ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 11 บ้อเมี้ยวเล่านั๊ง ปราชญ์พิสดาร

เริ่มโดย zeech, กรกฎาคม 08, 2016, 09:13:51 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

zeech



เฟยอี้ปลดปล่อยธารารักของมันจนสิ้นสุด แล้วฟุบกายลงทาบทับ
พลางโอบกอดร่างของภูติแพรขาว ซึ่งพริ้มตาหลับลงอย่างอ่อนเพลีย
มันผ่อนลมหายใจลงบนต้นคองามระหงของนาง แล้วเหลือบมองไปยัง
ร่างของภูตแพรเขียว  ซึ่งกำลังเผลอไผลลอบมองการร่วมรักของมัน
กับภูตแพรขาวอย่างลืมตัว ครั้นพอได้ประสานตากับมัน ก็กลับได้สติ
หันใบหน้าหนีแล้วปิดตาลง  เฟยอี้ถอนแก่นกายของมันออกจากร่าง
ภูตแพรขาว แล้วเคลื่อนกายเข้าไปประชิดร่างของภูตแพรเขียว

มือของมันลูบไล้ไปบนพวงแก้ม แล้วก้มหน้าของมันไปแนบชิด
วงหน้างามนั้น  ภูตแพรเขียวร่างสั่นสะท้านเปิดเปลือกตาออกดู
เห็นใบหน้าของมันเข้ามาแนบชิดเช่นนั้นก็ส่งเสียงร้องออกมา

"อย่า...อย่าทำข้าเลย...เฟยอี้ พวกเราเพียงกลั่นแกล้งเจ้าเล่นเท่านั้น"


ยามนี้ บุคคลที่นางพูดด้วยมีความเป็นเฟยอี้อยู่เพียงครึ่ง อีกครึ่งคือปีศาจราคะ
ที่มิรู้อิ่มในรสกาม มันจรดริมฝีปากของมันประกบเข้ากับปากของนาง

ภูตแพรเขียวมิเต็มใจให้ลิ้นของมันล่วงล้ำเข้าไป จึงเม้มริมฝีปากของนางไว้
อย่างแน่นสนิท  เฟยอี้จึงใช้มือของมันลูบไล้ไปมาที่เรือนร่างของนาง
แล้วสอดมือลึกลงไปในอกเสื้อ คว้าจับปทุมถันข้างหนึ่งของนางพลางบดบี้
ยอดเม็ดแห่งปทุมถันนั้น

"อย่าาาา....อย่าทำข้า....อย่า......"


ทันทีที่ปากของภูตแพรเขียวเปิดออกมันก็ส่งลิ้นเข้าไปพัวพัน
ในช่องปากของนางทันที ขณะที่มันจุมพิตอย่างดูดดื่มกับปากของนาง
มือของมันกลับเลื่อนไหลลงไปที่หน้าท้องแล้วหมุนวนไปมา ก่อนที่จะ
สอดมือผ่านขอบกางเกงเข้าไปสัมผัสกับเนินสวาทอันโหนกนูนนั้น 
มันวางนิ้วของมันทาบลงบนรอยผ่าแล้วจมลึกหายลงไปสัมผัสกับเนื้อใน
อันหยุ่นนิ่มในร่องผ่านั้น

"อย่าาา..อย่าาทำเช่นนั้น ..อย่.า าา....."


อุ้งมือของมันเกาะกุมเนินสวาทของภูตแพรเขียวจนเต็มกำมือ แล้วคลึงเค้น
เนินสวาทนั้นอย่างสาแก่ใจ พลางสอดส่ายนิ้วของมันไปทั่วโพรงสวาท
จนพบกับติ่งเสียวที่ชี้ชูชันขึ้นมาจากการเล้าโลมของมัน มันตรงเข้าหยอกล้อ
กับติ่งเสียวนั้นด้วยนิ้วมือของมันให้ไหวเอนไปมา จนบังเกิดความชื้นแฉะขึ้น

"โอ๊ะ...อย่าาา...ซี๊ดดดดดด....อูยยยยยยยยยย..."


ระหว่างที่โลมไล้เนินสวาทของนาง มันก็ปลดเปลื้องอาภรณ์ของนางออกที่ละชิ้น
จนหมด แล้วเคลื่อนร่างอันเปลือยเปล่าของมันขึ้นทาบทับ ภูตแพรเขียวถูกการเล้าโลม
ของมันจนเนินสวาทของนางชื้นแฉะ นางเกิดความรู้สึกประหลาดที่มิเคยเป็นมาก่อน
มันเป็นความรุ่มร้อนในอารมณ์ที่ยากจะระงับ ครั้นมองเห็นแก่นกายของเฟยอี้
ที่ชี้แข็งเป็นลำของมันขณะยกร่างขึ้นทาบทับร่างของนาง พลันรู้สึกสมหวังและรุ่มร้อน
เพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง

เฟยอี้พาดแก่นกายของมันลงบนเนินสวาทที่โคกนูนของนาง แล้วบดคลึงท่อนล่าง
ของมันส่ายไปมา ใบหน้าของมันตรงเข้าดูดกินยอดถันเต่งตึงทั้งสองของนาง
แล้วโลมเลียไปจนทั่วเต้าถันอันกลมกลึงนั้น

"อูยยยย....ซี๊ดดดดด..อูยยยย....ซี๊ดดดดด ........"


มันเคลื่อนร่างไหลลงต่ำอีกครั้ง ไล่ลิ้นลงมาเลียวนไปที่หน้าท้องอันแบนราบ 
ภูตแพรเขียวกัดริมฝีปากแน่นอย่างสุดเสียว แล้วนางก็ต้องผวาเฮือก
เมื่อลิ้นของมันไหลลงไปสัมผัสกับโคนขาขาวผุดผ่อง แล้วตวัดเข้ามาสัมผัส
ที่กลีบสวาทของนาง ลิ้นของมันตวัดฉวัดเฉวียนไปมา สร้างความเสียวสยิว
ให้กับนางจนเคลิบเคลิ้ม

"อืมมม..........อ้าาาาาาา.........ซี๊ดดดดดดดดด...."


เฟยอี้จับเรียวขาทั้งสองข้างของนางยกขึ้น แยกออกจากกัน จนเผยให้เห็นเนินสวาท
เบ่งบานออกมาอย่างเต็มตา ร่องสวาทของนางเผยอออกจนเห็นติ่งเสียวสีชมพู

มันผลักดันเรียวขาทั้งสองข้างของนางไปด้านหน้า แล้วซบใบหน้าของมันลง
ไล่งับติ่งเสียวนั้นแล้วดูดกินอย่างหื่นกระหาย

"อ๊ายยยยยยยยยยยยย...อ๊ายยยยยยยยยยยยย...อ๊ายยยยยยยยยยยยย...."


ความชื้นแฉะของนางกลับมีมากขึ้น จนเปื้อนเปรอะใบหน้าของมัน แต่กลับดูเหมือน
เป็นที่ชื่นชอบของมันยิ่งนัก มันแย้มยิ้มแล้วยื่นลิ้นของมันออกมาลากเลียขึ้นลงที่ร่องสวาท
อย่างไม่รู้จักจบสิ้น ภูตแพรเขียวถึงกับกรีดเสียงร้องออกมาด้วยความเสียวจนสุดระงับ


"อ๊ายยยยยยย...อ๊ายยยยยยย...อ๊ายยยยยยย...อ๊ายยยยยยย...."


ภูตแพรเขียวมิอาจควบคุมร่างของนางให้เป็นปกติได้ นางทำได้แต่ส่งเสียง
ครวญคราง ระบายความเสียวซ่านที่ก่อตัวขึ้น แล้วแผ่ซ่านไปทั้งร่างอย่างท่วมท้น

ร่างของนางตึงแข็งและเริ่มสั่นสะท้านไปทั้งร่าง จนความเสียวซ่านนั้นแล่นขึ้นมา
ถึงจุดสูงสุดของมัน ร่างของนางสั่นกระตุกอย่างเป็นสุข จิตใจล่องลอยคล้ายดั่งโบยบิน
ไปไกลแสนไกล แล้วร่างของนางก็คลายความแข็งเกร็งลง ปิดตาผ่อนลมหายใจอย่างอ่อนเพลีย

นางกำลังจะหลับลงด้วยความอ่อนเพลีย โดยไม่ทันรู้ตัวว่า เฟยอี้ได้จับเรียวขาทั้งสองของนาง
ขึ้นพาดบ่าของมัน แล้วจับแก่นกายของมันกรีดขึ้นลงที่ร่องสวาทของนาง แล้วพยายามจะดัน
เข้าไปภายใน  นางจึงลืมตาขึ้นมองดู ครั้นเห็นแก่นกายที่ยาวใหญ่ของมันกำลังจะถูกดัน
เข้าไปในร่างของนาง ก็ร้องขึ้น

"อย่าา...อย่าดันเข้ามา...อย่าาาาาาา...โอ๊ะ....."


เฟยอี้ดันแก่นกายของมัน จนผ่านด่านพรหมจรรย์ของนางเข้าไปจนสุด
มันค้างนิ่งไว้อยู่ครู่หนึ่ง แล้วขยับท่อนล่างของมันเข้าออกอย่างเนิบนาบ แก่นกายของมัน
ถูกยกออกจนเกือบสุดความยาว แล้วดันกลับเข้าไปใหม่จนมิด แล้วกระทำเช่นเดิมซ้ำ

ภูตแพรเขียว เกิดความเจ็บในคราแรก แล้วแปรเปลี่ยนเป็น ความเสียวซ่านรัญจวนขึ้นอีกครั้ง
ทุกครั้งที่มันขยับแก่นกายเข้า และ ออก นางรับรู้ถึงความแข็งเกร็ง และใหญ่ยาว
ที่บุกทะลวงเข้ามาในร่างของนาง บางครานางถึงกับห่อปากสูดลมเข้าไปอย่างลืมตัว
จนเมื่อมันเพิ่มระดับความเร็วขึ้น นางก็ต้องถึงกับส่งเสียงร้องขึ้นมา

"อู้ววว..อู้ววว..อู้ววว..อู้ววว...อู้ววว...."



เฟยอี้ทรงกายด้วยเข่า และมือทั้งสองข้าง มันดันร่างของมันให้โน้มไปด้านหน้า
เรียวขาทั้งสองข้างของนางที่อยู่พาดบนไหล่ของมัน ถูกดันจนสะโพกของนาง
ลอยขึ้นจากพื้น  เป็นผลให้กลีบสวาททั้งสองข้างของนางเปิดทางให้แก่นกาย
ของมันล่วงล้ำเข้าไปภายในร่างของนางได้ลึกขึ้นอีก มันสอดแก่นกายเข้าไป
จนสุด แล้วดันร่างเข้าแนบชิดบดคลึงไปมา สลับกับยกร่างของมันขึ้นลง 

"อูยยยยยย...อูยยยย...อูยยยยยย...ซี๊ดดดดดด...."


ภูตแพรเขียว ห่อปาก ส่งเสียงออกมา นางหลับตาส่ายใบหน้าไปมา
จนดูไม่ออกว่า นางกำลังเจ็บปวด หรือ เสียวซ่านอย่างมีความสุข
ร่างของนางเริ่มขยับขึ้นลงน้อยๆ ตามแรงกระแทกกระทั้นของมัน
จนกระทั่งสั่นไหวไปทั้งร่าง ด้วยแรงกระแทกและความเร็ว
ที่เพิ่มขึ้นของมัน

"โอ้วว....โอ้วว...โอ้วว..โอ้วว.โอ้วว.โอ้วว.โอ้วว."


แก่นกายของเฟยอี้ ถูกรัดรึงอย่างแนบแน่น และบีบรัดเป็นจังหวะ
จากโพรงสวาทของนาง มันรู้สึกเสียวซ่าน และสุขสมในอารมณ์
ยิ่งนัก จนมันต้องละมือจากพื้น มาจับยึดเอวอันคอดกิ่วของนาง
ไว้อย่างแนบแน่น มิให้ร่างของนางสะท้อนกลับจากแรงกระแทก
ของมันแล้วเพิ่มระดับความเร็วขึ้นอีก

ในคราวนี้ ทั้งคู่ถึงกับส่งเสียงครวญครางประสานกัน จนดังไปทั้งห้อง

"โอ้วว..อู้วว..อู้วว..โอ้วว..อู้วว..โอ้วว.."


จนในที่สุด ภูตแพรเขียวก็ส่งเสียงดังยาวออกมา

"อ้าาาาา............"


นางแอ่นเนินสวาทของนางค้างนิ่ง ปิดเปลือกตา นิ่วหน้า อ้าปาก
ครางออกมาอย่างสุขสม 

เฟยอี้ส่งนางไปยังสวรรค์แล้ว แต่มันยังคงขยับร่างกระแทกกระทั้น
ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

ภูตแพรเขียว แม้ถึงจุดสุขสมไปแล้ว กลับต้องเกิดความเสียวซ่าน
ขึ้นอีกครั้ง ตาของนางประสานกับตาของเฟยอี้ แต่คราวนี้นางกลับ
ไม่หลบสายตามัน กลับทอประกายออกมาจนหยาดเยิ้ม เฟยอี้พลันได้ใจ
เร่งเร้าแก่นกายของมัน พลันทอดร่างลงแล้วจุมพิตนางอย่างดูดดื่ม
กายเปลือยเปล่าของทั้งคู่ เกี่ยวกระหวัดพัวพันกันและกันอย่างแนบชิด


และแล้ว ความเสียวซ่านของเฟยอี้ก็เพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุด
คราวนี้มันได้ส่งตัวมันไปเยือนสวรรค์บ้าง แต่คาดมิถึงนางเองก็กลับ
ขึ้นสวรรค์ไปพร้อมมันอีกครา

"โอ้ววววววววววววววว............"


ทั้งคู่ส่งเสียงดังยาวออกมา เฟยอี้ปลดปล่อยน้ำรักออกมาจนท่วมท้น
โพรงสวาทของนาง มันซุกไซ้ใบหน้าสูดดมไปที่พวงแก้มของนาง
แล้ววางใบหน้าของมันลงแนบชิดพลางหลับตาลงด้วยความอ่อนเพลีย

----------


ลัทธิเบญจธาตุมีความเชื่อว่า ทุกสิ่งบนโลกนี้ล้วนประกอบไปด้วย
ธาตุทั้งห้า อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และ ทอง โดยมี เทพเจ้าแห่งลัทธิ
เป็นผู้ประทานมาให้ ดังนั้นผู้คนในลัทธิเบญจธาตุล้วนให้ความเคารพ
นับถือในเทพเจ้าแห่งลัทธิอย่างมาก

การจะติดต่อกับเทพเจ้าของลัทธิ ต้องติดต่อผ่าน ธิดาเทพ ผู้เป็นร่างทรง
ของเทพเจ้า ซึ่งก็คือ บุตรสาววัยสิบหกปีของประมุขแห่งลัทธิเบญจธาตุ
นางถูกแต่งตั้งให้เป็น ธิดาเทพ ตั้งแต่มีวัยเพียงสามขวบ โดยผู้เป็นบิดา
เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการสร้างความเชื่อนี้ขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคง
ในตำแหน่งประมุขของตน

ธิดาเทพ มีบริวารเป็นสตรีล้วน คอยปรนนิบัติรับใช้ และมีองครักษ์หุ่น
ซึ่งก็คือสตรีชาวจงหยวนที่มีความงามและมีพลังฝีมือในการต่อสู้
ที่ถูกคนแห่งลัทธิเบญจธาตุจับตัวมา  องครักษ์หุ่นจะเป็นผู้พิทักษ์รักษา
ความปลอดภัยให้กับ ธิดาเทพ พวกนางล้วนรับฟังคำสั่งผู้เป็นนายอย่างเคร่งครัด
แม้กระทั่งว่าจะสั่งให้พวกนางไปตาย พวกนางก็ล้วนปฏิบัติตามแต่โดยดี 

สตรีชาวจงหยวนที่ถูกจับมา จะถูกส่งตัวให้ หยางเพ่ยจือ ฉายา เทพธิดาหมื่นพิษ
ใช้ยาที่นางปรุงขึ้นเอง  มีชื่อว่า พิษสะกดวิญญาณ ทำให้สตรีเหล่านั้นกลายเป็น
องครักษ์หุ่น

ผู้ที่ถูกพิษสะกดวิญญาณ จะมีอาการนิ่งค้างอยู่ในอาการเดียว ไม่รับรู้สิ่งใดๆ
จากภายนอก เปรียบคล้ายดังคนตาย มีเพียงร่างแต่ไร้วิญญาณรับรู้
องครักษ์หุ่นจะปฏิบัติคำสั่งของผู้เป็นนายที่สั่นกระดิ่งเรียกวิญญาณเท่านั้น

เหม่ยเยี่ย ก็เช่นกัน นางถูกทูตลมจับตัวมาคราวแหวกวงล้อมของพวกมันในครั้งนั้น
แล้วถูกสร้างให้เป็นองครักษ์หุ่น ยืนนิ่งให้การอารักขาอยู่หน้าห้องบรรทมของ ธิดาเทพ

จวบจนเวลาล่วงผ่านไปหลายวัน จนครบกำหนดที่ฤทธิ์ยา เหมยฟ้ารัญจวน
ในร่างของนางจะก่อกำเริบ ฤทธิ์ยาเหมยฟ้ารัญจวนจึงไปกระตุ้นจุดสำคัญต่างๆในร่าง
ให้มีพลังชีวิต หักล้างกับฤทธิ์ของพิษสะกดวิญญาณ จนนางกลับมามีความรู้สึกเป็นปกติ

หลังจากกลับมามีสติ เหม่ยเยี่ยก็ทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด จนนางสามารถจดจำ
สิ่งต่างๆที่ผ่านมาได้ทั้งหมด นางก็เริ่มเดินสำรวจสถานที่นั้น จนพบว่ามิได้มีนางเพียงผู้เดียว
ที่อยู่ในที่นี้ แต่กลับมี สตรีอีกสามนางยืนนิ่งอยู่ในที่ไม่ห่างจากนาง  ลักษณะของสตรีเหล่านั้น
คุ้นหน้านางเป็นอย่างยิ่ง

ครั้นเมื่อนางเดินเข้าไปใกล้จนมองเห็นใบหน้าของสตรีนางหนึ่ง ที่นางรู้สึกคุ้นเคยที่สุดอย่างชัดเจน 
นางก็ถึงกลับเปล่งเสียงอุทานออกมา

"อาจารย์หญิง"


สตรีผู้นั้นคือ เยี่ยกุ้ยอิง นางยืนนิ่งคล้ายดังเป็นหุ่น ใบหน้าของนางเรียบเฉยปราศจาก
การรับรู้ใดๆ แม้เหม่ยเยี่ยพยายามเขย่าร่างของนาง แล้วส่งเสียงร้องเรียกนางอยู่หลายครั้ง 
จนในที่สุด เหม่ยเยี่ย ก็ต้องละความพยายามลง หันไปมองสตรีอีกสองนางที่ยืนอยู่ถัดไป
พวกนางก็คือ ฮุ่ยหนิง และ ลี่จิน ศิษย์ของ ซือไท่แส้เหล็ก แห่งอารามชีบุปผาหยก

ขณะที่นางกำลังจะตรงเข้าไปเขย่าร่างของนางทั้งสองพลันมีเสียง ของบุคคลกลุ่มหนึ่ง
กำลังเดินมายังที่ที่นางยืนอยู่ เหม่ยเยี่ยจึงเร่งกลับไปยังจุดที่ตนเองยืนอยู่เดิม
แล้วแสร้งทำนิ่งเป็นหุ่น

บุคคลกลุ่มนั้นเป็นสตรีสามนาง นางหนึ่งเป็นดรุณีอายุราว สิบหกสิบเจ็ด แต่งกาย
คล้ายเป็นดรุณีสูงศักดิ์ ใบหน้าของนางคมเข้ม ดวงตากลมโต ตามลักษณะสตรี
ชาวเปอร์เซีย อีกสองนางแต่งกายคล้ายกับเป็นนางรับใช้ กำลังเดินมายังห้อง
ที่เหล่าองครักษ์หุ่นยืนเฝ้าอยู่

เหม่ยเยี่ยจดจำดรุณีสูงศักดิ์ผู้นี้ได้ ในวันแรกที่ถูกจับตัวมานางได้พบกับประมุขของ
ลัทธิเบญจธาตุ และนางผู้นี่ยืนอยู่เคียงข้างประมุขในวันนั้น นางคือ ธิดาของประมุข
หรือธิดาเทพ นั่นเอง

เหม่ยเยี่ยครุ่นคิดในทันที หากว่าต้องการออกไปจากที่แห่งนี้พร้อมกับ อาจารย์หญิง
จำเป็นจะต้องจับเอาธิดาเทพผู้นี้เป็นตัวประกัน จึงจะพบทางสะดวก และครั้งนี้น่าจะเป็น
โอกาสทองแล้ว เหม่ยเยี่ยคิดได้ดังนั้นก็ตรงเข้าไป จี้สกัดจุดนางรับใช้ทั้งสอง พร้อมกับปราด
เข้าไปใช้วิชากงเล็บ ตะปบลำลำคอของธิดาเทพไว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า

"หากยังไม่อยากตาย จงอยู่นิ่งๆ"


ธิดาเทพมีใบหน้าที่นิ่งสงบ หามีแววตื่นตระหนกใดๆแม้เล็กน้อย แล้วพูดขึ้นว่า

"เจ้าคิดว่า เจ้าจะสามารถมีชีวิตรอดออกไปหรือ"


เหม่ยเยี่ยกดกงเล็บเข้าไปที่คอของ ธิดาเทพ หนักขึ้น แล้วพูดขึ้นว่า

"ชีวิตเจ้าอยู่ในเงื้อมมือข้า หากข้าตาย เจ้าต้องตายก่อนข้า
นำทางให้ข้าออกไปจากที่นี่"


ธิดาเทพ เดินนำออกไปยังทางเดินด้วยท่าทีเงียบสงบ แต่แล้ว
เหม่ยเยี่ยก็ร้องห้ามขึ้น

"เจ้ารอก่อน"


พลางชี้มือไปที่องครักษ์หุ่นทั้งสาม

"ข้าต้องการนำพวกนางไปด้วย ต้องทำเช่นไร"


ธิดาเทพมีประกายตาแข็งกร้าวขึ้นวูบนึง แล้วพูดขึ้นว่า

"มีเพียงข้าเท่านั้น ที่สามาถทำให้พวกนางไปกับเจ้าได้"


"เช่นนั้น เจ้าเร่งทำในตอนนี้"


"ข้าไม่สามารถกระทำ"


เหม่ยเยี่ย เพิ่มกำลังไปที่กงเล็บมากขึ้นแล้วพูดว่า

"เหตุใดไม่สามารถกระทำ"


"ข้าไม่สามารถทำพิธีเรียกวิญญาณ ถ้าเจ้าเกาะกุมข้าเช่นนี้"


"เจ้าคิดใช้เล่ห์เหลี่ยมกับข้ารึ"


"ข้าไม่มีวรยุทธ ใยต้องเกรงกลัวข้า หากเจ้าขลาดกลัวนัก
ก็ตามแต่ใจเจ้าเถอะ"


"ได้..หากเจ้าคิดใช้เล่ห์เหลี่ยมข้าจะไม่ละเว้นเจ้า"


แล้วเหม่ยเยี่ยก็คลายกงเล็บออกจากลำคอของ ธิดาเทพ

ธิดาเทพลอบยิ้มที่มุมปาก แล้วล้วงเอากระดิ่งเรียกวิญญาณ
ออกมาสั่นสามครั้ง พลางส่งเสียงว่า

"ฆ่ามัน"


สิ้นคำของธิดาเทพ ร่างที่หยุดนิ่งของเยี่ยกุ้ยอิง ฮุ่ยหนิง และ ลี่จิน
ก็เคลื่อนตรงเข้าจู่โจมมาที่ร่างของเหม่ยเยี่ยอย่างรวดเร็ว
ทุกกระบวนท่าที่องครักษ์หุ่นทั้งสาม ใช้ออกมาล้วนมุ่งหมาย
ชีวิตของนาง  ธิดาเทพยิ้มที่มุมปาก แล้วเดินเข้าห้องบรรทมไป
อย่างเยือกเย็น

เหม่ยเยี่ยทุ่มเทกำลังทั้งหมดออกตั้งรับ แต่ก็มิอาจต้านทาน
กระบวนท่าที่อำมหิตของทั้งสามองครักษ์หุ่นได้ นางร้องเรียก
ชื่อของบุคคลทั้งสาม หวังให้ฟื้นคืนสติขึ้นมา แต่ก็ไม่เป็นผล
บางกระบวนท่าที่เหล่าองค์รักษ์หุ่นนำออกมาใช้ กลับเปิดช่องว่าง
โดยมิป้องกัน มันมุ่งหมายเพียงจุดตายของเป้าหมายของมันเท่านั้น

เหม่ยเยี่ยจึงทดลองตอบโต้กลับไป ทั้งฟาดฝ่ามือ และเตะด้วยพลังเท้า
แต่ดูเหมือนว่า เหล่าองครักษ์หุ่นจะไม่รู้จักความเจ็บปวด

เหม่ยเยี่ยเริ่มอ่อนกำลังลง จึงกระโจนหนีออกมาด้วยวิชาตัวเบา
แล้วกระโดดขึ้นบนหลังคาซุ่มซ่อนอยู่ องครักษ์หุ่นเหล่านั้น
ก็กระโจนออกติดตาม พวกมันจะไม่ยอมหยุดหากยังไม่สำเร็จลง
ตามคำสั่ง

ธิดาเทพ ลอบฟังเสียงการต่อสู้อยู่ภายในห้อง ครั้นได้ยินเสียงการต่อสู้
เริ่มห่างไกลออกไป ก็สั่นกระดิ่งเรียกองครักษ์ทั้งสามกลับมา ด้วยเกรงว่า
จะห่างไกลจนพ้นอำนาจของเสียงกระดิ่ง

เหม่ยเยี่ยซุ่มรอดูอยู่ จนเหตุการณ์เงียบสงบลง นางเหลียวมองดูโดยรอบ
ท่ามกลางบรรยากาศที่มืดมิด มันก่อให้เกิดความอ้างว้างและรันทดขึ้นใน
หัวใจ

แล้วนางก็ตัดสินใจลงจากหลังคามาด้วยความเงียบ แล้วลักลอบ
ออกจากวังแห่งลัทธิเบญจธาตุหายเข้าไปในความมืดมิด

--------


บ้อเมี้ยวเล่านั๊ง ฉายาปราชญ์พิสดาร จัดเป็นอัจฉริยะบุคคลผู้หนึ่งในบู๊ลิ้ม
แต่มีนิสัยประหลาด รักความสันโดษ ชอบหลีกเร้นอยู่ป่าแต่เพียงผู้เดียว
มันสะสมวิชายุทธแห่งสำนักต่างๆ มารวบรวมไว้ แล้วมักเอาวิชายุทธเหล่านั้น
มาปรับปรุงเพิ่มเติมจนเป็นวิชายุทธใหม่ที่มีความพิสดารล้ำเลิศ หรือแม้แต่รวบรวม
จุดเด่นของแต่ละวิชายุทธ มาเขียนเป็นคัมภีร์ยุทธใหม่ มันเป็นผู้หลงใหลการต่อสู้อย่างมาก
จึงมักชักชวนผู้ที่ผ่านทาง มาประลองฝีมือกับมัน แล้วมันมักใช้วิชาประจำสำนักของบุคคลนั้น
เข้าประลองกับคู่ต่อสู้

เมื่อครั้งเว่ยน่ำเทียน บิดาของเว่ยฉิงคังอยู่ในวัยหนุ่ม ออกท่องยุทธภพ พบมิตรสหายมากมาย
บ้อเมี้ยวเล่านั๊ง ก็เป็นผู้หนึ่ง ที่เว่ยน่ำเทียนเคยพานพบยามออกท่องยุทธภพ เว่ยน่ำเทียนพบกับ
บ้อเมี้ยวเล่านั๊ง กลางป่าและถูกขอให้ประลองยุทธกับมัน ครั้นพอเว่ยน่ำเทียนใช้เพลงทวนเข้าต่อสู้
บ้อเมี้ยวเล่านั๊งในครั้งนั้นยังมิเคยพบพานจอมยุทธที่ใช้เพลงทวนก็เกิดความอยากได้
เข้าขอวิชาเพลงทวนกับ เว่ยน่ำเทียนอย่างพาซื่อ

เว่ยน่ำเทียนเป็นผู้มีจิตใจกว้างขวาง ก็ตอบไปว่าจะรำเพลงทวนให้ชมเพียงรอบเดียว
หากสามารถจดจำได้ ก็ถือเป็นวาสนา แล้วมันก็ไม่ผิดต่อสำนักตนเองที่ถ่ายทอดเพลงทวนให้ผู้อื่น

เมื่อเว่ยน่ำเทียนร่ายรำเพลงทวนออกไปเพียงรอบเดียว บ้อเมี้ยวเล่านั๊ง ผู้มีฉายาว่าปราชญ์พิสดาร
ก็สามารถจดจำกระบวนท่าเพลงทวนได้อย่างหมดสิ้น ทั้งสองจึงมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน

กาลเวลาผ่านพ้นไปหลายสิบปี  จนบ้อเมี้ยวเล่านั๊งทราบข่าวการตายของ เว่ยน่ำเทียน
ก็บังเกิดความเสียใจและระลึกถึงมิตรภาพเมื่อครั้งก่อน ออกสืบหาข่าวจนทราบว่า
เว่ยฉิงคัง คือบุตรของ เว่ยน่ำเทียน มันจึงคิดทดแทนบุญคุณของสหาย ด้วยการนำตัว
ของเว่ยฉิงคัง มาสั่งสอนวรยุทธเป็นการตอบแทน

เวลาล่วงผ่านไปห้าวัน หลังจากที่บ้อเมี้ยวเล่านั๊งจับตัวเว่ยฉิงคังมา  มันถูก บ้อเมี้ยวเล่านั๊ง
บังคับให้ทรมานร่างกายด้วยการแบกหาบน้ำขึ้นเขา วันละหลายสิบเที่ยว เมื่อเสร็จสิ้นจาการ
หาบน้ำ ก็ต้องซ้อมฝีมือกับมัน จนร่างกายของมันมีพื้นฐานกำลังที่ดีขึ้น


อยู่มาวันหนึ่ง บ้อเมี้ยวเล่านั๊ง ก็นำเว่ยฉิงคังเข้าไปในบ้าน แล้วหยุดอยู่ ณ.เตียงนอน

"ฉิงคัง เจ้าจงยกเตียงนั้นออก"


เว่ยฉิงคัง มองหน้า บ้อเมี้ยวเล่านั๊ง แล้วยินยอมกระทำตามแต่โดยดี
เมื่อมันยกเตียงนั้นออกก็พบว่า มีประตูเล็กๆบานนึงซ่อนอยู่

"เปิดมันออก"


เว่ยฉิงคังตรงเข้าดึงประตูบานนั้นขึ้นมา พบว่าเป็นช่องลึกลงไป
ภายในมีบันไดสำหรับไต่ลงไป

"เจ้าลงไป"


คราวนี้ เว่ยฉิงคังมองหน้า บ้อเมี้ยวเล่านั๊ง นิ่งอยู่ยังมิยอมกระทำตาม

"อาวุโส  ภายในมีสิ่งใด ข้ามิกล้า"


"หึ..หากเจ้าขลาดกลัวอยู่เช่นนี้ เจ้าจะสามารถล้างแค้นให้บิดาเจ้าได้อย่างไร"


พลัน เว่ยฉิงคังก็มีดวงตาที่แข็งกร้าวขึ้น ยามใดที่มันคิดถึงการตายของบิดา
จิตใจของมันก็จะเกิดความกล้าอย่างบ้าคลั่งขึ้นทุกครั้ง มันตรงเข้าลดตัว
ลงลอดเข้าไปในช่อง แล้วไต่บันไดลงไป 

เมื่อเท้าของมันเหยียบย่างลงสู่พื้น สายตาของมันก็สำรวจอาณาบริเวณ
โดยรอบทันที มันเป็นห้องใหญ่ห้องนึง ตรงกลางเป็นพื้นที่โล่งกว้าง
ภายในสุดของห้องมีชั้นใหญ่เก็บคัมภีร์ต่างๆไว้มากมาย
ขณะที่มันกำลังลังเลอยู่ว่าจะทำประการใดต่อไป ก็มีเสียงของ
บ้อเมี้ยวเล่านั๊ง ดังออกมา

"ในนั้นมีคัมภีร์ยุทธที่ข้าบัญญัติขึ้น และเก็บสะสมมาทั้งชีวิต
เจ้าจงเลือกออกมาหนึ่งคัมภีร์ยุทธ แล้วฝึกฝนให้ช่ำชอง ในอีกเจ็ดวันข้างหน้า
หากเจ้าไม่มีความก้าวหน้าใดๆ ก็จงไสหัวออกไปจากบ้านข้า"

บ้อเมี้ยวเล่านั๊ง พูดจบก็ปิดประตูลง

"อาวุโส..อาวุโส ..อย่าทิ้งข้าไว้ที่นี่ ..อาวุโส"


 

เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

sayanun

เฟยอี้โดนปีศาจราคะเข้าครอบงำแล้ว แถมมีตัวละครใหม่ด้วย น่าชมๆ

xonly-809


flexihop

ขอบคุณสำหรับผลงานดีๆที่สละเวลามาสานต่อครับ
เรื่องราวชวนติดตามเหมือนอย่างเคย คุ้มค่าแก้การรอคอยจริงๆครับ

nakata32

 ::YarKK::วันข้างหน้า เว่ยฉิงคังต้องเป็นตัวร้ายแน่เพราะมันเจ้าเล่ แถมยังขี้ขลาด

tripplet

วาสนาแท้ๆ เว่ยฉิงคัง .... มีคนจะสอนสั่งถ่ายทอดวิชาให้ คงไม่ไปเนรคุณเค้าอีกนะ 

เฟยอี้ .... ต้องได้ จัดหนักธิดาเทพ นะคับ ไรต์เตอร์ .... รออ่านคับ

sunnyman

ขอบคุณมากครับ มีตัวละครอีกฝ่ายทำให้เรื่องน่าสนใจยิ่งขึ้นครับ


treemiles


grozothe

ไม่ได้เอ่ยถึง "เหม่ยเยี่ย" ลืมนางซะงั้น

สงสัยต้องไปทวนความจำ  ::Reader::

biggiggog





nonane