ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ศึกหมอผี ตอน ล้างพันธุ์เขี้ยวนรก ตอนที่ ๔

เริ่มโดย นีโอ, ตุลาคม 31, 2016, 01:18:04 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

นีโอ

คุยก่อนอ่าน

มาถึงตอนที่ ๔ ตามสัญญา ใครอยากอ่านต่อก็เชิญไปโหลดอ่านต่อที่ MEB ได้นะครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านผลงานเสมอมา ขอบคุณทุกท่านที่ตอบคอมเม้นท์ให้กำลังใจกัน ถึงจะน้อยก็อบอุ่น
ดีกว่ามากแล้วไร้คุณภาพ ผลงานเรื่องนี้เขียนมาตั้งแต่ปี ๕๓ สำนวนจึงออกแนวเก่าที่บรรยายละเอียด ไม่รวบรัดเหมือนสมัยนี้
ดังนั้นจึงอาจไม่ถูกใจคนยุคใหม่ ในยุคเร่งรีบ แต่ก็ยังดีมีคนรุ่นเดียวกันติดตามสนับสนุน ส่วนเรื่องรูปประกอบนั้น
ผมไม่มีเวลาหาลงจริงๆ และลิ้งค์เก่าๆที่เคยทำไว้ก็เน่าไปหมดแล้ว  ดังนั้นจะแก้ไขในเรื่องต่อไป

แล้วพบกันใหม่ในเรื่องต่อไป

ด้วยไมตรีจิต นีโอ


-----------------------------------------

ขอฝากสักนิด

เรามีสิทธิ์ที่จะเขียนอะไรก็ได้
เช่นเดียวกับคนอ่านก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกอ่านงานแบบไหนก็ได้
ถ้าเขาไม่ชอบงานที่เราเขียนนี่ถึงกับต้องคิดว่าเขาโลกแคบไม่มีรสนิยมด้วยหรือ
ตั้งสติแล้วคิดใหม่ไม่ใช่คนอ่านที่โลกแคบ แต่ใจของคนเขียนต่างหากที่คับแคบ
ถ้าคิดว่างานเราดีแล้ว สมเหตุสมผลในหัวใจเราแล้วก็จงทำต่อไป
แต่คนอ่านจะอ่านไหมก็เป็นเหตุผลส่วนตัวของเขาเช่นกัน ความชอบคนเราไม่เหมือนกัน
ควรหรือที่จะแขวะเพื่อให้เขาคิดแบบเราให้ได้ ถึงใครบางคนนะ^^


---------------------------------------

กดอ่านก่อนอ่านผลงาน อาจารย์พี่นีโอ
ถ้าไม่มีความมืด  มนุษย์จะไม่รู้จักแสงสว่าง   ถ้าไม่มีความชั่ว  มนุษย์จะไม่รู้จักความดี
ตำนานแห่งการต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่วได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง 
การรวมกลุ่มของผู้กล้าที่มีความแตกต่างกัน   เพื่อหยุดยั้งเจ้าแห่งความมืดกับแผนการอันโหดร้ายไร้เมตรตา 
นี่คือการต่อสู้อันกล้าหาญ  และ มหัศจรรย์พันลึก   จุดหมายคือ...ปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์


<>::<>::<>::<>::<>::<>

บทนำ....

เสียงใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ที่กำลังร่อนลงจอด บนลานจอดของดาดฟ้าตึกสูงกลางกรุงดึงความสนใจของเจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังทำงานอยู่ในบริเวณนั้นให้หันไปมอง หลายคนจ้องร่างของ วาเล็ค มอทัซ ที่กำลังก้าวลงจากเครื่องด้วยความแปลกใจเนื่องจากสมาชิกของหัวหน้ากลุ่มฝ่ายกลายพันธุ์ผู้นี้ไม่เดินทางมายังสำนักงานใหญ่บ่อยนัก บางคนซุบซิบถามกันด้วยความสงสัยแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อถูกผู้ถูกกล่าวถึง ปรายตาชำเลืองมองมาขวางๆ  ทุกคนยืนนิ่งแข็งค้างอยู่กับที่ทันทีกระทั่งเขาเดินหายเข้าไปในตัวอาคาร   ทั้งหมดจึงถอนใจด้วยความโล่งอกและหันกลับไปทำงานตามปรกติ

วาเล็ค มอทัซ  เดินไปตามทาง ที่ทอดผ่านอาคารแต่ละหลังไปอย่างไม่รีบเร่งนัก หากบังเอิญมีเจ้าหน้าที่ขององค์กรเดินสวนทางมาพวกเขาจะพากันหยุดและก้มศีรษะ ลงเพื่อทำความเคารพและหลีกทางให้เขาเดินผ่านไป  บางคนถึงกับก้มหน้าลงหลบสายตาเขาด้วยความหวาดกลัว  แสดงถึงความสำคัญและน่ายำเกรงของบุคคลนี้

หลังจากเดินผ่านห้องชุดภายในอาคาร ที่ทำการทันสมัยไปหลายหลัง   เขาเดินมาจนถึงที่ประตูหินขนาดใหญ่และกวาดสายตามองไปโดยรอบก่อนจะเงยหน้าขึ้นอ่านตัวอักษรโบราณสลักซึ่งถูกจารึกเอาไว้บนแผ่นศิลาเก่าแก่เหนือประตู  เขายืนนิ่งไปชั่วขณะเหมือนกำลังคิดถึงผู้ที่กำลังจะเข้าไปพบ   ก่อนที่เขาจะยกมือข้าง หนึ่งขึ้นสอดเข้าไปในปากของอสูรศิลาที่ประดับอยู่ด้านหน้า   

พลันคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันเมื่อเขี้ยวหินของมันฝังลงไปในเนื้อ เลือดสีแดงเข้มไหลลงไปตรงร่องกลางซึมผ่านรูพรุนของหินลงไปจนถึงส่วนกลางของ ลำตัว เสียงกลไกดังลั่นขึ้นหนึ่งครั้งก่อนบานประตูหนาหนักจะเลื่อนเปิดออกปล่อย กระแสลมเย็นยะเยือกไหลออกมาปะทะกายของเขา   วาเล็ค มอทัซ มองทางเดินที่ทอดยาวด้วยสีหน้านิ่งสงบจนกระทั่งมีเสียง ของใครคนหนึ่งเอ่ยทักอย่างเย็นยะเยือก...

"คุณมาเร็วกว่าที่คิดนะครับ"

จอมผีดิบชำเลืองสายตาไปยังชายร่างผอมสูงในเครื่องแต่งกายคล้ายหัวหน้าคนรับใช้ในยุคขุนนาง  ซึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ  ชายผู้นั้นค้อมตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญ

"กรุณาตามผมมา"

ชายผู้นั้นเดินนำหน้าไปทันที   จอมผีดิบยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงก้าวตามโดยมีเสียงของประตูหินซึ่งกำลังเลื่อนปิดดังไล่หลัง ทั้งสองเดินไปบนพื้นศิลาราคาสูงรอบๆตัวถูกสร้างเป็นโถงทางเดินที่ดูยาวไกล  บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความลึกลับและเงียบเชียบปราศจากสุ่มเสียงใดๆนอกจากเสียงย่ำเท้าที่ดังก้องตามจังหวะการก้าวเดิน  และแสงจากไฟบนเพดานก็สว่างเพียงลางๆ กับความมืดสลัวๆ หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปคงหวาดวิตกกับบรรยากาศอันน่ากลัวเช่นนี้   แต่จอมผีดิบยังคง เดินตามหัวหน้าคนรับใช้อย่างไม่สนใจสภาพแวดล้อมรอบตัวเท่าใดนัก

เขาก้าวตามเข้าไปด้านในจนกระทั่งถึงห้องโถงใหญ่ หัวหน้าคนรับใช้จึงหยุดและหันหน้ากลับมา

"ผมจะไปแจ้งให้นายท่านทราบว่าคุณเดินทางมาถึงแล้ว กรุณารอที่ห้องน้ำชาก่อนครับ"
"ฮื่อ.อ.อ..." จอมผีดิบพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

เอ่อจบหัวหน้าคนรับใช้ก็เดินออกไป  วาเล็ค มอทัซ  ยกมือไพล่หลังยืนนิ่งราวรูปปั้น  การมาของเขาครั้งนี้ไม่ยากต่อการคาดเดาผล  แต่เขาก็ต้องมาเพื่ออย่างน้อยจะรั้งเวลาแห่งการแตกหักให้ยืดออกไปสักระยะ  เพื่อเขาจะได้มีเวลาเตรียมตัวและตั้งหลักสำหรับเรื่องก่อการใหญ่ยึดอำนาจขององค์กร  ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะกระทำ

อีกด้านหนึ่งของภายในตึกหลังนี้
กำลังมีการประชุมกันอยู่....

"ดีมากๆ แปลว่าตลอดไตรมาสแรกโครงการต่างๆของเราดำเนินไปอย่างราบรื่นและเรียบร้อยดี"

ประธานประชุมผมสีขาวผู้สูงวัยนั่งที่หัวโต๊ะในห้องประชุมชั้นที่สิบเก้า อาคารสำนักงานของต่างชาติแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯเอ่ยขึ้น หลังจากที่เขาฟังรายงานความคืบหน้าของโครงการต่างๆ จากผู้จัดการฝ่ายทั้งหลาย รวมทั้งผู้จัดการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ ชาวไทยที่นั่งอยู่ปลายโต๊ะรูปวงรีนั้น  ภายในห้องบรรยากาศมืดสลัว  มีไฟเปิดไม่กี่ดวง 

ที่นี่เป็นที่ทำการของบริษัทข้ามชาติ  นอกจากประธานเป็นชาวต่างชาติแล้ว  ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ก็มีหลายชาติหลายภาษา...
และพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา..แต่พวกเขาเป็น... แวมไพร์....

"หุ้นต่างๆของเราเป็นอย่างไรบ้าง มาเยดะ..." ประธานเอ่ยถามชายชาวเอเชียที่นั่งตรงข้าม
"หุ้นทุกตัวที่กลุ่มเราถืออยู่  ดัชนีขึ้นสูงสุดในกระดาน  ไตรมาสแรกเรากำไรงดงาม..." ชายญี่ปุ่นหน้าตาคงคุณวุฒิตอบเสียงเรียบๆ
ประธานผมขาวหันไปทางชายผิวดำ  ที่ไว้ผมทรงเด๊ตร็อค "แล้วบัญชีเงินฝากที่สวิสล่ะ บ็อบ มาเล่ย์.."
"เรามีพอใช้เลี้ยงดูและแบ่งปันสมาชิกได้อีกประมาณ ๕ ปี..."
"ธนาคารเลือดของเราล่ะ  มีสำรองพอใช้ยามฉุกเฉินเท่าไหร่" หันไปถามทางชาวยุโรปผมขาวที่หน้าผากโหนกใหญ่
"สำรองไว้ใช้ได้ประมาณ ๖ เดือน  แต่ต้องแจกจ่ายเฉพาะพันธุ์แท้เท่านั้น..." ชายคนนั้นตอบมา
ประธานผมขาวถอนหายใจ "อื่อ.อ.อ...ดี...ทุกอย่างราบรื่นดี...แต่...."
"ไอ้หมอนั่นก่อปัญหาอีกแล้วหรือ?  เฟอร์กูสัน ..." ผู้ร่วมหุ้นที่นั่งด้านข้างเอ่ยถาม
ประธานผมขาวชื่อ เฟอร์กูสัน พยักหน้า "ฮื่อ.อ...แต่ไม่ต้องห่วง  เดี๋ยวผมจะจัดการเอง...."
 
ท่านประธานกดปุ่มสัญญาณไมโครโฟนตั้งโต๊ะตัวจิ๋ว กรอกเสียงเนิบๆ

"ซอนญ่า   ไปบอก   วาเล็ค   ให้เข้ามาได้..."
เสียงหวานๆขานรับมา "ค่ะ...ท่านประธาน."

สักครู่ประตูห้องประชุมก็เปิดออก

ชายผมยาวใบหน้าขาวซีดเดินเข้ามา  ทุกสายตาหันไปมองอย่างเอือมระอา  แต่เขาก็เดินอาดๆเข้ามายืนด้านข้างๆอย่างไม่สะทบสะท้าน  พลางยิ้มเย็นๆให้ทุกคน  แต่ทุกคนที่สบตาก็พากันเมินหน้าหนีเหมือนไม่อยากจะสมาคมด้วย  มันเป็นท่าทีแสดงความชิงชังอย่างเห็นได้ชัด   วาเล็ค  มอทัซ  จอมผีดิบผู้เข้ามาใหม่ยิ้มหยันๆในกริยาที่ทุกคนกระทำต่อเขา   

ด้านท่านประธาน เฟอร์กูสันเขาเอนกายประสานมือไว้ที่ตักและไขว้ห้าง  เขาจ้องหน้า มอทัซ ด้วยสายตาไม่พอใจ
เขาเอ่ยเสียงเรียบๆ "มอทัซ  นายคงรู้ว่าพวกเราเรียกนายมาเพื่ออะไร?"
"คุณแจ้งผมแล้วนี่  ...." จอมผีดิบตอบเสียงราบๆ
"นายเคยบอกว่า  ต้องการฟังจากคณะบอร์ดในสภาของเรา เอาละลองถามดูสิ  ว่ามีใครสนับสนุนนายบ้าง..."
จอมผีดิบกวาดตามองไปรอบๆแล้วยิ้ม "แค่ดูจากอาการและสายตาที่ชื่นชมในตัวของผม  ก็คงจะไม่ต้องถามอะไรแล้วล่ะ....."
"เข้าใจง่ายดีนี่  นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปนายจงหยุดกิจกรรมทั้งหมด  เราจะส่งคนไปตรวจบันทึกยึดคืนทั้งอุปกรณ์และงบต่างๆกลับมาส่วนกลางทั้งหมด และนาย......." ประธานผมขาวเว้นระยะ  มองจอมผีดิบที่ยืนนิ่งมองไปทางอื่นเหมือนไม่สนใจคำพูดของเขาที่กล่าวบอก  แต่เขายังพูดต่อ "....และนายจงควบคุมพรรคพวกกลายพันธุ์ของนายให้อยู่กับร่องกับรอย  อย่าไปเที่ยวแพร่เชื้อเพิ่มจำนวนขึ้นอีก  เราเบื่อที่จะต้องคอยออกจัดการเศษเดนกลายพันธุ์เหล่านั้น...."

จบประโยค ประธาน เฟอร์กูสัน ก็ชำเรืองมอง ปฏิกิริยาของ จอมผีดิบที่ยังยืนนิ่ง
สักครู่ วาเล็ค มอทัซ ก็ทำท่าขำเบาๆ

"หนึ่งในพวกเศษเดนที่คุณว่า  รวมถึงผมด้วยไหม?" จอมผีดิบเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มยั่ว
ชายผมขาวนั่งนิ่งจ้องตาของ มอทัซ  เขาเอ่ยเสียงเครียดๆ "ฉันคือผีดิบพันธุ์แท้   ฉันทำทุกอย่างเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์  และจะไม่ยอมให้นายเอาความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ของเราไปเสี่ยงอย่างเด็ดขาด...."
อยู่ๆจอมผีดิบก็หัวเราะลั่น  แล้วเดินจ้องหน้าทุกๆคนที่นั่งอยู่ทีละคนๆ เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
"หุ  หุ  หุ  เมื่อตอนที่ วาติกันไล่ล่ากวาดล้างพวกคุณ  กลายพันธุ์อย่างพวกเราถูกพวกคุณใช้เป็นกองกำลังแนวหน้าต่อสู้กับพวกนักล่ารัตติกาล  ตลอดเวลาหลายสิบปีพวกกลายพันธุ์คอยออกต่อสู้และเสียสละชีพกับพวกนักล่าเพื่อปกป้องพวกคุณ  ส่วนทางนี้พวกคุณๆผู้เป็นพันธุ์แท้ก็ใช้สมองค้าขาย  ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังคอยกอบโกยและ กินอยู่กันอย่างสุขสบาย  เมื่อพวกคุณสมบูรณ์พูนสุข  พวกกลายพันธุ์ก็ถูกมองเป็นพลเรือนชั้นสอง ซึ่งเป็นส่วนเกินและน่ารังเกียจสำหรับพวกคุณเหมือนเดิม  นับว่าเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี.."
วาเล็ค มอทัซ มองจ้องตาทุกคนในที่นั้นอย่างหยามๆ
"เราต่างมีหน้าที่  ตอนนี้หน้าที่ของนายกับพรรคพวกสำหรับเราจบลงแล้ว  ขอบใจที่นายและผองพวกทำเพื่อพวกเรามาตลอด ๒๕ ปี  เราจะยกย่องเทินทูนชื่อเสียงของพวกนายไว้ในหอเกียรติยศของแวมไพร์..." ประธารผมขาวเอ่ยเรียบๆ
"ผมไม่ต้องการเกียรติยศจอมปลอมนั่น....เมื่อทุกท่านในที่นี่ไม่สนับสนุนผม  ก็ถือว่าเราจบกัน ต่อไปนี้ผมจะดำเนินตามนโยบายของผมเองโดยไม่มีใครมากำหนดแนวทางให้กับผมและพรรคพวก..." จอมผีดิบประกาศกร้าว
หนึ่งในที่ประชุมลุกขึ้นชี้หน้าจอมผีดิบ "แต่พวกเราจะไม่ปล่อยให้นายทำอะไรตามใจได้หรอก..."
"อย่างงั้นหรอ?...หุ..หุ...หุ...."  วาเล็ค มอทัซ เดินมาใกล้ๆ  เขาจ้องหน้า  มองด้วยสายตาท้าทาย "แล้วคุณจะทำอะไรผมได้?"
"วาเล็ค...นายจะโอหังมากเกินไปแล้วนะ..." ผู้ถูกท้าทายทำท่าเดือดสุดขีด
"อย่า  พอล....ให้ฉันคุยกับเขาก่อน...."  ชายผมขาวเอ่ยห้าม มองหน้าพรรคพวกและพยักหน้าให้นั่งลง

อเล็กซ์  เฟอร์กูสัน  ประธาน ของเหล่าผีดิบลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหา วาเล็ค  มอทัซ ใกล้ๆ

เขาเอ่ยเสียงจริงจัง "อย่าฝืนคิดการณ์ไกลเกินตัว  เราอยู่ร่วมกับมนุษย์โลกนี้มาหลายพันปี  ต่อให้นายพยายามแค่ไหน นายก็ครองโลกไม่ได้หรอก  เพราะว่านายยังไม่รู้จักโลกนี้ดีพอ เลิกฝันเรื่องนั้นซะ แล้วจงอยู่อย่างพอเพียง ฉันจะไม่พูดอะไรกับนายมากกว่านี้อีก ถ้านายล้ำเส้นอีก ฉันจะจัดการนายเอง..."
"ที่สภาแห่งนี้ทำไม่ได้เพราะพวกคุณมัวหดหัวหลบอยู่แต่ใต้หลืบของเงามืดไง  พวกคุณไม่เคยโผล่หัวออกไปเรียนรู้ภายนอก  ไม่เคยคิดแก้ปัญหาระยะยาว  เรียกว่าวิสัยทัศน์สั้นมากๆ  พลังของเรายิ่งใหญ่และเหนือกว่ามนุษย์มากมายทำไมไม่ทำ  หากเราทำอย่างจริงจังทางสำเร็จไม่ไกลเกินเอื้อมหรอก กล้าๆหน่อยท่านประธาน..."   วาเล็ค  มอทัซ เอ่ยเสียงกร้าวแล้วกวาดตามองทุกคนในที่นั้น
ประธาน เฟอร์กูสัน ขบกราม ท่าทางโกรธในความหัวรั้นของ จอมผีดิบ   "ทำไมนายถึงกระหายสงครามนัก  ทำไมนายไม่คิดถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข.."
"สันติสุขจอมปลอมที่ต้องอยู่อย่างหวาดผวา  ผมไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาด" วาเล็ค  มอทัซ ยืนยันอุดมการณ์โดยไม่สนเหตุผล "สันติสุขเป็นคำพูดของผู้ขี้ขลาด อย่างทุกคนที่นั่งอยู่ในสภานี่ไง!"
ผู้ฟังคำตอบ สูดลมหายใจลึกๆ แล้วเอ่ยเครียดๆ  " พวกเราไม่สนับสนุนนายแล้ว  นายจะทำอะไรได้  มอทัซ ..."
"นั่นไม่ใช่ปัญหา  โครงการของผมจะดำเนินต่อไป  ตราบเท่าที่ผมยังอยู่  พวกกลายพันธุ์ที่คิดและเห็นด้วยกับผม  เขาต่างสนับสนุนผมเต็มที่  และที่สำคัญ...."  วาเล็ค มอทัซ หยุดพูดแล้วยิ้มอย่างเหนือกว่า "...พวกเขามีจำนวนมากกว่าพันธุ์แท้อย่างพวกคุณที่หดหัวอยู่ในกระดองตรงนี้หลายเท่า..."
"แต่พวกเรามีกฎควบคุม...." ประธาน เฟอร์กี้ ยังเอ่ยแย้งแต่ต้องชะงักเมื่อ วาเล็ค มอทัซ ยกมือห้าม
เขาเอ่ยอย่างหยันๆ "กฎนั่นพวกคุณพันธุ์แท้บัญญัติขึ้น  และมันจะใช้ได้สำหรับพวกพันธุ์แท้ๆเท่านั้น  ต่อไปนี้พวกกลายพันธุ์อย่างพวกเรา จะขอบัญญัติกฎเองบ้าง  และพวกคุณไม่มีทางขวางพวกเราได้หรอก....."

ในที่ประชุมต่างนิ่งเงียบ  การใช้เหตุผลโต้เถียงไม่อาจหยุดยั้ง จอมผีดิบ วาเล็ค  มอทัซ ได้

ประธานผีดิบ เฟอร์กูสัน นั่งลง  เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย  พลางเอ่ยเสียงเครียดๆ "วาเล็ค  เราไม่มีอะไรจะคุยกับนายแล้ว เชิญนายกลับออกไปได้...."
"หุ หุ หุ... ถ้าเช่นนั้นผมขอตัว....."  วาเล็ค   มอทัซ เดินหัวเราะหยามๆออกไป....

ทุกใบหน้าและสายตาที่มองตามไปต่างระคนไปด้วยเจ็บแค้นในความผยองและอวดดีของจอมผีดิบ นอกคอกคนนี้
แต่สำหรับชายผมขาวผู้เป็นประธานของเหล่าผีดิบ
ทั้งใบหน้าและแววตาของเขา แฝงไปด้วยด้วยความกังวลใจ 
เนื่องจากพอมองเห็นเค้าลางแห่งหายนะของเผ่าพันธุ์ที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เพราะการชักนำของชายผู้นี้
ถ้าไม่รีบหยุดยั้งเขาไว้.....

....วาเล็ค   มอทัซ...





______________________________
ศึกหมอผี  ตอนที่  ๒๘
ภัยซ่อนเร้น       (  The   Phantom  Menace.  )
______________________________



ภายในโพลงดิน ที่เป็นสมรภูมิต่อสู้ของเหล่านักล่ากับพวกผีดิบ
ร่างของผีดิบตนหนึ่งถูกแทงทะลุหลังก่อนจะสลายกลายเป็นขี้เถ้าไป  ผู้ลงมือคือ นักล่าสาว แคทเทอรีน นั่นเอง
สาวนักล่าหันไปมองด้านหลัง  หมอผีหนุ่มและหนุ่มนักล่าก็กำลังจัดการพวกผีดิบตนเองอื่นๆจนกระทั่งตกตายไปจนสิ้น
ดาบเงินถูกสะบัดไล่ฝุ่นเถ้าที่ติดอยู่และถูกเก็บเข้าฝัก  สาวนักล่าเดินเข้าไปหาผู้ร่วมทีม

เธอเอ่ยต่อสองหนุ่มว่า "จัดการพวกเศษสวะนี่หมดแล้ว  เราไปลุยถล่มรังของมันกันเถอะ..."
"แต่คุณยังบาดเจ็บอยู่นะ  แล้วคุณกำลังต้องการ..เอ่อ.อ.อ....วัคซีน...ด้วย.." หมอผีหนุ่มบอก
หนุ่มนักล่าก็เห็นด้วย "ใช่...ผมว่าเรากลับกันก่อนเถอะ  ไปเตรียมตัวให้พร้อมค่อยมาใหม่..."
"แต่พวกมันรู้ตัวแล้ว  หากเราไม่จัดการตอนนี้พวกมันก็คงจะหนีไปก่อความเดือดร้อนได้อีก" สาวนักล่าออกความเห็น
ทั้งสองหนุ่มมองหน้ากัน หมอผีหนุ่มจึงว่า "แจ็กค์...คุณพาคุณแคทกลับไปก่อน  ผมจะจัดการที่นี่เอง..."
"นายนึกว่าตัวเองเป็นใคร  จะจัดการกวาดล้างที่นี่ได้ลำพัง  ตะกี้ยังหนีไม่มีฟอร์มเลย" นักล่าสาวเอ่ยอย่างดูแคลน
หมอผีหนุ่มตอบยิ้มๆ "ก็ผมมันอุตริอยากปราบผีแบบฝรั่งนี่ เลยพลาดไปหน่อย  แต่คราวนี้ไม่แล้ว ผมจะปราบพวกมันตามสไตล์ของผม  รับรองไม่เสียฟอร์มเหมือนคราวที่แล้วแน่ๆ"
"แต่ฉันคงปล่อยให้นายไปทำเรื่องใหญ่ๆอย่างนั้นลำพังไม่ได้" นักล่าสาวยืนยัน
หนุ่มนักล่าจึงแทรกบ้าง "ผมว่าเรากลับหมดนี่แหล่ะ  แล้วผมว่า..." นักล่าหนุ่ม มอง สาวนักล่าห่วงๆ " แคท...คุณดูสารรูปตัวเองบ้าง  เจอพวกปลายแถวคุณอาจสู้ไหว แต่ถ้าเจอพวกเลเวลสูงๆ  คุณคงลำบากแน่ๆ กลับไปเตรียมตัวกันก่อนดีกว่า..."

"จะรีบกลับไปไหนกันเล่า?" เสียงเย็นๆของหญิงสาวถามมา

ทั้งหมดหันไปมองก็เห็นหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง  ผมสีขาวยาวแค่ไหล่สวมชุดสีขาวเน้นรัดสัดส่วนชวนมองเดินลงมาช้าๆเรือนร่างของเธอช่างอวบแน่น  จมูกและเรียงปากอิ่มเชิดท้าทายใจเพศชายนัก  อีกทั้งแววตาก็หยาดเยิ้มยั่วใจชวนให้เกิดอารมณ์เสียจริง  ยิ่งสองเต้าที่อูมเต่งซึ่งโผล่พ้นเกาะอกออกมากว่าครึ่งนั้นเล่า ก็น่าสัมผัสจับต้องคลึงเคล้าเสียเหลือเกิน เรียกว่าใครเห็นเป็นต้องเกิดได้อย่างไม่อาจหักห้ามหากเธอเข้ามายั่วยวน

แต่ที่ทำให้ต้องชะงักเพราะข้างหลังมีบุรุษในชุดคอมมานโดอาวุธปืนครบมือหลายสิบคนวิ่งกรูตามลงมา  ทั้งหมดตีวงล้อมเข้ามา ปืนทุกกระบอกเล็งมาที่ทั้งสาม  มองไปทางไหนก็เห็นแต่กระบอกปืนที่พร้อมลั่นกระสุนใส่  ทำเอาทั้งสามหันหลังชนกันแบบเตรียมพร้อมในวงล้อมที่หนาแน่นนี้

สาวชุดขาวยิ้มเย็นยะเยือก  พลางเท้าเอวเอ่ยทักหยันๆ "โอ้โฮ้...อยู่กันพร้อมหน้าเลย  เรด รีปเปอร์  นักล่าค่าหัว แล้วก็....."
"หมอผีสินจ้า...." หมอผีหนุ่มตอบทะเล้นๆ
สาวนักล่าถึงเอ่ยดุๆ "ยังจะมีอารมณ์พูดเล่นอีก...."
"พนันกัน ๕๐ ยูโร เรารอดเอาไหม?"นักล่าค่าหัวหนุ่มถามเย้าๆ พลางมองดูจำนวนเหล่าผีดิบในชุดทหารคลุมหน้าสีดำทั้งชุด
สาวนักล่าเอ่ยเครียดๆ "นั่น...นาง แวมไพร์รอร่า นะ....."
"อื่อ.อ.....งั้น...คงต้องเพิ่มเดิมพันอีกสักหน่อยเป็น  ๑๒๐ ยูโรเลย  เพราะดูท่าทางจะต้องหนักแน่ๆ" หนุ่มนักล่าเปลี่ยนเสียงเป็นเครียดๆขึ้น
หมอผีหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ "ใครหรอ?"
"รอร่า  สไตร์เกอร์  ฉายาเขี้ยวช่องคลอด  โหด อำมหิต และวิตถารที่สุดในหมู่พวกแวมไพร์" หนุ่มนักล่าตอบ
คำตอบทำเอาหมอผีหนุ่มงงๆ ขมวดคิ้ว "เขี้ยวช่องคลอด  ฟังดูไม่น่ากลัวเลยนะ น่าพิสูจน์มากกว่า...."
"พวกไม่เคยเจอก็พูดกันอย่างงี้แหล่ะ แต่พอได้พิสูจน์เรียบร้อยทุกราย..." หนุ่มนักล่าบอก  หมอผีหนุ่มยังทำหน้าสงสัย
สาวนักล่ามองหมอผีหนุ่มและทำท่าเคืองๆ  เธอว่า "จ้องตาไม่กระพริบเลย  อยากพิสูจน์หรือไง?"
"อื่อ.อ.อ...ก็น่าสนนะ   จะลองดูว่าสาวๆแวมไพร์นี่จะแตกต่างกันไหม  อยากรู้ไว้เป็นประสบการณ์...."
สาวนักล่าหยิกแขนของเขาทันที  เธอทำเสียงเขียวๆ "อย่า...แม้นแต่จะคิดเชียวนะ...."
"มีอะไรกันหรอ?" หนุ่มนักล่าค่าหัวถามงงๆ
หมอผีหนุ่มตอบเขินๆ "เอ่อ.อ.อ...อ์...ไม่มีอะไร  มาช่วยกันคิดหาทางเอาตัวรอดกันดีกว่า..."

"คริ...คริ...คริ...นี่ยังคิดว่าจะรอดอีกหรอ?" สาวแวมไพร์ชุดขาวเอ่ยอย่างขบขัน
สาวนักล่าเอ่ยเสียงเครียดๆ "อย่างไรเสีย  พวกฉันก็ไม่ยอมถูกจับหรือฆ่าได้ง่ายๆหรอก...."
"น่าเสียดายทีท่านมอทัซ สั่งให้จับตัวแกเป็นๆ  ไม่อย่างนั้นฉันคงจะตัดคอของแกด้วยมือของฉันเองแน่ๆ  นังแวมไพร์นอกคอกไม่รักพวกพ้อง!!!.."
สาวนักล่าผวาเข้าหาพร้อมชักดาบ "ไม่ต้องอ้าง  และไม่ต้องรออะไร  เข้ามาเลย..."
"ยิง!!!!" สาวชุดขาวสั่งทันที

ปัง!  ปัง!  ปัง!  ปัง!  ปัง!  ปัง!  ปัง!  ปัง!  ปัง!  ปัง!  ปัง!  ปัง!  ปัง!  ปัง!  ปัง!  ปัง!  ปัง!  ปัง!..............
เสียงปืนระดมยิงใส่ทั้งสามดังหูดับตับไหม้

นักล่าสาวกระโดดตีลังกาม้วนตัวไปยืนด้านหลังของพวกพลปืน  พอเท้าแตะพื้นเธอก็หมุนตัวกลับมาตวัดาบฟันใส่พวกมันสาม – สี่ คนที่หันไปหมายยิงใส่  ร่างที่ต้องอาวุธผงะหงายท้องลงไปนอนกับพื้นชักดิ้นสอง – สามทีก็สลายร่างกลายเป็นฝุ่นเถ้าไป  พวกที่เหลือกำลังตะลึงก็เจอนักล่าสาวพุ่งเข้าฟันใส่จนแตกฮือหลบกันระนาว

ฝ่ายหมอผีหนุ่มเองมีผิวหนังคงกระพันอยู่แล้ว  เขาวิ่งฝ่าคมกระสุนเข้าหาพวกผีดิบโดดมีนักล่าหนุ่มวิ่งตามมาเพื่อใช้เขาเป็นเป็นที่กำบังกระสุน  พอเข้าใกล้พวกวายร้ายผีดิบหมอผีหนุ่มก็ตวัดดาบไล่ฟันไม่เลือกเช่นกัน  หลายร่างต้องอาวุธล้มหงายกลายเป็นขี้เถ้าไป  ส่วนนักล่าหนุ่มเองก็ใช้ปืนแม็กนั่นกระบอกสีเงินในมือทั้งสองข้างยิงใส่พวกผีดิบไม่ยั้ง  และด้วยกระสุนที่ทำจากแร่เงินพอพวกผีดิบโดนก็ร่างสลายกลายเป็นฝุ่นเถ้าไปทันที....

เมื่อเกิดการสู้ระยะประชิด  พวกเหล่าพลปืนของพวกผีดิบก็แตกกระเจิง  ถูกทั้งสามพันธมิตรนักปราบผีร่วมด้วยช่วยกันไล่อัดไล่ฆ่าอย่างสนุกมือ  ทำเอานางแวมไพร์ผู้นำตาแดงก่ำด้วยความโกรธที่เหล่าพลปืนไม่ได้เรื่อง นางแย่งปืนจากเจ้าคนหนึ่งมาและเล็งไปที่สาวนักล่าซึ่งกำลังตวัดดาบตัดคอผีดิบตนหนึ่งขาดกระเด็น  นางแวมไพร์วาดกระบอกปืนใส่และลั่นไกทันทีหมายยิงร่างขาวๆอวบๆให้เป็นรูพรุนด้วยคมกระสุน

แต่ด้วยเสียงร้องเตือนจากหมอผีหนุ่ม  สาวนักล่ากระโดดหลบได้เส้นยาแดงผ่าแปด  แต่นางแวมไพร์ยังส่ายกระบอกปืนไล่ยิงไม่หยุด  แต่นักล่าสาวก็กลิ้งม้วนตัวหลบไปได้  และกระสุนพลาดไปโดนพวกตนล้มลงดีดดิ้นหลายคนนางแวมไพร์ก็ไม่สนยังคงยิงใส่และร้องด่าพวกตนที่ไม่ระวัง  สาวนักล่าอาศัยจังหวะที่ลูกปืนหมดกระโจนเข้าหาและเตะปืนในมือของนางกระเด็นไป  ทำเอานางแวมไพร์สุดแค้นกระชากมีดโค้งคู่ของตนออกมารับมือ

นางแวมไพร์ทำหน้าตาขึงขัง  พลางพูดขู่ "เก่งนักใช่ไหม นังเรด รีปเปอร์  วันนี้ฉันจะตัดคอของแกเอง.."
"กระจอกอย่างแกทำได้หรอ...." สาวนักล่าตวัดดาบไปด้านข้างพลางยืดตัวตรง สายตาเย็นชาฉายแววเหี้ยมๆ
แวมไพร์สาวขยับตัวเข้าหา นางร้องคำราม "แกยังไม่รู้จักฉันดีพอ  ถึงกล้าพูดอย่างนั้น..."
"ถ้าอย่างนั้นช่วยแนะนำหน่อย  อยากเรียนรู้เหมือนกันว่าแกจะแน่เหมือนปากไหม?" 
"ถ้าอย่างนั้นเตรียมเจอบทเรียนแรกได้เลย  นัง..เรด รีปเปอร์..." พูดจบนางแวมไพร์ยั่วสวาทก็กระโจนเข้าหานักล่าสาว

ทั้งสองพุ่งเข้าหากัน ต่างวาดอาวุธคู่กายเข้าปะทะกันอย่างคล่องแคล่ว  ผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างรู้เชิงและทันกัน ไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำ  ขณะที่ฝ่ายสองหนุ่มเองก็จัดการกับพวกพลปืนจนพวกมันลดจำนวนลงเรื่อยๆจนเหลือไม่กี่คน  แต่ทั้งสองก็อดห่วงสาวนักล่าไม่ได้  ทว่าเธอก็ยังต่อกรกับสาวแวมไพร์ได้อย่างสูสี

แต่ขณะสู้กันอยู่  ด้านปากโพลงกลุ่มพลปืนอีกหลายสิบคนโผล่เข้ามาพร้อมกับชายร่างใหญ่
พอมาถึงพวกมันก็ระดมยิงใส่ทั้งสองฝ่ายหูดับตับไหม้ไม่สนใจว่าจะโดนใคร  ทำเอาทั้งสองฝ่ายกลิ้งตัวหลบกันจ้าระหวั่น
สาวแวมไพร์มองผู้ใหม่  พอรู้ว่าเป็นใครก็แสนเดือดดาล  ขณะผู้มาใหม่หัวเราะร่วน

เจ้าผมยาวสีทองถามสาวแวมไพร์เย้ยๆ "ว่าไง รอร่า  จัดการสวะง่ายๆแค่นี้ยังไม่เรียบร้อยอีกเรอะ?"
"ริโอ้...แกให้พวกมันยิงมั่วอย่างงี้ได้อย่างไง  เกิดโดนฉันเข้าทำอย่างไง?" หญิงสาวต่อว่าอย่างเกรี้ยวกราด
"แหม...อย่างเธอกระสุนไอ้พวกนี้ไม่โดนได้ง่ายๆหรอก" เจ้าริโอ้ร่างใหญ่บอกอย่างไม่แคร์อะไร
สาวแวมไพร์เม้มปากท่าทางเคืองๆ "แกนะแก....ฮึ!!"
"ล้อมจับมันไว้ให้ได้  อย่าให้มันหนีไป..." เจ้าริโอ้ผู้มาใหม่ร้องสั่งลูกน้อง

เสียงปืนดังสนั่นลั่นโพลง  สามคนพิฆาตผีต้องหลบหัวซุกหัวซุนตามหลืบหิน  กระสุนเจาะเศษหินปลิวกระจาย
หมอผีหนุ่มคอยกันร่างของสาวนักล่าเอาไว้  ขณะหนุ่มนักล่าค่าหัวคอยยิงโต้  แต่ก็เจอยิงกลับมาชนิดโงหัวไม่ขึ้น
เจ้าริโอ้ร่างใหญ่เองก็มันเขี้ยว  มันแย่งปืนลูกน้องและยิงใส่พร้อมระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ  โดยเฉพาะตรงที่นักล่าฆ่าหัวหมอบอยู่มันกระหน่ำยิงใส่เหมือนมีเรื่องราวอาฆาตอยู่ในใจ...

"ว่าไง? ไอ้ แจ็กค์  แดร์โรว์  เอ็งบอกจะจับข้าตอนไม่ใช่หรือ โผล่หัวออกมาสิวะ" กระหน่ำยิงใส่แล้วร้องท้าทาย
สาวแวมไพร์ คลานมาหาแล้วยืนขึ้นข้างๆ  เสียงต่อว่าดังขึ้น "แกนี่มันระห่ำจริงๆ  ไม่ห่วงจะโดนฉันบ้างหรือไง?"
"กลัวโดนยิงก็อย่ามาขวางสิ.." เจ้าริโอ้บอกอย่างไม่แคร์คนฟัง
"พอแล้ว  ท่านมอทัซ สั่งจับเป็นนัก เรค รีปเปอร์  เดี๋ยวพลาดไปโดนมันตาย" สาวแวมไพร์ร้องสั่ง
เจ้าริโอ้ทำสายตาไม่พอใจ  แต่มันก็ยกมือบอกพรรคพวก "หยุดยิง...."

ชั่วครู่เสียงปืนจึงเงียบลง

เจ้าริโอ้ร้องบอกทั้งสามพันธมิตร "เฮ้ย....ออกมายอมจำนนได้แล้ว  ไม่งั้นข้าจะสั่งยิงให้ตายหมู่นะโว้ย..."
"อย่าหวังเลย...ไอ้พวกผีดิบจากนรก  พวกข้ายอมตายไม่ยอมจำนนพวกเอ็ง" สาวนักล่าตอบกลับมาอย่างเด็ดเดี่ยว
เจ้าริโอ้ มองสาวแวมไพร์ยิ้มๆ "พวกมันว่าไม่ยอมอ่ะ"
"ก็สนองศรัทรามันไปสิ..." สาวแวมไพร์บอกเสียงเรียบๆดวงตาวาวด้วยความขุ่นเคือง
"หากพลั้งมือไปนาง เรด รีปเปอร์ ตายจะไปบอกท่าน มอทัซ อย่างไง?" เจ้าร่างใหญ่บอกเสียงเครียดๆ
"ฮื่อ.อ.อ....." นางแวมไพร์ทำท่าหนักใจ "ถ้าอย่างนั้นก็กระหนาบเข้าไปจับมัน..."
"ได้เลย...." รับคำแล้ว มันก็หันไปสั่งลูกน้อง "ตีวงล้อมกระชับพื้นที่เข้าไป  กระหน่ำยิงตรึงมันไว้  ฆ่าได้ทุกคนยกเว้นนาง เรด รีปเปอร์  อย่าให้มันมีรอยขีดข่วนนะ...."

สิ้นคำสั่งเสียงปืนก็คำรามลั่นไม่ขาดระยะอีกครั้ง

นักล่าค่าหัวถามพรรคพวก "เอาไงดี  มันมาเป็นกองทัพ  กระหน่ำยิงเราอย่างกับหนังสงครามเลย"
"พาคุณแคทหนีไป  เขากำลังแย่...." หมอผีหนุ่มบอก
นักล่าค่าหัวมองงงๆ แต่พอเห็นอาการของหญิงสาวก็เข้าใจ  ยามนี้เธอเริ่มตัวสั่นตาขวางอีกแล้ว "นะ..นี่...วัคซีนขาดหรอ?"
"รอบที่สองแล้ว  รอบแรกพอแก้ได้ทัน..." หมอผีหนุ่มบอก
นักล่าค่าหัวจ้องหน้าเขา แล้วถามอย่างสงสัย "รอบแรกแก้ได้ทัน  คุณแก้ได้อย่างไง?"
"เอาน่า...อย่าสงสัย  รีบพาแคทไปเร็วๆ  มันบีบพื้นที่เข้ามาแล้ว" หมอผีหนุ่มรีบตัดบท
นักล่าหนุ่มลากร่างที่สั่นงั่กๆของนักล่าสาวให้ถอยตามไป "แคท..ยังไหวไหม?"
"ฮื่อ.อ.อ.อ.อ....อ์....." สาวนักล่าพยายามพยักหน้า  ตาดำไม่เหลือแววแล้ว  ตัวสั่นราวจับไข้หนัก
แต่ก่อนจะถอย  นักล่าหนุ่มอดถามสหายด้วยความห่วงไม่ได้  "แล้วคุณรับมือพวกมันไหวหรอ  มันมีเป็นกองทัพเลยนะ"
"จะพยายามลองดู  รีบๆไปกันเถอะ..."
หนุ่มนักล่าลากร่างคู่หูไปพร้อมอวยพร "โชคดีนะ...."

หนุ่มนักล่าลากร่างของหญิงสาวนักล่าให้ตามไปอย่างทุลักทุเลเพราะต้องคอยหลบกระสุนที่ยิงไล่หลังมา
พอทั้งสองไปห่างและพวกพลปืนของผีดิบยกโขยงไล่เข้ามา  หมอผีหนุ่มควักระเบิดมือออกมาจากย่ามและรอจังหวะ 
เขาโผล่ขวางพวกมันพร้อมแกะสลักและโยนใส่  พวกมันสะดุ้งตกใจกระโดดหลบกันเป็นแถว
แต่ก็ไม่ทันระเบิดทำงานแตกตัวเสียงดังสนั่นพื้นดินและเพดานโพลงสะเทือน 
ร่างของพวกผีดิบแถวหน้าฉีกขาดกระจายด้วยแรงทำลายล้าง  แต่พวกที่เหลือก็ยังกระหน่ำยิงใส่ 
หมอผีหนุ่มหยิบลูกระเบิดออกมาขวางใส่พวกมันอีกหลายลูก  แต่ก็ทำได้แค่สกัดพวกมันไว้  เพราะพวกยังหนุนเนื่องมาต่อไม่ขาดระยะ  จนกระทั่งลูกระเบิดหมดหมอผีหนุ่มจึงต้องออกวิ่งตามทั้งสองไป....

เจ้าริโอ้เห็นพรรคพวกพลาดท่าตกตายมากมายก็แค้นเคือง  มันสั่งพวกที่เหลือทันที "รีบตามไป แล้วฆ่ามันให้ได้..."

ที่ทางออกของจากโพลงใต้ดินด้านหนึ่ง  นักล่าค่าหัวพาร่างอวบอัดที่ไร้เรี่ยวแรงของสาวนักล่าขึ้นมาได้  แต่ก็เล่นเอาเขาเหนื่อยแทบหมดแรง  และต้องตกใจเมื่อหมอผีหนุ่มโผล่ตามไล่หลังมา เขาเกือบจะยิงใส่ดีที่ได้ทันเห็นเสียก่อนว่าเป็นใคร ทั้งสองจึงช่วยกันลากร่างของสาวนักล่ามาหลบหลังโขดหิน

หมอผีหนุ่มว่า "คุณพาแคทหนีกลับไปรับวัคซีนโดยด่วน  ทางนี้ผมจะล่อมันไว้เอง"
"ผมติดต่อหน่วยไปแล้ว  อีกสักครู่คงจะมารับ" นักล่าหนุ่มบอกเสียงหอบๆ
หมอผีหนุ่มสงสัย เขาจึงถาม "แล้วพวกคุณจะมาหาถูกได้อย่างไง?"
"ในตัวทีมผู้ร่วมงานของเราทุกคนจะฝังชิฟเอาไว้  และเราจะค้นหาคนๆนั้นจากสัญญาณชิฟภายในตัว ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าเราอยู่ที่ไหน  ผมตามพวกคุณมาถูกก็จากสัญญาณชิฟนี่แหล่ะ.." นักล่าหนุ่มอธิบาย  หมอผีหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจ
เขาบอกนักล่าอีกครั้ง "ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปเถอะ  แล้วระวังนะ..."
"ระวังอยู่แล้วพวกผีดิบน่ะ"
"ไม่ใช่ระวังพวกผีดิบ  ให้ระวังอย่าให้ชิฟหายไม่งั้นพวกคุณจะตามหาไม่เจอ..."
บอกจบหมอผีหนุ่มก็วิ่งไปอีกทาง เมื่อพวกผีดิบตามขึ้นมาจากโพลง  พวกมันออกวิ่งไล่ตามเขาไปทันที
นักล่าหนุ่มส่ายหัว  พลางรำพึง"นึกว่าเราขี้เล่นเป็นคนเดียวนะนี่  หมอผีคนนี้ก็กวนไม่เบาเหมือนกัน  รอดให้ได้นะสหาย"
เอ่ยจบเขาก็ประคองพาร่างแน่นเนื้อของสาวนักล่าที่อาการชักร่อแร่ตาขวางวิ่งไปอีกทาง

พวกแวมไพร์ไล่ล่าตามหมอผีหนุ่มไปทั้งโขยง  หมอผีหนุ่มซุ่มแย่งปืนจากพวกมันได้ก็ยิงใส่จนพวกที่ไล่ตามมาล้มกลิ้งระเนระนาด  ทว่าเจ้าริโอ้ร่างใหญ่ที่ตามมาทันมันกระโดดกอดร่างของเขาตอนเผลอจนล้มลงเสียหลักไปด้วยกัน   พอตั้งหลักได้ก็ซัดกันด้วยกำปั้นดิบๆ  แต่พวกสมุนที่ตามมาก็ช่วยกันรุมจนเกิดการนัวเนียซัดกันมั่วไปหมด

จนกระทั่งสมุนคนสุดท้ายถูกชกคว่ำไป  เจ้าริโอ้ฉวยโอกาสตอนหมอผีหนุ่มกำลังอ่อนแรง  มันบีบคอของเขาแล้วยกร่างขึ้นแขวนกลางอากาศ  หมอผีหนุ่มตาเหลือกพยายามทั้งดิ้นทั้งถีบใส่มันเพื่อให้ตัวเองหลุดเป็นอิสระ  ทว่าทั้งหมัด เท้า และกำปั้นของเขาไม่อาจทำให้มันสะเทือนได้  และดาบฟ้าลั่นก็หลุดจากมือไปก่อนหน้า

ขณะที่หมอผีหนุ่มจะหมดลม  เขาชักมีดหมอออกมาจากย่าม และตัดฉับไปที่ข้อมือของเจ้าริโอ้ร่างยักษ์
เจ้าร่างยักษ์ร้องลั่นกุมข้อมือที่ขาด  หมอผีหนุ่มฉวยโอกาสถีบร่างของมันกลิ้งตกเนินไป  และนั่งทรุดหอบหายใจตัวโยน
แต่ยังไม่ทันที่จะหายเหนื่อยเหลือบมองไปก็เห็นแวมไพร์สาวพาพวกวิ่งใกล้เข้ามาอีกเป็นโขยง  เขาส่ายหน้าหน่ายๆก่อนจะลุกขึ้นไปเก็บดาบคู่มือและวิ่งหนีต่อไป

หมอผีหนุ่มวิ่งมาถึงที่ท่าน้ำเห็นเรือหางยาวของคนหาปลาแถวนั้นจอดอยู่  มองซ้าย – ขวาไม่เห็นมีใครก็กระโดดลงไปแล้วพยายามติดเครื่อง  พวกวายร้ายตามมาก็ระดมยิงใส่  หมอผีหนุ่มใช้ปลายดาบขันรูกุญแจและติดเครื่องจนได้ก็ขับเรือหางยาวหนีออกจากท่าไป  แม้นจะมีพวกผีดิบสอง – สาม คนกระโดดตามมาทันและพยายามช่วยกันหยุดเขาไว้แต่ก็ถูกเขาอัดตกน้ำหรือไม่ก็ถูกฟันด้วยดาบร่างสลายกลายเป็นเถ้าไป  นางแวมไพร์สาวมองตามหมอผีหนุ่มที่ขับเรือหางยาวหายไปในความมืดของคุ้งน้ำอย่างเจ็บใจ

"ฮึ่ม.ม.ม...เจ็บใจจริงๆ  มันหนีไปได้ต่อหน้าต่อตา..."สาวแวมไพร์กัดฟันแล้วเค้นเสียงแค้นๆ 
ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยถาม "เอาไงต่อครับคุณ รอร่า?"

แวมไพร์สาวไม่ตอบ สะบัดก้นเดินหันหลังไป  พวกลูกสมุนก็เดินตามกลับไปเป็นพรวน
เดินเรื่อยๆมาจนเจอเจ้าริโอ้ ที่กำลังนอนร้องโอดโอยขณะลูกน้องช่วยกันประคองและดูอาการ

เจ้าริโอ้ร้องลั่นเมื่อลูกน้องพันแผลให้ "ระยำเอ้ย!!! เบาๆเจ็บโว้ย...."
"ชริ..มีกันมาเป็นกองทัพ  มันแค่สามคนก็เอาไม่อยู่..." สาวแวมไพร์เอ่ยอย่างดูแคลน
เจ้าริโอ้ผุดลุกขึ้นต่อว่าเคืองๆ "หล่อนเองก็ห่วยเหมือนกัน  ถึงปล่อยมันหนีไปได้"
"ถ้าไม่ใช่เพราะแกมาแส่  ฉันก็จับพวกมันได้แล้ว" สาวแวมไพร์เอ่ยอย่างเคืองๆ
"อย่ามาโทษกันสิ...เก่งจริงเมื่อกี้ตามไปทำไมจับมันไม่ได้ล่ะ?"
"แก.....ไอ้ริโอ้!"
แต่ก่อนจะเถียงกันเสียงแหบๆทรงอำนาจก็ดังแทรกห้ามมา "พอแล้วทั้งคู่..."

ชายผมยาวหน้าขาวซีดเดินออกมาจากความมืด  ทุกคนในที่นั้นก้มหัวทำความเคารพ  เขามาหยุดยืนที่เบื้องหน้าของเจ้าร่างใหญ่และแวมไพร์สาว  สายตาเย็นชาไม่มีแววบ่งบอกอารมณ์  แต่กระนั้นทั้งหมดก็รู้สึกเย็นยะเยือกยามอยู่ใกล้  และยิ่งทำงานพลาดก็เกรงการลงทัณฑ์จากจอมผีดิบยิ่งนัก  เพราะตัวอย่างที่เห็นมามีแต่ต้องสิ้นชีวาอย่างโหดร้ายทรมาน

เจ้าร่างใหญ่เอ่ยเสียงสั่นๆ "ทะ..ท่าน มอทัซ คะ..คือว่า...."
"ไม่ต้องบอกหรอก  ข้าเห็นสภาพพวกแกก็พอจะรู้แล้ว  นับว่ามันแน่จริงๆที่หนีรอดไปได้..." จอมผีดิบบอกเสียงเย็นๆ
"ทำไมไม่ฆ่ามันเลย  ง่ายกว่าเยอะนะท่าน" แวมไพร์สาวถามอย่างกังขา
จอมผีดิบยิ้มน้อยๆ "ข้าจำเป็นต้องใช้ตัวของนางกึ่งมนุษย์นั่น  และพวกเจ้าด้วย..."
"เอ่อ.อ.อ...หมายความว่าไงครับท่าน มอทัซ..." เจ้าลูกน้องร่างใหญ่ถามเสียงกังวลๆ
จอมผีดิบจับไหล่ของมันแล้วบอก "ข้าต้องการครองโลกและมีพลังเหนือใคร  ข้าทำคนเดียวไม่ได้  ข้าต้องให้พวกแกช่วย"
"คะ..ครับ...พวกเรายินดีรับใช้ท่าน มอทัซ..." เจ้าร่างใหญ่ถอนหายใจอย่างโล่งอก  เพราะจะไม่ถูกลงโทษจากที่พลาดเมื่อครู่
แวมไพร์สาวเอ่ยบ้าง "แต่เจ้าหมอผีคนไทยนั่นไม่เบานะ  มันเล่นเอาพวกเราหัวปั่นไปเลย  ไม่มีมันละก็ นาง เรด รีปเปอร์ไม่รอดมือของพวกเราไปได้หรอก"
"สำหรับข้ามันก็แค่แมลงวันน่ารำคาญเท่านั้น  ไว้ค่อยจัดการมันทีหลัง  ตอนนี้เรามีเป้าหมายหลักสำคัญรออยู่" จอมผีดิบเอ่ย
นางแวมไพร์สาวและเจ้าร่างใหญ่ขมวดคิ้ว  นางแวมไพร์ถามว่า "เป้าหมายหลักอะไรหรอ?"
"หุ  หุ  หุ.....จัดการพวกสภาแวมไพร์  ตอนนี้เราต้องรัฐประหารยึดอำนาจของพวกมันเป็นปฐม" จอมผีดิบบอกเป้าหมาย
เจ้าร่างใหญ่หัวเราะร่วน "ฮะ..ฮะ..ฮะ...ข้าเห็นด้วย  หมั่นไส้มานานแล้วไอ้พวกสภาบอร์ด  วางมาดวางฟอร์มเหลือเกิน  เวลามันมองพวกเรานี่เหมือนสิ่งน่ารังเกียจ  ข้าจะลากมันมากระทืบๆๆๆให้จมดินเลย..."

"ใช่...เรารับใช้ให้พวกมันมานานแล้ว  ถึงคราวเราจะเอาทุกสิ่งที่พลีชีพเพื่อพวกมันคืนมาเสียที..."น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูกขณะสายตาเลื่อนไปมองขอบฟ้าที่กำลังเรืองรองเบื้องหน้า  สายตาของเขาทอประกายวาวอย่างอาฆาต  "ดีที่พวกเจ้าเห็นด้วย  ช้า – เร็ว พวกมันก็ต้องกำจัดเราอยู่แล้ว  เราจะต้องชิงลงมือก่อน  โดยเริ่มที่เจ้าประธานของพวกมัน  คราวนี้แกจบแน่......อเล็กซ์  เฟอร์กูสัน....หุ  หุ  หุ..."

จอมผีดิบเอ่ยชื่อเป้าหมายแล้วยิ้มที่มุมปาก

--------------------------------------------------------

แสง แดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบใบหน้าทำให้สาวนักล่าแวมไพร์ต้องหรี่ตาและยกมือขึ้นป้อง เธอขยับตัวเล็กน้อยก็รู้สึกระบมไปทั้งตัว  พยายามคิดทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน  โดยเฉพาะเรื่องของหมอผีหนุ่มที่ฉวยโอกาสล่วงเกินเธอ  แสงแดดยังคงส่องไล้ใบหน้างาม  เธอลุกขึ้นและเดินไปยืนที่หน่าต่างพร้อมกับดึงผ้าม่านลงมาปิดด้วยท่าทาง รำคาญก่อนจะเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา

จากนั้นจึงเปิดตู้เพื่อ เปลี่ยนชุด แต่เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ในนั้นแล้วลูกครึ่งแวมไพร์ก็ต้องถอนใจ เธอดึงชุดหนังสีดำประจำตัวออกมาจ้องนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงผลัดชุดนอนออก หลังจากสวมเสื้อผ้าใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงสวมทับด้วยเสื้อคลุมอีกครั้ง  เธอสำรวจตรวจตราร่างกายในกระจกชั่วครู่ก็เดินออกจากห้องพักของตนไป

มาถึงที่โรงอาหารของหน่วย  หมอผีหนุ่มและนักล่าค่าหัวกำลังคุยกันอย่างถูกคอ  เธอเดินมาเงียบๆเมื่อนักล่าค่าหัวมองเห็นเธอมาเขาก็เงียบทำให้หมอผีหนุ่มหันไปมองตาม  เขาจึงได้สบสายตาเย็นชาแต่แฝงความขุ่นเคืองลึกๆไว้ข้างใน  หมอผีหนุ่มฉีกยิ้มกว้างรีบลุกขึ้นขยับเก้าอี้ด้านข้างให้

เขาเอ่ยเสียงระรื่น "เชิญนั่งครับคุณแคท..."
"ขอบใจ..." หญิงสาวทิ้งตัวลงนั่ง
"ทานอะไรไหม?" หมอผีหนุ่มถามอย่างเอาใจ
หญิงสาวชำเลืองมองด้วยหางตา  รู้สึกเคืองๆ แต่ก็บอกไปอย่างเสียไม่ได้ "คาปูชิโน่...."
"สักครู่....." พูดจบก็หันกายไปยังเคาเตอร์  หยิบกาแฟผงมาเทใส่แก้วฮัมเพลงไปใส่น้ำร้อนแล้วชงให้อย่างอารมณ์ดี
นักล่าค่าหัวหนุ่มมองงงๆ  เขาขมวดคิ้วทำหน้าล้อๆ "เหมือนคุณกับเขาสนิทกันมากๆนะ  ไปเสี่ยงตายด้วยกันคืนเดียวก็..."
"เงียบไปเลย แจ็กค์  อย่าคุยเรื่องไร้สาระน่า..." หญิงสาวบอกเสียงดุๆ
แต่ก่อนจะคุยต่อ  หมอผีหนุ่มก็เอากาแฟมาวางให้ขัดจังหวะ "มาแล้วครับ คาปูชิโน่ จากเขาช่อง..."
"....เชิญ...." นักล่าค่าหัวทำหน้าทะเล้นแล้วผายมือให้หญิงสาว  ทำเอาเธอเม้มปากแล้วยกขึ้นดื่มด้วยสายตาเคืองๆ
หมอผีหนุ่มนั่งลงแล้วเอ่ยถามน้ำเสียงห่วงใย "เอ่อ.อ.อ...คุณแคทหายดีแล้วหรือครับ..."
"ดีแล้ว..ฉันไม่เจ็บนานหรอก  เจ็บหนักแค่ไหนร่างกายของฉันก็จะฟื้นตัวเหมือนเดิมเมื่อครบเวลา ๒๔ ชั่วโมง"
"แหม ดีจังเลย...ส่วนของผมนี่ต้องใช้ว่านบดทาแล้วเป่าคาถา  ถึงจะหายแต่มันก็ยังเจ็บระบมอยู่.."หมอผีหนุ่มคุยเรื่องของตน
นักล่าค่าหัวถามอย่างสนใจ "เป็นแผลใช้ว่านบดทาแล้วหาย  โอ้ว..อะเมซซิ่ง...ศาสตร์ของคุณนี่น่าสนใจจริงๆ"
"ไว้ว่างๆมาเรียนรู้ด้วยกันสิ  ผมก็สนใจศาสตร์ของคุณเหมือนกัน" หมอผีหนุ่มบอกอย่างยิ้มแย้ม
"ใช่ๆๆๆ มาแลกเปลี่ยนความรู้กัน ฮ่า  ฮ่า  ฮ่า......"
ขณะทั้งสองคุยกัน นักล่าแวมไพร์สาวก็เอ่ยขัด "แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องวิชาการกันอย่างเดียวก็ดี  กลัวจะแลกเปลี่ยนแต่เรื่องหื่นๆกันนะสิ  ดูท่าจะพอๆกันนะนั่น....."
"แหม....  แคท...ผู้ชายคุยกันเรื่องไหนจะมัมเท่าเรื่องใต้สะดือเล่า.." นักล่าหนุ่มบอกกลั้วเสียงหัวเราะ

แต่ก่อนจะคุยกันต่อ  ก็มีเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาหาทั้งสาม
เจ้าหน้าที่เอ่ยแทรกว่า "คุณ ดัลกลิช  เชิญคุณทั้งสามไปพบครับ.."
"แล้วเราจะไป..." หญิงสาวรับคำ  เจ้าหน้าที่จึงเดินไป
นักล่าหนุ่มว่า "สงสัยได้เบาะแสอะไรใหม่ๆอีกแล้วมั้ง  อยู่เมืองไทยนี่ดีจริงๆเลย  ออกลุยได้ทุกวัน"
"ไม่อยากไปก็ยื่นจดหมายลากิจสิ..." สาวนักล่าบอกแล้วลุกขึ้นเดินออกไป

นักล่าค่าหัวหนุ่มมองตามหลังร่างอวบขาวที่พราวเสน่ห์  แล้วหันมาบอกหมอผีหนุ่ม " แคท นี่ความจริงก็สวยน่ารักนะ  แต่เสียอย่างเดียวเธอไม่ค่อยชอบหน้าผม คุณว่าไหม?..."
"ผมก็ว่าอย่างงั้นแหละ  และไม่ใช่ไม่ค่อยชอบอย่างเดียวด้วยท่าทางจะไม่ชอบมากๆเลย" หมอผีหนุ่มบอกแล้วจ้องตาของเขา
นักล่าค่าหัวหนุ่มขมวดคิ้ว  เขาเอ่ยอย่างฉงน "ขนาดนั้นเชียวหรอ?"
"ฮื่อ.อ.อ...จริงๆ" หมอผีหนุ่มพยักหน้าอย่างจริงจัง

นักล่าหนุ่มหันไปมองตามร่างแน่นเนื้อแสนเย้ายวนแล้วถอนหายใจ  หมอผีหนุ่มตบบ่าแล้วยิ้มให้เขาพลางลุกขึ้นยืน
เขาเอ่ยชวนว่า "ไปกันเหอะ  มีงานรออยู่"
"อื่อ.อ.อ.." หนุ่มนักล่าลุกขึ้นและเดินตามออกไป


ที่ห้องประชุมของหน่วยงาน

เคนนี่   ดัลกลิช นั่งอยู่หัวโต๊ะ  มี นักล่าสาว หมอผีหนุ่ม  นักล่าค่าหัว และแดนนี่คนขับรถนั่งอยู่พร้อมหน้า
ทุกคนอ่านรายงานเบื้องหน้า  โดยมี เคนนี่  ดัลกลิช  นั่งเงียบๆรออยู่
จนกระทั่งทุกคนอ่านจบเขาก็เริ่มพูดขึ้น
"นั่นคือรายงานการพบเห็นสิ่งผิดปรกติที่หมู่บ้านแห่งนั้น  มีรถบรรทุกเข้า – ออกอย่างผิดสังเกต เหมือนพวกมันกำลังขนย้ายลำเลียงบางอย่างเข้าไป และที่ๆนั้นคือโรงงานแห่งนี้.."  เอ่ยจบ ชายชราก็กดภาพโรงงานเก่าๆให้ทุกคนได้ดู "นี่คือโรงงานร้างที่รถบรรทุกพวกนี้นำของเข้าไปเก็บไว้  เป็นของนักการเมืองคนหนึ่งที่เพิ่งชื้อต่อมาจากนายทุนเก่าที่ถูกสั่งปิดไปเพราะโรงงานทำลายสภาพแวดล้อมของชุมชน  ทำให้เราสงสัยว่า พวก ดาร์ก แฮนด์  กำลังใช้ทำการอะไรบางอย่าง"
"มันง่ายไป..." สาวนักล่าเอ่ยขึ้น ทุกคนต่างหันไปมองเธอจนหมด เธอเอ่ยต่อ "มันง่ายไปที่เราจะหามันพบได้ง่ายๆอย่างนี้  เหมือนมันจงใจจะให้เราสังเกตเห็น  ฉันว่าพวกมันกำลังล่อพวกเราไปหามากกว่า..."
"เพื่ออะไร?" นักล่าค่าหัวหนุ่มถามแทรก
สาวนักล่ามองหน่ายๆ เธอเอ่ยอย่างหยันๆ "ก็เพื่อกำจัดพวกเราไง   คิดหรือว่าพวกนี้จะทำอะไรประเจิดประเจ้อให้เราได้เจอง่ายๆอย่างนี้  มันเจตนาจะล่อพวกเราไปสู่หลุมพรางบางอย่าง.."
"แต่ผมไม่กลัว  ถึงเป็นหลุมพรางของพวกมันผมก็จะไป..." หนุ่มนักล่าค่าหัวบอกเสียงเข้มๆ สีหน้ามุ่งมั่น
"บ้าพลังอย่างเดียวไม่พอ  ยังไม่มีสมองอีก...." สาวนักล่าบอกเยาะๆชำเลืองมองด้วยสายตาดูแคลน
หนุ่มนักล่าลุกขึ้นยืนอย่างมีอารมณ์  เขาถามเสียงดัง "คุณว่าอะไรนะ แคท..."
"ใจเย็นน่า..." หมอผีหนุ่มที่นั่งคั้นกลางลุกขึ้นห้าม "คุณสองคนจะเถียงกันทำไม  ใจเย็นๆน่าคุณแจ็กค์..."
"ใช่..ใจเย็นๆ..." ชายชราเอ่ยอย่างระอาใจ  เขาเอ่ยต่อ "ถึงจะรู้ว่าเป็นกับดักหรือหลุมพราง  เราก็ต้องไปสืบดูให้รู้ชัด"
"หมายความว่า?" สาวนักล่าถามแล้วค้างไว้แค่นั้น
ชายชราพยักหน้า "ใช่...ผมจะส่งคุณกับแดนนี่ไปตรวจสอบ"
"ยะ..ยินดีครับ..." แดนนี่คนขับรถยิ้มเจื่อนๆให้สาวนักล่า
สาวนักล่ามองด้วยสายตาเฉยๆ  แล้วรับคำ "ค่ะ...."
"ขอย้ำว่าให้ไปตรวจสอบเฉยๆ  อย่าทำอะไรโดยพละการนอกเหนือไปจากที่สั่งนะ"
สาวนักล่านั่งนิ่ง  แล้วถอนหายใจก่อนรับปากแบบไม่ค่อยสบอารมณ์ "ค่ะ..."
"แล้วผมล่ะ  มีอะไรให้ทำไหม?...." หนุ่มนักล่าค่าหัวถามบ้าง
ชายชราหันมาทางเขาและหมอผีหนุ่ม "คุณสองคนไปหาคนๆนี้  ชื่อ ปี๊ด...เขาเป็นสายของเรา  วันนี้เรานัดไปรับตัวเพื่อนำเขาไปอยู่ที่ เชฟ  – เฮ้าท์   แล้วเขาจะให้ข่าวเบาะแสที่ตั้งใหญ่ของพวกดาร์ก แฮนด์  งานนี้สำคัญมากๆอย่าให้พลาด"
"รับรองครับ.." นักล่าค่าหัวหนุ่มยิ้มระรื่น  เขาสบตาสาวนักล่าแบบล้อๆทำนองได้รับงานสำคัญกว่า
แต่สาวนักล่าไม่วายแขวะ "เฮอะ...อย่าปล่อยให้สายถูกฆ่าต่อหน้าเหมือนที่ปูดาเปสล่ะ..."
"คราวนั้นเพราะมีคนใจร้อนร่วมงานและออกอาการจนพวกผีดิบรู้ทัน  คราวนี้ไม่มีไปด้วยรับรองเป็นไปตามแผนแน่ๆ"
"นาย......" สาวนักล่าขบฟันเคืองๆก่อนจะลุกขึ้นและสะบัดเดินหนีออกไป
หมอผีหนุ่มลุกขึ้นเดินตามมา เขาจ้องตาซึ้งๆ "ระวังตัวด้วยนะ  ผมเป็นห่วงจริงๆอยากไปด้วยจังเลย  จะได้คอยปกป้องคุณ.."
"ฮื้อ.อ..." สาวนักล่ายิ้มอย่างซาบซึ้ง แล้วเธอก็ทำหน้าดุ  จิ้มสองนิ้วเข้าที่ลูกตาของเขา หมอผีหนุ่มทรุดลงกุมเป้าตา  สาวนักล่ามองแล้วกัดฟันกรอดๆ  เธอว่า "ไม่มีนายไปด้วย ฉันจะปลอดภัยกว่า..." ว่าแล้วก็ก้าวฉับๆออกไป
"รอผมด้วย...  " แดนนี่คนขับรถร้องตะโกนบอก  แล้ววิ่งตามออกไป

คล้อยหลัง สาวนักล่าแวมไพร์ เจ้าอารมณ์  เคนนี่ ดัลกลิช เอามือกุมขมับแล้วบีบเบาๆก่อนมองสองหนุ่มที่ยังอยู่
ชายชราว่า "เอาละ  ไปทำงานตามหน้าที่ได้แล้ว.."
"คะ...ครับ...อู้ย.ย.ย..ย์...." หมอผีหนุ่มขยี้ตาแล้วค่อยๆลุกขึ้นมา
นักล่าค่าหัวมาช่วยประคอง  และถามเย้าๆ "ว่าไง...ไหวไหม?"
"อื่อ.อ.อ..พอทนไหว..."
"ผมว่าเค้าไม่ได้ชอบหน้าผมคนเดียวแล้วนะ  ท่าทางคุณด้วยอีกคน..." นักล่าค่าหัวบอกยิ้มๆ
หมอผีหนุ่มบอกเขินๆ "เอ่อ...ก็ไม่เชิงนะ...มันก็มีเหตุผลบางอย่างน่ะ..."
"แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้  ผมรู้ว่าไม่มีเหตุผล.." นักล่าค่าหัวโอบไหล่ของหมอผีหนุ่มแล้วพาเดินออกจากห้องประชุมไป

เคนนี่ ดัลกลิช มองตามหลังแล้วก้มหน้าเอาสองมือกุมหัวพลางรำพึง

"ทีมนี้มันจะไปได้ตลอดรอดฝั่งไหมนี่?...."

<>::<>::<>::<>::<>::<>

ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวยามบ่ายกว่าๆของชุมชนขนาดกลาง  บนท้องฟ้าไม่มีก้อนเมฆสักก้อนที่จะลอยมาบดบังแสงอาทิตย์ได้แม้แต่นิด แต่ภายในบ้านหลังหนึ่งกลับเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศ  ภายในห้องทึบมืดสลัวๆมีเจ้าของห้องเป็นชายร่างผอมกร่องกำลังนั่งเสพยาอย่างสบายใจ  เมื่อผงยาสลายกลายเป็นควันมันก็ใช้หลอดสูดเข้าจมูกและทำท่าเคลิ้บเคลิ้มไปกับฤทธิ์ยาหลอนประสาท  ชายร่างผอมนี่ชื่อเจ้าปื้ด...

ในชุมชมแห่งนี้รู้จักมันดีในฐานะผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่คนหนึ่ง   เจ้าปื้ดผู้นี้ตอนเด็กๆมันเคยตะบันชีวิตอย่างโชกโชน เนื่องด้วยกำพร้ามาแต่เล็ก  เริ่มต้นก็ลักเล็กขโมยน้อยและแถมยังลองยาเสพติดมาแล้วแทบทุกชนิดจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ  นานเข้าเลยกลายเป็นผู้ค้าไปเลย บ่อยครั้งเลยต้องย้ายชีวิตไปอยู่ในลูกกรง  ปัจจุบันมันผันตัวเองมาเป็นผู้รับใช้ให้พวก ดาร์ก แฮนด์ คอยจัดหาสิ่งของผิดกฎหมายและส่งข่าวกรองต่างๆโดยมีค่าตอบแทนมหาศาล   ทำให้มันขยับฐานะอย่างรวดเร็ว

ทว่าเมื่อได้รับการเสนอจากอีกฝ่ายด้วยจำนวนเงินมหาศาล  เจ้าปื้ดก็ไม่ลังเลที่จะทรยศอู่ข้าวอู่น้ำเก่าเพื่อขายความลับ เพราะมันถือเรื่องเงินตอบแทนเป็นใหญ่  ชีวิตที่แร้นแค้นอดอยากในวัยเด็กสอนให้มันรู้ว่า  เกิดเป็นคนลำบากที่สุดก็ตอนท้องหิว  มันจึงสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้ท้องหิวอย่างเด็ดขาด  มันจะต้องหาเงินมาชื้อและบำเรอตัวมันเองให้สุขสบายโดยไม่สนวิธีการ  ใครจ่ายดีมีผลประโยชน์ให้มากกว่ามันพร้อมทำงานให้

ขณะมันกำลังล่องลอยกับยาเสพติดกล่อมประสาทอยู่นั้น  มันก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก.... "พี่ปื้ด...พี่ปื้ด...พี่ปี้ด...เปิดหน่อย..นี่น้ำหวานเอง...."
เจ้าปื้ดยิ้มได้เพราะเสียงใสๆหวานๆที่กำลังทั้งเคาะทั้งเรียกชื่อมันอยู่คือ  น้องน้ำหวาน  คู่ขาของมันนั้นเอง
เจ้าปื้ดเดินไปเปิดประตูรับพร้อมรอยยิ้ม "เข้ามาสิจ๊ะ...."

ประตูเปิดออก  ร่างของสาวสวยหุ่นปานนางแบบในชุดนักศึกษาที่ตัดแบบเน้นทรวดทรงและกระโปรงที่สั้นเหนือเข่า ก็ก้าวเข้ามาในห้อง  เจ้าปื้ดมองสาวน้อยที่ก้าวเข้ามาด้วยดวงตาหยาดเยิ้ม  เนื่องจากมันเพิ่งเสพยาเข้าไปจึงทำให้มันกำลังล่องลอยและเมื่อเจอคู่ขาที่หุ่นสวยน่าล่อมาหาถึงห้อง  เรื่องจะปล่อยให้กลับไปแบบตอนมาคงจะเป็นไปไม่ได้  มันโอบคอนิสิตสาวเข้ามาในห้องและรีบปิดประตูทันที

เจ้าปิ้ดกำลังเจอฤทธิ์ยาปลุกปั่นอารมณ์ของมันให้เพิ่มทวี   พอปิดประตูได้มันก็จู่โจมนิสิตสาวทันที  มันโอบกอดร่างแน่นเนื้อขาวๆเข้ามาแน่น  และยื่นใบหน้าเสี้ยมๆของมันเข้าไปประกบติดริมฝีปากบางๆ ของสาวคนสวย  และตวัดปลายลิ้นเกี่ยวดูดดุนริมฝีปากบนและริมฝีปากล่างของนิสิตสุดเบาๆ สองมือยังทำหน้าที่เคล้นเต้าอ่อนอย่างหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ผ่อนคลายลูบคลึงเบาๆ สลับไปมา  แต่นิสิตสาวก็เอาสองมือดันใบหน้าที่แนบเบียดเข้ามาและกำลังประกบปากจูบอย่างเร่าร้อนแล้วพยายามผลักออกไป

นิสิตสาวผลักไสแล้วต่อว่า " บะ...เบาพี่ปื้ด...ตายอดตายอยากอะไรกันนี่..มาถึงก็ใส่เลย..ให้หวานตั้งตัวก่อน.."
"พี่กำลังเสี้ยนเลยหวาน  ยารุ่นนี้ดีจริงๆ  ดีดจนพี่โด่ปวดท่อนไปหมด...อยาก..อยาก...จริงๆ" เจ้าปื้ดบอกแล้วกอดหอมพัลวัน
สาวสวยพยายามผลักร่างขี้ยาให้ผละออกไป "พี่ปื้ดไม่ต้องพี้ยาหรอก  ธรรมดาก็หื่นอยู่แล้ว  ให้หวานหายใจหายคอก่อน"
"อื่อ.อ.อ...ก็ได้...." เจ้าปิ้ดผละออกอย่างเสียดาย

มันเดินมาทิ้งตัวลงบนฟูกด้วยทีท่าเซ็งๆ   สาวสวยในชุดนิสิตในเสื้อสีขาวรัดรูปจนสองเต้าแทบปลิ้น สวมกระโปรงสั้นๆคับๆเข้ารูปแนบสนิทกับหน้าท้อง หน้าขา จนเนินนูนระหว่างซอกหน้าขาดุนดันความราบเรียบของผ้ากระโปรงขึ้นมาให้เห็นเป็นรูปรอยชวนให้เกิดกระสันต์ยามได้เห็น  สาวนักศึกษาเดินนวดนาดเข้ามานั่งข้างๆแล้วยิ้มหวานสมชื่อให้กับเจ้าปื้ดขี้ยาแบบยั่วยวน  เด็กสาวนอนคว่ำเอาใบหน้าสวยๆทาบบนอกแห้งๆมีแต่กระดูกด้วยท่าทีออดอ้อน

เจ้าปื้ดมองอาการแล้วถามเสียงขุ่นๆ "ไม่ให้ทำอะไรแล้วมาหาทำไม?"
"ก็หวาน..เอ่อ.อ.อ...เดือดร้อนอีกแล้วอ่ะ..." สาวนักศึกษาพูดเสียงอ้อนๆ
"พอขาดเงินก็มาหา  เห็นพี่เป็นอะไร?"
"โธ่...พี่ปื้ดก็...หวานไม่ค่อยว่าง ช่วงนี้เรียนหนักอ่ะ  จะจบแล้ว..."
"เรียนหนักหรือเที่ยวกับพวกหนุ่มๆหล่อๆหนัก" เจ้าปื้ดเอ่ยประชด
สาวนักศึกษาซบหน้าบนอกแห้งๆแล้วอ้อน "พี่ปื้ดก็...ทำไมพูดอย่างนั้น  หวานมีแต่พี่ปื้ดคนเดียวนะ.."
"เชื่อตายหล่ะ?"เจ้าปื้ดมองอาการคู่ขาแล้วถอนหายใจ 

ร่างผอมๆของขี้ยาขยับไปที่หัวเตียงหยิบกระเป๋าเงินออกมา  แล้วมันก็ควักแบงปึกหนึ่งออกมาให้  หญิงสาวที่อมยิ้มมองคำนวณจำนวนเงินตาวาว  เธอรีบรับแล้วยัดใส่กระเป๋าสะพายพลางก้มลงมาหอมแก้มของเจ้าปื้ดซ้าย – ขวาไม่นับอย่างไม่รังเกลียดหน้าแห้งๆตอบๆ  ถ้าไม่ใช่เพราะเงินที่มันปรนเปรอ  ขี้ยาอย่างมันจะมีโอกาสกับดอกฟ้าอย่างน้องน้ำหวานหรือ  ซึ่งตัวมันเองก็รู้ข้อนี้ดี  แต่มันก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่สุดคุ้มแสนเหมาะสม

เจ้าปิ้ดขยับตัวขึ้นนั่ง มันถามนิสิตสาว "ได้เงินแล้ว ตอนนี้พี่ทำอะไรได้หรือยัง.."
"จะทำอะไรหวานล่ะ?" นิสิตสาวแสร้งทำไร้เดียงสา
"อย่างนี้ไง...." เจ้าปื้ดโอบร่างนั้นเข้ามาหา
"อยากทำอะไรก็ทำไปสิ  หวานยอมให้พี่ปื้ดทำอยู่แล้วตอนนี้...อื้อ.อ.อ.อ......"

สองมือของเจ้าปื้ดค่อยๆ เอื้อมไปเกาะกุมสองเต้าคู่งามของคู่ขาเห็นแก่เงินภายใต้เสื้อนักศึกษารัดติ้ว  มันบีบคลึงเบาๆ ใช้สองฝ่ามือลูบวนซ้ายวนขวาช้าๆ สร้างความสยิวแก่นักศึกษาสาวจนเคลิ้มหลับตาไปกับการปลุกเร้านี้

"โอว ว  ว ... พี่ปื้ดขา .... อย่าทำแบบนี้ซิคะ ... บีบแรงๆเดี๋ยวนมหวานเละหมดนะ......"

หญิงสาวร้องห้ามแต่ใจจริงแล้วไม่อยากให้คนรักหยุดการเคล้นคลึงสองเต้าอวบของตนที่กำลังแข็งเป็นไตขึ้นมา

"นมของหวานใหญ่จังนิ่มมือพี่มาก ... เดี๋ยวพี่จะทำให้หวานรู้สึกเสียวมากขึ้นเรื่อยๆ นะ..เอาไหม? ..."

พูดจบก็ยื่นใบหน้าเสี้ยนๆเข้ามาประกบติดริมฝีปากบางๆ ของคู่ขาคนสวยอีกครั้ง มันเริ่มเล้าโลมด้วยการประกบปากจูบจากเบาๆและหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ  สาวนิสิตเองก็มีอารมณ์ตามไปอย่างไม่น้อยหน้าปลายยอดอกดันยกทรงและเสื้อนักศึกษาขึ้นมาเป็น เม็ดนูนๆ เห็นชัดเจน  เจ้าปื้ดเองก็ช่ำชองเชิงกามอยู่แล้ว  เห็นอาการก็ยิ่งรุกหนัก  มันสอดปลายลิ้นเข้าไปในอุ้งปาก ตะวัดดุนดันทั่วกระพุ้งแก้มของนักศึกษาสาวจนเผลอกกอดคอมันแน่นและอ้าปากรับอย่างลืมตัว...

ร่างของนักศึกษาสาวหิวทั้งเงินและเซ็กส์นอนงายส่ายเร่าๆ  มีร่างแห้งๆของเจ้าขี้ยาคร่อมทับทั้งจูบปากบีบบี้สองเต้าและเบียดร่างถูไถไปมาอยู่ด้านบน  เจ้าปื้ดปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาออกจนเม็ดสุดท้าย และรั้งสาบเสื้อนักศึกษาเปิดกว้างออกไป ตอนนี้สองเต้าอวบหยุ่นของนิสิตสาวสวยกำลังจะออกมาเป็นอิสระให้เจ้าปื้ดบีบเคล้นเน้นๆแบบได้เนื้อแล้ว

เมื่อเจอเจ้าปื้ดลุกไล่จนร่างกายสั่นสะท้าน   นักศึกษาสาวสวยก็เริ่มออกลวดลายบ้าง  มือของเธอก็เริ่มลูบไล้ไปตามร่างของเจ้าปื้ดเป็นการตอบโต้   และตัวของเธอเองก็รู้สึกว่ามืออีกข้างของเขาลูบไล้ขาอ่อน กระเถิบสูงขึ้นไปจนถึงเนินเนื้อที่ยังมีกางเกงในขวางกั้น ถึงตอนนี้เธอกำลังจะถูกลุกล้ำเข้าจุดสำคัญที่จะทำให้คู่สวาทเสียวแบบหมดปัญญาจะขัดขืน สะโพกของนักศึกษาสาวบิดส่ายรับยามที่เจอการโล้มเล้าคลึงนิ้ววนบนปุ่มกระสันต์นั้น

"โอ๊ย.ย..ย..ย...พี่ปื้ด...หวาน ... เสียวจัง"

นักศึกษาสาวหุ่นสวยตัวเกร็ง บีบแขนข้างที่กำลังโจมตีเนินสวาทอยู่นั้น และแล้วมือซุกซนข้างนั้นก็ลอดผ่านขอบกางเกงในเข้าไปสัมผัสกับเนื้อแท้ของความสาว นิ้วกลางเขากำลังสอดแทรกเข้าไปในกลีบเนื้อ ที่เจ้าของนิ้วคงจะทราบได้ดีถึงความใหม่สดของสรีระส่วนนั้น ที่ถึงแม้จะไม่ใหม่เอี่ยมเพราะสาวคนนี้ก็ประเภทไซส์ไลน์เป็นบางคราว  แต่การดูแลตัวเองดีทำให้กล้ามเนื้อยังฟิตแน่นบีบรัดนิ้วจนรู้สึกได้

"อู๊ย...ย...ย.... ซีด..ส..ส...ส......ส์ ... พี่ปิ๊ดขา...า"

เจอแหย่นิ้วทะลวงจุดสำคัญไม่ว่างเว้นเสียวจนตัวสั่น  แต่สาวแรงสูงอย่างเธอจะยอมง่ายๆไม่ได้  เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเปรียบ   สาวนักษาจึงตอบโต้ด้วยมือขวาเลื่อนไปลูบไล้และบีบหนัก ๆ ซึ่งดูเหมือนจะทำให้มันขยายตัวใหญ่ขึ้นอีก และออกอาการสั่นหงึกๆพร้อมจะอัดเข้าถ้ำสวาทนิสิต สาวแบบเต็ม ๆ   เจ้าปื้ดถึงจะเจอลูบไล้ท่อนเนื้อจนออกอาการชะงัก  แต่ก็เพียงครู่  เมื่อตั้งสติได้  มือของมันกลับขึ้นมาโจมตีส่วนบนอีกครั้ง คราวนี้มันเริ่มคลึงเคล้นหนักหน่วงกว่าเก่า จนสาวนักษาสุดจะทนไหวแล้ว

สาวนิสิตขยับตัวต้องทำการดึงกางเกงทรงขากระบอกของเจ้าปื๊ดและรูดลงจนถึงหัวเข่า เจ้าท่อนเนื้อที่พร้อมใช้งานก็ดีดตัวออกมา  มันมีขนาดใหญ่มากๆแม้นว่ารูปร่างเจ้าของจะผอมแห้งก้นปอด  แต่ความใหญ่โตและมีรูปร่างใหญ่ยาวและปลายราวดอกเห็ด  แต่ยามที่ถูกทะลุทะลวงทิ่มตำมันช่างสร้างสุขสรรค์หรรษาให้อย่างเหลือคณานับ

"ยังใหญ่ยาวแน่นไปด้วยคุณภาพเหมือเดิมนะ...." นิสิตมองตาเยิ้มๆเอ่ยปาก
เจ้าปิ๊ดชะงักหลับตาร้อง "อะ..อื้อ.อ.อ...รูดอย่างนั้นเสียวนะ...เสียวนะ....."

แต่ทว่ามือของสาวเจ้าก็กำแท่งนั้น พร้อมกับรูดขึ้นลงเบา ๆ ตาเป็นประกาย เมื่อเห็นว่าเจ้าปื๊ดมองด้วยสายตาวิงวอน  สาวนักศึกษาก็รู้ดีว่าอยากให้ทำอะไร  ซึ่งหญิงสาวก็เต็มใจ เลื่อนตัวลงต่ำ ใช้ปากเม้มบริเวณปลายยอดก่อนที่จะค่อย ๆ อ้าปากกลืนท่อนลำเข้าไปช้า ๆ เม้มริมฝีปากเพื่อให้บีบรัดขนาดของท่อนเนื้อให้มากที่สุด  แต่มันก็แทบจะคับปากของเธอที่เดียว สาวนินิตรูดปากบดริมฝีปากรัวกันท่อนเนื้ออย่างสนุกจนผมยาวสลวยสยายกระจายเต็มหน้าขาเป็นภาพที่เร้าอารมณ์ยิ่งนัก

"โอย ... เก่งจัง.ง.ง..ง.ง..ง....อู้ว.ว.ว.ว...ว์....หวานจ๋า...อู้ว.ว.ว....ว์...หวาน.....จ๋า....." เจ้าปื๊ดร้องครางเสียงสั่นพร่า

สาวนิสิตใช้ปากบำเรอท่อนเนื้อของเจ้าปื๊ดอย่างสนุก  ปรนเปรอให้กับเจ้าขี้ยาคนนี้  จนทำให้มันต้องแอ่นก้นไม่ติดพื้น  อาการของมันเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ    ยิ่งนิสิตสาวที่ดูจะรู้เชิงเริ่มเร่งจังหวะการรูดขึ้นลง สลับกับการบิดหมุนเป็นบางครั้ง บางทีก็พลิ้วลิ้นบริเวณส่วนหัวและคอคอด เชื่อว่าหากทำต่อไปอีกเพียงไม่นานคงจะกระฉูดแน่นอน ซึ่งก็คงจะจริงเพราะชายขี้ยาทำท่าแสนเสียวจนยกขาแห้งๆขึ้นบรรเทาอาการ   และเป็นฝ่ายที่จับหัวของเธอไว้เป็นการบอกโดยนัยว่าไห้หยุดก่อน

"โอย ... ไม่ไหวแล้ว ...  เดี๋ยวพี่จะออกซะก่อน ... "

บอกแล้วเจ้าปิ๊ดหุ่นขี้ยาก็ดึงร่างของนักศึกษาสาวขึ้นมาประกบปากจูบอีกครั้ง ขณะที่ปราการด่านสุดท้ายคือกางเกงในกำลังถูกดึงรูดออกไปทางปลายเท้า ร่างของเธอ   โดยมีร่างของเจ้าปิ๊ดขึ้นมาทาบทับ   นักศึกษาสาวรู้สึกได้ถึงท่อนล่างทีเปลือยเปล่าของคู่นอน  เพราะเจ้าท่อนสวาทที่บัดนี้มาทิ่ม ตำอยู่แถวหน้าขา

เสื้อเชิ๊ตสีขาวยังคงอยู่และเรียกได้ว่าสาวสวยยังคงอยู่ในชุดนิสิตเต็มตัว สิ่งที่ขาดไปมีเพียงกางเกงในและเสื้อที่ถูกแกะกระดุมออก   คิดว่าคงจะถูกเริ่มต้นถอดเสื้อและทำการลอกคราบตัวเธอ  แต่คราวนี้เจ้าปื๊ดมาแปลก  มันเพียงตลบกระโปรงนักศึกษาขึ้น  และมันก็ตาลุกวาวเมื่อมองเห็นเนินเนื้ออันแสนสวยปกคลุมด้วยเส้นขนสีดำ  ส่วนที่เป็นสองแคมยังปิดสนิท

มันจ้องมองจนถูกทุบอย่างเขิน ๆ  "มองอะไรอยู่ล่ะ ทำยังกะไม่เคยเห็น"
"ก็ไม่เคยเห็นถนัดๆอย่างนี้มาก่อนนี่   ขอลองชิมดูหน่อยนะ...."

ไม่รอให้เจ้าของพื้นที่อนุญาต  เจ้าปิ๊ดก้มหน้าลงบริเวณเนินสวาทของนิสิตสาวทันที  และแลบลิ้นยาวๆสากๆลากไปตามความยาวของสองแคม สลับกับสอดลิ้นเข้าไปในรอยผ่า บางทีก็ดูดเม้มบริเวณปุ่มกระสันต์  เจ้าปื๊ดเลียแผล่บๆอย่าอร่อยลิ้นทำเอาสาวนิสิตไซส์ไลน์ถึงกับต้องแอ่นโคกนูนเข้าอัดกับหน้าของมันอย่างลืมตัว

ความเสียวส่งจนต้องร้องไม่ขาดปาก "โอย...ซีด..ส..ส.ส.....ส์   พี่ปื๊ด.ด..ด....หวานทนไม่ไหวแล้ว ทำเถอะ...ทำหวานเถอะ.."
"ทำอะไรหล่ะ..แผล่บ...แผล่บ...แผล่บ....."
"อ้า..ร์...อ้า...ร์....พี่ปื๊ด.ด.ด...อย่าแกล้งหวานสิ...ใจจะขาดอยู่แล้ว ว   ว  ว  ว์....อู้ว.ว.ว..."
"อยากเจอแท่งของพี่ อดใจรอเดี๋ยว  พี่ยังกินไม่อิ่มเลย...แผล่บ....แผล่บ....."

เจ้าปื๊ดเหมือนไม่หนำใจ  มันใช้ปากทำให้ก้อยดิ้นพล่านไปอีกอึดใจ  จนนิสิตสาวดิ้นพล่านๆแอ่นก้นอัดเนินสู้ปากด้วยความเสียวจนตัวเกร็งหน้าตาบิดเบี้ยวร้องครวญครางราวจะขาดใจ  จนเมื่อสาแก่ใจของมัน   ก็เลื่อนตัวขึ้น จัดท่าทางขึ้นคร่อมร่างสาวสวยในชุดนักศึกษาที่แสนเซ็กส์ซี่น่าล่อทันที

สาวนักศึกษาเอ่ยทัก "พี่ปิ๊ด...ถอดชุดหวานก่อนสิ  เดี๋ยวยับ...."
"ไม่ถอดอ่ะ  วันนี้พี่ขอล่อหวานคาชุดอย่างนี้แหล่ะ  ได้อารมณ์ดี...."  เจ้าปื๊ดกระซิบที่ข้างหูของเธอ
"แต่หวามไม่อยากถูกเย็ดในชุดนี้  กลัวมันยับแล้วไปเข้าเรียนคนจะรู้..."
"รู้อะไร?" เจ้าปื๊ดถามเย้าๆ
สาวนิสิตมองค้อน "แล้วทำอะไรอยู่หล่ะนี่..."

เจ้าปื๊ดชอบใจที่เห็นนิสิตสาวหน้าแดงยามเขินอาย  ซึ่งรู้สึกว่าจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ใคร่ได้เป็นอย่างดี
เจ้าท่อนเนื้อที่แข็งถูกจ่อเข้าที่ปากแคมที่เยิ้มฉ่ำ   สาวนักศึกษาแยกขาออกรับอย่างเชิญชวน
เจ้าปื๊ดค่อย ๆ กดส่งแท่งเนื้อของมันเข้ามาในร่างของเธออย่างช้าๆ  สาวนักศึกษาหลับตารับการรุกล้ำอย่างระทึก

"อูย... ค่อย ๆ ก่อนนะ ...พี่ปื๊ด .. .ด..นานๆเจอ..มัน..อะ..อ้าว.ว.ว...ว..."

สาวนิสิตคนสวยต้องดันเอวของคู่สวาทเอาไว้ เพราะกลัวจะกดเข้ามาทีเดียวมิดด้าม
แต่ถ้าหากเขาทำจริงก็คงไม่เจ็บมากนักเพราะน้ำสวาทถูกขับออกมารองรับจนชุ่ม ฉ่ำไปหมด
แต่เกรงว่าหากเจอรุนแรงแต่ต้นจนทำให้บางส่วนฉีกขาดเสียหาย  เพราะท่อนเนื้อของเจ้าขี้ยานี่ก็ไม่ใช่เล่นๆ

"หวานขยับตัวขึ้นหน่อยสิ..พี่ไม่ถนัด.." ร่างแห้งพยายามก้มลงมาที่สองเต้า
สาวนิสิตรับจ๊อบขยับให้ "จะทำอะไรหรอ? ฮึ๋ย..ฮึ๋ย.ย.ย...ใส่มาเบาๆสิมันเจ็บนะ..."
"พี่จะดูดนมของหวาน  งอตัวอย่างนี้ก้มลงไม่ถนัดเลย.." พูดแล้วมันก็ดึงชายเสื้อของเธออกจากขอบกระโปรงที่ถูกรั้งขึ้น
สาวนิสิตขยับให้แต่ไม่วายสำทับ "บีบเบาๆนะ  ทำแรงๆเดี๋ยวเสียทรงหมด..."

เจ้าขี้ยาไม่ตอบ  มันใช้มือดันยกทรงจนเต้าเต่งปลิ้นออกมานอกยกทรงและล้นสาปเสื้อออกมา   มันก้มหน้าลงเม้มหัวนมสีชมพู ดูดสลับกับใช้ลิ้นวนโดยรอบ โดนไม้นี้เข้าสาวสวยก็ถึงกับต้องโน้มคอของมันลงมาหา  และแอ่นอกขึ้นอัดเต้าเข้ากับ ปากของมันชนิดไม่เกรงเสียทรงเหมือนที่ปากห้ามเอาไว้

" โอย.... ซีด...ส..ส.ส...ส...ส...ส์ .."  สาวสวยร้องครางเมื่อสะโพกเปลือยที่ถูกประกบติดอยู่เริ่มส่ายไหว

สาวนิสิตผวาแอ่นเนินนูนตามขึ้นไป  ด้วยกำลังต้องการให้ดันเข้ามาอีก
ซึ่งเจ้าขี้ยาก้นปอดก็ดูจะรู้ดี   มันกดท่อนเนื้อเข้าหาเนินสวาทสวยนั้นแบบเดินหน้าเต็มตัวจนหายเข้าไปมิดด้าม

"โอ๊ย ...พี่ปิ๊ด.ด.ด... ทำไมมันแน่นไปหมดยังงี้"   นิสิตสาวผวากอดคอของขี้ยาตูดปอดแน่น   รู้สึกตึงไปหมดที่หว่างขา
"มันส์ไหมเล่าหวานจ๋า...อ้า..ร์..."  เจ้าขี้ยาสูดปาก  กระเด้าก้นปอดๆไม่หยุด  "อูย ของหวานทำไมฟิตอย่างนี้..อ้า..ร์..อ้า..ร์..."

โพลงสวาทของสาวสวยนั้นบีบรัดและมีการตอดหนุบหนับอย่างรู้สึกได้
เจ้าปื๊ดต้องกัดฟันพยายามอดกลั้นความรู้สึกไว้อย่างเต็มที่ กัดฟันกระเด้าใส่ยิกๆ สาวสวยก็ร้องครางร่างสั่นรับทุกจังหวะ
กระเด้าไปกลั้นไปเพราะกลัวว่าอาจจะกระฉูดออกมาก่อนที่จะถึงเวลา  มิฉะนั้นจะ เสียชื่อ ไอ้ปื๊ด ตูดปอดยอดนักเย็ด หมดเจ้าปื๊ดหยุดการเคลื่อนไหวส่วนล่างไว้ก่อน โดยเปลี่ยนมาเป็นจูบไซร้สองเต้าแทน และใช้สองมือคลึงเคล้นหนักหน่วง

"ยะ..หยุดทำไม..โอ๊ย.ย.ย....กำลังเสียว... โอย..."

สาวนิสิตตอนนี้กอดรัดคู่สวาทแนบแน่น เอวก็ส่ายร่อนด้วยความต้องการให้กระเด้าได้แล้ว แต่เจ้าปื๊ดทำเหมือนกับแกล้งโดยการกดเอวแนบแน่น หมุนเป็นวงกลม จงใจให้ขนหยาบหนาของเขาเสียดสีกับปุ่มกระสันต์ของนิสิตสาว ลีลาแบบนี้ทำเอาสาวเจ้าแทบขาดใจ อารมณ์สวาทพุ่งสูงจนเครียดขึ้นทุกขณะ   เรียกว่ายังไม่ได้ถูกกระเด้าก็เกือบจะเสร็จอยู่แล้ว

"....อูย ....พี่ปื๊ดขา.... อย่าทรมานหวานอย่างนี้สิ   กระเด้าแรงๆเลย...โอ๊ย.ย.ย..."
"อยากโดนอย่างแรงใช่ไหม...ปื๊ดจัดให้....."

เจ้าปื๊ดขยับตัวจัดหนักตามคำขอ เพราะตัวเองก็เก็บกดมานาน ขอตักตวงความสุขจากเรือนร่างที่ยังสาวสดนี้ให้สาแก่ใจ มันเริ่มต้นขยับเอวซอย เริ่มจากช้า ๆ แต่หนักหน่วง ส่งท่อนเนื้อมุดเข้าออกถ้ำสวาทที่ถึงแม้จะมีหล่อลื่นขับออกมามากแต่ก็ยัง กระชับแน่น บีบรัดตลอดท่อนลำยามกระเด้าใส่แต่ละครั้ง    สร้างความเสียวสุขให้กับมันยิ่งนัก

สองหนุ่มสาวที่อัดร่างเข้าปะทะกันอย่างดุเดือดเผ็ดมัน จนได้ยินเสียงร่างกระทบกันดังเป็นจังหวะสลับกับเสียงร้องครวญคราง  ยามนี้ทั้งคู่ลืมหมดสิ้นถึงความเป็นไปรอบๆตัว หรือทุกสิ่งในโลก   ตอนนี้ในหัวสมองของทั้งคู่มีแต่ร่วมมือร่วมใจกันตะกายขึ้นสู่สวรรค์  จนกระทั่งไม่รู้สึกเลยว่าประตูห้องได้เปิดออก  และมีร่างใครบางร่างก้าวเข้ามาและยืนดูกิจกามของทั้งคู่อย่างใกล้ชิด  เพราะความมันส์ไม่ปราณีใครจริงๆ

"โอย แรง ๆ เลย...หวาน   จวนแล้ว ซีด  ส  ส  ส  ส  ส์ ..."

นิสิตสาวที่กำลังจะถึงจุดหมายร้องเร่งให้ชายที่กำลังคร่อมร่างเธออยู่ให้อัดกระแทกให้หนัก ๆ ใบหน้าสวยสะบัดส่ายไปมา เหงื่อเริ่มซึมออกตามหน้าผากและตามตัวจนชุ่มชุดนักศึกษาตัวเก่งนั้น  ซึ่งบัดนี้ยับยู่ยี่จากการบีบเคล้นของมือไปทั่วเรือนร่างผนวกกับน้ำหนักของ ร่างที่กดทับลงมา   ส่วนเจ้าปื๊ดนั้นก็ถึงกับเหงื่อท่วมตัวเพราะเป็นฝ่ายออกแรงมากกว่า  แอร์ที่เปิดจนเย็นฉ่ำไปทั้งห้องไม่อาจช่วยบรรเทาความรุ่มร้อนจากการออกแรงครั้งนี้ลงได้

"อูย จะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน หวานจ๋า"   เจ้าปื๊ดร้องราวสารภาพ   แต่กระเด้ายิกๆจนก้นปอดๆมองแทบไม่ทัน
"ออกข้างในได้เลยนะพี่ปื๊ด...อ้า..ร์..อ้า..ร์  "   นิสิตสาวรีบร้องบอก   เพราะรู้ดีว่าคู่สวาทคงอยากทำอย่างนั้นอยู่แล้ว

เจ้าปื๊ดได้รับอนุญาตก็อัดกระเด้าลืมตาย  ก็ใครล่ะจะไม่อยากน้ำแตกในช่องทางสวรรค์ที่พิเศษสุดขอหญิงสาวแสนสวยคนนี้ และนิสิตสาวเองก็อยากให้น้ำของคู่สวาททะลักหลั่งเข้าสู่ส่วนลึก  เพราะมันรู้สึกอบอุ่นดีกว่าที่ต้องชักออกตอนกำลังจะถึงจุดสำคัญ   สำหรับเรื่องท้องนั้นหมดปัญหาเพราะแอบไปให้หมอฉีดยากันไว้แล้ว   เรียกว่าเธอป้องกันตัวเองดี

เจ้าปื๊ดก้มหน้าลงประกบปากจูบสาวสวย มือก็คลึงเคล้นเต้ากระเด้าเอวรุนแรงและถี่ยิบส่งท้าย  อาการของร่างสาวบ่งบอกได้ชัดว่ากำลังจะถึงสวรรค์ ทั้งจากการหายใจที่รุนแรง การเกร็งของร่างกาย ซึ่งหลังจากที่มันซอยใส่อีกไม่กี่ครั้ง   นิสิตสาวก็ร้องออกมาอย่างสุดเสียงเมื่อเสียวอย่างสุด ๆ ผวากอดกอดร่างผอมที่ยังกระเด้าไม่หยุดแนบแน่น

"โอ๊ย ย  ย  ... ไม่ไหวแล้ว หวานออกมาแล้ว  ว  ว  ว   ว  ว์...."

เสียงกรีดร้องบ่งบอกพร้อมภายในช่องสวาทบีบรัดตัวอย่างรุนแรง  เป็นจังหวะรอบเจ้าท่อนเนื้อของเจ้าปื๊ดโดนเข้าอย่างนี้  มันก็หมดปัญญาที่จะอดกลั้นเอาไว้ได้ต่อไป ต้องอัดกระแทกเข้าไปจนมิดด้าม  และเจ้าปื๊ดก็กัดฟันหน้าตาบิ้วเบี้ยวมันร้องออกมาอย่างสุดเสียงด้วยความเสียวเช่นกันเมื่อน้ำกามอุ่นๆถูกปล่อยออกมาเป็นจังหวะๆ

"โอย...พี่ก็ออกแล้ว   หวานจ๋า  อ้า ร์ ซีด ส  ส ส  ส  ส์  โอ้ว ว ว ว ว์......"

ทุกอย่างจบลงอย่างสมบูรณ์เมื่อน้ำกามขุ่นข้นของ ทะลักหลั่งเข้าสู่ส่วนลึกของนิสิตสาวอย่างท่วมท้น
นักศึกษาสาวรู้สึกได้ถึงสายน้ำอุ่นๆ ที่ฉีดเข้าไปในโพลงระลอกแล้วระลอกเล่า
ขณะเดียวกันช่องสวาทของนักศึกษาไซส์ไลน์ก็บีบรัดตัวราวกับจะรีดน้ำของคู่สวาทออกมาให้หมด เกลี้ยงทุกหยาดหยด
ร่างของเจ้าปื๊ดยังคงเกร็งกระตุกเป็นจังหวะจากการถึงจุดอย่างรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตกับสาวแสนสวย
เมื่อหมดสิ้นการพุ่งส่งมันก็สิ้นแรงล้มตัวลงทาบทับร่างสาวอย่างหมดสภาพ โดยที่ท่อนสวาทยังคงคาอยู่ในร่างสวยระดับนางแบบนั้น ตอนนี้มันรู้ซึ้งถึงสวรรค์อีกครั้งแล้ว....

"เก่งจังเลย  พี่ปื๊ดขา  หวานไม่เคยสุขถึงขั้นนี้มาก่อนเลย" สาวสวยเอ่ยชมให้มันได้ใจ
เจ้าปื๊ดเองก็บอกหอบๆ "พี่ก็ไม่เคยเสียวขนาดนี้มาก่อนเลย..ฮู้ว.ว.ว.ว.ว์ มันจริงๆ"

"ใช่...มันส์มหามันส์จริงๆ..ลีลานี่สุดยอดเลย...." เสียงหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้นมา
เจ้าปื๊ดสะดุ้ง  หันไปมองก็ร้องอย่างตกใจ "เฮ้ย....พวกแกเข้ามาได้อย่างไง?"
"ว้าย..ใครอ่ะ..." นิสิตสาวเองก็ร้องด้วย  เธอผลักร่างของเจ้าปื๊ดออกจากตัว  ดึงชุดเข้ามาปิดของสงวน

ผู้ที่เข้ามาคือสาวแวมไพร์ชุดขาวที่ปกปิดร่างกายด้วยเสื้อผ้าไว้น้อยชิ้น  เธอมาพร้อมเจ้าแวมไพร์ร่างใหญ่นั่นเอง  มันทั้งสองจ้องมองทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มหยามหยันและน่าขนลุกขนพอง  ทั้งสองเพิ่งผ่านอารมณ์สุดเสียวมาหยกๆ  แต่ตอนนี้ปรับอารมณ์แทบไม่ทันเมื่อต้องเจอเรื่องสยองต่อ  เจ้าปื๊ดเหงื่อแตกพรั่กๆด้วยความหวาดกลัว เพราะมันรู้ตัวว่าได้ทำอะไรผิดไว้...

นิสิตสาวถามอย่างลนลาน "พี่ปื๊ด...นี่มันอะไรกัน  ฝรั่งพวกนี้เป็นใครกัน"
"เอ่อ...อ...อ์...พี่รู้จักกับพวกเขาน่ะ..." เจ้าปื๊ดบอกเสียงสั่น
"แล้วทำไมพวกเขาเข้ามาอย่างนี้  พี่ไปทำอะไรมา" หญิงสาวชักกลัว เพราะพอรู้ว่าเจ้าปื๊ดนั้นประวัติไม่ดี และท่าทีของผู้มาก็น่าหวั่นเกรงคล้ายๆพวกมาเฟียข้ามชาติ  แต่เธอคงจะกลัวมากกว่านี้หากรู้ว่าพวกนี้เป็นอะไร
"เอ่อ......อ ....อ....อ์...." เจ้าปื๊ดพูดไม่ออก  ไม่กล้าสบตาผู้ลอบเข้ามาตอนที่มันกำลังขึ้นสวรรค์

เจ้าร่างใหญ่เอ่ยเสียงเหี้ยมๆ "ไอ้ปื๊ด...เอ็งกล้ามากๆที่คิดไม่ซื่อกับเรา"
"น่าเสียดายที่เอ็งทำดีมาตลอด  แต่เห็นแก่สินจ้างรางวัลจึงกล้าหักหลังเรา" สาวชุดขาวแสนเซ็กส์ซี่เอ่ยเสริมเสียงเย็นๆ
"พะ..ผม...ผิดไปแล้ว  แต่ผมยังไม่ได้บอกอะไรพวกมันนะ  จริงๆผมสาบาญ.." เจ้าปื๊ดปากคอสั่นร้องบอก
เจ้าร่างใหญ่หัวเราะแล้วเอ่ยหยันๆ "เอ็งสำนึกได้ก็สายเกินไป  เอ็งก็รู้ว่าองค์กรของเรา  ไม่มีที่ว่างให้คนทรยศ"

"นี่มีอะไรกันหรอ?" นิสิตสาวยังถาม
สาวแวมไพร์ยิ้มให้เหี้ยมๆ "ก็คู่ขาของหล่อนนะสิ  มันงานเข้า.."
"ฉันไม่รู้เรื่อง  ฉันแค่มารับจ้างนอนกับเขา ฉันไปล่ะนะ.."นิสิตสาวรีบลุกขึ้นแล้วจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่และทำท่าจะออกจากห้อง
สาวชุดขาวที่แสนเย้ายวนเลื่อนกายมาขวางทางไว้  เธอว่า "จะไปไหนไม่ได้   ถึงไม่ล่วงรู้เรื่องของเราและเป็นแค่คู่นอนของเจ้าปื๊ด  แต่มาอยู่ผิดที่ผิดเวลาก็ถือว่าซวยไปก็แล้วกัน"
"อะไรนะ...อะ..อั๊ก...ก...ก...ก...ก์..." นิสิตสาวพูดได้เท่านั้น ร่างของเธอก็กระตุกหงึกๆ

ดาบในมือของสาวชุดขาวแทงตรงตำแหน่งหัวใจสาวนักศึกษาพอดี  นัยน์ตาของเธอเหลือกโพลง
และร่างสวยๆ ก็ค่อยๆทรุดลงนอนแน่นิ่งอยู่แทบเท้าสาวแวมไพร์ชุดขาว  ผู้สังหารยิ้มมองอย่างสมใจ
เจ้าปื๊ดตาค้างอ้าปากพูดอะไรไม่ออก  มันมองสาวแวมไพร์ที่ยกคมดาบขึ้นเลียเลือดที่เปื้อนอยู่ 
เธอค้อยๆก้าวเดินเข้ามาหาเจ้าปื๊ดพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมๆ  ขณะที่เจ้าร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านข้างระเบิดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

เจ้าปื๊ดทำท่าเหมือนจะร้องไห้  มันยกมือไหว้พร้อมร้องขอ "อย่า...อย่า..อย่าทำผมเลย...ผมผิดไปแล้ว...อย่า.."
"คริ...คริ..คริ..." ไม่มีคำพูดใดจากสาวแวมไพร์  นอกจากเสียงหัวเราะเย็นๆและแววตาเหี้ยมๆ เธอเดินเข้ามาหามันจนถึงตัว

อ้าก..ก.ก.ก..ก.ก....ก..ก..ก...ก.......ก์....

เสียงร้องโหยหวนนั่นไม่มีใครได้ยิน  ภายนอกบ้านทุกอย่างยังคงสงบเงียบ  และผู้คนแถวนั้นยังคงสัญจรผ่านไปมาตามปรกติ  จะมีก็แต่ฝูงนกที่เกาะอยู่บนหลังบ้านที่พากันแตกตื่นบินหนีกันไป  ราวกับพวกมันมีญาณล่วงรู้ว่าภายในบ้านหลังนี้มีการสังหารโหดอันสยดสยองเกิดขึ้น....

หลังจากนั้นอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา...

ที่รอบๆรั้วบ้านหลังนั้น

แสงไฟวับวาบบนหลังคารถตำรวจเรียกความสนใจจากผู้คนในชุมชนขนาดเล็กให้ออกมามุงดู พวกเขาต่างมีสีหน้าแปลกใจและหันไปไต่ถามเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่กำลังดึงแถบคาดพลาสติกสีเหลืองปิดล้อมบริเวณบ้านหลังหนึ่งเอาไว้ หลายคนอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นเปลพยาบาลสองคันถูกเข็นออกมาโดยมีถุงพลาสติกสีเข้มขนาดใหญ่วางอยู่ด้านบน

"เกิดอะไรขึ้น" แม่บ้านร่างท้วมคนหนึ่งหันไปถามเพื่อนบ้าน
คนถูกถามทำสีหน้าสยองขณะตอบ"เจ้าปิ๊ดกับนังน้ำหวานกิ๊กของมันถูกฆ่าตายคาบ้านเลย..."
"ฉันได้ยินมาว่าพวกนั้นโดนแทงจนพรุนไปทั้งตัว" เพื่อนบ้านอีกคนเสริม
แม่บ้านร่างท้วมยกมือขึ้นอุดปากพร้อมกับส่ายหน้า  "น่าสงสารยังเด็กวัยรุ่นอยู่แท้ๆ ใครกันนะที่ฆ่าสองคนนี่ได้ลงคอ"
"นั่นสิ..โหดเหี้ยมจริงๆ" เสียงซุบซิบจากกลุ่มไทยมุงต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา

จนกระทั่งทั้งหมดหันไปมองเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินยกเปลขึ้นรถและขับออกจากที่นั่น  ก่อนจะหันกลับไปมอง เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานซึ่งกำลังปฏิบัติงานกันอย่างละเอียดถี่ถ้วนโดยมี  นายตำรวจร่างใหญ่ยืนดูอยู่ไม่ห่าง เขาก้มหน้าลงจดรายละเอียดทุกอย่างที่พบลงในสมุดบันทึกประจำตัว   จนกระทั่งรถคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดนายตำรวจผู้นั้นจึงหันไปมองและยกมือทำนองทักทายผู้ที่ขับรถเข้ามาจอด  คนขับรถเดินออกไปคุยกับเจ้าหน้าที่คนนั้นพักใหญ่ๆก็เดินกลับมาขึ้นรถ

"คุณสแตนลีย์" นักล่าค่าหัวหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะหลังเอ่ยถาม "เกิดอะไรขึ้น   อย่าบอกนะว่าเรามารับสายของเราไม่ทัน"
"ใช่...เรามารับเขาไม่ทัน  สายของเราถูกฆ่าตายแล้ว.." เสียงตอบมาเรียบๆขณะสตาร์ทรถและขับออกจากตรงนั้น
หมอผีหนุ่มที่นั่งคู่อยู่ขมวดคิ้ว  เขาทวนคำ "ถูกฆ่า?"
"อื่อ.อ...อ์..ฆ่าอย่างโหดเหี้ยมมากๆ  เห็นแล้วน่าสยดสยองจริงๆฝ่ายผู้ชายหลังถูกแทงแล้วยังโดนผ่าท้องจนเป็นแผลเหวอะหวะ  ส่วนผู้หญิงถูกแทงตรงขั้วหัวใจพอดี..." ผู้ขับรถซึ่งลงไปสอบถามอธิบายให้ทั้งสองฟัง
นักล่าค่าหัวหนุ่มขบกราม "เรามาช้าไป  แล้วข่าวที่เจ้าปื๊ดเป็นสายของเรารั่วได้อย่าไง  แสดงว่าต้องมีใครสักคนในองค์กรคอยให้เบาะแสกับพวกมันแน่ๆ"
"ธรรมดา  เมื่อเราแทรกซึมเข้าองค์กรมันได้  มันก็ส่งคนแทรกซึมเข้ามาองค์ของเราได้" เจ้าหน้าที่คนขับรถพูดปลงๆ
"อื่อ..อ..อ..เรียกว่าตาต่อตา ฟันต่อฟันเลยนะนี่..." นักล่าหนุ่มบ่นขึ้นมา
"สายของคุณคนนี้เป็นคนไทยใช่ไหม?" หมอผีหนุ่มถามขึ้นมา
นักล่าหนุ่มมองหน้าแล้วถามกลับ "ฝรั่งที่ไหนชื่อปี๊ด ละครับท่านหมอผี?"
"ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ผมจะลองสอบถามวิญญาณของเขาดู" หมอผีหนุ่มบอกแนวทางติดต่อใหม่
หนุ่มนักล่าขมวดคิ้ว "ทำได้ด้วยหรอ?"
"ได้สิ สบายมากๆเลย" หมอผีหนุ่มบอกยิ้มๆ  ทำเอาผู้นั่งร่วมรถมองแบบฉงน

แต่ขณะนั้น เสียงเรียกวิทยุในรถก็ดังขึ้น
คนขับรถยกขึ้นรับ แล้วอุทาน "อะไรนะ...มนุษย์หมาป่าออกอาละวาดกลางวันแสกๆ"
"...???....." หมอผีหนุ่มและนักล่าฆ่าหัวหูผึ่งเมื่อได้ฟังถ้อยความสนทนา
"แถวที่ผมกำลังขับรถอยู่หรือ ... ใช่ ครับ... นั่งอยู่กับผมทั้งคู่เลย ... ครับ ... ครับ ... "

รถยนต์สีดำวิ่งไปบนถนนด้วยความเร็วค่อนข้างสูง
ภายในรถนักล่าค่าหัวหนุ่มนั่งมองเสาไฟที่กำลังเคลื่อนผ่านไปด้วยสีหน้ากังวลก่อนจะหันไปมองคนขับรถที่วางวิทยุสื่อสารลงและชะลอความเร็วของรถพร้อมกับหมุนพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวเข้าไปในถนนขนาดเล็กซึ่งนำไปสู่หมู่บ้านแถบชานเมือง ทางค่อนข้างวิบากด้วยหลุมบ่อตลอดสาย  แต่ด้วยระบบรถที่ดีจึงช่วยให้เร่งความเร็วไปตามต้องการได้และไม่สะเทือนมากนัก

"เท่าที่ผมฟังมา  มนุษย์หมาป่าจะกลายร่างตอนคืนพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้นนี่  แล้วทำไมถึงออกอาละวาดได้กลางวันแสกๆอย่างนี้ล่ะ" หมอผีหนุ่มถามผู้ร่วมทางอย่างประหลาดใจ
"สำหรับพวก ดาร์ค  แฮนด์  วิทยาการของมันสร้างอสุรกายได้ทุกรูปแบบแหล่ะ" หนุ่มนักล่าบอก
"ตอนนี้มนุษย์หมาป่านั่นอยู่ที่ไหนครับ"หมอผีหนุ่มเอ่ยถาม
"สายรายงานมาว่าเห็นมันกำลังกระโดดเข้าไปในโรงเรียนเด็กเล็กก่อนจะคลาดสายตาไป" คนขับรถตอบขณะสีหน้าดูกังวล
"คลาดสายตา หมายความว่าเราไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนในตอนนี้" หนุ่มนักล่าอุทานเสียงดัง

เมื่อขับไปได้อีกระยะ  ก็มีรถยนต์สีดำอีกคันจอดรออยู่    คนขับลดความเร็วของรถและจอดริมทางข้างรถอีกคัน
เจ้าหน้าที่สายตรวจของหน่วยในชุดสูทสีดำรีบก้าวออกมาพร้อมกับเอ่ยทัก  เมื่อนักล่าหนุ่มและหมอผีสินก้าวลงมายืนข้างรถ

"สวัสดี....คุณแจ็กค์  แดร์โรว์"
"ฮื่อ.อ.อ... หวัดดี  ว่าแต่มนุษย์หมาป่าที่ว่าหายไปทางไหน" ชายหนุ่มนักล่าถามทันที

อีกฝ่ายหันหน้าไปทางชุมชนขนาดเล็กซึ่งอยู่ห่างไปจากจุดที่พวกเขายืนไม่มากนัก
"มัน หายเข้าไปในโรงเรียนเด็กเล็กที่ตั้งอยู่ตรงนั้นครับ เราใช้กล้องตรวจจับความร้อนส่องดูแล้วพบว่ามันยังคงอยู่ที่นั่น และดูเหมือนว่าจะทำร้ายคนไปแล้วด้วย"
"เด็กหรือ"   หมอผีหนุ่มถามอย่างร้อนรน
สายตรวจของหน่วยส่ายหน้า "เป็นผู้ใหญ่ครับ ผมคิดว่าน่าจะเป็นยามรักษาความปลอดภัยประจำโรงเรียน"
"ป่าน นี้แล้วพวกเราคงช่วยเขาไม่ทัน หรือนายว่ายังไง"   นักล่าค่าหัวพูดและหันหน้าไปหาเพื่อนร่วมทีม
หมอผีหนุ่มสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดและนิ่วหน้า "กลิ่นเลือดแรงมาก คนที่อยู่ในนั้นคงถูกจัดการไปแล้ว"
"นอกจากยามแล้วยังมีคนอื่นอีกไหม"   นักล่าหนุ่มถามต่อ
สายตรวจสั่นศีรษะ "เราตรวจไม่พบใครอีกเลยครับ"
"ถ้าอย่างนั้นผมจะเข้าไปจัดการกับมันเดี๋ยวนี้"
นักล่าหนุ่มพูดและวิ่งออกไปในทันทีโดยไม่สนใจฟังเสียงของสายตรวจและเจ้าหน้าที่  ซึ่งร้องเรียกเขาไว้ไม่ให้วู่วาม
"แจ็กค์!" ทั้งสองขมวดคิ้วหน้ายุ่งๆพร้อมกับบ่น"ให้ตายเถอะไม่ฟังอะไรกันบ้างเลย"

"ผมจะรีบตามไปช่วยเขาเอง..." หมอผีหนุ่มบอก
แต่สายตรวจของหน่วยซึ่งยังคงมองกล้องตรวจจับความร้อนอยู่ตลอดเวลารีบพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตระหนก
"ดูเหมือนเป้าหมายของเรากำลังจะเคลื่อนที่แล้วครับ"
"ไปทางไหน?" หมอผีหนุ่มเอ่ยถาม

เจ้าหน้าที่สายตรวจมองเงาสีแดงซึ่งกำลังเคลื่อนที่ออกจากบริเวณโรงเรียนอย่างรวดเร็ว

"มันกำลังเข้าไปในเขตชุมชน "   เขาเงยหน้าจากกล้องแล้วหันไปบอกหมอผีหนุ่ม
อีกฝ่ายจึงสูดลมหายใจลึกๆ "ผมจะไปจัดการมันเอง..."

หมอผีหนุ่มเดินไปเปิดประตูรถ  เขาหยิบย่ามและดาบคู่ใจออกมาแล้วพุ่งปราดออกไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าหน้าที่ขับรถมองตามไป  แล้วจึงดึงโทรศัพท์ขึ้นมาและกรอกคำพูดลงไปทันที เมื่อได้ยินเสียงตอบรับ

"ขอกำลังเสริมและหน่วยกวาดล้างมาที่เขต ๔ ddr ด่วน  มีผู้เสียชีวิตจากการถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายที่นี่..."

รายงานขอกำลังเสริมเสร็จ  เขาก็เดินมายืนคู่กับเจ้าหน้าที่สายตรวจ  และมองไปยังชุมชนข้างหน้าด้วยแววตากังวล
ไกลออกไปเห็นร่างของหมอผีหนุ่มกำลังวิ่งและกระโดดผลุบข้ามกำแพงหายเข้าไปในชุมชน





นีโอ

#1
<>::<>::<>::<>::<>::<>

หมอผีหนุ่มกระโดดข้ามกำแพงสูงเข้าไปยืนภายในโรงเรียน ความเงียบสงัดภายในบริเวณนั้นทำให้เขาต้องกวาดตามองไปโดย รอบอย่างระวัง   เสียงฝีเท้าซึ่งดังมาจากอีกด้านทำให้หมอผีหนุ่มรีบวิ่งออกไปทันที   หมอผีหนุ่มกระโดดขึ้นไปยืนบนกำแพงอีกครั้งและจ้องเงาสีดำที่กำลังวิ่งหายไปในความมืด    โดยมีร่างสูงใหญ่ของนักล่าค่าหัววิ่งตามไปติดๆ

"อยู่ตรงนั้นเองหรอ?"   หมอผีหนุ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะลงจากกำแพงและวิ่งตามเพื่อนไปจนทัน
หนุ่มนักล่าชำเลืองตามองเพื่อนพร้อมกับพูด  "นึกว่าจะตามมาไม่ทัน"
"คุณเองก็เร็วไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะนี่"   หมอผีหนุ่มเอ่ยชมขณะวิ่งตีคู่กันไป
"ผมจะไปดักหน้าเจ้ามนุษย์หมาป่านั่นเอาไว้ก่อนที่มันจะเข้าไปในเมือง" หนุ่มนักล่าบอกแผนการจัดการ
หมอผีหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย "ต้องหยุดมันก่อนจะมีใครเป็นเหยื่อมันอีก  ถ้ามันเข้าเมืองได้ละก็  วุ่นวายแน่ๆ"

แล้วนักล่าค่าหัวหนุ่มก็วิ่งนำออกไปอย่างรวดเร็ว   เสียงร้องคำรามของสัตว์ป่าทำให้หมอผีหนุ่มต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนทันเพื่อนที่กำลังยืนขวางอสูรร้ายอยู่ที่ลานกีฬาสาธารณะ หนุ่มนักล่าชักปืนกระบอกเงินคู่ออกมาเป็นจังหวะเดียวกับที่มนุษย์หมาป่าตัวนั้นหันหน้า มาทางเขา   มันแยกเขี้ยวกว้างและส่งเสียงร้องออกมาด้วยความโกรธก่อนจะกระโจนเข้าใส่เขา อย่างดุร้าย    นักล่าหนุ่มยิงปืนสวนเข้าใส่แต่พลาดเป้าจึงรีบเบี่ยงตัวหลบแต่ไม่พ้นจึงถูกเจ้าสัตว์ร้ายกระแทกอย่างแรงจนเซถลา

นักล่าหนุ่มทำท่าจะล้มลงแต่เขารีบใช้แขนข้างหนึ่งดันพื้นเอาไว้และหมุนตัว เหวี่ยงเท้าเตะสวนกลับทันที   เมื่อดอกแรกโดนเขาก็รีบตั้งตัวและกระโดดพลิกตัวเตะอสูรร้ายอีกครั้งจนร่างของมันลอยไป กระแทกกับแป้นบาสเก็ตบอลจนหักพังลงมา  ท่าทางการต่อสู้ที่คล่องแคล่วว่องไวของหนุ่มนักล่าทำให้หมอผีหนุ่มซึ่งกำลังจะวิ่งมาช่วยต้องหยุดชะงักและมองเพื่อนร่วมทีมด้วยความแปลกใจ

"คาโปเอร่า" เขาพึมพำ "ไม่นึกว่าฝรั่งยุโรปจะรู้จักใช้การต่อสู้ชนิดนี้ด้วย"
"ผมเองชำนาญการต่อสู้มือเปล่าทุกชนิด" นักล่าค่าหัวหนุ่มตอบโอ่ๆ "นี่กำลังตั้งใจจะฝึกมวยไทยต่อด้วยนะนี่.."

ทั้งสองยืนดักทางหนีของเจ้าสัตว์ร้ายไว้  เจ้าอสุรกายร้องคำรามมันกระโจนเข้าหาหมอผีหนุ่มเขาเบี่ยงตัวหลบและเหลือบตามองเขาก่อนจะตวัดดาบในมือไปทางมนุษย์หมาป่า   และฟันถูกหน้าอกของมันเต็มๆ  มันเซแล้วล้มไปแต่มันก็ลุกยืนขึ้น  มันทำท่าโมโหที่ต้องอาวุธพลางคว้าเสาเหล็กมางอด้วยความโกรธและหันกลับมาจ้องนักล่าทั้งสองพร้อมกับแยกเขี้ยวคำรามขู่   หมอผีหนุ่มมองอย่างใจเย็นในขณะที่นักล่าหนุ่มกระชับปืนในมือทั้งสองกระบอกพร้อมลั่นกระสุนสังหาร

"ผมขอจัดการกับมันเอง" นักล่าหนุ่มพูดและพุ่งเข้าใส่อสูรกลายพันธุ์ทันที
หมอผีหนุ่มเตือนอย่างห่วงๆ "ระวังตัวด้วยนะ  ผมจะคุมเชิงไว้ให้"
"วางใจได้  ไม่เกิน ๒ นาที จับเวลาได้เลย" หนุ่มนักล่าไม่วายคุย

หนุ่มนักล่าลั่นกระสุนใส่มัน  ทว่าเจ้าอสูรร้ายมันแค่ผงะถอยหลังไป  และมันฟาดเสาเหล็กใส่เขาโต้กลับมา  แต่เขาก็เบี่ยงตัวปัดออกและลั่นกระสุนยิงใส่ซ้ำที่ไหล่ของมัน  เจ้าอสูรร้ายส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด มันจ้องหนุ่มนักล่าด้วยความโกรธจัดก่อนจะคว้าตัวของเขาเอาไว้และแยกเขี้ยวกว้างหมายจะขย้ำลำคอให้กระจุย  แต่เจ้าสัตว์ร้ายต้องหยุดและร้องลั่นอีกครั้งเมื่อแขนทั้งสองข้างถูกคมดาบตัดจนขาดสะบั้น   ร่างของนักล่าหนุ่มร่วงลงไปกองกับพื้นทันทีในขณะที่มนุษย์หมาป่าตัวนั้นถอยหลังออกไปสองสามก้าวและจ้องเลือดที่พุ่งออกมาจากแขนทั้งสองข้างด้วยดวงตาเหลือกลาน

หมอผีหนุ่มมายืนขวางร่างของนักล่าหนุ่มเอาไว้
เขาหมุนดาบในมือและบอกเสียงเรียบๆ " ที่เหลือผมจัดการเอง คุณหลบไปก่อน..."
"ผมยังไหวน่า  ไอ้หมาจรจัดอย่างนี้ผมจัดการได้สบาย" นักล่าหนุ่มตอบเสียงขุ่นเพราะเจ็บใจที่พลาดท่าจนเสียฟอร์ม
"อย่าฝืนเลย  ลูกปืนของคุณหยุดมันไม่ได้หรอก"
"แล้วดาบทื่อๆของคุณหยุดมันได้หรือ?"
หมอผีหนุ่มยิ้ม แล้วว่า "คอยดูนะ.."

หมอผีหนุ่มชำเลืองตามองเพื่อนร่วมทีมแล้วหันกลับมาจ้องตาเจ้าสัตว์ร้าย  มันคำรามและวิ่งเข้ามาหาอย่างโกรธแค้น  หมอผีหนุ่มรอจังหวะจนมันเข้ามาใกล้ๆเขาเบี่ยงตัวหลบออกด้านข้างก่อนจะตวัดดาบตัดหัวของมนุษย์หมาป่าจนขาดกระเด็น ร่างสูงใหญ่ของมันยืนโอนเอนไปมาก่อนจะทรุดลงไปกองกับพื้นและแปรเปลี่ยนกลับไปเป็นคนธรรมดาเช่นเดิม  นักล่าหนุ่มมองด้วยความแปลกใจ

"ทำไมมันถึงไม่ย่อยสลายเหมือนสัตว์ทดลองตัวอื่น" นักล่าหนุ่มพึมพำออกมา
หมอผีหนุ่มยืนมองร่างไร้หัวอย่างระวัง "มันจะงอกหัวตื่นขึ้นมาอีกหรือเปล่า?"
"ไม่ขนาดนั้นหรอก" นักล่าหนุ่มบอกขำๆ
"ไว้ใจได้ที่ไหน  ผมเจอมาสารพัดไม่มีตัวอะไรฆ่าได้ง่ายๆเลยเรื่องนี้"
"คิดมากไปน่า..." หนุ่มนักล่าค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมาอย่างขัดยอก

เขาทำท่าจะเข้าไปตรวจดูแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินรถวิ่งเข้ามาใกล้
เจ้าหน้าที่และสายตรวจรีบเดินตรงมาหา   ทั้งสองมองดูนักล่าซึ่งมีเลือดเปื้อนไปทั่วทั้งตัว

คนขับรถเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง"คุณได้รับบาดเจ็บนี่"
"แค่โดนข่วนนิดหน่อยเท่านั้นเอง" หนุ่มนักล่าตอบด้วยน้ำเสียงปรกติ
"แน่ใจนะ..." คนขับรถมองเขาคล้ายต้องการให้แน่ใจอีกครั้งก่อนจะหันไปจ้องร่างไร้หัวที่กองอยู่ตรงหน้าด้วยความสงสัย เขามองซากร่างคิ้วขมวด พลางถาม "มนุษย์หมาป่าตัวนั้นหรือครับ"
"ใช่"   หมอผีหนุ่มตอบและใช้ปลายดาบเขี่ยส่วนหัวให้หงายหน้าขึ้น   "เขากลับคืนสภาพเดิมทันทีที่ถูกผมกำจัด"
"แล้วทำไมร่างกายของเขาถึงไม่ย่อยสลายเหมือนตัวอื่นๆที่ผ่านมา"   คนขับรถถามขณะนั่งลงจ้องใบหน้าของชายผู้นั้นอย่างพิจารณา เขาชะงักและขมวดคิ้วทันที "นะ...นี่มัน......"
"รู้จักเขาด้วยหรือ...." หนุ่มนักล่าถาม   เจ้าหน้าที่ขับรถผงกศีรษะรับและยืนขึ้นขณะตอบ
"เขาเป็นนักการเมืองใหญ่คนหนึ่งของเมืองไทยนี่   ผมเคยตามดูพฤติกรรมของเขามาระยะหนึ่งแล้ว  ถึงจะบอกว่าเป็นนักการเมืองที่มีภาพพจน์ดี  แต่เบื้องหลังของผู้ชายคนนี้ไม่ค่อยใสสะอาดนัก"
หมอผีหนุ่มย่อตัวมองแล้วบอกยืนยัน "ใช่เขาจริงๆ  จตุพร พรามพันธุ์...."
"แล้วทำไมนักการเมืองถึงกลายเป็นมนุษย์หมาป่าไปได้"   นักล่าหนุ่มถามด้วยความสงสัย
เจ้าหน้าที่ส่ายหน้าเหมือนไม่เข้าใจ  "ผมเองก็ไม่ทราบ"

และชั่วอึดใจ รถตู้สอง – สาม คันก็วิ่งเข้ามา  เจ้าที่ขับรถโบกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่เข้ามาทำการเก็บศพและทำ ความสะอาดเลือดที่สาดกระจายไปทั่วบริเวณให้เรียบร้อย   ทั้งสองนักล่ายืนมองอย่างครุ่นคิดจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ของหน่วยทำงานจนเสร็จเรียบร้อย  เจ้าหน้าที่ขับรถจึงเรียกนักล่าทั้งสองขึ้นรถแต่ทั้งหมดต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยิน เสียงกรีดร้องโหยหวนดังแว่วมาตามสายลม

หมอผีหนุ่มหันหน้าไปตามเสียงนั้นทันที "นั่นมันเสียงของมนุษย์หมาป่า"
หนุ่มนักล่าก็ได้ยิน เขาขมวดคิ้วตั้งใจฟังเสียง "เสียงเหมือนกำลังถูกทำร้ายจาการต่อสู้.."
"เอ...ตรงที่เราอยู่นี่  .." เจ้าหน้าที่ขับรถเปิดจอมอร์นิเตอร์ระบุเส้นทางแล้วเอ่ยขึ้นว่า "ไปข้างหน้าอีกสองซอย  มันเป็นโรงงานที่คุณ แคทเทอรีน ถูกส่งมาสำรวจนี่..."
หนุ่มนักล่ามองหน้าเขาพร้อมกับถาม "อย่างนี้ แคท ก็กำลังงานเข้าแล้วนะสิ?"
"คงจะอย่างนั้นแหล่ะ"
หมอผีหนุ่มเอ่ยแทรกเข้ามา "ไม่ไปช่วยเขาหน่อยเหรอ"
"แล้วจะรออะไรเล่า รีบไปช่วยกันเลย" หนุ่มนักล่าบอก  และดันร่างคนขับรถให้ไปประจำที่ "รีบไปเร็วๆเถอะ..."

ทั้งหมดรีบขึ้นรถและขับออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วเพื่อตรงไปยังโรงงานต้นเสียง
ระหว่างที่รถยนต์วิ่งไป หนุ่มนักล่ามีท่าทีร้อนรน  หมอผีหนุ่มมองแล้วยิ้มที่มุมปาก
หนุ่มนักล่าหันมามองแล้วถามอย่างสงสัย "คุณยิ้มอะไร?"
"ผมขำคุณน่ะสิ  เวลาอยู่ด้วยกันก็ทะเลาะกัน เถียงกัน แต่ที่แท้คุณก็ห่วงกัน" หมอผีหนุ่มบอก
หนุ่มนักล่า รีบทำท่าทีสงบลง เขาบอกแก้เก้อว่า "ก็ในฐานะผู้ร่วมงานน่ะ  ผมไม่คิดอย่างอื่นหรอก"
"ผมก็หวังว่าคุณจะคิดอย่างนั้น  เพราะว่า......" หมอผีหนุ่มเงียบไป
หนุ่มนักล่าขมวดคิ้วจ้องหน้าเขา "เพราะว่าอะไร?"
"เอ่อ.อ....ปะ...เปล่าไม่มีอะไรหรอก..." หมอผีหนุ่มตอบแล้วมองออกไปนอกกระจก

นักล่าหนุ่มมองผู้ร่วมทีมด้วยสายตาสงสัย  ร่วมทีมไม่นานเขาเองก็ชักสังเกตเห็นว่าคู่หูสาวนักล่าใจน้ำแข็งของตนชักอ่อนไหวลง และหมอผีไทยผู้นี้ก็ดูจะเป็นห่วงเป็นใยสาวนักล่าจนออกนอกหน้า  เขาไม่ได้มีความรู้สึกส่วนตัวอะไรกับสาวนักล่าเป็นพิเศษ  เพียงแต่ผูกพันและเห็นใจกันในสิ่งที่ทั้งคู่เป็นเท่านั้น....

<>::<>::<>::<>::<>::<>

ก่อนหน้าที่ นักล่าและหมอผีหนุ่มจะจัดการเจ้ามนุษย์หมาป่าเล็กน้อย...

รถตู้ของหน่วยล่าแวมไพร์จอดสนิทหน้าโรงงาน

สาวนักล่าในชุดหนังรัดรูปโชว์สัดส่วนเย้ายวนก้าวลงมาจากรถและมองโรงงานขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา เธอยืนนิ่ง กลิ่นคาวเลือดที่โชยออกมาตามลมทำให้หญิงสาวรู้ได้ในทันทีว่ามีใครบางคนตกเป็น เหยื่อของสัตว์ร้ายไปแล้ว เมื่อคิดดังนั้น  เธอจึงหันหน้ากลับไปทางแดนนี่ที่เงอะๆเงิ่นๆเหงื่อตกและใส่เสื้อกันกระสุนอยู่ในที่คนขับ

สาวนักล่าสั่งเสียง เรียบๆ   "ติดต่อกลับไปที่หน่วย ขอกำลังเสริมและหน่วยกวาดล้าง ดูท่าทางจะมีคนถูกฆ่าตายในนี้หลายรายแล้ว...."
"คะ......ครับ" แดนนี่รับคำและหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา
เขาหยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นนักล่าสาวขยับตัว "คุณจะเข้าไปคนเดียวหรือครับ"
"ใช่............."    นักล่าสาวตอบ   "รออยู่ที่นี่จนกว่าฉันจะกลับมา..."
ร่างปราดเปรียววิ่งออกไปทันที แดนนี่รีบร้องเรียกด้วยความตกใจ
"เดี๋ยวครับคุณแคทเทอรีน...."
ไม่ทันเสียแล้ว  ร่างอวบอัดผลุบหายเข้าไปในโรงงานเก่าๆนั่นอย่างรวดเร็ว

"บ้าเอ้ย....."  เขาสบถออกมาคำหนึ่งเมื่อหญิงสาวหายลับไปจากสายตา
และเขาต้องรีบพูดเมื่อได้ยินคำถามดังมาจากจากวิทยุสื่อสาร
"เกิดอะไรขึ้น"
"แคทเทอรีนบุกเข้าไปในโรงงานตามลำพังครับ" เขารายงานต้นสายกลับไป
"รีบตามเธอไป" เสียงจากในสายสั่งมา
แดนนี่ผงกศีรษะรับ  "ครับ แต่ก่อนไปแคทเทอรีน บอกว่าได้กลิ่นเลือดค่อนข้างรุนแรงโชยออกมาจากโรงงาน คาดว่าอาจมีคนถูกทำร้ายจนเสียชีวิต"
"ผมนะรีบส่งกำลังเสริมและหน่วยกวาดล้างตามไป" เสียงในสายบอกมา และกำชับมาว่า   "ตอนนี้รีบตาม แคทเทอรีนไปเร็ว ๆแล้วก็ระวังตัวให้ดีด้วยแดนนี่..."
"ครับ..คุณดัลกลิช..." แดนนี่รับคำและเก็บวิทยุกลับเข้าที่

เขาดึงปืนออกมาจากซองเพื่อตรวจความพร้อมก่อนจะก้าวลงจากรถและรีบเดินเข้าไป ในโรงงานอย่างระมัดระวัง...

ด้วยความที่เป็นโรงงานขนาดใหญ่   เมื่อเจ้าหน้าที่หนุ่มเดินเข้าไปแล้วจึงได้เห็นทุกอย่างจึงตกอยู่ในความเงียบสงัด ความมืดครอบคลุมอยู่เกือบทุกที่ยกเว้นบริเวณที่มีเสาไฟซึ่งตั้งอยู่ในระยะ ห่างกันพอสมควร ส่วนที่แสงส่องไปไม่ถึงก็จะเป็นเงาดำมืดทะมึนชวนให้นึกถึงอสูรร้ายที่ซ่อน ตัวอยู่และพร้อมจะกระโจนออกมาได้ตลอดเวลาเหมือนในหนังสยองขวัญเกรด B.

แดนนี่เหงื่อกาฬไหลอาบหน้ารู้สึกตื่นเต้นมากว่าตื่นตัว  เขายกปืนขึ้นเสมอไหล่และไล่สายตามอง ไปโดยรอบอย่างระวัง เขาพยายามเงี่ยหูฟังเสียงต่างๆอย่างตั้งใจแต่ดูเหมือนทุกหนแห่งจะตกอยู่ในความเงียบ  ไม่มีแม้แต่เสียงของหนูหรือแมลงสาบเหมือนกับโรงงานร้างทั่วไป แดนนี่กระชับปืนในมือให้แน่นขึ้นและเดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างระมัด ระวัง เขาสอดส่ายสายตามองหานักล่าสาวพร้อมกับเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก

"คุณแคทเทอรีน....คุณแคทเทอรีน...."

แก๊ก.ก.ก...แก๊ก.ก.ก...ก...ก์....
"ฮื่อ.อ.อ...คุณแคทเทอรีน  ใช่คุณหรือเปล่า...." เขาเอ่ยถามไปตรงที่เกิดเสียง
"......................" เงียบไม่มีเสียงตอบมา

กุก.ก...กุก.ก.ก..แก๊ก.ก.ก...
มีเสียงเคลื่อนไหวคล้ายอะไรบางอย่างกำลังขยับตัวดังมาจากทางด้านหลัง
แดนนี่รีบหันปากกระบอกปืนไปในทิศทางนั้นทันที
หัวใจของเขาเต้นระรัวราวกับกลองเมื่อได้ยินเสียงคำรามแผ่วต่ำดังออกมา

"แฮ่ก.ก.ก..แฮ่ก.ก.ก..ก์....." เสียงบ่งบอกว่าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์แน่ๆ
แดนนี่กระชากลูกเลื่อนปืนพร้อมกับร้องถาม "นั่นใคร"

เสียงกรุบกรับคล้ายสุนัขกำลังเคี้ยวกระดูกดังขึ้นจากตรงที่เขาเดินเข้าไปใกล้   แดนนี่บดกรามแน่นและแข็งใจเดินเข้าไปเรื่อยๆ ขณะขยับไปข้างหน้าอีกก้าว  ดวงตาของเขาได้เห็นเงาดำซึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในเงามืด  มันจ้องมาประสานสายตาของเขาเขม็ง  เจ้าหน้าที่หนุ่มใจหายวาบเมื่อ เห็นสายตาแดงก่ำลุกโชนราวกับดวงตาของสัตว์ป่าจ้องตอบกลับมา   เสียงร้องคำรามดังขึ้นอีกครั้ง   

"โฮ้ก.ก.ก..ก....ก์....." คราวนี้มันเป็นไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
เจ้าหน้าที่หนุ่มผงะถอยหลังอย่างลืมตัว "ฮะ..เฮ้ย.ย.ย...."

แล้วแดนนี่ก็ต้องชะงักยืนนิ่งและเบิกตากว้างเมื่อเห็นอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาหา   มันกระแทกร่างของเขาอย่างแรงจนล้มลง และตรงเข้ามาหมายขย้ำร่างของเขา  เสียงร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจขณะออกแรงผลักของสิ่งนั้นให้พ้นไปจากตัว เมื่อผลักมันออกไปได้  จากนั้นเขาจึงรีบลุกยืนขึ้นและเล็งปืนไปยังของสิ่งนั้นทันที   แต่แดนนี่ก็ต้องเบิกตากว้างอีกครั้งเมื่อพบว่าสิ่งที่มากระแทกร่างของตนคือซากแหลกเละของใครคนหนึ่ง

เขารวบรวมสติลดปืนลงและมองซากนั้นอย่างพิจารณา
"ยามหรือนี่....." แดนนี่ มองแล้วบ่นพึมพำ

และเขาต้องสะดุ้งสุดตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งไปอีกด้าน  เขายกปืนและขยับหมุนตัวตามอย่างรวดเร็วแต่ยังไม่ทันที่จะได้ร้องถามหรือลง มือทำอะไร เงาสีดำขนาดใหญ่ก็พุ่งออกมาจากมุมมืดเข้าโจมตีเขาอย่างรวดเร็วจนเสียหลัก หงายหลังล้มลง  แดนนี่ร้องอุทานเสียงหลงและเพิ่มความตระหนกมากยิ่งขึ้นเมื่อปืนที่ถืออยู่ หลุดกระเด็นออกจากมือ เขามองตามและพยายามจะเอื้อมมือไปหยิบ   แต่เสียงร้องอย่างดุร้ายของสัตว์ที่ก้าวมายืนค้ำอยู่เหนือร่างทำให้เขาต้องหยุดชะงัก

เขามองร่างสูงใหญ่ของอมนุษย์ที่กำลังยืนคร่อมร่างของตนด้วยความตกใจ
"มนุษย์หมาป่า!"
"กรร.ร.ร..ร.ร....แฮ้ก.ก.ก.ก...ก์....." เสียงคำรามอันน่าสยองดังขึ้น

อสูร ร้ายแยกเขี้ยวกว้างคล้ายกำลังแสยะยิ้ม น้ำลายไหลยืดย้อยออกจากปากและคงจะหยดลงไปบนใบหน้าของแดนนี่ถ้าเขาไม่รีบ เบี่ยงหลบและนิ่วหน้าอย่างนึกรังเกียจเมื่อได้กลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจฟุ้ง กระจายออกมา มนุษย์หมาป่ามองชายหนุ่มด้วยดวงตาแดงก่ำก่อนจะกางกรงเล็บออกและคว้าศีรษะของ เขาเอาไว้

แดนนี่แม้นจะตกใจจนตัวสั่นแต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดบอกให้ร่างกายของเขาพยายามต่อสู้ดิ้นรนแต่ก็ไม่อาจต้านทานพละกำลังอันมหาศาลของอมนุษย์ได้  มันเริ่มออกแรงบีบหัวของเขาหมายจะขยี้ให้แหลกเละ ชายหนุ่มขบกรามแน่นแต่ความเจ็บปวดที่ทวีความรุนแรงขึ้นทำให้เขาต้องแผดเสียงร้องออกมาดังลั่น   

ขณะที่คิดว่าตัวเองไม่มีทางรอดอยู่นั้น  พลันอีกด้านหนึ่งนักล่าสาวก็ปรากฏตัวขึ้น  มนุษย์หมาป่าหยุดชะงักและผงะหงายหลังเมื่อถูกเธอโดดเตะเข้าที่ปลายคาง  มือที่กำศีรษะของแดนนี่คลายออก  พอเป็นอิสระเขารีบคลานถอยห่างอย่างรวดเร็วในขณะที่สาวนักล่าดึงดาบคู่มือออกมา

สาวนักล่าเอ่ยเสียงขุ่นๆ ชำเรืองมองเขาด้วยหางตา "บอกแล้วใช่ไหมว่าให้รออยู่ข้างนอก"
แดนนี่พยายามลุกขึ้นยืนทั้งที่มือข้างหนึ่งยังคงกุมศีรษะของตัวเอง
"ผมอยากช่วยคุณ" เขาพูดเสียงแผ่ว
สาวนักล่าส่ายหน้า  มองเขาแบบหน่ายๆ  "ไม่จำเป็น  ทำไมชอบรนมาที่จริงๆ...."
"อะ..เอ่อ.อ...ขอโทษที่ผมทำให้คุณต้องลำบากครับ..." แดนนี่พูดเหมือนสำนึก

สาวนักล่าไม่ตอคำอะไร   เธอหมุนดาบในมือและกระโจนเข้าใส่มนุษย์หมาป่าทันที  มันเบี่ยงตัวหลบพร้อมกับสะบัดกรงเล็บหมายจะคว้าร่างของหญิงสาว  แต่นักล่าสาวกลับพลิกตัวหลบอย่างว่องไว  เธอดีดตัวขึ้นไปยืนบนเครื่องจักรตัวหนึ่งก่อนจะตีลังกาลงมายืนตรงหน้าอสูรร้ายและตวัดดาบตัดแขนทั้งสองข้างของมันจนขาดกระเด็น  เจ้ามนุษย์หมาป่าเบิกตากว้าง มันจ้องเลือดที่กำลังไหลทะลักออกมาจากแขนด้วยสายตาตระหนกก่อนจะแหกปากส่ง เสียงกรีดร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวด นักล่าสาวมองปิศาจร้ายอย่างรำคาญ

เธอถีบเข้าที่ท้องมันจนเซไปเกือบล้ม "น่ารำคาญเสียงของแกจริงๆ"
"โฮ้ก.ก.ก.ก...ก์....." เจ้าสัตว์ร้ายคำรามลั่น  พลางวิ่งเข้ามาหาสาวนักล่าอย่างโกรธแค้นที่ทำร้ายมัน
"อ่อนมากๆและโจมตีอย่างสิ้นคิดที่สุด..."
เธอกระโดดขึ้นไปยืนเหยียบไหล่ทั้งสองข้างของมันและเอ่ยบอกอย่างหยามๆ "โง่หลาย..ตายซะ..."

สาวนักล่าสะบัดดาบในมืออีกครั้งก่อนจะเฉาะลงไปบนกลางหัวของอสูรร้าย  มันอ้าปากค้างและส่งเสียงร้องออกมาได้คำเดียวเท่านั้นเพราะถูกนักล่าสาวใช้ ดาบตัดลำคอของมันขณะโดดลงมายืนบนพื้น ร่างสูงใหญ่ยืนโอนเอนไปมาก่อนจะทรุดลงไปนอนกองแน่นิ่ง  สาวนักล่าหันกลับไปมองเลือดสีแดงเข้มซึ่งกำลังไหลทะลักออกมาจากตัวของสัตว์ร้าย

แล้วเธอก็ขมวดคิ้วจ้องมองด้วยสายตาแปลกใจ  "ทำไมมันถึงไม่สลายไปเหมือนทุกครั้ง"
"มันอาจจะเป็นสัตว์ทดลองรุ่นใหม่ของพวกมันก็ได้ครับ" แดนนี่ออกความเห็น
นักล่าสาวส่ายหน้าพร้อมกับขมวดคิ้ว
"ไม่น่าจะเป็นไปได้  เพราะคนพวกนั้นไม่ต้องการให้เรารู้ความลับและตัวตนของพวกมัน"

เธอจ้องซากร่างมนุษย์หมาป่าด้วยสายตาครุ่นคิดก่อนจะสั่งอีกครั้ง "แจ้งไปที่หน่วย ขอกำลังเสริมกับหน่วยกวาดล้าง"
"ผมติดต่อไปเรียบร้อย แล้วครับ" เขาหันไปมองร่างแหลกเละของยามเคราะห์ร้าย "ระหว่างนี้ผมขอตรวจที่นี่ให้ละเอียดเพราะอาจจะมีคนอื่นอยู่ด้วย"
"นอกจากเขาแล้วยังมีอีกสามศพอยู่ทางด้านนั้น" สาวนักล่าบอกขณะเก็บดาบเข้าฝัก
"เอ่อ.อ.อ...." แดนนี่มองหน้าเธองงๆ
เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของแดนนี่สาวนักล่าจึงเอ่ยต่อ "ฉันสำรวจจนทั่วโรงงานแล้ว"
"งั้นหรือครับ"   เขาพูดและยืนนิ่ง

ระหว่างนั้น แดนนี่หันหน้าไปมองมนุษย์หมาป่าอีกครั้งและเบิกตากว้างพร้อมกับอุทาน "คุณแคทเทอรีน!"
หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียกและขมวดคิ้วเมื่อพบว่าร่างของอสูรร้ายกำลังเปลี่ยนกลับไปเป็นมนุษย์ตามเดิม

"นี่ มันอะไรกัน"   สาวนักล่าพึมพำขณะนั่งลงจ้องร่างไร้หัวอย่างพิจารณา
"นอกจากจะไม่สลายแล้วยัง คืนสภาพอีกด้วย เจ้านี่เป็นสัตว์ทดลองประเภทไหนกันแน่" แดนนี่เอ่ยเสริมขึ้นมา

เสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากดังมาจากประตูทางเข้า
เจ้าหน้าที่หน่วยนักล่าวิ่งเข้ามาพร้อมกับเอ่ยเรียก "คุณแคทเทอรีน..ปลอดภัยหรือเปล่า?"
"ปลอดภัยดี  ทุกอย่างเคีร์ยแล้ว.."  แดนนี่เอ่ยบอกเจ้าหน้าที่ซึ่งกรุกันเข้ามา
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งมองร่างไร้หัว "นะ..นี่...."
"ศพ นี้คือมนุษย์หมาป่า" แดนนี่บอกแทนสาวนักล่า
หญิงสาวพูดพร้อมกับยืนขึ้น "ส่วนตรงนั้นคือผู้เคราะห์ร้าย ห้องด้านข้างยังมีอีกสาม ช่วยเก็บอย่างระวังและทำความสะอาดที่นี่ให้เรียบร้อยด้วย"

สั่งจบสาวสวยนักล่าจึงหันไปทางแดนนี่และถามเสียงเรียบๆ "ขับรถไหวหรือเปล่า"
"สบายมากครับ" เจ้าหน้าที่หนุ่มตอบ
นักล่าสาวผงกศีรษะ"ดี...." เธอพูดสั้นๆ "กลับกันเถอะ"

เอ่ยจบสาวนักล่าก็ก้าวออกจากบริเวณนั้นทันที
แดนนี่หันไปมองเจ้าหน้าที่กวาดล้างซึ่งกำลังเก็บร่างผู้เสียชีวิตและทำความสะอาดที่เกิดเหตุอย่างระมัดระวัง
มองอยู่สักครู่เขาก็ออกเดินตามนักล่าสาวไปยังที่รถตู้
และรถยนต์คันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอด  นักล่าค่าหัวหนุ่มและหมอผีสินรีบลงมาจากรถทันที
ทั้งสองรีบตรงเข้ามาหาสาวนักล่าท่าทางห่วงใย  สาวนักล่ามองทั้งสองด้วยสายตาเฉยๆ

หมอผีหนุ่มถามก่อนอย่างร้อนรน "ขอโทษทีผมมาช้าไปหน่อย คุณ โอ. เค. ไหม?"
"ก็เห็นนี่ว่ายังไม่ตาย" นักล่าสาวตอบประชด
นักล่าหนุ่มว่า "เรารีบมาแล้ว  เพราะมัวไล่ล่ามนุษย์หมาป่าเลยมาช้า"
"ทางที่พวกนายไปก็มีมนุษย์หมาป่าด้วยหรือ?" นักล่าสาวถามอย่างสงสัย
"มีสิ...แต่เราจัดการไปแล้ว.." หมอผีหนุ่มบอก
สาวนักล่าขมวดคิ้ว "ทำไมมันปล่อยมนุษย์หมาป่าออกมากลางวันแสกๆ  และพันธุ์นี้ไม่คืนร่างด้วย"
"นั่นสิ...เหมือนมันจงใจปล่อยมาให้เราได้รู้และกำจัด" นักล่าค่าหัวเองก็สงสัย
สาวนักล่าก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ เธอว่า "กลับไปที่หน่วยแล้วรอผลวิเคราะห์กันเถอะ..."
"ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น.." นักล่าหนุ่มบอก
หมอผีหนุ่มถามยิ้มๆ "หมายความว่า..."
"กลับรังไง?" นักล่าหนุ่มบอกแล้วเดินไปขึ้นรถ

หมอผีหนุ่มมองไปที่โรงงานซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังลำเลียงศพออกมา  มองสักครู่นักล่าค่าหัวเป่าปากเรียกเขาจึงตามไปขึ้นรถ..

<>::<>::<>::<>::<>::<>

เสียงผู้อ่านข่าวกำลังรายงาน คดีฆาตกรรมชายหนุ่มและหญิงสาวคู่ขาภายในที่พักอาศัยในย่านชุมชนทำให้  ประธานของแวมไพร์พันธุ์แท้  อเล็กซ์ เฟอร์กูสันขมวดคิ้วและนั่งฟังอย่างตั้งใจ หลังจบการให้สัมภาษณ์จากเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่กล่าวว่ากำลังดำเนินการสืบหา ตัวคนร้ายอย่างเร่งรีบแล้ว  ท่านประธานแวมไพร์จึงกดปุ่มปิดโทรทัศน์

เขาผ่อนลมหายใจค่อนข้างแรงด้วยความหนักใจก่อนจะเลื่อนมือไปยังแก้วน้ำที่ใส่ของเหลวสีแดง  แต่ยังไม่ทันจะได้หยิบเขาก็ต้องขมวดคิ้วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้น   เขาเหลือบสายตามองดู เบอร์- ชื่อผู้ติดต่อแล้วจึงละมือจากแก้วไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมารับพร้อมกับกระแทกเสียงใส่

"มีอะไรรูนี่ย์..."
"มี ข่าวสำคัญครับท่านประธาน " เสียงปลายสายแผ่วเบาอย่างระมัดระวัง
"ถ้าข่าวเรื่องเจ้ามนุษย์สองคนจากทีวีละก็ ฉันรู้แล้ว"
เสียงตามสายเอ่ยต่ออย่างหวั่นๆ "ไม่ใช่เรื่องนั้นครับ  แต่เป็นเรื่องที่ตอนนี้ วาเล็ค มอทัซ และพรรคพวกหายตัวไปพร้อมกับตัวอย่างทดลองสำคัญๆ  ที่เขาส่งให้เราเป็นแค่สิ่งผิดพลาดและต้องทำลาย  และเขาก็ปล่อยให้มันเพ่นพล่านอาละวาดจนพวกนักล่าตามเก็บได้เกือบหมดแล้ว  แถมยังเหลือหลักฐานให้ถูกสาวมาถึงพวกเราได้อีกด้วย..."

สีหน้าของประธานแวมไพร์เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้รับรายงานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เขาเอนตัวพิงเก้าอี้พร้อมกับถามเสียงเรียบ
"เราเสียสัตว์ทดลองไปเท่าไหร่"
" ๑๕ รวมทั้งมนุษย์หมาป่าพ่นพิษที่เพิ่งได้รับการพัฒนารุ่นล่าสุดอีกหนึ่งตัวครับท่าน"
"น่าเสียดาย" หัวหน้าใหญ่แวมไพร์พึมพำ "แต่ทำไมเจ้าพวกนั้นถึงออกไปรวมกลุ่มกันในแถบนั้นได้"
"มีคำสั่งให้พวกขนส่งพาไปทำการทดลองเพิ่มครับ"
คำตอบของลูกน้องทำให้ประธานผีดิบขมวดคิ้ว
"ทดลองเพิ่มเติม?" เขาทวนคำและถามกลับอีกฝ่าย "ฉันไม่ได้สั่งให้ทำเรื่องนี้ ใครเป็นคนแจ้ง"
"ผมได้สอบถามเรื่องนี้ไปที่หน่วยวิจัย  พวกเขายืนยันว่าได้รับหนังสือคำสั่งจากท่านและทางองค์กร"
ประธานกลุ่มผีดิบขมวดคิ้ว "ผมไม่เคยออกคำสั่งและไม่ได้รับรายงานเลยว่าทางองค์กรส่งหนังสืออะไรมาให้"
"ทางนั้นแจ้งว่าเป็นภารกิจเร่งด่วนให้รีบดำเนินการทันทีโดยไม่ต้องแจ้งให้ท่านทราบ..."   เสียงนั้นรายงานเจ้านายของตนด้วยความหวาดหวั่น
ดวงตาของประธานผีดิบทอประกายวาว "นี่ไม่ใช่คำสั่งจากองค์กร" เขาพูดเสียงห้วน "มีคนปลอมคำสั่งนี้ขึ้นมาเพื่อให้เราส่งสัตว์ทดลองไปที่นั่น"
น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้น
"มันต้องการให้พวกนักล่ารู้เรื่องของเรา" สักครู่เขาก็ปรับดวงตาขุ่นเคืองให้เย็นเยียบลงและออกคำสั่งไปยังลูกน้อง "ไปสืบมาว่ามีใครร่วมมือกับพวกมัน"
"ครับท่าน" เสียงรับคำสั่งจากผู้ใต้บังคับบัญชาจากสายเงียบลง

ประธานแวมไพร์นั่งเงียบหลับตาราวกำลังใช้ความคิด  และเขาก็กดอินเตอร์โฟนให้เรียกหัวหน้าหน่วยป้องกันขององค์กรให้เข้ามาหา  รอไม่ถึงอึดใจชายหน้าเหลี่ยมผมหยิกร่างใหญ่ๆ  ก็เดินเข้า  ผู้ถูกเรียกเข้าโค้งหัวคำนับและยินนิ่งรอรับคำบัญชา  ประธานผีดิบเหลือบมองแล้วก็เริ่มมีคำสั่ง....

"ไรอัล จับพวกที่รู้เรื่องการขนย้ายสัตว์ทดลองของ มอทัซ ในครั้งนี้ทั้งหมดไปขังไว้ที่ห้องเย็น  และห้ามปล่อยจนกว่าผมสั่ง"
"ครับนายท่าน" ชายหน้าเหลี่ยมผมหยิกรับคำอย่างแข็งขัน

เสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจกล่าวต่อ "และจัดการเฝ้าระวังอาคารและสถานที่ทุกแห่งของเราให้กวดขัน  ส่วน เธค  คลับ ผับ บรา  ที่เรามีเอี่ยวทั้งหลายให้ปิดก่อนเที่ยงคืนเหมือนของพวกมนุษย์..."
"ตอนนี้ภาวะของพวกเรา  คงอยู่ในช่วงอันตรายใช่ไหมครับ"
คิ้วของประธานผีดิบขมวดเข้าหากันอย่างลำบากใจ  ก่อนตัดสินใจพูด "พวกเรากำลังมีปัญหากับพวกนอกคอกบางกลุ่ม..."
"มอทัซ อีกแล้วใช่ไหม?"
"ใช่....พวกมันออกไปชุมนุมนอกเขตโดยพลการ และลักลอบนำตัวอย่างชีวะอาวุธรุ่นล่าสุดออกไปด้วย"
ชายหน้าเหลี่ยมผมหยิกยังยืนนิ่งๆ เขาเอ่ยอย่างมั่นใจ "ผมรับปากจะจัดการ วาเล็ค มอทัซ ให้ได้เมื่อเจอตัว"
"ฉันน่าจะกำจัดเขาไปตั้งนานแล้ว  ไม่น่าวางใจปล่อยไว้จนก่อเรื่องขนาดนี้เลย" ประธานผีดิบเอ่ยอย่างเสียดาย
"แต่เรื่องที่พวกองค์กรกางเขนดำได้เบาะแสจากพวกสัตว์ทดลองนี่...."
ประธานผีดิบจ้องหน้าผู้ใต้บัญชา " ฉันจะนำเรื่องนี้แจ้งต่อที่ประชุมหลังเหตุการณ์สิ้นสุดลงราวหนึ่งชั่วโมง เวลานี้สมาชิกระดับสูงบางคนเริ่มไม่ไว้ใจการทำงานของฉันแล้ว"
"................." ชายหน้าเหลี่ยมยืนนิ่งรับฟังอย่างเดียว

ประธานผีดิบเอ่ยจบก็เงียบไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเชิงออกคำสั่ง

"เตรียมรถยนต์ให้พร้อมภายในห้านาที  ฉันจะไปสำนักงานใหญ่"
"ครับนายท่าน..." ผู้รับคำสั่งโค้งหัวและหันเดินออกไปเงียบๆ

คล้อยหลังไป  ประธานผีดิบเอนตัวพิงเก้าอี้และจ้องเพดานสีขาวสะอาดด้วยสายตาที่ฉายแววครุ่นคิดจน
กระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น  เขามองจอมอร์นิเตอร์  เห็นผู้มาหาก็อนุญาตให้เข้ามา
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก้าวเข้ามา เขาค้อมตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวอย่างนอบน้อม

"รถยนต์เตรียมไว้รอเรียบร้อยแล้วครับท่าน"
"ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ..."  ประธานผีดิบผงกศีรษะและลุกขึ้นพร้อมกับจะลุกขึ้นยืนเพื่อไป

แต่เขาต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ก้าวอย่างร้อนรนดังใกล้เข้ามา  ประธานผีดิบหันไปที่ประตูและมองร่างสูงใหญ่ของหัวหน้าหน่วยป้องกันที่ก้าว พรวดพราดเข้ามาในห้องด้วยความแปลกใจ
"มีอะไร"
"ข่าวด่วนครับท่าน" หัวหน้าหน่วยป้องกันตอบพร้อมกับยื่นแฟ้มส่งให้และรีบรายงานเมื่อเห็น
ประธานผีดิบเปิดดู "ฆาตกรรมโหดยกครัว  ปาดคอตามเกลี้ยงไม่เว้นแม้นเด็กรับใช้...."
ประธานผีดิบหยุดอ่านทันที เขาเงยหน้าขึ้นจ้องหัวหน้าหน่วยป้องกันพร้อมกับอุทาน  "นี่คุณหมายถึงครอบครัวที่เราทดลองการปลูกถ่ายไวรัชชนิดใหม่ลงไปน่ะหรือ"
"ครับ"
สีหน้าของประธานผีดิบฉายความยุ่งยากใจออกมา
เขาก้มลงอ่านรายงานอีกครั้งก่อนจะถามเสียงเครียดๆ "ตอนนี้ศพของคนพวกนั้นอยู่ที่ไหน"
"กำลังถูกนำไปชันสูตรที่สถานเก็บศพประจำเขตครับ"

ประธานผีดิบผงกศีรษะช้าๆก่อนจะปิดแฟ้มและยื่นส่งกลับไปให้หัวหน้าหน่วยป้องกันพร้อมกับถาม
"รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง"
"ครับ" หัวหน้าหน่วยร่างใหญ่ตอบเสียงหนัก"ผมจะเร่งติตามไปหาทางทำลายศพและหลักฐานทั้งหมดให้สิ้นซาก"
"ดีมาก....คอยระวังอย่าให้พวกนักล่ารู้เรื่องนี้เป็นอันขาด"
"ครับนายท่าน" หัวหน้าหน่วยป้องกันกล่าวรับคำพร้อมกับค้อมตัวลงอย่างยำเกรง

"เดี๋ยวก่อน ไรอัล...."  ประธานผีดิบเรียกตัวหัวหน้าหน่วยป้องกันรั้งไว้
หัวหน้าหน่วยป้องกันหันมายืนนิ่งรับคำสั่ง ".....มีคำสั่งอะไรเพิ่มเติมหรือครับท่าน"
ประธานผีดิบเปิดลิ้นชักโต๊ะและหยิบแฟ้มฉบับหนึ่งออกมา "หน้าที่ต่อไปของคุณก็คือหาทางทำลายเจ้าพวกนักล่า จะต้องฆ่าคนอีกเท่าไหร่หรือใช้อิทธิพลทางการเมืองยังไงฉันไม่สน ขอเพียงได้ขุดรากถอนโคนพวกมันให้สิ้นซากเท่านั้นก็พอ"
"แล้วเรื่องของ มอทัซ ล่ะครับ นายท่านมีทางลงโทษเขาด้วยสาเหตุนี้ได้อย่างแน่นอน"
"เรื่องของ มอทัซ ไม่ต้องกังวลหรอก...."
ท่านประธานผีดิบพูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆและขณะเคาะนิ้วลงบนแฟ้ม
"พ้นจากคืนนี้ไป เจ้านั่นไม่มีทางได้กลับมาทำท่ายะโสอีกแน่ๆ"
"ท่านมั่นใจหรือครับ" เสียงถามกลับมาอย่างหวั่นๆ
ประธานผีดิบขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ  "ลืมไปแล้วหรือว่าฉันเป็นใคร  ไอ้กลายพันธุ์นอกคอกนั่นไม่มีทางเทียบชั้นหรือทำอะไรฉันได้หรอก"
"ครับนายท่าน...."
"เท่านี้ก่อนนะ ไปได้....."

หัวหน้าหน่วยป้องกันโค้งหัวคำนับแล้วเดินออกจากห้องไป 
ประธานผีดิบทิ้งตัวพิงเก้าอี้พร้อมกับพูดพึมพำออกมา "เจ้าผีดิบสารเลวนอกคอก....."
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูกขณะสายตาเลื่อนไปมองมองแฟ้มที่วางอยู่ตรงหน้า สายตาทอประกายวาวอย่างอาฆาต
"คราวนี้แกจบแน่เจ้า วาเล็ค  มอทัซ....."

หลังออกจากที่พักส่วนตัว  ประธานผีดิบก็นั่งรถยนต์ส่วนตัวเพื่อมุ่งตรงกลับไปยังที่สำนักงานใหญ่ของพวกผีดิบทันที ขณะรถยนต์คันหรูวิ่งไปตามถนนซึ่งตัดผ่านป่า   รถของเขาก็ต้องชะลอความเร็วลงอย่างฉับพลันและจอดสนิทนิ่ง  ประธานผีดิบขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

เขาผงกกายขึ้นมาและเอ่ยถามคนขับรถประจำตัว"จอดทำไม"
"มีรถขวางทางเราอยู่ครับ"   คนขับพูดพร้อมกับชี้มือไปข้างหน้า 

ประธานผีดิบมองรถสีดำคันใหญ่ที่กำลังจอดขวางอยู่กลางถนนด้วยความสงสัย  เมื่อเห็นพิรุธที่รถยังจอดนิ่ง
มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋าและกำปืนแน่น  และเพ่งมองจ้องประตูรถที่กำลังเปิดออก
ท่านประธานผีดิบมองเห็นชายคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงมาหาอย่างประหลาดใจ

"พวกมอทัซ...." เขาพึมพำขณะคลายปืนในมือและกดปุ่มลดกระจกลง

ประธานผีดิบมองผู้มาหาด้วยความสงสัย  เมื่อชายในชุดสูทสีเข้มหยุดยืนในระยะห่างพอประมาณ เขาก้มศีรษะคำนับ

"ท่าน อเล็กซ์  เฟอร์กูสัน ครับ" ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ "มีคำสั่งจากท่านมอทัซให้มารับท่านไปยังหน่วยวิจัยใหม่เพื่อเยี่ยมชมและตรวจงานครับ"
"หน่วยวิจัยแห่งใหม่"
"ใช่ครับ...ขอเชิญให้เกียรติไปด้วยครับ...."
ประธานผีดิบมองหยามๆ "ฉันไม่ไป  แล้วฝากบอก มอทัซ ด้วยว่า  ฉันจะส่งคนไปลากคอมันมาหาในวันนี้"
"อุ๊ย...น่ากลัวจัง.." เจ้าร่างใหญ่ทำท่าล้อเลียน
ประธานผีดิบโมโหจนหน้าชา  และคิดหาทางมาไล่เบี้ยย้อนหลัง  เขาสั่งคนขับทันที "ชิชาริโต้  ออกรถ..."
"จะรีบไปไหนเล่าท่านประธาน" เจ้าร่างใหญ่กดกระจกที่กำลังเลื่อนขึ้นลง
ประธานผีดิบอ้าปาก ถามอย่างตื่นตะลึง "เฮ้ย...แกจะทำอะไร?"
"เชิญดีๆแล้วไม่ไปใช่ไหม.."
"อ้าก.ก.ก.ก...ก์....."

ประธานผีดิบร้องเสียงหลง  ร่างของเขาถูกกระชากออกมาทางช่องกระจกรถและเหวี่ยงไปกระแทกต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ร่างอวบๆอ้วนๆตกลงพื้นเสียงดังตุ๊บ   คนขับรถชักปืนและเปิดประตูออกมาหมายช่วยนายของตน  ทว่าเขาก็ต้องตาค้างเมื่อร่างหญิงสาวเย้ายวนในชุดขาวโผล่ออกมาขวาง สาวคนนั้นสะบัดมือครั้งเดียวหัวของคนขับรถก็ขาดหล่นลงพื้นทันที

ประธานผีดิบจุกเจ็บแต่ก็อดตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ "นี่พวกแกจะทำอะไรกัน?"
"ยุคของแกมันจบลงแล้วตาแก่  ต่อไปท่าน มอทัซ และพวกเราจะครองโลก  แค่กำจัดแกกับไอ้พวกแวมไพร์เฒ่าหมดก็ไม่มีใครขวางพวกเราได้แล้ว.." เจ้าร่างใหญ่บอกแล้วหัวเราะ
สาวชุดขาวก็เดินเข้ามาใกล้แล้วทำท่าลูบไล้ยั่วยวน "ไปดีๆนะ  อย่าขัดขืนเลย ไม่อยากทำกับท่านประธานอย่างเจ้าคนขับรถ"
"ฮึ่ม.ม.ม..ม์...พวกแก...." ประธานผีดิบมองอย่างขุ่นเคือง

สมุนอีกหลายคนกรูเข้ามาจับกุมตัวประธานผีดิบให้เดินตามไป
เขาพยายามขัดขืน แต่ก็ถูกทุบตีจนจำใจต้องให้พวกนั้นหิ้วตัวไปอย่างไม่เต็มใจ
เจ้าร่างใหญ่ ริโอ้  และสาวแวมไพร์ ชุดขาวสมุนของจอมผีดิบ  มองตามแล้วหัวเราะชอบใจ....

-<>::<>::<>::<>::<>::<>


ที่อาคารลับของหน่วยงานล่า แวมไพร์

สาวนักล่าแวมพ์ไพร์หลังจากรับการตรวจร่างกายเสร็จสิ้นแล้ว  เธอก็ออกจากห้องแล้วลงบันไดไปจนถึงห้องกว้างชั้นสอง แต่เธอต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็น เคนนี่  ดัลกลิช กำลังนั่งคุยกับชายสามคน  ทั้งหมดอยู่ในเครื่องแต่งกายเรียบร้อยคล้ายเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ  มีหมอผีหนุ่มนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย  ทั้งหมดกำลังประชุมสรุปเหตุการณ์ในวันนี้...

"มาแล้วหรือ แคท..." สมิธเอ่ยทักพลางยกถ้วยกาแฟขึ้น "ดื่มอะไรหน่อยไหม ผมเตรียมนมร้อนกับชาไว้แล้ว ถ้าหิวก็มาหยิบขนมปังบนโต๊ะนี่เลย"
"ขอบคุณ...."   สาวนักล่าตอบแต่ยังคงยืนนิ่ง   แววตาบ่งบอกว่าสงสัยชายแปกลหน้าที่ร่วมโต๊ะ
นักล่าหนุ่มซึ่งตามมาภายหลังผลักเธอไม่แรงนัก  "ทำไม ไม่เข้าไปนั่งเล่า...."

หนุ่มนักล่าบอกพร้อมกับเดินผ่านร่างอวบๆแน่นเนื้อไปคว้าเหยือกนมมารินใส่แก้ว   หมอผีหนุ่มอมยิ้มมองเขาขำๆเมื่อเห็นเขาหยิบขนมปังก้อนโตยัดใส่ปากและดื่มนมตาม ชายสามคนถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ

หมอผีหนุ่มหันไปทางสาวนักล่า  "มานั่งด้วยกันสิ...เรากำลังคุยกันเรื่องมนุษย์หมาป่าที่จัดการไปในวันนี้..."
"ฮื่อ.อ.อ....อ์..."   หญิงสาวรับคำเสียงไม่ดังนักก่อนจะเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆหมอผีหนุ่ม
หมอผีหนุ่มจึงจัดแจงรินนมใส่แก้วและเลื่อนส่งให้เธอ  "คุณควรกินอะไรสักหน่อยก่อน  เพราะวันนี้เจอมาแต่งานหนักๆ "
"ไม่..ฉันยังไม่หิว  ขอบใจ..." เสียงตอบอย่างเย็นชา
แต่อีกฝ่ายกลับจ้องเธอ แล้วทำสายตาอ้อนๆ "ดื่มเถอะนะ.....นะ..."

น้ำเสียงที่ฟังออดอ้อนและห่วงใยทำเอาสาวนักล่าใจแข็งคิดอย่างไรไม่รู้ยกแก้วนมขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด
เธอวางแก้วลงแล้วนั่งเงียบๆ  หมอผีหนุ่มยิ้มอย่างพอใจ

หนุ่มนักล่าหันไปมองเพื่อนแล้วยิ้ม "เป็นครั้งแรกที่ คุณแคทเทอรีน ยอมรับน้ำใจจากคนอื่น...."
"นายพูดมากไปแล้วนะ..." สาวนักล่ามองหน้าหมอผีหนุ่มเขินๆและจ้องตาหนุ่มนักล่าเคืองๆ

"เอาละๆๆ  พอแล้วนะ  อย่าเพิ่งต่อคำกันเลย .."  เคนนี่  ดัลกลิช พูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น  "ผมคิดว่าเราควรเลิกเล่นกันได้แล้ว  เราจะมาคุยถึงเรื่องที่ต้องทำกันต่อจากนี้...."
"เราจะไปทำอะไรกันต่อ?" สาวนักล่าเอ่ยถามอย่างสงสัย
"เราจะเข้าไปในห้องเก็บศพของกรมตำรวจ..." สาวนักล่าฟัง ดัลกลิช แล้วขมวดคิ้ว  ในขณะนักล่าหนุ่มยิ้ม
สาวนักล่าถามอย่างฉงน "เข้าไปทำไม?"
"ไปถามถึงที่ตั้งของพวกองค์กร ดาร์ด แฮนด์  จากเจ้า ปื้ด..." หมอผีหนุ่มตอบ
"เราจะไปที่นั่นเพราะศพของเจ้าปื้ดยังเก็บไว้ที่นั่น  รีบเข้าไปหาข้อมูลและกลับออกมาภายในหนึ่งชั่วโมง"
เคนนี่ ดัลกลิช บอกทั้งหมด
แต่สาวนักล่าไม่วายสงสัย "คนชื่อปื้ด ตายไปแล้ว มันจะตอบคำถามได้อย่างไง"
"หมอผีสินไง  เขาคุยกับวิญญาณได้   คืนนี้เขาจะไปสัมภาษณ์เจ้าปื้ดให้เรา" นักล่าหนุ่มทำท่าทะเล้น และบอกสาวนักล่าล้อๆ
สาวนักล่ามองหมอผีหนุ่ม  เธอแค่นเสียงถาม "นายทำได้จริงหรอ?"
"ฮื่อ.อ.อ..ผมทำได้จริงๆไม่ได้โม้  แต่มันเพิ่งตายต้องวิญญาณมันยังงงๆไปไหนไม่ถูกยังวนเวียนอยู่แถวๆ ร่างของตัวเองนั่นแหล่ะ  อยากเจอก็ต้องไปหามันตรงที่เก็บศพ...." หมอผีหนุ่มอธิบาย

"แล้วเจ้าหน้าที่ในนั้นล่ะครับ" สาวนักล่าถามขณะเอื้อมมือไปหยิบขนมปังมาถือไว้ ในมือ
หนึ่งในสามคนที่นั่งร่วมโต๊ะตอบอย่างเคร่งขรึม  "ที่นั่นสามทุ่มจะมีการเปลี่ยนเวร เวลานั้น เจ้าหน้าที่ทุกคนจะไปรวมตัวกันอยู่ที่ห้องประชุมชั้นสาม ระหว่างนั้นเราจะจัดการกับกล้องวงจรปิดให้  พวกเราแทรกซึมอยู่เป็นเจ้าหน้าที่ในนั้น"
ดัลกลิช เอ่ยเสริมว่า "ส่วนเธอกับหมอผีสินรีบจัดการเรื่องศพ งานนี้ต้องลงมือให้เงียบและเร็วที่สุด คิดว่าทำได้ไหมแคท..."
"ไม่มีปัญหา..." สาวนักล่ารับคำ
"ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันได้เลยครับ  เดี๋ยวรถติดแล้วจะไปไม่ทัน" หมอผีหนุ่มชวน
"คุณ ดัลกลิช เชื่อมั่นใน นาย  แต่ฉันไม่ไว้ใจนายเลยจริงๆ" สาวนักล่าพูดเบาๆบอกหมอผีหนุ่มพร้อมกับลุกขึ้น
"เชื่อไม่เชื่อ  คุณแคท ก็เคยร่วมมือกันมาหนแล้วนี่ ประทับใจบ้างไหม?" หมอผีหนุ่มถามเย้าๆกลับมา
สาวนักล่ามองตาขุ่นๆ "ตอนนั้นฉันแค่กระหายเลยเผลอไปเท่านั้น.."
"อยากให้คืนนี้คุณกระหายอีกจังเลย.."
สาวนักล่าทำท่าชักดาบ "นาย....."
"ใจเย็นน่า...." หมอผีหนุ่มเข้าประชิดบีบมือของเธอไว้  สาวนักล่าขมวดคิ้วเพราะขยับมือไม่ได้
ดัลกลิชถามอย่างสงสัย "มีอะไรกันหรอ?"
"ไม่มีอะไรค่ะ..." สาวนักล่าสะบัดมือออก  แล้วเธอหันหลังเดินสะบัดก้นไปอย่างขุ่นเคือง
"หึ  หึ  หึ....."หมอผีหนุ่มหัวเราะขำๆแล้วเดินตามหลังเธอไป...
ส่วนเจ้าหน้าที่ทั้งสามก็ลุกขึ้นโค้งหัวคำนับ เคนนี่ ดัลกลิช  ก่อนเดินตามออกไปด้วย...

ส่วนนักล่าหนุ่มมองเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เหลือในห้องก่อนจะถามเสียงดัง  " แล้วผมล่ะ...จะให้ทำอะไร?"
เขามอง ดัลกลิช และมองไปยังทั้งเพื่อนร่วมทีมทั้งสองที่เดินออกจากห้องไป "จะให้ผมทำอะไร"
"เธอเป็นคนที่มีปฏิสัมพัทธ์ดีเยี่ยม"  ดัลกลิช บอกนักล่าค่าหัวหนุ่ม  "ไปสืบหาข้อมูลอื่นนอกเหนือจากนี้กับพวกญาติหรือบรรดาเพื่อนบ้านของเจ้าปื้ด ที่พอจะคุยได้ เราต้องรวบรวมทุกอย่างมาประกอบกันเพื่อให้เรื่องนี้คลี่คลายโดยเร็ว  ฉันสังหรณ์ใจว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ของพวกผีดิบ  หน่วยนักล่าอาจเป็นเป้าหมายของพวกมัน...."

ทุกคนในที่นั้นต่างนิ่งเงียบรับฟังอย่างตั้งใจ
สบตาผู้ใต้บังคับบัญชาจนครบ เคนนี่  ดัลกลิช  จึงบอกทุกคน "เอาละ..ทราบแล้ว  แยกย้ายไปกันได้..."

"ครับ...."

เสียงขานรับพร้อมๆกันดังขึ้น  แล้วทุกคนก็พากันแยกย้ายออกไปทำงานตามหน้าที่...

<>::<>::<>::<>::<>::<>

หน้าโรงพยาบาลตำรวจ
หมอผีหนุ่มและนักล่าสาวนั่งคู่กันอยู่ตรงม้าหินอ่อนบนฟุตบาทข้างทาง
นักล่าสาวนั่งไขว้ห้างเอนกายดื่มน้ำผลไม้กระป๋องอยู่  ส่วนหมอผีหนุ่มก้มหน้านั่งอ่านหนังสือพิมพ์
ทั้งสองรอเวลานัดอย่างใจจดใจจ่อ  จนกระทั่งเมื่อสาวนักล่ายกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดู  เธอก็ลุกขึ้นยืนทำท่าเตรียมพร้อม

หมอผีหนุ่มละตาจากหนังสือพิมพ์ พลางถาม " สามทุ่มแล้วหรอ?"
"สองทุ่ม  ห้าสิบห้านาที" เธอตอบมาห้วนๆ
"ยังไม่ได้เวลาเลย  เหลืออีกห้านาทีแน่ะ" หมอผีหนุ่มแย้ง
สาวนักล่าส่ายหน้า "คุณควรเข้างานก่อนเวลาบ้าง  ไม่ใช่เลทตลอด"
"ก็ผมไม่เคยรับราชการนี่  เป็นหมอผีไม่ต้องตอกใบ"
สาวนักล่าจับคอเสื้อของหมอผีหนุ่มแล้วลากให้ตามไป "อย่าพูดมากรีบไปได้แล้ว"
"ดะ..เดี๋ยว...เบาๆ...แหม  ใจร้อนจัง..." หมอผีหนุ่มเดินตามที่สาวนักล่าลากตัวไป

คล้อยหลังทั้งสองที่พากันลอบเข้าไปในรั้วของโรงพยาบาล  ร่างของสามผีสาว นางตะเคียน นางตานี และ ลำดวนผีสาวที่เป็นบริวารรับใช้ของหมอผีหนุ่มก็ปรากฏขึ้นแทนที่ตรงนั้นโดยไม่มีใครมองเห็น  ทั้งสามมองตามทั้งสองที่ค่อยๆแฝงตัวเข้าไปในตึกของห้องดับจิต   สายตาของทั้งสามดูจะมีแววสงสัยในพฤติกรรมของเจ้านายตน  นางตะเคียน รู้สึกคันปากยิกๆอยากคุยแต่ไม่มีใครคุยด้วย  อดใจอยู่นานนางจึงหันไปหานางตานีคู่หู

นางตะเคียนว่า " ทำไมพี่หมอต้องมาทำพิธีเรียกวิญญาณไอ้จิ้งเหลนนั่นที่นี่ด้วย"
"นั่นดิ  เรียกที่ไหนก็ได้ สงสัยอยากซ้ำรอยนังครึ่งผีครึ่งคนนี่ม้าง  เลยหลอกมาล่อ" นางตานีเอ่ยเสริม
นางผีสาวลำดวนส่ายหน้า พลางตำหนิทั้งสอง "เอ็งสองตนนี่  อุตริคิดจริงๆ ไอ้จิ้งเหลนนั่นโดยผีฝรั่งฆ่า  มันเลยใช้คาถาควบคุมไม่ได้เพราะวิญญาณมันยังไม่ออกจากตัว พี่หมอเลยต้องมาปลุกร่างของมันที่นี่.."
"รู้ดีจังนะ  เคยสมาคมกับผีฝรั่งหรอ?" นางตะเคียนแดกดันมา
นางผีสาวลำดวนถอนหายใจ "คุยกับพวกบัวใต้น้ำนี่เสียเวลาจริงๆ..."
"ว่าใครวะ?" นางตะเคียนเท้าเอวจ้องหน้า
นางตานีจึงรีบเข้าห้าม "อย่าน่า...อายผีแถวนี้มันบ้าง  จะมาทะเลาะสาวไส้กันเองทำไม?"
"แล้วมันน่าตบปากสั่งสอนบ้างไหมล่ะ  นังนี่กำแหงขึ้นทุกวัน ไม่รู้ใครใหญ่ใครเล็ก" นางตะเคียนยังค้าง
"ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเอ็งใหญ่กว่าข้า" นางลำดวนยังเถียง
นางตะเคียนกัดฟันกรอด "หนอย...งั้นแก้มาประชันกันเลยว่าใครใหญ่กว่า"
"นึกว่าไม่กล้าหรอ?" นางผีสาวลำดวนไม่ยอมแพ้
"เฮ้ย..อย่า .. จะบ้าหรอ?  พวกเอ็งนี่ไม่มีอะไรทำกันหรอ  "
นางตานีรีบร้องห้ามเสียงหลงเพราะทั้งสองผีทำท่าจะถกผ้าถุงประชันของสงวนกัน
พอทั้งสองหยุด นางตานีก็ถอนหายใจหน่ายๆและไล่ทั้งสองไปอยู่คนละทาง
"เฮ้อ.อ.อ..อ์..นางสองตนนี่  อยู่ใกล้กันไม่ได้เลยจริงๆ..." นางตานีบ่นอย่างรำคาญใจ 

โรงพยาบาลตำรวจ...

เอี๊ยด...เอี๊ยด...เอี๊ยด...เอี๊ยด...

เสียงล้อเหล็กที่ห่อหุ้มด้วยยางตันกำลังหมุนตัวเคลื่อนที่เสียดสีกับพื้นคอนกรีตขัดมันสีขาวขุ่นภายในโรงพยาบาลตำรวจ  ด้านในของโรงพยาบาลแห่งนี้ ถ้าได้ปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศให้สูงขึ้นอีกหน่อยคงจะไม่เย็นมากขนาดนี้ และอากาศที่เย็นยะเยือกด้านในตัวโรงพยาบาลก็ทำให้บุรุษพยาบาลคนหนึ่งที่เข้าทำงานในกะดึกของวันนี้ถึงกับหนาวสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง  ประกอบกับยิ่งมีศพที่ตายอย่างปริศนานอนอยู่บนเตียงเหล็ก   ซึ่งเขากำลังเคลื่อนย้าย ไปยังห้องดับจิตที่อยู่เข้าไปด้านในตรงทางแยกขวามือของแผนกศัลยกรรมสมองและประสาท ก็ทำให้ความหนาวเย็นยะเยือกที่เข้าไปในจิตใจยิ่งทวีสูงขึ้น
     
"อ้าว!...หนู.."  เขาหยุดเข็นเตียงเหล็กทันทีเมื่อมีบุรุษพยาบาลอีกคนหนึ่ง ซึ่งกำลังยืนอยู่หน้าห้องดับจิตได้หันหน้ามาทักเขา และบุรุษพยาบาลคนดังกล่าวกำลังจะออกจากงาน  เพราะว่าใกล้เวลาเลิกงานของพนักงานที่เข้ากะเช้า "เป็นยังไงบ้างวะศพรายนี้?  สยองไหมวะ?"
ผู้ถูกถามส่ายหน้า  "ศพไม่น่ากลัวอย่างที่แกคิดหรอกไวไฟ.."
"ไหน...ขอดูหน่อยสิ..."
 
บุรุษพยาบาลกะบ่ายเปิดผ้าคลุมศพให้เพื่อนของเขาดู 
ซึ่งสภาพศพที่เพื่อนของเขาได้เห็นนั้นก็เป็นเพียงศพที่ดูดีและยังสดใหม่อยู่   
แต่เนื่องจากไวไฟยังไม่รู้ว่าศพที่อยู่เบื้องหน้าเขาเสียชีวิตด้วยสาเหตุใด  ดังนั้นเขาจึงได้สอบถามเพื่อนร่วมงาน

"แล้วเป็นอะไรตายล่ะหนู  ไอ้ศพนี้?" ถามพลางยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ
"ไม่รู้เหมือนกันว่ะ...แต่จากแผนกนิติเวชร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจพสูจน์...เขาบอกว่าตรงอวัยวะภายในช่องท้องตั้งแต่กระเพาะ ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ หรือแม้แต่พวก ตับ ไต และอีกหลายอย่าง มันฉีกขาดคล้ายกับถูกปังตอเฉือนออกเหมือนเนื้อหมูน่ะ แต่ที่แปลกที่สุดก็คือ...ไม่มีร่องรอยบาดแผลแม้แต่รอยถลอกจากภายนอกเลยว่ะ" บุรุษพยาบาลชื่อหนูอธิบายให้ เพื่อร่วมงานชื่อ ไวไฟ ที่กำลังสนใจฟัง หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาอีกว่า "แต่ว่าตอนนี้อวัยวะต่าง ๆ ได้ถูกเย็บติดกันหมดแล้ว และถ้าสมมุติว่าศพนี้มันเดินได้ ก็คงไม่ทำให้ก้อนเนื้อพวกนั้นมันมากองอยู่แถวก้นได้ว่ะไวไฟ..."
       
"โห้!.ถึงมือตำรวจแบบนี้มันไม่ธรรมดาแล้วว่ะ สงสัยถูกฆาตกรรมแน่ ๆ" ไวไฟร้องอุทานหลังจากฟังอธิบายมายืดยาว
"ฉันก็คิดแบบแกนั่นแหละ.. .เห็นว่าเมื่อเช้าพบศพอยู่ในห้องพักที่คนตายเช่ากับศพกิ๊กเขา...สงสัยคงถูกคนร้ายสั่งให้กลืนมีดโกนเข้าไปแน่ ๆ ข้างในถึงได้มีสภาพแบบนี้"
"เฮ้ย!...พวกตำรวจกับกองพิสูจน์   เขาตรวจเจอใบมีดโกนในท้องไอ้นี่ด้วยหรือวะ"  ไวไฟ ถามด้วยความสงสัยทันที
เขาได้แต่ส่ายหน้า  "ไม่มีว่ะ  มีแต่ความว่างเปล่าในร่างกายของศพ...."
"ถ้าอย่างงั้น....พวกเขาเจออะไรบ้างวะหนู?"
บุรุษพยาบาลหนูกอดอกเอียงคอทำท่าคิดแล้วพูดออกไปว่า "รู้สึกว่าจะเจอแต่พวกแอลกอฮอล์เต็มท้องเลยว่ะ"
"นั่นไง!...ฤทธิ์เหล้าบาด กระเพาะจนเละเหมือนวุ้นยังไงล่ะ สงสัยไอ้นี่คงถูกผัวของกิ๊กมันวางยาในเหล้าทำให้ฤทธิ์มันแรงขึ้นจนเข้าไปบาดกระเพาะกับลำไส้ไงวะเพื่อน"  ไวไฟบอกเพื่อนขำๆ
ทำเอาเขาส่ายหน้าเอือมระอาเมื่อได้ฟังคำอธิบายที่ไร้สาระของเพื่อนเขา พลางบ่นหน่ายๆ "เอ็งนี่นะ ไอ้ไวไฟ เอานิยายอะไรไม่ได้เลยจริงๆ  พูดไปเรื่อย..."     
"ฮะ...ฮะ..ฮะ...ข้าล้อเล่นน่า" ไวไฟพูดแก้ตัวพลางเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือของเข าก่อนที่จะหันหน้ามามองเพื่อนร่วมงานแล้วพูดออกมาอีกครั้งว่า "ใกล้เลิกงานแล้ว   ข้าไปก่อนล่ะ"
"เออ...ไปเหอะ...อยู่ก็พูดไม่เข้าหู" เขาเอ่ยไล่หลังเพื่อนไปอย่างไม่สบอารมณ์
     
เมื่อไวไฟเดินผ่านไปสักพัก   บุรุษพยาบาลชื่อหนูก็ได้หันไปมองเพื่อนตัวดีอีกครั้ง และคราวนี้ไอ้เพื่อนตัวแสบก็ได้ทำท่าเหมือนกับให้เขาระวังเรื่องผีด้วยในคืนนี้  หลังจากละสายตาจากเพื่อนชื่อไวไฟ  เขาก็ได้หันกลับมาเปิดประตูบานคู่แล้วปิดมันทันที  บรรยากาศในห้องดับจิตที่มืดสลัวยิ่งทำให้วิกรมรู้สึกวังเวงมากยิ่งขึ้น    อีกทั้งห้องดังกล่าวต้องเป็นห้องเย็นเพื่อรักษาสภาพศพต่าง ๆ ที่เข้ามาเก็บไว้ยังภายในโรงพยาบาลแห่งนี้  ทว่าตอนนี้ทุกช่องเก็บศพเต็ม 

ดังนั้นเขาจึงได้เข็นเตียง เหล็กไปไว้ตรงมุมห้องแล้วจัดการเอาผ้าคลุมออก  หลังจากนั้นก็บรรจุศพใส่ในห่อพลาสติกสีขาวแล้วรูดซิปตรงด้านข้างเพื่อรอให้ช่องเก็บศพว่างเสียก่อนถึงจะนำศพนี้ไปเก็บไว้ในช่องเหล็กดังกล่าวได ้ และขั้นตอนสุดท้ายก็รอให้ญาติของศพนำกลับไป   ซึ่งก่อนหน้านั้นจะต้องพาไปพิสูจน์ยืนยันการตายอีกครั้งที่สถาบันนิติเวชวิทยาสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร
       
"โอยตายล่ะ...เพิ่งจะสองทุ่มกว่าๆเอง  กว่าจะเลิกงานก็ปาเข้าไปตีห้าไอ้โกกุนมันลา...ตายห่าต้องอยู่คนเดียวทั้งคืนด้วย"

บุรุษพยาบาลชื่อหนูบ่นอุบอยู่คนเดียวก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินออกไปจากห้องดับจิต โดยปล่อยให้ศพที่ตายอย่างปริศนาได้นอนอยู่ในห่อพลาสติกสีขาวภายในห้องเพียงศพเดียว
   
ในวันเดียวกันเวลาเกือบๆสามทุ่ม ได้มีคนกลุ่มหนึ่งมาขอนำศพคนในครอบครัวกลับไปในกรณีพิเศษ เพื่อนำไปทำพิธีกรรมทางศาสนาที่บ้านเกิด ดังนั้นบุรุษพยาบาลหนูจึงได้จัดการทำเอกสารสำหรับให้ญาติผู้เสียชีวิตเซ็นรับศพออกไป เมื่อจัดการกับศพดังกล่าวเรียบร้อยตามความประสงค์ของญาติผู้เสียชีวิต   ถึงจังหวะนี้ทำให้เหลือช่อง เก็บศพว่างอยู่หนึ่งช่อง ดังนั้นเขาก็ได้หันกลับไปยังเตียงเหล็กที่มีห่อพลาสติกสีขาวขนาดใหญ่วางอยู่ด้านบน และภายในได้บรรจุศพที่ตายอย่างปริศนาของวันเดียวกัน  เขาไม่รีรอที่จะตรงดิ่งไปยังถุงพลาสติกสีขาวดังกล่าวนั้นทันที เพื่อทำการบรรจุศพเข้าไปยังช่องเหล็กที่ว่างเว้นอยู่หนึ่งช่องนั้น
       
เมื่อเขาเดินมาถึงเ ตียงเหล็กที่อยู่ตรงมุมห้องอีกฟากหนึ่ง สิ่งที่ได้เห็นนั้นทำให้ใบหน้าเขาเปลี่ยนสีทันที   เพราะว่าในขณะนี้ห่อพลาสติกสี ขาวที่อยู่ด้านหน้านั้นได้ถูกรูดซิปเปิดออก   และภายในยังว่างเปล่าไม่มีศพที่ตัวเขาเองเป็นคนบรรจุเมื่อตอนก่อนหน้านั้น  ถึงตอนนี้บุรุษพยาบาลหนูนึกได้เพียงอย่างเดียวว่า ไอ้ไวไฟเพื่อนตัวแสบที่เจอหน้าห้องเมื่อตอนบ่าย ต้องเป็นคนแกล้งแน่ ๆ เพราะเจ้าไวไฟพิเรนทร์ชอบแกล้งอย่างนี้ประจำ

ดังนั้นเขาจึงได้หันหลังเพื่อที่จะเดินออกไปแจ้งต่อโรงพยาบาลว่า ไอ้เพื่อนตัวดีได้ทำผิดกฎคือ...แอบซ่อนศพโดยพลการ แต่ก่อนที่จะได้ออกไปจากห้องดับจิต  บุรุษพยาบาลหนูก็รู้สึกถึงไอเย็นที่เสียววาบไปถึงเส้นกระดูกพัดผ่านมากระทบแผ่นหลังซึ่งอยู่ด้านในเครื่องแบบสีขาว แรงอาฆาตที่สัมผัสได้นั้นทำให้เขาต้องหันกลับไปดูตรงถุงห่อศพสีขาว ที่วางอยู่บนเตียงเหล็กอีกครั้ง

แล้วก็เอ่ยเสียงสั่นๆว่า "ไอ้ไวไฟ!...เอ็ง อย่าล้อเล่นแบบนี้สิวะ"
     
เมื่อบุรุษพยาบาลหนู ได้มองดูรอบ ๆ ห้องจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่  เขาก็ได้เปลี่ยนใจเร่งเดินเข้ามาด้านในและตัดสินใจเปิดช่องเก็บศพทีละช่อง  เผื่อว่ามีใครหวังดีนำศพดังกล่าวเข้าไปเก็บเรียบร้อยโดยที่ตัวเขาไม่ได้รับรู้  เพราะว่าภายในห้องดับจิตมีช่องสำหรับเก็บศพถึง  ๔๐  ช่อง และเมื่อบุรุษพยาบาลหนูได้เปิดช่องเหล็กมาถึงลำดับท้าย ๆ   เขาก็มีอาการสั่นเทา สีหน้าเริ่มกังวลยิ่งขึ้น ไม่ใช่เรื่องผีสางใด ๆ แต่เขากลัวเรื่องศพหายมากกว่าในตอนนี้
     
...ครืน...
     
"ไม่ใช่...!"
     
...ครืน...
     
"นี่ไม่ใช่...!"
     
...ครืน...
       
"นี่ก็ไม่ใช่อีก... ช่องสุดท้ายแล้ว มันหายไปไหนวะ"
     
...ฮือ...
     
บุรุษพยาบาลหนูขนลุกพรึบ แล้วก็หันกลับไปทางด้านหลังทันทีเมื่อได้ยินเสียงครางเบา ๆ แหวกม่านอากาศมากระทบหู แต่เมื่อมองรอบ ๆ บริเวณดังกล่าวและไม่เห็นอะไร เขาก็หันกลับไปเปิดช่องเก็บศพทั้งหมดใหม่อีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าเมื่อกี้นี้ตัวเขาเองไม่ได้เลินเล่อ
     
...ฮือ...
     
เขาหันไปดูข้างหลังอีกรอบ แต่คราวนี้บุรุษพยาบาลหนูกลับตกใจใบหน้าซีดเผือด   และเขาถึงกับทรุดตัวฮวบด้วยความตกตะลึงเพราะว่าเตียงเหล็กตรงมุมห้องได้มีศพนอนอยู่ด้านนอกถุงสีขาว  เหมือนมีใครแกล้งเอาศพดังกล่าวมาวางไว้ที่เดิม พอศพกลับมาก็ทำเอาเขาถอนหายใจอย่างโล่งอก  แต่ก็กวาดตามองไปรอบๆตัว
     
"แม่งเอ้ย...ไอ้ตัวไหนวะเล่นแบบนี้" เขายิ่งสบถด่าแรงขึ้น
     
และเมื่อบุรุษพยาบาลหนูตั้งสติได้ เขาก็เดินตรงไปยังศพนั้นทันที และคราวนี้ก็ได้เห็นศพที่ยังอยู่ในสภาพปกติเหมือนกับที่เขาได้รับมาในตอนแรก เมื่อแน่ใจว่าเป็นศพเดียวกัน เขาจึงเข็นรถเหล็กไปยังช่องเก็บศพเพื่อจัดเก็บให้เรียบร้อยทันที
       
"คอยดูเถอะ...ฉันจะไปฟ้องหัวหน้าแผนกให้เอาผิดไอ้คนที่ทำบ้า ๆ แบบนี้"
       
บุรุษพยาบาลหนูบ่นและพูดอยู่คนเดียวพร้อมกับหยุดเข็นรถแล้วเดินไปยังช่องเก็บศพที่ว่างอยู่เพื่อเปิดช่องดังกล่าว   แต่คราวนี้หางตาข้างซ้ายของเขากลับเหลือบไปเห็นศพที่จะนำมาเก็บได้ลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียงเหล็ก   ขณะนี้ร่างกายของเขาหยุดกึก ไม่ขยับเขยื้อนที่จะเปิดช่องเหล็กออกมาและไม่กล้าที่จะหันไปเพื่อดูว่าศพดังกล่าวมีปฏิกิริยาเส้นเอ็นแข็งตึงเนื่องจากความหนาวเย็นของอากาศในห้องนี้หรือไม่  สาเหตุใดมันถึงได้ลุกขึ้นมานั่งครึ่งตัวแบบนั้น
       
เขาพยายามเหลือบมองกลับมาที่เดิม พลางหลับตาทั้งสองข้างทันทีเพื่อเป็นการเรียกสติกลับคืนมา  และเมื่อนับในใจตั้งแต่หนึ่งจนถึงสาม เขาก็ได้ลืมตาทั้งสองขึ้นมาแต่ไม่กล้าที่จะหันไปดูศพที่อยู่ทางด้านหลัง เพียงแต่ส่งหางตาข้างเดิมเหลือบไปดูเท่านั้น และสิ่งที่ได้เห็นนั้นก็คือ...ไม่มีศพนอนอยู่บนเตียงเหล็ก   

ถึงตรงนี้จิตใจของเขายิ่งแตกกระเจิงเหงื่อไหลพลั่กทั้งที่ในห้องนั้นเย็นยะเยือก    แต่ด้วยความกลัวเขาจึงไม่กล้าหันศีรษะกลับไปดู ดังนั้นบุรุษพยาบาลหนูจึงใช้หางตาที่เหลือบไปดูเมื่อกี้กลับมาที่เดิม พลางจ้องตรงช่องเก็บศพที่ทำด้วยเหล็กเคลือบด้วยสารป้องกันไฟฟ้าสถิตแถมยังมีสีเงินแวววาวอีกครั้งหนึ่ง   และด้วยแสงสว่างที่มีอยู่น้อยนิดในห้องนี้   ยิ่งทำให้หัวใจของเขาเริ่มเต้นระรัวเร็วขึ้นพลางรับรู้ว่ากำลังเจอสถานการณ์ใด 
       
บุรุษพยาบาลหนูจ้องมองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขาเพียงอย่างเดียว เผื่อสติที่เตลิดหายไปจะกลับคืนมาและเขาคิดว่าถ้าได้สติกลับคืนมาคราวนี้จะตัดสินใจหันไปดูให้ชัดๆ  แต่มันไม่เป็นไปตามในสิ่งที่คิดเพราะตอนนี้เขารู้สึกถึงไอหนาวเย็นยะเยือกที่ลอยมาสัมผัสต้นคออย่างช้า ๆ และยังรู้สึกเหมือนมีสายตาคมกริบทิ่มแทงทั่วร่าง
     
'พุทโธ   นะโม   ตัสสะ   ภะคะวะโต...ช่วยลูกหนูตัวน้อยๆด้วยเถิด'
       
เขาท่องบทสวดในใจก่อนที่จะภาวนาถึงคุณพระคุณเจ้าให้ช่วย แต่สิ่งที่ท่องหรือภาวนานั้นไม่ได้ทำให้ไอเย็นจางหายไป เพราะขณะนี้มันได้เคลื่อนที่จากต้นคอด้านหลังมาถึงติ่งหูด้านขวา และเมื่อเขาใช้หางตาเหลือบไปด้านเดียวกันนั้นเอง ก็ถึงกับตกใจสุดขีด  เพราะได้มีใครบางคนกำลังยืนจ้องมองเขาอยู่ทางขวามือห่างออกไปเพียงไม่ถึงฟุต
     
"เฮ้ย!..." เขาส่งเสียงร้องลั่นออกมา

และผงะหงายล้มลงไปกองกับพื้นใกล้กับเตียงเหล็ก   และสิ่งที่เขาได้เห็นนั้นก็คือ...ร่างของศพดังกล่าวที่มีรอยเย็บบริเวณ ด้านหน้าลำตัวกำลังยืนจ้องมาทางเขาในสภาพเปลือยเปล่าล่อนจ้อน  มันยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด และไม่นานนักมันก็เปิดปากยิ้ม  ซึ่งรอยยิ้มดังกล่าวได้บาดลึกตรงหัวใจของคนที่ได้เห็นยิ่งนัก เพราะมันมีแต่ฟันเป็นซี่ ๆ เล็กแหลมอยู่เต็มปากพร้อมด้วยควันไอหนาวออกมาจากช่องปากที่แสยะยิ้ม
       
บุรุษพยาบาลหนู ตกใจแทบสิ้นสติ  เขาไม่สามารถขยับตัวได้และร่างกายทุกส่วนก็ไม่ยอมฟังคำสั่งของสมองอีกต่อไป   
เสียงที่เขาได้ยินจากร่างนั้นก็คือ...เสียงครางเสียดหูที่สุด ซึ่งตัวเขาตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้เลย มันค่อยๆเดินย่างเข้ามาหาเขา  สองตาสีแดงเรืองๆของมันจ้องเขาอย่างกระหาย  เขาพยายามจะกระเถิบกายหนีแต่ก็ทำไม่ได้..

"แกรก.ก.ก...แกรก.ก.ก.ก...ก์..." เสียงกรีดร้องพร้อมร่างนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
บุรุษพยาบาลหนูพยายามร้องออกมา "อ้า...อะ..อ้า......"

เจ้าศพเดินได้ค่อยๆเอื้อมมือที่มีกรงเล็บแหลมมาจับไหล่ของบุรุษพยาบาลหนู  แล้วลากร่างของเขาขึ้นมาด้วยแรงอันมหาศาลผิดกับรูปร่างผอมแห้งของมัน  ปากซีดๆแสยะออกเห็นเขี้ยวซี่เล็กๆสีขาวๆปนเหลืองอยู่ภายใน  มันค่อยๆยื่นมาที่ลำคอของเขาหมายจะกัดเพื่อดื่มเลือดอย่างกระหายหิว  แต่ก่อนที่มันจะฝังเขี้ยวลงบนคอของเขา  พลันร่างของมันก็หงายกระเด็นไปเพราะแรงถีบส่งจากเท้าที่ยื่นมาจากข้างหลังของบุรุษพยาบาลหนู  ร่างมันกระเด็นไปกระแทกตู้เก็บศพล้มคว่ำลง

บุรุษพยาบาลหนูทรุดลงนั่ง  เขาหันไปมองด้านหลังก็เห็นชาย – หญิงคู่หนึ่งยืนอยู่   เป็นหมอผีสินและนักล่าแวมไพร์สาวนั่นเอง  ทั้งสองจ้องร่างเจ้าศพคืนชีพที่กำลังพยายามยันร่างลุกกลับขึ้นมา  มันจ้องมองทั้งสองด้วยดวงตาสีแดงที่มีแววขุ่นเคืองเพราะถูกขัดขวางการดื่มเลือดเพื่อดับความกระหายของมัน

สาวนักล่าเอ่ยขึ้นเมื่อมองสำรวจสภาพ "มันกลายเป็นผีดิบไปแล้ว"
"อย่างนี้คงถามอะไรไม่รู้เรื่องแน่ๆ" หมอผีหนุ่มบอก
"ต้องรีบกำจัดมันก่อน.." สาวนักล่าบอกแล้วชักดาบที่ขัดไว้กลางหลังออกมากวัดแกว่ง
หมอผีหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย "ผมลองตรวจจิตของมันแล้ว  วิญญาณของมันถูกควบคุมโดยอำนาจที่เหนือกว่าตัวของมัน"
"อำนาจที่นายว่าก็มาจากคนที่ทำให้มันเป็นอย่างนี้ไง" สาวนักล่าแวมไพร์บอก และทะยานเข้าหาเจ้าผีดิบที่เพิ่งคืนชีพ

การเคลื่อนไหวของสาวนักล่าช่างรวดเร็ว  เธอแทงดาบเข้าที่อกของมันตรงตำแหน่งหัวใจ มันชะงักตาเหลือกค้างและยืนนิ่ง  และในช่วงต่อเนื่อง สาวนักล่ากระชากดาบกลับมาและฟันฉับเข้าที่ลำคอของมัน  เธอสะลัดดาบไล่คราบเลือดและเก็บเข้าฝักพร้อมๆกับที่ลำคอของมันขาดส่วนหัวหล่นลงพื้น  เพียงชั่วครู่ร่างไร้หัวก็เกิดเผาไหม้สลายไป

สาวนักล่ามองดูแล้วเอ่ยขึ้น "มันเป็นแค่ผีดิบธรรมดา  ไม่เหมือนพวกหมาป่าที่เราเจอเมื่อกลางวัน"
"และเราก็สอบถามมันไม่ได้ด้วย  ผมเรียกวิญญาณของมันมาไม่ได้  มันถูกผู้ควบคุมดึงวิญญาณไปแล้ว" หมอผีหนุ่มบอก
สาวนักล่าเดินส่ายร่างอวบๆไปที่ประตู  เธอบ่นออกมาว่า "มาเสียเวลาเปล่าๆ  กลับกันเถอะ..."
"เดี๋ยว..." หมอผีหนุ่มเอ่ยทักสาวนักล่าไว้ "มีศพสองศพนี่  แล้วศพผู้หญิงอยู่ไหน?"
"อื่อ.อ...นั่นสิ..เกิดกลายร่างขึ้นมาอีกยุ่งแน่ๆ" สาวนักล่าเหมือนนึกออก

หมอผีหนุ่มเดินมาหาบุรุษพยาบาลหนูที่สติสตางค์ยังไม่กลับ 
เขายังนั่งสั่นฟันกระทบกันกึกๆเพราะความกลัว หมอผีหนุ่มเอ่ยถาม "ศพผู้หญิงที่มาคู่กับศพนี้อยู่ไหน?"
"หะ..ห้องผ่าศพพิสูจน์หลักฐาน...." พยาบาลหนูบอกเสียงสั่นๆ 
"ขอบใจ..." หมอผีหนุ่มบอกพร้อมรอยยิ้ม  และเขาหันไปบอกนักล่าสาว "เรารีบไปกันเถอะ..."
แต่ก่อนทั้งสองจะเดินออกไป  บุรุษพยาบาลหนู รวบรวมกำลังเอ่ยถามว่า "พะ..พวกคุณเป็นใคร...."
"ผู้พิทักษ์ที่แฝงตัวอยู่อยู่ในเงามืดของโลกนี้ไง  คุณปลอดภัยแล้วกลับไปทำบุญรดน้ำมนต์ด้วยนะ..." หมอผีหนุ่มบอกยิ้มๆ

แล้วทั้งสองก็เดินออกจากห้องนั้นไปอย่างรีบเร่ง  บุรุษพยาบาลหนูมองตามทั้งสองไปและหันกลับมามองกองเศษเถ้าของร่างเจ้าผีดิบที่เมื่อครู่มันเกือบจะดื่มเลือดของเขา  ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก  และเขายังงุนงงหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่หาย  มองดูเป้ากางเกงของตนจึงได้รู้สึกว่าอุ่นๆ  สาเหตุเพราะเขาฉี่ออกมาไม่รู้ตัวนั่นเอง

โรง พยาบาลตำรวจเวลาเกือบ ๒๑ . ๓๐ น.แล้ว
ไฟในโรงพยาบาลยังคงส่องสว่างอยู่ แต่ก็เป็นเพียงบ้างจุดเท่านั้น เพราะนโยบายประหยัดพลังงานของรัฐบาลนั้นเอง

ด้วยความสลัวลางหมอผีหนุ่มและนักล่าสาวจึงตรงไปยังชั้นหกของตึกนิติเวชอันเป็นที่ทำงานผ่าพิสูจน์ศพอย่างรวดเร็ว แสงไฟทางอันเลือนรางไม่เป็นอุปสรรคให้ทั้งสองสักเท่าไร แต่ขณะที่เขากำลังตรงไปยังห้อง ๖๐๖ อันเป็นห้องที่เก็บศพของหญิงสาว  ทั้งสอง ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างตระหนกตกใจของชายหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้น

และเสียงนั้นดังมาจากทิศทางของห้องพิสูจน์ศพที่เขากำลังตรงไปทำให้ทั้งสองรีบวิ่งตะบึงไปอย่างรวดเร็ว และเขาก็เห็นชายหนุ่มในชุดรัดกุมผมยาวกระเซิงนายหนึ่งวิ่งออกมาจากห้อง พิสูจน์ศพพร้อมกับร้องเสียงหลงว่า

"ผีหลอก ช่วยด้วย ผีหลอก....."

สาวนักล่าตรงเข้าสกัดหนุ่มผมกระเซิงอย่างรวดเร็ว และด้วยวิธีที่ง่ายและได้ผล คือหมัดขวาตรง ซึ่งทำให้อีกฝ่ายคือชายหนุ่มที่กำลังขาดสติล้มคว่ำลงไปอย่างรวดเร็ว  ซึ่งทำให้พวกเขามีโอกาสพิจารณาฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสะดวก  ชายหนุ่มแปลก หน้าที่วิ่งตะบึงร้องขอความช่วยเหลือ เป็นชายหนุ่มร่างผอมบาง ใบหน้าเสี้ยม ผมบนศีรษะถูกตัดแต่งจนหนาฟูเหมือนฟองน้ำ และที่คอของเขาสะพายกล้องถ่ายรูปมียี่ห้อตัวหนึ่ง

"เอาล่ะ คุณบอกผมมาโดยดี คุณชื่ออะไร และทำไมถึงวิ่งออกมาจากห้องพิสูจน์ศพ และร้องว่าผีหลอก"

หมอผีหนุ่มเอ่ยถามเสียงเครียดๆ
ชายหนุ่มหัวฟู ส่ายศีรษะเหมือนกับจะเรียกสติที่ขาดหายไปให้กลับมา พร้อมกับลูบปลายคางที่ถูกพิษหมัดเข้าไปอย่างเต็มๆ

"นี้มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี้ย และทำไมคุณฝรั่งผู้หญิงถึงมาต่อยผมอย่างนี้ล่ะ"
"บอกฉันมาว่า คุณคือใคร และมาทำอะไรที่โรงพยาบาลนี้ และทำไมเข้าไปที่ห้องพิสูจน์ศพไม่เช่นนั้นคุณจะโดนมากว่านี้ ."

ชาย หนุ่มหน้าเสี้ยมหัวฟู เห็นใบหน้าของสาวนักล่าดูเคร่งเครียด และมีน้ำเสียงดุดันก็ไม่กล้ารีรออีก รีบหยิบนามบัตรประจำตัวในกระเป๋าส่งให้ และกล่าวเสียงสั่นว่า  "ผมชื่อ   ยงยุธร   เป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์   "เสียงสนามหลวง" ผมได้รับคำสั่งให้มาหาข่าวศพที่ถูกฆาตกรรม เมื่อบ่ายนี้ แต่เมื่อผมมาถึง ผมก็เห็น....นะ..นั่น...."

ใบหน้าของนักข่าวหนุ่มเปลี่ยนเป็นซีดเผือด เขาเห็นมันอีกครั้ง   มันเป็นความสยองที่เขาไม่เคยคิดว่าจะพบมาก่อน มันโผล่ออกมาจากห้องพิสูจน์ศพอย่างกระหาย  ใบหน้าของมันชุ่มไปด้วยเลือด และท่าทางของมันแสดงว่ามันยังไม่อิ่มหนำจากเหยื่อที่พึงเสพมา  และด้วยความหวาดกลัวอันยากที่จะระงับ  ยงยุธรก็ผลักร่างของทั้งสองที่ยืนขวางให้แหวกออก และวิ่งผ่ากลางตะบึงหนีไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงร้องอันหวาดกลัว

ทั้งสองไม่แปลกใจกับอาการของนักข่าวหนุ่ม   เพราะเมื่อหันไปดูก็ได้พบเห็นความสยดสยองอันเป็นต้นเหตุของอาการ วิปริตของนักข่าวหนุ่ม  ซากร่างนั้น หรือศพของหญิงสาวที่พวกเขากำลังจะมาหา กำลังก้าวออกมาจากห้องพิสูจน์ศพ ใบหน้า และริมฝีปากเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด แม้จะอาการแข็งทื่อไปบ้างแต่ก็รวดเร็วทีเดียว โดยไม่ต้องขบคิดนาน  นักล่าสาวเดินดิ่งเข้าหาพร้อมกระชากดาบออกจากฟัก  และวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว

ฉับ!!
"ครืด.ด..ด..ด..ด์...ครืด.ด.ด...ด..ด์...."

คมดาบวาววับตัดฉับเข้าที่ลำคอของศพวิปริตอย่างแม่นยำ   แต่ดูเหมือนร่างนั้นจะไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเลย เพียงแต่แรงปะทะนั้นทำให้ร่างนั้นเซไปเล็กน้อย และเพิ่มความดุร้ายให้กับซากร่างนั้นมากเพิ่มขึ้น   มันคำรามลั่นและตรงเข้ามาหาสาวนักล่าอย่างรวดเร็ว  หมายจะโจมตีผู้หาญกล้าทำร้ายมัน

แต่ก่อนที่มือของร่างคืนชีพจะคว้าใส่ลำคอขาวผ่องของสาวนักล่า  พลันร่างนั้นก็สะดุ้งยืนกระตุกหงึกๆ และส่วนหัวค่อยๆเลื่อนหลุดจากลำคอตกลงไปกองบนพื้น  แล้วร่างนั้นหรือซากนั้นก็ล้มลงไปเหมือนกับว่ามันไม่เคยเคลื่อนไหวมาก่อนเลย  สักครู่ร่างนั้นก็ค่อยๆสลายเผาไหม้กลายเป็นเถ้าไป....

"ที่นี่ชักจะวุ่นวายใหญ่แล้ว  นี่ถ้าเราไม่มาละก็รับรองคืนนี้ผีดิบอาละวาดกันสนุกแน่ๆ" สาวนักล่าเอ่ยเสียงเรียบๆ
หมอผีหนุ่มมองไปที่ห้องพิสูจน์ศพ "มันคืนชีพอย่างนี้ ไม่รู้ว่าใครพลาดเป็นเหยื่อไปบ้างหรือยัง"
ใบหน้าเฉยช้า ของสาวนักล่าปรากฏความสงสัยขึ้นเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงราบเรียบว่า "ถ้าจะมีเหยื่อก็คงเป็นพวกเจ้าหน้าที่นั่นแหล่ะ  ลองเข้าไปดูในห้องก่อนล่ะกัน"
"อื่อ.อ.อ...ผมเห็นด้วย...." ว่าแล้วหมอผีหนุ่มก็เดินนำไปยังห้องนั้น และเปิดประตูเข้าไป

ภาย ในห้องพิสูจน์ศพเต็มไปด้วยคราบเลือดกระจัดกระจายไปทั่ว ศพของนายแพทย์ผู้ผ่าพิสูจน์ ถูกซุกอยู่ใต้เตียงพยาบาล และยังมีร่างของพยาบาลอีกสองคนในห้องน้ำ  ทั้งสองเข้าไปอย่างระมัดระวังแต่ก็ไม่ได้สังเกตเลยว่ากล้องวงจรปิดที่ผนังห้องนั้นยังทำงานและถ่ายการทอดการเคลื่อนไหวของทั้งคู่ไว้ตลอด

หมอผีหนุ่มเอ่ยเศร้าๆ "เรามาช้าไป  มีคนเคราะห์ร้ายตั้งสาม"
"ทุกครั้งที่พวกมันเข่นฆ่าคนบริสุทธิ์   ฉันยิ่งเกลียดพวกมัน" สาวนักล่าเอ่ยแล้วกัดฟันกรอด

หมอผีหนุ่มแปลกหน้าก้มลงสำรวจศพของนายแพทย์หนุ่มอย่างละเอียด ลำคอของศพมีรอยถูกบีบอย่างแรงจนเขียวคล้ำ และมีรอยถูกกัด เป็นแผลฉกรรจ์ และเลือดดูเหมือนจะถูกสูบไปจนหมดสิ้น และเมื่อเขาหันไปสำรวจซากของนางพยาบาลอีกสองคนก็มีสภาพเช่นเดียวกับนายแพทย์หนุ่ม 

ชาย หนุ่มได้แต่ถอนหายใจ  สวดภาวนาให้วิญญาณของคนทั้งสามไปสู่สุคติ
แต่สาวนักล่าชักดาบออกมา  เธอใช้ปลายดาบกรีดอกของเหยื่อทั้งสามทีละคนและผ่าที่กลางหัวใจ
หมอผีหนุ่มยืนมอง แต่ไม่ได้ถามอะไร  เพราะเขารู้ว่านี่คือวิธีสะกดวิญญาณของศพที่ถูกพวกผีดิบทำร้าย

สาวนักล่าเอาผ้าขาวเช็ดเลือดจากดาบและสอดใส่ฝัก  เธอว่า "กลับกันเถอะ  ไม่มีศพเหลือให้นายสัมภาษณ์แล้ว"
"ฮื่อ.อ.อ...กลับก็กลับ...." หมอผีหนุ่มทำท่าจะเดินตามสาวนักล่าไป   แต่ว่า.....

ที่ทางออกหน้าห้อง  เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายเปิดแล้วเดินเข้ามา  พอเห็นสภาพข้างในและคนทั้งสองยืนอยู่ 
สองนายตำรวจต่างทำสีหน้าตื่นตะลึงและชักปืนออกมา
หนึ่งในสองร้องสั่ง "หยุดนะ  วางอาวุธแล้วยกมือขึ้น...."
"เราไม่ใช่คนร้าย...." สาวนักล่าเอ่ยเสียงเรียบๆ  และวางท่าเฉยชาเหมือนเคยๆ
"ใช่ไม่ใช่  พวกคุณก็เป็นผู้ต้องสงสัย  ยอมให้เราควบคุมตัวเดี๋ยวนี้" เสียงตำรวจยังสั่งมา
สาวนักล่าเอ่ยเสียงเรียบๆ "ไม่...."
"อย่าให้เราต้องใช้ความรุนแรงนะ..." เสียงของตำรวจเครียดขึ้น
สาวนักล่าเดินปรี่เข้าหาสองตำรวจ เธอว่า "ฉันจะไปแล้ว  หลีกทางให้ด้วย"
"บอกให้หยุด อย่าขยับนะ..อย่าขยับ..บอกว่าอย่า...." เสียงของตำรวจเครียดขึ้นเรื่อยๆ  เมือสาวนักล่ายังเดินปรี่เข้ามา  ทั้งสองไม่มีทางเลือก จึงตัดสินใจ และเหนี่ยวไกปืน
หมอผีหนุ่มรีบวิ่งเข้ามารวบตัวสาวนักล่าและเข้าตัวกันวิถีปืนไว้ทันที "คุณแคท ระวัง...."

เปรี้ยง!!  เปรี้ยง !!เปรี้ยง!!  เปรี้ยง !!

เสียงปืนดังขึ้นหลายนัดติดๆ 
กระสุนเข้าปะทะแผ่นหลังของหมอผีหนุ่มเต็มๆแต่ไม่ระคายเคืองผิวของเขาเลย 
หมอผีหนุ่มส่ายหน้าหันมามองสองตำรวจที่ยืนตัวสั่น  เพราะทั้งสองได้เห็นกับตาว่าคนๆนี้ยิงไม่เข้า 

หมอผีหนุ่มเอ่ยอย่างหน่ายๆ  "ทำไมทำงี่เง่าอย่างนี้เล่า  คุยกันก่อนดีๆก็ได้..." 
"อยู่ไม่ได้แล้วเพื่อน  มันหนังเหนียวไม่พอยังต่อว่าพวกเราอีก  ถอยไปเรียกกำลังเสริมดีกว่า" ตำรวจคนหนึ่งเอ่ยบอก
อีกคนพยักหน้าทำนองเห็นด้วย "เออๆๆ รีบไปกันเถอะ..."

แล้วสองตำรวจก็เผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว

หมอผีหนุ่มหันมาบอกนักล่าสาว "ทางสะดวกแล้ว  รีบไปกันเถอะ..."
"อย่านึกว่าฉันจะขอบใจนะ" สาวนักล่าเอ่ยขึ้น "ถึงนายไม่ช่วยไว้เมื่อกี้   ฉันก็หายตัวเคลื่อนย้ายที่เองได้.."
"ผมก็ไม่ได้ถือเป็นบุญคุณอะไรนี่  รีบไปกันเถอะ..." พูดจบก็วิ่งนำหน้าสาวนักล่าออกไปจากห้องนั้น

คล้อยหลังจากทั้งสองหนีออกจากโรงพยาบาลตำรวจ
เพียงชั่วครู่หน่วยรักษาความปลอดภัยของ โรงพยาบาลก็มาถึง และตามด้วยกำลังของตำรวจในพื้นที่   เหตุการณ์นี้ทำให้สองตำรวจ ต้องตอบคำถามและดำเนินการบันทึกคดี  ขณะที่เกิดเหตุทุกอย่างก็แสนวุ่นวายไปหมด  เนื่องจากเรื่องที่เกิดช่างโหดเหี้ยมสะเทือนขวัญยิ่งนัก  และที่สำคัญกล้องวงจรปิดได้บันทึกภาพของสาวนักล่าและหมอผีหนุ่มตั้งช่วงเข้ามาในห้องแล้วผ่าหัวใจของเหยื่อไว้อย่างชัดเจน

นายตำรวจมองภาพในจอจากกล้องวงจรปิด  แล้วถามตำรวจทั้งสองที่ได้เผชิญหน้า "สองคนนี้ใช่ไหม?"
"ใช่ครับท่าน..." ทั้งสองพยักหน้ายืนยัน
นายตำรวจขมวดคิ้วเม้มปาก "อุกอาดมากๆ  กล้าลูบคมตำรวจไทยอย่างพวกเรา  ปริ้นภาพออกมาแล้วส่งไฟร์ภาพแจกจ่ายไปทุกท้องที่  กำชับว่าจับตัวให้ได้  ...." นายตำรวจเว้นระยะไปเล็กน้อย  และเอ่ยต่ออย่างเน้นๆ  เสียงเครียดๆ" ถ้าพบเจอตัวแล้วหากขัดขืนให้ดำเนินการจับกุมขั้นเด็ดขาดได้ทันที..."

"ครับท่าน...."

เหล่าตำรวจใต้บังคับบัญชาที่ฟังอยู่รับคำ  และพากันแยกย้ายไปทำตามคำสั่ง

นายตำรวจผู้ควบคุมคดีมองกลุ่มตำรวจที่ทำงานอย่างแข็งขันแล้วลอบยิ้มบางๆ
แววตาของฉายแววเจ้าเล่ห์ที่สามารถบรรลุในสิ่งที่ต้องการได้
เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ  "...หุ  หุ  หุ....ขั้นแรกสำเร็จเป็นไปตามแผนที่วางไว้แล้ว...."
จากนั้นนายตำรวจก็รับแก้วน้ำดื่มจากลูกน้องที่นำมาให้  เขายิ้มให้และเอ่ยขอบใจตามมารยาท   
ขณะยกขึ้นดื่มที่ข้อมือด้านในปรากฏรอยสักซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม แวมไพร์ วาเล็ค  มอทัซ ซึ่งบ่งบอกได้ทันทีว่า...
....นายตำรวจคนนี้........เป็นหนึ่งในสาวกของพวกมัน........㊃






นีโอ


ขออนุญาตตอบข้อความบางส่วนของนักอ่าน เพราะตอบกลับข้างในไม่เป็น ^^
(คัดมาเฉพาะบางท่าน เพราะส่วนใหญ่จะถามประมาณนี้)





areja

ใครจะอ่านผลงานท่าน ถ้าทำตามกติกาท่านว่างไว้ไม่ได้ แล้ว รีพลาย ขอบคุณครับ,ขอบคุณ,ขอบคุณค่ะ,ติดตามครับ
,สนุกมากครับ,ติดตามต่อ.
อะไรประมาณนี้ แบนเลยนะ ขอบคุณมากๆครับ ก็ไม่ต้อง thank,thank you,thx ขี้หมาหลายแหล
เหล่านี้ก็อย่าให้เห็น จัดรูดแบนไปยาวๆ ถ้าเจอในผลงาน คุณ นีโอ นี่เป็นข้อตกลงระหว่างท่าน กับสมาชิก
::Fighto::  เมื่อผ่าฝืน เกรียนมาก็จำเป็นที่ต้องแบน เพื่อสมาชิกอีกส่วนเพราะไม่เช่นนั้น ::Falling::
รีพลายคุณอาจทำให้ สมาชิกที่ปฏิบัติตามพลอยอดอ่านไปด้วย ฉะนั้นไม่แน่ใจ อย่าพิมพ์เอามักง่ายมั่วๆ..


กดอ่านก่อนอ่านผลงาน อาจารย์พี่นีโอ



การตอบ รีพลายอย่าง พอเหมาะพอควรถ้าเจ้าของกระทู้แจ้งมา จะพิจารณา เป็นรายกรณี

ถ้าตอบ เช่น zzzzddd xxxx2222 อิอิ,ลุ้นๆ,555, ดีดี,ดี, ต่อ,ติดตาม,ty,thx,thx kub(Thx ขี้หมาThanx พิมพ์ไม่ถูก
ห้ามใช้ทุกกระดานที่ ฉันดูแล
),ใจจร้า,ใจครับ,แจ่ม,เยี่ยม,สนุกดี,สุดยอด,อ่านต่อ,Good (เฉยๆ)
emo เปล่าๆ
อาจเตือนเห็นอีก ถ้าเตือนไปแล้ว ผิดซ้ำซากก็จะแบนเหมือนกัน รีพลายตอบซั่วๆ ตอบแล้ว mod ไม่เข้าใจ จะโดนแบน
รีพลายมักง่ายต่างๆ จะแบนครั้งแรก 6 เดือน คราต่อไป แบนยาวขึ้น แล้วจะหายเมื่อไม่ปรับปรุง

พวก ก๊อปตอบ รัวๆรวดเดียวเป็น 10 กระทู้ โพสต์ละ 1 นาทีนะ เจอจะ แบน ถ้ามักง่ายเช่นนี้ ถือว่าไม่ให้เกียรติ์
คนแบ่งปัน/ คนลงงาน..พวกเปิดรัวๆ ประโยคเดียวเป็น 10 มันควรหรือ? ตอบซ้ำมาหลายครัง ในกระทู้เดียวกัน
อาจโดนพักใช้ได้เหมือนกัน และห้ามใช้ ข้อความจากระบบในการตอบรีพลายเด็ดขาด! มันมักง่ายประเภทเดียว
กับก๊อปตอบ จะแบน ครึ่งปี ครั้งต่อแบนเพิ่มขึ้นอีก และ หายจากบอร์ด
         

            ผลงานที่ สมาชิกอุตสาห์นำมาลง ไม่ว่าจะเขียนเอง หรือขอมาลงล้วนได้มาด้วยการสละเวลา
            ถ้าจะตอบมามักง่ายก็ อย่าใช้ห้องนี้ เสพผลงานเลยไปหาเสพที่ใดแล้ว รีพลายตอบ นั้นได้ ก็ไป
            อย่าทะลึ่งมา เปรี้ยว มา เกรียน ลอง  สด ,เก๋า อย่าเลย จะเสียน้ำใจเสียความรู้สึกเปล่าๆ
            เพราะถึงคุณมี 100 ยูส 1000 ชื่อ ถ้ารีพลายผิดกฏ-กติกากระดานนี้ ฉัน ก็จะแบนหมด

...................................................................

ถ้าถูกแปะเตือนที่ โพสต์หรือกระทู้คุณ และส่งไปที่ pm คุณ จงรีบปรับปรุงรีพลายซะ ขอบคุง,ขอบหี,ขอบควย
ขอบหมา,ขอบแมว,ขอบคุน
เตือนนะอย่าลองของ ใครโดนเตือนไปให้ปรับปรุงการรีพลายเจอ อาจโดนแนทันที
6 เดือนเหมือนโทษ ป้วนเกรียนอื่นๆ....

คำขอบคุณยังเขียนไม่ถูกความหมายมันจะถูกไหม? ที่ต้องมาเข้มงวดเรื่องนี้ เพราะชักเยอะพวกมักง่าย เยอะ
ไรต์ คนลงงาน ก็ติมาด้วย..เครนะ ขอกันดีๆ แว่น ยกตัวอย่างคำ ขอบคุณเขียนไม่ถูกชัดไหม?

ใคร ขอบคุณ รีพลายเขียนไม่ถูกอาจโดนแบนเลนทันที ขอบคุณ เฉยๆก็ดูเอียนจริงๆ แต่ก็เป็นคำสากลในการตอบแทนน้ำใจ
ฉะนั้น ขอเถอะเขียนให้ถูก เมื่อต้องปรับเปลี่ยนก็ต้องคล้อยตามกัน กฏไม่ได้ใช้กับใคร? เพียงคนเดียว และไม่ยากเกินไป
  คิดว่าสร้างมาตรฐาน ถ้าใครคิดว่ายากก็ไม่ต้องเข้ามาใช้ กระดานนี้ เพราะ ฉันแบนแน่.. 

อ๋อ thx ขี้หมา นี้หรือ เขียนไม่ครบเป็นคำ thank อย่าให้เห็นนะ แบน ย้ำซะขนาดนี้พิมพ์มาอีกถือว่าลอง บางคนโวยวาย
ขำ thx ขี้หมา แค่นี้ก็แบน ถุย! ก็ตรรกะเอ็งมันมักง่ายไง เงื่อนไขง่ายๆถึงออกมาแถ มันยากนักก็ไม่ต้องเข้ามาใช้ เวปนี้ไม่ง้อ
บอร์ดอยู่มาได้ไม่ต้องพึ่งคนมักง่ายใช้ตรรกะปลิง จ้องจะสูบทั้งที่ใช้ฟรี เสือกเยอะ ไรต์เขียนมาหาข้อมูลมากว่าจะจบแต่ละตอน
ไอ้ซากปลิง เข้ามา Thx  เหอะๆ เอาใช้ไปหาที่เสพที่อื่นเถอะ เวปนี้แบน

กฎที่วางนี่ไม่ได้เขียนเอา ฮา เนอะ แบนจริงใครอยู่นานแล้วคงรู้จัก แว่น ดี..คิดว่า ฉัน
แบนจริงหรือเตือนเอาสนุกเล่นๆ..อย่าๆลอง เดี๋ยวจะเสียความรู้สึกด้วยรีพลายคุณเอง
เขียน ขอบคุณ ให้ถูก ทำตามเงื่อนไข ยากอะไร หรือ จะโชว์เกรียน..เตือน,ขอร้อง,
ขอความร่วมมือ แล้วเมื่อไม่รักษาสิทธิ์-ประโยชน์คุณเอง ก็แบนไปใช้เวปอื่น.
.


cd13579

#4
มีคำถามครับ ราคาโหลดเรื่องละเท่าไหร่ครับ เก็บตังค์ซื้ออ่านละ ไม่ทน มันค้างคาเหลือเกิน มีโปรโมชั่นเสริมให้เด็กตาดำๆปะครับ 55555
ใครหื้อใครซ่า ข้าแบนเรียบ

dopant

ไม่ห่วยหรอกครับ  แต่งได้ดีมาก  อ่านสนุกและน่าติดตาม  แถมมีฉากเสียวเป็นระยะ  ทำให้ยิ่งอ่านก็ยิ่งสนุกและเสียวเกร็งไปหมดครับ
ขอบคุณครับ
ปล.ผมรอติดตามอ่านตอนต่อไป  และอย่าท้อ สู้ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ครับ  เป็นกำลังใจให้ครับ ::Glad::

gritkin

ขอยกมืออีกหนึ่งคนสำหรับผู้ที่อยากอ่านเรื่องราวของคุณนีโอครับผม ก็เรื่องมันสนุกใครๆก็อยากอ่านครับผม เป็นกำลังใจให้อีกหนึ่งครับ ขอบคุณครับ

Zoybedal

ขอบคุณมากครับพี่นีโอที่สละเวลามาลงให้พวกเราอ่านกันแล้วจะซื้อe book อ่านต่อนะครับ อยากอ่านภาคสาปสมิงมากเสียดายเนื้อหาหายถ้าพี่ลงใหม่ได้ขอภาคนี้ภาคเดียวจะเป็นพระคุณอย่างสูง และจะติดตามเรื่องใหม่ต่อไปครับ

peddo

เนื้อเรื่องสนุกมากเลยครับ มีท่านเซอร์และความพอเพียงด้วย ถึงไม่เสียว อ่านแล้วก็สุขสม ขอบคุณครับ

sushinmana

เด่วตามไปอ่านแน่ๆครับ ยังไม่ค่อยคุ้นกะระบบE-book กำลังหัดเรียนรู้ครับ

สุดท้ายต้องขอบคุณท่านนีโอ ที่แวะมาปล่อยของให้หายคิดถึงเป็นระยะๆ

เรื่องราวน่าติดตามตลอด ขอเป็นกำลังใจให้เขียนต่อไปนานๆครับ

การแต่งเรื่องกว่าจะเล่าเรื่องให้สมบูรณ์แบบ ผมว่าท่านเก่งจริงๆครับ

tdt14023

ขอบคุณมากๆครับท่านนีโอ ต้องขอบอกก่อนว่าผมอดใจรออ่านผลงานของท่านไม่ไหวเลยเข้าไปจัดผลงานของท่านเรื่องนี้ในmebเรียบร้อยแล้วครับต้องขอบอกว่าสุดยอดมากครับแนะนำนักอ่านทุกท่านเลยครับถ้าอดใจรอไม่ไหวช่วยสนับสนุนผลงานของท่านนีโอในmebเลยครับมีให้เสพผลงานหลายเรื่องเลยครับ

pinmonkey

กลุ่มแวมไพร์กำลังจะเจอการปฏิวัติโดยตัวโกง กลุ่มนักล่าก็กำลังรวมทีมกันได้อย่างแข็งแกร่ง มีหวานเล็กน้อยระหว่าพระเอกกันสาวสวยลูกครึ่งแวมไพร์ น่าติดตามว่าจะมีการต่อสู้ระหว่างธรรมกับอธรรมอย่างสนุกอย่างไรบ้าง ขอบคุณท่านผู้แต่งมากครับ

yak7384

แหม่ เจอทั้งอสูรเขี้ยวช่องคลอดแล้วยังมาเจอตำรวจนอกแถวอีก จะหาทางรวดยังไงละทีนี้ พ่อหมอ

samsung014

แม้จะเป็นสำนวนแบบเก่าแต่ก็ยังสนุกน่าติดตามเหมือนเดิมครับ ฝีมือดีจริงๆครับ

kasor7

มีนักเขียนไม่กี่คน ที่อ่านแล้ว ทำให้รู้สึกว่าเหมือนดูหนัง  คุณนีโอคือหนึ่งในนั้น ขอบคุณ