ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

รักยม ตอนที่ 76 – วิถี

เริ่มโดย assasin008, กันยายน 20, 2016, 11:15:05 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

assasin008

คุยเรื่อยเปื่อย

เห็นมีคนบ่นคิดถึงเรื่องรักยมกันมากมาย และหลังจากเขียนจิตราคะก็เกิดมโนมาทางเรื่องนี้ เลยจัดไปก่อน
หากลืมเนื้อเรื่องแล้วไปก็ไม่แปลกครับ ขนาดคนเขียนเองก็ยังลืม ๆ เหมือนกัน 555

ด้วยความเคารพรัก
นักอู้หมายเลขแปด


รักยม ตอนที่ 76 – วิถี
..........................................
Assasin008 2016-09-20

        เด็กชายหนึ่งเดินย่องฝ่าแสงสลัวขึ้นไปบนบันได เขาสอดส่องสายตามองซ้ายมองขวาด้วยความระแวดระวัง ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงเวลาราวตีสองแล้ว แต่บริเวณหอพักนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ยังไม่ถึงกับร้างผู้คนเสียทีเดียว ตรงชั้นล่างมีนักศึกษาหนุ่มสาวราวสิบคนที่นั่งอ่านหนังสือกันอย่างคร่ำเคร่ง ด้านยามรักษาความปลอดภัยก็เดินตรวจตราไปมาเกือบตลอดเวลา

        "ตอนนี้แหละแบกเนยขึ้นมาได้เลยลุง ทางสะดวกแล้ว"

        เอกในร่างของเด็กชายหนึ่งมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าปลอดภัย เขาจึงค่อยส่งเสียงบอกลุงมานพคนขับแท็กซี่ให้ทราบ จากนั้นลุงมานพที่ยืนซุ่มอยู่ในเงามืดของตัวอาคารจึงค่อยเดินออกมาด้วยท่าทีลับ ๆ ล่อ ๆ ผสมผสานไปกับความตื่นเต้นเร้าใจ เพราะที่ด้านหลังของเขากำลังแบกร่างสลบเหมือดของนักศึกษาสาวสวยคนหนึ่ง

        "เออ อย่าเร่งมากไอ้หนุ่ม ลุงเริ่มแก่แล้วไม่ค่อยมีแรงแบก"

        ลุงมานพตอบพร้อมกับหอมหายใจหนักหน่วง ก่อนจะก้าวเท้าตามร่างของเด็กชายไปด้วยอารมณ์สับสนปนเป ในอารมณ์หนึ่งนั้นเขากำลังหวาดกลัวต่อความผิด หากมีใครพบเห็นการกระทำของเขาเข้า หากไม่ติดคุกติดตารางก็คงบุญโขมากแล้ว เพราะการที่จะแบกร่างไร้สติของนักศึกษาสาวสวยคนหนึ่งออกมาจากรถแท็กซี่เพื่อขึ้นไปชั้นบนหอพักชั้นห้านั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแม้แต่น้อย

        กระนั้นอีกอารมณ์หนึ่งที่ทำให้ลุงมานพยอมรับหน้าที่อันแสนท้าทายนี้ก็คือความตื่นเต้น หลังจากที่ต้องทนนั่งมองนักศึกษาสาวสวยหุ่นนางแบบชื่อเนยโดนเด็กหนุ่มหน้าใสเสพกามอย่างเมามันบนรถแท็กซี่ อารมณ์ของลุงมานพก็เหมือนภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิด ถึงแม้จะได้ใช้มือช่วยตัวเองไปแล้วสองรอบ แต่อารมณ์กลัดมันก็ยังวนเวียนไม่หายไปไหน ไม่มีครั้งไหนเลยในชีวิตที่ลุงมานพรู้สึกงุ่นง่านมากถึงขนาดนี้

        ความงุ่นง่านนั้นทำให้ลุงมานพยอมรับหน้าที่แบกร่างไร้สติของเนยแต่โดยดี อย่างน้อยที่สุดในท่วงท่าเช่นนี้ลุงมานพก็ยังถือว่าได้เอารัดเอาเปรียบหาเศษหาเลยจากเด็กสาวแสนสวยไม่น้อย การแบกบนแผ่นหลังทำให้เต้านมอวบของเด็กสาวในชุดนักศึกษาเบียดเสียดเข้าอย่างจัง และมันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ลุงมานพต้องเอื้อมมือไปด้านหลังเพื่อจับประคองร่างของเนยเอาไว้ สองมือที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นตามวัยจึงได้ขย้ำสะโพกก้นเนื้อเต่งของเด็กสาวไว้จนเต็มสองมือ

        "อูย ... สุดยอด ตูดหนอ นมหนอ ... ตูดหนอ นมหนอ ... นมใหญ่ฉิบหาย ตูดก็ใหญ่ไม่แพ้กัน อูย ... ตูดหนอ นมหนอ ..."

        ลุงมานพเดินขึ้นบันไดไปด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน คอของเขาแห้งผากเพราะกลืนน้ำลายไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ความนุ่มนิ่มของเรือนกายเด็กสาวทำให้เป้ากางเกงของเขาพองตัวแข็งเป็นลำใกล้แตกระเบิด ลมหายใจของเด็กสาวที่ราดรดใส่ต้นคอนั้นยิ่งสร้างความร้อนรุ่มจนสติแทบแตก และหากว่าเขาไม่รู้สึกกริ่งเกรงอะไรบางอย่างในตัวเด็กชายที่เดินนำหน้าแล้ว ต่อให้ต้องติดคุกลุงมานพก็ยังจะพาสาวสวยชื่อเนยคนนี้ไปเสพกามให้สาสมใจอย่างแน่นอน

        ความจริงแล้วลุงมานพถือว่ามีร่างกายใหญ่โตแข็งแรงพอควร การแบกสาวสวยหุ่นนางแบบน้ำหนักไม่เยอะแบบเนยขึ้นบันไดไปห้าชั้นไม่นับเป็นเรื่องเกินแรง หากทว่าสิ่งที่ทำให้ลำบากก็คือลุงมานพรู้สึกว่าไม่อยากรีบขึ้นไปให้ถึง เพราะเมื่อถึงที่หมายเขาก็จะไม่ได้สัมผัสแนบกับเรือนร่างของนักศึกษาสาวสวยคนนี้อีก ดังนั้นเขาจึงแกล้งทำเป็นเดินช้าลงโดยทำทีเป็นเหนื่อยหมดเรี่ยวแรง

        "อะแฮ่ม"

        เสียงกระแอมของเด็กชายที่ดังขึ้นทำให้ลุงมานพสะดุ้งโหยง ยิ่งเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วเจอเขากับสายตารู้ทันของเด็กชาย ลุงมานพก็สั่นสะท้านรีบเดินขึ้นบันไดด้วยความเร็วกว่าเดิม และนี่คือสิ่งที่ลุงมานพไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกหวาดเกรง ทั้งยังเชื่อฟังเด็กชายชื่อหนึ่งถึงเพียงนี้ ทั้งที่อีกฝ่ายนั้นเป็นแค่เด็กผู้ชายอายุไม่เกินสิบห้าด้วยซ้ำ

        เมื่อลุงมานพไม่กล้าโอ้เอ้ถ่วงเวลา การกระทำลับ ๆ ล่อ ๆ ของหนึ่งเด็กชายและหนึ่งชายวัยกลางคนก็รวดเร็วขึ้น เพียงไม่นานนักพวกเขาก็ไปยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องหมายเลข 546 โดยไม่มีใครพบเห็น

        "... ลืมไป กุญแจห้องอยู่ไหนหว่า ..."

        ลุงมานพยืนมองเด็กชายส่งเสียงบ่นพึมพำที่หน้าประตูห้อง ตอนนี้เขาเริ่มหอบและมีเหงื่อซึมไปทั่วตัวด้วยความเหน็ดเหนื่อยเกือบหมดเรี่ยวแรง แต่สัมผัสของเต้านมที่เบียดแน่นอยู่บนแผ่นหลังคล้ายยาบำรุงกำลังที่ทำให้รู้สึกคึกคักจนไม่อยากปล่อยร่างของสาวสวยออกไป

        เด็กชายยืนครุ่นคิดวูบหนึ่ง ก่อนจะล้วงมือควานหาลงไปในกระเป๋าถือยี่ห้อดังของเนยด้วยความเร่งรีบ เพราะเกรงกลัวว่าจะมีใครผ่านมาเห็นเข้า เขาหยิบล้วงเอายกทรงลายลูกไม้ออกมาจากกระเป๋าแล้ววางพาดบนไหล่โดยไม่แยแสสนใจนัก หากทว่าสายตาของลุงมานพกลับจับจ้องมองจนแทบถลน เนื่องจากนั่นคือยกทรงของนักศึกษาสาวสวยที่สลบไสลอยู่บนแผ่นหลัง

        ลุงมานพทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าสาวสวยคนนี้ไม่ได้ใส่ยกทรง เพียงแต่เมื่อได้เห็นยกทรงสีสวยลอยยั่วสายตาอยู่เบื้องหน้า อารมณ์หื่นกลัดมันก็โดนกระตุ้นให้ลุกโชนมากกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นเด็กชายใช้นิ้วคีบกางเกงในสีเดียวกับยกทรงออกมาจากกระเป๋า สองมือที่ตะปบอยู่บนสะโพกก้นของสาวสวยก็ยิ่งบีบขยำใส่ จินตนาการหื่นพลุ่งพล่านไปไกลลิบ เพราะเพิ่งได้ทราบว่าสิ่งที่กั้นกลางระหว่างเนื้อสาวและฝ่ามือนั้นมีเพียงกระโปรงนักศึกษาเนื้อบางเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น

        น่าเสียดายสำหรับลุงมานพอยู่บ้าง เพราะเพียงไม่นานนัก เสียงกรุ๊งกริ๊งของโลหะชิ้นเล็ก ๆ ก็ดังขึ้น เด็กชายควานหาจนเจอ และหยิบเอาพวงกุญแจออกมาจากกระเป๋าจัดการปลดกลอนประตูแล้วเดินเข้าไปด้านในพร้อมกับกวักมือเรียกให้เร่งเดินตามเข้าไป

        ลุงมานพส่งเสียงสบถด้วยความเสียดายอยู่ในใจ หากทว่าไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง ทั้งยังไม่กล้าแสดงท่าทีอิดออดต่อต้านเด็กชายออกมาให้เห็น ถึงแม้ว่าจะมีเสี้ยวหนึ่งของความคิดด้านมืดที่อยากจะจัดการเด็กชายให้พ้นทาง เขาจะได้จัดการกับนักศึกษาสาวสวยให้อิ่มเอม แต่เพียงแค่ความคิดนี้แวบขึ้นมาลุงมานพก็รีบเตะมันทิ้งไปทันที เพราะความรู้สึกหวั่นเกรงนั้นรุนแรงกว่า

        ราวกับข้าทาสอันซื่อสัตย์ ลุงมานพค่อย ๆ วางร่างนุ่มนิ่มไร้สติของเนยลงบนเตียงนอนด้วยความเสียดายสุดซึ้ง จากนั้นเด็กชายก็ขยับมาจัดการอุ้มสาวสวยขยับขึ้นไปนอนบนหมอนด้วยท่าทีทะนุถนอมเอาใจใส่

        "ลุงช่วยหาผ้าขนหนูชุบน้ำมาให้ผมสักผืน ผมจะเช็ดตัวให้เนยสักหน่อย คืนนี้จะได้หลับสบาย"

        เด็กชายนั่งมองดูสาวสวยแล้วพูดออกคำสั่งโดยไม่มีท่าทีลังเลหรือประหม่าแม้แต่น้อยนิด ท่วงท่านั้นดูเป็นธรรมชาติเหมือนเจ้านายสั่งการข้าทาสบริพาร และเรื่องที่น่าแปลกก็คือ ลุงมานพกลับรีบลุกพรวดขึ้นทำตามคำสั่งของเด็กชายแทบจะในทันทีโดยไม่มีท่าทีลังเลไม่พอใจอันใดทั้งสิ้น ทั้งที่ความจริงแล้วลุงมานพไม่ได้มีศักดิ์ฐานะเป็นลูกจ้างที่ต้องทำตามคำสั่งพวกนี้ด้วยซ้ำ

        เพียงครู่เดียวลุงมานพก็ออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่เปียกน้ำหมาด ๆ เขายื่นให้เด็กชายด้วยท่าทีเคารพนบนอบโดยไม่ทันนึกสงสัยตัวเองด้วยซ้ำว่าเหตุใดจึงต้องทำแบบนี้

        เด็กชายหันมารับผ้าขนหนูแล้วทำท่าจะหันไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เนย แต่เขาชะงักไปวูบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมายิ้มเหมือนรู้ทันให้ลุงมานพที่กำลังยืนตาลุกวาวเตรียมมองสำรวจเนื้อตัวของเนย

        "ไหน ๆ ก่อนหน้านี้ก็เห็นไปแล้ว ให้ดูอีกหน่อยคงไม่เป็น ... ดูแต่ตามืออย่าต้องนะลุง อย่าหาว่าผมไม่เตือน"

        หนึ่งหันกลับไปมองเนื้อตัวของเนยแล้วพูดแบบไม่ใส่ใจนัก ลุงมานพเองก็พยักหน้าเชื่อฟังในคำสั่งนั้น และเวลานี้เสื้อผ้าของนักศึกษาสาวก็โดนเด็กชายปลดออกจนเปลือยเปล่า ลุงมานพยืนกลืนน้ำลายตลอดเวลาขณะกวาดสายตามองดูเรือนร่างขาวโพลนของเด็กสาวแสนสวย ยิ่งได้เห็นเด็กชายใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดไปตามเนื้อตัวนุ่มนิ่ม อารมณ์ของลุงมานพก็ยิ่งพลุ่งพล่านจนต้องเอื้อมมือลงไปบีบนวดขยำใส่ดุ้นเอ็นที่พองตัวแข็งเป็นลำด้วยความงุ่นง่าน

        "อูย เด็กสมัยนี้ ทำไมมันสวยน่าฟัดขนาดนี้หนอ"

        ลุงมานพส่งเสียงพึมพำและบีบขยำดุ้นเอ็นแรงขึ้น ตอนนี้สาวสวยโดนจับถ่างขาออก เด็กชายกำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดทำความสะอาดน้ำสีขาวข้นที่คั่งค้างอยู่ในร่องรู และภาพอันบาดตาบาดใจนี้มีแต่จะทำให้ลุงมานพยิ่งรู้สึกหื่นจนทนไม่ไหวต้องปลดกางเกงลงไปแล้วคว้าดุ้นเอ็นรูดถอกเพื่อระบายอารมณ์อีกรอบหนึ่ง

        เด็กชายเองก็เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้นักศึกษาสาวสวยแบบไม่เร่งร้อน ลุงมานพรู้สึกได้ว่าเด็กชายกำลังสนุกและอยากอวด และลุงมานพย่อมไม่ขัดข้องที่จะฉกฉวยโอกาสนี้เอาไว้ ในเมื่ออีกฝ่ายอยากอวด ลุงมานพก็ยินดีรับบทคนแอบมองด้วยความยินดี มือที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นนั้นเริ่มรูดถอกดุ้นเอ็นของตนเองถี่เร็วขึ้น จนกระทั่งอารมณ์เริ่มไต่ทะยานขึ้นไปจนเกือบถึงจุดสุดยอด หากทว่าน่าเสียดายที่ครั้งนี้เหมือนสวรรค์จะไม่เป็นใจให้ลุงนัก

        "อ้าว ประตูไม่ได้ลงกลอนนี่นา ... เนยกำลัง ... เอ๊ะ"

        โดยไม่มีใครทันตั้งตัว ประตูห้องพักของเนยโดนเปิดออก สาวสวยในชุดลำลองคนหนึ่งก้าวเข้ามาพร้อมกับเสียงทักทาย ก่อนที่เสียงทักทายนั้นจะชะงักหยุดลงกลายเป็นเสียงร้องอุทานด้วยความตื่นตกใจ

        ไม่แปลกที่สาวสวยนางนั้นจะตื่นตกใจ เพราะว่าสิ่งที่เธอเห็นในเวลานี้คือเนยเพื่อนสาวกำลังนอนเปลือยบนเตียงนอน ข้างกายของเนยมีเด็กชายที่กำลังแตะเนื้อต้องตัวเนยอยู่ และที่ด้านข้างเตียงยังมีลุงวัยกลางคนกำลังยืนช่วยตัวเองด้วยท่าทีกลัดมัน

        ลุงมานพเบิกตากว้างมองดูผู้มาเยือนด้วยความตกใจเช่นกัน เขาส่งเสียงอุทานว่าฉิบหายอยู่ในใจ เพราะว่าการโดนพบเห็นเช่นนี้หมายถึงการแหย่เท้าเข้าไปในตารางแล้วก้าวหนึ่ง ขอแค่เพียงอีกฝ่ายส่งเสียงร้องออกมาจนคนอื่นได้ยิน แค่นี้เรื่องราวก็คงไม่ทางจบลงโดยง่าย

        เอกในร่างของเด็กชายหนึ่งเองก็เบิกตากว้างมองดูผู้มาเยือนด้วยความแตกตื่น หากทว่าความแตกตื่นของเขานั้นแตกต่างจากลุงมานพ เพราะเขาไม่นึกว่าจะบังเอิญเจอกับเธอในสถานที่และเวลานี้ หากแต่เมื่อนึกย้อนกลับไปแล้วก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเธอคนนี้กับเนยก็เป็นเพื่อนสนิทกัน และหากว่าทั้งสองฝ่ายจะแวะมาหาเยี่ยมเยียนในยามดึกก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

        ลุงมานพเริ่มขยับตัวก่อนใครด้วยหวาดกลัวว่าจะต้องติดคุกติดตาราง ความคิดแวบแรกของลุงมานพคือการปิดปากอย่าให้ผู้มาเยือนส่งเสียงร้องได้ ร่างสูงกำยำจึงขยับหมุนตัวยื่นมือออกไปหมายคว้าจับร่างของสาวสวยมารวบกอดปิดปากเอาไว้ก่อน ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกครั้งหนึ่ง

        ในความคิดของลุงมานพนั้น สาวหมวยวัยรุ่นตัวเล็กแลดูบอบบางคนนี้ไม่น่าจะสามารถหลบรอดเงื้อมมือไปได้ สิ่งเดียวที่ลุงมานพกลัวก็คือเด็กสาวจะส่งเสียงหวีดร้องออกมาก่อน

        อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ลุงมานพคาดเดานั้นกลับผิดพลาดทั้งหมด สาวสวยวัยละอ่อนไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวหรือส่งเสียงหวีดร้อง เธอแค่เพียงแสดงแววตาตื่นตกใจไปตามเหตุการณ์ หากทว่าแขนขาของเธอนั้นขยับตั้งท่าพร้อมตั้งรับอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเธอฝึกฝนการต่อสู้มาจนแทรกซึมอยู่ในสายเลือด

        ฝ่ามือหยาบกร้านที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงกว่าโดนสันมือของเด็กสาวกระแทกจนเบี่ยงเบนไปด้านข้าง ลุงมานพจึงไม่สามารถคว้าร่างของเธอเอาไว้ได้อย่างที่คิด และพริบตาที่เด็กสาวลงมือป้องกันตัวได้สำเร็จ ร่างของเธอก็หมุนตามแรงเหวี่ยงไปรอบหนึ่ง จากนั้นเท้าขวาของเธอก็สะบัดเตะเสยขึ้นมาจากด้านล่างโดยมีเป้าหมายที่กกหูของลุงมานพ

        ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนลุงมานพมองตามไม่ทัน และลุงมานพเองก็ไม่เห็นการโจมตีนี้ได้ถนัดตา เพราะท่วงท่าการโจมตีของหญิงสาวนั้นพุ่งมาจากมุมอับของสายตา ลุงมานพรู้ตัวอีกครั้งรองเท้ากีฬาสีขาวก็แตะโดนบริเวณกกหูของตัวเองเข้าแล้ว

        ลุงมานพเหลือบตามองยืนตัวแข็งทื่อด้วยความงุนงง เพราะรองเท้าสีขาวนั้นกลับไม่ได้กระแทกเข้าใส่อย่างที่หวาดกลัว และเมื่อลุงมานพกวาดตามองลงไป ก็ได้พบว่าเด็กสาวที่เตะยกขาสูงนั้นก็กำลังเบิกตากว้างราวกับไม่อยากเชื่อ ตอนนี้ระหว่างกลางของลุงมานพและหญิงสาวกลับมีร่างของเด็กชายสอดแทรกเข้ามายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทราบได้

        เหตุผลที่ปลายเท้าของหญิงสาวไม่กระแทกเข้ากับกกหูของลุงมานพ ทั้งที่การเตะนั้นดูสวยงามสมบูรณ์แบบนั้น เป็นเพราะเด็กชายแทรกตัวเข้ามายกมือขวางจับขาของเธอเอาไว้ได้ทัน ลุงมานพและหญิงสาวจึงต่างพากันแสดงความงุนงงไม่เข้าใจ เพราะไม่ทราบว่าเด็กชายที่นั่งอยู่บนเตียงซึ่งห่างออกไปต้องเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วเพียงใดจึงจะสามารถเข้ามาแทรกกลางได้เช่นนี้

        หญิงสาวนั้นแสดงท่าทีแตกตื่นกว่าลุงมานพอย่างเห็นได้ชัด เพราะว่าตอนนี้เธอขาข้างนั้นโดนมือของเด็กชายที่อ่อนวัยกว่าจับยึดไว้อย่างแน่นหนาราวกับคีมเหล็ก เธอพยายามดึงกลับแล้วหากแต่ไม่มีแม้แต่ท่าทีว่าจะสามารถขยับเขยื้อนได้ เธอจึงเปลี่ยนไปทำท่าจะส่งเสียงหวีดร้องให้คนอื่นช่วยเหลือ

        การพลิกแพลงของหญิงสาวนับว่ารวดเร็วแล้ว หากทว่าการเคลื่อนไหวของเด็กชายกลับว่องไวกว่า เสียงร้องของหญิงสาวไม่ทันจะหลุดออกจากปาก เด็กชายก็สะบัดมือวูบเฉียดผ่านปลายคางของเธอไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นร่างของหญิงสาวที่ทำท่าจะส่งเสียงร้องก็ทรุดฮวบไร้เรี่ยวแรงทันที

        หลังจากที่เด็กชายลงมืออย่างว่องไว เขาก็ขยับวูบเข้าไปประคองร่างของหญิงสาวผู้มาเยือนไว้ไม่ให้ร่วงลงไปกระแทกพื้น ลุงมานพยืนเหม่อมองด้วยความงุนงงไม่เข้าใจ เขาเห็นแค่เพียงเด็กชายสะบัดมือเฉียดปลายคางของหญิงสาว จากนั้นหญิงสาวที่ดูเหมือนจะช่ำชองในการต่อสู้ก็สลบเหมือดทรุดฮวบหมดท่า

        "ลุงรีบปิดประตูก่อน อย่าลืมลงกลอนด้วย เดี๋ยวมีคนอื่นมาเห็นอีกจะยิ่งยุ่งยาก"

        หนึ่งออกคำสั่งพลางประคองร่างไร้สติของหญิงสาวผู้มาเยือนเข้าไปในห้อง ลุงมานพที่ยังยืนงุนงงจึงพอจะเรียกสติกลับคืนมาได้และรีบขยับไปปิดประตูด้วยท่าทีโล่งอก ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจเรื่องราวนัก แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องราวร้ายแรงเกิดขึ้น และสิ่งที่เพิ่งได้เห็นกับตาตนเองก็ยิ่งเป็นสิ่งช่วยตอกย้ำว่า เด็กชายคนนี้ไม่ใช่คนที่สมควรจะตอแยขัดคำสั่งโดยเด็ดขาด

        ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ลุงมานพทราบว่าตนเองเกือบพลาดท่าเสียทีหญิงสาววัยรุ่นร่างบางคนนี้ไปแล้ว หากเด็กชายไม่พุ่งตัวมายั้งเอาไว้ลูกเตะนั้นคงจะกระแทกเข้ากกหูจนสลบเหมือดกลางอากาศ และการที่เด็กชายสามารถเคลื่อนที่แทรกตัวเข้ามาได้นั้นช่างรวดเร็วน่าเหลือเชื่อจนลุงมานพลืมกล่าวขอบคุณเสียด้วยซ้ำ

        "เฮ้อ ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาเจอกันในสภาพนี้ เทพธิดาแห่งโชคชะตาเล่นตลกหรือไง ... แล้วก็น่าเสียดายที่เป็นธาตุไฟ ไม่งั้นคงได้จัดการให้หายคิดถึงไปแล้ว"

        เด็กชายส่งเสียงพึมพำออกมาขณะวางร่างไร้สติของสาวหมวยร่างเล็กลงไปบนเตียง ถึงแม้ลุงมานพจะไม่เข้าใจในคำพูดเหล่านั้นนัก แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่าเด็กชายน่าจะรู้จักกับหญิงสาวคนนี้ อย่างน้อยสายตาที่เด็กชายมองดูหญิงสาวก็ดูจะมีอารมณ์ความคิดถึงอย่างเห็นได้ชัด

        ลุงมานพขี้เกียจครุ่นคิดให้หนักสมอง เขาจึงกวาดสายตามองสำรวจหญิงสาวที่เพิ่งมาใหม่อีกรอบอย่างละเอียด และลุงมานพก็ได้พบว่าสาววัยรุ่นนางนี้ดูดีสวยน่ารักมีเสน่ห์ไม่แพ้คนก่อนหน้า ไม่ว่าจะผิวพรรณ หรือเรือนร่างโค้งเว้า เมื่อได้มองดูอารมณ์กลัดมันของเพศผู้ก็พวยพุ่งขึ้นมาได้ไม่แพ้คนแรก ยิ่งได้เห็นสองสาววัยรุ่นนอนเคียงข้างกัน อารมณ์หื่นของชายวัยกลางคนก็ยิ่งพลุ่งพล่านขึ้นเป็นเท่าตัว ตอนนี้ลุงมานพเพียงหวังว่าจะได้เห็นฉากเด็ด ๆ ของเด็กชายกับสาวสวยคนใหม่สักครั้งให้เป็นบุญตา

        "ไปกันเถอะลุง"

        น่าเสียดายที่ฝันหวานของลุงมานพต้องล่มลงไปตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม เมื่อเด็กชายจัดวางสองสาวนอนลงบนเตียงเรียบร้อย เด็กชายก็ลุกขึ้นเดินตรงไปทางประตูห้อง ลุงมานพจึงได้แต่มองตามตาปริบ ๆ เหมือนไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเช่นนี้

        "ไปได้แล้วลุง"

        เสียงเรียกซ้ำทำให้ลุงมานพสะดุ้งโหยงและรีบก้าวเท้าตามร่างของเด็กชายออกไปทันที จากนั้นประตูห้องก็โดนปิดลงกลอน หนึ่งเด็กหนึ่งเริ่มชราเดินลงจากหอพักกลับที่รถแท็กซี่ ลุงมานพขับรถออกไปโดยไม่ทราบว่าสมควรจะขับไปที่ใด เขาจึงเหลือบตามองเด็กชายผ่านกระจกมองหลังเพื่อจะถามไถ่

        "ไปทะเล พัทยา"

        เด็กชายที่นั่งหลับตานิ่งเงียบส่งเสียงตอบออกมาตั้งแต่ยังไม่ทันได้ส่งเสียงถาม ลุงมานพแสดงท่าทีลังเลวูบหนึ่ง เพราะนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะให้ไปส่งไกลถึงต่างจังหวัดในยามดึกดื่นเช่นนี้ หากทว่าลุงมานพไม่มีความกล้าพอที่จะเอ่ยปากถามหรือแสดงท่าทีขัดข้อง รถแท็กซี่กลางเก่ากลางใหม่จึงวิ่งแล่นฝ่าแสงไฟบนท้องถนนตรงดิ่งไปยังทิศทางที่เด็กชายต้องการ

        "...ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติก่อน เจอหน้ากันครั้งแรก เราเป็นต้องมีเรื่องชกต่อยกันทุกครั้งไปซินะ ... เฟื่องฟ้า"

        เด็กชายหนึ่งที่นั่งหลับตาอยู่ด้านหลังส่งเสียงพูดพึมพำและหัวเราะขบขันออกมาแผ่วเบา เขาไม่ได้นอนหลับเนื่องจากยังไม่มีมนตราเพียงพอให้รับมือรัตติกาลในโลกแห่งความฝัน

        เขาเพียงแค่นั่งสมาธิพักผ่อนจิตใจและร่างกาย หากทว่าจิตใจของเขานั้นกำลังดำดิ่งย้อนกลับไปยังช่วงเวลาในอดีต มันคือช่วงเวลาที่เขาเพิ่งเข้าไปรับการฝึกฝนในโลกวิญญาณ ช่วงแรกที่เขาเข้าไปในนั้น เขาได้ประมือต่อยตีกับนักรบสาวสวยคนหนึ่ง และผู้หญิงคนนั้นก็มีชื่อว่าเฟื่องฟ้า หรือที่รู้จักกันว่าฟ้าสาวหมวยหมัดหนักในโลกยุคปัจจุบัน

       

        .............................................

       

        เอก ยังคงดำดิ่งอยู่ในความมืดอันไร้สิ้นสุดโดยไม่อาจคาดคะเนได้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดแล้ว นี่คือช่วงเวลาหลังจากที่เขาเพิ่งเข้ามาในโลกวิญญาณเพื่อฝึกฝนตามที่รักยมและนางตะเคียนจัดเตรียมให้ ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งระเริงรักโอบกอดซึมซับไออุ่นจากหกสาวแสนสวยราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ หากทว่าความรู้สึกในเวลานี้นั้นแทบไม่ต่างอันใดกับการดำดิ่งลงไปในขุมนรกอันสงบเงียบไร้ซึ่งสรรพสิ่ง

        ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเข้ามาในโลกวิญญาณ และเขายังไว้วางใจในตัวรักยมและนางตะเคียนในระดับหนึ่ง เขาจึงไม่ได้รู้สึกประหม่าหรือตื่นตระหนกมากเกินไป หากทว่าความดำมืดและเงียบงันที่เหมือนจะไม่มีจุดจบนี้ก็ได้สร้างความรู้สึกไม่สบายใจสั่งสมเพิ่มให้เขามากขึ้นทีละน้อย

        ภายในนี้เขามองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น กระนั้นหากจะกล่าวให้ถูกต้อง สมควรต้องกล่าวว่าสัมผัสทั้งห้าต่างหากที่เลือนหายไป ไม่ว่าจะเป็น รูป รส กลิ่น เสียง หรือการสัมผัสทางผิวกาย ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่ไม่มี เพราะว่าเวลานี้เขาไม่มีร่างกาย เขาไม่มีกายหยาบเหมือนที่เคยเป็น ในที่แห่นี้เขามีแต่เพียงจิตและวิญญาณ รวมไปถึงสติสัมปชัญญะที่ทำให้ทราบว่า เขายังไม่ได้สลายเลือนหายไปในความเวิ้งว้างว่างเปล่า

        เอกไม่เห็นสิ่งใดเพื่อเปรียบเทียบตำแหน่ง หากทว่าเขารู้สึกได้ว่าตนเองกำลังร่วงหล่นดำดิ่งลงไปเบื้องล่าง มันคล้ายกับความรู้สึกตอนร่วงลงมาจากที่สูง หากทว่าการร่วงหล่นนี้ไม่ใช่เส้นตรง แต่กลับเป็นการเหวี่ยงวนโค้งคล้ายกับน้ำวน น่าแปลกที่ความรู้สึกนี้ทำให้เขานึกไปถึงสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียกกันว่าหลุมดำ

        ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว หลุมดำนั้นเป็นปรากฏการณ์ของแรงดึงดูดมหาศาลที่สามารถดูดได้แม้แต่แสง หากทว่าในทางศาสนาความเชื่อของบางคนแล้ว หลุมดำนั้นเปรียบดั่งสัญลักษณ์ของความตาย มันคือประตูสู่โลกหลังความตาย ประตูที่ทุกสรรพชีวิตต้องเดินทางผ่านเข้าไป หากแต่จะสามารถเดินกลับออกมาได้หรือไม่นั้นกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

        เอกไม่ทราบว่าสิ่งนี้เรียกว่าหลุมดำหรือไม่ หากทว่าเขาทราบว่ามันคือปรากฏการณ์อันทรงพลังที่ไม่มีสิ่งใดต้านทานได้ กระแสที่ไหลวนอยู่นี้ราวกับจะเริ่มมีมาตั้งแต่บรรพกาล และเขามั่นใจว่ามันจะคงอยู่เช่นนี้ต่อไปอีกชั่วกัลปาวสาน ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถหยุดมันลงได้

        สติของเอกกลับคืนมาวูบหนึ่งเมื่อนึกขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้เขาตกอยู่ในสภาพที่เหมือนมีจิตรับรู้ หากทว่าไม่มีความคิดอ่าน และมันคือเรื่องปกติเมื่อดวงวิญญาณต้องเวียนว่ายอยู่ในโลกแห่งนี้

        พลังอันยิ่งใหญ่ในห้วงเวลาที่ไม่มีสิ้นสุดจะทำให้สติของผู้คนเลือนหายไปกับกระแส จนกระทั่งลืมเลือนตัวตน ลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง และสิ่งนี้คืออันตรายอันดับแรกสุดในการเข้ามาในโลกวิญญาณ มันคือการลืมเลือนอัตตาในชีวิตเก่า และหากปล่อยให้ไหลไปกับกระแสจนหลุดเข้าไปในวังวน ใครจะทราบได้ว่าปลายทางนั้นคือนรกหรือสวรรค์

        ผู้ที่จะสามารถหลุดพ้นไปจากวิถีนี้ได้นั้น หากไม่มีพลังจิตสมาธิที่มากพอ ก็ต้องมีบ่วงกรรมที่ผูกยึดกับโลกคนเป็นอย่างแน่นหนาจนสลัดไม่หลุด ผู้คนส่วนแรกนั้นคือผู้บำเพ็ญเพียรตบะระดับสูง ซึ่งอาจจะเป็นพระ หรือหมอผี และส่วนหลังที่ถูกยึดไว้ด้วยบ่วงกรรมนั้นก็คือเหล่าวิญญาณที่ยังไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้ หรือที่เรียกกันว่าวิญญาณเร่ร่อน

        เอกพยายามรวบรวมสติตั้งสมาธิ รักยมเคยเตือนเขาไว้ว่าสิ่งนี้คือการทดสอบด่านแรก แน่นอนว่ารักยมสามารถช่วยเขาได้ หากแต่นั่นจะไม่ใช่การฝึกฝน หากจิตของเขาทำท่าจะโดนกลืนหายไปในกระแส การฝึกปรือในครั้งนี้จะถือว่าสิ้นสุดทันที รักยมจะลงมือช่วยเหลือ เนื่องจากพลังสมาธิของเขายังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ ดวงจิตของเขาจะโดนดึงกลับไปเข้าร่างในห้องนอน

        ชายหนุ่มพูดได้อย่างเต็มปากว่าเขาไม่ถนัดด้านการนั่งทำสมาธิเหมือนผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป หากทว่าในแง่ของพลังจิตแล้วเขารู้สึกว่าเขาพอจะมีดีอยู่บ้าง และหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดในเวลานี้ก็คือการที่เขายังสามารถคิดอ่านรักษาสติเอาไว้ได้อย่างชัดเจน ซึ่งการกระเช่นนี้ใช่ว่าจะสามารถกระทำกันได้โดยง่าย แม้แต่พระหรือหมอผีระดับสูงก็มีเพียงน้อยคนที่สามารถกระทำได้

        สติของเอกแจ่มใสชัดเจนขึ้นทีละน้อย เขาเริ่มทำตามที่ฝึกปรือมา เขาพยายามสัมผัสถึงลักษณะของดวงจิตตนเองให้มากขึ้น อีกทั้งยังเริ่มแผ่ขยายสัมผัสได้ถึงวิญญาณดวงอื่นที่อยู่ห่างออกไป นั่นคือสัมผัสทางวิญญาณไม่ใช่สัมผัสทางกายหยาบ เขาไม่ได้มองเห็นเพราะที่แห่งนี้ไม่มีแสงและเขาก็ไม่มีดวงตา เขาไม่ได้ยินเพราะที่แห่งนี้ไม่มีเสียงและเขาก็ไม่มีใบหู สัมผัสอันละเอียดอ่อนเหล่านี้เป็นสัมผัสอีกแบบหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในสัมผัสทั้งห้าของกายหยาบ

        สัมผัสของชายหนุ่มแผ่ขยายยื่นออกไปทุกทิศทางอย่างเชื่องช้าหากทว่ามั่นคงและแน่วนิ่ง เขาเริ่มสัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังในกระแสแห่งนี้ หากทว่ามีวิญญาณร่วมเดินทางอยู่ด้วยเป็นจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน ภายในจินตนาการของเอกนั้น เขารู้สึกเหมือนเหล่าดวงวิญญาณเป็นแสงสีขาวเหมือนดวงดาว และวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้กำลังหมุนวนจนดูเหมือนภาพของหมู่ดาวในจักรวาล

        ภาพที่สัมผัสได้ในดวงจิตนั้นทำให้สมาธิของเขาสั่นคลอนจนภาพที่สัมผัสได้กลายเป็นเลอะเลือน เขาทราบอยู่แล้วว่าวิถีนี้คือขุมพลังอันยิ่งใหญ่ หากทว่าเมื่อสามารถสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ได้ด้วยตนเอง เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตนเองเล็กจ้อย ตัวเขาเป็นเพียงฝุ่นผงธุลีจุดหนึ่งในความกว้างใหญ่ไกลโพ้นไร้ขอบเขต 

        ภายหลังจากความตื่นตะลึงนั้น จิตสมาธิที่สั่นคลอนก็เริ่มนิ่งกระจ่าง เขารู้สึกเหมือนเพิ่งเข้าใจและไขว่คว้าอะไรบางอย่างมาได้ หากทว่ายังไม่สามารถบรรยายมันออกมาให้ชัดเจนได้ เขาแค่เพียงรู้สึกได้ถึงมันอย่างลางเลือนและพร่ามัวในห้วงมโนสติ เขารู้สึกเหมือนระลึกได้ว่าเขาเคยผ่านเข้าไปในหลุมสีดำนั้น และไม่ได้ผ่านไปเพียงแค่ครั้งเดียว

        ความทรงจำในส่วนนี้ลางเลือนเกินไป ยิ่งพยายามนึกถึงภาพก็ยิ่งขุ่นมัว เอกจึงได้แต่ยอมแพ้เลิกคิดถึงมัน เขาหันมาเพิ่งกระแสจิตสำรวจไปรอบด้านอีกครั้ง และเขาก็ได้พบว่าจิตวิญญาณของเพื่อนร่วมทางส่วนใหญ่นั้นต่างก็ตกอยู่ในสภาพไร้สติ วิญญาณเหล่านี้ล้วนแล้วแต่รอวันที่จะเข้าสู่วังวนแห่งการชำระล้าง และเข้าสู่วิถีแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

        อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ดวงวิญญาณทุกดวงจะเป็นเช่นนั้น เอกสัมผัสได้ถึงดวงวิญญาณบางดวงที่แผ่ความดำมืดออกมา ดวงวิญญาณนั้นแสดงความบ้าคลั่งเกรี้ยวกราดราวกับสัตว์ป่า พวกมันต่างพยายามตะกุยตะกายฝืนกระแสแห่งวิถี มีบ้างที่ยอมแพ้แล้วไหลเวียนไปตามกระแส แต่ก็มีบ้างน้อยนิดที่มีบ่วงเชือกสีดำผูกติดเอาไว้กับดวงวิญญาณ

        บ่วงเชือกสีดำนั้นยาวยืดหายไปในความเวิ้งว้าง และมันคือสิ่งที่เรียกกันว่าบ่วงกรรม มันคือบ่วงที่ฉุดรั้งไม่ให้ดวงวิญญาณเข้าสู่วิถี มันคือบ่วงที่จะฉุดดึงวิญญาณให้กลับไปสู่ภพภูมิก่อนหน้า หากทว่ากลับไปเฉพาะร่างวิญญาณที่ไร้ซึ่งกายหยาบ

        เอกสัมผัสได้ถึงวิญญาณสีดำบางดวงที่อาศัยบ่วงกรรมให้ดึงออกไปจากวิถี และสิ่งที่ได้เห็นนั้นทำให้เขารู้สึกได้ถึงความเวทนาในใจ กระนั้นถึงจะรู้สึกเวทนา แต่ชายหนุ่มไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด การปล่อยวางเพื่อเข้าสู่วิถีเวียนว่ายตายเกิดคือสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ การไม่ยอมปล่อยบ่วงกรรมคือสิ่งที่ผิดงั้นหรือ

        ชายหนุ่มรู้สึกแปลกประหลาดไม่น้อย เขาพบว่าเมื่อเขาพุ่งจิตสัมผัสเน้นไปยังวิญญาณดวงหนึ่ง เขาจะสามารถรับรู้เรื่องราวส่วนหนึ่งที่เกี่ยวกับบ่วงกรรมของวิญญาณนั้น

        วิญญาณของผู้หญิงดวงหนึ่งไม่ยอมไปเกิดใหม่ เพราะว่าเธอตายด้วยอุบัติเหตุ ห่วงของเธอคือลูกน้อยที่รอคอยอยู่ที่บ้านด้วยความหิวโหย เธอไม่คิดสนใจว่าตนเองจะเป็นอย่างไร เธอไม่คิดยอมรับว่าเธอตายไปแล้ว เธอเพียงยอมกระทำทุกอย่างเพื่อกลับไป ขอแค่กลับไปดูแลลูกน้อยที่หิวโหย

        วิญญาณของชายคนหนึ่งเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดอาฆาตแค้น ภาพที่เอกสัมผัสได้คือชายคนนั้นโดนโจรปล้นฆ่าชิงทรัพย์ จิตของชายคนนี้เต็มไปด้วยความอาฆาตต้องการล้างแค้น เขายอมทำเสียสละทุกอย่างเพียงเพื่อกลับไปล้างแค้น และนี่คือสิ่งที่เรียกว่าหนี้กรรม

        วิญญาณของชายอีกคนหนึ่งดำมืดน่าสะอิดสะเอียนกว่าใคร ชายคนนี้คือฆาตกรโรคจิตฆ่าข่มขืน จิตของมันโดนย้อมดำด้วยกรรมชั่วจากเหยื่อจำนวนมากกว่าสิบศพ มันตายโดยไม่ยินยอม เพราะมันยังต้องการทำชั่วให้สาแก่ใจต่อไปอีก มันไม่เคยคิดจะหยุด

        สิ่งที่สัมผัสได้เหล่านี้ทำให้เอกสะท้อนใจ เวลานี้เขาไม่สามารถหลั่งน้ำตาร่ำไห้ แต่เขารู้สึกเหมือนน้ำตากำลังไหลริน ความสงสารเวทนาขุ่นข้องโกรธเคืองประดังเข้ามาจนยากจะรับได้ไหว เขาสงสารหญิงสาวที่ต้องการกลับไปเพื่อดูแลลูก เขาโกรธแค้นแทนชายที่โดนฆ่าชิงทรัพย์ เขาสะอิดสะเอียนในความชั่วช้าสามานย์ของโจรปล้นฆ่าข่มขืน หากทว่าเขาไม่สามารถกระทำสิ่งใดได้ นอกจากเฝ้ามองดู

        ความรู้สึกหดหู่จากนับร้อยนับพันแหล่ง แปรสภาพเป็นความเย็นเยียบที่เสียดแทงเข้าไปในจิตวิญญาณ เขานึกภาพว่าหากน้องหญิงของเขาต้องประสบกับชะตากรรมโหดร้ายโดยที่เขาไม่อาจช่วยเหลือ เขาจะรู้สึกปวดร้าวเช่นไร หรือหากเป็นผู้หญิงคนอื่นได้รับอันตราย เขาจะสามารถทำใจยอมรับมันได้หรือ

        ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่าหากลืมเลือนทุกสิ่งได้ก็คงดี อย่างน้อยหากไม่ต้องรับรู้สิ่งเหล่านี้ก็คงไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน และเวลานี้เขาบังเกิดความคิดวูบหนึ่งขึ้นมาว่า หากเขายอมเข้าสู่วิถีเพื่อลืมเลือนทุกสิ่งอย่างแล้วไปเกิดใหม่เสียความทุกข์ในใจเหล่านี้จะหายไปหรือไม่

        ความคิดเช่นนั้นทำให้สัมผัสที่แผ่ขยายหดแคบลงมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้สึกถึงสิ่งใดที่อยู่รอบตัวอีก แม้แต่ดวงจิตของตนเองก็เริ่มที่จะกลืนหายไปกับวิถี เวลานี้เขาทราบแล้วว่าเหตุใดจึงต้องลืมเลือนก่อนไปเกิดใหม่ นั่นเพราะว่าการลืมเลือนเป็นหนึ่งในวิธีแห่งการปลดทุกข์ ด้วยเหตุนี้วิถีเวียนว่ายตายเกิดจึงต้องมีการลืมเลือนเรื่องราวแต่หนหลัง มันคือการลืมเลือนเพื่อเริ่มต้นใหม่

        ดวงจิตของชายหนุ่มคล้ายดวงไฟที่เริ่มหรี่แสงลงทีละน้อย สภาพนี้คล้ายคลึงกับสภาพก่อนหน้า มันคือสภาพเดียวกันกับเหล่าดวงวิญญาณที่รอคอยอย่างสงบอยู่ในวิถี รอคอยที่จะลืมเลือนเรื่องราวให้หมดสิ้น รอคอยที่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในภพภูมิใดภพภูมิหนึ่งตามแต่จะลิขิต

        "ชายคนหนึ่งเห็นภรรยาโดนข่มขืนแต่ไม่กล้าช่วยเหลือ เขาจึงดื่มสุราจนเมามายเพื่อลืมเลือน เขาลืมความจริงนั้นและหลับไปอย่างสงบ หากทว่าเมื่อตื่นขึ้นมา ความจริงที่ว่าภรรยาโดนข่มขืนนั้นไม่ได้เลือนหายไปด้วย ความจริงที่ว่าเขาไม่กล้าช่วยเหลือก็ไม่ได้เลือนหายไปไหน การลืมเลือนคือหนทางแห่งการดับทุกข์จริงหรือ"

        ขณะที่ดวงจิตของเอกเข้าสู่สภาวะใกล้หลับใหลอีกรอบหนึ่ง เสียงที่ไพเราะดุจระฆังแก้วก็แว่วดังขึ้นมาในความคิด เสียงนั้นคล้ายแผ่วเบาหากแต่ชัดเจนในทุกถ้อยคำ เพราะมันไม่ใช่เสียงพูดคุยปกติ หากแต่เป็นการสื่อสารกันทางจิตวิญญาณ ถึงแม้สติจะใกล้ดับวูบ หากแต่ทุกถ้อยคำนั้นล้วนแล้วแต่ส่งถึงได้อย่างชัดเจนยิ่ง

        ดวงจิตของเอกที่ใกล้หลับใหลสะท้านตื่นขึ้นมาอีกครั้ง สติของเขาครุ่นคิดไตร่ตรองก่อนจะพบว่าการลืมเลือนมิใช่การแก้ปัญหา หากแต่เป็นแค่การหลีกหนีปัญหา การลืมเลือนเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ก็มิใช่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน เพราะใครจะทราบว่าชีวิตใหม่จะมีความทุกข์อีกหรือไม่ หากเจอความทุกข์แล้วลืมเลือนเพื่อหลีกหนี เราจะต้องหนีไปถึงเมื่อไหร่ สถานที่ใดกันจึงจะไม่มีความทุกข์

        คำถามเหล่านี้คล้ายเชื้อเพลิงทำให้ดวงจิตที่ใกล้หลับใหลลุกโชนเจิดจ้าขึ้นมาอีกครั้ง เอกพยายามครุ่นคิดหากทว่าไม่สามารถหาคำตอบได้ เขาจึงเปลี่ยนไปเพ่งสมาธิสำรวจมองหาเจ้าของเสียงนั้น

        ชายหนุ่มไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักในการค้นหา เพราะว่าดวงจิตสีขาวสว่างเจิดจ้าดวงหนึ่งกำลังลอยอยู่เบื้องหน้า และเขารู้สึกได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือดวงวิญญาณสีขาวที่สว่างเจิดจ้าดวงนี้

        จิตสัมผัสของเอกแผ่ขยายเข้าไปหาดวงจิตสีขาวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เขาสัมผัสได้ถึงกระแสความอบอุ่นสบายอันแปลกประหลาด สิ่งนี้ต่างจากความรู้สึกทุกข์ระทมอันเย็นเยียบราวกับสิ่งตรงข้ามกัน หากดวงวิญญาณสีดำเหล่านั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ดวงวิญญาณสีขาวนี้ก็คงจะเปี่ยมไปด้วยความสุขเบิกบานอันอบอุ่น

        "... คุณยาย ... คุณยายที่ให้รักยมผมใช่หรือเปล่า"

        เอกส่งเสียงทางจิตโพล่งออกมาด้วยความตื่นตกใจ เพราะเขาสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยจากดวงจิตอีกฝ่าย ถึงแม้ในสถานที่แห่งนี้จะไม่มีรูปร่างหน้าตาให้มองเห็น หากแต่ความรู้สึกของเขาบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ดวงวิญญาณสีขาวสว่างจ้าที่อยู่เบื้องหน้านี้คือคุณยาย คุณยายผู้เป็นคนมอบตุ๊กตารักยมให้แก่เขา

        "ใช่แล้วจ้ะ หลานชายเก่งมากทีเดียว นอกจากจะสามารถสัมผัสคลื่นจากบ่วงกรรมของคนอื่นได้แล้ว ยังสามารถจำแนกจดจำคลื่นวิญญาณได้อีก สมแล้วที่เป็นดวงดาวแห่งความหวังของพวกเรา"

        "... คุณยายพูดเรื่องอะไร แล้วคุณยายเข้ามาในนี้ได้ยังไง"

        ชายหนุ่มรับฟังด้วยความงุนงง ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นจิตวิญญาณของคุณยายที่มอบรักยมให้เขา หากทว่าคำพูดที่คุณยายพูดออกมานั้นช่างชวนสับสนยากจะเข้าใจ อะไรคือคลื่นจากบ่วงกรรม อะไรคือการจำแนกคลื่นวิญญาณ และอะไรคือดวงดาวแห่งความหวัง

        "คลื่นจากบ่วงกรรม คือการสัมผัสว่าบ่วงกรรมของวิญญาณดวงนั้นคืออะไร โดยปกติแล้วผู้ที่จะสามารถอ่านคลื่นจากบ่วงกรรมได้นั้นต้องมีพลังสมาธิระดับสูงมาก แต่หลานกลับสามารถอ่านได้มากมาย จนกระทั่งเผลอซึมซับความทุกข์มากมายมหาศาลจากวิญญาณนับร้อยนับพันดวงเข้าไปในใจ ไม่น่าแปลกเลยที่หลานจะเผลอเลือกหนทางของการลืมเลือน"

        "คลื่นวิญญาณ คือลักษณะคลื่นเฉพาะของดวงวิญญาณ กายหยาบสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่เอกลักษณ์ของวิญญาณไม่สามารถเปลี่ยนได้ แต่คลื่นวิญญาณใช่ว่าจะสัมผัสกันได้โดยง่าย หลานสามารถจดจำคลื่นวิญญาณของยายได้โดยไม่รู้ตัว จึงนับเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ ... ส่วนเรื่องดาวแห่งความหวัง ตอนนี้ยายยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้"

        คุณยายร่ายคำตอบเพื่อไขข้อข้องใจออกมา หากทว่าเลือกตอบแค่บางส่วน ยายไม่ยอมตอบว่าเข้ามาในนี้ได้อย่างไร และดวงดาวแห่งความหวังที่พูดถึงนั้นคืออะไร

        "... คุณยายตายแล้วหรือเปล่า"

        "ไม่หรอกจ้ะหลาน ยายยังมีชีวิตอยู่ ยายก็แค่เข้ามารอคอยชี้นำให้หลานไปยังหนทางที่สมควรไป"

        "แล้ว ... ทางไหนที่ผมสมควรไป"

        "ถ้าจิตของหลานไม่ยอมตื่น และเลือกที่จะลืมเลือน หลานก็ควรจะลืมเลือน เราสองคนจะไม่ได้พบเจอกันอีก แต่เมื่อหลานเลือกที่จะตื่น เราสองคนจึงได้พบเจอกันอีก ดังนั้นหนทางของหลานย่อมไม่ใช่การลืมเลือน"

        "เอ่อ ขอบอกตรง ๆ ว่าผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ครับคุณยาย"

        "สักวันหนึ่งหลานจะเข้าใจด้วยตนเอง แต่จงจดจำไว้ว่าการดับทุกข์มิใช่การลืมเลือน หากแต่เป็นการยอมรับมัน สิ่งที่หลานควรทำในเวลานี้คือการเข้าไปฟื้นความทรงจำที่ถูกลืมเลือนหายไป ... รีบไปเถอะ เวลาของพวกเรากระชั้นเข้าไปทุกทีแล้ว"

        คุณยายกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนออกมา หากทว่านั่นก็ไม่เชิงว่าจะเป็นคำตอบที่เอกต้องการ แต่ว่าเขายังไม่ทันจะได้ส่งเสียงทักท้วงอันใด เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงดึง แรงดึงนั้นเกิดจากเส้นสายสีเงินสว่างไสวที่ทอดยาวหายไปในความเวิ้งว้าง ชายหนุ่มสัมผัสได้ในทันทีว่าสิ่งนี้คือจี้ห้อยคอสีเงินที่เขาสวมใส่บนกายหยาบ กระนั้นเมื่อเขาแผ่สัมผัสกลับมายังสถานที่ซึ่งดวงจิตของคุณยายเคยอยู่ เขาก็พบว่าดวงจิตสีขาวสว่างนั้นได้หายสาบสูญไปจากบริเวณเสียแล้ว

        เอกพยายามครุ่นคิดด้วยความงุนงง ยิ่งมาเขาก็ยิ่งสับสนไม่เข้าใจ เขายังไม่เข้าใจว่าคุณยายคนนี้คือใคร เหตุใดจึงมารอคอยเขาในสถานที่แห่งนี้ได้ ดวงดาวแห่งความหวังที่คุณยายพูดถึงนั้นคืออะไร และทำไมคุณยายถึงใช้คำว่าฟื้นฟูความทรงจำที่ลืมเลือนหายไป แทนที่จะใช้คำว่าฝึกฝนอย่างที่รักยมบอกก่อนหน้านี้

        ความคิดของเขายังไม่หายสับสน หากทว่าบ่วงสีเงินได้เริ่มลากดึงดวงจิตของเขาออกจากวิถีแล้ว เขาพบว่าความเร็วในการดึงนี้สูงยิ่ง เพียงแค่พริบตาเดียวดวงจิตของเขาก็โดนกระชากออกมาจากความมืดมิดเวิ้งว้าง และเขากำลังร่วงหล่นลงไปในแดนดินที่เต็มไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้า

       

เวปส่วนตัว - http://www.novel008.com
Discord - https://discord.gg/DkT2Mf8q

พัดลม

#1
แหม มาปล่อนของตอยดึกเชียวนะครับ

ปกติ ชอบปล่อยของตอน 4 โมงเย็น ไม่ใช่รึครับ

::WooWoo::



            ขอฝากกฏหน่อย ยังมีพวกไม่อ่าน กฏ ก่อนรีพลาย

การตอบ รีพลายอย่าง พอเหมาะพอควรถ้าเจ้าของกระทู้แจ้งมา จะพิจารณา เป็นรายกรณี

ถ้าตอบ เช่น zzzzddd xxxx2222 อิอิ,ลุ้นๆ,555, ดีดี,ดี, ต่อ,ติดตาม,ty,thx,thx kub(Thx ขี้หมาThanx พิมพ์ไม่ถูก
ห้ามใช้ทุกกระดานที่ฉันดูแล
),ใจจร้า,ใจครับ,แจ่ม,เยี่ยม,สนุกดี,สุดยอด,อ่านต่อ,Good (เฉยๆ)
emo  ::Crying:: เปล่าๆ
อาจเตือนเห็นอีก ถ้าเตือนไปแล้ว ผิดซ้ำซากก็จะแบนเหมือนกัน รีพลายตอบซั่วๆ ตอบแล้ว mod ไม่เข้าใจ จะโดนแบนทันที
มักง่ายต่างๆ จะแบนครั้งแรก 3 เดือน คราต่อไปแบนยาวขึ้น แล้วจะหายเมื่อไม่ปรับปรุง

พวก ก๊อปตอบ รัวๆรวดเดียวเป็น 10 กระทู้ โพสต์ละ 1 นาทีนะเจอจะ แบน ถ้ามักง่ายเช่นนี้  ถือว่าไม่ให้เกียรติ
คนแบ่งปัน/คนลงงาน..ยังไม่อ่านมักง่าย ก๊อปตอบ เปิดรัวๆ ประโยคเดียวเป็น 10 มันควรหรือ?และห้ามใช้
ข้อความจากระบบตอบรีพลายเด็ดขาด มักง่ายประเภทเดียวกับก๊อปตอบ (อนุโลมใช้ได้ เฉพาะตอนให้คะแนนเท่านั้น)

แบน 90 วัน ครั้งต่อแบนเพิ่มขึ้นอีก และ หายจากบอร์ด


          และ ตอบซ้ำมาหลาย ดอกใน กระทู้เดียวกัน นะอาจโดนพักใช้ได้เหมือนกัน เมื่อ คุณได้โพสต์แล้ว
มันคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากปั้มกระทู้ ระวังหน่อย โดนลบบ่อยๆ จะแบนนะรู้ไหม?
,


            ผลงานที่ สมาชิก อุตสาห์ นำมาลง ไม่ว่าจะเขียนเอง หรือขอมาลงล้วนได้มาด้วยการสละเวลา
            ถ้าจะตอบมามักง่ายอย่างนั้น..ก็ อย่าใช้ห้องนี้ เสพผลงานเลยไปหาเสพที่ใดแล้ว รีพลายตอบ
            อย่างนั้นได้ ก็ไป..มา เปรี้ยว มา เกรียน ลอง  สด ,เก๋า อย่าเลย จะเสียน้ำใจเสียความรู้สึกเปล่าๆ
            เพราะถึงคุณมี 100 ยูส 1000 ชื่อ ถ้ารีพลายผิดกฏ-กติกากระดานนี้ ฉัน ก็จะแบนหมด

...................................................................

ถ้าถูกแปะเตือนที่ กระทู้คุณและส่งไปที่ pm คุณ จงรีบปรับปรุงรีพลายซะ ขอบคุง ขอบหี ขอบควย ขอบหมา ขอบแมว
ขอบคุน
เตือนนะอย่าลองของ ใครโดนเตือนไปให้ปรับปรุงการรีพลายเจอ ครั้ง 2 จะลบทุกกระทู้ที่ตอบ และพบอีกรอบ
แบน 3 เดือนเหมือนโทษ ป้วนเกรียนอื่นๆ....

คำขอบคุณยังเขียนไม่ถูกความหมายจะถูกไหม? ที่ต้องมาเข้มงวดเรื่องนี้ เพราะชักเยอะพวกมักง่าย เยอะ
ไรต์ คนลงงาน ก็ติมาด้วย..เครนะ ขอกันดีๆ จะไม่โดนลบของเก่าทิ้ง แต่ยังรีพลายอีก ถ้าเตือน เตรียมหาที่อ่านใหม่เลย..
แว่น ยกตัวอย่างคำ ขอบคุณเขียนไม่ถูกชัดไหม?

ใคร ขอบคุณ รีพลาย เขียนไม่ถูกต้องแบนแล้วนะ ให้โอกาสเตือน 1 ครั้ง ..เดือนที่ผ่านมาแปะบอกล่วงหน้าเพื่อปรับตัวกันมาพอล่ะ..
มันเป็นคำขอของ ไรต์ และ คนลงงาน เรื่องความมักง่าย เพราะ ขอบคุณ เฉยๆก็ดูเอียนจริงๆ แต่ก็เป็นคำสากลในการตอบแทนน้ำใจ
ฉะนั้น ขอเถอะเขียนให้ถูก เมื่อต้องปรับเปลี่ยนก็ต้องคล้อยตามกัน กฏไม่ได้ใช้กับใคร? เพียงคนเดียว และไม่ยากเกินไปเนอะ
คิดว่าสร้างมาตรฐาน กันใหม่อีกสิ่ง ถ้ายากก็ไม่ต้องเข้ามาใช้ กระดานนี้ เพราะ ฉัน แบนแน่.. 

อ๋อ thx ขี้หมานี้หรือ เขียนไม่ครบ thank กระดาน แว่น ดูแลอย่าให้เห็นนะ แบน ย้ำซะขนาดนี้พิมพ์มาอีกถือว่าลอง

กฏที่ว่างนี่ไม่ได้เขียนเอาฮา เนอะ แบนจริงใครอยู่นานแล้วคงรู้จัก แว่น ดี..คิดว่า ฉัน แบนจริง
หรือเตือนเอาสนุกเล่นๆ..อย่าๆ จะเสียความรู้สึก ด้วย รีพลาย คุณเองเลย เขียน ขอบคุณ ให้ถูก
ทำตามเงื่อนไข ยากอะไร หรือ จะโชว์เกรียน..เตือน,ขอร้อง,ขอความร่วมมือแล้ว
ไม่รักษาสิทธิ์-ประโยชน์คุณเอง ก็แบนไป..

กฏ-กติกา เงื่อนไขข้อปฏิบัติหลักๆเวป xonly
1.ห้าม emo เปล่า, ไม่เป็นคำ   do not use emoji only - Banned
2.ห้ามตอบเฉพาะคำย่อในเวปนี้ disallow short massage like lol thx ty omb omg etc. - Banned
3.ตอบ 3 คำไม่ใช่ 3 พยางค์ ๆๆๆๆๆ ไม่นับเป็นคำ if you comment less then 3 words as 'thank,wow,good,like,love' - Banned

4.ตอบมักง่าย ไม่ว่าจะยาวแค่ไหนก็โดนแบน

nongoo144

อ่านตอนนี้ได้สองบรรทัดแล้วนึกถึงตอนที่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นไม่ได้ต้องกลับไปอ่านไหม่
ปล. น๊านนานกว่าจะได้อ่านอนไหม่ ::HeyHey::

xonly-1786

ขอบคุณมากๆครับ ได้อ่านแล้วครับรอและติดตามมานายังเหมือนเดิมครับท่าน

TheWut

รอมานาน..ในที่สุด... ::Crying:: น้ำตาจิไหล

tomatwo

 ::Dozy:: ตื่นมากลางดึก มีดีแบบนี้เอง ขอบคณครับ

ponggunyuki2527

สนุกลุ้น สมกับเป็นเรื่องในตำนานจริงๆ

crazylex

แหม ๆ นึกว่าจะฝากรักหมวยฟ้าอีกสักคน ดีนะที่ไม่ทำ ไม่งั้นจะเกิดอะไรขึ้นอีกก็ไม่รู้ ว่าแต่สาวธาตุดินที่มีพลังราคะอยู่ก็สาวของหมอผีสีเหียบไม่ใช่เหรอ งานนี้มีดราม่าของพระเอกทั้งสองเรื่องแน่นอน

avena

ขอบคุณมากๆๆๆๆครับ รอคอยมาอย่างแสนนานเลยทีเดียว

tokkatoramma

ขอบคุณครับ รอคอยเรื่องนี้มาแสนนานมาก และแล้วก็จุติมาลงอีกครั้ง เยี่ยมไปเลยครับ ::JubuJubu::

Pongsathorn Weerahong

หายไปนาน มาต่อหลายๆตอนนะครับ
รอ น้องผิงอยู่นะ

maomy555

เรื่องนี้รอมานานมากเลย อย่าหายไปนานอีกนะครับ ขอบคุณมากครับ

Matsudaira777

คิดถึงรักยมมากมาย
คุ้มค่าการรอคอยครับ

kaithai

วิถี ของอะไร
เส้นทางในความมืด
เส้นทางในความสว่าง
วิถีใครวิถีมัน
แล้วก็ต้องรอตอนหน้า
ในวิถีของความสว่างจะเป็นเช่นไร

zannaty

สนุกครับ แม้จะไม่มีฉากฆ่าฟันกัน แหะๆ