสู่พงไพร

________________________________________

แสงสุรีย์แห่งทิวาสมัยเริ่มปรากฏยัง ณ ขอบฟ้าเบื้องบูรพาทิศ แลเห็นเรื่อๆ เรืองรองจับบนขอบขุนไศลเทือกทิวไกลออกไปโพ้น และภายในไม่เกินชั่วโมงหนึ่ง แดดยามอรุณรุ่งก็อาบไล้ไปทั่วทั้งพนาพฤกษ์ ทำลายความมืดหม่นอึมครึมไปสิ้น จะเหลือบ้างก็แต่สายหมอกบางๆไหลเอื่อยรินอยู่ตามภูเขาสูงบางลูกเท่านั้น

ก่อนแสงแรกแห่งวันจะโผล่พ้นจากพื้นดิน  ขบวนคณะการเดินทางตะลุยไพรก็เร่งรีบเตรียมพร้อมสำหรับจะบุกตะลุยเข้าดงลึก พวกลูกหาบเตรียมขึ้นประจำที่บนรถยีเอ็มซี  จี๊ฟดอดจ์-ขนาดใหญ่ด้านหลังคลุมหลังคาผ้าใบจอดสตาร์ทเครื่อง บรรดาพลขับต่างตรวจเช็คเครื่องยนต์

ณ ลานกว้างขวางริมรั้วฟากตะวันตกสุดของหมู่บ้าน  อันเป็นที่ตั้งกระท่อมพำนักของผู้ดีชาวพระนคร ข้าวของยุทธสัมภาระนานาประการที่จะใช้ในการเดินทางของคณะผู้ดีชาวกรุงและพรรคพวกอันประกอบด้วยนายทหารหนุ่มใหญ่ร่างสันทัด บุคลิกเคร่งขรึมทรงภูมิ หนุ่มชาวกรุงหน้าตาหล่อเหลาเจ้าสำอาง บุคลิกร่างเริงขี้เล่น และหนุ่มหมอผีผู้ได้รับการยกย่องว่าเชี่ยวชาญไสยศาสตร์อาคมทุกแขนง สิ่งของต่างๆถูกลำเลียงลงมาจากกระท่อมโดยลูกหาบอันเป็นลูกบ้านกระเหรี่ยงในพื้นที่ใกล้เคียงทั้ง ๒๐ คน ขนเอาลงมากองรวมกันอยู่หน้าลานที่รถยีเอ็มซีจอดรออยู่

พรานเส่งและลูกมือสองคนคือเจ้าสันซึ่งเป็นหลานรูปร่างผอมเกร็งคล่องแคล่วและเจ้ากะเหรี่ยงหน้าทะเล้นนามไซ่เมี่ยงคอยเดินตรวจเช็คหีบห่อสัมภาระอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่หลุดหล่นผลัวะลงมาหลังจากเอาขึ้นกะบะบรรทุกของรถยีเอ็มซี และสำหรับยุทธสัมภาระชิ้นใดที่ต้องการความระมัดระวังมิให้กระแทกกระเทือน ก็จัดการหาอะไรบุรองเสีย ส่วนนายทหารหนุ่มใหญ่และหนุ่มชาวกรุง ก็กำลังจัดการเรื่องเป้หลังของตน รวมทั้งอาวุธปืน ตรวจสอบกลไกจนเรียบร้อยว่าสามารถพร้อมใช้งานได้ยามต้องการใช้

ทางด้านหมอผีหนุ่มก็กลับไปที่กระท่อม ระหว่างนั้นภูตสาวลำดวนกำลังจัดเตรียมข้าวของให้เขาอยู่

"ลำดวนจัดเตรียมของในเป้ไว้ให้พี่หมอใช้ส่วนตัวเรียบร้อยทุกอย่าง มีดพก เข็มทิศ ยาสามัญประจำบ้าน และและกระติกน้ำหนังคงทนต่อแรงกระแทก เสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนสิบห้าชุด ผ้าห่มขนาดกลาง ๖ ผืน  รองเท้าเดินป่า ๔ คู่ หากคู่ลุยเปียกจะได้ถอดผึ่ง เดี๋ยวรากงอก รองเท้าแตะ ๔  คู่ เต็นท์ เก้าอี้สนาม เตียงนอนสนาม ส่วนในเป้นั่นเป็นของใช้ตอนเดินเท้าเข้าป่า อุปกรณ์ให้ความสว่าง ตะเกียง เทียน ไฟแช๊ค ไฟฉายและก็ถ่านไฟฉาย

สลิงและชุดปีนเขา ยารักษาโรคเบื้องต้น ผ้าพันแผล เสื้อชูชีพ เผื่อต้องข้ามน้ำแล้วไม่มีเรือ passport ติดเผื่อๆไป บัตรประชาชนด้วยเพื่อความไม่ประมาท ผงซักฟอก  ครีมอาบน้ำ ครีมกันแดด หมวกนิรภัยปีนเขา เสื้อกันฝน ร่ม อ้อมีที่ตัดเล็บ กระจกส่องหน้ากับที่โกนหนวดด้วยนะ พี่หมอลองดูว่ามันหนักเกินไปไหมจะได้เอาของจำเป็นน้อยที่สุดออกมาบ้าง"


ภูตสาวคนโปรดอธิบายถึงบรรดาสัมภาระต่างๆที่เตรียมไว้ให้ใช้ระหว่างเดินทาง

"ขอบใจนะ ลำดวน ไม่ได้เอ็งคอยดูแลข้าวของ ข้าคงวุ่นวายน่าดู ..." บอกแล้วโอบบ่าภูตสาวพิศวาสแล้วหอมแก้มเป็นรางวัลเบาๆ จากนั้นคว้าเข็มทิศมาห้อยคอ และใส่นาฬิกากันน้ำทั้งน้ำตื้นและลึก สวมหมวกปีกยี่ห้ออูฐสีน้ำตาล ก่อนจะยกกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายไว้ข้างหลัง น้ำหนักกำลังพอดีไม่หนักจนเกินไปก่อนจะถอดลงมาวางรอลูกหาบมาแบกไปขึ้นรถ

"ยังต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกไหม ค่อยๆนึกนะ ไปแล้วนึกออกทีหลังจะกลับมาเอาไม่ได้"

"ดูตามรายการ ไม่น่าจะขาดอะไรแล้ว"

ด้านข้างประตู นางตานีและนางตะเคียนยืนมองภูตสาวลำดวนอย่างขุ่นเคือง "ดูนางลำดวนซิ หมู่นี้มันจะได้หน้าได้ตาอยู่ตนเดียว ถ้าพี่หมอให้ข้าจัดของ ข้าจัดได้ดีกว่ามันซะอีก"

"เอ็งอย่าพูดดีไปเลยนางตะเคียน ก่อนหน้าที่นางลำดวนไม่มา เอ็งก็คอยเป็นคนจัดของ แล้วก็ลืมโน่นลืมนี่เป็นประจำ ข้ายังจำได้ตอนไปปราบจระเข้ผีตายโหงสิง เอ็งลืมเอาเทียนระเบิดน้ำกับเชือกลงอาคมสำหรับมัดจระเข้ไป ทำเอาพี่หมอลำบากแทบแย่ กลับมาเอ็งถูกขังใส่หม้อตั้งครึ่งเดือนเป็นการลงโทษ" นางตานีแย้งมา

"ก็ข้ามัวแต่ดีใจนี่หว่า ลืมนิดๆหน่อยๆจะเป็นไรไป"

"นิดๆหน่อยๆอะไร พี่หมอต้องดำน้ำลงไปสู้กับจระเข้ ต้องรัดคอลากมันขึ้นบกมามือเปล่าๆ เป็นข้าเอง ข้าก็โกรธ"

"เลิกพูดๆ เรื่องนานนมมาแล้ว พี่หมอเรียกตัวเข้าโกศแล้ว เตรียมตัวออกเดินทางกันเถอะ" นางตะเคียนพอถูกแฉความผิดพลาดในอดีตก็รีบตัดบท



[/img]

----------------------------------------------------


แสงแดดยามเช้าเรืองรองส่องลอดผ่านกิ่งใบของต้นไม้ที่สูงตระหง่านขนาดสามคนโอบลงมายังกระท่อมหลังคามุงจากที่สร้างอิงแอบร่มเงา แสงแดดส่องทะลุช่องหน้าต่างทะลุมุ้งสีขาวไปกระทบใบหน้าสวยที่กำลังอยู่ในนิทรา สร้างความรำคาญให้เธอไม่อาจจะอยู่ในนิทราต่อไปได้

 หญิงสาวคนงามชาวกรุงผุดลุกตื่นขึ้นมาแล้วเดินมาที่หน้ากระท่อม เธอบิดกายไล่ความเกียจคร้านแล้วสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าเข้าไปอย่างสดชื่นปอด  อากาศเช่นนี้ไม่อาจหาได้ในเมืองกรุงที่เธออาศัย มองออกไปก็เห็นบรรดาคนงานกำลังขนสัมภาระขึ้นรถบรรทุกอย่างขะมักเขม้น โดยมีพี่ชายกับเพื่อนยืนดูห่างๆ หญิงสาวชาวกรุงในชุดนอนเนื้อผ้าเบาบางเห็นแล้วรีบเดินอ้อมกระท่อมไปที่โอ่งน้ำเพื่อจัดการทำความสะอาดใบหน้า  แต่ด้วยน้ำสีขุ่นที่ต้องชั่งใจอยู่นานกว่าจะเอาราดรดใบหน้าขาวผ่องเป็นยองใยของเธอ  

เมื่อจัดการภารกิจตอนเช้าเสร็จสิ้น   หญิงสาวก็รีบตรงเข้ามาภายในห้อง เมื่อหยิบนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเวลาเกือบๆ ๒ โมงเช้าแล้ว  นี่เธอตื่นสายถึงขนาดนี้เชียวหรือ  ท่าทางจะหลอนจากท่อนกระดอของหมอผีหนุ่มเลยนอนดึกเมื่อคืน  หญิงสาวเผลอใจคิดไปเรื่อยจนกระทั่งถึงภาพความเสียวสุขของสาวชาวป่ากับหมอผีหนุ่ม  ใจเริ่มนึกอยากจะถูกกอดเคล้นและบดบี้แรงๆอย่างนั้นบ้าง  ท่าทางคงจะ....แล้วเธอก็สะดุ้งรีบเรียกสติอันเตลิดกลับมา  เธอเขกหัวตัวเองเบาๆและบ่นว่าคิดอย่างนั้นไปได้อย่างไง  หมอผีลวงโลกคนนั้นจะต้องถูกเธอเปิดโปงให้ทุกคนรู้ความจริงให้ได้....

หญิงสาวต้องสะดุ้งอีกครั้ง  เมื่อที่ประตูมีเสียงเปิดออกและบัวไลสาวชาวป่าเอ่ยทักมา

"ขอโทษค่ะคุณหญิง  ตื่นแล้วหรอค่ะ?"  

เธอหันไปมองตามเสียง  บัวไลสาวชาวป่าผิวคล้ำเนียนทรวดทรงอกเอวอวบอั๋นด้วยวัยแรกสาว เธอในชุดผ้าถุงเสื้อแขนกระบอกรัดสัดส่วนชวนมองเดินเข้ามา  สาวชาวกรุงมองแล้วใจหวิวๆเมื่อนึกถึงภาพของเธอในร่างเปลือยเปล่าตอนโรมรัมอย่างถึงพริกถึงขิงกับหมอผีหนุ่มเมื่อคืน... 'บ้าเอ้ย...ทำไมถึงคิดอะไรไกลไปกว่านี้ไม่ได้เลยนะเนี่ย...' หญิงสาวอดตำหนิตัวเองไม่ได้ และรู้สึกประหม่าเมื่อสบตาซื่อของสาวชาวป่าที่คอยมาดูแลรับใช้

หญิงสาวข่มใจแล้วแย้มยิ้มให้เธอ  พลางเอ่ยด้วยเสียงที่ไม่ค่อยปรกติเท่าไหร่

"อะ..เอ่อ...ตื่นแล้ว ว่าแต่พวกพี่ๆฉันตื่นกันนานแล้วหรือ?"

"ค่ะ ทุกคนตื่นตั้งแต่ตีห้ามาจัดเตรียมข้าวของ นี่ก็ใกล้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงฤกษ์เมื่อไหร่ก็คงออกเดินทาง"

สาวบัวไลตอบพร้อมนำอาหารเช้ามาวางให้บนโต๊ะ

หญิงสาวขมวดคิ้ว เธอรำพึงอย่างไม่พอใจ "กีดกันไม่ให้เราไป แม้แต่จะปลุกให้ตื่นมาส่งก็ไม่ปลุก พี่ชายนะพี่ชาย"

"เอ...เข้าป่าเข้าดงนี่ ต้องมีฤกษ์มียามด้วยหรอ?" หญิงสาวข่มความไม่พอใจเอ่ยถามสาวชาวป่า

"เจ้าค่ะ....หมอผีสินเขาเป็นคนถือฤกษ์ถือยาม  เขากำหนดเวลามาก็ต้องทำตาม..."

หญิงสาวฟังแล้วเม้มปากอย่าเคืองๆ "ฮึ...หมอผีสิน....เจ้ากี้เจ้าการจริงๆ ฤกษ์ยามอะไร เรียกร้องความสนใจไม่ว่า"

พูดจบจบหญิงสาวก็นั่งคิดก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ช่องหน้าต่าง  เธอยืนนิ่งมองการทำงานของพวกลูกหาบเหมือนคิดอะไรสักครู่ก็หันมาหาสาวชาวป่า

เธอเดินเข้ามาหาใกล้ๆแล้วบอกเสียงเฉียบ "ไปเตรียมเสื้อให้ฉันที รวมทั้งจัดสัมภาระให้ด้วย"

"เอ๋...จัดสัมภาระ สัมภาระอะไรคะ?" สาวชาวป่าถามงงๆ

"เห็นเสื้อผ้าชุดที่แขวนไว้ข้างฝานั่นไหม ฉันสั่งตัดมาพิเศษจะใช้เดินป่า แล้วข้าวของต่างๆนั่นด้วย ฉันเตรียมมาจะใช้ในการเดินป่า จัดเข้าเป้ใบนั้นให้หมดเร็วๆ เดี่ยวฉันจะไปร่วมคณะเข้าป่ากับพี่ชายไม่ทัน"หญิงสาวสั่งเสียงดุ อันที่จริงทั้งชุดและข้าวของเธอไม่ได้เตรียมมาเดินป่า แต่จะมาใส่แล้วเดินนวยนาดรอบๆป่าแถวๆหมู่บ้านแล้วถ่ายรูปเพื่ออัพลงอินตาแกรมและเฟสบุ๊คเพื่ออวดเพื่อนๆเท่านั้น พอรู้ว่าจะเดินป่าจริงๆจึงอยากจะลองเข้าไปสัมผัสบรรยากาศบ้าง และอ้อนวอนขอร้องพี่ชายให้พาไป แต่พี่ชายใหญ่ของเธอช่างใจแข็งปฏิเสธทุกครั้งไป

สาวชาวป่าตาเบิกกว้างร้องห้ามเสียงสั่น "มะ..ไม่ได้นะ..ไปไม่ได้นะคุณหญิง..ป่านั่น...."

"ทำไม? จะเล่านิทานอะไรหลอกฉันอีก ฉันไม่กลัวป่าดงดิบอะไรนั่นหรอก  ฉันจะตามพี่ชายไป..."

"หนูคงปล่อยคุณหญิงไปไม่ได้หรอก  พี่สินสั่งไว้ว่า..." สาวชาวป่าต้องหยุดพูดเมื่อหญิงสาวยกมือห้าม

เธอจ้องหน้าสาวชาวป่าตาเป็นประกาย "อย่ามาห้ามฉัน ที่เธอทำอะไรกับหมอผีหื่นกามนั่นฉันแอบเห็นนะ  เธอคงหลงคารมมันฉันเข้าใจ และขอให้เธอพยายามออกห่างเข้าไว้  ฉันกำลังหาทางจะเผยโฉมอันต่ำช้าของหมอผีคนนี้  เธอจงไปจัดข้าวของให้ฉัน เดี๋ยวฉันจะตกขบวนรถแล้วเธอคงจะรู้นะว่า ถ้าฉันตกขบวนรถเพราะเธออะไรจะเกิดขึ้น..."

"มะ..ไม่ได้เจ้าค่ะ  หนูทำตามที่สั่งไม่ได้หรอกเจ้าค่ะคุณหญิง...ทั้งพี่สิน คุณชายใหญ่สั่งไว้ว่าห้ามให้คุณหญิงไปวุ่นวายที่ขบวนรถก่อนออกเดินทางเด็ดขาด ขออภัยด้วยนะคะ ที่หนูทำตามคำสั่งนี้ไม่ได้"

หญิงสาวยิ้มเหี้ยมๆ "ถ้าไม่ได้...ฉันก็จะไปบอกลุงคำพูนว่าเธอไปทำอะไรกับหมอผีเมื่อคืน  คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆถ้าลุงคำพูนได้รู้ว่าลูกสาวแอบไปทำอะไรกับหมอผีคนเก่งมา..."

"เอ่อ.อ.อ..คุณหญิงรู้..หรอเจ้าคะ.." สาวบัวไลหน้าซีดทำท่าอึดอัด มองหน้าหญิงสาวแล้วหลบตาอย่างละอายปนหวาดเกรง

หญิงสาวทำท่าถือไพ่เหนือกว่า เธอ ข่มขู่ต่อเนื่อง"ว่าไง...จะทำตามที่ฉันสั่งหรือว่า...."

"เอ่อ.อ...คะ..คือ....."

"ไม่มีข้อต่อรองใดๆ  ไม่จัดการให้อย่างที่ฉันสั่ง  งั้นฉันจะไปหาลุงคำพูนแล้วละนะ...." พูดจบทำท่าจะเดินออกไป

สาวชาวป่ารีบรับคำ "เจ้าค่ะๆๆๆ หนูจะทำตามคุณหญิงสั่ง..." เด็กสาวบัวไลรีบคลานไปในห้องนำชุดเดินป่าออกมาวางไว้ให้บนโต๊ะ และเข้าไปจัดข้าวของสัมภาระต่างๆอย่างจำใจ "ถ้าพี่สินและนายผู้ชายจะลงโทษหนู คุณหญิงต้องช่วยหนูด้วยนะเจ้าคะ"

"ได้ๆ เรื่องนี้ฉันจะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ส่วนเธอเสร็จแล้วจะไปไหนก็ไป"

หญิงสาวยิ้มอย่างสมใจมองสาวชาวป่าเดินออกจากเรือนไป  และหันหลังกลับไปแต่งตัว





ระหว่างนั้นที่ลานหน้ากระท่อม นายทหารหนวดเรียวสวยกับหนุ่มรุ่นน้องเจ้าสำอางชาวกรุงกำลังตรวจเช็คอาวุธปืนที่จำนำไปเป็นอาวุธคู่มือในการผจญภัย นายทหารใช้ปืนซาโก้ เอกตี้ อานุภาพทำลายสูง แต่แรงถีบก็มากมายมหาศาล ทำให้หนุ่มรุ่นน้องอดถามขึ้นไม่ได้ เพราะดูจะมีอานุภาพสูงเกินความจำเป็นในการใช้งานในป่า

"ในความคิดของผม ไรเฟิล วินเซสเตอร์ แบบลอบสังหาร ไม่เหมาะที่จะใช้บุกป่าดงดิบ เนื่องด้วยเป็นไรเฟิลแบบทหาร แรงปะทะต่ำหากเทียบกับไรเฟิลล่าสัตว์ทั่วไป ทั้งหัวกระสุน ขนาด .๓๐๘ วินเชสเตอร์ ไม่ได้มีอำนาจหยุดยั้งสัตว์ป่าประเภทหนังหนาได้อย่างที่นายคิด จริงอยู่มันเป็นไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติที่ยิงได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำต่อเป้าหมาย แต่แรงปะทะสำหรับกระสุนที่ใช้ประหัตประหารคนเท่านั้น

แต่มันไม่มีความหมายเลย เมื่ออาจเผชิญหน้ากับช้าง หรือกระทิง ตลอดจนสัตว์ป่าทุกชนิดที่มีวิญญาณและธาตุทรหดอดทนสูง  คุณชลนิลอาของคุณคงจะเป็นทหารชำนาญแต่สมรภูมิรบของคนไม่คุ้นเคยกับการออกป่าล่าสัตว์  ถึงได้เลือกจัดไรเฟิลขนาดกลางแรงปะทะต่ำ ที่ใช้สำหรับลอบยิงคนมาให้อย่างนี้"

พอฟังคำอธิบาน ดนัยเอ่ยขึ้นว่า "พี่ใหญ่นี่ รู้เรื่องปืนละเอียดจริงๆนะครับ ประมาทไม่ได้เลย"

"แต่ผมว่ามันก็น่าจะเหมาะกับพวกเรานะ เพราะนอกจากสนามซ้อมเราก็ไม่เคยยิงปืนจริงๆ และเข้าไปเดินป่าครั้งนี้มันอันตรายก็จริง แต่เราคงไม่ไปยิงถล่มกับใครเหมือนในหนัง หรือว่าต้องเจอสัตว์ป่าดุร้ายโหดกระหายเลือดไล่ล่า แค่ถือไปอวดชาวบ้านโก้ๆให้รู้ว่าเรามีปืนดีๆมีมาดพรานใหญ่จากเมืองกรุงเท่านั้น" หนุ่มสำอางกล่าวแล้วยิ้ม ยกปืนวินเซสเตอร์ในมือลองเล็งดู ขณะนั้นพรานเส่งผู้นำทางก็เดินเข้ามาหาพร้อมเจ้าสันและเจ้าไซเมี่ยงชาวกะเหรี่ยง

"ใกล้จะได้เวลาออกเดินทางแล้วครับนาย พร้อมหรือยังครับ"

"อื่อๆฉันพร้อมกันแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยนะ" นายทหารหนวดงามเอ่ยตอบ

ระหว่างนั้นลุงคำพูนนายบ้านในชุดขาวเพื่อเตรียมทำพิธีเปิดป่าเดินเข้ามาหา "คุณธานินทร์ครับ น่าเสียดายที่ผมแก่มากแล้วจึงเดินทางไปกับคณะของคุณชายไม่ได้ แต่ผมมีของดีจะให้คุณชายไว้ป้องกันตัวในป่า นี่คือเขี้ยวหมูป่า และไม่ใช่ธรรมดาเป็นหมู่ป่าเขี้ยวตันด้วย มีสรรพคุณด้าน คงกระพันเป็นมหาอุตม์ และป้องกันสรรพอันตรายจากเขี้ยวงาของสัตว์ร้าย ปู่ของผมเป็นพรานใช้ป้องกันตัวเวลาเดินป่าสมัยก่อน ถ้าไม่ใช่คุณชายผมไม่เอามาให้หรอก แล้วนี่คาถาบูชา"

"ขอบใจนะ" หนุ่มใหญ่นายทหารรับมาแล้วยัดใส่เป้ "ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือทั้งหมด ผมเป็นหนี้บุญคุณลุงคำพูนจริงๆ เสร็จงานแล้วผมจะสมนาคุณอย่างสุดใจ"

"ไม่ต้องมาสมนาคุณอะไรหรอกครับ บุญคุณของพ่อคุณชายก็ท่วมหัวพวกเราอยู่แล้ว"

เจ้าสันที่ยืนดูอยู่เดินรี่เข้ามาหาพลางเอ่ยถามนายบ้าน "เอ่อ..ลุงคำพูน ไม่มีอะไรให้ฉันไว้คุ้มครองตัวบ้างหรอ?"

"มีเขี้ยวเสือนี่แหล่ะวะ ที่ข้าตั้งใจเอามาให้เอ็ง มีพุทธคุณเด่นทางมหาอำนาจ เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ อยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาดปลอดภัย เสือคือสัตว์ผู้ป่าผู้ยิ่งใหญ่ พกเขี้ยวเสือนี่ไว้แม้แต่หมายังไม่กล้าเห่า วัวควายได้กลิ่นกระเจิงคนละทางเพราะกลิ่นสาบแรง ก่อนจะใช้เอ็งตั้งนโมสามจบต่อด้วย  'พยัคโฆ พยัคฆสัญญา ลัพพะติ อิติหิหัมหึม' นี่เป็นคาถาพญาเสือมหาอำนาจ คบพี่เสือไว้ รับรองว่าไม่ผิดหวัง ฮ่าๆๆ" ลุงคำพูนสาธยายและยื่นเขี้ยวเสืออันเป็นเครื่องรางให้เจ้าสัน

"ลุงแน่ใจนะ ว่าใช้ได้ผลจริง และศักดิ์สิทธิ์จริงอย่างที่บอก" เจ้าสันมองอย่างสงสัย

"จริงสิวะ เอ็งจำลุงคงน้องชายพ่อข้าได้ไหม แกเป็นเจ้าของเขี้ยวเสืออันนี้ แกพกติดตัวประจำ"

"จำได้ แล้วแกเคยใช้หรอ?"

"เออ..แกเคยใช้ ตอนนั้นแกไปมีเรื่องต่างถิ่น ถูกรุม ๒๐ ต่อหนึ่ง ไอ้พวกนั้นมีทั้งไม้ ปืน ระเบิด" ลุงคำพูนเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น "ไอ้คนแรกเอาไม้หน้าสามตีแก ปั่กๆๆๆ คนต่อมาเอาปืนแม๊กนั่มมาจ่อยิงปังๆๆๆจนหมดแม๊ก จากนั้นอีกคนเอาลูกซองยิงปุ้งๆๆๆ อีกคนเอาเอ็มสิบหกรัวเปรี้ยงๆๆๆๆและไอ้คนสุดท้ายเอาระเบิดขว้างใส่ ตูม!"

"แกไม่เป็นไรเลยหรอ?" เจ้าสันถามอย่างตื่นเต้นและศรัทธา

"ตายตั้งแต่ไม้หน้าสามแล้ว...พวกญาติๆไปเก็บศพเจอเขี้ยวเสือหล่นอยู่ข้างๆเลยเก็บมาให้พ่อข้าไว้ดูต่างหน้าแก"

"โธ่..นึกว่าศักดิ์สิทธิ์ แล้วเอามาให้ฉันทำไมวะ" เจ้าสันบ่นพลางส่ายหัว

ทุกคนฟังแล้วหัวเราะ หนุ่มจอมคาถาเดินผ่านมาพอดี จึงบอกว่า "ไอ้สันเอ้ย...ถ้าของมันดีจริงนะ ไอ้เจ้าของเขี้ยวตัวจริงอย่างเสือหรือหมูป่ามันคงไม่ถูกฆ่าตายเอาเขี้ยวมาได้หรอก มันเป็นแค่ผลทางใจ เตือนไว้ให้เรามีสติและอย่าประมาทในการใช้ชีวิตเท่านั้น  "


"แหม...พ่อหมอก็พูดไป ทีตัวเองของดีเต็มตัว ไม่แบ่งให้ใครได้ใช้บ้างเลย นี่ถ้าไม่เพราะพ่อหมอร่วมทางไปด้วย ทางแสนอันตรายขนาดนั้น ไม่มีใครกล้าไปด้วยหรอก ว่าแต่ขอของดีๆให้ผมบ้างสิครับ"

"เอ็งมันคนจิตใจวอกแวกโลเล ชอบคิดลามก ให้ของดีๆไปก็เสียเปล่า ไม่ต้องกลัวหรอกนะ ข้าอยู่กับพวกเอ็งรับรองได้ว่า จะไม่มีภยันตรายใดๆเกิดกับพวกเอ็งและทุกคนเด็ดขาด เชื่อเถอะเพราะว่า...ข้าเป็นคนมีของ ฮ่าๆๆ"


"นั่น! คุณหญิงนารินทร์ทำไมแต่งตัวอย่างนั้น" เสียงของเจ้าสันเอ่ยขึ้นทำเอาทุกคนหันไปมอง

คุณหญิงนารินทร์แสนดื้อรั้นเอาแต่ใจกำลังเดินเข้ามา ร่างระหงอยู่ในชุดเดินป่าเต็มรูปแบบของเธอ เสื้อแขนยาวถูกพับแขนขึ้นมาเท่าข้อศอกมีกระเป๋าสองข้างที่หน้าอก เหนือกระเป๋าซ้ายมีรังกระสุนถักบรรจุกระสุนปืนขนาด .๓๕๗ แมกนั่ม อันเป็นปืนขนาดประจำมือของเธอเต็มทั้งห้าช่อง สวมกางเกงสีกากียาวคลุมถึงข้อเท้าซึ่งใส่ท้อปเดินป่าหนังหนาสีดำสนิท ทั้งชุดเป็นผ้าเวสท์ปอยต์เนื้อดี ที่เอวมีเข็มขัดหนังเส้นใหญ่ห้อยกระติกน้ำพกพาแบบเสือพรานข้างหนึ่ง อีกข้างเป็นมีดโบวี่ขนาดเจ็ดนิ้วซึ่งทุกคนไม่เคยเห็นและไม่คิดว่าจะเป็น อุปกรณ์ที่เลือกใช้ เสียบฝักห้อยข้างอยู่ สวมหมวกปีกหนังสีน้ำตาลครอบศีรษะ บนบ่าสะพายเป้หลังขนาดใหญ่ มือขวากำคอปืนประจำมือ มือซ้ายจับกระโจมมือไว้ ก้าวอย่างรวดเร็วซอยเท้ายิกๆกึ่งวิ่งตรงมายังกลุ่มที่กำลังสนทนา เรียกความสนใจจากทุกคนที่ยังวุ่นวายกันอยู่ที่ลานข้างกระท่อม

"ขอโทษค่ะที่ช้า มัวแต่แต่งตัวจัดข้าวของส่วนตัวอยู่"

เธอร้องบอกทุกคนที่ยืนจับจ้องเสียงใสด้วยท่วงท่าพอใจที่เป็นเป้าสายตาของทุกคนที่หันมามองเป็นตาเดียว

"โอ้โฮ..." หนุ่มจอมคาถาเผลออุทานเมื่อเงยหน้าขึ้นปะกับร่างระหงของสาวผู้ดีที่โลดแล่นแล่นเข้ามา เขาผิวปากหวือพลางคิดว่า แม่คุณแต่งตัวยังกะจะมาเดินแฟชั่นชุดเดินป่า

"อะไรยะ?" สาวผู้ดีมองตาเขียวถามเสียงกระด้าง

"วันนี้เห็นคุณแต่งแบบนี้แล้วดูสวยกว่าปกตินะครับ..." พอถูกเอ่ยชมหญิงสาวยิ้มยืดอกอย่างภูมิใจ "ถ้าหากว่าเข้าป่าครั้งนี้ บรรดา เสือ ช้าง ลิง ค่าง บ่าง สิงโต และสัตว์ป่าทั้งหลายได้เห็นคงจะรีบออกมาจากที่ซ่อน เพื่อจะให้พรานสาวแสนสวยเลือกยิงได้ตามใจชอบ แต่ว่า..ผมคิดว่า..คุณไม่น่าจะเดินป่าเลย เพราะ..."

"เพราะอะไร?" ใบหน้าที่ปลื้มอกปลื้มใจมีแววขุ่นข้อง "พูดมาดีๆนะ"

 "เพราะผมเกรงว่า...คงไม่มีสัตว์ตัวไหนที่เห็นพรานป่าแสนสวยคนนี้แล้วจะไม่หยุดตะลึงในความงามของมนุษย์หญิงสาวคนนี้ และก็ช่วงที่มันหยุดตะลึงไปนี้เอง กระสุนก็แผดเปรี้ยง...มนุษย์ผู้หญิงผู้มีรูปโฉมงดงามปานเทพธิดาลงมาบนพื้นพิภพผู้นี้เองที่เป็นผู้ลั่นไกปลิด ชีวิตมันลง!...อา...สวยประหารแท้ๆ"

"ตั้งแต่คุยกันมา นายเพิ่งพูดเข้าหูเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย..."

หญิงสาวยิ้มหวานและรู้สึกภูมิใจในคำชมรื่นหู แล้วหันไปหาพี่ชายและเพื่อนรุ่นน้องเจ้าสำอาง

"น้องเตรียมตัวพร้อมแล้วค่ะพี่ชาย การเดินป่าครั้งนี้ ยังไงๆน้องก็จะไปให้ได้"

พี่ชายใหญ่ทำหน้าเคร่งขรึม ขยับเป้ที่สะพายไว้มั่น พูดเสียงเน้น "เราคุยเรื่องนี้กันแล้วนะ ทำไมน้องรินถึงดื้อดึงจะไปให้ได้ ถึงตรงนี้พี่ก็ยืนกรานว่าน้องจะไปด้วยไม่ได้เด็ดขาด" จากนั้นหันไปทางลุงคำพูน "เรียกบัวไลให้มาพาน้องรินกลับกระท่อมไปเดี๋ยวนี้ หากไม่เชื่อก็มัดตัวโยงไว้กับเสา ฉันอนุญาต"

 "แต่พี่ชายคะ..."

"ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว รีบๆกลับไป" พี่ชายพูดเสียงแข็ง

"ฮะ..ฮือ...พี่ชายใจร้าย ทำไมฉีกหน้าน้องต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ น้องอยากไปเพราะเป็นห่วงพี่ชายแท้ๆ ฮื่อๆ"

และแล้วหญิงสาวก็ใช้ไม้ตาย บีบน้ำตาอ้อนเอาดื้อๆ พี่ชายใหญ่พอเห็นน้ำตาก็ลังเล

"หมอผีสิน" เขาหันมาหาผู้คุ้มครองคณะ "ผมเองก็เหนื่อยหน่ายเต็มที ให้คุณตัดสินใจละกัน"

"หา...ผมหรือครับคุณชาย" หนุ่มจอมคาถาทำหน้างงๆ

"อื่อๆๆ" บอกแล้วก็เดินหันหลังไปดื้อๆ

หญิงสาวมองแผ่นหลังพี่ชายที่เดินจากไป หันมามองหน้าชายหนุ่ม เธอเข้ามากระซิบ "ถ้านายปฏิเสธฉัน เรื่องบัดสีของนายกับบัวไลจะถูกแฉต่อหน้าสาธารณชนตรงนี้ทันที ทำชั่วทำเลวอะไรไว้ อย่านึกว่าจะไม่มีใครรู้ใครเห็นนะ"

หนุ่มหมอผีหน้าชาวูบ เอ่ยเสียงเบาๆเช่นกัน "คุณหญิงรู้...."

"ใช่..ฉันรู้"

"แล้วแอบดูจนจบหรือเปล่าครับ"

"ดูจนจบแล้วต่อรอบสอง ว้าย! อีตาบ้า"หญิงสาวเกือบเผลอตอบ "รีบๆอนุญาตให้ฉันไปเร็วๆ"

"คุณหญิงแบล็คเมย์ผม......"

"ฉันไม่อยากใช้วิธีสกปรกอย่างนี้หรอก แต่มันจำเป็น"

"โอเครๆ เชิญครับ อยากไปก็ไป แต่ไม่ใช่เพราะผมกลัวคุณหญิงจะแฉนะ แต่ผมอยากให้คุณหญิงได้ลิ้มรสชาติการเดินทางมหาโหดครั้งนี้ แล้วอย่าอ้อนให้พากลับหล่ะ"

สาวผู้ดียิ้มชอบใจเดินตรงมายังจุดที่ทางดนัยยืนชมนกชมไม้อยู่ " พ่อหมอของคณะอนุญาติให้รินไปแล้ว  ทางพี่ดนัยล่ะคะ มีปัญหาอะไรไหม?"

"ไม่มี๊ อยากไปก็ไป ผมยินดีอยู่แล้ว ไปกันเยอะๆสนุกดี ฮ่าๆๆ"

พรานสาวมือใหม่หัวเราะน้อยๆ ขยับเสยปีกหมวกขึ้นอีกหน่อยหนึ่งให้พ้นดวงตา

"เป็นกันว่า...ฉันได้ร่วมทางไปแล้ว นายไปบอกพี่ชายฉันด้วย ว่ารับปากให้ฉันไปด้วยแล้ว"

"ครับ"หนุ่มจอมคาถารับคำ "รอฤกษ์ก็เตรียมตัวออกเดินทางกันเลยนะ"

"ฤกษ์มันก็แค่ฤกษ์ ถ้าพร้อมแล้วก็น่าจะออกเดินทางได้เลย งมงายไม่เข้าเรื่อง" หญิงสาวบ่นเบาๆ "...ขนาดพระพุทธองค์ท่านยังเคยตรัสเอาไว้ว่า ไม่ว่าจะทำอะไรไม่ควรและไม่ต้องรอฤกษ์ยาม ทุกอย่างมันมีฤกษ์ดีของมันในขณะนั้นแล้ว  แต่อย่างว่านะ หมอผีชอบหลอกคนบ้านนอกให้มีพิธีกรรมเยอะๆ เพื่อเสริมความเข้มขลังของอาคมตนเอง คนงมงายเชื่อถือเมื่อบอกไปก็ต้องทำตาม คริๆๆ " พูดแล้วก็ปลายตามายังหนุ่มจอมคาถาแบบเยาะๆ

"ของอย่างนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่สิคู๊ณ...คนเชื่อเขาจะหมั่นไส้เอา"หนุ่มจอมคาถาบอกเสียงยั่วล้อ "ขนาดจะส่งตัวเข้าหอเขายังต้องรอฤกษ์ให้คู่บ่าวสาวทำใจก่อนจะ...อย่างว่านะ พูดไปก็เท่านั้น คนไม่มีประสบการณ์คงไม่เข้าใจ ไว้รอเมื่อถึงวันนั้นคุณหญิงจะเข้าใจเองว่า ฤกษ์ยามสำคัญไฉน หึๆ..."

"อย่ามาทะลึ่งนะ ว่าแต่เมื่อไหร่จะได้ฤกษ์ได้ยามอย่างที่นายว่า"

"ตอนนี้ฤกษ์ยามออกเดินทางยังมาไม่ถึง แต่ถึงฤกษ์ยามที่ผมจะไปฉี่...ขออนุญาตไปฉี่ก่อนนะ ปวดเต็มทน!"

พอพูดจบ ทุกคนก็พากันหัวเราะครืน แม้แต่ลูกหาบและหมู่ลูกบ้านทั้งหลายที่มาคอยส่งคณะเดินทาง ก็พากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หัวเราะไปตามกัน

พรานสาวมือใหม่ยิ้มแยกเขี้ยวขาว บอกมาว่า "ไปฉี่ก่อนจะถึงฤกษ์ยามออกเดินทาง ระวังพิธีไม่ศักดิ์สิทธิ์นะ เดี๋ยวเสียฤกษ์ขึ้นมาแล้วคณะของเราต้องไปเจอกาลวิบัติ ฉันจะโทษว่านายเป็นคนทำเสียฤกษ์ด้วยการฉี่"

 "โธ่ เล่นมุขหน่อยก็ไม่ได้นิ คุณหญิง การเดินทางมหาวิบากมันจะเริ่มอยู่รอมร่ออยู่แล้ว ทำไมเราจะให้ความเครียดหรืออารมณ์ขุ่นมัวมันมาครอบงำอยู่เสียเล่า...ว่าแต่ นั่นกี่โมงแล้ว?" หนุ่มจอมคาถาบอกแล้วหันไปถามพรานเส่ง

"เพิ่งจะแปดโมงสิบนาทีเท่านั้น"

แต่คนตอบคือดนัย ผู้ตบปัดแขนเสื้อเดินป่าขึ้นดูนาฬิกาที่เขาสวมติดข้อมือไว้

ในขณะที่รอเวลานั้นคุณชายใหญ่และดนัยงัดวิทยุสื่อสารเครื่องเล็กออกมาเทสต์เครื่องอีกครั้งจนแน่ ใจว่าใช้ได้ดี...





ระหว่างที่กำลังรอฤกษ์ คุณชายใหญ่เดินมาหาหนุ่มหมอผีและถามว่า "หมอผีสิน คุณนึกอย่างไง  ถึงยอมให้น้องสาวผมร่วมทางไปด้วย มันเป็นข้อห้ามสำคัญนะ เดินป่าอย่าให้ผู้หญิงไปด้วย มันจะเกิดความวุนวายในหมู่คณะ ถึงจะเป็นน้องสาวของผมก็ตาม ผมไม่เห็นด้วยเลยจริงๆ"

 "...ไม่ต้องห่วงหรอกครับ คุณหญิงเคยมีชีวิตสุขสบายอยู่ในรั้วในวัง  ไม่เคยลำบากลำบนแบบเจอของจริง  เจอการเดินป่าไม่พ้นชายทุ่งก็คงขอกลับแล้วหล่ะ ถึงปากจะบอกว่าเคยเดินทุรเข็ญมา แต่ว่าก็แค่รอบๆนอกของป่า มีคนนำทางแบบทัศนาจร การเดินป่าแบบชาวบ้านแท้ๆมันโหดแค่ไหน คุณชายก็ทราบดี ถ้าคุณหญิงไปด้วยและทานทนสมบุกสมบันได้ตลอดรอดฝั่งละก็...ผมจะขอก้มกราบงามๆเลย ฮ่าๆๆ" หนุ่มจอมคาถาบอกอย่างมั่นใจ

"อย่าดูถูกผู้หญิงสิ....เค้าอาจจะแกร่งและเก่งกว่าที่นายคิดก็ได้..."สาวผู้ดีบังเอิญแอบมาได้ยินก็กล่าวขึ้น "ถ้าฉันร่วมคณะไปจนถึงที่หมายและกลับมาพร้อมกัน อย่าลืมทำตามที่พูดไว้นะ และห้ามบิดพลิ้วด้วย...เพราะฉันถ่ายคลิปนายไว้หมดแล้วทุกคำพูดทุกประโยค" สาวผู้ดียกมือถือในมือขึ้นเปิดจอให้ดู ซึ่งบันทึกภาพและเสียงของเขาไว้อย่างที่บอกจริงๆ

"ถ้าทำได้จริงๆผมก็พร้อมจะทำตามที่ลั่นวาจาไว้ ผมหมอผีสินคนนี้ พูดคำไหนคำนั้น แต่..." เขาพูดแล้วฉีกยิ้มอย่างมั่นใจ "ตอนแรกๆก็จะนั่งรถไป พอถึงสถานีเนินโคกหมีดำและเริ่มเดินทางด้วยเท้าจริงๆ พอพ้นชายทุ่งไปเข้าสู่ป่าหวาย ผมอาจจะต้องให้คนกลับมาส่งคุณหญิงก็ได้ หวังว่าจะไปให้ถึงช่วงนั้นก่อนนะ "บอกแล้วมองหน้าเธอพร้อมยิ้มยั่ว

"ตอนนี้อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ เพราะระยะทางจะเป็นสิ่งพิสูจน์เอง" สาวผู้ดีบอกมาเสียงเข้มๆอย่างมั่นใจ

"ตอนนี้เรื่องวุ่นๆตรงนี้ก็จบแล้ว  เอาไงต่อล่ะไอ้สิน" พรานเส่งเอ่ยถามแทรกขึ้นมา

"รอฤกษ์ เตรียมออกเดินทางกันได้...." บอกแล้วก็เดินที่ไปโต๊ะพิธี

ระหว่างนั้นสาวผู้ดีคนสวยก็เดินตามมา "ทำเป็นฮึกเหิม...อ้อ..หวังว่าเมื่อคืนคงไม่ได้ล่ำลาบัวไลจนหมดเรี่ยวหมดแรงนะ  เดี๋ยวไปเดินป่าแข้งขาจะอ่อน"

"อุต๊ะ! ไม่นึกว่าผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วอย่างคุณจะพูดจาสองแง่สองง่ามอย่างนี้ได้" หนุ่มจอมคาถาพูดแล้วกลั้นขำไม่อยู่ปล่อยก๊ากออกมาเสียงดัง " ขอบคุณครับที่เป็นห่วงสุขภาพของผม แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องผมจะหมดแรงง่ายๆ ผมโด๊ปเป็นประจำรับประกันเรื่องความอึด ไม่เชื่อไปถามบัวไลได้ว่าผม... คุณภาพขนาดไหน?"

"เล่นด้วยลามปามเชียวนะ อย่ามาทะลึ่งกับฉัน จะไปไหนก็ไป"

สาวชาวกรุงกำปืนกระแทกใส่อกเขาจนเซถอยไป และทำหน้าบึ้งออกปากไล่อย่างไม่เกรงใจ แสดงให้เห็นว่าคนอย่างแม่คุณไม่ยอมลดราวาศอกให้กับใครอย่างที่ทุกคนบอกไว้จริงๆ หนุ่มจอมคาถาหัวเราะสายตาจับจ้องไปยังสาวผู้ดีที่เขม่นเข่นเขี้ยวมองมา

"ผมถามจริงๆเถอะนะ ผมไปทำอะไรให้คุณหญิงขุ่นเคืองไม่ทราบ ถึงไม่ยอมพูดจาดีๆด้วยเลยครับ"

สาวผู้ดีจ้องหน้าด้วยสีหน้าข่มอารมณ์ ตอบมาน้ำเสียงเรียบๆ หากแต่เผ็ดร้อนในความหมาย

"ฉันไม่ชอบกิริยาท่าทางและการพูดจาของนาย มันขวางหูขวางตา อวดอ้างเกินจริง ถ้าลดอีโก้ตรงนี้ลงได้ ฉันอาจจะมองนายในแง่ดีๆบ้างก็ได้"

หนุ่มจอมคาถาฟังแล้วเลิกคิ้วจ้องหน้าสาวผู้ดีพลางยิ้มน้อยๆที่มุมปาก

"เอ...ก็มันเป็นสันดาน เอ้ย! คาแรคเตอร์ของผมนี่ ใครๆเขาก็ชินและยอมรับกันได้ ทำไมคุณหญิงถึงรับไม่ได้"

สาวผู้ดีฟังคำตอบเชิดหน้าคอแข็ง แววตาวาม ขยับปากจะโต้ หากแต่ก็หยุดปากเงียบในชั่วครู่เพราะเกรงจะหลุดปากเอ่ยคำพูดไม่เหมาะสม ซึ่งมันจะเสียจริตของผู้ดี เมื่อได้ทีเขาก็ขยับเดินไปยืนเบียดใกล้ๆ สาวผู้ดีไว้ตัวขยับถอยออกไปอย่างรู้เชิง และยืนห่างไปเกือบวา

"ตั้งแต่รู้จักกันมา เราไม่เคยอยู่ด้วยกันลำพังมาก่อนเลยนะ" เขาเอ่ยขึ้นลอยๆ เมื่อเห็นหญิงสาวนิ่งงันไป "ไปอยู่ในป่าเราคงจะได้พูดคุยและอยู่ลำพังกันมากกว่านี้ ควรที่เราจะสร้างความคุ้นเคยกันไว้ก็ไม่เสียหลาย เพราะในป่าเราจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อความอยู่รอด คบมิตรดีกว่าสร้างศัตรู แล้วที่คุณหญิงคอยจ้องหาเรื่องผมนี่ เหมือนสนใจผมมากๆ ถ้าจะ เรียกร้องความสนใจจากผมก็น่าจะพูดกันดีๆหน่อยนะ"

"ไม่จำเป็นหรอก เพราะในคณะไม่ได้มีนายคนเดียว ถึงไม่คุยกับนาย ฉันก็คุยกับคนอื่นๆได้ อย่าสำคัญตัวเองมากเกินไปนัก และฉันก็ไม่อยากจะเป็นมิตรหรือศัตรูนาย และที่สำคัญฉันไม่ได้สนใจตัวนายเลยสักนิด ฉันไม่ได้เรียกร้องความสนใจจากนายเลย และจงจำไว้ว่านายจะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายในโลกที่ฉันจะมอง " หญิงสาวผู้ดีกัดฟันตอบมา

หนุ่มจอมคาถามจ้องหน้าหล่อนแล้วยิ้มหวานให้ "ขอให้คิดอย่างนั้นตลอดนะ ผมมันคนมีเสน่ห์ ผู้หญิงอยู่ใกล้แล้วมักจะอดใจไม่ไหว ยิ่งลีลาละก็...ไม่มีใครลืมลง แอบดูผมตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่คิดอยากจะ...."

 สาวผู้ดีดูมีท่าทีอึดอัดกระสับกระส่ายมือไม้จับปืนผิดๆถูกๆตำแหน่ง ใบหน้าแดงซ่านเมื่อนึกถึ


pangtong

เหมือนอ่านเพชรพระอุมา ภาคหมอผีเลยครับ
สนุกจนวางไม่ลง