ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

Copy  พยัคฆ์ฟ้าท่องยุทธจักร ตอนที่ 4 บทประพันธ์ ท่าน  nookylove

เริ่มโดย areja, ธันวาคม 06, 2012, 12:22:08 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

areja

พยัคฆ์ฟ้าท่องยุทธจักร ตอนที่ 4 บทประพันธ์ ท่าน  nookylove

 

เอี้ยนเทียนวิ่งไปตามหัว หน้าผู้คุ้มกันนามอู่หลอ คนผู้นี้เป็นชายวันกลางคนใบหน้าเหลี่ยม รูปร่างสันทัด แววตามีแววสัตย์ซื่อ บุคคลิกดูน่าเชื่อ เมื่อทราบข่าวแล้วอู่หลอพร้อมกับลูกน้องทั้งหมดก็พากันมาที่ท้ายเรือเพื่อ ประเมินสถานการณ์
" คาดว่าคงเป็นโจรแม่น้ำกระมัง ถึงกับลงมืออย่างอุกอาจเช่นนี้ " อู่หลอ มองตรงไปยังเรือเร็วสี่ห้าลำที่แล่นตรงมาอย่างรวดเร็ว
" เช่นนั้นทำอย่างไรดีท่านหัวหน้า อีกไม่นานพวกมันคงตามมาทัน " หนึ่งในลูกน้องถามความคิดเห็นผู้เป็นหัวหน้าอย่างกระวนกระวาย
" จักทำอย่างไรได้ ลำพังเรือใหญ่อุ้ยอ้ายเช่นนี้ บวกกับกำลังคนที่พอจะต่อกรกับศัตรูได้มีเพียงหยิบมือ อีกทั้งพวกเรามิได้ชำนาญการต่อสู้ทางน้ำเช่นพวกมันไหนเลยจะเปรียบกันได้ เอาล่ะจงเร่งไปเรียนคุณหนูให้เตรียมพร้อมเก็บสัมภาระที่จำเป็น พวกเราคงต้องแล่นเข้าฝั่ง " อู่หลอ หันไปสั่งการเอี้ยนเทียน ก่อนจะบอกลูกน้องให้ส่งสัญญาณบอกแก่เรืออีกลำ สิ้นคำสั่งเรือทั้งสองลำก็ปั่นป่วนวุ่นวาย ยังดีที่อู่หลอและพวกผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ดังนั้นต่างเร่งสั่งการลูกเรือและบ่าวไพร่จนสงบเรียบร้อยลงได้
เพียงใช้ เวลาไม่นานทั้งหมดก็สละเรือขึ้นฝั่งอย่างทุลักทุเล สิ่งของที่นำมาได้มีเพียงเสบียงอาหารซึ่งนับว่าสำคัญที่สุด บรรดาแพรพรรณ ของฝากที่จะนำไปเยี่ยมคารวะท่านผู้เฒ่าจำต้องทิ้งไว้บนเรือ หลิวอี้หลิงและสาวใช้เพียงนำเสื้อผ้าสักหลายชุดกับเครื่องประดับมีค่าติดตัว ไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพราะหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว อู่หลอก็เร่งสั่งให้ออกเดินทาง
" เหตุใดจึงต้องสละเรือมาเดินเท้าด้วยเล่า หัวหน้าอู่ " หลังจากยอมลงจากเรือแต่โดยดี ระหว่างทางหลิวอี้หลิงจึงถามอย่างสงสัย
" โจรแม่น้ำขอรับคุณหนู ข้าพเจ้าเห็นว่าทำเช่นนี้เพื่อความปลอดภัยของคุณหนูท่าน " อู่หลอตอบคำและอธิบายสั้นๆ
" ฟังว่าเมื่อก่อนหากพบโจรเจ้าถิ่น เพียงจ่ายค่าผ่านทางอย่างเหมาะสมก็ใช้ได้แล้วมิใช่หรือ " หลิวอี้หลิงเคยได้ยินมาจากบิดา จึงกล่าวถามต่อไป
" หากเป็นเมื่อก่อนยามบ้านเมืองสงบสุขย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ยามนี้ทหารของทางการปล่อยปละละเลย โจรผู้ร้ายจึงกำเริบเสิบสาน ไหนเลยพวกมันจะยอมรับเพียงแค่เศษเงินเล็กน้อยในเมื่อสามารถครอบครองได้ทั้ง หมด เฮ้อ เช่นนี้ต้องโทษผู้ปกครองบ้านเมืองที่ไร้ความสามารถ " อู่หลอ อธิบายความพลางทอดถอนใจ หลิวอี้หลิงพยักหน้าอย่างเข้าใจเพราะนางพอจะรู้เรื่องราวของโลกภายนอกอยู่ บ้างจากปากคำของบิดาและอดีตคนรัก คิดถึงตอนนี้จึงเศร้าซึมลงไป
ผู้คนทั้ง ห้าสิบกว่าชีวิตยามนี้ต้องค้างแรมกลางป่า เพราะตะวันใกล้จะตกดินแล้ว อู่หลอสั่งการให้จัดการกับที่พักและหุงหาอาหารหลังจากหาทำเลเหมาสมในการค้าง แรมได้แล้ว
" ลำบากท่านแล้วคุณหนู อีกสักครู่จะมีคนนำอาหารมาให้พวกท่าน " อู่หลอ เดินเข้ามายังที่พักของหลิวอี้หลิงและสาวใช้ที่ขึงกระโจมผ้าแยกเป็นสัดส่วน เพราะพวกนางเป็นสตรีย่อมไม่อาจพักปะปนกับบุรุษได้ ที่พักของนางล้อมรอบด้วยเหล่าผู้คุ้มกันอีกชั้น
" มิเป็นไรข้าพเจ้าเข้าใจ เพียงแต่ขอน้ำให้ข้าพสักถังได้หรือไม่ " ยามนี้นางไม่ได้ใส่ใจกับความสะดวกสบายสักเท่าไหร่ เพียงแต่ต้องการน้ำมาเช็ดทำความสะอาดร่างกายบ้าง อู่หลอรับคำแล้วจึงจากไปสั่งการลูกน้องต่อ
" คุณหนูท่านเป็นเช่นไรไปแล้ว " ถิงถิง ถามอย่างเป็นห่วง
" หมายความว่ากระไร? ข้าพเจ้าสบายดี " หลิวอี้หลิง ย้อนถามสาวใช้คนสนิท ยามพวกนางอยู่ตามลำพังกลับคล้ายพี่น้องร่วมสายโลหิตที่คลานตามกันมา ความห่วงไยที่แสดงออกเต็มไปด้วยความจริงใจ
" หากเป็นเมื่อก่อน พวกท่านอู่คงวุ่นวายมากแล้ว " อาซวง ที่อายุเยาว์ที่สุดและพูดน้อยที่สุด เพียงแต่เมื่อออกปากครั้งใดกลับตรงที่สุดเช่นกัน อาซวงนางนี้ใบหน้ารูปหัวใจ ดวงตาสีอ่อนมีแววตาโศกซึ้ง อายุเพียงสิบห้าปี น้อยกว่าถิงถิงสามปี และน้อยกว่าหลิวอี้หลิงหนึ่งปี
" ข้าพเจ้าเอาแต่ใจถึงเพียงนั้นหรือ " หลิวอี้หลิงถาม เหมือนไม่รู้ตัว ถิงถิงและอาซวงไม่ตอบคำแต่กลับพยักหน้าพร้อมกัน
" ว้าว คุณหนูของข้าพเจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว " ถิงถิง แสร้งอุทานหยอกเย้า
" คิกคิก พี่สาว พูดราวกับสตรีสูงวัยเห็นบุตรหลานเติบใหญ่ " หลิวอี้หลิงไม่ยอมแพ้โต้ตอบไปบ้าง
" เป็นเช่นนั้นจริงๆ พี่ถิงถิงสูงวัยที่สุด คิกคิก " อาซวงก็ช่วยผสมโรง
" พวกท่านกลับกล้ารุมข้าพเจ้า ดูว่าข้าพจะจัดการกับพวกท่านอย่างไร " ถิงถิง แกล้งเอานิ้วจิ้มเอวพวกนางเป็นการใหญ่ เสียงหัวเราะ หยอกล้อของบรรดาหญิงสาวดังออกไปเบื้องนอก ทำเอาเหล่าบุรุษตื่นเต้น กระชุ่มกระชวย เร่งรีบทำงานเป็นการใหญ่ เมื่อเห็นว่าคุณหนูของพวกนางอารมณ์ดีขึ้นจึงค่อยคลายใจ ไม่นานผู้ที่นำน้ำมาให้ก็ส่งเสียงเรียก จึงพากันจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อยก่อนจะเรียกให้คนผู้นั้นยกถังน้ำเข้ามา เมื่อเลิกกระโจมผ้าขึ้นปรากฏว่าผู้แบกถังน้ำมาเป็นเอี้ยนเทียนนั่นเอง ถิงถิงจึงเอ่ยทักทายและชวนสนทนาสักครู่ โดยมีสายตาสองคู่จ้องมองอย่างสนใจ
" ยากนักที่พี่สาวท่านจะสนทนากับบุรุษ คนผู้นั้นคงเป็นข้อยกเว้นกระมัง คิก คิก " อาซวงได้ทีจึงกล่าวหยอกล้อ
" เด็กน้อย เจ้าว่ากระไร " ถิงถิง ถลึงตาใส่ โมโหระคนเขินอาย
" อุ๊ย ไฉนใบหน้าท่านจึงแดงเล่า กรี๊ด คุณหนูช่วยด้วยพี่สาวใหญ่เขินอายจนลงมือทุบตีผู้คนแล้ว คิกๆ " ทั้งคู่ไล่กวดกันในกระโจม โดยมีหลิวอี้หลิงนั่งชมดูอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นภายใน ทำให้ผู้คนด้านนอกอดยิ้มตามมิได้

เอี้ยน เทียนหลังจากส่งน้ำแล้วก็เดินกลับมายัง กลุ่มคนงานที่กำลังหุงหาอาหาร เมื่อดูแล้วว่าไม่มีผู้ใดจะเรียกใช้มันอีก จึงเดินเลี่ยงออกมาทรุดนั่งลงที่โคนต้นไม้ใหญ่หลับตาทำสมาธิ เมื่อไม่นานมานี้มันได้ค้นพบว่าตัวเองนั้นนอกจากรับพลังธรรมชาติรอบตัวมาแปร เป็นพลังที่ใช้ออกตามเจตนาของตัวมันแล้ว ยังสามารถกักเก็บไว้ได้ส่วนหนึ่งเพียงแต่เป็นส่วนน้อยนิดและไม่สามารถรักษา ไว้ได้นาน แต่นับเป็นพลังที่อัศจรรย์ยิ่งสามารถฟื้นฟูร่างกายจากความเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า แล้วยังช่วยรักษาเยียวยาบาดแผลภายนอก เช่น รอยกิ่งไม้ข่วนหรือมีดบาด เพียงแต่มันยังไม่เคยใช้กับบาดแผลฉกรรจ์ ไม่เพียงเท่านั้นยังสามารถถ่ายทอดพลังงานนี้ช่วยฟื้นฟูแก่ผู้อื่นได้อีกด้วย ยามนี้ตัวมันคล้ายต้นไม้ที่รับพลังจากแสงอาทิตย์ ขณะที่หลับตาและสัมผัสพลังรอบตัว ก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่างคล้ายกับเมื่อตอนเย็น ส่วนลึกในจิตใจสัมผัสได้ถึงจิตที่มุ่งร้าย

อู่หลอมองเด็กหนุ่มที่ เดินตรงมาหามัน จดจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่แจ้งข่าวโจรแม่น้ำเมื่อหลายชั่วยามก่อน เมื่อพินิจดูก็เห็นเพียงใบหน้า ผิวกายหยาบกร้าน ไม่ได้มีลักษณะพิเศษอันใด มีเพียงแววตาสัตย์ซื่อ นับเป็นชนชั้นกรรมกรโดยแท้ ครานี้มันเดินมาหาคาดว่าคงมีเรื่องจะพูด
" ข้าพเจ้ามีเรื่องรบกวนอยากเรียนถามหัวหน้าอู่ " เอี้ยนเทียนเอ่ยปากทันทีที่เดินมาถึง รอจนอู่หลอพยักหน้ามันจึงถามต่อ
" โจรแม่น้ำนิยมขึ้นบกมาปล้นชิงหรือไม่ " เป็นคำถามที่คล้ายจะบอกอะไรบางอย่างเสียมากกว่าอู่หลอรู้สึกได้ถึงน้ำเสียง ของมัน จึงขมวดคิ้วลองตรึกตรองดูพฤติการณ์แต่เดิมโจรแม่น้ำมักลงมือแต่เพียงเรือ โดยสารไม่เคยได้ยินว่าพวกมันขึ้นฝั่งมาปล้นชิงด้วย เพียงแต่ยามนี้สถานการณ์บ้านเมืองไม่ปรกติ บางทีพวกมันอาจตามมาปล้นต่อก็เป็นได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงเร่งสั่งให้ลูกน้อง เร่งตรวจตราบริเวณโดยรอบ และบอกให้บรรดาคนงานที่เหลือจัดวางเวรยามอย่างเข้มงวด ด้วยชัยภูมิที่ตั้งค่ายพักเป็นที่สูงหากเกิดเรื่องราวขึ้นคาดว่าพวกมันยังคง รักษาความปลอดภัยให้กับคุณหนูไว้ได้ อู่หลอตบเบาที่บ่าของเด็กหนุ่มเป็นการขอบใจที่มันกระตุ้นเตือน จากนั้นบรรดาผู้คุ้มกันต่างตรวจตราดาบและเกาทัณฑ์คู่มือ เตรียมความพร้อมไว้รับสถานการณ์

ยามดึกสงัด มีเพียงเสียงไม้จากกองไฟที่จุดขึ้นโดยรอบค่ายพักปะทุและเสียงกรนดังขึ้นเป็น พักๆ บรรดาเวรยามที่วางไว้ต่างก็นั่งสัปหงก การได้รับไออุ่นจากกองไฟในยามราตรีที่หนาวเย็นทำให้พวกมันรู้สึกง่วงงุนเป็น ที่สุด เสียงนกราตรีร้องดังแว่ว คล้ายตอบโต้กันไปมา เอี้ยนเทียนยามนี้นั่งพิงโคนต้นไม้ใกล้กับกระโจมผ้าของคุณหนูโดยมีบรรดาผู้ คุ้มกันนอนรายล้อมอีกชั้น เมื่อลืมตาขึ้นสติของมันยังคงแจ่มใสดีเนื่องด้วยมิได้หลับแต่อย่างใดซึ่งมัน ฝึกจิตเข้าฌานจนทดแทนการหลับนอนไปแล้ว ยามนี้สัมผัสของมันบอกว่าอันตรายได้คืบคลานมาใกล้แล้วฟังจากเสียงนกราตรี ร้องต่อๆกันคาดว่าคงเป็นสัญญาณบางอย่าง บรรดาผู้คุมกันต่างก็ลืมตาขึ้นกระชับอาวุธเตรียมพร้อม ขณะนั้นเองเสียงฝีเท้าจำนวนมากก็กรูกันขึ้นมาจากความมืดด้านล่าง ครานี้ผู้ที่หลับยามกลับลืมตาขึ้นไม่มีวี่แววง่วงงุน พากันคว้าคบไฟแล้วโยนไปด้านล่าง แสงจากคบไฟสาดส่องให้เห็นผู้คนหลายสิบกำลังวิ่งขึ้นมาบนเนิน พร้อมกับเสียงดัง ผึ่ง เมื่อลูกธนูหลุดจากแหล่ง และเสียงดังเฟี้ยวว แหวก อากาศ ไปกระทบกับเป้าหมายที่แสงจากคบไฟส่องให้เห็น เสียงร้องดังอึก เมื่อลูกธนูปักลงกลางอกก่อนจะล้มกลิ้งไป  ลูกธนูดอกแรกถูกปล่อยออกไป ก็เปรียบเหมือนชนวนแห่งการสู้รบได้ถูกจุดขึ้น ลูกธนูอีกนับสิบจากเหล่าผู้คุ้มกันขบวนก็ถูกปล่อยสู้เป้าหมาย ฝ่ายผู้บุกรุกหาคาดไม่ว่าพวกตนจักต้องมาเผชิญกับการต่อต้านเช่นนี้ แต่ก็ไม่อาจหันหลังกลับได้จึงพากันส่งเสียงโห่ร้องกระตุ้นความฮึกเหิมและบุก ฝ่าไปข้างหน้าต่อไป ฝ่ายผู้คุ้มกันบัดนี้แบ่งออกเป็นสามขบวน โดยห้าคนคอยยิงธนูสนับสนุน อีกสิบคนเฝ้ารอรับการปะทะจากกลุ่มโจรที่วิ่งขึ้นมา ส่วนที่เหลือห้าคนคอยเฝ้ารอบกระโจมของหลิวอี้หลิง ส่วนพวกกุลีบ่าวไพร่อีกสามสิบชีวิตเนื่องด้วยแทบไม่รู้จักวิชาต่อสู้ จึงได้แต่ยืนถืออาวุธเท่าที่หาได้ ยืนเตรียมพร้อมไว้ในใจต่างลอบภาวนาให้ผู้คุ้มกันขับไล่พวกโจรไปให้หมดก่อน ที่จะบุกเข้ามาหาพวกตน เหตุการณ์ขมึงตึงเครียดถึงขีดสุดเมื่อปรากฏเสียงโห่ร้องดังขึ้นมาอีกทางผู้ คนนับสิบเฮโลบุกขึ้นมาจากอีกทาง อู่หลอที่สั่งการอยู่ทางด้านหน้าไม่คาดว่าศัตรูจะแบ่งออกเป็นสองขบวนเพื่อ จู่โจมได้แต่คร่ำครวญในใจเพราะหากละทิ้งด้านนี้ไปจนแตกพ่ายจะยิ่งส่งผลร้าย มากกว่าดี  ด้วยความร้อนใจจึงเร่งสั่งให้ผู้คุ้มกับแนวหน้าสิบคนจากที่คอยตั้งรับให้ลง มือรุกต่อสู้อย่างหักโหม ส่วนตัวมันและมือธนูที่เหลือ ก็หยิบดาบขึ้นมาแล้วสั่งให้สามคนไปช่วยพวกห้าคนที่ต้านรับการบุกจากด้านหลัง ตัวมันและลูกน้องที่เหลือกระโจนเข้าต่อสู้ทางด้านนี้เพื่อเร่งปิดฉากและจะ ได้พากันวกกลับไปช่วยอีกด้าน

ฝ่ายผู้คุ้มกันห้าคนต้องรับศึกอย่าง ตึงมือ เพราะจำนวนที่น้อยกว่า อาศัยประสบการณ์การต่อสู้อันโชกโชนและการตั้งรับเกื้อหนุนกันอย่างมีระเบียบ บรรดาโจรร้ายก็หาใช่ไร้ฝีมือเนื่องด้วยปล้นชิงมานับครั้งไม่ถ้วน ความดุร้ายจึงมากตามไปด้วยเพียงแต่น้อยครั้งที่พวกมันจะขึ้นฝั่งมาปล้นชิง แต่ครั้งนี้พวกมันติดตามขบวนคนเหล่านี้เพราะดูจากข้าวของที่ทิ้งไว้ในเรือมี ค่าไม่น้อย คาดว่าผู้ที่อยู่ในขบวนคงเป็นคหบดีใหญ่ หากจับตัวไว้ได้คงเรียกค่าไถ่ตัวได้มาก ดังนั้นจึงยอมเสี่ยงลงมือ
อาศัย ห้าคนย่อมไม่อาจสกัดคนนับสิบไว้ได้นาน โจรบางส่วนจึงเล็ดรอดฝ่าเข้ามา ยังพวกบ่าวไพร่ที่ยืนถืออาวุธขาสั่นอยู่ พวกโจรเห็นดังนั้นต่างพากันแสยะยิ้มอย่างสบใจ ด้วยรู้ว่าแม้จำนวนมากกว่าคงมิใช่คู่มือของพวกมัน จึงบุกตะลุยเข้าไปดั่งพยัคฆ์กลางฝูงแกะเสียงกรีดร้องดังขึ้นไม่ขาด จนเกิดความโกลาหลขึ้น บรรดาบ่าวไพร่เมื่อเห็นพวกพ้องถูกฟันถูกแทงล้มลง ต่างพากันแตกฮือโยนอาวุธทิ้งวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ยามนั้นเอี้ยนเทียนยังคงรักษาความสงบไว้ได้ต่างจากผู้อื่น ได้แต่ทอดถอนใจมองดูฝ่ายตนที่จำนวนมากกว่าแต่กลับวิ่งหนีเอาตัวรอดทั้งที่ ยิ่งหนีฝ่ายตรงข้ามยังคงฆ่าฟันไม่ละเว้นแถมยังลงมือได้ง่ายกว่าตอนที่พวกมัน หันหน้าเข้าสู้เสียอีก
โจรผู้หนึ่งเห็นมีคนยังคงยืนนิ่ง ในใจก็กระหยิ่มยิ้มย่อง คาดว่ามันคงหวาดกลัวจนก้าวขาไม่ออก จึงได้ควงดาบเดินเข้าหาหมายจะฟันลงในฉับเดียว ไม่คาดขณะที่เงื้อดาบขึ้นหมายจะลงมือ มันกลับไม่สามารถฟาดดาบลงได้คล้ายมีมือที่มองไม่เห็นฉุดรั้งเอาไว้ ยังมิทันที่มันจะได้แก้ไขอะไรก็ปรากฏไม้รวกทิ่มแทงทะลวงหัวใจของมันจนสิ้นใจ ไป ผู้ที่ลงมือนั้นคือเอี้ยนเทียนนั่นเอง ยามนี้มันยังสงสัยตัวเองอยู่บางว่าเหตุใดจึงกล้าลงมือสังหารผู้คน ในความคิดมันไม่คล้ายกับตัวเองพึ่งจะสังหารคนเป็นครั้งแรก อีกทั้งมือก็ไม่ได้สั่น ความรู้สึกพะอืดพะอมยามเห็นโลหิตหลั่งไหลก็ไม่มี เพียงแต่ยามนี้มันปัดความสงสัยออกไป เมื่อได้ยินเสียงหวีดร้องของสตรีดังขึ้นในกระโจมผ้าจึงหยิบฉวยดาบจากศพโจร ผู้นั้นวิ่งตรงไปยังต้นเสียง

โจรสามคนบุกเข้าถึงภายในกระโจม เมื่อพวกมันเห็นสตรีสามนางก็หัวร่อออกมาอย่างชั่วช้าลามก ในหัวมีแต่ความคิดอันอุบาทว์ ทั้งถิงถิงและอาซวงต่างเข้ามายืนบังเพื่อปกป้องคุณหนูของพวกนาง อาซวงแม้จะเยาว์วัยที่สุดกลับเยือกเย็นที่สุด หยิบฉวยมีดสั้นที่ซ่อนไว้ขึ้นมาถือไว้มั่น สายตาจ้องมองเขม็งไปยังพวกโจร ฝ่ายโจรเห็นท่าทีเช่นนั้นกลับยิ่งขบขัน พากันสงเสียงหัวร่อดังขึ้น จังหวะนั้นหนึ่งในสามส่งสายตาเป็นสัญญาณให้พวกพ้อง พวกมันจึงถาโถมเข้าหาสตรีทั้งสาม อาซวงที่อยู่ด้านหน้าสุดเร่งบอกให้ ถิงถิง นำพาคุณหนูออกไปก่อน ตัวนางนั้นกลับขวางทางโจรทั้งสามไว้ แต่ไหนเลยสาวน้อยตัวเล็กๆจะทำอย่างไรกับบุรุษร่างกำยำได้ เมื่อนางจ้วงแทงมีดออกไปกลับถูกคว้าข้อมือโดยง่าย เพียงออกแรงบีบเล็กน้อยนางก็จำต้องปล่อยมีดลงพื้น จากนั้นมันก็ฟาดนางจนสลบแล้วแบกขึ้นบ่าวิ่งกลับออกไป
โจรสองคนที่ไล่ตาม ถิงถิงและหลิวอี้หลิงออกมาที่นอกกระโจม ยังไม่ทันคว้าตัวพวกนางไว้ได้กลับต้องเผชิญหน้ากับผู้คุมกันสามคนที่ตามมา สมทบ โรมรันกันชั่วครู่หนึ่งในสองโจรก็ถูกฟันล้มลง คนที่เหลือก็ได้รับบาดเจ็บจึงรีบหันหลังวิ่งหลบหนี ฝ่ายผู้คุ้มกันก็มิได้ติดตามไปเพราะเป็นห่วงในความปลอดภัยของคุณหนู เมื่อสตรีทั้งสองได้สติก็เร่งบอกให้รีบไปดูภายในกระโจมเพราะร้อนใจเป็นห่วง อาซวง

เอี้ยนเทียนเมื่อมาถึงกระโจมก็พบเงาร่างบุรุษแบกสิ่งๆหนึ่งบาด บ่าทะยานเข้าป่าไป คาดว่าคงเป็นสตรีหนึ่งในสามนาง มันจึงเร่งติดตามไป ฝ่ายอู่หลอเมื่อบุกตะลุยจนกลุ่มโจรด้านหน้าแตกพ่ายไปก็เร่งมาสมทบกับพรรคพวก ด้านหลัง พวกโจรเห็นดังนั้นก็เริ่มระส่ำระสาย จนได้ยินเสียงผิวปากดังขึ้นพวกมันจึงเร่งถอยหนีอย่างทุลักทุเล เมื่อขับไล่พวกโจรไปได้แล้วจึงกลับมาสำรวจความเสียหายฝ่ายตนบ้าง หลิวอี้หลิงและถิงถิงเมื่อเข้าไปในกระโจมแล้วแต่กลับไม่พบอาซวง คาดเดาว่านางคงถูกจับตัวไป เพียงแค่คิดถึงชะตากรรมที่นางต้องเผชิญ พวกนางก็ทรุดตัวลงกอดกันร่ำไห้ เป็นที่น่าสงสารยิ่งนัก อู่หลอ ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรติดตามไปช่วยเหลือนางหรือไม่ เพราะด้วยจำนวนคนที่น้อยกว่าแล้วยังออกตามไปยามนี้ เสี่ยงต่อการถูกลอบโจมตียิ่งนัก จึงทำเป็นนิ่งเฉยเสียแล้วหันไปสั่งการให้จัดการกับซากศพบ่าวไพรและพวกโจร

เอี้ยน เทียนเมื่อลอบติดตามออกมา ก็คิดอ่านจัดการโจรผู้นี้ก่อนที่มันจะกลับไปรวมกลุ่มกับโจรที่เหลือ เมื่อคิดแผนดีงามอันใดไม่ออกจึงได้แต่ลองเสี่ยงดวงดู
" ท่านพี่ โปรดรอข้าพเจ้าด้วย " เอี้ยนเทียนตะโกนออกไป พลางแสร้งทำเป็นได้รับบาดเจ็บ คาดว่าในความมืดศัตรูคงแยกแยะไม่ออก ซึ่งก็ได้ผลร่างด้านหน้าชะงักและหันกลับมา ก่อนจะเดินตรงมาหามัน แต่เมื่อเข้ามาใกล้บุรุษผู้นั้นกลับไม่พูดพร่ำทำเพลงกลับลงมือทิ่มดาบจ้วง แทงมันที่ทรุดตัวลงบนพื้นแสร้งบาดเจ็บอยู่ ด้วยความที่มันคิดจู่โจมอีกฝ่ายอยู่แล้วจึงไม่ได้ชะล่าใจ เพียงแต่ไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะลงมือกระทันหันเช่นนี้ จึงได้แต่กลิ้งตัวไปบนพื้นเพื่อหลบเลี่ยง
" คิดหลบเลี่ยงไปไย เราจะส่งเจ้าให้ไปสบายไม่ต้องเจ็บปวดอยู่นี่แล้ว " แม้จะมองไม่เห็นสีหน้ามันในความมืด แต่ก็รู้สึกได้ถึงสันดานอำมหิตในน้ำเสียง ทั้งยังลงมืออย่างต่อเนื่อง เอี้ยนเทียนได้แต่หลบหลีกเป็นพัลวัล จุดอ่อนของมันก็คือหากให้ศัตรูเข้าประชิดรุกเร้าพัวพัน จนไม่สามารถใช้ลักษณะแห่งหัตถ์ได้ไม่ช้ามันจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ยามนี้ไม้รวกในมือได้ใช้ตั้งรับจนขาดเป็นสองท่อน โจรผู้นี้นับว่ามีฝีมืออยู่บ้างกระทั่งร่างของหญิงสาวมันยังไม่ยอมวางลงขณะ ที่กำลังรุกไล่เอี้ยนเทียนจนเสียกระบวน ขณะที่กำลังจะวาดดาบลงบนร่างของอีกฝ่ายมันก็รู้สึกเจ็บแปลบที่กลางหลัง ที่แท้อาซวงได้สติแล้วดึงเอาปิ่นโลหะแทงเข้าที่หลังของโจรร้ายทำให้มันชะงัก ไป ด้วยความโมโหมันจึงเหวี่ยงร่างอาซวงลงพื้นอย่างแรงจนนางจุกขยับไม่ไหว เพียงชั่วขณะเดียวที่คลาดสายตาไปจากเอี้ยนเทียน ลักษณะแห่งหัตถ์ก็ถูกใช้ออกสองมือและสองเท้าของมันถูกรั้งไว้ ยามนี้เอี้ยนเทียนใช้ออกถึงสี่หัตถ์ อานุภาพของลักษณะแห่งหัตถ์นี้ใช้ออกได้เพียงในระยะสามก้าวเท่านั้น แต่เวลานี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการจัดการกับศัตรูตรงหน้า ไม้รวกที่เหลือครึ่งท่อนบรรจงแทงไปที่ลำคอของโจรผู้นี้ โดยที่มันไม่สามารถที่จะส่งเสียงได้เพราะเลือดได้ไหลทะลักออกจากบาดแผล จนกระทั่งร่างกำยำล้มลงกระตุกสักพักก็สิ้นใจ ยามนี้เอี้ยนเทียนแทบใช้เรี่ยวแรงจนหมดสิ้น แต่ก็ต้องฝืนเอาไว้เพราะได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากใกล้เข้ามา จึงได้ลากร่างของโจรผู้นี้ซ่อนไว้ในพุ่มไม้แล้วใช้ฝุ่นดินกลบเกลี่ยรอยเลือด บนพื้น ทุกอากัปกิริยาคล้ายเป็นไปโดยธรรมชาติเหมือนเป็นความเคยชิน จากนั้นจึงเข้าไปพยุงร่างอาซวงให้เข้าไปแอบซ่อนในโพรงไม้อีกทางหนึ่ง ส่วนตัวมันทำท่าจะผละไปอีกทางแต่กลับถูกมือเล็กๆคว้าไว้ก่อน มันจึงหันมาสบตานางในความมืดก็สัมผัสได้ว่ามือของนางนั้นสั่นน้อยๆ ดังนั้นจึงตัดสินใจมุดเข้าไปเบียดร่างบอบบางนั้น
" หนาวหรือไม่ " เอี้ยนเทียนถามเพราะรู้สึกได้ว่าร่างของนางสั่น เมื่อไม่ได้ยินคำตอบจึงตัดสินใจเอง โอบร่างของนางเข้ามาจนชิด ก่อนจะขยับกายให้นางเป็นฝ่ายอยู่ด้านหน้าเหยียดเท้าออกไปแผ่นหลังบอบบางผิง กับอกของมัน โดยมันนั่งซ้อนอยู่ด้านหลังโอบกอดร่างของนางไว้อีกที
" ไว้เช้าแล้วเราค่อยกลับไปที่พักกัน ยามนี้ท่านพักผ่อนก่อนเถิด " เอี้ยนเทียนกระซิบบอกที่ริมหู แอบสูดดมความหอมจากกายสาวเล็กน้อย ฝ่ายอาซวงใจกลับยิ่งเต้นตูมตาม ร่างกายยิ่งสั่นเข้าไปใหญ่เพราะเพิ่งเคยใกล้ชิดกับบุรุษถึงเพียงนี้ แต่ก็รู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นเป็นที่สุด ไม่นานนางก็เคลิ้มหลับไปอย่างวางใจ ผู้ที่เดือดร้อนกลับเป็นเอี้ยนเทียนเพราะกลิ่นกายสาวช่างหอมหวลเย้ายวนใจ ร่างกายบอบบางแต่กลับแผงแรงดีดสะท้อน ทำให้มันตื่นตัวจนแทบขาดสติ ต้องรวบรวมสมาธิมุ่งไปที่การฟื้นฟูร่างกายจึงค่อยระงับจิตใจเอาไว้ ได้.......................จบตอนที่4


เนื่องในวันพ่อขอให้คุณพ่อ ของทุกท่านสุขภาพแข็งแรงอยู่เป็นขวัญกำลังใจให้ทุกท่านไปนานๆ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามขอบคุณพี่สาวเช่นเคยนะครับ

 

*ก๊อป ไปอ่านได้  แต่ ห้าม ! นำไปเผยแพร่นะคะ เพราะ คุณ nookylove ฝากให้นำมาลงจ๊ะ*

 


Pakop