ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 20 พบคัมภีร์กระบี่อัสนีบาต

เริ่มโดย zeech, ตุลาคม 09, 2016, 05:49:08 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

zeech

ในยามค่ำคืนอันมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์ในยามแรม ทอประกายกลางฟากฟ้า ลมอันเย็นเยือกพัดโชยมาเป็นระลอก
บุรุษหนึ่งคืบคลานออกมาจากพงไม้ข้างทาง มันพยายามยันกายลุกขึ้น แล้วเดินโซเซอยู่ไปมากลางทางอันเปล่าเปลี่ยวนั้น

หลงจินหู่ ดิ้นรนเอาชีวิตรอด ด้วยการฟาดฟันท่าไม้ตายของมัน ใส่เว่ยฉิงคัง แล้วโผทะยานหลบหนีจากการต่อสู้
มาหลบซุ่มซ่อนตัวคล้ายดังสัตว์หลบหนีจากการถูกล่า ร่างกายของมันบาดเจ็บมีอาการบอบช้ำภายในอย่างสาหัส
ในชั่วชีวิตมัน ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะต้องหลบหนีศัตรูอย่างไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ 

มันรู้สึกอับจนหนทางไม่มีที่ใดเป็นจุดหมาย  ความลับของมันถูกเปิดเผย มันไม่สามารถกลับไปยังลัทธิเบญจธาตุ
ได้อีกต่อไป เป็นเวลาอันเนิ่นนานที่มันแฝงกายอยู่ในลัทธิเบญจธาตุในคราบของ เทวทูตหน้าทอง จนบังเกิดความคุ้นชิน
คล้ายดังเป็นบ้านของมัน แต่ในยามนี้มันกลับไม่มีบ้านให้กลับอีกแล้ว แม้แต่จะหาที่ซุกหัวนอนเพื่อรักษาอาการบอบช้ำ
มันก็ยังไร้ซึ่งหนทาง

ยิ่งครุ่นคิด มันก็ยิ่งคับแค้นใจว่าคนเช่นมัน ไฉนจึงมีวันเช่นนี้เกิดขึ้นได้  และแล้วร่างของมันก็ล้มลง
กระอักโลหิตออกมาอีกคำใหญ่ แล้วสิ้นสติลงโดยมันเองก็หาได้รู้ว่าอยู่ ณ ที่แห่งใด


ขณะที่ หลงจินหู่ สิ้นสติลงไปแล้ว  พลันก็ปรากฏร่างของบุรุษสี่คนค่อยๆสืบเท้าเข้ามายังร่างของมันอย่างแผ่วเบา
คนทั้งสี่เดินเข้ามาจนประชิดร่างของมัน แต่กลับไม่เห็นปฏิกริยาตอบโต้จากร่างที่สิ้นสติอยู่

คนทั้งสี่นั้นก็คือ  ทูตดิน  ทูตน้ำ  ทูตลม และ ทูตไฟ  ซึ่งลอบติดตามมา จนเห็นการต่อระหว่าง เทวทูตหน้าทอง
กับ เว่ยฉิงคัง พวกมันทั้งสี่จึงลอบเฝ้ารอดู  หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำ ก็จะโจู่โจมซ้ำเติมทันที 
ครั้นเห็นเป็น หลงจินหู่ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้และหลบหนี  ก็เร่งติดตามมาจนในที่สุดก็พบตัวของ หลงจินหู่ นอนสิ้นสติอยู่

มันทั้งสี่ต่างยืนรายล้อมร่างของ หลงจินหู่ไว้ แล้วทูตไฟก็กล่าวกับทูตดินขึ้นว่า

"น้องสี่   เจ้าทดลองตรวจชีพจรมันดู ว่าตายแล้วหรือไม่"


ทูตดิน ก้มลงไปที่ร่างของหลงจินหู่ จับข้อมือของมันอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้นว่า

"มันยังไม่ตาย  พี่ใหญ่  ให้ข้าฆ่ามันเลยดีหรือไม่"


ทูตไฟยกมือขึ้นห้าม

"ยังก่อน  ท่านเจ้าลัทธิสั่งไว้ว่า รอให้ได้เบาะแสของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน จึงค่อยเข่นข้ามัน"


ทูตลม จึงพูดขึ้นมาว่า

"พี่ใหญ่  นี่เป็นโอกาสทองที่จะฆ่ามัน หากปล่อยไว้จนมันกลับมามีกำลังเช่นเดิม เราอาจกระทำไม่สำเร็จ"


ทูตไฟหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง  ก็พูดขึ้นว่า

"เช่นนั้น รออีกหนึ่งวัน  หากไม่มีเบาะแสของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์  พวกเราก็กำจัดมันทิ้งไปซะ"


ทูตน้ำ มองไปโดยรอบ แล้วพูดขึ้นว่า

"ข้าว่า หากเราต้องการเบาะแสจากมัน คงต้องนำร่างมันออกจากป่านี้  มิเช่นนั้นแม้เราไม่ฆ่ามัน สัตว์ร้ายในป่า
คงต้องกินมันเป็นอาหารเป็นแน่"


ทั้งหมดเห็นด้วยกับถ้อยคำของทูตน้ำ  จึงพากันนำร่างของมันออกจากป่าแห่งนั้น แล้วทิ้งมันไว้ที่ห้องเก็บฟืน
ข้างกระท่อมน้อยหลังหนึ่ง แล้วหลบออกไป





รุ่งเช้าของวันนั้น  หลงจินหู่  ฟื้นตื่นขึ้นจากการสิ้นสติ มันยันกายลุกขึ้นนั่ง แล้วโคจรลมปราณเพื่อรักษาอาการตนเอง
ร่างของมันแน่นิ่งคล้ายดั่งหุ่น แล้วโคจรลมปราณไปตามจุดต่างได้ในร่างก็พบว่า ลมปราณโคจรได้สะดวกเป็นปกติดี 
แต่ครั้นทดลองเร่งเร้าลมปราณให้เคลื่อนสู่ทรวงอก  มันก็ถึงกับกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง  อาการของมันในตอนนี้
แม้จะทุเลาลงบ้าง แต่ก็ไม่อาจเร่งเร้าพลังยุทธในการต่อสู้ได้

ยามอับจนหนทางไร้ซึ่งจุดหมายที่จะไป หลงจินหู่กลับนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้  กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ หรือ กระบี่เก้าศัสตรา
ที่มันลักลอบนำออกมาจากลัทธิเบญจธาตุ แล้วซุ่มซ่อนไว้ในที่แห่งหนึ่ง  เพื่อรอจนถึงวันที่มันได้คัมภีร์ กระบี่อัสนีบาต
ซึ่งเป็นของคู่กัน มันก็จะได้ครอบครองความเป็นใหญ่แห่งบู๊ลิ้มนี้แล้ว  แม้ในวันนี้ยังไม่มีคัมภีร์กระบี่อัสนีบาต  แต่หาก
มีกระบี่เก้าศัสตราอยู่ในมือ   ก็นับว่าเป็นประโยชน์ต่อมันมากขึ้นแล้ว

คิดได้เช่นนั้น หลงจินหู่ ก็มีประกายตาอันเจิดจ้า ยันกายลุกขึ้น เดินออกจากห้องเก็บฟืน
ตรงไปยังกระท่อมน้อยของชาวนา  เห็นชาวนาชราและภรรยากำลังกินอาหารอยู่ก็ตรงเข้าไปยื้อแย่งอาหารนั้นมา
แล้วกินอย่างหิวโหยจนมีกำลังเพิ่มขึ้นแล้วก็ออกเดินทางต่อไปทันที




ดวงตะวันคล้อยลงมายังทิศตะวันตกในยามบ่าย  หลงจินหู่เดินทางมาจนถึง พื้นที่ชายเขาแห่งหนึ่ง
มันหยุดยืนมองดูโดยรอบไปทั่วบริเวณ แล้วเดินมาหยุดอยูที่หน้าหินใหญ่ก้อนหนึ่ง พื้นดินหน้าหินใหญ่นั้น
เป็นเนินดินพอกพูนขึ้นคล้ายดั่งหลุมฝังศพ หลงจินหู่ ก้มลงใช้มือพุ้ยดินใต้หินใหญ่นั้นจนเกิดเป็นหลุมลึก
ราวหนึ่งเชี๊ยะ ก็พบห่อผ้าสีดำพันไว้ด้วยเชือกอย่างแน่นหนา มันประคองห่อผ้านั้นขึ้นมาแล้วคลายเชือกที่มัดออก

เมื่อห่อผ้านั้นถูกคลี่ออก ก็ปรากฏเป็นกระบี่พร้อมฝักเก่าคร่ำคร่าเล่มหนึ่ง รอบฝักกระบี่สลักเป็นรูปมังกรสามตัว
พันกายอยู่โดยรอบ บริเวณด้ามของกระบี่ประดับด้วยอัญมณีเม็ดใหญ่สีดำฝังอยู่รอบด้ามนั้น  หลงจินคิดจะหยิบกระบี่ขึ้นมา
หมายว่าจะนำมันติดตัวไป แต่ยังมิทันที่มันจะได้จับกระบี่ก็ปรากฏเสียงคนผู้หนึ่งดังขึ้น



"ที่แท้ ก็เป็นเจ้านี่เองที่ลักลอบเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิเราไป"



หลงจินหู่ ตื่นตกใจเงยหน้าขึ้นไปมองหาต้นเสียง ก็พบร่างของ เทวทูตทั้งสี่ ปรากฏขึ้นรายล้อมร่างของมันไว้ 


มันได้แต่รำพึงอยู่ภายในใจว่า มันได้พลาดไปแล้ว อาการบาดเจ็บ และความเร่งร้อนของมัน ทำให้มัน
ไม่ได้เฝ้าระวังตนอย่างเช่นปกติ  ปล่อยให้ทูตทั้งสี่ติดตามมันมาโดยมิได้รู้ตัว

หลงจินหู่ใช้มือข้างหนึ่งกำกระบี่ขึ้นมา แล้วยืนขึ้นอย่างนิ่งสงบ แสร้งทำเป็นว่ามันเป็นปกติดี 

ทูตลมที่ยืนอยู่เบื้องหลังของมันก็พูดขึ้นว่า

"เจ้าบังอาจสวมรอยเป็น เทวทูตหน้าทอง หลอกลวงลัทธิเรา  โทษของเจ้าคือความตาย"


หลงจินหู่พูดโดยมิหันไปมองทางเบื้องหลัง

"พวกเจ้าคิดใช้พวกมาก ไม่แน่ว่าจะมีชัยต่อข้า"



ทูตไฟได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะขึ้น  แล้วกล่าวออกมาว่า

"ฮ่าๆๆๆ   เจ้าบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้  เพียงน้องสี่ของเราก็สามารถฆ่าเจ้าได้แล้ว
จงคืนกระบี่ศักดิ์สิทธิ์มาให้ข้า  แล้วจะละเว้นชีวิตให้เจ้าสักครั้ง"


หลงจินหู่ได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดมานะขึ้นภายในใจ ส่งเสียงขู่ขวัญออกมาว่า

"คิดยื้อแย่งกระบี่จากมือของ หลงจินหู่ คงไม่ง่ายนัก หากเจ้าคิดว่าสามารถ ก็จงทดลองดู"


ทูตไฟได้ยินเช่นนั้น ก็เพ่งมอง ใบหน้าหลงจินหู่ด้วยแววตาอำมหิต

"รับมือ"


สิ้นคำ โซ่อัคคีในมือของทูตไฟ ก็พุ่งออกมาประดุจมีชีวิต ตรงเข้าจู่โจมใส่กลางอกของหลงจินหู่
หลงจินหู่ มิทันชักกระบี่ ได้แต่ยกกระบี่ทั้งฝักขึ้นต้านรับ พลันปลายโซ่อัคคีนั้นก็พันเข้ากับปลอกกระบี่
อย่างแน่นหนา  ทูตไฟเดินพลังลมปราณผ่านทางโซ่อัคคี หมายจะดึงกระบี่กลับมาเป็นของตน

หลงจินหู่ ฝืนความเจ็บปวดเร่งเร้าลมปราณขึ้นต้านรับ ยื้อยุดกระบี่ในมือมิให้หลุดไป
แต่ ณ เบื้องหลังของมันกลับมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น

ทูตลมกวัดแกว่ง ธงวายุอสูรของมันจู่โจมมาทางเบื้องหลังของ หลงจินหู่
หลงจินหู่ แก้ไขสถานะการณ์คับขัน เอียงปลายกระบี่กดลงแล้วชักกระบี่ออกจากฝักที่ถูกโซ่อัคคีรัดอยู่
ปรากฏรังสีกระบี่ดำทะมึน กระจายออกไปทั่วบริเวณ หลงจินหู่ วาดกระบี่กลับมาเบื้องหลังฟาดฟันไปยังทูตลม

ทูตลม ถูกรังสีกระบี่ประหลาดคุกคามเช่นนั้นก็ตื่นตกใจ  ชักเท้ากลับโดยพลัน   แต่รังสีกระบี่นั้นก็ปรากฏ
ตามติดขึ้นมาอีก  สถานะการณ์เช่นนี้มันทำได้เพียง ดีดเท้าพุ่งร่างออกจากที่นั้น

ทูตน้ำ และทูตดิน เห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น ก็ตรงเข้าจู่โจมมาที่ร่างของ หลงจินหู่โดยพร้อมกัน
ทูตดินกวัดแกว่งค้อนของมันอย่างหนักหน่วง จนหลงจินหู่ต้องถอนร่นไม่กล้าใช้กระบี่ออกต้านรับ
ด้วยเกรงว่าจะกระทบอาการบาดเจ็บภายในของตน  แต่กลับเป็นการเปิดช่องว่างทางเบื้องหลังของมัน
ทูตน้ำฟาดฝ่ามือมาที่เบื้องหลังอย่างเต็มกำลัง หนึ่งฝ่ามือ

ร่างของหลงจินหู่ ถลากระเด็นไปเบื้องหน้า แล้วอาการบาดเจ็บก็กำเริบขึ้น โลหิตสดๆ พุ่งกระจายออกมาจากปากของมัน
ร่างของมันทรุดลง ณ ที่นั้น ไร้เรี่ยวแรงหยัดยืนอีก เป็นเวลาเดียวกันกับทูตดินเงื้อกระบองฟาดลงมายังศรีษะของมัน

หลงจินหู่เห็นดังนั้นก็รวบรวมกำลังอันน้อยนิดยกกระบี่ขึ้นตั้งรับ เมื่อค้อนสยบปัฐพีของทูตดิน ปะทะกับ กระบี่เก้าศัสตรา
ในมือของหลงจินหู่ก็บังเกิดเสียงประหลาดขึ้น  มันมิใช่เสียงของโลหะกระทบกัน แต่กลับเป็นเสียงของคมอาวุธฟันลงไป
ในสิ่งที่อ่อนนุ่ม

กระบองสยบปัฐพีของทูตลม ขาดออกเป็นสองท่อน ในมือของมันเหลือเพียงส่วนด้ามที่ติดมืออยู่  อีกท่อนหนึ่งขาดออกมา
ตกลงสู่พื้นดิน   

ทูตดินเห็นอาวุธประจำตัวของตนขาดสะบั้นลงเช่นนั้น ก็ตื่นตกใจ  ถอยไปข้างหลังสามสี่ก้าวทำสิ่งใดไม่ถูก
อาวุธนี้อยู่คู่มือมันมาตั้งแต่เยาว์วัย แต่กลับต้องเสียมันไปเช่นนี้ มันจึงเศร้าเสียใจนัก

หลงจินหู่ เห็นอานุภาพของกระบี่เก้าศัสตราชัดเจนต่อสายตาตนเองเช่นนี้ ก็พลันก่อเกิดกำลังใจใช้ปลายกระบี่ยันที่พื้นดิน
ยืนหยัดกายลุกขึ้น แล้วเท้ายันกระบี่ไว้มิร่างของตนล้มลง

พลันทูตไฟ ทูตลม ทูตน้ำ ต่างก็กวัดแกว่งอาวุธของตนเข้าจู่โจมใส่หลงจินหู่พร้อมกัน  ในขณะที่เงาอาวุธของทูตทั้งสาม
พุ่งตรงเข้ามายังร่างของมัน  หลงจินหู่รวบรวมกำลังภายในที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด กวัดแกว่ง กระบวนท่าเจ็ดกระบี่ปลิดชีพ
อันเป็นเพลงยุทธประจำตัวมันออกมา 


กระบี่เก้าศัสตรา สร้างโดยเทพกระบี่ในยุคชุนชิว โอวเย่จื่อ เพื่อนำถวายต่อฮ่องเต้แคว้นฉู่
คราวมีชัยต่อแคว้นฉี  มันถูกหล่อหลอมจากแร่ธาตุพิเศษเก้าชนิดนำมาตีเป็นกระบี่
โดยนำเชลยศึกจากแค้วนฉีมาสังหาร แล้วรองเอาโลหิตไว้ใช้ต่างน้ำในการตีกระบี่
ส่วนซากศพของเชลยแคว้นฉีเหล่านั้นก็นำไปเป็นเป็นเชื้อเพลิงในการหลอม

เช่นนี้ จึงทำให้กระบี่เก้าศัตรามีทั้งความคมกล้ากว่ากระบีใดๆทั้งยังมีรังสีสังหารจากดวงวิญญาณของเชลยศึก
หลายร้อยชีวิตสิงสู่อยู่ ยามใดที่ถูกกวัดแกว่งออกมาพิฆาตศัตรูจึงมีอานุภาพที่รุนแรงนัก

เงากระบี่สีดำทะมึนของกระบี่เก้าศัตรา รวมเข้ากับ กระบวนท่าอันโหดเหี้ยมของ เจ็ดกระบี่ปลิดชีพ
เกิดเป็นพลังอำนาจจู่โจมที่ใหญ่หลวง ประกายกระบี่ประหลาดกระทบกับอาวุธของทูตทั้งสามจนอาวุธเหล่านั้น
ถูกทำลายลงจนหมดสิ้น  แล้วยังแผ่อานุภาพของมันไปยังร่างของทูตทั้งสามที่ยืนรายล้อมอยู่อีกด้วย

แล้วหลงจินหู่ก็ทรุดร่างลง แล้วใช้กระบี่ยันร่างไว้อย่างเหนื่อยอ่อน จ้องมองดูร่างของทูตทั้งสามที่กำลังใช้มือ
กุมบาดแผลที่เกิดขึ้นในทิศทางพาดกลางลำตัว  เกิดกระแสโลหิตหลั่งไหลออกจากบาดแผลนั้นจนแดงฉาน
พวกมันพยายามประคองร่างตนเองแล้วถดถอยออกไป 

ทูตดินซึ่งยังเป็นปกติอยู่เพียงผู้เดียวก็ตรงเข้าประคองร่างพี่น้องของมัน แล้วค่อยๆถอยออกไป

หลงจินหู่ ยืดกายขึ้นอีกครั้ง และยันร่างตนเองไว้กับกระบี่ มันเพ่งมองออกไปยังทูตทั้งสี่ที่กำลังห่างออกไป
จนร่างของมันเหล่านั้นหายลับไปแล้ว ก็ทิ้งตัวลงนอนกับพื้นดินอย่างเหนื่อยอ่อน  ดวงตาของมันเลื่อนลอย
คล้ายจะหลับลง

พลันสายตาอันพร่ามัวของมันก็สะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่ง มันลืมตาจ้องมองอยู่ที่ฝักกระบี่อย่างแน่นิ่ง แล้วก็เบิกตาโพลงขึ้น 
ฝักกระบี่นั้นถูกโซ่อัคคีของทูตไฟรัดดึงจนฉีกออก มองเห็นแผ่นหนังที่พับอยู่โผล่พ้นออกมาจากฝักกระบี่
หลงจินหู่ กระเถิบกายคืบคลานเข้ามาดั่งสัตว์เลื้อยคลาน  จับเอาฝักกระบี่นั้นมาพิจารณาดูโดยใกล้ชิด ก็เห็นเป็นแผ่นหนัง
แผ่นหนึ่งถูกพับไว้รอบฝักกระบี่  มันจึงใช้กระบี่กรีดเปลือกของฝักกระบี่นั้นออก แล้วดึงแผ่นหนังนั้นคลี่ออกดู

ภายในแผ่นหนังนั้น ปรากฎข้อความและภาพวาด กระบวนท่าของกระบี่ที่พลิกแพลงอย่างพิสดาร จารึกอยู่
หลงจินหู่ชมดูกระบวนท่า และข้อความที่จารึกอยู่บนแผ่นหนังอย่างหลงใหลอยู่เนิ่นนาน แล้วจึงพลิกร่างหงายขึ้น
มองดูท้องฟ้า ในมือของมันกำแผ่นหนังนั้นไว้อย่างแนบแน่น แล้วชูขึ้นเปล่งเสียงหัวเราะจนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ 


แผ่นหนังนั้นคือ คัมภีร์กระบี่อัสนีบาต ที่มันเฝ้าตามหาอยู่นั่นเอง

"ฮ่าๆๆๆๆๆ      ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ      ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ"

----------------


เวลาล่วงผ่านถึงยามเย็น หมอวิปลาส และ เฟยอี้ ก็เดินทางมาถึงวังของลัทธิเบญจธาตุ  ศิษย์ อาจารย์ทั้งคู่
ลอบสอดแนมอาณาบริเวณโดยรอบ แล้วออกมาปรึกษากันยังที่หลบเร้น

"อาจารย์  มันวางกำลังไว้เข้มงวดนัก คล้ายกับมันคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่าเราจะมา"


"หึ ..คนเช่นมัน หากไม่มีความคิดเช่นนี้จะเป็นใหญ่ได้รึ  แต่เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล
ข้าเคยลอบเข้าไปภายในมาครั้งหนึ่งแล้ว  พอจะรู้ลู่ทางอยู่บ้าง รอจนสิ้นแสงตะวัน
พวกเราจึงค่อยลอบเข้าไป"

เฟยอี้มองหน้าอาจารย์ของมัน แล้วผงกศรีษะรับคำ




ราตรีอันมืดมิดเข้าปกคลุมอาณาบริเวณวังเบญจธาตุ  ทหารประจำการ บ้างก็เดินตรวจตราตามจุดสำคัญ
บ้างก็ยืนทำหน้าที่เฝ้าประตูเข้าออกอย่างเข้มแข็ง

เบื้องบนหลังคาตึกหนึ่ง ในขอบเขตของวังเบญจธาตุ ปรากฎเงาร่างสองร่างซุ่มซ่อนอยู่ รอคอยโอกาส
อันเหมาะสมที่จะเคลื่อนร่างสืบเสาะเป้าหมายของมัน  หมอวิปลาสให้สัญญาณมือกับศิษย์รัก ให้แยกกัน
ออกค้นหา

เฟยอี้เห็นสัญญาณมือก็เข้าใจ ดีดเท้าทะยานร่างจากไปทางเบื้องขวา  หมอวิปลาสเห็นเช่นนั้นก็ทะยานร่าง
ออกไปในทางตรงกันข้าม

ระหว่างที่หมอวิปลาสสืบเสาะอยู่ตามตึกต่างๆอยู่นั้น  ก็พลันนึกถึง หยางเพ่ยจือ ขึ้นมา มันครุ่นคิดได้ว่า
หากเริ่มสืบเสาะจากนางอาจได้เบาะแสอันใดบ้าง เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็เคลื่อนร่างตรงไปยังตึกยา ของหยางเพ่ยจือ
ในทันที

หมอวิปลาสหยุดลง ณ หลังคาตึกแห่งหนึ่ง กลิ่นตัวยาฟุ้งกระจายออกไปทั่วอาณาบริเวณ มันแย้มยิ้มออกมา
อย่างยินดี ภาพเมื่อครั้งที่มันได้ร่วมรักกับ หยางเพ่ยจือ ปรากฎขึ้นในห้วงความคิดของมัน  ทำให้บังเกิด
ความวาบหวามขึ้น 

มันกระโดดลงจากหลังคาตึกแห่งนั้น แล้วแนบชิดร่างติดกับกำแพงดึงผ้าขึ้นปกปิดใบหน้า แล้วเคลื่อนร่างต่อไป
ยังหน้าต่างห้องในตึกแห่งนั้น

ภายในห้อง หยางเพ่ยจือกำลังเลือกเฟ้นตัวยาต่างๆจัดเรียงอยู่อย่างเป็นระเบียบ ในยามค่ำคืนบริวารของนาง
กลับเข้ายังที่พักของตนหมดแล้ว นางก็ยังคงอยู่ตรวจสอบความเรียบร้อยอย่างนี้เป็นกิจวัตร

หมอวิปลาสลอบมองเรือนร่างของ หยางเพ่ยจือ จากเบื้องหลังด้วยดวงตาฉ่ำเยิ้ม รสสวาทคราวที่มันได้ร่วมรักกับนาง
ยังคงตราตรึงในจิตใจมัน ครั้นกลับมาได้พบเห็นนางอีก จิตใจของมันก็โหยหารัญจวน  มันจึงตัดสินใจตรงเข้า
จู่โจมนางจากเบื้องหลัง

หยางเพ่ยจือ รู้สึกมีกระแสจู่โจมอันรุนแรงแหวกอากาศเข้ามายังเบื้องหลังของนาง ก็หันกลับมา เตะเท้าขึ้นสะกัด
หมอวิปลาสเบี่ยงใบหน้าหลบ ใช้มือข้างหนึ่งปัดป้องเพลงเท้าของนางไว้ แล้วม้วนตัวหันกลับมา ฟาดฝ่ามือออกไปหนึ่งฝ่ามือ

หยางเพ่อจือร่ายรำกระบวนท่าขึ้นตั้งรับ ดวงตาของนางลอบมองใบหน้าผู้ที่เข้าจู่โจมนาง ครั้นเห็นปิดบังใบหน้าอยู่
นางก็หมายจะกระชากผ้าคลุมออกมา  นางสืบเท้าเข้าประชิดร่างของมัน แล้วร่ายรำเพลงฝ่ามือจู่โจมใส่ใบหน้าของมันอย่างรวดเร็ว 

แต่หมอวิปลาสกลับมี ความว่องไวประหนึ่งวานร หลบหลีกใบหน้าจากฝ่ามือของนางได้อย่างฉิวเฉียดทุกครั้ง

การต่อสู้ของคนทั้งสองผ่านไปสิบกระบวนท่า หมอวิปลาสย่างเท้าเข้าประชิด แล้วพลิกร่างหันกลับไปยังด้านหลังของนาง
สองมือของมันโอบกอดร่างของนางไว้อย่างแน่นหนา หยางเพ่ยจือดิ้นรนพยายามให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดของมัน

"เจ้า....เจ้าคือผู้ใด  ไฉนจึงปิดบังใบหน้าลอบจู่โจมข้าด้วยเรื่องอันใด"


หมอวิปลาสไม่ตอบคำ ยื่นใบหน้าของมันมาแนบพวงแก้มของนางแล้วสูดดม  หยางเพ่ยจือตื่นตกใจยิ่งนักเอียงร่างหลบ
พร้อมกับฟาดฝ่ามือออกไปที่ใบหน้าของมัน หมอวิปลาสโยกร่างหลบไปยังเบื้องหลัง นิ้วมือของหยางเพ่ยจือเกี่ยวติดผ้าปิดหน้า
ของหมอวิปลาสหลุดออกมาแล้วม้วนตัวกลับ

หมอวิปลาส จ้องมองดูใบหน้าของ หยางเพ่ยจือ ด้วยดวงตาที่หยาดเยิ้ม แล้วแย้มยิ้มออกมา

"เพ่ยจือ วันเวลาที่ผ่านมาเจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่"


หยางเพ่ยจือ เห็นใบหน้าของผู้ที่ลอบเข้าจู่โจมนางกลับเป็นหมอวิปลาส  ใจของนางก็เต้นระรัว ใบหน้าของนางกลับกลาย
เป็นสีแดงระเรื่อขึ้น  นับตั้งแต่วันที่มันพร่ำฝากคำรักไว้แล้วจากนางไป  จิตใจของนางก็ไม่เป็นเช่นเดิมอีก

ภาพคราวที่ได้พบกันกับมันในครั้งแรกนั้น  ตราตรึงอยู่ในจิตใจของนางตลอดมา  และในที่สุดมันก็กลับเข้ามาพบนาง
โดยมิทันตั้งตัว   นางจึงทำสิ่งใดไม่ถูก อับจนต่อถ้อยคำมิรู้ว่าจะต่อคำมันเช่นไรดี


หมอวิปลาส เดินตรงเข้ามาประชิดร่างของนาง  แล้วยกสองแขนของมันโอบกอดร่างของนางไว้แนบชิดทรวงอกของมัน

"ข้าคิดถึงเจ้า  เพ่ยจือ  ใยไม่กล่าวคำใดออกมาบ้าง"


หยางเพ่ยจือ บังเกิดความตื้นตันท่วมท้นจิตใจ  ดวงตาทั้งสองของนางมีน้ำตาเอ่อท้นออกมา  นางกำมือทั้งสองแนบแน่น
แล้วทุบตีที่หลังของหมอวิปลาสอยู่สองสามครั้ง

"ท่านรังแกข้าแล้วจากไป  ข้า..ข้าคิดว่า..ท่านคงไม่มาพบข้าอีกแล้ว"



หมอวิปลาสได้ยินถ้อยคำของนาง ก็รู้สึกซาบซ่านจิตใจยิ่งนัก มันใช้สองมือจับไหล่ของนางไว้ จ้องมองนางด้วยดวงตาที่แน่นิ่ง

"เพ่ยจือ ข้ารักเจ้ายิ่งนัก  ข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า"


หยางเพ่ยจือ เงยหน้าประสานสายตากับมัน ครั้นเห็นมันโน้มใบหน้าลงมาแนบชิด นางก็ปิดเปลือกตาลง ริมฝีปากของหมอวิปลาส
ประทับลงบนริมฝีปากอันอวบอิ่มของนางอย่างแนบแน่นเนิ่นนาน   จนนางบังเกิดความเคลิบเคลิ้ม มิทันรู้ตัวว่าได้ถูกมันช้อนร่างขึ้น
มาวางบนโต๊ะใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่

มันเคลื่อนใบหน้าลงมาที่ลำคอ แล้วระรัวลิ้นไปที่ใบหูลากเลื่อนลงมาจนถึงเนินอก ฝ่ามือทั้งสองของมันสอดเข้ามาจากชายเสื้อ
ตรงเข้าลูบคลำบีบเค้นสองเต้าเต่งตึงอย่างหื่นกระหาย

หยางเพ่ยจือ ถูกจู่โจมอย่างหักโหมเช่นนั้นก็บังเกิดความซ่านเสียว สองมือของนางลูบคลำศรีษะของมันอยู่ไปมาพลางหลับตา
พริ้มลง



ทางด้านของเฟยอี้แยกทางกับอาจารย์ของมันออกค้นหา ตามตึกต่างๆในอาณาบริเวณวังเบญจธาตุ ก็ไม่พบเบาะแสใดๆ
คงเหลือแต่วังชั้นในที่จะต้องเข้าไปสืบค้น จึงคิดที่จะย้อนกลับมาเพื่อปรึกษากับอาจารย์ของตน  มันติดตามไปยังทิศทาง
ที่อาจารย์ของมันมุ่งหน้าไป ครั้นเห็นตึกน้อยตึกหนึ่งมีคบไฟจุดสว่างอยู่ภายใน จึงกระโดดลงไปแนบร่างอยู่ขอบหน้าต่าง
เพื่อลอบมองดูภายใน

พลันสายตาของมันก็พบกับร่างของหญิงงามผู้หนึ่ง นอนทอดกายอยู่บนโต๊ะใหญ่ ขาทั้งสองของนางห้อยลงสู่เบื้องล่าง
กลางหว่างขาของนางมีบุรุษหนึ่งยืนแทรกกายอยู่ระหว่างขาทั้งสอง  มันกำลังโน้มกายลงเชยชมหญิงงามนั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม

เฟยอี้เลื่อนใบหน้าออกไปเพื่อสอดส่องดูให้แน่ชัดว่าคนทั้งสองคือใคร  ครั้นใบหน้าของบุรุษนั้นชัดเจนก็ลอบแย้มยิ้มออกมา
พลางชื่นชมอยู่ภายในใจว่า

"อาจารย์ของเรา ท่านช่างเยี่ยมยอดนัก แยกจากเราไปเพียงครู่เดียวก็ได้หญิงงามมาเชยชม"


คิดพลางก็เอามือปิดปากตนเอง อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

ทันใดนั้นเอง ปรากฎเงาร่างคนผู้หนึ่งกำลังเดินตรงมายังตึกแห่งนี้  เฟยอี้ดีดร่างขึ้นสู่หลังคาตึกข้างเคียงฝั่งตรงข้ามทันที
มันเร้นกายอยู่ในความมืดบนหลังคาตึกแห่งนั้น แล้วลอบมองลงมายังเบื้องล่าง

ร่างของสตรีนางหนึ่ง  แต่งกายในชุดดำ มีอายุราวสิบแปดปี กำลังเดินตรงมายังประตูตึกที่อาจารย์ของมันกับ หญิงงาม
ผู้นั้นกำลังพรอดรักกันอยู่ เฟยอี้ตื่นตกใจมิรู้จะทำเช่นไรเพื่อเตือนอาจารย์ของตน จึงเตรียมพร้อมที่จะแก้ไขสถานการณ์
หากนางผู้นั้นเห็นอาจารย์ของตนแล้วส่งเสียงขึ้น

ครั้นสตรีผู้นั้นมาถึงประตู ก็เคาะประตูเรียกขึ้น

"อาจารย์  ข้าเฮียกจื้อ นำเหง้าโสมเทียนซัวมาให้ท่านแล้ว"


เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ตาลุกวาวขึ้น  ครุ่นคิดอยู่ภายในใจว่า
"นางชื่อเฮียกจื้อ  ชื่อนี้...มัน...หรือว่า................ นางคือ กิมเฮียกจื้อ"



มีเสียงตอบโต้ออกมาจากภายในห้องว่า

"เฮียกจื้อ เจ้านำมันกลับไปก่อน รุ่งเช้าเจ้าค่อยนำมันมาให้ข้า"


สตรีผู้นั้นหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหันร่างเดินกลับไปยังทิศทางเดิม  เฟยอี้อยู่เบื้องบนมองลงมาเห็นไม่ถนัดนัก
แต่ผมสีดำยาวสลวยที่ถูกรวบไว้กลางหลัง แต่งกายในชุดดำ และมีรูปร่างอ้อนแอ้นสมส่วนเช่นนี้คุ้นตามันยิ่งนัก
มันครุ่นคิดถึงคราวได้พบกับ กิมเฮียกจื้อ มารแมงป่องทอง เมื่อคราวงานประลองยุทธ นางลอบเข้ามาในห้องของมัน
เพื่อคิดจะปลิดชีวิตมัน แต่กลับถูกมันซ้อนแผนจี้สกัดจุดไว้ แล้วเชยชมนาง จนในที่สุดมันและนางก็บังเกิดความรักต่อกัน
เมื่อหวนคิดถึงความหลังที่ผ่านมาก็พลันก็บังเกิดอารมณ์พิศวาสขึ้น จึงทะยานร่างลงสู่พื้นลอบติดตามนางไป

อากาศในยามนี้ เริ่มมีลมกรรโชกแรง ท้องฟ้าคำรามลั่นสลับกับสายฟ้าแปลบปลาบพาดลงจากท้องฟ้าลงสู่พื้นดิน
นางผู้นั้นตรงไปยังเรือนน้อยหลังหนึ่ง หน้าเรือนตากตัวยาวางอยู่เรียงราย นางเร่งรีบเก็บตัวยานั้นจากสายฝนที่จะกระหน่ำลงมา
เฟยอี้ลอบติดตามมา สายฟ้าส่องประกายแปลบปลาบสว่างวาบ ทำให้มองเห็นใบหน้าของนางผู้นั้นได้อย่างชัดเจน นางคือ กิมเฮียกจื้อ
ผู้เป็นที่รักของมันนั่นเอง

เฟยอี้หัวใจพองโตด้วยความสุข ลอบแฝงกายเข้าไปในห้องนอนของนางแล้วซุ่มตัวเงียบอยู่

แล้วสายฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างหนัก เสียงฟ้าร้องคำรามดังออกมาเป็นช่วงๆ  กิมเฮียกจื้อร่างกายเปียกปอนจนชุ่มไปทั้งร่าง
นางวิ่งเข้ามายังห้องของตนแล้วปิดประตูลง เปลื้องผ้าที่เปียกฝนออกจนหมด ด้วยคิดจะเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ก่อนเข้านอน

แสงฟ้าสว่างวาบขึ้นเข้ามาในห้อง จนมองเห็นร่างเปลือยเปล่าขาวดังปุยหิมะปรากฏต่อสายตาของเฟยอี้ที่ซุ่มซ่อนอยู่
มันย่องเข้ามาจากเบื้องหลังแล้วจี้สกัดจุด กิมเฮียกจื้อไว้

กิมเฮียกจื้อ ตกใจสุดขีด นางคาดไม่ถึงว่าจะมีใครซุ่มซ่อนอยู่ในห้องของนาง และในขณะนี้แม้ผ้าสักชิ้นก็หามีติดอยู่ที่กายของนางไม่
นางระร่ำลักไถ่ถามออกไปทันที

"ใคร.... เจ้า...เจ้าเป็นใคร"




เฟยอี้ไม่ตอบคำ มันเปลื้องผ้าของมันออกจนหมด แล้วเข้าประชิดร่างของนางจากเบื้องหลัง แล้วโอบกอดนางไว้
แนบทรวงอกมันอย่างแนบแน่น  แก่นกายที่แข็งเกร็งยืดยาวของมัน  ทาบทับบั้นท้ายที่โด่งงอนของนางอย่างแนบชิด

"อย่า...อย่า....ออกไป..ออกไป....อย่าแตะต้องตัวข้า..."


กิมเฮียกจื้อ ตื่นตกใจกลัวเป็นยิ่งนัก นางไร้หนทางต่อสู้หรือขัดขืนใดๆ ทำได้เพียงร่ำร้องห้ามปรามออกมาเท่านั้น

เฟยอี้รุกล้ำต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง มือทั้งสองของมันสอดเข้ามาจากเบื้องหลัง แล้วเกาะกุมปทุมถันอันเต่งตึงทั้งสองข้าง 
ปลายนิ้วของมันบี้บดที่ยอดถ้นของนาง พลางซุกไซ้ใบหน้ามันไปตามลำคอ สูดดมกลิ่นกายของนางอย่างไม่รู้อิ่ม 
ส่วนเบื้องล่างนั้นแก่นกายของมันก็ชอนไชเข้ามาที่หว่างขาของนางแล้วเสียดสีอยู่ไปมา


กิมเฮียกจื้อ ขนลุกเกลียวไปทั้งร่าง นางทั้งหวาดหวั่นระคนไปกับความเสียวสยิว ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางคิดถึงคนผู้หนึ่ง
มันผู้นั้นกระทำกับนางเยี่ยงนี้จนนางสั่นสะท้านไปทั่วร่างด้วยความหวาดกลัว แล้วมันก็กลับกลายเป็นความสุขสม
ที่ประทับอยู่ในใจของนางอย่างไม่รู้ลืม  นางจะไม่มีวันลืมมันผู้นั้น บุรุษอันเป็นที่รักของนางเพียงผู้เดียว

ยามที่ไร้หนทางต่อสู้ และนางมิยินยอมที่จะตกเป็นของผู้อื่น นางก็ส่งเสียงร้องเรียกบุรุษอันเป็นที่รักของนางออกมา

"เฟยอี้....ช่วยข้าด้วย...."



เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้น ก็ถึงกับหยุดการกระทำของมันทั้งหมด ความรู้สึกปลาบปลื้มท่วมท้นขึ้นมาจนหัวใจพองฟู
นางอันเป็นที่รัก ร้องเรียกหามันในยามมีภัย  แม้รู้ว่ามันมิสามารถได้ยินเสียงเรียกนั้น  มันบ่งบอกว่านางนั้น
คิดถึงมันอยู่ตลอดเวลา

"เฮียกจื้อ...นี่ข้าเอง..ข้า..เฟยอี้.."


เสียงนั้น กิมเฮียกจื้อ จำได้อย่างไม่มีวันลืม ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้น พลันบังเกิดน้ำตาเอ่อนองล้นออกมาด้วยความยินดี

"เฟยอี้.. เจ้า..ใช่เจ้าจริงๆ...คลายจุดให้ข้า.....ข้าต้องการมองหน้าเจ้าให้ชัดๆ"


ทันทีที่ เฟยอี้คลายจุดให้  นางก็รีบหันกลับมา เพ่งมองใบหน้าของมัน เป็นเวลาเดียวกันกับสายฟ้าสว่างวาบเข้ามา
ใบหน้าของเฟยอี้ปรากฎแก่สายตาของ กิมเฮียกจื้ออย่างชัดเจน  นางร้องเรียกชื่อมันแล้วร้องไห้โฮออกมา
พร้อมกับเข้าสวมกอดมันไว้  นางแนบใบหน้าของนางไว้ที่ทรวงอกของมันแล้วสะอื้นออกมา

"เฟยอี้.................ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆ......"



เฟยอี้โอบกอดนางไว้อย่างแนบแน่น ร่างของคนทั้งสองกอดกันแน่นิ่งอย่างเนิ่นนาน  จนกิมเฮียกจื้อระลึกขึ้นได้ว่าร่างของนางนั้น
เปล่าเปลือยอยู่ จึงได้ผลักอกมันออก  แล้วทุบตีมัน พลางเอ่ยปากต่อว่าออกมา

"เจ้า....เจ้ากลั่นแกล้งข้า...ข้าจะทุบตีเจ้าให้ตาย....รู้หรือไม่ว่าข้าหวาดกลัวยิ่งนัก.."

กิมเฮียกจื้อ สะบัดหน้าหันกลับด้วยความแง่งอน แล้วตรงไปจะสวมเสื้อผ้า


เฟยอี้ตรงเข้าประชิดร่างของนางทางเบื้องหลังอีกครั้ง โอบรัดร่างของนาง แล้วคว้าจับมือทั้งสองของนางไว้
ตรงเข้าคลี่คลายให้เสื้อผ้าในมือของนางล่วงหล่นลงไป

"ข้าต้องการระลึกถึงความหลัง ครั้งที่ข้าและเจ้ามีความสุขร่วมกัน"



แล้วมันก็ซุกไซ้ไปที่ต้นคอของนางอีกครั้ง ริมฝีปากของมันขบอยู่ที่ติ่งใบหูแล้วผ่อนลมหายใจที่อุ่นร้อนออกมา
กระตุ้นความเสียวสยิวให้บังเกิดกับนางอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้นางยินดีและเต็มใจเปิดรับสัมผัสจากริมฝีปากของมัน
ใบหน้าของนางหงายเชิดขึ้น ส่งเสียงครางออกมาอย่างแหบพร่า เมื่อปทุมถันของนางถูกมันใช้นิ้วบดบี้ที่ส่วนยอด



เมื่อมันก่อกวนปทุมถันทั้งสองของนาง จนส่วนยอดถันชี้ชันออกมาแล้ว มือขวาของมันก็ลดต่ำลง  ลากผ่านหน้าท้อง
ของนางแล้วล่วงล้ำลงไป เกาะกุมเนินสวาทอันโหนกนูน

กิมเฮียกจื้อถูกจู่โจมทั้งสามจุดพร้อมกัน ก็ถึงกับส่งเสียงครางกระเส่าออกมา

"..อืมมมมม...........  ซี๊ดดดดดด...............อืมมมมมมม......"


มือขวาของเฟยอี้เกาะกุมเนินสวาทของนางไว้ในอุ้งมือของมันอย่างแนบแน่น  มันกดนิ้วมือของมันให้จมลึกลงไป
ในร่องสวาทนั้น  แล้วส่ายปลายนิ้วของมันให้หมุนควงอยู่ไปมา  ส่วนท่อนล่างอันเปล่าเปลือยของมันนั้นก็ถูกกดเข้ามา
จนแนบสนิทกับบั้นท้ายที่โด่งงอนของนาง    มันสอดส่ายแก่นกายของมันผ่านหว่างขาของนางเข้ามาประสานกับนิ้วมือของมัน
ที่แหวกกลีบสวาทให้เปิดอ้าออก จนลำแก่นกายมันเสียดสีกับติ่งสวาทของนางจนไหวเอนอยู่ไปมา  สร้างความซ่านเสียว
ให้ กิมเฮียกจื้อ ถึงกับต้องร้องเรียกชื่อมัน

"อูยยยยยย.....เฟยอี้....ซี๊ดดดดดด....ข้า..อืมมม...ข้า.เสียวเหลือเกิน......อูยยยยย......."



เฟยอี้เห็นนางส่ายคลึงสะโพกต่อสู้กับแก่นกายของมัน พร้อมกับครวญครางอย่างซ่านเสียวเช่นนั้น ก็เร่งเร้าหนักขึ้น
มันขยับแก่นกายคล้ายดังว่าจะมุดเข้าไปในโพรงสวาทของนาง แต่กลับรอไว้แค่ส่วนหัว แล้วหมุนควงสอดส่าย
ให้นางบังเกิดความซ่านเสียวยิ่งขึ้น  จนความฉ่ำเยิ้มปรากฎขึ้นกับร่องสวาทของนาง

กิมเฮียกจื้อ โยกคลึงสะโพกของนางรุนแรงยิ่งขึ้น  ในตอนนี้นางมีความต้องการให้เฟยอี้บุกทะลวงเข้ามา 
แต่มันกลับกลั่นแกล้งนางให้คั่งค้าง

"เฟยอี้.. ข้า..เสียวเหลือเกิน.....อูยยยยย........."



เสียงของนางโอดครวญอย่างแหบพร่า  แต่เฟยอี้ใจแข็งยิ่งนัก กลับคิดทรมานนางมากยิ่งขึ้น  มันกระซิบที่หูข้างหนึ่งของนาง

"เฮียกจื้อ เจ้าคุกเข่าลง"



กิมเฮียกจื้อกระทำตามอย่างว่าง่าย เฟยอี้ทรุดกายลงตามติด มันประกบมือทั้งสองของมันเข้ากับมือทั้งของนางให้โน้มลงไป
สัมผัสกับพื้นที่เบื้องหน้า ทำให้สะโพกของนางโด่งโค้งขึ้น  มันถอยร่างกลับมาจ้องมองกลีบสวาทที่หว่างขาของนาง
แล้วโลมเลียด้วยลิ้นของมันทันที   

กิมเฮียกจื้อถึงกับหันใบหน้ามาดู  แล้วบิดเบี้ยวหน้าด้วยความเสียวซ่าน  ส่งเสียงครวญครางกระชั้นถี่ออกมา

"..โอ้ววว..ซี๊ดดดดด......โอ้ววว..ซี๊ดดดดด.....โอ้ววว..ซี๊ดดดดด.....โอ้ววว..ซี๊ดดดดด.....โอ้ววว..ซี๊ดดดดด....."

"อูยยยย....เฟยอี้....ข้า...อูยยยย....พอแล้ว....พอ.....ข้าไม่ไหวแล้ว......"



เฟยอี้เห็นนางมีท่าทีจะถึงจุดสุขสม ก็กลั่นแกล้งนางโดยการหยุดเสีย  กิมเฮียกจื้อบังเกิดความซ่านเสียว
จนใกล้จะถึงจุดสุขสมแล้วถูกทำให้หยุดลง ก็บังเกิดอาการคั่งค้างในอารมณ์อย่างมาก สอดส่ายสะโพกของร่อนอยู่ไปมา
อยู่เบื้องหน้ามัน จนมันมองเห็นกลีบสวาทบวมเปล่งเบียดเสียดอยู่ระหว่างเรียวขาของนางทั้งสอง  มันจ้องดูอย่างเพลิดเพลิน
จนกำหนัดพุ่งพวยขึ้น พ่ายแพ้แก่ราคะตนเอง

มันยันกายขึ้น จับแก่นกายกายของมันถูไถไปตามร่องสวาท แล้วกดให้จมลึกลงไปจนมิด


กิมเฮียกจื้อ ถึงกับเงยหนาขึ้น อ้าปากร้องออกมา

"โอ้ววววววว..................................."


เฟยอี้ใช้มือทั้งสองยันที่พื้นคร่อมร่างของนางไว้   แล้วขยับบั้นเอวเข้าออกอย่างหนักแน่น   เนิบนาบ
มันกัดกรามแน่นจนขึ้นเป็นสันนูน   เมื่อร่องสวาทของ กิมเฮียกจื้อ ตอดรัดแก่นกายของมัน
จนคับแน่นตลอดลำ  สร้างความเสียวซ่านให้กับมันอย่างที่สุด   ทุกครั้งที่มันขยับบั้นเอว เข้าและออก
ก็ยิ่งเพิ่มพูนความเสียวซ่านมากขึ้น จนมันต้องเร่งจังหวะเร็วขึ้นเอง โดยไม่รู้ตัว

"ซี๊ดดดด...อื้มมมม......ซี๊ดดดด...อื้มมมม......ซี๊ดดดด...อื้มมมม......ซี๊ดดดด...อื้มมมม......"



สภาพภายนอกในตอนนี้ สายฝนกระหน่ำลงอย่างหนักหน่วง ท้องฟ้าก็คำรามอย่างกึกก้องอยู่ตลอดเวลา
ปกปิดเสียงครวญครางของคนทั้งคู่ไว้อย่างแนบเนียน

เฟยอี้ยังคงกระแทกกระทั้นแก่นกายของมันไปที่ร่างของกิมเฮียกจื้อไม่หยุดยั้ง  เสียงแห่งความสุขของคนทั้งสอง
ดังสอดประสานท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำ  มือทั้งสองของเฟยอี้รั้งมือทั้งสองของกิมเฮียกจื้อไว้ทางเบื้องหลัง
แล้วขยับบั้นเอวอย่างระรัวถี่ มองดูคล้ายกับกำลังจับสายบังเหียนม้าควบวิ่งอย่างเร่งรีบ

เสียงหอบหายใจ เสียงครวญครางกระชั้นถี่ขึ้น จนกลับกลายเป็นระรัว ความสุขสมในรักของคนทั้งสองก็ไต่ระดับสูงขึ้น
จนในที่สุดเฟยอี้ก็ปล่อยมือของนาง แล้วเลื่อนมาจับช่วงเอวที่คอดกิ่วของ กิมเฮียกจื้อ มันกดแก่นกายของมันเข้ามาจนแนบแน่น
แล้วส่ายหมุนเป็นวงกลม  ร่ำร้องเสียงดังออกมา พร้อมกับหลั่งน้ำรักของมันออกมาจนท่วมท้น

กิมเฮียกจื้อ ถูกกระทำเข้าเช่นนั้น ร่างของนางก็สะดุ้งขึ้น ส่งเสียงร้องยาวออกมาเช่นกัน ร่างของนางสั่นกระตุกเล็กน้อยอีกหลายครั้ง
ก่อนจะซบร่างลงแนบกับพื้น


"โอ้วววว..  โอ้วว................................................."




ทางด้านของหมอวิปลาส กับหยางเพ่ยจือ เมื่อถูก กิมเฮียกจื้อ เคาะประตูเรียก หยางเพ่ยจือก็ตื่นตกใจจะลุกออกมา
แต่หมอวิปลาสกลับกดทับร่างของนางไว้มิให้ลุกขึ้น  นางจึงแก้ไขสถานการณ์ด้วยการขับไล่ศิษย์ของนางไป

ครั้นนางหันกลับมาจะต่อว่ามันกลับพบว่า มันกำลังเปลื้องกางเกงของนางออกไปทางปลายขาที่ห้อยอยู่เบื้องล่าง
แล้วหันกลับมาจ้องมอง เนินสวาทของนางแล้วนิ่งค้าง  เนื่องด้วยสภาพของนางที่นอนอยู่บนโต๊ะเพียงครึ่งท่อนเช่นนี้
ยิ่งทำให้เนินสวาทของนางยิ่งนูนเด่นมากยิ่งขึ้น  หมอวิปลาสใช้มือลูบไล้อย่างหลงไหลก่อนจะซุกใบหน้าลงเชยชม
อย่างหื่นกระหาย

หยางเพ่ยจือ เคยถูกมันจู่โจมด้วยเพลงลิ้นมาแล้ว จนนางเองก็ลอบโหยหาความรู้สึกนั้นอยู่ตลอดมา  ครั้นถูกมันใช้ลิ้น
โลมเลียไปทั่วเนินสวาทของนางอีกครั้ง ก็แอ่นกายร่ำร้องขึ้นอย่างสุขสม

ลิ้นของมันชอนไชลึกลงไปจนสัมผัสกับติ่งเสียวแล้วดูดกินอย่างหนักหน่วง หยางเพ่ยจือแอ่นเนินสวาทขึ้นจนหลังลอยจากพื้น
ร่ำร้องครวญครางอย่างสุดเสียวออกมา

"อ๊ายยยยยยยยย..............อ๊ายยยยยยยยยยยย...........อ๊ายยยยยยยยยยยยยยย....."



หมอวิปลาสไม่หยุดการดูดกินของมันให้นางได้พัก   มันซุกหน้าแนบแน่นจนติดกับเนินสวาทของนาง
แม้ว่าในบางครั้งนางเสียวซ่านจนสุดที่จะทนทานต่อไป พยายามส่ายร่างหนี แต่มันก็เคลื่อนใบหน้าของมัน
ตามติดไปอย่างต่อเนื่อง

จนในที่สุด หยางเพ่ยจือก็เกิดอาการสั่นกระตุก เป็นจังหวะหลายครั้ง  แล้วนางก็ถึงจุดสุขสมคาปากของหมอวิปลาส
บนโต๊ะนั้น

ในขณะที่ หยางเพ่ยจือ นอนหงายอยู่บนโต๊ะนั้นอย่างอ่อนระทวย  หมอวิปลาสกลับจับแก่นกายของมัน ถูไถเนินสวาท
อันโหนกนูนของนางอยู่ไปมา แล้วดันเข้ามาจนมิด  พลางใช้มือยึดเอวของนางไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นมันก็ยืนโยกบั้นเอว
เข้าออกอย่างหนักหน่วง  จนหยางเพ่ยจือไม่สามารถนอนนิ่งอยู่ได้ ถึงกับร่ำร้องออกมาตามจังหวะเข้าออกของมัน

"อู้วววว...อู้ววว....อู้วววว...อู้ววว....อู้วววว...อู้ววว....อู้วววว...อู้ววว...."


ท่ามกลางเสียงฟ้าฝนคะนองอยู่ภายนอก  ภายในห้องก็บังเกิดเสียงร่ำร้องแห่งความสุข สอดประสานดังออกมา

หมอวิปลาส ก้มหน้าลงดูดกินยอดถันเต่งตึงของ หยางเพ่ยจือ ในระหว่างที่บั้นเอวของมันก็โยกเข้าออกอย่างไม่หยุดยั้ง
ความซ่านเสียวเร่าร้อน  ก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ  จนในที่สุดนางก็ยกมือดันอกของหมอวิปลาสไว้ใบหน้าของนาง
บิดเบี้ยวด้วยความเสียวซ่านพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด

หมอวิปลาสเห็นเช่นนั้นก็ยึดช่วงเอวของนางไว้อย่างแนบแน่น  แล้วกระแทกกระทั้นอย่างระรัวถี่เพื่อเร่งถึงจุดสุขสม
ติดตามนางไป

"โอ้วววววววววววว...........อ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาา.........."


หยางเพ่ยจือจิกปลายเท้าหงิกงอ แอ่นร่างร่ำร้องขึ้น หมอวิปลาสกดแก่นกายแนบแน่นบดคลึงไปมา แล้วปลดปล่อย
น้ำรักพรั่งพรูออกมาในโพรงสวาทของนาง  มันก้มกายลงจุมพิตส่วนต่างๆทั่วใบหน้าของหยางเพ่ยจือ แล้วฟุบร่างหลับตาลง


 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน


sunnyman



navy868

ลูกศิษย์กดลูกศิษย์ อาจารย์กดอาจารย์เข้าคู่กันพอดีเลย...


blim000


suphason001

ขอบคุณครับในที่สุดก็มาถ้าหลงจินหู่เก่งขึ้นแล้วใครจะสู้ได้เนี้ย


aty13

ศิษย์กับอาจารย์ลืมไปแล้วใช่มั้ยว่าลอบเข้าลัทธิไปทำอะไร

jomtulee


cd13579

หลงเจอบัตรทรู1000นึงเฉย เวลอัพแน่ๆ
ขณะตัวเอกของเรากำลังเปาถ่านไฟเก่าอยู่ เป่าซะน้ำไหลเลย
ใครหื้อใครซ่า ข้าแบนเรียบ

ursula.aki


kalampee