ข่าว:

🎉🎉🎉 XONLY เปิดรับลงทะเบียนสมาชิกใหม่อีกครั้ง จำกัดวันละ 50 คน จนกว่าแอดมินจะขี้เกียจรับ😀

Main Menu

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 26 คัมภีร์สุญญตาพันกร

เริ่มโดย zeech, มกราคม 01, 2017, 03:15:56 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

zeech

คุยก่อนอ่าน

ผมตั้งใจจะปั่นตอนที่ 26 ให้เสร็จทันวันปีใหม่ เพื่อเป็นของขวัญให้กับผู้อ่านที่เป็น
แฟนของเรื่องนี้ เผื่อว่าบางท่านที่ไม่ได้ออกท่องเที่ยวไปไหนจะได้เอาไว้อ่านแก้เหงา
แต่ก็ยังบรรยายไม่จบพล๊อตที่วางไว้ของตอนนี้  ก็เลยตัดเอามาเป็นตอนที่ 26 เท่าที่ทำได้

ตอนนี้ เขียนไปพร้อมกับฤทธิ์ของอาการเมาค้าง อารมณ์ของเรื่องอาจจะแตกต่างไปบ้าง
ก็ลองเสพดู แล้ววิจารณ์หน่อยนะครับ 

ขอบคุณที่ยังติดตาม

----------


เว่ยฉิงคังยืนมองดูฮวงซุ้ยร้าง ที่มันเคยทนทุกข์ทรมานจากการฝึกฝนลมปราณพรากวิญญาณ
อย่างพากเพียรแล้วก็บังเกิดความฮึกเหิมขึ้นในจิตใจ  มันกลับมาในครั้งนี้ด้วยความตั้งใจไว้ว่า
มันจะใช้ความเพียรพยายามฝึกฝนลมปราณพรากวิญญาณให้มีความรุดหน้าไปจนถึงขั้นสูงสุด
ให้จงได้

มันหยิบขวดสีขาวออกมาจากอกเสื้อ แล้วเทเม็ดยาทั้งหมดลงบนฝ่ามือของมัน พลางจ้องดูเม็ดยา
เหล่านั้นอย่างกระหยิ่มใจ ก่อนที่จะเอาใส่ปากของมันทั้งเจ็ดเม็ด  แล้วนั่งลงผนึกลมปราณนิ่ง
อยู่อย่างสงบ 

เวลาเคลื่อนผ่านไปหนึ่งวันเต็ม ยาเทพโอสถทะลวงชีพจรก็แสดงอานุภาพขึ้น  ขณะที่เว่ยฉิงคัง
อยู่ในสภาวะสงบนิ่ง ปล่อยให้ลมปราณในร่างโคจรเคลื่อนผ่านไปตามจุดต่างๆอย่างต่อเนื่อง
สติของมันกำลังตกอยู่ในภวังค์คล้ายกับกำลังหลับไหล  พลันชีพจรทุกจุดในร่างก็ถูกกระตุ้นเร่งเร้า
ให้เปิดออกรับเอาปราณจากไอเย็นเยียบที่แวดล้อมอยู่รอบตัวมันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
จนเว่ยฉิงคังลืมตาโพลงขึ้น  แล้วแย้มยิ้มที่มุมปากคล้ายกับมันกำลังรอสภาวะนี้อยู่

พลัน เว่ยฉิงคังก็ร่ายรำฝ่ามือทั้งสองแล้วฟาดลงไปยังพื้นข้างตัวมัน  ร่างของมันดีดขึ้นสูงลอยออกมา
จากหลังคาฮวงซุ้ยที่เปิดโล่ง  แล้วเคลื่อนร่างลงมายังพื้นดิน  มันสะกิดเท้าดีดร่างตนเองให้ล่องลอยสูง
ขึ้นไปอีกครั้ง จนร่างของมันมาหยุดอยู่ท่ามกลางหลุมฝังศพ  แล้วโคจรลมปราณนั่งสงบนิ่งอยู่ ณ ที่นั้น



ไอเย็นเยียบจากร่างไร้วิญญาณในป่าช้า เริ่มเคลื่อนคล้อยไหลเข้าสู่ร่างของเว่ยฉิงคังอย่างต่อเนื่อง 
แล้วแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นพลังวัตรอันล้ำลึกสะสม ณ.จุดตังชั้งของมัน  ชีพจรที่ถูกกระตุ้น
ให้เปิดออกในครั้งนี้ช่วยให้เว่ยฉิงคัง สามารถรับเอาไอจากซากศพ  แปรเปลี่ยนเป็น
พลังวัตรสะสมในร่างของมันได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วกว่าในครั้งก่อนมากมายนัก


ในช่วงเวลากลางวัน มันทุ่มเทฝึกฝน กระบวนท่าฝ่ามือพรากวิญญาณ ครั้นเวลาล่วงเข้าสู่ยามค่ำ
มันก็ออกมาผนึกลมปราณรับเอาไอเย็นจากซากศพแล้วแปรเปลี่ยนเป็นพลังวัตร 

มันกระทำเช่นนี้จนเวลาล่วงผ่านเข้าสู่วันที่สาม ยาเทพโอสถทะลวงชีพจรที่มีอยู่ในร่างของมัน
ก็แผ่ซ่านเปล่งอานุภาพออกไปทั่วร่างของมัน ชีพจรและจุดสำคัญในร่างถูกกระตุ้นจนผิดแผก
ไปจากบุคคลโดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง  เพื่อให้ร่างของมันกลับกลายเป็นแหล่งซึมซับพลังวัตร
อันไร้ขอบเขต  ยาเทพโอสถทะลวงชีพจรได้ทำลายความรู้สึกระงับยับยั้งในจิตใจของมันให้หมดไป 
แล้วกระตุ้นความต้องการจากจิตใต้สำนึกของมันให้ลุกโพลงขึ้น


วันและคืนล่วงไปจนเข้าสู่วันที่เจ็ด  เว่ยฉิงคังก็แปรเปลี่ยนเป็นบุคคลที่มีพลังวัตรอันล้ำลึกเกินหยั่งคาด 
มันสำเร็จ ลมปราณพรากวิญญาณขั้นสูงสุดได้ตามที่มันวาดหวังไว้    แต่มันต้องกลับกลายเป็นบุคคล
ที่ไม่สามารถระงับความต้องการของตนเองได้  จิตใต้สำนึกของมันที่ซ่อนเร้นเพลิงแค้น
และ ความมักใหญ่ใฝ่สูง  ความต้องการที่ซ่อนอยู่ภายใต้จิตสำนึกของมัน  ถูกกระตุ้นให้ลุกโชนขึ้น
จนปรากฎเป็นภาพของบิดาที่ถูกสังหารหลอกหลอนมันอยู่ตลอดเวลา  จนมันมิสามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป


เว่ยฉิงคังแหงนหน้าขึ้นมองผืนฟ้า กู่ร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง พร้อมกับปลดปล่อยพลังวัตรอันแรงกล้า
ออกมา  จนสัตว์น้อยใหญ่ในอาณาบริเวณโดยรอบ  มิสามารถทนทานต่อพลังอันรุนแรงนั้น ต่างล้มลง
ดิ้นทุรนทุราย แล้วกระอักโลหิตตายไปสิ้น  เว่ยฉิงคังมีดวงตาวาวโรจน์ไปด้วยเพลิงแค้น มันทะยานร่าง
ล่องลอยออกไปจาก ณ. ที่นั้นในทันที


-------------


ที่สำนักทวนผดุงคุณธรรม  บริวารหญิงนางหนึ่งได้เข้าขอพบชุ่ยเหลียนด้วยท่าทีที่เร่งรีบ
พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า

"นายหญิง  ท่านเจ้าสำนักกลับมาแล้ว  ขอท่านได้โปรดออกไประงับเหตุด้วย"


ชุ่ยเหลียนงุนงงกับคำพูดของบริวารนางนี้ จึงไถ่ถามขึ้นว่า

"เหตุอันใด  ใยข้าต้องออกไประงับ"


บริวารหญิงผู้นั้นก้มหน้าลง แล้วตอบนางไปว่า

"ท่านเจ้าสำนัก...นายหญิง...ท่านเจ้าสำนักกลับมาแล้ว  แต่มิทราบด้วยเหตุใด
จึงมีอารมณ์ฉุนเฉียวนัก ท่านสั่งให้ตระเตรียมกำลังคน เพื่อเตรียมการที่จะออกไปขับไล่
ลัทธิเบญจธาตุ  แต่ อาชิว ได้ห้ามปรามไว้ เนื่องด้วยว่ายังมิถึงกำหนดนัดหมายที่ได้ออกเทียบเชิญไว้
กับเหล่าชาวยุทธ  แต่ท่านเจ้าสำนักกลับไม่พอใจมันเป็นอย่างมาก  เข้าทำร้ายอาชิวอย่างสาหัส
ข้าน้อยเกรงว่ามันอาจจะถึงแก่ความตายหากว่านายหญิงมิออกไประงับไว้"


ชุ่ยเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็เร่งเดินออกไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที  เมื่อบรรลุถึงห้องโถง
ภาพที่นางเห็นก็คือ  เว่ยฉิงคังกำลังใช้มือข้างหนึ่งของมันบีบที่ลำคอของ อาชิว คนสนิทของมัน
แล้วชูร่างจนลอยสูงขึ้นจากพื้น  ดวงตาของเว่ยฉิงคังทอประกายโหดเหี้ยมออกมาอย่างเห็นได้ชัด 

นางจึงส่งเสียงเรียกเพื่อให้มันได้สติขึ้น

"ท่านพี่  ท่านกลับมาแล้ว   ใยจึงไม่เข้ามาพบข้า"

ชุ่ยเหลียนเอ่ยวาจาออกมา แล้วเดินไปส่งยิ้มไปหามัน


เว่ยฉิงคัง ได้ยินเสียงของชุ่ยเหลียน ก็หันหน้ามาดู ครั้นพอสบตากับนาง จิตใต้สำนึกในความรัก
ที่มีอยู่ต่อนางก็แจ่มชัดขึ้น  มันปล่อยมือให้ร่างของอาชิวที่สิ้นสติไปล่วงหล่นลงสู่พื้น
แล้วเหม่อมองใบหน้าของชุ่ยเหลียนคล้ายกับ มันมิได้พบหน้านางมาเป็นเวลาแรมปี

"ชุ่ยเหลียน ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน  ข้าต้องการเจ้า"


เว่ยฉิงคัง บังเกิดความปรารถนาในเรือนร่างของชุ่ยเหลียนอย่างรุนแรง มันตรงเข้ากอดรัด
ร่างของนางไว้อย่างแนบแน่น แล้วก้มหน้าลงซุกไซ้ไปตามลำคองามระหงของนาง 


ชุ่ยเหลียนตกตะลึงในอากัปกิริยาที่เปลี่ยนแปลงไปของมัน  นางงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง

ครั้นได้สติก็พยายามผลักไสร่างของมันออกไป  แต่เว่ยฉิงคังกลับซุกไซ้ต่ำลงมา
จนถึงทรวงอกของนาง  มือทั้งสองของมันบีบเค้นสะโพกอันกลมกลึงไว้จนเต็มทั้งสองฝ่ามือทั้งสอง 
ท่ามกลางสายตาของบริวารทั้งหลายในสำนัก  ทุกคนมองนิ่งมาอย่างตกตะลึง


ชุ่ยเหลียนทั้งตื่นตกใจ  ทั้งอับอาย  นางพยามยามปัดป้องมิให้มันล่วงเกินนางไปมากกว่านี้

"ท่านพี่....ท่านพี่.....หยุดเถิด.....โปรดหยุดก่อน.................ท่านพี่.... ท่านพี่......เผี่ยะ......."



ชุ่ยเหลียนออกแรงผลักร่างของมันอย่างรุนแรงจนผงะไป แล้วเงื้อฝ่ามือตบไปที่หน้าของเว่ยฉิงคัง
อย่างเต็มแรงด้วยความลืมตัว

แล้วนางก็หวนได้สติขึ้นมาจึงร้องเรียกมันขึ้น

"โอ๊ะ...ท่านพี่....อภัยให้ข้าด้วย....ข้ามิได้ตั้งใจ"






เว่ยฉิงคัง แย้มยิ้มส่งสายตาที่ส่อแววปรารถนาอย่างแรงกล้ามาที่  ชุ่ยเหลียน
แล้วรวบร่างของนางไว้ในอ้อมกอดของมันอีกครั้ง

"ชุ่ยเหลียน    ข้าเพียงต้องการเจ้า   ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก "



เว่ยฉิงคังพูดขึ้นพร้อมกับซุกไซ้ใบหน้าของมันลงบนทรวงอกของนางอีกครั้ง   
อ้อมแขนของมันที่กอดรัดนางในคราวนี้ กลับแนบแน่นขึ้นกว่าเดิมมากนัก
จนนางมิสามารถดิ้นหลุดได้   

ชุ่ยเหลียนนึกประหลาดใจในพฤติกรรมของมันที่เปลี่ยนไป แล้วนางก็หวนคิดถึง
ยาเม็ดเทพโอสถทะลวงชีพจรขึ้นมาได้   นางครุ่นคิดอยู่ภายในใจว่าเหตุใดฤทธิ์ของยา
จึงออกมาในรูปแบบนี้   

เรือนร่างของนางยังคงถูกมันรุกไล่อย่างต่อเนื่อง  แก่นกายอันแข็งเกร็งของมัน
ถูไถกับเนินสวาทของนางอยู่ไปมา  แม้เป็นเพียงนอกร่มผ้าก็รับรู้ได้ถึงขนาดที่พองโต
ของมัน ที่ทั้งแข็งเกร็งและมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างประหลาด

ตาของนางเหลือบมองไปโดยรอบ มองเห็นบริวารที่ยืนรายล้อมทั้งหลาย ยืนนิ่งจ้องดู
ดั่งถูกมนต์สะกด  ชุ่ยเหลียนรู้สึกอับอายยิ่งนัก จึงเอ่ยปากด้วยเสียงที่เฉียบขาดออกมาว่า


"พวกเจ้าทุกคน ไสหัวออกไปจากห้องนี้โดยเร็วที่สุด  หากยังมีผู้ใดรีรออยู่อีก
ข้าจะลงโทษมันผู้นั้นอย่างหนักที่สุด"



สิ้นคำของชุ่ยเหลียน บริวารทั้งหลายเหล่านั้นก็ได้สติ  พากันเร่งรีบออกไปจากห้องโถงใหญ่โดยหมดสิ้น



เป็นเวลาเดียวกันกับเว่ยฉิงคังใช้สองมือของมันดึงคอเสื้อของชุ่ยเหลียน
จนขาดออกจากกันอย่างรุนแรง  ปทุมถันขาวผุดผ่องทั้งสอง ก็เต้นกระเพื่อมออกมาปรากฏ
อยู่ต่อหน้ามันในทันที   มันเบิ่งตาจ้องมองแล้วก้มลงดูดกินอย่างหิวกระหาย


ชุ่ยเหลียนคิดที่จะใช้มายาหญิงยั่วยวนเว่ยฉิงคัง เหมือนกับในครั้งก่อน 
เพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้นางกลับมาเป็นฝ่ายที่ควบคุมมัน  จึงพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยนว่า

"ท่านพี่...ช้าก่อน   พวกเราไปที่ห้องของเราดีหรือไม่"


เว่ยฉิงคังได้ยินนางพูดเช่นนั้น  ก็หันมาสบตากับนาง ดวงตาของมันเต็มไปด้วย
ประกายแห่งความปรารถนาอย่างเหลือล้น  จนชุ่ยเหลียนถึงกับตื่นกลัว

"ไม่  ข้าต้องการเจ้า  ข้าจะเชยชมเจ้าที่นี่"



สิ้นคำ เว่ยฉิงคังก็กระชากเสื้อผ้าส่วนที่เหลืออยู่ออกจากร่างของนางจนหมดสิ้น 

"ว๊ายยยย......แข้วกกก"


ชุ่ยเหลียนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่ากลางห้องโถงนั้น  นางหวาดระแวงเกรงว่าจะมี
บริวารคอยลอบมองอยู่  จึงคิดวิ่งหนีมันเพื่อให้พ้นจากห้องโถงนั้น   แต่ เว่ยฉิงคัง
กลับรวดเร็วยิ่งนัก มันรวบร่างของนางไว้ในอ้อมแขนของมัน แล้วร่างของนางลงบนเก้าอี้ใหญ่
ที่ตั้งอยู่กลางห้อง

เรียวขาทั้งสองของนางถูกมันจับแยกออก พาดวางไว้กับที่วางแขนของเก้าอี้ทั้งสองข้าง 
มันทรุดร่างลงจ้องมองดูเนินสวาทของชุ่ยเหลียน  ที่แย้มเปิดออกอย่างกว้างขวาง 
แล้วลากลิ้นโลมเลียอย่างหื่นกระหาย


"ท่านพี่.....อย่าาาาา..........อย่าาาา....ท่านไม่อับอายผู้อื่นบ้างรึ.......อย่าาาา.....อูยยยยยย.........."



ชุ่ยเหลียนพยายามผลักไสใบหน้ามันให้ออกจากหว่างขาของนาง  แต่เรี่ยวแรงของนาง
ก็อ่อนล้าลงทุกที  เนื่องด้วยลิ้นของเว่ยฉิงคัง ในตอนนี้ได้ล้วงลึกลงไปในร่องสวาท
แล้วระรัวลิ้นอย่างเร็วถี่ลงบนติ่งเสียวของนาง สร้างความซ่านเสียวให้ก่อเกิดขึ้นมา
จนนางมิอาจต่อต้าน

"อืมมม...........ซี๊ดดดดดด.............อย่าาาา........ซี๊ดดดดดด........."




ใบหน้าของเว่ยฉิงคังซุกไซ้อยู่กับเนินสวาทของนางอย่างเพลิดเพลิน
จนมันไม่รู้สึกตัวว่าที่เบื้องหลังของมันมีดวงตาคู่หนึ่งลอบจ้องมองดูอยู่ 
อาชิวฟื้นจากอาการสิ้นสติ ลืมตาขึ้นมาแล้ว มันมองเห็นภาพเว่ยฉิงคัง
กำลังแยกขาทั้งสองข้างของชุ่ยเหลียนออก จนมองเห็นเนินสวาทของนาง
เต็มสองตาของมัน

อาการมึนงงจากการสิ้นสติของมัน  จางหายไปอย่างสิ้นเชิง  ดวงตาของมันพองโต
จ้องมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของนายหญิงของมันอย่างตื่นตะลึง  จนก่อเกิดอารมณ์กำหนัดขึ้น
มันจ้องมองดูเว่ยฉิงคัง กระทำโลมเลียเนินสวาทของชุ่ยเหลียน โดยไม่เกรงกลัวสายตาของชุ่ยเหลียน
ที่จ้องมองหน้ามันอยู่เช่นกัน

"ท่านพี่....หยุดก่อน.....อาชิว..อาชิว...มัน...."



ชุ่ยเหลียนพยายามบอกให้เว่ยฉิงคังรับรู้  แต่มันกำลังมัวเมากับสิ่งที่มันปรารถนาอย่างแรงกล้า
มันยืนขึ้นเปลื้องเสื้อผ้าของมันออกอย่างรวดเร็ว แล้วจับแก่นกายอันใหญ่โตของมันจ่อเข้าที่ร่องสวาท
ที่เบ่งบานของชุ่ยเหลียน

ชุ่ยเหลียนตื่นตกใจกับขนาดแก่นกายของมัน ที่ขยายขนาดเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
นางรีบยันกายลุกขึ้นใช้มือทั้งสองผลักดันร่างของมันไว้ไม่ให้ดันเข้ามา

"โอ๊ะ.....ท่านพี่...อย่าาาา......อย่าพึ่ง......โอ้ววววววว......."



แม้มือทั้งสองชุ่ยเหลียนผลักยันทรวงอกของมันไว้  แต่เว่ยฉิงคังกลับดันท่อนล่างของมันเข้ามา
จนแก่นกายอันใหญ่โตของมันผลุบหายเข้าไปในร่องสวาทของนางจนมิด  แล้วโยกร่างเข้าออก
อย่างหนักหน่วงและรุนแรง  มือทั้งสองของมันยึดช่วงเอวของชุ่ยเหลียนไว้  คล้ายเกรงว่า
ร่างของนางจะหลุดลอยหายไป

ร่างของชุ่ยเหลียนกระเพื่อมสั่นไหวไปทั้งร่าง  ตามแรงกระแทกกระทั้นที่เว่ยฉิงคังโหมกระหน่ำใส่
อย่างสาแก่อารมณ์ของมัน  นางทั้งรู้สึกคับแน่นและเจ็บแสบ  แต่ก็ไม่สามารถดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองได้
โดยนางเองก็ลืมไปว่าได้ตกเป็นเป้าสายตาของอาชิวที่กำลังจ้องมองใบหน้าที่บิดเบี้ยวของนางด้วยอารมณ์
กำหนัดที่คุกรุ่น 

อาชิวไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า นายหญิงของมันจะมีส่วนสัดที่ยั่วยวนกำหนัดได้มากมายถึงเพียงนี้
ยิ่งเห็นเว่ยฉิงคังกระแทกกระทั้นใส่ร่างของนางอย่างรุนแรง  จนเกิดเสียงเนื้อกระทบกันดังกระชั้นถี่
พร้อมกับเสียงครวญครางของนายหญิงของมัน  ยิ่งทำให้มันทุกข์ทรมานกับกำหนัดที่เร่งเร้ามากขึ้น
จนมันมิสนใจสิ่งใด  เคลื่อนกายเข้ามาจ้องมองดูอย่างใกล้ชิดด้วยดวงตาที่หื่นกระหาย

ชุ่ยเหลียนได้สติคืนมา ใช้สายตาจ้องมองอาชิวอย่างโกรธแค้น แต่เพียงครู่ก็ต้องเลิกล้มไป
เนื่องด้วยเว่ยฉิงคัง จับร่างของนางพลิกคว่ำลงแล้วดึงสะโพกอันโด่งงอนของนางให้สูงขึ้น
จนนางต้องใช้สองมือจับเก้าอี้ไว้

"ท่านพี่ หยุดก่อน  อาชิว...อาชิวมันจ้องมองดูเราอยู่......โอ๊ะ......"


เว่ยฉิงคังในยามนี้ มุ่งมั่นแต่อารมณ์ปรารถนาของตนเองจนไม่สนใจสิ่งใด  มันจับแก่นกายของมัน
สอดเข้าไปในร่องสวาทของนางอีกครั้ง แล้วกระแทกกระทั้นอย่างระรัวถี่  สัมผัสแก่นกายอันใหญ่
และยาวของมันที่เคลื่อนตัวเข้าและออก สร้างความซ่านเสียวใหกับชุ่ยเหลียนจนนางละเลยความสนใจ
ต่อสายตาของอาชิว 

ชุ่ยเหลียนถึงกับห่อปากปล่อยเสียงครวญครางเพื่อระบายความซ่านเสียวที่นางได้รับออกมา

"..อูยยยย......ซี๊ดดดด...........ท่านพี่.....ซี๊ดดดดดดด........ข้า....เสียวยิ่งนัก..........."



ชุ่ยเหลียนบังเกิดอารมณ์กำหนัดร่วมกับมัน จนร่องสวาทของนางตอดรัดแก่นกายของเว่ยฉิงคัง
อย่างรุนแรงเป็นจังหวะ  จนมันยิ่งเกิดอารมณ์ซ่านเสียวเพิ่มขึ้น  มันจึงเร่งจังหวะกระแทกกระทั้นเร็วขึ้น
และรุนแรงขึ้นอีก

ร่างของชุ่ยเหลียน สั่นไหวอย่างรุนแรงเพิ่มขึ้น เสียงร้องครางอย่างสุดเสียวของนางดังขึ้นจนก้องไปทั้งห้องโถง

ครั้งนี้ นางถึงกับพ่ายแพ้ต่อเพลิงราคะของเว่ยฉิงคัง ความเสียวซ่านที่นางได้รับพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด
จนนางลืมตัว  ร้องเสียงดังออกมาอย่างสุขสม 

"โอ้วว...ซี๊ดดด.....โอ้ววว.....ซี๊ดดด.......โอ้ววว...ซี๊ดดด......โอ้วววววววววววว......."


แต่เว่ยฉิงคังยังคงคั่งค้างไม่เสร็จสิ้น  มันยังคงกระแทกกระทั้นร่างของนางอย่างไม่สิ้นสุด จนชุ่ยเหลียน
บังเกิดความซ่านเสียว และถึงจุดสุขสมอย่างต่อเนื่อง 

"โอ้ววว...ซี๊ดดดด........โอ้วววว....ซี๊ดดดด......โอ้ววว.....โอ้ววว.....โอ้ววว.....โอ้วววววววววววว"

"โอ้วววว.......ซี๊ดดดด.....โอ้ววว...ท่านพี่....พอเถิด......อูยยยยย......โอ้ววว.....โอ้ววว.....โอ้ววววววว"


ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ชุ่ยเหลียนถึงจุดสุขสมจากการกระแทกกระทั้นอันรุนแรงของมัน  จนนางเกิดความ
อ่อนล้าแทบจะทนทานไม่ไหว


แล้วในที่สุด นางก็รู้สึกถึงไออุ่นร้อนที่พุ่งพวยออกจากแก่นกายของมัน ไออุ่นร้อนนั้นไหลพรั่งพรู
จนท่วมท้นโพรงสวาทออกมาภายนอก  บังเกิดความรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งช่องท้องของนาง 
พร้อมกับเสียงครางอย่างสุขสมของมัน

"ฮึบบ.....ฮึบบ.....ฮึบบ.....ฮึบบ........ฮึบบ..............อ้าาาาาาาาาาา.........อ้าาาาาาาาาาา..."



ร่างของมันฟุบลงแนบชิดกับนางอย่างอ่อนแรง  แล้วหลับตาพริ้มลง  ตัวนางเองก็อยู่ในความอ่อนล้า
เช่นกัน  นางผ่อนลมหายใจแล้วหลับตาลงไปพร้อมกับมัน

อาชิวที่เฝ้ามองดูการกระทำของคนทั้งสองอยู่  เมื่อเห็นทั้งสองเสพสวาทจนถึงจุดสุขสม แล้วแน่นิ่งไป
มันจึงได้สติ เร่งรีบใช้โอกาสนั้นหลบหนีออกมาโดยทันที

-------------

วันรุ่งขึ้น ม้าเร็วจากสำนักทวนผดุงคุณธรรมก็ออกเดินทางไปยังสำนักต่างๆเพื่อส่งเทียบเชิญ
ตามคำสั่งของเว่ยฉิงคังในทันที  เนื้อความในเทียบเชิญมีเพียงให้ทุกสำนักเร่งเกณฑ์กำลังคน
ออกมาสมทบร่วมรบที่วังเบญจธาตุอย่างเร่งด่วน โดยไม่มีคำชี้แจงใดๆ  มีแต่เพียงคำขู่ว่า
หากผู้ใดเกณฑ์กองกำลังออกมาเนิ่นช้า หรือไม่มาร่วมรบจะถือว่าเป็นศัตรูต่อเหล่าชาวยุทธจงหยวน


เหล่าชาวยุทธเมื่อได้รับเทียบเชิญต่างก็ประหลาดใจว่าเหตุใด เว่ยฉิงคังจึงไม่บุกวังเบญจธาตุ
ตามกำหนดนัดหมายที่ได้เคยตกลงกันไว้  แต่ก็มีจำนวนกว่าครึ่งที่ไม่กล้าขัดขืน ยอมเกณฑ์กำลังคน
จากสำนักของตนออกมาสมทบ  และอีกส่วนหนึ่งที่เสื่อมศรัทธาต่อความประพฤติของเว่ยฉิงคัง
ก็นิ่งเฉยเสียไม่กระทำตามเทียบเชิญนั้น

เว่ยฉิงคังพากองกำลังออกมาจากสำนักของมันอย่างเร่งด่วน  ใจของมันลุกโชนด้วยเพลิงแค้น
มันมีเป้าหมายที่จะล้างผลาญเหล่าลัทธิเบญจธาตุให้ตายสิ้นทุกตัวคน

------------


ตั้งแต่ขับไล่ เว่ยฉิงคังไปได้ระยะเวลาหนึ่ง บ้อเมี่ยวเล่านั้งก็ได้ยินเสียงเล่าลือถึงเรื่องราว
ของเว่ยฉิงคัง ที่ได้รับการเชิดชูให้เป็นผู้นำชาวยุทธ มันนึกประหลาดใจยิ่งนัก 
ที่ฝีมือต่ำทรามเช่นเว่ยฉิงคัง  เหตุใดเหล่าชาวยุทธจึงยินยอมยกให้มันเป็นผู้นำ 
เพื่อต้องการทราบเรื่องราวทั้งหมด  บ้อเมี่ยวเล่านั้งจึงออกเดินทางลอบสืบดูเรื่องราวของมัน 
จนในที่สุด ก็ทราบเรื่องราวและความเคลื่อนไหวของเว่ยฉิงคังโดยหมดสิ้น


บ้อเมี่ยวเล่านั้ง  เสียใจ และโกรธแค้นตนเองยิ่งนัก ที่เผลอไผลปล่อยให้เว่ยฉิงคังเข้าไปใน
ห้องคัมภีร์  จนมันได้คัมภีร์ลมปราณพรากวิญญาณไป เท่ากับตนเองเป็นต้นเหตุสร้างมาร
ให้กำเนิดขึ้นในยุทธภพเสียแล้ว


ขณะที่บ้อเมี่ยวเล่านั้งกำลังเดินทางกลับไปยังที่พักของตนในป่าลึก ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
พลันสายตาของมันก็พบเข้ากับ ชาย หญิงคู่หนึ่ง เดินหยอกล้อกันมาด้วยความสนุกสนาน 

บ้อเมี่ยวเล่านั้งมีนิสัยที่แปลกประหลาด มักจับเอาเอาชาวยุทธที่พลัดหลงมายังถิ่นของตน
มาเป็นคู่ฝึกซ้อมฝีมืออยู่เสมอ ครั้นมันเห็นชายหญิงทั้งสองกำลังเดินเข้ามาหาตนเช่นนั้น 
ทั้งอยู่ในช่วงที่อารมณ์ไม่ปลอดโปร่ง ก็มีความยินดี คิดที่จะจับเอาไประบายอารมณ์ขุ่นมัว
ของตน  คิดได้เช่นนั้น บ้อเมี่ยวเล่านั้งก็ทะยานร่างตรงเข้าไปจู่โจมใส่บุคคลทั้งสองโดยทันที


เฟยอี้ และ องค์หญิง กำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน พลันประสาทสัมผัสอันฉับไวของเฟยอี้
ก็รับรู้ถึง การเคลื่อนไหวของบ้อเมี่ยวเล่านั้งที่กำลังจู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็ว  เฟยอี้เงยหน้าขึ้น
มองเห็นฝ่าเท้าของบ้อเมี่ยวเล่านั้ง เหิรลอยลงมาจนใกล้จะกระทบกับร่างของตน
จึงผลักร่างขององค์หญิงฯให้ล้มลง แล้วเคลื่อนลมปราณมาที่ฝ่ามือทั้งสองอย่างรวดเร็ว
รับฝ่าเท้าของบ้อเมี่่ยวเล่านั้งที่เหิรร่างลอยลงมา

"องค์หญิงฯ หลบไป"


เท้าของบ้อเมี่ยวเล่านั้ง กระทบเข้ากับพลังฝ่ามือของเฟยอี้ มันจึงรีบรั้งเท้า ม้วนตัวกลับหลัง
ลอยร่างลงสู่พื้นดิน ห่างจากเฟยอี้ไปสี่ห้าก้าว แล้วเอ่ยปากพูดขึ้นว่า

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า.......   เจ้าเด็กน้อย  ฝีมือเจ้าไม่เลว  วันนี้ข้าได้คู่ซ้อมที่ยอดเยี่ยมแล้ว"


สิ้นคำ บ้อเมี่ยวเล่านั้งก็ตรงเข้าร่ายรำฝ่ามือ เข้าใส่ร่างของเฟยอี้ในทันที 
เฟยอี้อยู่ในท่วงท่าที่เฝ้าระวังอยู่แล้ว ก็ร่ายรำกระบวนท่าฝ่ามือภูตคำรามเข้าต้านรับ

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง มิได้ใช้ฝีมืออย่างเต็มที่ในช่วงแรก  แต่เมื่อปะทะฝีมือกับเฟยอี้ผ่านไป
สิบกระบวนท่าก็นึกประหลาดใจ ที่เฟยอี้ร่ายรำกระบวนท่าเข้าต้านรับมันโดยไม่เพลี้ยงพล้ำ
ซ้ำยังเริ่มรุกไล่มันกลับมาอีกด้วย


บ้อเมี่ยวเล่านั้ง จึงทุ่มเทพลังฝีมือลงไปถึงเจ็ดแปดส่วน เข้าหักล้างกระบวนท่าของเฟยอี้ 
ฝ่ามือทั้งสองของบ่อเมี่ยวเล่านั้งยามจู่โจม  ล้วนพุ่งเข้าสู่จุดสำคัญในร่างของเฟยอี้ทั้งสิ้น
จนเฟยอี้ถึงกลับต้องถอยหลังออกมาต้านรับการรุกไล่ของบ้อเมี่ยวเล่านั้งอีกครั้ง


กระบวนท่าของบ้อเมี่ยวเล่านั้ง ทั้งรุนแรงและรวดเร็วขึ้น จนมันพร่างพรายตา
เฟยอี้ตัดสินใจดีดร่างถอยออกมาจากรัศมีฝ่ามือของบ้อเมี่ยวเล่านั้งในทันที

บ้อเมี่ยวเล่านั้งเห็นเช่นนั้น ก็ปลดปล่อยเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ แล้วร่ายรำพลังดรรชนี
ดีดใส่ร่างของเฟยอี้ที่อยู่ห่างออกไปสี่ห้าก้าว

เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็ทะยานร่างขึ้นสู่เบื้องบน หลบหลีกพลังลมปราณอันกล้าแข็งจากดรรชนี
ของบ่อเมี่ยวเล่านั้งไปได้อย่างฉิวเฉียด 

พลังดรรชนีนั้นพลาดเป้าถูกเข้าที่ลำไม้ใหญ่จนหักโค่นลงในทันที

บ้อเมี่ยวเล่านั้งเห็น พลังดรรชนีของตนพลาดเป้า ก็รู้สึกแค้นเคืองใจนัก จึงรวบรวมลมปราณ
ปล่อยพลังดรรชนีซ้ำออกไปอีกสามสายพร้อมกัน  ตรงไปยังร่างของเฟยอี้ที่พึ่งทะยานร่างลงสู่พื้นดิน


เฟยอี้อยู่ในท่วงท่าที่ยังไม่พร้อมต้านรับ พลันเห็นปราณอันกล้าแข็งสามสายจากดรรชนี
ของ บ้อเมี่ยวเล่านั้ง  พุ่งตรงมายังร่างของตน  พลังดรรชนีทั้งสามสายล้วนสกัดหนทางหลีกหนี
ของมันไปสิ้น  ยามอับจนหนทางเช่นนี้  เฟยอี้จึงทำได้เพียงรวบรวมลมปราณในร่างอย่างรีบเร่งขึ้นต้านรับ

ในยามตื่นตระหนก มุ่งหมายจะเอาตัวรอดในภาวะคับขัน  เฟยอี้กลับโคจรลมปราณฟ้าดิน-หยินหยาง
ในร่างอย่างไม่รู้ตัว

พลังปราณฟ้าดิน-หยินหยางแผ่ซ่านออกจากร่างของเฟยอี้เกิดเป็นกระแสปราณอันเข้มแข็งล้อมรอบ
ร่างของเฟยอี้ไว้  แล้วสลายพลังดรรชนีทั้งสามสายยามต้องกระทบไปจนหมดสิ้น

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง นิ่งมองดูอย่างตะลึงงัน เนื่องด้วยตั้งแต่มันผาดโผนในยุทธภพ หามีผู้ใดรอดพ้น
จากพลังดรรชนีของมันได้  ยิ่งในครั้งนี้มันปลดปล่อยพลังดรรชนีออกไปพร้อมกันถึงสามสาย 
แต่เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ไม่เพียงไม่หลบหลีก แต่กลับสามารถสลายพลังของมันไปจนหมดสิ้น
บ้อเมี่ยวเล่านั้ง เป็นผู้รักวิชาการต่อสู้ ครั้นเห็นผู้ที่มีวรยุทธอันน่าสนใจ มันก็อดใจไว้ไม่ได้
จึงไถ่ถามขึ้น

"เจ้าเด็กน้อย  เจ้าใช้วรยุทธของสำนักใด  ผู้ใดเป็นอาจารย์ของเจ้า"


เฟยอี้พึ่งถูกจู่โจมจนเข้าจุดคับขัน ไม่คิดจะพูดจาตอบโต้โดยดี จึงพูดขึ้นว่า

"รอให้เจ้าชิมฝ่ามือของข้าดูก่อนเถิด  ข้าจึงให้คำตอบต่อเจ้า"


สิ้นคำ เฟยอี้ก็รวบรวมพลังปราณในร่าง จนพุ่งพวยออกมาอย่างเปี่ยมล้น
แล้วถ่ายเทพลังทั้งหมดมาที่ฝ่ามือทั้งสอง พลางร่ายรำกระบวนท่า ฝ่ามือภูตคำรามขั้นสูงสุด
แล้วปลดปล่อยกลุ่มก้อนพลังอันยิ่งใหญ่ออกไปในทันที

กลุ่มพลังปราณอันกล้าแข็งหลุดพ้นจากฝ่ามือทั้งสองของเฟยอี้ พุ่งแหวกอากาศ
ออกไปอย่างรวดเร็ว จนบังเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวประดุจดังภูตผี้ร่ำร้องตามก้อนพลังนั้นไป
พุ่งตรงไปยังร่างของบ้อเมี่ยวเล่านั้งในทันที


บ้อเมี่ยวเล่านั้งเห็นเช่นนั้น ก็เบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก  ร่ำร้องออกมาด้วยความตกใจ
แล้วทะยานร่างหลบออกไปอย่างรีบเร่ง

"โอ้......ไม่ได้การ......"


พลังปราณของเฟยอี้พุ่งเข้าทำลายล้าง ต้นไม้ในป่าทึบเบื้องหลังของบ้อเมี่ยวเล่านั้งจนพังราบไปหมดสิ้น
กระแสพลังนั้นยังแผ่ออกมากระทบเข้ากับร่างของ บ้อเมี่ยวเล่านั้ง จนล่องลอยกระเด็นไกลออกไป

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ยันร่างขึ้นยืน แล้วจ้องมองมายังมันอย่างแค้นเคือง มันคิดจะทุมเทพลังทั้งหมดในร่างของมัน
เข้าหักหาญกับเฟบอี้ในครั้งนี้   

แต่แล้วดวงตาของมันก็เบิกกวางขึ้นอย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นร่างของเฟยอี้
ล้มลงแล้วดิ้นไปมาอย่างทุรนทุรายอยู่ที่พื้น

องค์หญิงฯ ซึ่งยืนมองดูอยู่ห่างๆ ครั้นเห็นอาการของมันเช่นนั้นก็หยั่งทราบ  นางวิ่งตรงไปหามัน
พลางส่งเรียกร้องเรียกขึ้น

"เฟยอี้......."


เฟยอี้โคจรปราณฟ้าดิน-หยินหยาง จนพลังหยางอันมากมายในร่างของมันแผ่ซ่านออกมา
สูญเสียความสมดุลย์ของปราณไป เกิดอาการพิษของหยางกำเริบจนรุ่มร้อนไปทั้งร่างคล้ายดั่งถูกไฟเผาผลาญ

องค์หญิงฯกำลังจะเข้าประคองร่างของมัน แต่กลับถูกบ้อเมี่ยวเล่านั้งตรงเข้าสกัดไว้

"เจ้าหลีกไป"


บ้อเมี่ยวเล่านั้งเห็นอาการของมันก็หยั่งทราบสาเหตุในทันที  มันรีบเร่งใช้พลังดรรชนีจี้สกัดจุด
ในร่างของเฟยอี้ เพื่อยับยั้งการโคจรพลังหยางในร่างของมันเป็นการชั่วคราว พร้อมกับจี้สกัดจุด
ให้มันสิ้นสติไปเพื่อระงับอาการเจ็บปวด  จากนั้นมันก็ตรงเข้าแบกร่างของเฟยอี้เหน็บเข้าที่เอวของมัน
แล้วทะยานร่างล่องลอยออกจากที่นั้นทันที

องค์หญิงฯเห็นเช่นนั้นก็ตื่นตกใจยิ่งนัก  นางส่งเสียงร้องเรียก พร้อมกับวิ่งไล่ตามไป

"เฟยอี้  ....เฟยอี้....อย่า..อย่าเอาเฟยอี้ไป  เขากำลังป่วย  เขาต้องการข้า มิเช่นนั้นเขาจะตาย...อย่า"


นางวิ่งตามบ้อเมี่ยวเล่านั้งไป จนสะดุดเข้ากับรากไม้ล้มลง ดวงตาอันเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาของนาง
จ้องมองไปยังร่างของบ้อเมี่ยวเล่านั้ง  จนมันหายลับตาไป   นางก้มหน้าลงส่งเสียงร้องไห้ออกมา
อยู่เพียงผู้เดียว ณ กลางป่าลึกนั้น

-----------

บ้อเมี่ยวเล่านั้งอุ้มร่างอันไร้สติของเฟยอี้ มายังบ้านไม้กลางป่าลึกของตนอย่างเร่งรีบ
มันวางร่างของเฟยอี้ลงบนเตียงไม้นอกชาน แล้วจับข้อมือของเฟยอี้มาตรวจดูชีพจร
จนพบว่า ในร่างของเฟยอี้ มีขุมพลังหยางอันเข้มแข็งผิดแผกไปจากบุคคลธรรมดา 
ขุมพลังหยางนั้นแพร่ผ่านออกไปจนทั่วร่างของเฟยอี้  ร่างของมันจึงรุ่มร้อนคล้ายดั่งมีกองเพลิงสุมอยู่ 
และมันก็ยังพบว่า นอกจากพลังหยางแล้ว  ยังพบพลังหยินอีกหลายสายคอยโคจรหล่อเลี้ยง
สร้างสมดุลย์ในร่างของมันไว้


บ่อเมี่ยวเล่านั้ง เมื่อตรวจสอบสภาวะในร่างของเฟยอี้จนถ้วนถี่แล้ว  มันก็ทอดถอนใจ ส่ายหน้าไปมา
พลางรำพึงกับตนเองขึ้นว่า

"เสียดายนัก....เสียดาย...พบพานยอดคนในวัยเยาว์ที่หาได้ยากยิ่ง  แต่กลับต้องมาตายในไม่ช้าเสียแล้ว"


บ้อเมี่ยวเล่านั้ง เป็นผู้งมงายในวิชายุทธ ตลอดชีวิตของมันเอาแต่หมกมุ่นศึกษาคัมภีร์ยุทธจากสำนักต่างๆ
อย่างถ่องแท้ จนมันรู้ดีว่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายล้วนมีข้อจำกัด

หากคิดฝึกยุทธในแนวทางแข็งกล้า อันจัดเป็นแนวทางแห่งหยาง  ต้องฝึกฝนเน้นไปทางเพิ่มพูนกำลังภายใน
ยามต่อกรจึงใช้เพียงกำลังภายในอันแข็งกล้าเข้าหักหาญเอาชัย  ขาดความรวดเร็วและพลิกแพลง

ส่วนในแนวทางอ่อนหยุ่น อันจัดเป็นแนวทางแห่งหยินนั้น  เน้นไปทางความพิสดารและล้ำลึกของ
กระบวนท่า อาศัยความว่องไว รวดเร็ว แสวงหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้แล้วจู่โจมเพื่อเอาชัย

ยากนักที่จะมีผู้ใดหล่อหลอมทั้งสองแนวทางเอาไว้ในบุคคลผู้เดียว  แต่เฟยอี้กลับสามารถมีทั้ง
หยิน และ หยาง หล่อหลอมเป็นปราณหนึ่งเดียวกันได้ เพียงแต่ขาดความสมดุลย์ระหว่างกันเท่านั้น
หากพบแนวทางที่ทำให้ก่อเกิดหยินในร่างเพิ่มขึ้นจนเกิดสมดุลย์ได้ เฟยอี้ก็จะกลับกลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธ
แห่งยุคไปในทันที



บ้อเมี่ยวเล่านั้งมีความลังเลใจที่จะช่วยเหลือเฟยอี้ ด้วยโสมหิมะพันปีที่มันเก็บรักษาไว้อย่างหวงแหน
มันเดินครุ่นคิดอยู่ไปมา หากแม้นว่ามันนำออกมาช่วยเหลือเฟยอี้ ความเยียบเย็นที่สะสมอยู่โสมหิมะ
พันปีอันจัดเป็นพลังฝ่ายหยิน อาจจะช่วยสร้างสมดุลย์ให้บังเกิดขึ้นกับปราณของเฟยอี้ แม้ว่าอาจไม่ได้ผล
ในทันที แต่ก็สามารถยืดอายุของเฟยอี้ให้ยาวนานออกไปได้


บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ลังเลใจเนื่องด้วย ไม่รู้ความเป็นมาของเฟยอี้ เกรงว่ามันจะกระทำผิดพลาดเช่นเดียวกับ
เมื่อคราวส่งเสริมเว่ยฉิงคังอีก  แต่มันก็ไม่สามารถทานทน ต่อความใคร่รู้ในความเป็นมาของวรยุทธ์
ที่เฟยอี้ใช้ได้  มันจึงตัดสินใจนำโสมหิมะพันปีออกมาช่วยเหลือมัน แล้ววางแผนไว้ว่า เมื่อล่วงรู้ถึงเบื้องหลัง
ของมันแล้ว หากพบว่าเป็นคนชั่วมันก็จะฆ่าทิ้งเสีย ก่อนที่จะคืนสภาพกลับมาเป็นปกติ

เวลาผ่านไปสามชั่วยาม หลังจากที่เฟยอี้ได้รับเอาโสมหิมะพันปีเข้าไปในร่าง ความเยียบเย็นของมัน
ก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างของเฟยอี้ ก่อเกิดพลังแห่งหยินเพิ่มพูนขึ้นคลายความร้อนรุ่มในร่างของเฟยอี้ลง 
จนความสมดุลย์ของลมปราณภายในร่างกลับคืนสู่สภาวะปกติ

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง สัมผัสร่างของเฟยอี้พบว่าร่างของมันคลายความร้อนรุ่มลงแล้ว จึงคลายจุดที่สกัดไว้
เพื่อให้มันฟื้นคืนสติ

เฟยอี้เริ่มรู้สึกตัว แล้วเปิดเปลือกตาขึ้น มองเห็นชายชราใบหน้าเสี้ยมยาว กำลังลูบหนวดเคราสีเงินยาว
มองมายังตนอยู่ก็จำได้  ว่าเป็นคนเดียวกับที่จู่โจมมัน  จึงเร่งรีบลุกขึ้นยืนแล้วไถ่ถามขึ้นในทันที

"ท่านคือผู้ใด  เหตุใดจึงลอบทำร้ายข้า"


บ้อเมี่ยวเล่านั้ง เห็นอาการของมันเช่นนั้น ก็แสยะยิ้มที่มุมปาก แล้วพูดว่า

"เฮอะ...หากข้าคิดจะฆ่าเจ้า  เจ้าคงไม่มีโอกาสมาไถ่ถามข้าเช่นนี้แล้ว  ข้าเพียงนึกสนุก
หาคู่ซ้อมให้คลายความหงุดหงิด  แต่เจ้ากลับลงมือกับข้าอย่างหนักหน่วง แล้ว จู่จู่
เจ้าก็ล้มลงดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น  ข้าจึงได้พาเจ้ามาที่นี่เพื่อช่วยชีวิตเจ้าไว้  คราวนี้
เจ้าพอจะจำความได้บ้างหรือไม่  เจ้าเด็กน้อย"


เฟยอี้พอได้ยินเช่นนั้น ก็ระลึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้  มันหวนคิดถึงองค์หญิง แล้วหันเหลียวมองไป
ทั้งทางซ้าย และขวาพลางร้องเรียกขึ้น

"องค์หญิงฯ......องค์หญิงฯ  ....ท่านอยู่ที่ใด..   องค์หญิง ฯ....."


มันร้อนรนภายในใจยิ่งนัก ที่ไม่พบองค์หญิง  แล้วหันไปกล่าวกับบ่อเมี่ยวเล่านั้งขึ้นว่า

"ท่านผู้อาวุโส  สตรีที่เดินทางมากับข้าตอนนี้อยู่ที่ใด ท่านได้ทำร้ายนางหรือไม่"


บ้อเมี่ยวเล่านั้ง พลันมีสีหน้าจริงจังขึ้น กล่าวออกมาว่า

"ก่อนที่ข้าจะตอบคำถามของเจ้า   เจ้าบอกข้ามาก่อนว่าเจ้าคือใคร  เหตุใดจึงใช้ฝ่ามือภูตคำราม
ของท่านอ๋องลีลู่ปังได้ "


เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้น ก็ไถ่ถามกลับไปด้วยความตื่นเต้นทันที

"ท่านรู้จัก ฝ่ามือภูตคำรามของอาจารย์ข้าด้วยรึ"


บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ปลดปล่อยเสียงหัวเราะออกมา  แล้วพูดว่า

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า...ข้าเป็นสหายกับอ๋องลีลู่ปังมาเป็นเวลาช้านานแล้ว  หากเจ้าเป็นศิษย์ของ
อ๋องลีลู่ปัง ก็มิใช่คนอื่นไกลแล้ว  ฮ่า ฮ่า ฮ่า.........."



แล้วเฟยอี้ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดของตนในหนหลัง ให้บ้อเมี่ยวเล่านั้งได้รับทราบ
รวมทั้งเหตุการณ์ที่ได้พบกับคัมภีร์ปราณฟ้าดิน-หยินหยาง อันเป็นสาเหตุที่ทำให้มัน
ต้องมีสภาพเช่นนี้


ครั้นบ้อเมี่ยวเล่านั้งทราบเรื่องราวทั้งหมดของเฟยอี้  ก็คลายความลังเลใจ พูดขึ้นว่า

"วิชาปราณฟ้าดิน-หยินหยาง ของผู้เฒ่าจางนี้ จัดได้ว่าเป็นสุดยอดวรยุทธ์แห่งบู๊ลิ้ม ผู้ฝึกฝน
ต้องใช้ระยะเวลาหลายสิบปีจึงจะบ่มเพาะพลังปราณหยินหยางขึ้นในร่างได้  แต่ในกายเจ้า
กลับมีพลังหยางอันเข้มแข็งจากตะขาบแดงอัคคี  ซ้ำยังมีพลังหยินอีกหลายสายคอยเกื้อหนุน
จึงทำให้เจ้าสำเร็จ ปราณฟ้าดิน-หยินหยางได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว  แต่มันก็กลับให้ผลร้ายต่อเจ้า
เนื่องด้วยปราณในร่างของเจ้ายังขาดความสมดุลย์ ยามใดที่โคจรปราณหยิน-หยาง ขุมพลังหยางในร่าง
ของเจ้าก็จะไหลบ่าออกมาจนเป็นผลร้ายต่อชีวิตของเจ้า"


บ้อเมี่ยวเล่านั้ง เดินเข้ามาจ้องมองเฟยอี้ ด้วยแววตาที่จริงจัง

"จากนี้ไปเจ้าจะต้องกินโสมหิมะพันปีของข้าทุกวันอย่าได้ขาด จนกว่าหยินในร่างของเจ้าจะเพิ่มพูนขึ้น
และเจ้าจะต้องไม่โคจรปราณหยินหยางอีกเป็นอันขาด  มิเช่นนั้นธาตุไฟในร่างของเจ้าจะก่อกำเริบ
จนร่างของเจ้ามอดไหม้ไปในที่สุด    เอาล่ะข้าจะไปตามหาตัวบุตรีของ อ๋องลีลู่ปัง  เจ้าพักผ่อนอยู่ที่นี่
แล้วจงอย่าได้โคจรลมปราณเป็นอันขาด"

แล้วบ้อเมี่ยวเล่านั้ง ก็เดินหายเข้าไปในป่าลึก ทิ้งเฟยอี้ให้จ้องมองติดตามมันไปอยู่เพียงลำพัง

--------

องค์หญิงฯ และเฟยอี้พักอาศัยอยู่กับ บ้อเมี่ยวเล่านั้ง มาเป็นเวลาสิบวัน  ในทุกๆวัน
เฟยอี้จะได้รับโสมหิมะพันปีเข้าสู่ร่างของมัน จนมันรู้สึกปลอดโปร่งโล่งเบาไปทั้งร่าง 
มันทดลองโคจรลมปราณตรวจสอบดู  ก็พบว่าเป็นไปได้อย่างคล่องแคล่วไม่ติดขัด 

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ให้มันทดลองโคจรปราณหยินหยางในร่าง มันก็สามารถกระทำได้โดย
ไม่เกิดอาการเจ็บปวดใดๆ  แต่บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ก็เตือนมันมิให้โคจรลมปราณอย่างหักโหม
เนื่องด้วย โสมหิมะพันปีสามารถยับยั้งอาการได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น




วันหนึ่ง บ้อเมี่ยวเล่านั้งก็เดินเข้ามาหาเฟยอี้ แล้วยื่นคัมภีร์เล่มหนึ่งส่งให้
เฟยอี้รับเอาคัมภีร์เล่มนั้นมาดู ด้านหน้าคัมภีร์เขียนไว้ว่า

"สยบฝ่ามือเบญจธาตุ"


"นี่คือ คัมภีร์ยุทธใดหรือ ท่านผู้อาวุโส"


บ้อเมี่ยวเล่านั้ง นั่งลงเคียงข้างมันแล้วพูดขึ้นว่า 

"นี่คือ คัมภีร์ยุทธ ที่ข้าหล่อหลอมมาจากสองสุดยอดแห่งวรยุทธ์เข้าไว้ด้วยกัน นั่นคือ
ฝ่ามือสุญญตาของ ทิกุ้ยชิ้ว และ ยูไลพันกร ของหลวงจีน หลี่เต๋อ  ทั้งสองถูกจัดอยู่ใน
ห้าเซียนเทพยุทธ อันเลื่องชื่อ"


เฟยอี้ตาเบิกว้างอย่างสนใจ เนื่องด้วยมันเคยได้ยิน อ๋องลีลู่ปัง พูดถึง เซียนเทพยุทธทั้งสอง

"แล้วเหตุใด จึงมีชื่อว่า สยบฝ่ามือเบญจธาตุ เล่า ท่านผู้อาวุโส"


"ในตอนนั้น ข้ามีความจุดมุ่งหมายที่จะให้คัมภีร์นี้ ตกทอดถึงคนรุ่นหลัง แล้วนำไปฝึกฝน
เพื่อขับไล่ ลัทธิเบญจธาตุ ให้ออกไปจากแผ่นดินจงหยวน จึงได้เขียนข้อความนั้นลงไป
คาดไม่ถึง  เว่ยฉิงคัง ถึงกับนำคัมภีร์นี้ออกมาฝึกฝนอยู่ระยะเวลาหนึ่ง"

เฟยอี้ครุ่นคิดตามคำพูดของบ้อเมี่ยวเล่านั้ง แล้วพูดขึ้นว่า
"ที่แท้.... เว่ยฉิงคังมีวรยุทธสูงส่งก็เพราะเหตุนี้นั่นเอง"


"หาใช่ดั่งที่เจ้าคาดคิดไม่  เจ้าคนเลวคนนั้น มันขาดคุณสมบัติที่เหมาะสม
มันกลับลักลอบนำคัมภีร์วิชามารที่ข้าซุกซ่อนเอาไว้ไปฝึกฝน  จนบัดนี้มันกลับกลายเป็นมาร
แห่งยุทธภพไปเสียแล้ว"


บ้อเมี่ยวเล่านั้ง พูดต่อไปอีกว่า

"ข้าอยากจะให้ชื่อคัมภีร์ยุทธนี้เสียใหม่ว่า คัมภีร์ "สุญญตาพันกร" และจากนี้ไป
เจ้าจะต้องฝึกฝนวรยุทธ์จากคัมภีร์เล่มนี้"


 
เนื้อหาถูกซ่อนเอาไว้ คุณต้องตอบกระทู้นี้ก่อน

cd13579

น่าลองทำบ้างแต่งไปเมาไปเนี่ยเออมันจะเป็นไง จอบคุณสำหรับของขวัญครับ สวัสดีปีใหม่ครับ
ใครหื้อใครซ่า ข้าแบนเรียบ

sunnyman

ขอบคุณมากครับ เมาค้างแล้วเขียนได้สนุกสนานเช่นนี้ ข้าน้อยขอคารวะขอรับ พระเอกของเราจะได้ สกิลใหม่ อีกแล้วหรือนี่ สนุกสนานน่าติดตามมากครับ

zeech

สวัสดีปีใหม่ ครับท่าน CD ขอให้ความสุข และความหื่นสถิตย์อยู่กับท่านตลอดไป  ::DookDig::

Wanit-sri

 ::WooWoo:: เป็นของขวัญปีใหม่ที่ดีจริงๆ   ::Thinking:: แต่ถ้าในโลกนี้มีคัมภีร์แบบนี้ก็แหล่มเลยครับ
::JubuJubu:: ขอบคุณครับในจินตนาการ

bunchucherd



กำพล


psm_mach

เดี๋ยวพระเอกคงต้องรีบกลับไปช่วยธิดาเทพแล้ว

tarokub

ท่าท่างพระเอกของเราโชคดีมีวิชาเยอะ ขอบคุณครับ

jamom


suphason001

ขอบคุณครับคลายเหงาได้เยอะเลยสวัสดีปีใหม่ครับ

kopXIIII

ในโบราณกล่าวไว้ว่า ทุกสิ่งย่อมมีของที่หักล้างกัน
เพื่อทำให้เกิดความสมดุลบนโลกนี้
งานนี้เฟยอี้ได้ของหักล้างแล้ว
มีกี่วรยุทธ์แล้วนี่?
โหดจริงๆ
สวัสดีปีใหม่ด้วยครับ

peddo

สงสารชุ่ยเหลียนนะครับ คิดแก้แค้นแต่ทำให้มารร้ายเก่งขึ้นและเลงยิ่งขึ้นขอให้เฟยอี้มาช่วยแก้ไขสถานการณ์ด้วยเถิด แต่พอกินบัวหิมะก็ไม่มีข้ออ้างรักษาตัวด้วยสาวๆแล้วสิครับ น่าเสียดายจัง

nakata32

ขอบคุณครับ เนื้อหาสนุกเช่นเคย ขนาดเมายังแต่งได้ขนาดนี้สุดยอดมากๆครับ ::Glad::